Translate

07 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 35 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
ตอน ปะทะหงไหเอ๋อ[ลูกไฟแดงน้อย] (ช่วงที่2)
 ฝ่ายเห้งเจียหนีออกมาจากไฟ ๆ ก็ติดไหม้ทั้งตัว ก็โจนลงในห้วยหาน้ำดับไฟหมายว่าจะให้เย็น มิได้รู้ว่าถูกน้ำเย็นไฟยิ่งจะลุกขึ้นร้อนแรง ไฟร้อนเข้าในหัวใจวิญญาณก็ถอดออกจากกาย ธาตุลมก็สูญสิ้นดับไปหมด ร่างกายก็เย็นไปทั้งตัว เล่งอ๋องทั้งสี่เห็นดังนั้นก็พากันตกใจ รีบมาบอกแกโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ๆ ได้ทราบดังนั้นก็รีบแก้ม้ายกหาบใส่บ่าออกจากดงไม้สนเดินมา โคลนเลนอะไรก็มิได้กลัวเปื้อนเปรอะ แลหาตามห้วยเห็นน้ำกระเพื่อมอยู่ ซัวเจ๋งก็กระโจนลงไปอุ้มเห้งเจียขึ้นมาบนบก เห้งเจียดิ้นรนมืองอไปหมดทั่วสรรพางค์กายเย็นไปหมด ซัวเจ๋งก็ร้องไห้พูดว่า น่าเสียดายพี่ร้อยหมื่นปีไม่แก่ไม่ตาย มาวันนี้เหตุใดจึงได้แปลเป็นอายุสั้นไปอย่างนี้เล่า
 โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า อย่าร้องไห้ไปเลยอ้ายลูกลิงมันแกล้งทำตายหลอกให้พวกเรากลัว เธอเปลี่ยนแปลงได้ถึงเจ็ดสิบสองอย่างก็มีเจ็ดสิบสองชีวิต โป๊ยก่ายบอกให้ซัวเจ๋งยืดเท้าเธอออก ซัวเจ๋งจับเท้าเห้งเจียยืดออก โป๊ยก่ายเข้าประคองศรีษะะแล้ว ยกตั้งให้นั่งขัดสมาธิ โป๊ยก่ายก็ขยี้สองฝ่ามือให้ร้อนแล้ว ลูบตามทวารช่องหูช่องตาแลลูบที่ท้องน้อย เห้งเจียถูกน้ำเย็นลมหยุดทุกทวาร กระแสเสียงไม่มี ครั้นโป๊ยก่ายทำวิธีนวดฟั้นดังนั้น บัดเดี๋ยวลมก็เดินตลอดเป็นปรกติ จึงออกปากร้องเรียกพระอาจารย์คำหนึ่ง
 ซัวเจ๋งพูดว่าพี่เป็นห่วงอาจารย์จนตัวตายแล้วก็ยังอยู่ในปาก จงฟื้นขึ้นเถิดพวกข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว เห้งเจียลืมตาพูดว่า ข้าพเจ้าได้พึ่งพี่น้องทั้งหลาย พูดแล้วก็ผุดลุกขึ้นแหงนหน้าถามว่า พี่น้องเง่ากวั้งเล่าอ๋องอยู่ที่ไหน เล่งอ๋องตอบว่าพี่น้องข้าพเจ้าคอยอยู่นี่ เห้งเจียพูดว่าขอบใจพี่น้องทั้งหลายมาช่วยโดยความลำบาก ก็ไม่สำเร็จการ ขอเชิญท่านกลับเถิด วันอื่นข้าพเจ้าจะไปขอบคุณ เล่งอ๋องก็คำนับลาเห้งเจียแล้วก็พาพวกบริวารกลับไปสถานที่แห่งตน ๆ
 ซัวเจ๋งเข้าพยุงเห้งเจียเดินเข้าพักในดงไม้สน เห้งเจียนั่งพักประเดี๋ยว ก็ได้สะติมีกำลังขึ้น คิดขึ้นมาน้ำตาก็ไหลนองอาบหน้า ออกปากว่าพระอาจารย์ลำบากเหลือที่จะทนได้ ซัวเจ๋งพูดว่าพี่จะร้องไห้ไปทำไม พวกเราจงคิดอุบายไปเชิญพลที่ไหนมาช่วยแก้อาจารย์ออก เห้งเจียว่าจะไปหาใครที่ไหนมาช่วย ตั้งแต่ทำสงครามมาเทพยดามนุษย์ที่ไหนก็ไม่อาจต่อสู้พี่ได้ ก็อันปีศาจนี้มันมีฤทธิ์เข้มแขง ต่อผู้ใดมีฤทธาอานุภาพมากกว่าพี่จึงจะต่อสู้มันได้ ถ้าไม่เชิญพระโพธิสัตว์กวนอิมมา ก็จะแก้ปีศาจนี้ไม่ได้ แต่ขัดด้วยตัวพี่ยังเจ็บทั่วสรรพางค์กาย จะเหาะไปยังมิได้ ทำอย่างไรจึงจะเหาะไปได้
 โป๊ยก่ายพูดว่า พี่จะสั่งเสียว่ากระไร ข้าพเจ้าจะไปเชิญเอง เห้งเจียวาดีแล้ว แม้ว่าน้องไปถึงท่านแล้วจงทำกิริยาคำนับแล้วคุกเข่าก้มหน้า คอยท่านถามจงนำความตำบลนี้เล่าบอกชื่อปีศาจและเหตุการณ์ให้ท่านทราบ และนิมนต์ท่านให้มาช่วย แก้อาจารย์ออกด้วย โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้น ก็เหาะขึ้นบนอากาศไปยังเขาน่ำไฮ้
 ฝ่ายปีศาจอั้งฮั้ยยี้ เวลานั้นอยู่ในถ้ำ ดีใจก็ดีใจกลัวก็กลัวพูดแก่บริวารว่า เห้งเจียถูกไฟหนีวันนี้แม้ไม่ตายก็มืดมัว เราวิตกว่าหากจะไปหาใครมาช่วยอีก เราจะต้องออกไปดู มันจะไปหาผู้ใดมา อั้งฮั้ยยี้ว่าแล้วก็เดินออกไปนอกถ้ำ เหาะขึ้นบนอากาศพิจารณาดู บังเอิญโป๊ยก่ายเหาะไปทางทิศน่ำไฮ้ ปีศาจเห็นแล้วจึงคิดว่าเห็นจะไปหาพระกวนอิม ปีศาจก็ลดลงมายังถ้ำ เรียกปีศาจน้อยให้เอาถุงหนังออกมา จัดแจงเปลี่ยนเชือกหูรูดเสียใหม่ไม่ได้ใช้นานแล้ว กลัวเชือกจะไม่แน่นหนา พวกเจ้าจงจัดเกวียนไว้ คอยข้าจะไปจับโป๊ยก่ายมาใส่ถุงนี้ต้มให้สุก อันที่จริงปีศาจอั้งฮั้ยยี้มีถุงวิเศษ พวกปีศาจบริวารจึงเอาถุงออกมาตระเตรียมไว้สำรอง ปีศาจอั้งฮั้ยยี้เดินออกไปนอกถ้ำแล้วก็เหาะขึ้นบนเวหาชิงออกหน้าโป๊ยก่ายแล้วลงหยุดนั่งบนยอดเขา แปลงกายให้เหมือนพระกวนอิม นั่งคอยท่าโป๊ยก่าย
 โป๊ยก่ายเหาะมาแลไปเห็นพระกวนอิมนั่งอยู่ โป๊ยก่ายมิได้รู้ว่าปีศาจแปลง พอแลเห็นก็นึกว่าพระกวนอิม โป๊ยก่ายก็ลดลงนมัสการว่าพระโพธิสัตว์ ข้าพเจ้าคือหงอเหนงคำนับ ปีศาจว่าทำไมไม่ไปตามถังซัมจั๋งมาหาเราจะมีกิจธุระอะไรหรือ โป๊ยก่ายบอกว่าข้าพเจ้าตามอาจารย์ไปข้ามมาถึงเขาพ้อซัว ตำบลห้วยโคกั๊นถ้ำฮ้วยหุ่นต๋อง ปีศาจอั้งฮั้ยยี้จับเอาพระอาจารย์ไปซ่อนไว้ในถ้ำ พี่น้องข้าพเจ้าได้ตามมารบกับมัน ๆ พ่นไฟออกเผาจึงมิได้เอาชัยชนะแก่มันได้ ครั้งที่สองพี่เห้งเจียเชิญพระยาเล่งอ๋องเอาน้ำมาดับไฟ ก็ไม่เอาชัยชนะมันได้ จึงให้ข้าพเจ้ามานิมนต์ท่านไปช่วยแก้อาจารย์ให้พ้นภัย
 ปีศาจพูดว่าที่ถ้ำฮ้วยหุ่นต๋องปีศาจก็หาได้ทำร้ายแก่ผู้ใดไม่ เห็นพวกเจ้าจะไปทำถูกต้องอย่างไรดอกกระมัง โป๊ยก่ายพูดว่าข้าพเจ้ามิได้ทำอะไรแก่เธอ พี่เห้งเจียจะไปทำอย่างไรบ้างข้าพเจ้ารู้ไม่ได้ แต่ปีศาจนั้นแปลงเป็นเด็กเจ็ดขวบ ขึ้นไปแขวนอยู่บนยอดไม้สูงอาจารย์บอกให้ข้าพเจ้ารับไปข้าพเจ้าว่าให้ขี่พี่เห้งเจียไป พี่เห้งเจียเอาเธอฟาดลงกับพื้น เธอก็ทำให้เป็นพายุมืดมัวแล้วก็จับอาจารย์ไป
 ปีศาจพูดว่าเจ้าจงลุกขึ้นตามเราไปที่ถ้ำนั้น เมื่อเข้าไปถึงจงไหว้เขาเสียทีหนึ่งจะได้ขออาจารย์ออก โป๊ยก่ายมิได้รู้สึกว่าปีศาจก็ตามหลังปีศาจกลับไปยังถ้ำ มาบัดเดี๋ยวก็ถึงประตูถ้ำ ปีศาจพูดแก่โป๊ยก่ายว่าเขาจะมีความสงสัยเพราะเธอกับเราชอบกัน เจ้าจงตามเราเข้าไปข้างใน โป๊ยก่ายก็เดินตามเข้าไปในประตู พวกปีศาจบริวารก็โห่ขึ้นพร้อมกันจับโป๊ยก่ายใส่เข้าในถุงหนัง แล้วรวบมัดปากถุงลากมาแขวนไว้บนอกไก่
 ปีศาจอั้งฮั้ยยี้ก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม แล้วถามว่าโป๊ยก่ายมึงมีฝีมืออย่างไร จึงได้รักษาถังซัมจั๋งไปไซที และอาจไปนิมนต์พระกวนอิมให้มากำจัดกู สองตามึงไม่รู้จักกูหรือ เราคือเซี้ยเองใต้อ๋อง วันนี้จะต้มมึงให้สุกจะเอาเนื้อเจ้ารางวัล ให้บริวารของเรากินแกล้มเหล้าเล่น โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็ด่าว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉาน มึงทำไมล่อหลอกกูมาจะกินเนื้อกูตามแต่มึงจะกิน กูจะทำให้มึงหัวบวมใหญ่ขึ้นให้เป็นโรคทุก ๆ คน
 ฝ่ายเห้งเจียนั่งอยู่กับซัวเจ๋งมีสายลมพัดมาเหม็นคาว เห้งเจียก็จามขึ้นทีหนึ่งแล้วพูดว่าไม่ดีแล้ว สายลมนี้ร้ายมากกว่าดีเห็นโป๊ยก่ายจะเดินทางผิดไปพบปีศาจเข้าเสียแล้วดอกกระมัง เห้งเจียจึงพูดแก่ซัวเจ๋งว่า น้องจงอยู่ดูแลข้าวของไว้พี่จะไปฟังดูว่าจะมีเหตุร้ายดีประการใด ซัวเจ๋งว่าพี่ยังเจ็บอยู่ให้ข้าพเจ้าไปฟังเองเถิด เห้งเจียพูดว่าน้องไปไม่ได้ไม่เป็นการให้พี่ไปเอง เห้งเจียก็ทนเจ็บอุตส่าห์เดินไปตรงมายังหน้าถ้ำ ครั้นถึงจึงเรียกอ้ายพวกปีศาจที่เฝ้าประตู ก็วิ่งเข้าไปบอกว่าเห้งเจียมาอีกแล้ว
 ปีศาจอั้งฮั้ยยี้จึงร้องให้จับตัวมันไว้ ปีศาจเหล่านั้นก็พากันถืออาวุธวิ่งกรูออกมาเปิดประตูร้องว่าจับตัวให้ได้ เห้งเจียเวลานั้นกำลังยังอ่อนก็ไม่อาจสู้รบ จึงหลบอยู่ข้างทางร่ายคาถาแปลงเป็นเป๋าเล็กเป๋าหนึ่ง พวกปีศาจวิ่งออกมาก็เห็นเป๋าตกอยู่ จึงเก็บเอากลับเข้าไปในถ้ำบอกแก่ปีศาจใต้อ๋องว่า เห้งเจียกลัวพวกข้าพเจ้าจะจับก็วิ่งหนีทิ้งเป๋าไว้ข้างทางข้าพเจ้าเก็บมาได้ อั้งฮั้ยยี้พูดว่าเป๋านิดหนึ่งเท่านี้ราคาไม่เท่าไรก็ไม่เอาเป็นธุระทิ้งไว้ข้างในประตู ​เห้งเจียแปลงจึงถอนขนออกมาขนหนึ่ง แปลงเป็นเป๋าหนังอย่างเดียว ตัวของเห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงวันตัวหนึ่ง บินขึ้นจับบนธรณีประตูได้ยินเสียงโป๊ยก่ายบ่นอยู่ในถุงที่แขวนนั้น แลได้ยินโป๊ยก่ายด่าว่าปีศาจด้วยถ้อยคำหยาบช้าว่า มึงทำแปลงเป็นพระกวนอิมหลอกให้กูมาในถ้ำ จับกูแขวนจะกินเนื้อกู แม้พี่กูมาแผ่นอำนาจทั่วทั้งเขา กำจัดพวกเองเปิดถุงปล่อยกูออกมา ก็จะจับพวกมึงด้วยคราดนี้จึงจะสาแก่ใจกู
 เห้งเจียแอบได้ยินก็กลั้นหัวเราะมิได้ จึงคิดว่าโป๊ยก่ายอยู่ในถุงนี้ ได้ความทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ยังไม่คิดลดทิ้งอาวุธ คิดจะอุบายแก้โป๊ยก่ายออกในขณะนั้น ก็พอได้ยินเสียงปีศาจใต้อ๋องเรียกว่าทหารทั้งหกอยู่ที่ไหน ปีศาจทั้งหกนั้นคือผู้ที่แข็งแรง ปีศาจใต้อ๋องตั้งนามให้เรียก หุ้นลี้บู๊ผู้หนึ่ง บู๊ลี้หุ้นผู้หนึ่ง กิมยู่ฮ้วยผู้หนึ่ง ข่วยยู่ฮองผู้หนึ่ง เฮ้งอั่งเฮงผู้หนึ่ง เฮงอั่งเฮ้งผู้หนึ่ง ทหารทั้งหกได้ยินใต้อ๋องเรียกก็เข้ามาคุกเข่าลง อั้งฮั้ยยี้ถามว่าพวกเจ้าทั้งหกจำใต้อ๋องบิดาข้าได้หรือไม่ ทหารทั้งหกบอกว่าจำได้ อั้งฮั้ยยี้บอกว่าพวกเจ้าจงไปเชิญเธอมาบอกว่าบัดนี้ข้าจับถังซัมจั๋งได้แล้วจะต้มให้เธอกิน จะได้อายุยืนยาวอยู่ชั่วฟ้าแลดิน ทหารทั้งหกก็คำนับลาไป เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็โผบินตามทหารทั้งหกไป
(บทที่ ๔๒)
 ฝ่ายทหารปีศาจทั้งหกออกจากถ้ำ ก็หมายตรงไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ เห้งเจียก็คิดในใจว่า ปีศาจอั้งฮั้ยยี้จะให้พวกเหล่านี้ไปเชิญบิดามันมากินเนื้ออาจารย์เรา บิดามันคืองู้หม้ออ๋อง ๆ เดิมก็ผูกสมัครเป็นมิตรสหายกับเรา มาบัดนี้เราเข้าหาที่ชอบแล้ว งู้หม้ออ๋องยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ ถึงจากกันไปนานก็จริงแต่ยังจำกิริยาอาการกันได้อยู่ อย่าเลยเราจะแปลงเป็นงู้หม้ออ๋อง หลอกมันดูสักคราวหนึ่ง ดูจะเป็นประการใด เห้งเจียบินขึ้นหน้าปีศาจทั้งหกประมาณสักห้าสิบเส้นแล้ว ก็ไหวกายแปลงเป็นรูปงู้หม้ออ๋อง แล้วถอนขนออกสี่ห้าเส้นแปลงเป็นคนใช้ห้าคนอยู่ในเนินเขาทำเป็นกิริยาไล่เนื้อป่า คอยปีศาจทั้งหกอยู่ในป่านั้น
 ฝ่ายพวกปีศาจทั้งหกตนกำลังเดินมา แลไปเห็นงู้หม้ออ๋องนั่งอยู่ท่ามกลางเฮงอั้งเฮ้ง เฮ้งอั้งเฮง ทั้งสองก็คำนับแล้วคุกเข่าลงกับพื้นพูดว่าท่านเล่าใต้อ๋องอยู่ในที่นี้ ปีศาจหุ้นลี้บู๊ บู๊ลี้หุ้น กิมยู่ฮ้วย ข่วยยู่ฮองทั้งหกตนก็มาคำนับคุกเข่าลงพร้อมกัน พูดว่าพวกข้าพเจ้านี้เซียเองใต้อ๋องบุตรของท่านให้มาเชิญเล่าใต้อ๋องไปกินเนื้อถังซัมจั๋งให้อายุยืนยาว เห้งเจียจึงบอกว่าพวกเจ้าจงลุกขึ้นเถิด จะกลับไปแต่งตัวแล้วจึงค่อยไป ปีศาจทั้งหลายคำนับแล้วพูดว่า ขอใต้อ๋องดูพอสมควรไม่ต้องกลับไปก็ได้ ขอเชิญท่านไปเดี๋ยวนี้เถิด เห้งเจียหัวเราะพูดว่าถ้ากระนั้นก็ไปเถิด พวกเจ้าจงออกนำทางก่อนเราจะตามไป
 ปีศาจทั้งหกก็เตรียมตัวแข็งแรง ออกร้องตวาดนำทางไป เดินมาสักครู่ใหญ่ก็ถึง ปีศาจกิมยู่ฮ้วย ข่วยยู่ของทั้งสองนี้ ก็เดินเข้าไปในถ้ำก่อน บอกว่าใต้อ๋องได้ทราบ บัดนี้เล่าใต้อ๋องมาแล้ว อั้งฮั้ยยี้ใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ พูดว่าพวกเจ้าเอาใจใส่ดีไปมาโดยเร็ว ในทันใดนั้นก็สั่งพวกพนักงาน จัดกันให้เป็นหมู่เป็นหมวดไปรับใต้อ๋อง ครั้นจัดเสร็จแล้ว อั้งฮั้ยยี้ก็ออกมายังประตูถ้ำ
 เห้งเจียครั้นมาถึงก็ทำหน้าชื่นบานเดินเข้าไปในถ้ำขึ้นนั่งอยู่ท่ามกลาง อั้งฮั้ยยี้ก็มาคุกเข่าพูดว่าบิดาข้าพเจ้าขอทำเคารพ เห้งเจียพูดว่าลูกไม่ต้องไหว้ อั้งฮั้ยยี้ทำเคารพสี่ทีแล้ว ก็ลุกขึ้นยืนอยู่ เห้งเจียถามว่าลูกของพ่อ เจ้าให้คนไปเชิญบิดามาจะมีกิจธุระอย่างไรหรือ อั้งฮั้ยยี้ก็ย่อกายพูดว่า ลูกไม่มีฝีมืออะไร เมื่อวันวานนี้จับได้ถังซัมจั๋ง ที่มาจากเมืองใต้ถัง คือเธอบวชปฏิบัติมาสิบชาติแล้ว แม้ว่าผู้ใดได้กินเนื้อเธอสักก้อนหนึ่ง อายุจะยืนยาว ลูกไม่อาจกินเอง จึงเชิญบิดามาเพื่อจะได้กินกับลูก
 เห้งเจียได้ฟังก็ทำตกใจ ถามว่าไหนถังซัมจั๋งอยู่ที่ไหน อั้งฮั้ยยี้ตอบว่าถังซัมจั๋งที่จะไปไซทีนั้น เห้งเจียถามว่าถังซัมจั๋งที่เปนอาจารย์ของเห้งเจียนั้นหรือ อั้งฮั้ยยี้ตอบว่านั่นและ เห้งเจียทำเป็นโบกมือสั่นศรีษะแล้วพูดว่า อย่าไปทำวุ่นวายแก่เขา ๆ ซึงเห้งเจียนั้นคือน้องเป็นมิตรสหายของบิดาได้สาบานผูกรักกันไว้ ลูกยังไม่รู้จักเธอ เธอมีฤทธาอานุภาพกว้างใหญ่นัก เปลี่ยนแปลงกายได้หลายประการนัก เธอเคยได้ขึ้นไปผจญบนสวรรค์ เง็กเซียงฮ่องเต้ให้พลทหารเทพบุตรสิบหมื่นไปต่อสู้แก่เธอ ยังจับเธอหาได้ไม่ ลูกทำไมจึงอาจกินเนื้ออาจารย์ของเธอเล่า จงรีบปล่อยคืนไปเสียเถิดอย่าได้เกี่ยวข้องแก่ลูกลิงนี้เลย จะเกิดวุ่นวายขึ้น แม้ว่าเธอสืบรู้ว่ากินเนื้ออาจารย์เธอแล้ว เธอก็ไม่ต้องรบพุ่งด้วยเจ้า เธอเอากระบองวิเศษมางัดเอาภูเขานี้ก็จะพินาศไปทั้งสิ้น ลูกจะไม่มีที่อาศัย บิดาจะได้อาศัยใครเมื่อแก่เล่า
 อั้งฮั้ยยี้ว่าทำไมบิดาจึงพูดดังนั้น ให้เสียอำนาจของเราไปกระทำให้เขามีความกำเริบได้ ซึงเห้งเจียเคยต่อสู้แก่ลูกสองครั้งแล้วก็ไม่เห็นมีความประหลาดอะไร ครั้งที่หนึ่งลูกได้ปล่อยไฟเผาก็ล่าหนีไปครั้งหนึ่ง ครั้งที่สองไปหาพระยาเล่งอ๋องเอาน้ำมาช่วยก็ดับไฟไม่ลง ถูกลูกเอาไฟเผาจนมืดมัวสิ้นสติก็หนีไป แล้วให้โป๊ยก่ายไปเชิญพระกวนอิมมาช่วย ลูกก็แปลงเป็นพระกวนอิม จับโป๊ยก่ายใส่ถุงวิเศษแขวนอยู่นั้น เมื่อเช้านี้ก็ทำอึกกระทึกลูกให้บริวารน้อยออกไปจับตัว เห้งเจียก็วิ่งหนีทิ้งเป๋าไว้เป๋าหนึ่ง จึงได้ไปเชิญบิดามาพิเคราะห์ดูถังซัมจั๋งนั้นควรจะต้มกิน
 เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ทำเป็นหัวเราะแล้วพูดว่า ลูกรู้แต่ไฟภาคเผาเท่านั้น หารู้ว่าเธอมีฤทธิ์เปลี่ยนแปลงได้ถึงเจ็ดสิบสองอย่าง อั้งฮั้ยยี้พูดว่า ต่อให้เธอเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ลูกก็คงจะรู้ได้ลูกคิดดูเธอไม่อาจจะมาเป็นแน่ เห้งเจียว่าแม้ว่าลูกรู้ได้ เธอก็หาแปลงเป็นเสือช้างอย่างนั้นไม่ เธอจะแปลงเป็นแมลงวันแมลงหวี่ตัวเล็กน้อยต่าง ๆ อย่างนี้ แลแปลงเหมือนแก่รูปบิดาอย่างนี้ลูกจะรู้อย่างไรได้ อั้งฮั้ยยี้พูดว่าอย่างนั้นไม่ต้องเป็นทุกข์ ถึงจะใจเหล็กใจทองแดงเป็นอันขาดไม่กล้ามา เห้งเจียว่าอย่างนั้น ลูกก็มีฝีมือฤทธาอานุภาพกินเนื้อถังซัมจั๋งได้แล้ว แต่ขัดด้วยบิดากินไม่ได้เป็นแน่
 อั้งฮั้ยยี้จึงถามว่า เหตุใดจึงจะกินไม่ได้เล่า เห้งเจียพูดว่าด้วยบัดนี้บิดาอายุก็มากแล้ว มารดาเจ้าอ้อนวอนให้บิดาทำการกุศลบ้างบิดาคิดดูไม่รู้ว่าจะทำประการใด จึงกินแจเป็นทางกุศล
 อั้งฮั้ยยี้ถามว่า ไม่ทราบว่าบิดาจะกินแจจนชีวิตหาไม่หรือ หรือว่ากินมีกำหนดปีเดือน เห้งเจียตอบว่าแจนั้นไม่มีกำหนดปีเดือนเรียกว่าแจรามสูรทุกเดือนมีสี่วัน อั้งฮั้ยยี้ถามว่าสี่วันอะไร เห้งเจียตอบว่า คือวันซามซินวันนี้ถูกวันซินอิ๋วก็ถึงวันที่ถือแจ แลไม่รับแขก ไว้วันพรุ่งนี้เช้าบิดาจะไปดูขัดล้างต้มขึ้นกินกันจึงจะดี อั้งฮั้ยยี้ปีศาจได้ฟังดังนั้น ก็ตรึกตรองอยู่ในใจ พูดว่าบิดาทุกวัน ๆ เอาเนื้อเป็นภักษาหารมาจนบัดนี้อายุได้พันปีกว่าแล้ว ทำไมจึงกลับกินแจอย่างนี้ ก็สามสี่วันเท่านี้จะแก้โทษที่ทำบาบกรรมได้หรือ คำนี้พูดออกมาก็น่าสงสัย จึงผุดลุกออกไปข้างนอก เรียกปีศาจทั้งหกมาถามว่าพวกเจ้าไปเชิญบิดาที่ไหนมา ปีศาจเหล่านั้นบอกว่าพวกข้าพเจ้าไปพบที่กลางทาง
 อั้งฮั้ยยี้พูดว่า ข้าถามว่าพวกเจ้าทำไมมาเร็วนัก จะมิได้ไปถึงที่ถ้ำหรือ พวกปีศาจเหล่านั้นบอกว่า มิได้ไปถึงพบเข้าที่กลางทางก็พามา อั้งฮั้ยยี้ได้ฟังดังนั้น พูดว่าเห็นจะผิดเสียแล้ว จะมิใช่บิดาแล้ว ปิศาจน้อยจึงพูดว่า บิดาของใต้อ๋องจะจำไม่ได้หรือ จึงมาสงสัยดังนี้ อั้งฮั้ยยี้พูดว่าพิจารณาดูลักษณะกิริยาก็ไม่ผิด แต่คำพูดแผลงไปไม่ตรงกัน เราวิตกว่าจะมิใช่ กระนั้นพวกเจ้าไปเตรียมศาสตราอาวุธให้พรักพร้อม เราจะกลับเข้าไปถามใหม่ ถ้าโต้ตอบไม่ตลอดพวกเจ้าพร้อมกันลงมือ พวกปีศาจบริวารก็จัดแจงตระเตรียมตามคำสั่งของใต้อ๋องไว้พร้อมทุกประการ อั้งฮั้ยยี้เดินกลับเข้าไปข้างใน จึงเคารพเห้งเจียแล้ว เห้งเจียบอกว่าอยู่บ้านลูกไม่ต้องเคารพทำไมบ่อย ๆ จะมีธุระอะไรลูกจงบอกไป
 อั้งฮั้ยยี้คุกเข่าพนมมือพูดว่า ขอบิดาได้ทราบ ข้อหนึ่งเชิญบิดามากินเนื้อถังซัมจั๋ง ข้อสองลูกจะขอถามบิดา เพราะเมื่อวันก่อนลูกไปพบซินแสเตียวเต้าเหลง เธอเห็นลักษณะลูกได้ส่วนตามตำรา เธอจึงถามลูกซึ่งปีเดือนวันเวลา เพราะลูกอายุยังเยาว์จำจะไม่แน่นอน ซินแสนั้นจะใคร่ดูให้ลูก เพราะลูกจะถามบิดาถึงความข้อนี้ เพื่อจะได้จดจำจารึกไว้ ทีหลังปะซินแสจะได้ให้เธอดูให้ลูก
 เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็นึกหัวเราะในใจ นึกในใจว่าอ้ายปีศาจมันซอกแซกหาความถาม ซึ่งการบ้านเรือนสั้นยาวดังนี้ เราก็จะตอบได้ อันถามวันเดือนปีอย่างนี้ที่ไหนจะตอบได้ เห้งเจียก็ไม่หวั่นหวาดอะไร นั่งเฉยอยู่ท่ามกลางหัวเราะดีใจ จึงบอกว่าลูกจงลุกขึ้นเถิด พูดว่าอันบิดานี้อายุก็มากชราอยู่แล้ว มีธุระการมากก็หาได้จำไว้ไม่ ไว้พรุ่งนี้กลับไปบ้านถามมารดาเจ้าดูก็รู้ได้ อั้งฮั้ยยี้ว่า บิดาทุก ๆ วันเอาโป๊ยยี่ของข้าพเจ้าพูดว่าอายุยืนเท่าฟ้า ทำไมมาวันนี้จึงได้ลืมไป จะมีอย่างนี้หรือ ถ้าดังนั้นก็เก๊แน่แล้วอั้งฮั้ยยี้ก็ร้องว่า (เอา) คำเดียวเท่านั้น พวกปีศาจน้อยก็พากันกรูขึ้นล้อมเห้งเจีย ระดมตีฟันแทง เห้งเจียก็ชักกระบองกายสิทธิ์ออกรบรับ แล้วแปลงกายกลับเป็นรูปเดิม
 พูดแก่อั้งฮั้ยยี้ว่า มึงทำไมไม่มีธรรมเนียม อ้ายลูกมาตีพ่ออย่างนี้มีที่ไหน อั้งฮั้ยยี่ได้ฟังดังนั้น ก็มีความอายไม่รู้ว่าจะพูดโต้ตอบประการใดได้ เห้งเจียก็บันดาลเป็นแสงสว่าง หนีออกจากถ้ำมือถือกระบองหัวเราะกากใหญ่ข้ามห้วยเดินมา ซัวเจ๋งเห็นก็เดินออกมารับ ถามว่าพี่ไปช้าครึ่งวันแล้วมีความยินดีหัวเราะ เห็นจะแก้อาจารย์ออกมาได้แล้วหรือ เห้งเจียว่าถึงจะแก้อาจารย์ออกยังไม่ได้ก็จริง แต่พี่ได้อยู่เหนือลมพักหนึ่ง
 ซัวเจ๋งถามว่าอะไรเหนือลม เห้งเจียจึงเล่าความที่ได้เป็นมาให้ซัวเจ๋งฟัง ซัวเจ๋งว่าพี่ได้เหนือลม น้องเกรงว่าชีวิตรอาจารย์จะไม่คงอยู่ได้ เห้งเจียว่าอันข้อนั้นไม่ควรจะต้องทุกข์ พี่จะไปนิมนต์พระโพธิสัตว์มาช่วย ซัวเจ๋งพูดว่าพี่ยังเจ็บอยู่มิใช่หรือ เห้งเจียบอกว่าหายแล้ว พูดดังนั้นแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้นบนเวหาไปยังน่ำไฮ้ ตรงมายังที่เขาโละแก่ซัวเข้าไปหาพระกวนอิม ครั้นถึงก็คุกเข่าลงนมัการ พระโพธิสัตว์ถามว่าเห้งเจียมาทำไม มีกิจธุระสิ่งใดหรือ เห้งเจียยกเอาความที่เป็นมาเล่าให้พระโพธิสัตว์ฟังทุกประการ พระโพธิสัตว์ว่า ปีศาจมีไฟภาคอย่างนั้น ทำไมจึงไม่รีบมาบอกก่อน เห้งเจียว่าข้าพเจ้าก็อยากจะมาบอก แต่ไปถูกฤทธิ์ไฟของปีศาจเผาป่นปี้ ได้ความเจ็บป่วยจึงมามิได้ แต่ได้ใช้ให้โป๊ยก่ายมา
 ​พระโพธิสัตว์พูดว่า ไม่เห็นโป๊ยก่ายมา เห้งเจียว่าโป๊ยก่ายยังมิได้มาจริง เพราะอ้ายปีศาจมันแปลงเป็นพระโพธิสัตว์ หลอกจับโป๊ยก่ายใส่ถุงไว้ บัดนี้ยังแขวนอยู่ในถ้ำ จะใคร่ต้มกิน
 พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น ก็โกรธพูดว่าอ้ายปีศาจเขาทิ้ง มันอาจสามารถแปลงเป็นรูปอาตมาได้ พูดดังนั้นแล้วจึงเอาขวดมณีขว้างไปในทะเล เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตกใจ พูดว่าพระโพธิสัตว์ใจร้อนยังไม่หมด เราเล่าเรื่องปีศาจให้ฟังซึ่งร้ายแลดี เธอเอาขวดมณีขว้างไปดังนี้ น่าเสียดายจริง ๆ ถ้ารู้ดังนี้เรารับเอาก่อนจะมิดีหรือ พูดยังไม่ขาดคำก็เห็นในทะเลเป็นคลื่นละลอกขึ้นมา มีเต่าตัวหนึ่งที่หลังถูกขวดมณีวิเศษ คลานขึ้นมาที่ตรงหน้าพระโพธิสัตว์ เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็นึกหัวเราะแต่ในใจพูดว่า หมายว่าจะมิได้เห็นขวดมณีแล้ว จะใคร่ตามเอาขวด พระโพธิสัตว์ถามว่าเห้งเจียพูดว่ากระไร
 เห้งเจียตอบว่ามิได้พูดว่ากระไร จึงพระโพธิสัตว์บอกให้เห้งเจียหยิบขวดมณีขึ้นมานี่ เห้งเจียจึงเข้าไปยกขวดก็มิได้ขึ้นเลย และทั้งมิได้เขยื่อนเท่าเส้นผม เห้งเจียวางขวดเดินมาคำนับพระโพธิสัตว์ บอกว่าขวดนั้นข้าพเจ้ายกไม่ไหว พระโพธิสัตว์ถามว่าขวดเล็กนิดเดียวทำไมจึงยกไม่ขึ้น เห้งเจียไม่รู้หรือ ทุกวันมีแต่ขวดเปล่า วันนี้ขว้างลงไปในทะเล ตัวจะมีกำลังสักเท่าใดจึงจะยกทะเลไหว เพราะฉะนั้นจะเอากำลังมายกจึงมิได้เขยื่อนได้ เห้งเจียยกมือขึ้นนมัสการ แล้วพูดว่าข้าพเจ้ามิได้ทราบเลย
 ​พระโพธิสัตว์เดินลงไปเอามือขวายกขึ้นเบา ๆ แล้วก็วางลงไว้ในฝ่ามือข้างซ้าย เต่าตัวนั้นก็ยกศรีษะคำนับแล้วก็คลานลงน้ำไป พระโพธิสัตว์จึงนั่งลงบนแท่น เรียกเห้งเจียมาพูดว่าขวดน้ำนี้ กับน้ำพระยานาคเล่งอ๋องไม่เหมือนกัน น้ำขวดนี้กับไฟภาคของปีศาจนั้นดับกันได้ดังประสงค์ จะให้เห้งเจียเอาไปก็จะยกไม่ไหว จะให้นางเล่งนึ้งเอาไปกับเห้งเจีย เห้งเจียมักจะหลอกหลอนคน หรือบางทีจะเห็นว่านางเล่งนึ้งของอาตมาสวยงาม แลขวดวิเศษนี้ถ้าเห้งเจียเอาไปแล้วจะไปตามที่ไหน เห้งเจียจงให้สิ่งของอันใดไว้เป็นสำคัญจึงจะได้
 เห้งเจียจึงพูดว่าน่าสงสารตัวข้าพเจ้า พระโพธิสัตว์ทำไมจึงคิดสงสัยไปดังนี้ ในตัวของข้าพเจ้านี้มีหรือสักสิ่งหนึ่ง มีผ้าแพรผืนนี้ก็เป็นของพระอาจารย์ใหญ่ กระบองนี้จะไปไหนก็สำหรับตัวที่จะได้ต่อสู้แก่ศัตรู บนศรีษะหรือก็มีแต่มงคลทอง ข้าพเจ้าจะขอเอาสิ่งนี้เป็นมัดจำ ขอท่านได้ภาวนาคาถาถอดออกเถิด พระโพธิสัตว์พูดว่าเห้งเจียใจเจ้าจะใคร่ได้แต่ความสบาย อาตมาจะขอเอาขนรักษาชีวิตที่ท้ายทอยนั้นหนึ่งเส้นเท่านั้นจะเอาไว้เป็นมัดจำ เห้งเจียพูดว่าอันขนเส้นนี้ก็ของท่านให้ จะถอนเส้นหนึ่งก็วิตกว่าจะพังตามกันลงมาหมด จะเอาอะไรมารักษาชีวิตต่อไป
 พระโพธิสัตว์จึงด่าว่าอ้ายลูกลิงแต่ขนเส้นหนึ่งยังถอนไม่ได้ นางเล่งนึ้งก็ยากที่จะปล่อยให้ไปได้ เห้งเจียพูดว่าท่านมีความสงสัยมากไป แม้ไม่เห็นแก่สงฆ์ก็จงเห็นแก่พระพุทธศาสนาเถิด ขอท่านได้ไปช่วยแก้ให้อาจารย์ข้าพเจ้าออกพ้นจากปีศาจด้วยเถิด พระโพธิสัตว์มีความยินดีจึงเดินออกมาจากสำนัก บอกแก่เห้งเจียให้ข้ามทะเลไปก่อน เห้งเจียคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าไม่อาจทำต่อหน้าท่านจะเป็นการอวดดีไป เพราะหกคะเมนนั้นดูกิริยาไม่น่าดู วิตกเกรงจะเป็นความผิด
 พระโพธิสัตว์จึงให้เสียนใช้เล่งนึ้งไปเก็บใบบัวมาใบหนึ่ง ทิ้งลงในน้ำแล้วบอกให้เห้งเจียขึ้นยืนบนใบบัวจะทนได้หรือไม่ เห้งเจียพูดว่าใบบัวเท่านั้นท่านจะให้ข้าพเจ้าขึ้นยืนเหยียบ ใบบัวจะทานได้หรือ พระโพธิสัตว์จึงพูดว่าเห้งเจียจงขึ้นลองดูที เห้งเจียก็ขึ้นเหยียบใบบัวก็ลอยอยู่ดุจเรือสำเภาอย่างใหญ่ เห้งเจียดีใจพูดว่าใบบัวนี่ทานตัวข้าพเจ้าไหว
 พระโพธิสัตว์พูดว่าถ้าใบบัวทานตัวท่านได้แล้ว ให้เห้งเจียข้ามไปเถิด เห้งเจียพูดว่าไม่มีถ่อแจวและใบจะข้ามไปอย่างไรได้เล่า พระโพธิสัตว์บอกว่าไม่ต้องพายแจวและถ่อค้ำลมพัดดอก ท่านจงบันดาลให้เป็นลมพัดไปทีหนึ่งก็จะข้ามพ้นมหาสมุทรใหญ่ เห้งเจียกระโดดขึ้นบนบกแล้วหัวเราะพูดว่า พระโพธิสัตว์ทำอภินิหารย์จับเราให้ไปมาก็ได้ไม่ต้องป่วยการแรงสักนิดเดียว
 ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็ปาฏิหารย์ออกจากเขาเพ้าท่อซัว สั่งให้ฮุยไง้ไปดาวดึงส์ขอยืมอาวุธวิเศษบิดาเจ้าทีกังสามสิบหกอันจะต้องการใช้ ฮุยไง้คำนับแล้วก็เหาะไป บัดเดี๋ยวก็เอามีดวิเศษกลับมาถึง ส่งมีดทีกังให้แก่พระโพธิสัตว์ ๆ จับดูแล้วก็โยนขึ้น ร่ายพระคาถาเป่าไปมีดนั้นก็​กลายเป็นกลีบบัวรวมกันประดับเป็นแท่น พระโพธิสัตว์ก็ขึ้นนั่งบนแท่นแล้ว จึงบันดาลให้ไปยังเขา (พ้อซัว) พระโพธิสัตว์ก็หยุดลอยอยู่บนอากาศ จึงร่ายพระคาถาเรียกพระภูมิเจ้าที่เจ้าเขาว่าท่านทั้งหลายอย่ามีความสะดุ้งตกใจกลัว วันนี้อาตมาจะมาจับปีศาจร้าย จงมาห้อมล้อมช่วยกันกวาดล้างให้พวกผี ปีศาจเหล่านี้ราบคาบสิ้นเชิง จงขับไล่พวกสัตว์ต่าง ๆ ออกไปให้พ้นในสามโยชน์ เจ้าทั้งหลายรับคำสั่งพระโพธิสัตว์แล้ว ก็ไปจัดการเตรียมไว้เสร็จบัดเดี๋ยวก็กลับมา
 ส่วนพระโพธิสัตว์จึงเอาขวดมณีวิเศษ เทออกเสียงดังดุจฟ้าร้อง เห้งเจียเห็นดังนั้นก็นึกสรรเสริญในใจว่า อย่างนี้แลจริงแท้ว่ามี เมตากรุณา มุทิตา อุเบกขาจริง พระโพธิสัตว์จึงเรียกเห้งเจียให้ยื่นมือออกมา เห้งเจียก็ยื่นมือซ้ายออกมา พระโพธิสัตว์ก็หยิบกิ่งสนจุ่มน้ำมนต์แล้วเขียนอักขระลงกลางใจมือเห้งเจีย คือตัว (บี๊) แปลว่าเคลิบเคลิ้ม พระโพธิสัตว์บอกเห้งเจียให้กำมือไว้ ไปชวนปีศาจอั้งฮั้ยยี้ให้ออกรบทำแพ้อย่าเอาชนะล่อให้ออกมาถึงที่อาตมาอยู่ อาตมภาพจะจับมันเอง เห้งเจียรับคำสั่งแล้วก็เดินมายังประตูถ้ำร้องเรียกอั้งฮั้ยยี้ ปีศาจพวกเฝ้าประตูก็วิ่งเข้าไปบอกอั้งฮั้ยยี้ว่าเห้งเจียมาอีกแล้ว อั้งฮั้ยยี้บอกให้ปิดประตูแล้วพูดว่าอย่าไปธุระแก่มัน
 เห้งเจียร้องเรียกอีกแล้วพูดว่า อ้ายลูกน้อยมึงไล่พ่อออกมาแล้ว ทำไมไม่เปิดประตูออกมาสู้กันเล่า ปีศาจน้อยวิ่งเข้าไปบอกอีกว่า เห้งเจียมาร้องด่าท้าทายอยู่ที่นอกประตู ปีศาจอั้งฮั้ยยี้ว่าชั่งมัน เห้งเจียเห็นช้าก็โกรธ ชักไม้กระบองออกจากหูกระทุ้งประตูพังทะลายลงไปทั้งสิ้น ปีศาจเห็นประตูพังลงไปดังนั้นก็บันดาลโทสะมือถือทวนเดินออกมา พอแลเห็นเห้งเจียก็ด่าว่าอ้ายลิงอายุมากแล้วไม่รู้จักอะไร มาตีประตูของเราให้ล้มไปดังนี้ จะจับโทษอะไรหรือ เห้งเจียว่าอายลูกของพ่อก็มึงไล่ออกมานอกประตู มึงจะคาดโทษอะไรแก่กูเล่า
 อั้งฮั้ยยี้โกรธเอาทวนแทงหมายตรงท้องเห้งเจีย ๆ เอากระบองปัดแล้วทำล่าถอยหนีออกมา ปีศาจยืนหยุดพูดว่า เราจัดล้างถังซัมจั๋งไว้แล้ว เพื่อจะได้ต้มแกล้มเหล้า ทำไมเอ็งวิ่งหนีไปเล่า เห้งเจียพูดว่าอ้ายลูกของพ่อ บนฟ้ามองดูเอ็งอยู่แล้ว เอ็งจงไล่ออกมาเถิด ปีศาจได้ฟังดังนั้น ก็ยิ่งโกรธดุจไฟกัลป์ ตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วก็รุกไล่ออกมาทันที เห้งเจียต่อสู้ได้สองสามเพลงก็ทำถอยหนี
 ฝ่ายอั้งฮั้ยยี้ก็หารู้ว่าเป็นกลอุบายไม่ ถือทวนไล่ตามออกมาอีก เห้งเจียก็ทอดกระบองล่าหนีมา จึงเอามือที่พระโพธิสัตว์เขียนอักขระสยายปรายออก ปีศาจอั้งฮั้ยยี้ก็ให้เคลิบเคลิ้ม ตั้งใจไล่เห้งเจียออกมา บัดเดี๋ยวก็แลเห็นพระโพธิสัตว์ เห้งเจียจึงหันหน้าพูดแก่อั้งฮั้ยยี้ว่าข้ากลัวเจ้าแล้ว เจ้าไล่มาถึงน่ำไฮ้กวนอิมแล้ว เจ้ายังไม่กลับไปอีกหรือ ปีศาจไม่เชื่อก็ขยิกไล่ต่อมาอีก เห้งเจียเห็นจวนก็ตลบเข้าซ่อนตัวอยู่ข้างตัวพระโพธิสัตว์ ปีศาจเข้ามาใกล้เหลือบแลไปเห็นพระโพธิสัตว์จึงพูดว่า นี่เห็นจะเป็นเห้งเจียนิมนต์มาช่วยดอกกระมัง พระโพธิสัตว์ก็มิได้พูดจาว่ากระไร
รูปภาพ 陈惠冠,新绘西游记 •第四十二大动车 红
 ปีศาจยกทวนแล้วตวาดด้วยเสียงอันดัง พระโพธิสัตว์ก็มิได้โต้ตอบว่ากระไร ปีศาจยก​ทวนแทงพระโพธิสัตว์ทีหนึ่ง พระโพธิสัตว์ก็บันดาลเป็นแสงทองเหาะหนีขึ้นอยู่บนเวหา เห้งเจียฮุยไง้ก็เหาะตามขึ้นไปอยู่กลางเวหา ปีศาจหัวเราะว่า อ้ายลิงมันคิดผิดมันไม่รู้จักเรา มันต่อสู้แก่เราหลายครั้งก็เอาชัยชนะเราไม่ได้ มันยังไปหาพระโพธิสัตว์เป๋าน๋องที่ไหนมาถูกทวนเราทีหนึ่งก็สูญหายไปไม่เห็นเงา ทิ้งแท่นกลีบบัวอยู่นี่ ไว้เราขึ้นนั่งเล่นจึงจะดี ปีศาจก็ขึ้นนั่งขัดสมาธิอยู่กลางแท่น พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น ก็เอายอดสนชี้ลงร้องว่าถอยคำหนึ่ง ดอกบัวนั้นก็หายไป ปีศาจก็นั่งอยู่กับมีด พระโพธิสัตว์ก็ให้ฮุยไง้เอาไม้ท้าวปราบปีศาจลงไป เคาะไปเคาะมาที่มีดนั้น ประมาณสักร้อยทีมีดก็แทงตามแข้งขาปีศาจโลหิตไหลออกนองไป
 ฝ่ายปีศาจติดอยู่จะไปทางใดก็มิได้ ต้องทนความเจ็บปวดสุดที่จะพรรณา ก็เอาทวนโยนทิ้งสองมือจับมีดถอน พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น ก็เอากิ่งสนชี้ลงไปร่ายพระคาถามีดนั้นก็ยิ่งมัดแน่นเข้าจะดิ้นรนไปอย่างไรก็ไม่ไหว ปีศาจรู้สึกตัวกลัวตายร้องไห้พูดว่าขอพระเมตาปราณีแห่งพระโพธิสัตว์เจ้า ข้าพเจ้าเป็นคนไม่มีแก้วตา ไม่รู้จักท่านผู้มีอภินิหารย์บารมี แม้ท่านได้โปรดปล่อยข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าไม่อาจทำร้ายต่อไป จะขอปฏิบัติตามทางชอบธรรม พระโพธิสัตว์ได้ฟังปีศาจร้องขอโทษดังนั้น ก็พาเห้งเจียลดลงมายังที่ปีศาจ พระโพธิสัตว์ถามว่าเจ้าจะยอมถือศีลตามอาตมาไปหรือ
 ปิศาจ​ว่าแม้ท่านยกชีวิตไว้ ข้าพเจ้าจะขอถือทางชอบธรรมตามท่านไป พระโพธิสัตว์ว่าถ้ากระนั้นอาตมาจะโกนผมให้และรับศีล พระโพธิสัตว์จึงเอามีดโกนออกจากมือเสื้อเดินเข้ามาใกล้ จับผมทำเป็นสามแหยมนอกนั้นก็โกนเสีย เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะ พูดว่าอ้ายปีศาจดูแปลกประหลาด พิเคราะห์ดูมิใช่ชายมิใช่หญิง ไม่รู้ว่าจะเหมือนรูปอะไรที่ไหน พระโพธิสัตว์ชำระเสร็จแล้วจึงพูดว่าบัดนี้เจ้าได้รับศีลแล้ว อาตมาก็ไม่กล้าจะพูดดูถูกได้อาตมาจะให้ชื่อ คือให้เรียกว่า (เสียนใช้ท่งจื๊อ) จะดีหรือไม่ ปีศาจผงกศรีษะยอมแต่จิตก็คิดจะให้พระโพธิสัตว์ปล่อยเท่านั้น พระโพธิสัตว์เอามือชี้ไปที่แท่นร้องว่าถอนคำหนึ่ง มีดสามสิบหกอันก็ตกลงไปทั้งสิ้น ปีศาจก็หลุดออกได้ พระโพธิสัตว์สั่งให้ฮุยไง้เก็บเอามีดไปส่งเสียยังที่เดิม บัดเดี๋ยวก็กลับมา
 ฝ่ายปีศาจอั้งฮั้ยยี้จิตใจบาปยังไม่หมด แลเห็นที่แข้งขามีบาดแผลยับเยิน และบนศรีษะก็มีผมอยู่สามหย่อม จึงคิดว่าเธอนี้มีฤทธิ์อานุภาพสักเท่าใด อันที่จริงก็ทำแต่บังคับเราเท่านั้น คิดดังนั้นแล้วจึงวิ่งไป เก็บเอาทวนตรงมาแทงพระโพธิสัตว์ เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็ชักกระบองออกจะตี พระโพธิสัตว์ร้องห้ามว่าอย่าทำอาตมาจะบังคับเอง พระโพธิสัตว์จึงล้วงมงคลออกจากมือเสื้อวงหนึ่งบอกแก่เห้งเจียว่า อันมงคลนี้เดิมพระพุทธเจ้าให้มาสามวง วงหนึ่งเรียกว่ารัตนมงคล ก็ใส่ให้เห้งเจียแล้วอีกวงหนึ่งเรียกว่าคุ้มห้ามมงคลใส่ให้เจ้าเฝ้าเขานั้นแล้ว วงนี้เรียกสุวรรณมงคล จะต้องใส่ให้คนนี้ โดยเหตุมันเชี่ยวชาญมาก
 พระโพธิสัตว์พูดดังนั้นแล้ว ก็เอามงคลโยนขึ้นไป ร้องว่าแปลงก็แปลงเป็นห้าวง แล้วจับมาหมายตรงอั้งฮั้ยยี้ขว้างไปร้องว่าใส่ มงคลห้าวงนั้นก็สวมใส่หัวหนึ่งวงใส่มือสองวงใส่เท้าสองวง แล้วพระโพธิสัตว์ก็ร่ายพระคาถา มงคลทั้งห้านั้นก็รัดเอาปีศาจเจ็บปวดเหลือที่จะทนได้ ก็หมุนล้มลงกับพื้น
(บทที่ ๔๓)
 ฝ่ายพระโพธิสัตว์ร่ายพระคาถาสองรอบสามรอบ ก็หยุดปีศาจก็หายเจ็บปวด จึงลุกขึ้นแลดูในตัวที่คอและมือและเท้าทั้งสองข้างใส่ห่วงทองคำรึงรัดเจ็บปวดเหลือที่จะทน จะถอดออกก็อย่าพึงนึกเลยว่าจะถอดได้ คือห่วงนั้นกระทบเนื้อก็มีรากขึ้น ยิ่งถอดดึงก็ยิ่งเจ็บ
 เห้งเจียเห็นแล้วก็หัวเราะพูดว่า พระโพธิสัตว์วิตกว่าจะเลี้ยงเจ้าไม่ใหญ่ จึงให้เจ้าใส่วงแหวน อั้งฮั้ยยี้ได้ฟังดังนั้นก็ร้อนใจวุ่นวาย ฉวยทวนไล่แทงเห้งเจีย ๆ ก็หลบอยู่ที่ข้างพระโพธิสัตว์ ร้องเรียกพระโพธิสัตว์ให้ร่ายพระคาถา พระโพธิสัตว์จึงเอายอดสนจุ่มน้ำมนต์พรมไปทีหนึ่ง ร้องให้ประนมมือทวนนั้นก็หล่นไป สองมือก็ประนมเข้าหว่างอก ก็เลยเปิดไม่ออก
 ฝ่ายท่งจื๊อเปิดมือไม่ออกจะจับทวนก็ไม่ได้ จึงรู้สึกว่าอำนาจพระบารมีของพระโพธิสัตว์นั้นเชี่ยวชาญใหญ่กล้า ไม่รู้แห่งที่จะแก้ได้ด้วยประการใด จึงได้ก้มศรีษะลงเคารพต่อพระโพธิสัตว์ ๆ จึงร่ายพระคาถาเอาขวดมณีน้ำมนต์ เทกลับคืนไปยังทะเลใหญ่ ไม่เหลือ​สักหยดหนึ่ง แล้วพระโพธิสัตว์จึงบอกแก่เห้งเจียว่า ปีศาจนี้มันก็ยอมแล้ว แต่จิตของมันยังไม่เรียบได้ อาตมภาพจะต้องทรมานมันให้เดินก้าวหนึ่งไหว้ทีหนึ่ง กว่าจะถึงเขาพ่อซัวจึงจะถอนอาคมให้มัน แต่เห้งเจียจงรีบไปแก้อาจารย์ออกเถิด เห้งเจียได้ฟังพระโพธิสัตว์ตรัสดังนั้น ก็มีความยินดี ฝ่ายปีศาจก็กระทำความเคารพต่อพระโพธิสัตว์สามสิบห้าที
 ฝ่ายซัวเจ๋งนั่งอยู่ในดงไม้สน คอยท่าเห้งเจียหายไปอย่างไรจึงไม่เห็นกลับมา ก็ยกหาบวางลงบนหลังม้าแล้ว เดินออกจากดงตั้งตาแลไปทางทิศอาคเนย์ สักประเดี๋ยวก็แลเห็นเห้งเจียเดินมาดูกิริยารื่นเริง ซัวเจ๋งออกต้อนรับถามว่า พี่ไปเชิญพระโพธิสัตว์ป่านนี้จึงมาถึง เห้งเจียจึงเล่าเรื่องที่พระโพธิสัตว์ปราบปีศาจให้ซัวเจ่งฟังทุกประการ ซัวเจ๋งก็ดีใจ ทั้งสองคนเก็บหาบจูงม้าเข้าไปยังประตูถ้ำ เข้าไปในถ้ำ ตีขนาบเข้าไป จนพวกปีศาจบริวารล้มตายหมดสิ้น ก็เข้าไปแก้โป๊ยก่ายออกจากถุงแล้ว เลยเข้าไปแก้พระอาจารย์ออก แล้วเห้งเจียจึงเล่าเรื่องที่พระโพธิสัตว์มาช่วยจับปีศาจได้พระถังซัมจั๋งฟังทุกประการ
 พระถังซัมจั๋งก็คุกเข่าลงนมัการเนื่องไปยังน่ำไฮ้ แล้วจึงสั่งซัวเจ๋งให้หาข้าวแจ อาจารย์กับสานุศิษย์กินอาหารเสร็จแล้วก็ออกจากถ้ำ หมายปราจิณทิศออกเดินไปตามลำดับ อ่านต่อ_

[เล่ม 2] ตอนที่ 34 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
        (บทที่ ๔๐) ฝ่ายพวกขุนนางข้าราชการทั้งหลายก็พากันออกมารับ เห้งเจียจึงเล่าเรื่องที่พระโพธิสัตว์มาจับปีศาจให้พระมหากระษัตริย์และขุนนางฟังทุกประการแล้ว ต่างก็ยกมือขึ้นคำนับเนื่องไป มีความรื่นเริงทั่วกันทุกๆคน ในเวลาเมื่อกำลังสรรเสริญเห้งเจียอยู่นั้น เห็นขุนนางขันทีเข้ามาทูลว่าบัดนี้ ข้างนอกประตูมีพระสงฆ์สี่รูปจะเข้ามาเฝ้า จึงทรงพระอนุญาตให้รับเข้ามา ครั้นพระสงฆ์สี่รูปเข้ามาถึงแล้ว คือเป็นพระสงฆ์ที่วัดโป๊ลิ้มยี่ นำเครื่องทรงของฮ่องเต้มาถวาย เห้งเจียแลเห็นก็มีความยินดีพูดว่าดีแล้วดีแล้ว บอกให้พวกขุนนางเอาเครื่องแต่งให้พระเจ้าแผ่นดิน แล้วเห้งเจียเชิญให้ขึ้นครองราชสมบัติไปตามเดิม และให้ไท้จื๊อเอาก้อนหยกชาวนั้นมาถวาย
 ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก ไม่อาจขึ้นนั่งบนพระที่นั่ง คุกเข่าลงกลางพื้นท้องพระโรงแล้วก็ทรงพระกันแสง ตรัสว่าข้าพเจ้าตายไปสามปีแล้ว บัดนี้ได้คืนเป็นมา โดยอำนาจสติปัญญาของท่านช่วยข้าพเจ้าไม่อาจขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อไปได้ ขอเชิญท่านอาจารย์ถังซัมจั๋งขึ้นครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์เถิด ข้าพเจ้าจะพาบุตรภรรยาไปอยู่นอกพระนครขอเป็นไพร่ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กตรัสดังนั้น จึงพูดแก่เห้งเจียว่า ท่านจงรับครองราชสมบัติเถิด เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ปิดบังท่านทั้งหลาย แม้ข้าพเจ้าจะอยากเป็นฮ่องเต้แล้ว ในใต้หล้าทุก ๆ เมืองก็จะเป็นได้ตลอดไปทั้งสิ้น ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในทางสมณะกิจประพฤติพรตพรหมจรรย์ อันการครอบครองเคหะสถานบ้านเรือนย่อมเป็นที่รังเกียจไม่พอใจ แม้ว่าเป็นฮ่องเต้กลางคืนก็ไม่ได้นอน ยิงปืนก็ต้องตื่นได้ยินแต่ข่าวบ้านเมืองก็ไม่สบาย ราษฎรมีความเดือดร้อนก็ไม่เป็นสุข พวกข้าพเจ้าจะรับอย่างไรได้ สมบัติของท่าน ท่านก็จงรับเป็นฮ่องเต้ต่อไปเถิด ข้าพเจ้าเป็นสมณะปฏิบัติพรตพรหมจรรย์ไปกว่าจะสำเร็จซึ่งมรรคและผล เชิญท่านขึ้นรักษาบ้านเมืองเถิด
 พระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก เห็นพระถังซัมจั๋งแลศิษย์ไม่รับครองราชสมบัติแล้ว ก็ขึ้นครองราชสมบัติรับเป็นกษัตริย์ไปตามเดิม จึงพระราชทานรางวัลแก่พระสงฆ์วัดโป๊ลิ่มยี่ แลรับสั่งให้ปล่อยนักโทษและเปิดพระคลังจ่ายเงินออกให้เป็นทาน แลจัดตำหนักกังกั๊กจัดเครื่องแจโต๊ะเลี้ยงพระถังซัมจั๋งแลพวกสานุศิษย์ทั้งสาม แลประชุมขุนนางเป็นที่รื่นเริง แล้วสั่งให้เปิดพระคลังใน นำของวิเศษประจำเมืองมาถวายพระถังซัมจั๋งและศิษย์ทั้งสาม แต่พระถังซัมจั๋งและสานุศิษย์ก็มิได้รับคืนกลับให้ไว้สำหรับบ้านเมือง ขอแต่เปลี่ยนหนังสือเดินทางเท่านั้นแล้วก็เร่งเห้งเจียให้รีบจัดแจงจะลาไป
 ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก ก็ไม่พอใจจะให้ไป แต่จนใจขัดมิได้ จึงรับสั่งให้จัดราชรถ นิมนต์พระถังซัมจั๋งขึ้นนั่งบนรถแล้วรับสั่งให้ขุนนางทั้งหลายตามไปส่ง แลรับสั่งให้พระญาติพระวงษ์​ทั้งหลายออกมาเชิญรถส่งพระถังซัมจั๋ง ส่วนพระองค์ก็ตามส่งจนนอกประตูเมือง พระถังซัมจั๋งลงจากรถแล้ว ต่างก็คำนับลากันไป เจ้าเมืองโอเกยก๊ก น้ำพระเนตรก็ไหลลงโหมพระพักตร์ พระถังซัมจั๋งไปลับแล้ว พระองค์ก็กลับเข้าพระราชวัง ปกครองบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขต่อไป
รูปภาพ ; 16.转过山坡,赫然见一个七岁孩童,赤条条被捆住 手脚,高吊在树上,满面泪痕。
         ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม เดินตามทางใหญ่ไป เวลานั้น
กำลังเป็นเดือนเก้าเดือนสิบพากันเดินมาได้ครึ่งเดือน แลไปข้างหน้าเห็นภูเขาใหญ่สูงยอดเทียมเมฆบังตะวันร่ม พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าเห็นดังนั้นอกใจให้หวั่นหวาด จึงเรียกเห้งเจียร้องสั่งว่าข้างหน้ามีภูเขาสูงขวางอยู่ จงระวังระไวให้ดี เห้งเจียพูดว่าตั้งใจเดินไปเถิด อย่าคิดให้มากไปเลย ข้าพเจ้าก็ต้องระวังอยู่เอง ถังซัมจั๋งก็ขับม้ารีบเดิน บัดเดี๋ยวก็มาถึงเนินเขาดูน่ากลัวยิ่งนัก เมื่อเวลาอาจารย์กับศิษย์เดินขึ้นเขาอยู่นั้น ในใจก็หวั่นหวาดอยู่ด้วยกันทุกคน เห้งเจียแลไปที่ซอกเขาเห็นมีสายเมฆแดงฟุ้งขึ้นไปข้างบนอากาศแล้วม้วนกลมเป็นก้อนไฟ.
         เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงวิ่งมาอุ้มพระถังซัมจั๋งลงจากหลังม้า
 แล้วเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่าอย่าเพิ่งไปปีศาจร้ายมันจะมา โป๊ยก่ายซัวเจ๋งตกใจ ต่างก็ผูกรัดผ้าผ่อนถืออาวุธคอยระวังทีอยู่ อันที่ในแสงแดงนั้นคือปีศาจสามสองปีมาแล้ว ได้ยินว่าเมืองใต้ถังมีพระถังซัมจั๋งจะไปไซทีอาราธนาพระธรรม ถ้าใคร่ได้กินเนื้อพระถังซัมจั๋งแล้วจะมี​อายุยืน เพราะฉะนั้นปิศาจจึงได้ตั้งใจคอยดูอยู่ทุกวัน บังเอิญวันนั้นปิศาจอยู่บนอากาศ แลลงมาเห็นพระถังซัมจั๋งนั่งมาบนหลังม้าหน้าขาว ที่สานุศิษย์ทั้งสามนั้นดูหน้าตาหยาบคาย ถืออาวุธคุมเชิงอยู่ดังจะคอยรบสู้แก่ศัตรู หากจะมีคนหนึ่งในสามคนนั้น ที่มีแก้วตารู้เห็นเหตุการณ์ได้ จึงได้คอยระวังอยู่อย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นที่ไหนเราจะกินได้ง่าย ๆ เล่า เช่นนี้เราจะควรทำประการใดดี อย่าเลยจะต้องคิดอุบายเอาน้ำเย็นเข้าฉโลมจะดีกว่า ถ้าหลงกลเราแล้วก็จะจับตัวได้โดยง่าย จะต้องลงไปลองดูก่อน
         คิดแล้วก็ลดลงยังซอกเขา แปลงกายเป็นเด็กน้อยอายุเจ็ดขวบ เปลือยกายมิได้นุ่งห่ม เอาเถาวัลย์ผูกมือแลเท้าแขวนอยู่บนยอดไม้สูงปากก็ร้องเรียกให้ช่วยชีวิตด้วย
 ฝ่ายเห้งเจียแหงนดูบนอากาศ เห็นแสงแดงสูญหายไปจึงบอกพระถังซัมจั๋งให้ขึ้นม้าไปเถิด พระถังซัมจั๋งถามว่า เมื่อตะกี้ตัวพูดว่าปีศาจร้าย ทำไมจึงจะไปเล่า เห้งเจียตอบว่า เมื่อตะกี้ข้าพเจ้าเห็นเมฆแดงฟุ้งขึ้นบนอากาศ รวมเป็นควันไฟแดงจึงรู้แน่ว่าปีศาจร้าย บัดนั้ก็หาย แสงแดงเห็นจะเปนปีศาจเดินทาง โป๊ยก่ายว่าปีศาจเดินทางมีหรือ เห้งเจียว่าเจ้าที่ไหนจะล่วงรู้ได้ บางทีมีภูเขามีถ้ำมีพระยาใต้อ๋อง พวกปีศาจจะเลี้ยงกันก็เที่ยวเชิญบรรดามิตรสหายปีศาจด้วยกันไปประชุมเลี้ยงโต๊ะ เพราะตั้งใจจะไปประชุมจึงมิได้กระทำอันตรายแก่เรา ถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น เชื่อ​บ้างไม่เชื่อบ้างลังเลอยู่ไม่แน่แก่ใจนัก ก็ขับม้าเดินไป
ตอน ปะทะหงไหเอ๋อ[ลูกไฟแดงน้อย] (ช่วงที่1)
 ขณะนั้นได้ยินเสียงเด็กร้องให้ช่วยชีวิต พระถังซัมจั๋งตกใจถามว่าในกลางป่าเขาอย่างนี้ มีคนอะไรมาร้องเรียกอึกกะทึกเล่า เห้งเจียพูดว่าท่านอย่าเป็นธุระจงตั้งใจเดินไปเถิด
 คร้นเดินมาบัดเดี๋ยว ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกให้ช่วยชีวิตอีก พระถังซัมจั๋งว่านี่เห็นจะมีคนต้องภัยได้ทุกข์ดอกกระมัง จึงได้ร้องเรียกดังนี้ พวกเราไปช่วยดูเป็นไร เห้งเจียพูดว่าวันนี้พระอาจารย์จงเก็บเมตตาจิตเสียบ้างเถิด ด้วยความดีน้อยความร้ายมากนัก พระถังซัมจั๋งขับม้ารีบเดินไป เห้งเจียคิดอยู่แต่ในใจว่า ไม่รู้ว่าปีศาจระยำนี้มันเรียกอยู่ที่ไหน จำเราจะร่ายพระคาถาแยกทางอย่าให้พบกัน คิดแล้วเห้งเจียปล่อยให้ไปก่อนสักสิบเก้า จึงร่ายคาถาย่นทางเอากระบองชี้ตามหลังส่งพระถังซัมจั๋งข้ามเขาไปแล้ว จึงร่ายคาถาทิ้งปิศาจให้อยู่ข้างหลัง แล้วเห้งเจียก็วิ่งตามพระถังซัมจั๋งไป
 ฝ่ายปีศาจอยู่บนยอดเขาร้องเรียกสามสี่คำ ก็ไม่มีใครเข้าไป ปีศาจนึกว่าเมื่อกี้นี้เราเห็นถังซัมจั๋งมาไม่สู้ไกล ทำไมเป็นนานก็ไม่เห็นมาถึง เห็นจะแยกทางไปดอกกระมัง คิดดังนั้นแล้วก็สลัดเชือกขาดเหาะขึ้นไปสูงพิจารณาดู เห้งเจียแหงนหน้าขึ้นดูก็เห็นมีแสงแดงขึ้นอีก เห้งเจียก็วิ่งมาอุ้มถังซัมจั๋งลงจากม้า แลกำชับว่าพี่น้องระวังให้ดี ปีศาจมันมาอีกแล้ว โป๊ยก่ายซัวเจ๋งตกใจต่างก็ถืออาวุธล้อมพระถังซัมจั๋งอยู่มิได้มีความประมาท
 ฝ่ายปิศาจอยู่บนอากาศแสลงมาเห็นดังนั้น ก็สรรเสริญว่า พวกเหล่านี้มันดีจริง มันมีคนตาสว่างรู้เห็นได้ทันท่วงที จำเราจะต้องจับอ้ายคนนี้ก่อน จึงจะจับถังซัมจั๋งได้ มิดังนั้นก็จะเสียการ คิดแล้วก็ลดลงยังพื้นแปลงกายเป็นเด็กยังเยาว์ เอาเถาวัลย์มัดมือแล้วก็เหาะขึ้นแขวนอยู่กับยอดไม้ ประมาณที่พระถังซัมจั๋งเดินไกลสักเส้นหนึ่ง ฝ่ายเห้งเจียแหงนหน้าดู เห็นแสงแดงนั้นหายไป จึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งขึ้นม้าเดินต่อไป พระถังซัมจั๋งถามว่า เมื่อตะกี้บอกว่าปีศาจมาเดี๋ยวนี้จะให้ขึ้นม้าไปอย่างไรอยู่ เห้งเจียว่านี่ก็เปนปีศาจเดินทางเหมือนกัน มันจึงไม่กล้าทำร้ายเรา พระถังซัมจั๋งโกรธด่าว่าอ้ายสัตว์ลิงมึงหลอกเล่นตามสบายที่ไม่มีหลอกว่ามี ทำให้เราหวั่นหวาดบ่อย ๆ อย่างนี้หรือ ประเดี๋ยวจับขึ้นประเดี๋ยวจับลง จนจะล้มลงแข้งขาหักจะได้ไม่ต้องไปอย่างนั้นหรือ เห้งเจียพูดว่า อันขาแข้งหักยังแก้ได้ ถ้าปีศาจมันจับไปได้จะไปค้นหาที่ไหน
 พระถังซัมจั๋งก็ยิ่งโกรธใหญ่ จะใคร่ภาวนาคาถา ซัวเจ๋งอ้อนวอนขอมิให้ภาวนา พระถังซัมจั๋งจึงขึ้นม้าเดินไป ออกเดินไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงเรียก หลงพ่อช่วยชีวิตข้าพเจ้าด้วย พระถังซัมจั๋งแลไปเห็นเด็กน้อยแขวนอยู่บนยอดไม้ผ้านุ่งห่มก็ไม่มี พระถังซัมจั๋งก็หยุดม้าด่าเห้งเจียว่าอ้ายชาติลิง ข้าว่าเสียงคนเรียกมันว่าปีศาจยักษ์ร้าย จงดูที่แขวนอยู่บนยอดไม้นั้นคนหรือปีศาจ เห้งเจียเห็นอาจารย์ขัดเคืองก็มิได้โต้​ตอบประการใด พระถังซัมจั๋งก็เดินเข้าไปใกล้เอาแซ่ชี้ถามว่า เจ้านี้เป็นลูกเต้าใครที่ใหน จึงได้มาแขวนอยู่อย่างนี้ จงบอกแก่เรา ๆ จะช่วยแก้ให้
 ปิศาจเห็นพระถังซัมจั๋งเข้ามาถามดังนั้น ก็ทำร้องไห้ว่าท่านอาจารย์ที่เขานี้ไปข้างทิศตะวันตกมีหมู่ต้นสนแห้งและห้วยน้ำเขาที่นั้น มีหมู่บ้านคือบ้านข้าพเจ้าอยู่ ปู่ข้าพเจ้าแซ่อั๊งนามเรียกแปะบ้วนอายุชราก็ล่วงไปแล้ว สมบัตินั้นก็ยกให้แก่บิดาข้าพเจ้า ๆ ทรุดโทรมบ้านเรือนก็ทิ้งไม่ดูแล เที่ยวคบหาแต่คนที่มีฝีมือเก่งกาจจำหน่ายเงินทองให้กู้ให้ยืมจะใคร่ได้ผลประโยชน์ ก็บังเอิญถูกคนไม่ดีหลอกหลอนเอาไป ต้นทุนและกำไรก็ไม่ได้คืน บิดาข้าพเจ้าก็มีความแค้น จึงสาบานตัวว่าไม่ให้ใครกู้ยืมต่อไปอีก พวกคนเหล่านั้นจะคิดอย่างไรก็ไม่ได้ จึงคุมสมัครพรรคพวกล้วนแต่คนดุร้าย พากันมาปล้นบ้านบิดาข้าพเจ้าในเวลากลางวัน เก็บขนเอาทรัพย์สิ่งของไปหมดสิ้นแล้ว ฆ่าบิดาข้าพเจ้าเสียด้วย จับมารดาข้าพเจ้าไป มารดาอุ้มข้าพเจ้ามาด้วย โจรจะฆ่าข้าพเจ้า มารดาข้าพเจ้าอ้อนวอนขออย่าให้ฆ่าข้าพเจ้าด้วยมีดฟันเลย
 โจรจึงจับข้าพเจ้ามัดแขวนไว้บนต้นไม้ให้อดตายเอง แล้วโจรพามารดาข้าพเจ้าไปข้างไหนก็ไม่ทราบ ข้าพเจ้าต้องแขวนอยู่อย่างนี้สามวันมาแล้ว ไม่มีผู้ใดเดินมาทางนี้แต่สักคน แม้ว่าท่านมีเมตาจิตร ช่วยชีวิตรให้ข้าพเจ้ารอดไปแล้ว ข้าพเจ้าไปถึงบ้านจะขายตัวแทนคุณท่านไม่ลืมพระคุณท่านจนวันตาย
 ​พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็ให้สงสารบอกโป๊ยก่ายให้ขึ้นไปแก้ลงมา โป๊ยก่ายจะปีนขึ้นไป เห้งเจียยืนอยู่ข้างนั้นอดไม่ได้ ร้องตวาดว่าอ้ายสัตว์เขาทึ้ง กูจำได้มึงอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ บ้านมึงถูกโจรปล้นหมดแล้ว พ่อมีงโจรฆ่าตายแล้ว แม่มึงโจรจับไปแล้ว จะช่วยมึงลงมาแล้วจะเอามึงไปส่งให้ใคร มึงจะเอาอะไรมาตอบแทนคุณกู ปีศาจได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ตกใจกลัว และเข้าใจแน่ว่าเห้งเจียรู้เท่า จึงทำมารยาร้องไห้แล้วพูดว่า หลวงพ่อ แม้ว่าบิดามารดาข้าพเจ้าตายก็จริงสมบัติหมดก็จริง แต่ที่ทางเรือกสวนยังอยู่ ทั้งวงศ์ญาติฝ่ายบิดามารดาก็ยังบริบูรณ์พร้อมเพรียง หลวงพ่อช่วยข้าพเจ้าให้รอดตายแล้ว ท่านไปบ้านข้าพเจ้าจะประชุมญาติทั้งหลาย ขายไร่นาเรือกสวนสนองพระเดขพระคุณท่านหาน้อยไม่
 โป๊ยก่ายพูดแก่เห้งเจียว่า อ้ายเด็กทารกนิดเดียวพี่จะถามไปทำไมให้มากความ ช่วยให้ลงมาก็แล้วกัน โป๊ยก่ายก็ปีนขึ้นไปเอามีดโกนตัดเชือกที่มือที่เท้าปีศาจแล้ว ปีศาจก็ก้มหน้าอยู่ตรงหน้าพระถังซัมจั๋งร้องไห้ไม่หยุด พระถังซัมจั๋งก็มีความเมตตา เรียกเจ้าหนูจงมาขึ้นม้าเราจะพาไป
 ปีศาจว่าข้าพเจ้าถูกมัดมือแลเท้าเจ็บไปหมดทั้งตัว และในแถบนี้ชาวบ้านไม่เคยขี่ม้า พระถังซัมจั๋งว่าถ้าอย่างนั้นโป๊ยก่ายให้เขาขี่ไป ปีศาจร้องว่าหลวงพ่อ ท่านผู้นี้ข้าพเจ้าไม่กล้าขี่ ขนคอแหลมดุจเข็มข้าพเจ้ากลัวนัก พระถังซัมจั๋งว่าดังนั้น ซัวเจ๋งให้เขาขี่ไป ปีศาจร้อง​ว่าหลวงพ่อเมื่อวานนี้ปล้นบ้านข้าพเจ้าหน้าตาคล้าย ๆ ท่านผู้นี้ ข้าพเจ้ากลัวไม่กล้าขี่ พระถังซัมจั๋งจึงว่าถ้าดังนั้นเห้งเจียจงให้เขาขี่ไปเถิด เห้งเจียหัวเราะก๊ากใหญ่ ไว้ข้าพเจ้าจะให้ขี่ไปเองปีศาจก็ดีใจ เห้งเจียลองจับขยับยกดูมีน้ำหนักสามชั่งสิบตำลึง หัวเราะแล้วพูดว่าอ้ายปีศาจนี้มึงจะถึงที่ตายแล้ว มึงอาจสามารถทำผีหลอกอย่างนี้จะได้อยู่หรือ ปีศาจเรียกหลงพ่อว่าข้าพเจ้าเป็นลูกคนแท้ มีทุกข์ร้อนเคราะห์ร้ายอย่างนี้
 เห้งเจียถามว่ามึงเป็นลูกคนทำไมกระดูกจึงเบาเล่า ปีศาจว่าข้าพเจ้ายังเป็นทารกกระดูกเล็กยังเด็กอยู่ เห้งเจียพูดว่าเอาเถอะก็จะให้ขี่ไป แม้จะขี้เยี่ยวจงบอกให้กูรู้ก่อน เห้งเจียก็เดินตรงไปทางทิศตะวันตก เห้งเจียให้ปีศาจขี่อยู่บนหลัง ก็นึกแค้นอยู่ในใจจะใคร่หาอุบายฆ่ามันเสีย ปีศาจก็รู้ซึ่งความคิดของเห้งเจีย จึงร่ายพระเวทอ้าปากคาบอากาศทั้งสี่ทิศ เป่ามนต์บนหลังให้หนักประมาณพันชั่ง
 เห้งเจียรู้สึกตัวก็หัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายลูกของกูมึงทำมนต์อะไรบนหลังกูให้หนักอย่างนั้นเล่า ปีศาจกลัวเห้งเจียจะทำร้ายก็ถอดรูปออกจากหลังเห้งเจีย เหาะขึ้นยืนอยู่บนเวหา ทิ้งรูปแปลงอยู่ที่หลังเห้งเจีย ๆ ก็ยิ่งหนัก จึงคิดโทโสคว้าลากลงจากหลังเอาฟาดลงกับศิลา ตัวก็น่วมดุจแป้งขนม แล้วฉีกมือเท้าละเอียดไปทั้งสิ้น ทิ้งศพไว้ข้างทาง
 ​ฝ่ายปิศาจอยู่บนอากาศแลลงมาเห็นดังนั้น อดโทโสไม่ได้จึงพูดว่า อ้ายสัตว์ลิงนี้มันถือดีนัก เวลานี้ถ้าเราไม่ตามจับถังซัมจั๋งไว้ช้ามันจะมีปัญญาขึ้นมากจะลำบาก ปีศาจจึงร่ายเวททำเป็นลมพายุใหญ่ หอบพัดดินทรายหินกรวดซัดสาดมาโดยแรง พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าก็เหลือจะทนได้ โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ก้มหัวปิดตาเห้งเจียก็รู้ได้ว่าปีศาจมันทำลมพายุ จึงรีบวิ่งตามพระถังซัมจั๋ง
 เวลานั้นปีศาจก็จับเอาพระถังซัมจั๋งไปแล้ว บัดเดี๋ยวลมพายุก็หายแสงตะวันก็ออกสว่างท้องฟ้า เห้งเจียเดินมาเรียกโป๊ยก่าย ๆ ก็ผุดลุกขึ้นพูดว่ามีพายุใหญ่เหลือเกิน เห้งเจียถามว่าพระอาจารย์อยู่ที่ไหน โป๊ยก่ายว่าเมื่อเกิดลมพายุนั้น ข้าพเจ้าทั้งสองหาที่หลีกหลบมิได้ พระอาจารย์ก็ฟุบอยู่บนหลังม้า ประเดี๋ยวนี้ทำไมไม่ได้ยินเสียงเลย ไม่รู้ว่าจะอยู่หรือจะไปข้างไหน เห็นลมพายุจะหอบเอาไปเสียแล้วดอกกระมัง
 เห้งเจียเมื่อได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงพูดว่าตั้งแต่นี้ไปก็ตามแต่ใครจะไปข้างไหนเถิด โป๊ยก่ายว่าถ้ากระนี้แล้วก็รีบหาทางไปดีกว่า ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความเสียใจเป็นอันมาก จนตกตะลึงไปแล้วพูดว่า พี่เอาถ้อยคำอะไรมาพูดดังนี้เล่า พี่ไม่รู้สึกหรือว่าพวกเรามีโทษ ได้พึ่งพระกวนอิมท่านสั่งสอนชักนำให้เข้าอยู่ในทางชอบธรรม เปลี่ยนชื่อแปลงนามเคารพต่อพระพุทธศาสนา ก็ได้อธิฐานตั้งจิตรักษาพระอาจารย์ถังซัมจั๋งไปไซที เพื่อแสวงหาความดีลบล้างโทษที่ได้ล่วงไปแล้ว มาวันนี้พี่เอาคำอันไม่สมควรมากล่าวขึ้นดังนี้ จะมิเอา​โทษมาทำลายล้างคุณความดีที่ได้ทำมาแล้วนั้นเสีย หรือ และความดีที่พวกเราได้อุตสาหะพยายามมาจะมิสูญเสียไปเปล่าหรือ
 เห้งเจียว่าที่น้องพูดดังนี้ก็ถูกต้องจริงหมด แต่เหตุผลขัดข้องย่อมมาจากพระอาจารย์ทั้งสิ้น โดยท่านมิได้เชื่อความดีแลพมิได้รู้จักดีแลชั่วผิดและชอบ เมื่อตะกี้เกิดลมพายุใหญ่นั้น คืออ้ายปีศาจเด็กที่อยู่บนต้นไม้นั้นเอง พี่รู้ว่ามันคือปีศาจยักษ์ร้าย น้องทั้งสองก็ไม่รู้ได้ว่ามันเป็นปีศาจ พระอาจารย์ก็มิได้รู้เท่าทันมัน เข้าใจเสียว่ามันเป็นมนุษย์ พี่จับมันฟาดลงกับศิลามันจึงถอดรูปหนีไปแล้ว จึงได้บันดาลให้เป็นลมพายุใหญ่ มาหอบเอาพระอาจารย์ไป เราแค้นเหลือที่จะแค้นในข้อที่เธอมิได้เชื่อฟังเราเลย ทุก ๆ ครั้งชอบช่วยแต่ปีศาจร้าย เราจึงได้มีจิตเบื่อหน่ายคิดเห็นไปว่า จะหาทางกลับจะดีกว่า แม้ว่าซัวเจ๋งน้องมีจิตคิดดังนั้น พวกเราควรจะรีบจัดแจงไปค้นหาปีศาจ
 เมื่อพบแล้วจะได้ช่วยกันแก้พระอาจารย์ โป๊ยก่ายว่าถูกจริง ๆ ต่างคนก็พร้อมกันรวบรวมเข้าของแล้วก็จูงม้าเดินตัดเข้าดงไป คนทั้งสามเดินมาประมาณร้อยเส้นเศษก็ไม่ได้ข่าวคราว เห้งเจียยิ่งเดือดดาลในใจ ก็ไหวตัวเผ่นขึ้นบนเพิงผาสูงกระทำสีหนาทตวาดคำหนึ่งร้องว่าแปลง ร่างกายก็แปลงเป็นสามเศียรหกกรชักกระบองออกแกว่งกวัดแปลงเป็นสามอัน ยกขึ้นตีไปข้างตะวันออก แล้วก็กลับมาตีข้างตะวันตก หวดซ้ายป่ายขวา แผลงฤทธิ์ศักดาอานุภาพ หวั่นไหวไปทั้งเขาดุจทรุดจะทำลายไหวสะเทื้อนไป​ทั้งเขา บัดเดี๋ยวใจเจ้าที่แลเจ้าเขาเจ้าป่าเจ้าดงก็พากันวิ่งมาคุกเข่าลงคำนับอยู่ต่อหน้าเห้งเจีย ร้องบอกว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายมาแล้ว เห้งเจียจึงถามว่าทำไมเจ้าจึงมากหลายดังนี้
 เจ้าทั้งหลายจึงคำนับแล้วตอบว่า ที่เขานี้เรียกว่า (ลักแป๊ะลี้จั๊บเท้าพ้อซัว) รวมหกร้อยโยชน์สิบโยชน์มีเจ้ารักษา รวมสามสิบเจ้าเขา เมื่อวานนี้ได้ยินว่าใต้เซียมา แต่รวมกันยังไม่พร้อมจึงได้ช้าไป ขอใต้เซียได้ยกโทษพวกข้าพเจ้าด้วย เห้งเจียจึงถามว่าบนเขานี้มีปีศาจผีร้ายสักเท่าใดเจ้ารู้หรือไม่ เจ้าทั้งหลายตอบว่ามีตนเดียว แต่มันได้ทำพวกข้าพเจ้าเหลือที่จะทนได้ มันทำจนไม่มีธูปเทียนและผู้เซ่นไหว้ ไม่พอกินไม่พอนุ่งห่ม อ้ายปีศาจตัวเดียวเท่านั้น มันทำให้ได้ความเดือดร้อนอย่างนี้
 เห้งเจียถามว่าที่อยู่ของปีศาจมันอยู่ที่ไหน เจ้าเขาเหล่านั้นจึงบอกว่า ที่ดงไม้สนแห้งมีห้วยน้ำไหล ข้างตำบลนั้นมีที่หนึ่งเรียกว่าถ้ำ (ฮ้วยหุ่นต๋อง) ปีศาจนั้นอยู่ในถ้ำอันนี้ แต่มันมีฤทธาอานุภาพมาก มันจับพวกข้าพเจ้าใช้การอยู่เนืองนิตย์ แลเก็บเงินค่าส่วยอะไรไม่รู้ เห้งเจียพูดว่า พวกท่านเป็นเทพอารักษ์จะมีเงินทองอะไรที่ไหน หมู่เจ้าพูดว่าจริงของท่านเงินทองไม่มีจริง ก็ต้องจับละมั่ง กวาง ซาย เอาไปให้มันแทนเงิน มีดังนั้นมันก็แกล้งรื้อศาล ลอกเสื้อและกางเกงเสียสิ้น มันทำแก่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายมิให้มีความสุข ขอใต้เซียได้กำจัดปีศาจนี้เสียให้จงได้ ช่วยชีวิตสัตว์ทั้งหลายในตำบลนี้ไว้ ให้พ้นภัยแห่งปีศาจถึงซึ่งความสุข
รูปภาพ ; 陈惠冠・新绘西游记 第四十一火木
เห้งเจียถามว่าปีศาจนั้นมันอยู่ที่ใด มันชื่อใดจงบอกให้รู้ด้วย พวกเจ้าทั้งหลายจึงบอกว่า ปีศาจนี้มันเป็นลูกงู้หม้ออ๋องแม่มันคือล่อซัว มันบวชเรียนรู้วิชาที่เขาฮ้วยเอี๊ยมซัว ได้สามร้อยปีแล้ว มันเรียนอัคคีฌานสำเร็จ งู้หม้ออ๋องให้มันตั้งอยู่ที่ตำบลเขานี้ ชื่อเดิมมันเรียกว่า (อั้งฮั้ยยี้) ยี่ห้อเรียกว่า (เซี้ยเองใต้อ๋อง) เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ดีใจบอกให้เจ้าทั้งหลายกลับไปยังถิ่นฐานตามเดิม เห้งเจียก็แปลงกายกลับเป็นรูปเดิมเผ่นลงมาจากยอดเขา พูดว่าพี่น้องเราอย่าวิตกเลย อาจารย์เราคงจะไม่ถึงที่ตาย อ้ายปีศาจนี้เกี่ยวเป็นญาติของพี่ มันเป็นบุตรของงู้หม้ออ๋อง แม่มันชื่อนางล่อซัว ชื่อมันเรียกว่า อั้งฮั้ยยี้คิดมาห้าร้อยปี
 ก่อนนั้น ได้ผูกเป็นมิตรสหายกันกับบิดาของมัน คืองู้หม้ออ๋อง ปีศาจนั้นถ้าคิดมามันต้องเรียกเราว่าเป็นอา มันที่ไหนจะอาจฆ่าอาจารย์ เรามาพากันรีบไปตาม ซัวเจ๋งหัวเราะแล้วพูดว่า สามปีไม่ได้ไปมาญาตินั้นก็จะขาดญาติ นี่พี่กับเขาก็จากกันมาห้าร้อยปีกว่าแล้ว มิได้ไปมาหากัน และ ทั้งมิได้พบปะกันเขาจะจำพี่ได้หรือ เห้งเจียพูดว่า แม้ว่าเขาจำเรามิได้ ที่จะฆ่าอาจารย์นั้นก็คงยังฆ่าไม่ได้ พี่น้องทั้งสามพูดกันดังนั้นแล้ว ก็พากันเดินตัดทางไป เดินมาได้ประมาณสองร้อยเล้น แลไปเห็นดงไม้สนที่กลางนั้นมีลำห้วย น้ำในห้วยมีน้ำใสไหลเชี่ยวแรง ที่ปลายลำห้วยนั้นมีสะพานศิลาข้ามตลอดไปกระทั่งถ้ำ พี่น้องทั้งสามยืนพิจารณาดูก็รู้ว่าปีศาจนั้นคงจะอยู่ในถ้ำนี้ เห้งเจียจึงเรียกซัวเจ๋ง ให้จูงม้ากับหาบไปแอบอยู่ในชายป่าแล้ว กำชับว่าจงระวังระไวให้ดี เห้งเจีย โป๊ยก่ายต่างก็ถืออาวุธเดินไปเที่ยวค้นหาเดินเลียบตามลำห้วยขึ้นไป
(บทที่ ๔๑)
 ครั้นมาถึงสะพานศิลาก็พากันเดินข้ามไป ตรงเข้าในถ้ำก็รู้ชัดว่าปีศาจอยู่ แลไปเห็นแผ่นศิลาทั้งอยู่จารึกอักษรแปดตัว คือเขาพ้อซัวห้วยโกช่งกั๊น ถ้ำฮ้วยหุ่นต๋อง ข้างหน้าประตูถ้ำนั้นมีบริวารปีศาจอยู่ กำลังโลดโผนถืออาวุธลองฝีมือกัน เห้งเจียเดินเข้าไปใกล้ ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยเจ้าพวกนั้น มึงจงรีบไปบอกนายมึงว่า จงรีบส่งพระอาจารย์ของกูออกมาโดยเร็ว พวกเจ้าจะได้รอดชีวิตทั้งถ้ำ พวกปีศาจน้อยได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็วิ่งเข้าไปในถ้ำบอกนาย
 ฝ่ายปีศาจตั้งแต่จับถังซัมจั๋งเข้าไปไว้ในถ้ำแล้ว ก็เปลื้องเอาผ้าผ่อนออกหมด ใช้ให้ปีศาจน้อยตักน้ำมารดขัดล้างให้สะอาด โดยที่คิดจะต้มกิน บังเอิญพอปีศาจบริวารมาบอกว่าข้างหน้าถ้ำ มีอ้ายหน้าขนรามสูรพาอ้ายหูใหญ่ปากยาวมาด้วยอีกคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าถ้ำ ไม่รู้ว่ามาทวงอาจารย์อะไรของมัน ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังบริวารบอกดังนั้นก็หัวเราะพูดว่าสองคนนี้ คือเห้งเจียโป๊ยก่ายจะตามมาค้นหาถังซัมจั๋งพูดดังนั้นแล้ว จึงเรียกบริวารที่แข็งแรง ให้จัดเตรียมเข็นเกวียนเล็กห้าเล่มออกไปตั้งที่ประตูถ้ำ พวกปีศาจบริวารก็จัดแจงเข็นเกวียนออกไปรายตั้งเป็นเหงาเฮ้ง คือตั้งเป็นธาตุ น้ำ ไฟ ลม ไม้ ดิน
 ฝ่ายปิศาจใต้อ๋อง ถือทวนเป็นอาวุธยาวไม่แต่งตัวใส่อะไรสักสิ่งหนึ่ง นุ่งผ้าผืนเดียวเดินตรงออกมาหน้าถ้ำ ร้องตวาดว่าใครที่ไหนสามารถมาอึกกระทึกอยู่หน้าถ้ำเรา เห้งเจียโป๊ยก่ายยืนพิเคราะห์ดูปีศาจหน้าขาวนวลดุจผัดแป้ง คิ้วดุจวงเดือน ริมฝิปากแดงดุจชาด ผมเขียวเกล้าจุก เห้งเจียจึงมึวาจาตอบว่า พ่อหลานรักของอา เจ้าจับอาจารย์ของอาไปพ่อจงรีบส่งออกมาอย่าช้า อย่าให้ถึงความผิดใจกัน บิดาของเจ้าจะติ อาว่าไม่คิดถึงน้ำสาบานที่พูดกันไว้
 ปีศาจอั้งฮั้ยยี้ได้ฟังเห้งเจียพูดเช่นนั้น ยิ่งบันดาลโทสะดุจไฟเข้าจุดในทรวงอก ร้องตวาดว่าอ้ายชาติลิง เรากับเจ้าเป็นวงศ์ญาติอะไรกัน ใครเป็นหลานของเจ้าที่ไหน เห้งเจียพูดว่านี่แน่หนุ่มน้อยเจ้ายังไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าเมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้น ข้ากำลังรบกับเทพยดาข้าผูกสมัครกับบิดาของเจ้า ร่วมสาบานกันเจ็ดคน บิดาเจ้าคืองู้หม้ออ๋อง ข้าคือซีเทียนใต้เซีย ซึงหงอคง คือเรานี้แหละ ในเวลานั้นเจ้าก็ยังไม่เกิด ปีศาจอั้งฮั้ยยี้ได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งบังเกิดโทสะถือทวนตรงเข้ามาแทงเห้งเจีย ๆ แกว่งกระบองเข้าประจันหน้ารบกันทั้งสองก็เหาะขึ้นกลางเวหา 
 เห้งเจียด่าว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉานมึงไม่รู้สูงต่ำ ต่างรบกันโดยกำลังความสามารถอิทธิฤทธิ์แห่งตน ๆ ได้ประมาณยี่สิบเพลงยังไม่แพ้ชนะกัน โป๊ยก่ายยืนอยู่ที่นั่นดูเห็นชัดว่าปีศาจอ่อนกำลังลงแล้ว ไม่มีใจจะรบอยู่แล้ว โป๊ยก่ายเห็นดังนั้น มือถือคราดเหล็กกระโจนเข้าสับปีศาจ ๆ เห็นดังนั้นก็ตกใจล่าถอยหนีกลับลงมายังประตูถ้ำ เห้งเจียโป๊ยก่ายก็ไล่ติดลงมา ปีศาจมือหนึ่งถือทวนขึ้นยืนบนเกวียน มือหนึ่งกำมือทุบเข้าที่สันจมูกของตัวเองสองที โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า อ้ายนี่ไม่มีความอายมันจะทุบจมูกมันให้เลือดออกแล้วมันจะเอาทาหน้าให้แดง มันจะไปฟ้องที่ไหนดอกกระมังมิได้รู้ว่ามันจะแผลงฤทธิ์
 ปีศาจทุบจมูกสองทีแล้ว ก็ร่ายพระเวทในทันใดในปากลุกเป็นไฟออกมา ในรูจมูกควันก็ฟุ้งออกมามืดมัวไปทั้งอากาศ เกวียนเล็กนั้นไฟก็ลุกขึ้นพร้อมกันแดงไปทั้งท้องฟ้ารอบที่เขตถ้ำนั้น ล้วนแต่ไฟและควันทั้งสิ้นมืดมัวแลไม่เห็นอะไร โป๊ยก่ายแลเห็นดังนั้นก็ตกใจ บอกแก่เห้งเจียว่าเห็นจะไม่เป็นการเสียแล้ว เราเข้ามาอยู่ในถ้ำดังนี้ อย่าได้คิดว่าจะรอดไปได้เลย ข้าพเจ้าจะต้องถูกไฟเผาเป็นแน่ และยิ่งมีรสหอมให้มันอร่อยทีเดียว จงรีบหนีโดยเร็วเถิด พูดแล้วก็ออกวิ่งมิได้เหลียวหลังดูเห้งเจีย โป๊ยก่ายวิ่งข้ามสะพานมา เห้งเจียก็แซกเข้าไปในไฟค้นหาปีศาจ ไฟก็ยิ่งลุกขึ้นแรงกว่าเก่า
         (ถามว่าไฟนี้คือไฟอะไร) ตอบว่าไฟนี้ไม่ใช่ไฟฟ้า ไม่ใช่ไฟป่า คือไฟปีศาจมันฝึกประกอบจิตสำเร็จในทางฌาน เรียกว่าไฟภาคจิต และเรียกว่าไฟซิมม้วยฮวย คือไฟที่จิตเที่ยงเป็นดวงเดียว เห้งเจียถูกควันไฟฟุ้งมืดมัวไม่เห็นปีศาจและไม่เห็นประตูถ้ำ ก็รีบหลีกออกมาพ้นไฟ
 ฝ่ายปิศาจเห็นเห้งเจียหนีออกไปแล้ว เรียกไฟคืนแล้วก็เก็บเครื่องไฟเข้าถ้ำปิดประตูถ้ำ นึกว่าเอาชัยชนะได้ก็รื่นเริง ฝ่ายเห้งเจียหนีข้ามห้วยมาแล้ว ก็ลดลงยังพื้นดินเดินมา ก็ได้ยินโป๊ยก่ายนั่งคุยอยู่กับซัวเจ๋ง เห้งเจียตวาดว่า อ้ายโป๊ยก่ายมึงชาติหมูเห็นไฟก็หนีเอาตัวรอดมาแต่ผู้เดียว ทิ้งกูไว้อย่างนี้มึงจะเป็นคนได้หรือ โป๊ยก่ายได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้นก็หัวเราะว่า พี่เห้งเจียอันคำโบราณท่านย่อมว่าให้รู้เวลาจึงจะเป็นคนเชี่ยวชาญได้ อ้ายปิศาจมิใช่ญาติของพี่ ๆ ก็ขืนพูดว่ามันเป็นญาติ มันต่อสู้กับพี่แลมันปล่อยไฟไม่มีจิตเกรงดังนี้ยังไม่หนีจะคิดสู้รบอะไรได้ 
 เห้งเจียถามว่าเพลงทวนปีศาจรบกับพี่เจ้าเห็นเป็นอย่างไรบ้าง โป๊ยก่ายพูดว่ามันสู้ไม่ได้จึงช่วยระดมตี เอาคราดสับทีหนึ่งก็บังเอิญมันล่าหนีลงมาเสีย ครั้นมันปล่อยไฟออกมาเมา ข้าพเจ้าก็ต้องเลี่ยง เห้งเจียโป๊ยก่ายนั่งสนทนากันอยู่ ซัวเจ๋งนั่งพิงอยู่ข้างต้นสนกลั้นหัวเราะไม่ได้ เห้งเจียจึงถามว่าน้องหัวเราะอะไร ซัวเจ๋งว่าที่พี่พูดว่าปีศาจสู้ฝีมือไม่ได้นั้นเมื่อข้าพเจ้าตรองไปแล้ว ก็เห็นว่าเป็นความหนุนและยอกันจัดนัก แม้จะเอาชัยชนะก็จะไม่สู้ยากอะไรนัก
 เห้งเจียได้ฟังซัวเจ๋งพูดดังนั้น ก็หัวเราะแล้วจึงว่า พี่น้องพูดดังนั้นก็ถูกต้องแล้ว ถ้าจะเอาความหนุนแลความขัดกันนั้น ก็จะต้องเอาน้ำขัดไฟ ถ้ากระนั้นน้องทั้งสองพักคอยอยู่ที่นี่ก่อน พี่จะไปหาพระยาเล่งอ๋อง ขอแรงให้เอาน้ำมาช่วยดับไฟ สั่งแล้วเห้งเจียก็เหาะไปยังทะเลทิศตะวันออก บัดเดี๋ยวก็มาถึง จึงร่ายพระคาถา​แซกน้ำลงไปยังบาดาน เดินเข้าไปยังปราสาทจุ้ยเจียทำคำนับกันแก่พระยาเล่งอ๋องแล้ว เห้งเจียจึงพูดแก่เง่ากวั้งเล่งอ๋องว่า ข้าพเจ้าจะมาขอให้ท่านช่วยธุระสักครั้งหนึ่ง ด้วยบัดนี้ท่านพระถังซัมจั๋งเดินทางมาถึงตำบลเขาพ้อซัว ตำบล (ห้วยโคกั๊น) ถ้ำฮ้วยหุ่นต๋อง
 มีปีศาจอั้งฮั้ยยี้จับเอาตัวพระถังซัมจั๋งไป ข้าพเจ้าได้เข้าชิงชัยแก่ปีศาจ ๆ พ่นไฟออกมาพวกข้าพเจ้าจะเอาชัยชนะมิได้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาขอให้ท่านช่วยทำฝนเพื่อดับไฟสักครั้งหนึ่ง จะได้ช่วยพระถังซัมจั๋งพ้นจากภัยแห่งปีศาจได้ เล่งอ๋องพูดว่า แม้ว่าท่านได้ขอฝนข้าพเจ้าไม่อาจทำเองได้ ถ้าได้ท้องตรารับสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ พร้อมด้วยเมฆขลารามสูรแล้วจึงจะทำได้
 เห้งเจียพูดว่า ไม่ต้องมีเมฆขลา รามสูรแลเมฆลมทำไม ขอท่านทำน้ำดับไฟให้เท่านั้น พระยาเล่งอ๋องพูดว่าถ้ากระนั้น ท่านคอยสักประเดี๋ยว ข้าพเจ้าจะบอกน้องทั้งสามมาช่วยท่านเป็นกำลัง เง้ากวั้งเล่งอ๋องก็ส่งจิตไปถึงทะเลทิศปราจิณ ทิศอุดร ทิศอาคเนย์ เล่งอ๋องทั้งสามรู้แล้ว ก็พร้อมกันมากับเง่ากวั้งเล่งอ๋องแลบริวารนาค บัดเดี๋ยวก็ถึงเขาพ้อซัว เห้งเจียจึงสั่งว่าท่านทั้งหลายจงหยุดพักอยู่บนอากาศนี้ก่อน ข้าพเจ้าจะต่อสู้กับปีศาจ แม้ได้ทีท่านทั้งหลายไม่ต้องจับ แม้ว่ามันปล่อยไฟออก ข้าพเจ้าจะเรียกท่านทั้งหลายจงพ่นน้ำลงไปดับไฟ เล่งอ๋องทั้งสี่ก็รับคำเห้งเจียคอยจะทำการตามคำสั่ง เห้งเจียก็ลดลงเดินเข้าไปหาโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง บอกให้คนทั้งสองรู้แล้ว ก็เดินเข้าไปในประตูถ้ำยืนเรียกปีศาจพวกเฝ้าประตูบอกว่า ให้พวกเจ้าเข้าไปบอกนาย พวกปีศาจที่เฝ้าประตูก็วิ่งเข้าไปบอกว่าเห้งเจียมาอีกแล้ว
 อั้งฮั้ยยี้ได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นจับทวนให้ปีศาจบริวารเข็นเกวียนไฟออกไป อั้งฮั้ยยี้ออกมาถึงประตูถ้ำแล้ว จึงร้องถามเห้งเจียว่าเจ้าจะมาทำไมอีก เห้งเจียพูดว่ามึงรีบส่งอาจารย์กูออกมาโดยเร็ว อั้งฮั้ยยี้พูดว่า อ้ายหัวลิงมึงชั่งไม่รู้ผันแปร ถังซัมจั๋งเป็นอาจารย์ของเจ้าก็จริง แต่เป็นเครื่องแกล้มเหล้าของเรา เจ้าจะคอยมุ่งหมายจะใคร่ได้คืนนั้น เห็นจะป่วยการเสียแล้ว เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็โกรธดุจไฟเข้าจ่อจุดในอก ชักกระบองออกจากหูตรงเข้าตีปีศาจ อั้งฮั้ยยี้ยกทวนขึ้นรับรบกันได้ประมาณยี่สิบเพลง ปีศาจเห็นจะเอาชัยชนะมิได้ ก็เอาทวนแทงไปทีหนึ่งก็ชักทวนถอยหนี กำหมัดทุบที่สันจมูกสองที ก็พ่นไฟออกเกวียนเหล่านั้นก็เป็นไฟลุกขึ้นบิน ที่ตาที่ปากปีศาจล้วนแต่ไฟลุกบินขึ้นเป็นเปลวแดงทั้งอากาศ
 เห้งเจียหันหน้ามาร้องว่าเล่งอ๋องอยู่ที่ไหน เล่งอ๋องพี่น้องพร้อมกับบริวารก็พ่นน้ำเข้าไปที่ปีศาจจะให้ดับไฟก็มิได้ เพราะน้ำที่พระยานาคพ่นออกนั้น จะดับได้แต่ไฟธรรมดา อันจะดับไฟฤทธิ์ของปีศาจด้วยนั้นมิได้ แม้เอาน้ำรดเข้าไปก็ดุจดังเอาน้ำมันเข้าใส่ไฟให้ลุกมากขึ้น เห้งเจียมุดเข้าไปในไฟจะค้นหาปีศาจ ๆ เห็นเห้งเจียเข้ามา ก็พ่นไฟออกที่หน้าเห้งเจีย เห้งเจียถูกควันไฟเข้าตาก็ทนไม่ได้ หันหน้ากลับมาลืมตาไม่ขึ้นน้ำตาไหลพราก ๆ เห้งเจียนั้นมิได้กลัวไฟ กลัวแต่ควัน​ที่เข้าตาและจมูกปากหายใจไม่ออก เพราะฉะนั้นเห้งเจียจึงต้องถอยหนีกลับออกมา เมื่อปีศาจเห็นเห้งเจียไปแล้ว ก็สั่งให้เก็บเครื่องไฟเข้าถ้ำปิดประตู

06 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 33 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   หน้าต่อไป 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
        (บทที่ ๓๘) บัดเดี๋ยวก็ถึงพระนคร เข้าประตูเมืองเลยไปยังประตูหลังวังใน เข้าไปในวัง    เวลานั้น นางฮองเฮ้าออกมานั่งอยู่ที่หอเย็น มีสาวใช้เฝ้าอยู่ด้วยสองสามคน นางกำลังคร่ำครวญโศกศัลย์อยู่ โดยเหตุที่ทรงพระสุบินฝันไปถึงพระราชสามี
 พอไท้จื๊อเข้าไปถึงคุกเข่าลงคำนับร้องเรียกว่าพระมารดา ฮองเฮ้าเงยพระพักตร์แลไปเห็นไท้จื๊อ ออกพระโอฐว่าลูกแม่ดีแล้วดีแล้ว สองสามปีแล้วไม่ได้พบเห็น แม่คิดถึงเป็นที่สุด วันนี้ทำไมจึงมาหาแม่ได้เล่า เขาไม่ห้ามปรามดอกหรือ ไท้จื๊อเคารพแล้วพูดว่า ลูกมีธุระจะพูดด้วยพระมารดา ขอจงบอกคนเหล่านี้ให้ออกไปเสียก่อน ฮ่องเฮ้าจึงบอกให้สาวใช้เหล่านั้นออกไปเสียแล้ว ไท้จื๊อพูดว่าขอพระมารดาได้โปรดยกโทษให้ลูกเถิด ลูกจึงจะพูดได้ ฮ่องเฮ้าตรัสว่าแม่ลูกกันทำไมไม่กล้าพูดเล่า เจ้าจงพูดไปเถิด ไท้จื๊อถามว่า พระมารดาอยู่กินอบรมกับพระราชบิดาเมื่อสามปีก่อนกับสามปีหลังนั้นมีความผิดแปลกพระทัยอย่างไรบ้าง
   ฮ่องเฮ้าได้ฟังไท้จื๊อทูลถามดังนั้น ให้หวาดหวิวในพระทัยตกตะลึงไปเป็นครู่ จึงลุกมากอดไท้จื๊อไว้กับอก น้ำพระเนตรตกลงพราก ๆ จึงค่อยกระซิบแต่เบาๆ ถามว่า นี่ลูกไปเอาเหตุการณ์ที่ไหนมาถามแม่ แม้ว่าเจ้าไม่ถามแม่ ถึงแม่ตายไปเมืองนรกแล้ว ความเรื่องนี้ก็ไม่แจ่มแจ้งว่ากระไรเลย แม่จะเล่าให้พ่อฟัง เมื่อสามปีก่อนจะอยู่กินด้วยกันอบอุ่นสุขุมดี เมื่อสามปีหลังมาจนบัดนี้ ความสัมผัสถูกต้องรู้สึกว่าเย็นดุจน้ำแข็งแลกระด้างขัดแข็ง ถามเธอ ๆ ก็บอกว่าอายุมากกำลังก็ถอยไป
   ไท้จื๊อเมื่อได้ฟังพระราช มารดาเล่าให้ฟังดังนั้นก็เคารพจะลาไป ฮ่องเฮ้าจึงยึดไว้ถามว่ามีกิจธุระจะทำไมหรือ เหตุใดไม่พูดให้หมดความจะด่วนไปข้างไหน ไท้จื๊อทูลว่าลูกไม่อาจอยู่ช้า ด้วยเมื่อเช้านี้มีรับสั่งให้ออกไปป่าไล่เนื้อ บังเอิญไปพบพระถังซัมจั๋งแลสานุศิษย์ชื่อเห้งเจีย จะไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม เห้งเจียมีฤทธาอานุภาพอาจปราบภูตผีปิศาจได้ เหตุด้วยพระราชบิดาตายอยู่ที่ในสวน ที่บ่อโป๊ยกั๊กลิวลี่แจ๊ ช่วนจินแปลงเป็นพระราชบิดาชิงราชสมบัติตั้งตั้วอยู่บัดนี้ เมื่อคืนนี้ในเวลาสามยามพระราชบิดาไปเข้าฝัน เชิญเธอทั้งสองมายังเมืองจับปีศาจ
   พระราชบิดาให้หยกขาวแก่พระถังซัมจั๋งไว้เป็นสำคัญ ลูกก็ไม่สามารถจะเชื่อได้ จึงได้เข้ามาถามพระมารดาก็ได้ทราบเหตุการณ์ดังนี้ จึงแน่ใจว่าปีศาจจริงไม่สงสัย จึงส่งหยกขาวให้พระราช มารดาทอดพระเนตร ฮ่องเฮ้ารับหยกมาดูก็รู้แน่ว่า เป็นของพระราชสามีก็ทรงพระกันแสง บอกไท้จื๊อว่า เมื่อคืนนี้เวลาย่ำรุ่งพระบิดาของเจ้ามายืนอยู่ต่อหน้าแม่นี้ เปียกน้ำทั้งพระองค์ บอกว่าเธอสิ้นพระชนม์แล้ว วิญญาณจิตของเธอไปนิมนต์พระถังซัมจั๋งให้ช่วยมาปราบปรามปีศาจ เธอเล่าบอกให้ฟังทุกประการ จำได้บ้างลืมไปเสียบ้าง
   เวลานี้กำลังตรึกตรองอยู่ บังเอิญเจ้าเข้ามาพูดดังนี้ แลทั้งได้เพชรนั้นมาด้วย แม่จะขอเอาเพชรนั้นไว้ก่อน ลูกจงไปเชิญพระถังซัมจั๋งเข้ามา จะได้คิดอ่านกำจัดปีศาจนั้นเสีย เพื่อได้รู้ความเท็จจริง แลจะได้แก้แค้นแทนบิดาด้วย ไท้จื๊อได้ฟังพระราช มารดาสั่งสอนดังนั้น ก็รีบทูลลากลับออกมาขึ้นม้า ตรงไปยังวัด (โป๊ลิ่มยี่) ลงจากม้าเข้าไปหาพระถังซัมจั๋งแต่พระองค์เดียว ครั้นถึงจึงคำนับเห้งเจีย ๆ จับมือไท้จื๊อถามว่า พระองค์ไปพบพระราช มารดาได้ความประการใด
   ไท้จื๊อแจ้งความว่า ข้าพเจ้าได้ถามพระราช มารดาแล้ว พระองค์ทรงเล่าความฝันให้ฟังไม่ผิดเพี้ยนตรงกันทุกประการตามที่ท่านเล่าบอก เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า การก็นานมาถึงสามปีแล้วก็เงียบสงบอยู่ไม่มีผู้รู้เหตุ ขอไท้จื๊ออย่ารีบร้อนจะเสียการ ไว้ธุระข้าพเจ้าจะคิดกำจัดปีศาจนั้นให้จงได้ เวลานี้ก็จวนค่ำแล้ว พระองค์จงรีบกลับไปเมืองก่อน คอยรอเวลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะเข้าไป
   ไท้จื๊อพูดว่า มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าออกมาไล่เนื้อ ในวันนี้ก็ไม่ได้สัตว์สักตัวเดียว จะกลับเข้าไปก็ยากอยู่ เห้งเจียพูดว่าทำไมจึงไว้ให้จวนเวลาอย่างนี้ พูดแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศ ร่ายพระคาถาเรียกเจ้าที่เจ้าเขาเจ้าป่ามาพร้อมกันในทันใดนั้น เห้งเจียพูดว่า ขอแรงเจ้าเขาเจ้าป่าทั้งหลาย ให้ช่วยไล่สัตว์ป่ามาให้ไท้จื๊อ เธอจะได้กลับเมือง เจ้าทั้งหลายได้ฟังคำสั่งเห้งเจียดังนั้น ต่างก็พากันไปให้พวกผีไล่ประเดี๋ยวใจ สัตว์ป่าต่าง ๆ ก็วิ่งมาเป็นอันมาก เจ้าทั้งหลายก็มาคำนับบอกเห้งเจีย เห้งเจียก็ร่ายพระคาถาให้สัตว์เหล่านั้นอยู่ที่ข้างทาง เห้งเจียก็กลับลงมาบอกแก่ไท้จื๊อให้ไปจับสัตว์ป่าที่ข้างหน้านั้น
   ไท้จื๊อจึงคำนับพระถังซัมจั๋งแลเห้งเจียแล้ว สั่งให้พวกทหารยกกลับเข้าเมือง ไท้จื๊อขี่ม้าขับพลเดินมาประเดี๋ยวหนึ่ง แลไปข้างหน้าก็เห็นสัตว์ป่ายืนอยู่มากมายหลายตัว พวกพลก็ดีใจพากันเข้าจับได้ต่างคนต่างร้องสรรเสริญว่า ไท้จื๊อมีบุญมากเทพยดาจึงไล่สัตว์มาให้ดังนี้ พวกเหล่านั้นก็หาได้รู้ว่าความศักดิ์สิทธิ์ของเห้งเจียไม่ พวกพลทหารพากันร้องเพลงรื่นเริงมาตามทาง
   ฝ่ายเห้งเจียพระถังซัมจั๋งครั้นไท้จื๊อกลับไปแล้ว ก็พากันกลับเข้าไปพักยังหอพระธรรม ประมาณยามเศษเห้งเจียมีธุระในจิตก็หลับไม่ลง จึงผุดลุกขึ้นมาเดินมาข้างเตียงพระถังซัมจั๋ง เรียกว่าพระอาจารย์ข้าพเจ้ามีธุระอย่างหนึ่ง พระถังซัมจั๋งถามว่ามีธุระอะไรหรือ เห้งเจียว่าเมื่อกลางวันนี้พูดอวดแก่ไท้จื๊อว่า อันจะจับปีศาจนั้นดุจล้วงของในถุง ข้าพเจ้ามานึกขึ้นได้ว่า เห็นจะเป็นการยากมากที่สุดเสียแล้ว
   พระถังซัมจั๋งถามว่ายากด้วยเหตุอย่างไร เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์ก็รู้แต่สวดมนต์ไหว้พระเท่านั้น หาได้รู้การผันแปรอะไรไม่ คำโบราณท่านว่าแม้จับโจรก็ต้องดูท่วงที ปีศาจนี้มันแปลงทำเป็นพระเจ้าแผ่นดินสามปีแล้ว ได้ร่วมสัมผัสสนมนางใน ขุนนางซ้ายขวาก็เป็นที่รื่นเริงด้วยกันทั้งสิ้น แม้ว่าข้าพเจ้าจับได้ปีศาจนั้นก็จะไม่มีข้ออันใดคาดโทษลงได้ 
   พระถังซัมจั๋งถามว่าทำไมจึงจะไม่คาดโทษลงได้
   เห้งเจียพูดว่าปีศาจจะพูดว่าข้าพเจ้าไม่มีผิดอะไร มาจับเขาเอาโทษอะไรมาชี้แจงให้เห็นเท็จและจริง หากเขาจะพูดอย่างนี้เราจะเอาอะไรมาสำแดงเล่าดูไม่ชอบกล
   พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าถ้าดังนั้นก็สุดแต่เห้งเจียจะคิดอ่านให้การสำเร็จได้ก็แล้วกัน
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าได้คิดอุบายไว้อย่างหนึ่งเสร็จแล้ว แต่ยังวิตกด้วยพระอาจารย์มีความป้องกัน
   พระถังซัมจั๋งถามว่าป้องกันด้วยเหตุอะไร
   เห้งเจียว่าโป๊ยก่ายมีความถือตัวว่า อาจารย์มีความลำเอียงเข้าแก่เธอมาก
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมไม่ลำเอียง เห้งเจียจะต้องประสงค์อย่างไรหรือ
   เห้งเจียจึงพูดว่าจะต้องทำการให้ทันในเวลานี้ คือข้าพเจ้ากับโป๊ยก่ายจะต้องเข้าไปในเมืองโอเกยก๊ก แลเข้าไปในสวนดอกไม้ที่บ่อ (โป๊ก๊กลิวลี่แจ๊) ค้นหาซากศพเอามา พรุ่งนี้เราพากันเข้าไปในเมืองทำเป็นจะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง แม้เห็นปีศาจได้เข้าไปใกล้ถึงแล้ว ข้าพเจ้าจะตีด้วยกระบอง แม้ว่าปีศาจจะมีความโต้ตอบว่ากระไร เราเอาศพนั้นให้เธอดู แลพูดว่า มึงฆ่าพระเจ้าแผ่นดินแล้วแปลงตัวปลอมเข้านั่งเมือง แล้วให้ไท้จื๊อออกมาร้องไห้ดูศพพระราชบิดา แลให้ฮ่องเฮ้าออกมาพิจารณาดูพระศพพระราชสามี และให้ข้าราชการดูพระศพเจ้านายของตัว ต้องกระทำอย่างนี้ข้าพเจ้าจึงจะลงมือกระทำได้ถนัด เพราะเรามีสิ่งสำคัญเป็นพยานปรากฎมั่นคงแล้ว
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็นึกยินดีอยู่ในใจจึงพูดว่า ซึ่งเห้งเจียคิดอ่านดังนี้ก็ดีแล้ว วิตกแต่โป๊ยก่ายจะไม่ยอมไป เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าพูดว่าอาจารย์คอยป้องกัน ทำไมพระอาจารย์จึงรู้ว่าโป๊ยก่ายจะไม่ยอมไปเล่า แม้ว่าพระอาจารย์ไม่ลำเอียงแล้ว อย่าว่าแต่โป๊ยก่ายคนเดียวเลย ให้อีกเก้าโป๊ยก่ายข้าพเจ้าก็มีปัญญาคิดให้ตามหลังข้าพเจ้าไปได้
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า ตามใจเห้งเจียเห็นชอบเห็นควรอย่างใดก็จงทำเถิด เห้งเจียจึงเดินไปริมเตียงโป๊ยก่าย ร้องเรียกว่าโป๊ยก่ายจงลุกขึ้นเถิด โป๊ยก่ายขี้เซาไม่ลุก เห้งเจียเปิดมุ้งดึงใบหูให้ลุกขึ้น โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า ป่านนี้แล้วก็ยังไม่นอน จะมาหยอกอะไรกันอยู่อีก นอนเอากำลังไว้พรุ่งนี้จะให้เดิน เห้งเจียพูดว่าไม่ใช่หยอกเล่น มีธุระสำคัญจะใคร่ให้โป๊ยก่ายไปด้วยกัน โป๊ยก่ายถามว่า มีธุระอะไรที่ไหน เห้งเจียบอกว่า น้องไม่ได้ยินหรือเมื่อกลางวันนี้ไท้จื๊อเธอมาพูดแก่พระอาจารย์ว่า ปิศาจนั้นมีของวิเศษวันพรุ่งนี้พวกเราจะเข้าไปในเมืองก็คงจะไม่ทันต่อสู้กับปิศาจ แต่วิตกว่าปีศาจมีของวิเศษ ก็จะกลับให้ร้ายแก่พวกเรา จำเป็นพวกเราจะต้องลงมือเสียก่อน ลักเอาของวิเศษนั้นมาเสียจะมิดีหรือ
โป๊ยก่ายว่า นี่พี่จะหลอกให้ข้าไปเป็นโจรโขมยด้วยหรือ ถ้าดังนั้นข้าพเจ้าไปด้วยไม่ได้ หากว่าไปกับพี่แม้ได้ของวิเศษมาข้าพเจ้าจะเอาเป็นของข้าพเจ้า พี่จะยอมให้ข้าพเจ้าหรือ เห้งเจียบอกว่าพี่จะยอมให้ของวิเศษแก่น้อง ตัวพี่จะขอแต่ชื่อเสียงเท่านั้น โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ ผุดลุกขึ้นหยิบเอาเสื้อใส่เสร็จแล้ว ก็พร้อมกันค่อย ๆ เปิดประตูออก เห้งเจียโป๊ยก่ายก็เหาะไปยังเมืองโอเกยก๊ก
   เวลานั้นตีกลองยามได้สองยาม โป๊ยก่ายเห้งเจียก็ลงเดินเข้าไปยังกำแพงชั้นในเผ่นขึ้นไปบนกำแพงแล้วโดดลงไปยังพื้น ก็พากันเดินเที่ยวค้นหาสวนดอกไม้ เห้งเจียเดินมาก่อนเห็นประตูลั่นกุญแจไว้แน่นหนา เห้งเจียบอกโป๊ยก่ายให้ลงมือ โป๊ยก่ายเอาคราดสับกระชากประตูก็หักพังล้มลงไปสิ้น
ตอน ผจญปีศาจเมืองอูจีกั๋วจอมวายร้าย (ช่วงที่ 2)
เห้งเจียกระโดดเข้าไปก่อน โป๊ยก่ายตกใจยึดเห้งเจียไว้ พูดว่าเราเป็นขโมยทำอึกกระทึกอย่างนี้ เขารู้เขามิจับตัวเราไปชำระหรือ จะไม่ถึงความตายดอกหรือ เห้งเจียพูดว่าน้องยังไม่รู้ น้องจงพิเคราะห์ดูในสวนนี้ มีต้นผลไม้ดอกไม้ปลาดต่างๆ ดูงดงามหาที่เปรียบมิได้ โป๊ยก่ายว่าไปสนุกทำไมกับของเหล่านั้น รีบไปธุระของเราให้เสร็จจะได้กลับ
   เห้งเจียจึงคิดขึ้นได้ว่า พระอาจารย์ได้ฝันเห็นว่า ที่ใต้ต้นกล้วยนั้นมีบ่อ แลไปก็เห็นต้นกล้วยมีอยู่ต้นหนึ่ง เห้งเจียบอกโป๊ยก่ายว่า ของวิเศษนั้นอยู่ใต้ต้นกล้วยนี้ จึงรีบลงมือขุดเถิด โป๊ยก่ายก็เอาคราดสับลงกระชากต้นกล้วยล้มลงแล้วค่อย ๆ เอาปากคุ้ยดินขึ้นประมาณลึกสักสามสี่ศอก ก็แลเห็นมีแผ่นศิลาใหญ่ปิดขวางอยู่ โป๊ยก่ายดีใจพูดว่า พี่เห้งเจียเห็นจะมีของวิเศษจริง จึงมีแผ่นศิลาปิดอยู่อย่างนี้ เห้งเจียบอกว่าจงงัดเอาแผ่นศิลานั้นขึ้น โป๊ยก่ายก็เอาปากคุ้ยงัดแผ่นศิลานั้นขึ้นแล้ว เห็นมีแสงสว่างฟุ้งขึ้นมาเป็นวาววับ
   โป๊ยก่ายดีใจว่าเป็นของวิเศษ ครั้นพิจารณาดูก็เป็นบ่อ ด้วยแสงพระจันทร์ส่องลงไปจึงได้มีแสงระยับขึ้นดังนั้น โป๊ยก่ายว่าถ้ารู้ว่าเป็นดังนี้ เราได้ติดเอาเชือกมาด้วยก็จะดีได้ลงไป เห้งเจียถามว่าจะลงไปหรือ โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะลงไป เห้งเจียว่าถ้าจะลงไปก็ผลัดเสื้อกางเกงเสีย พี่จะทำให้ลงไปได้โป๊ยก่ายก็ผลัดเสื้อกางเกง เห้งเจียก็เอากระบองวิเศษออกร้องให้ยาว กระบองก็ยาวออกแปดเก้าศอก บอกโป๊ยก่ายให้กอดหัวกระบอง แล้วเห้งเจียก็ค่อย ๆ หย่อนลงไปในบ่อ ครั้นถึงหลังน้ำเห้งเจียร้องถามว่า เห็นของวิเศษหรือยัง โป๊ยก่ายว่าของวิเศษไม่เห็น ๆ แต่น้ำเท่านั้น
   เห้งเจียว่าของวิเศษนั้นจมอยู่ก้นบ่อ จงดำลงไปเอาขึ้นมา โป๊ยก่ายถนัดในการน้ำ เมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ปล่อยจากกระบองดำมุดลงไป บ่อนั้นลึกลงไปยังบาดาล โป๊ยก่ายดำลงไปทีหนึ่งก็ลืมตาแลดูเห็นมีตึกสูง มีหนังสือจดไว้ที่หน้าประตูว่าตำหนัก (จุ๊ยเจียเกง) โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ตกใจ สำคัญว่านี่เราออกท้องทะเลใหญ่ ด้วยเดิมโป๊ยก่ายก็มิได้รู้ว่าบ่อนั้นทะลุไปถึงบาดาล บังเอิญบริวารพวกพระยานาคเที่ยวตระเวนตามชายทะเล มาพบโป๊ยก่ายเข้าก็รีบไปบอกแก่ฮั้ยเล่งอ๋องว่า ข้าพเจ้าไปพบคนผู้หนึ่งปากยาวหูใหญ่แหวกน้ำเดินมาขอใต้อ๋องได้ทราบ
   เล่งอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า เห็นทีจะเป็นพ่องง่วนโซ่ยเมื่อวานนี้ เทพารักษ์ได้มานำเอาวิญญาณจิตของเจ้าเมืองโอเกยก๊กไปหาถังซัมจั๋ง บัดนี้จะมาถึงดอกกระมัง จึงเดินออกมาหน้าตำหนักแลเห็นโป๊ยก่าย จึงเรียกว่าพี่พ่องง่วนโซ่ยเข้ามาพักข้างในก่อน โป๊ยก่ายแลไปเห็นเล่งอ๋องก็ค่อยดีใจด้วยคุ้นเคยกันมาแต่ก่อน
   โป๊ยก่ายเข้าไปข้างในตัวยังเปียกน้ำอยู่ จึงคำนับแล้วเข้านั่ง เล่งอ๋องถามว่าข้าพเจ้าได้ยินว่า ท่านรักษาพระถังซัมจั๋งไปประเทศไซทีอาราธนาพระธรรม ทำไมท่านจึงลงมาถึงที่นี่ได้ โป๊ยก่ายตอบว่า อันความจริงก็จริงดังท่านถาม แต่พี่ซึงหงอคงให้ข้าพเจ้าลงมาเอาของวิเศษอะไรที่ท่านก็ไม่รู้ เล่งอ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะเอาของวิเศษอะไรที่ไหนมาให้ ไม่เหมือนท่านเล่งอ๋องตามมหาสมุทรใหญ่ เธอเหาะเหินเปลี่ยนแปลงรูปกายได้ จึงจะมีของวิเศษ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แต่ละวันก็มิได้เห็นจะเอาของวิเศษที่ไหนมา
   โป๊ยก่ายพูดว่าท่านเล่งอ๋อง อย่าหลีกเลี่ยงไปเลย แม้มีแล้วจงเอาออกมาเถิด เล่งอ๋องพูดว่ามีก็มีอยู่สิ่งหนึ่งแต่เอาออกไม่ได้ ท่านง่วนโซ่ยไปดูเอาเองเถิด โป๊ยก่ายว่าดีแล้วๆ โป๊ยก่ายเดินตามเล่งอ๋องไปดู ครั้นถึงที่ห้องหอระเบียง เล่งอ๋องยกมือชี้ว่านี่แลของวิเศษแล้ว โป๊ยก่ายแลไปก็เห็นคนนอนอยู่บนเตียง ตัวยาวหกศอก เล่งอ๋องพูดว่านี่แลคือของวิเศษ โป๊ยก่ายเดินเข้าไปใกล้พิจารณาดู ก็เห็นเป็นซากศพคนตาย บนศรีษะสวมหมวกอย่างกษัตริย์ พร้อมเครื่องแต่งตัวล้วนแต่เครื่องกษัตริย์ โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ของวิเศษอย่างนี้เมื่อข้าพเจ้าอยู่เป็นปิศาจ เอามากินเสียกระดูกกองเท่าภูเขา อย่างนี้จะว่าของวิเศษอะไรได้
   เล่งอ๋องพูดว่า ท่านง่วนโซ่ยยังไม่ทราบ นี่แลคือพระเจ้าแผ่นดิน (โอเกยก๊ก) ตกลงมาในบ่อนี้ถึงแก่ความตาย ข้าพเจ้าเอาแก้ววิเศษใส่ปากไว้ รูปกายจึงยังไม่เน่าเปื่อยพอง อยู่มาได้จนทุกวันนี้ แม้ว่าท่านเอาขึ้นไปให้หงอคงบางทีจะหายาวิเศษแก้ ฟื้นเป็นขึ้นได้แล้ว สารพัดของวิเศษท่านจะปราถนาอย่างไรก็คงได้ทั้งสิ้น
   โป๊ยก่ายพูดว่าถ้ากระนั้นท่านเล่งอ๋องกับข้าพเจ้าช่วยกันหามออกไป ท่านจะให้เงินข้าพเจ้าหรือ เล่งอ๋องพูดว่าความจริงนั้นเงินของข้าพเจ้าก็ไม่มี ข้าพเจ้าจะเอาที่ไหนมาให้ท่านเล่า โป๊ยก่ายพูดว่าท่านใช้คนทำไมไม่มีเงินเล่า ถ้าไม่มีเงินข้าพเจ้าก็ไม่หามละ
   เล่งอ๋องพูดว่าท่านไม่หามก็เชิญออกไปเถิด โป๊ยก่ายก็เดินกลับออกไป เล่งอ๋องจึงเรียกบริวารสองคนให้หามศพนั้นออกไปนอกประตูแล้ว เอาแก้ววิเศษบังน้ำ โป๊ยก่ายหันหน้ามาดูก็ไม่เห็นห้องหอ เอามือไปคลำดูก็ถูกซากศพก็ตกใจ รีบโผล่ขึ้นบนหลังน้ำ เกาะอยู่ข้างริมบ่อร้องเรียกว่าพี่เห้งเจีย ส่งไม้กระบองลงมารับข้าพเจ้าด้วย เห้งเจียร้องถามลงไปว่า มีของวิเศษหรือเปล่า โป๊ยก่ายบอกว่าข้างก้นนั้นมีพระยานาคบอกให้ข้าพเจ้าหามศพคนตายขึ้นมา ข้าพเจ้าไม่ยอมหาม เห้งเจียบอกว่านั่นแลของวิเศษแล้ว ทำไมจึงไม่หามขึ้นมาเล่า โป๊ยก่ายบอกว่าเป็นซากศพเปรอะเปื้อนข้าพเจ้าจะหามอย่างไรได้ เห้งเจียว่าถ้าเจ้าไม่หามศพขึ้นมาข้าจะกลับไปวัดนอนให้สบายใจดีกว่า
   โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า พี่อย่าเพิ่งไปคอยข้าพเจ้าก่อนจะกลับไปหามขึ้นมา โป๊ยก่ายดำลงไปคลำค้นพบแล้วก็พยุงยกขึ้นวางบนหลังแบกกลับขึ้นมา โผล่พ้นน้ำแล้วจึงร้องเรียกว่าพี่เห้งเจียส่งกระบองลงมารับทีเถิด เห้งเจียก็หย่อนกระบองลงไป โป๊ยก่ายก็อ้าปากกัดกระบอง เห้งเจียก็ค่อย ๆ ลากขึ้นมา โป๊ยก่ายก็วางซากศพนั้นลง เอาเสื้อผ้าผลัดเห้งเจียก็มาพิจารณาดู เห็นรูปกายก็ยังสดใสดุจคนเป็น จึงหันหน้ามาพูดแก่โป๊ยก่ายว่า คนนี้ตายได้สามปีแล้วทำไมจึงไม่ทรุดโทรมเน่าเปื่อย โป๊ยก่ายพูดว่าพี่ยังไม่รู้ที่ใต้บ่อนี้มีเล่งอ๋อง บอกแก่ข้าพเจ้าว่า เธอได้เอาแก้วมณีวิเศษใส่ไว้ในปากศพ รูปกายจึงมิได้ทรุดโทรม เห้งเจียว่าเหมาะแล้ว ๆ ข้อหนึ่งเธอยังมิได้แก้แค้น ข้อสองจะให้หากเราสำเร็จคิด โป๊ยก่ายจงรีบแบกไปเถิด
   โป๊ยก่ายถามว่าจะให้แบกไปที่ไหน เห้งเจียว่าแบกกลับไปหาอาจารย์ โป๊ยก่ายบ่นว่าเรากำลังนอนดี ๆ ถูกอ้ายหัวลิงมันหลอกว่ามีของวิเศษ แล้วมิหนำซ้ำใช้ให้เราแบกคนตายไปอีก เราไม่แบกไปแล้ว เห้งเจียว่าถ้าเจ้าไม่แบกไป ก็จงนอนลงให้เราตีเสียยี่สิบที โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า ไม้กระบองใหญ่แม้จะตียี่สิบที ก็จะเหมือนพระเจ้าแผ่นดินนี้เป็นแน่ เห้งเจียพูดว่าแม้เจ้ากลัวตาย ก็จงรีบแบกศพนี้ไปโดยเร็วเถิดข้าจะได้ไม่ตี โป๊ยก่ายก็เข้าพยุงศพขึ้นบนหลังแบกออกจากสวนดอกไม้ 
   เห้งเจียก็ร่ายพระคาถา บันดาลเป็นม้วนลมเป่าหอบเอาโป๊ยก่ายข้ามพ้นกำแพงเมืองออกมา เห้งเจียโป๊ยก่ายก็ลงยังพื้นค่อยๆ เดินไป โป๊ยก่ายเดินพลางนึกแค้นใจว่าอ้ายลิงนี้มันทรกรรมกู กูกลับไปถึงต่อหน้าพระอาจารย์จะแก้แค้นมันบ้าง เดินมาประเดี๋ยวก็ถึงวัด เดินเข้ามาที่หน้าหอ เอาศพวางลงที่หน้าประตู แล้วร้องเรียกว่าอาจารย์ลงมาดูเถิด พระถังซัมจั๋งถามว่าดูอะไร โป๊ยก่ายพูดว่าไม่ทราบว่าปู่ย่าตายายหรือทวดอะไรของพี่เห้งเจีย ใช้ให้ข้าพเจ้าแบกมานี่แล้ว
   พระถังซัมจั๋งก็รีบเปิดประตูออกมาดู เห็นรูปพระมหากษัตริย์ยังสดใสอยู่มิได้แปรปรวน ดูดุจยังมีชีวิตอยู่ พระถังซัมจั๋งเห็นดังนี้ก็เกิดคาามสังเวชพูดว่า ไม่รู้พระองค์ทำกรรมเวรไว้อย่างไรจึงให้เขาคิดฆ่าได้อย่างนี้ แลทั้งบุตรภรรยาและขุนนางข้าราชการและราษฎรทั้งบ้านทั้งเมืองก็ไม่มีใครรู้เหตุผลคิดดูก็น่าสงสาร พูดดังนั้นแล้วน้ำตาก็ไหลตกลงพร่างพราย โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะ แล้วพูดว่าเธอก็มิใช่วงศาคณาญาติของอาจารย์ ทำไมจึงได้ร้องไห้ร้องห่มเอาจริงเอาจังอย่างนั้น
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า เราบวชเป็นสมณะต้องมีจิตกรุณาปราณีจึงจะควร โป๊ยก่ายทำไมจึงมีจิตคัดง้างอย่างนั้นเล่า
   โป๊ยก่ายพูดว่าไม่ใช่คัดง้าง คือเหตุที่พี่เห้งเจียได้พูดแก่ข้าพเจ้าว่า เธอจะแก้ให้ฟื้นขึ้นอย่างเดิม
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น จึงเรียกเห้งเจียมาพูดว่า แม้ฝีมือประสิทธิ์แก้ให้พระมหากระษัตริย์กลับเป็นมาได้ จะสร้างกุศลสักเจ็ดวันก็สู้ไม่ได้ 
   เห้งเจียพูดว่า ทำไมพระอาจารย์จึงไปเชื่ออ้ายชาติหมูกินรำอย่างนั้นเล่า อันธรรมดาคนตายแล้วได้เจ็ดวันก็ดี หรือเดือนหนึ่งก็ดี ในมนุษย์โลกก็สิ้นกรรมเวรแล้ว ย่อมเคลื่อนไปปฏิสนธิต่อเข้าแห่งภพหน้าถือเอากำเนิดมีวิญญานอีก ในภพใดภพหนึ่ง ก็นี่ตายมาได้ถึงสามปีแล้ว ทำอย่างไรจึงจะแก้ให้คืนกลับเป็นมาได้เล่า
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดชี้แจงดังนั้น จึงพูดว่า ถ้าดังนั้นก็เห็นจะแก้ไม่ได้
   โป๊ยก่ายยังไม่หายโกรธ พูดว่าอาจารย์ถูกเธอหลอกแล้ว ท่านลองภาวนาคาถาดูทีเธอจะแก้ได้หรือไม่ พระถังซัมจั๋งก็เชื่อจึงภาวนา เห้งเจียก็ปวดศรีษะนัยน์ตาทะเล้นออกมาเหลือจะทนได้ จึงร้องขอพระอาจารย์ว่า ท่านจงหยุดก่อน ข้าพเจ้าจะคิดอ่านแก้ไขให้จงได้ พระถังซัมจั๋งว่าจะแก้อย่างไร จงบอกให้เรารู้
(บทที่ ๓๙)
   เห้งเจียตอบว่า จะต้องไปหาพระยามัจจุราชเงียมกุน รับวิญญาณมาจึงจะแก้ได้ โป๊ยก่ายว่าพระอาจารย์อย่าเชื่อ เธอพูดว่าไม่ต้องไปหาเงียมกุนในมนุษย์โลกแก้จึงจะเห็นคุณ พระถังซัมจั๋งเชื่อฟังโป๊ยก่ายก็ยิ่งภาวนา เห้งเจียก็รับว่าจะรักษาในมนุษย์โลกนี้แหละ โป๊ยก่ายว่าพระอาจารย์อย่าหยุดภาวนาไปเถิด เห้งเจียด่าว่าอ้ายโป๊ยก่าย อ้ายสัตว์เดรัจฉาน มึงยุให้อาจารย์ภาวนาให้กูได้ความเจ็บ โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า พี่เห้งเจียแกซิรู้จักแกล้งข้าพเจ้า ๆ จะไม่รู้จักแกล้งแกบ้างหรือ เห้งเจียจึงพูดว่าอาจารย์จงหยุดเถิด รอให้ข้าพเจ้าไปหายามาแก้เถิด
   พระถังซัมจั๋งว่าจะไปหายาที่ใหน เห้งเจียบอกว่าจะไปหายาบนสวรรค์ คือจะไปหาท้ายเสียงเล่ากุน ขอยาวิเศษสักเม็ดหนึ่ง เรียกวิญญาณเข้ารูปได้ ก็จะฟื้นขึ้นยังเดิม พระถังซัมจั๋งจึงบอกว่า เห้งเจียจงรีบไปหายาเถิดอย่าได้ช้าเลย เห้งเจียว่าเวลานี้ก็ได้สามยามมาแล้ว จะไปมาก็พอสว่างพอดี คนก็กำลังนอนเงียบสงัด จะได้ใครร้องไห้ศพสักคนหนึ่งจึงจะดี โป๊ยก่ายว่าพี่เห้งเจียไม่ต้องพูด การร้องไห้เป็นธุระของข้าพเจ้าจะร้องเอง เชิญพี่ไปหายาเถิดอย่าเป็นห่วงเลย เห้งเจียพูดว่าไหนเจ้าลองร้องให้ข้าฟังเป็นตัวอย่างดูทีหรือจะได้หรือไม่ โป๊ยก่ายก็อ้าปากร้องไห้ไม่หยุดสะอึกสะอื้นคร่ำครวญดุจคนร้องไห้หน้าศพจริง ๆ 
   โป๊ยก่ายร้องจนผู้ฟังเกิดความสมเพศน้ำตาออก พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายคร่ำครวญก็เกิดสังเวชสลดจิตจนน้ำตาไหล เห้งเจียก็อดหัวเราะไม่ได้แล้วพูดว่า ร้องไห้อย่างนี้ดีแล้ว จงร้องไปอย่าหยุด แม้ว่าไม่ร้องจะเฆี่ยนยี่สิบที โป๊ยก่ายพูดว่าพี่จงไปเถิด พนักงานร้องไห้อยู่กับข้าพเจ้าเอง เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปยังประตูสวรรค์ น่ำทีหมึง ชั้นดุสิต เข้าไปยังวิมานท้ายเสียงเล่ากุน เดินเข้าไปในประตู เวลานั้นท้ายเสียงเล่ากุน กำลังปรุงยาอยู่ในห้องยา เห็นเห้งเจียเข้ามา ร้องสั่งสานุศิษย์ทั้งหลายว่าจงระวังยา อ้ายหัวขโมยยามาแล้ว
   เห้งเจียคำนับแล้วก็พูดว่า ข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ท้ายเสียงเล่ากุนถามว่า อ้ายลูกลิงทำไมไม่ไปตามพระถังซัมจั๋ง มาที่นี่มีธุระอะไรหรือ เห้งเจียจึงเล่าเหตุซึ่งพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กให้เล่ากุนฟังทุกประการ บัดนี้ข้าพเจ้ามาขอความกรุณา ขอยาวิเศษที่เรียกวิญญาณให้คืนได้สักพันเม็ด จะได้เอาไปแก้พระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กให้กลับเป็นมาตามเดิม
   เล่ากุนพูดว่ายาวิเศษจะขอไปพันเม็ดนั้นจะเอาไปกินเล่นต่างข้าวหรือ ยานั้นไม่มีจงไปเถิด เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า โปรดให้ทานสักร้อยเม็ดก็เอาเถิด ท้ายเสียงเล่ากุนพูดว่าไม่มีจงไปเถิด เห้งเจียก็ลุกขึ้นเดินออกไป เล่ากุนหวนคิดขึ้นมาว่าเห็นจะไม่ได้การ ด้วยอ้ายลิงตัวนี้ฝีมือดีตัวสำคัญ บอกให้ไปก็ไปเอาง่ายๆ ดังนี้ มันคงจะหวนกลับมาลักเอายาเป็นแน่ คิดเห็นดังนั้นแล้วก็เดินตามออกมา เรียกว่าเห้งเจียจงกลับมาก่อน เราจะให้ยาไปแต่สักหนึ่งเม็ด
   เห้งเจียพูดว่าท่านเล่ากุน แม้ว่ารู้ฝีมือข้าพเจ้าก็จงเอายามาให้เสียดี ๆ เล่ากุนก็เอาน้ำเต้ามาเทยาออก หยิบยาหนึ่งเม็ดส่งให้เห้งเจีย เห้งเจียรับยานั้นมาแล้วก็คำนับลาเล่ากุนออกจากประตูน่ำทีหมึง เหาะมายังวัดโป๊ลิ่มยี่ ก็ยังได้ยินเสียงโป๊ยก่ายร้องไห้อยู่ไม่หยุด เห้งเจียก็เข้ามายังหอธรรมร้องเรียกอาจารย์ พระถังซัมจั๋งถามว่าเห้งเจียมาแล้วหรือ ได้ยามาหรือไม่
   เห้งเจียบอกว่าได้มาแล้ว จึงร้องบอกโป๊ยก่ายว่าไม่ต้องร้องไห้แล้ว จงหลีกไปร้องที่อื่นเถิด แล้วเรียกซัวเจ๋งให้ไปตักน้ำมา ซัวเจ๋งก็เอาถ้วยแก้วไปตักน้ำที่บ่อมาส่งให้เห้งเจีย ๆ ก็คายยาออกจากปากวางลงในปากศพพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเอาน้ำกรอกลงไป ยาก็ลงไปในท้องบัดเดี๋ยวก็ได้ยินท้องร้อง แต่ร่างกายยังไหวติงไม่ได้ พระถังซัมจั๋งว่าตายมานานแล้วลมกำลังก็สิ้นเสียแล้ว อย่างนี้ถ้าได้ใครต่อลมจึงจะฟื้นได้ โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นจึงว่าข้าพเจ้าจะต่อให้ พระถังซัมจั๋งว่า ตัวกินสัตว์เมือกคาวยังมีอยู่ลมปากไม่สะอาด ให้เห้งเจียเขาต่อเถิด เพาะเขาบวชเรียนตั้งแต่เล็กมา กินแต่ผลไม้ลมก็สะอาดดี
   เห้งเจียนั่งก้มลงเอาปากจดกับปากศพพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เปิดปากออกเป่าลมเข้าไปในคอหอยลมก็แล่นลงไปกระทั่งท้องน้อย สักประเดี๋ยวมือและเท้าก็กระดิกได้ แลร้องเรียกพระอาจารย์คำหนึ่ง ก็ผุดลุกขึ้นคุกเข่าอยู่กับพื้นพูดว่าเมื่อคืนวานนี้ยังจำได้ว่า จิตยังเป็นผีมานะมัสการท่าน วันนี้กลับคืนเป็นอย่างมนุษย์โลกแล้ว พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็เข้าพยุงประคองให้ลุกขึ้น เชิญให้นั่งที่อันสมควรแล้ว
   ฝ่ายพระสงฆ์ในวัดจัดของแจมาถวายพระถังซัมจั๋งเวลาเช้า แลไปเห็นพระเจ้าแผ่นดินก็พากันตกใจมีความสงสัย เห้งเจียจึงเดินออกไปบอกว่าท่านทั้งหลายอย่ามีความสงสัยเลย นี่คือพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก เป็นเจ้านายของท่านทั้งหลาย เมื่อสามปีก่อนปีศาจมันฆ่าตาย เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าช่วยชีวิตกลับคืนมาได้วันนี้จะเข้าไปในเมือง ชำระให้รู้เท็จและจริง แม้มีเครื่องแจขอให้พวกข้าพเจ้ากินสักมื้อหนึ่ง จะได้เข้าไปในเมือง พวกพระสงฆ์เมื่อได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ก็จัดเครื่องแจมาเลี้ยง เห้งเจียจึงบอกให้เจ้าเมืองถอดเครื่องสำหรับกษัตริย์นั้นออกเสีย ขอผ้าขาวสมภารมาสองผืนผลัดนุ่งห่มเป็นตาปะขาวดาบส
   เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่าท่านแต่งตัวดังนี้ตามพวกข้าพเจ้าเข้าไปในเมือง
   พระเจ้าแผ่นดินคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า ท่านเปรียบประดุจบิดามารดาบังเกิดข้าพเจ้ามาใหม่ ท่านไปไหนข้าพเจ้าจะขอติดตามท่านไปกว่าจะหาชีวิตไม่ เห้งเจียว่าท่านไม่ต้องไป เมื่อไปในเมืองกำจัดปีศาจแล้ว ท่านจะได้อยู่รักษาบ้านเมืองและราษฎรต่อไป พวกข้าพเจ้าก็จะขอลาไปไซที พูดดังนั้นแล้วก็พร้อมกันออกจากวัด ตรงมายังเมืองโอเกยก๊ก
   ฝ่ายพระสงฆ์ในวัดห้าร้อยรูป ก็เดินตามออกมาส่งจนสิ้นเขตอาวาส เห้งเจียจึงพูดแก่พระสงฆ์ทั้งหลายว่า ขอท่านทั้งหลายจงกลับยังกุฎิวิหารเถิด อย่าติดตามมาให้อื้อฉาวเลยจะทำให้เสียการไป จงรักษาแต่เครื่องของพระมหากษัตริย์ไว้ให้จงดี เมื่อข้าพเจ้ากำจัดปีศาจแล้ว ท่านทั้งหลายจึงค่อยนำมาถวายเถิด ข้าพเจ้าจะได้เสนอความชอบให้แก่ท่านทั้งหลาย พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็พากันกลับวัดทั้งสิ้น
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์เดินมาได้ครึ่งวันก็ถึงเมืองโอเกยก๊ก ครั้นเดินเข้าไปใกล้กำแพงเมือง เห้งเจียจึงเชิญให้อาจารย์ลงจากม้าแล้ว ห้าคนก็พากันเดินเข้าไปในเมือง ครั้นถึงประตูพระราชวังเห้งเจียบอกแก่ขุนนางกรมวังว่า พวกข้าพเจ้าอยู่เมืองใต้ถัง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้ไปประเทศไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บัดนี้มาถึงนี่จะขอประทานเปลี่ยนหนังสือเดินทาง ขอท่านเจ้าพนักงานได้นำความขึ้นกราบทูลให้ทรงทราบ อันกุศลก็จะมีแก่ท่านด้วย พวกขันทีก็นำความขึ้นกราบทูลทรงทราบแล้ว จึงรับสั่งให้นำเข้าไปเฝ้า พวกขันทีจึงออกมาพาพระถังซัมจั๋งกับศิษย์เข้าไปเฝ้า
   ครั้นถึงหน้าพระที่นั่ง เห็นขุนนางข้าราชการข้ายขวา ยืนเฝ้าอยู่ตามหน้าที่เป็นลำดับ เห้งเจียจึงนำพระถังซัมจั๋งมายืนอยู่ข้างหน้าไม่สะดุ้งหวาดหวั่น พวกขุนนางแลเห็นดังนั้น ต่างก็ตกใจทุก ๆ คนแล้วพูดว่า พระสงฆ์ป่าดงอะไรที่ไหนมาก็ไม่รู้ เข้าเฝ้าเจ้านายก็ไม่มีความเคารพคารวะอย่างนี้ ขุนนางเหล่านั้นพูดยังไม่ทันขาดคำ พญามารก็ถามว่า พระสงฆ์เหล่านี้อยู่ที่ไหน เห้งเจียทำหน้าชื่นพูดว่า พวกข้าพเจ้าอยู่เมืองใต้ถังอันเป็นพระมหานครใหญ่ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ รับสั่งให้ไปเมืองไซที อาราธนาพระธรรม บัดนี้มาถึงเมืองนี้จะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทางตามธรรมเนียม
   พญามารว่าหนังสืออยู่ที่ไหนจงเอามาดู เห้งเจียจึงเอาหนังสือส่งขึ้นไปถวาย พญามารรับแล้วคลี่ออกอ่าน ถามว่าเดินออกจากเมืองแต่คนเดียวมาตามทางได้ศิษย์อีกสามคน รวมเป็นสี่คนด้วยกัน ก็อีกคนหนึ่งนั้นทำไมไม่มีในหนังสือดูน่าสงสัย คนนั้นคือชื่อแซ่อะไร แลอยู่ที่ไหนจีบมาดูทีหรือ เจ้าเมืองโอเกยก๊กได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จนตัวสั่นสิ้นสติถามเห้งเจียว่าจะทำอย่างไรดี เห้งเจียจึงมาจับมือพูดว่าท่านอย่ากลัว ข้าพเจ้าจะรับแทนท่านเอง เห้งเจียจึงเดินขึ้นมาข้างหน้า บอกว่าคนนั้นเป็นใบ้พูดไม่ออก หูก็หนวกไม่ได้ยินเสียงพูด ยันการร้ายดีมูลเหตุของคนนั้น ข้าพเจ้าทราบได้ทั้งสิ้น สามารถจะชี้แจงแทนได้ทุกประการ 
   พญามารพูดว่า ถ้ากระนั้นจงชี้แจงตามความจริงจะได้ไม่ต้องถือโทษโกรธขึง เห้งเจียจึงพูดว่า คนนั้นตั้งแต่เล็กมาจนแก่ หูหนวกเป็นใบ้ จิตใจซึมเซอะบ้านเรือนเคหาก็ป่นปี้ บ้านเกิดเมืองเดิมอยู่ตำบลนี้ เมื่อห้าปีก่อนก็ทรุดโทรมแห้งแล้งไม่มีฝน ชาวชนทั้งหลายได้รับความเดือดร้อนอดอยาก ครั้งนั้นมีอาจารย์ (ช่วนจิน) มาจากเขาเจงน่ำซัว มีวิชาเรียกลมเรียกฝนได้ ต่อมาช่วนจินเอาคนนั้นผลักลงบ่อแล้ว ชิงเอาราชสมบัติมาจนเท่าบัดนี้ได้สามปีแล้ว ข้าพเจ้าได้ช่วยเป็นกำลังแก้ไขตายแล้วให้กลับเป็นขึ้น จะมาที่ประสาทกิมหลวนเต้ยนี้ เพื่อจะใคร่รู้เท็จจริง จับปีศาจมารร้ายฆ่าเสียแล้ว จะได้ยกขึ้นครองราชสมบัติไปตามเดิม
   เมื่อปีศาจมารร้ายได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น มีความสะดุ้งตกใจกลัวสีหน้าเผือดสลดลงทันที ลุกจากที่เดินมาชักเอาเกี่ยมที่ขุนนางนายทหารออกอันหนึ่งได้แล้ว ก็เหาะหนีขึ้นไปยังอากาศ ซัวเจ๋งโกรธร้องดุจเสียงฟ้าลั่น โป๊ยก่ายก็เคืองเห้งเจียว่า เพราะพูดเอาเรื่องเหล่านั้นมาให้มันรู้ มันจึงร้อนใจอยู่มิได้ จึงดั้นเมฆหนีไป เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พี่น้องทั้งหลายอย่าพูดวุ่นวายไป จงให้เชิญไท้จื๊อมาคำนับพระราชบิดาก่อน แล้วให้เชิญฮ่องเฮ้าสนมนางในออกมารับพระราชสามี แลให้ขุนนางทั้งหลายมาคำนับเจ้าเดิมของตนแล้ว จึงค่อยคิดจับปีศาจ ซัวเจ๋งก็จัดการตามสั่งทุกประการ
   ฝ่ายเห้งเจียก็รีบเหาะขึ้นกลางอากาศ แลไปทั่วทั้งแปดทิศ ก็เห็นปีศาจหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เห้งเจียก็รีบเหาะตามไป ครั้นใกล้ก็ตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายมารร้ายมึงจะหนีไปข้างไหน ซึงเห้งเจียมาแล้ว
   ฝ่ายช่วนจินมือถือเกี่ยมหันหน้ากลับมาพูดด้วยเสียงอันดังว่า แม้เราชิงราชสมบัติก็เป็นของผู้อื่นมิใช่ของเจ้า เรียกว่ามิใช่การของตัวเลย เหตุไฉนเจ้าจึงจะมากั้นกางกีดขวางเราเล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายมารร้ายมึงช่างตับใหญ่ทำไมไม่นั่งเมืองอยู่เล่า จะหนีกูไปข้างไหนมึงจงมาลองกินกระบองดูสักทีเถิด จะได้รู้รสชาติไว้ว่าจะหวานมันประการใด ช่วนจินได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้นก็โกรธ ถือเกี่ยมตรงเข้ามาฟันเห้งเจีย ๆ ยกกระบองขึ้นรับ ต่อสู้กันได้สองสามเพลงปีศาจทานกำลังเห้งเจียไม่ได้ ก็ล่าถอยหนีกลับเข้าในเมืองไปยังหน้าพระที่นั่ง แล้วแปลงกายเป็นพระถังซัมจั๋งยืนอยู่หน้าบัลลังค์แก้ว
   เห้งเจียก็ไล่ติดตามมาจะตีด้วยกระบอง อ้ายปีศาจแปลงร้องว่าเห้งเจียอย่าตีอาตมาเองดอก เห้งเจียชักกระบองจะตีพระถังซัมจั๋ง ๆ ก็ร้องว่าเห้งเจียอย่าตีอาตมาเองดอก มีถังซัมจั๋งปลอมแลถังซัมจั๋งจริง สองคนดังนี้ก็ย่อมเป็นที่ฉงน เห้งเจียไม่รู้ที่จะทำประการใด จึงร้องเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมาถามว่า คนไหนเป็นปีศาจแน่ คนไหนอาจารย์ของเราเจ้ารู้จักหรือไม่
   โป๊ยก่ายพูดว่าก็พี่ไล่ติดตามมาข้าพเจ้าเหมือนคนตามืดเห็นมีสองคนอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าคนไหนปีศาจ คนไหนอาจารย์ของเรา เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงร่ายพระคาถาเรียกเทพารักษ์ก็มาในทันใดนั้น เห้งเจียจึงถามว่าข้าพเจ้าจับปีศาจ ๆ มันกลับแปลงเหมือนพระอาจารย์ยากที่จะรู้ได้ แม้ว่าท่านทั้งหลายเห็นจงเชิญอาจารย์ขึ้นบนแท่นข้าพเจ้าจะได้จับปีศาจ
   ฝ่ายปีศาจช่วนจินครั้นได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น ก็รีบขึ้นแท่นก่อน เห้งเจียยกกระบองจะตีพระถังซัมจั๋ง พวกเทพารักษ์ก็เข้ากั้นไว้บอกว่าใต้เซีย ปีศาจมันขึ้นแท่นก่อนแล้ว เห้งเจียไล่ขึ้นไปปีศาจก็กระโดดลงจากแท่น มาจับพระถังซัมจั๋งชุลมุนอยู่ในหมู่คน เห้งเจียในใจให้ร้อนรน โป๊ยก่ายยืนหัวเราะอยู่แล้วพูดว่า พี่เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าเป็นหมู พี่ก็เหมือนข้าพเจ้าเหมือนกันอันอาจารย์นั้นยากที่จะรู้ได้ ทำไมพี่ไม่จำที่ปวดหัวนั้นเล่า พี่จงเรียกอาจารย์ให้ภาวนา ถ้าปีศาจไม่รู้ก็จะภาวนาบ้างอย่างนี้ก็จะไม่ยากอะไรเลย
   เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงหันหน้ามาพูดแก่พระอาจารย์ว่า ขอพระอาจารย์จงภาวนาคาถาให้ข้าพเจ้าดูที พระถังซัมจั๋งก็ภาวนาเห้งเจียก็ปวดศรีษะ ปีศาจเห็นดังนั้นก็ภาวนาบ้างปากบ่นพึมพำเห้งเจียก็ไม่เป็นไร โป๊ยก่ายจึงร้องว่าอ้ายบ่นพึมพำนั้นแลปีศาจแล้ว โป๊ยก่ายก็ชักคราดมาสับลงที่ปีศาจ ๆ ก็เหาะขึ้นบนเวหาหนีไป โป๊ยก่ายร้องตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วก็ขึ้นตามไปบนเวหา ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็จับพลองไล่ตามขึ้นไปซ้ายขวาช่วยกันระดมตี เห้งเจียหัวเราะว่าเราจะเข้าประจันหน้ามันก็จะหนีไป จำเราจะขึ้นบนสูงก่อนแล้วกระแทกลงมาจึงจะดี
   คิดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นไปบนสูงกว่าโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง จะใคร่เอากระบองกระแทกลงที่ศรีษะปีศาจ แลไปข้างทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เห็นคนอยู่ในกลบเมฆ ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่าเห้งเจียอย่าเพิ่งลงมือ เห้งเจียแลเห็นพระโพธิสัตว์บุญซู้ เห้งเจียก็เก็บกระบองเสียพนมมือ คำนับถามว่าพระโพธิสัตว์จะไปข้างไหนมา พระบุญซู้ตอบว่าอาตมาจะมาช่วยจับปีศาจ จึงเอากระจกออกจากมือเสื้อ ส่องตรงปีศาจ ปีศาจก็หนีไปไม่ได้ เห้งเจียแลดูในกระจกเห็นรูปร่างดุร้ายจึงถามพระโพธิสัตว์ว่า สิงห์โตตัวนี้ของท่านสำหรับขี่หรือทำไมจึงหนีมาได้
   พระโพธิสัตว์บอกว่าไม่ใช่เธอจะหนีเอง พระเป็นเจ้าใช้มาเพื่อลงโทษเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก ด้วยเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก มีจิตศรัทธารักษาศีลกินแจ พระเจ้าให้อาตมาแนะนำเพื่อให้เธอสำเร็จซึ่งมรรคผล อาตมาแปลงเป็นพระสงฆ์ปุถุชนมาบิณฑบาตข้าวแจ ถามเธอสองสามคำที่เธอไม่พอใจ เธอโกรธก็จับเอาอาตมภาพมัดแช่น้ำไว้ที่หน้าตำหนักแพสามวันสามคืน เพราะฉะนั้นพระเป็นเจ้าจึงได้ใช้ให้สิงห์โตตัวนี้มา มาลงโทษเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กให้สิ้นเวรสิ้นกรรม บัดนี้ท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ได้สำเร็จความคิดแล้ว
   เห้งเจียถามว่า อันทรมานเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กนั้นก็เป็นอันสมควรว่าสิ้นเวรกรรมแล้ว แต่ข้อนี้ผิดประเวณีแก่ฮ่องเฮ้าแลสาวสนมนั้นจะไม่มีโทษส่วนหนึ่งหรือ พระโพธิสัตว์ว่า ส่วนนั้นไม่เป็นไร เพราะเธอเป็นสิงห์โตมา เห้งเจียว่าถ้าดังนั้น ขอพระโพธิสัตว์ได้เรียกกลับคืนไปเถิด พระโพธิสัตว์บุญซู้จึงร้องเรียกว่าอ้ายสัตว์ยังไม่กลับไปหรือ ปีศาจก็แปลงเป็นรูปเดิม พระโพธิสัตว์เอาดอกบัววางสะกดไว้แล้ว ขึ้นบนหลังแล้วก็บันดาลเป็นแสงสว่างเหาะไปยังเขาเง่าท้ายซัว ฝ่ายเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งทั้งสาม เห็นพระโพธิสัตว์กลับไปแล้ว ก็พากันเหาะกลับลงมาเข้าในพระราชวังใน