Translate

14 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 39 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๕๐) ในฤดูนั้นเป็นฤดูหนาวจัดลมพัดกล้า น้ำค้างหมอกลงกลุ้มทั้งป่า อาจารย์กับศิษย์กำลังเดินมา แลไปข้างหน้าก็เห็นภูเขาใหญ่ขวางอยู่ หนทางก็แคบเดินลำบากไม่เรียบราบ พระถังซัมจั๋งชักบังเหียนม้าหยุด เรียกเห้งเจียมาถามว่า ดูข้างหน้านั้นมีภูเขาสูง อาตมาวิตกว่าจะมีสิงสาราสัตว์ ร้ายดอกกระมัง จงเอาใจใส่ช่วยกันระวังให้จงดี เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์จงวางใจเถิด พวกพี่น้องข้าพเจ้าพร้อมใจกันจะตั้งจิตตามทางอันชอบธรรม จะกลัวเกรงอะไรแก่สิงสาราสัตว์ที่ดุร้าย
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ค่อยคลายความวิตกตั้งหน้าอุตส่าห์บุกน้ำค้างทนหนาวมิได้คิดที่จะท้อถอย ครั้นข้ามยอดเขาลงมาถึงเชิงเขา พระถังซัมจั๋งแลไปในซอกเขา เห็นมีตึกสามห้องหอสูงตระหง่านดูงดงามสะอาดตา พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ดีใจ จึงเรียกเห้งเจียมาพูดว่า อาตมภาพเดินมาวันนี้ทั้งหนาวทั้งหิวอกใจให้ระอาอ่อนไม่มีกำลัง ในซอกเขานั้นเห็นมีตึกบ้าน​ห้องหอเป็นลำดับคงจะเป็นบ้านคนอยู่ หรือวัดวาอารามเป็นแน่ เห้งเจียลองไปบิณฑบาตบางทีจะได้บ้างดอกกระมัง จะได้มาฉันพอแก้หิวแล้วจะได้เดินต่อไป เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็แลไปดูในที่แห่งนั้น ก็เห็นมีขี้เมฆสีร้ายกลุ้มปกอยู่ข้างบน สลับซับซ้อนกันเป็นกลุ่ม ๆ ดังนั้น จึงหันหน้ามาบอกแก่อาจารย์ว่า ที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ดี หากจะมีสิ่งร้ายสำคัญ พระถังซัมจั๋งว่าเห็นมีเป็นตึกรามห้องหอดูงดงาม เหตุใดเห้งเจียจึงว่าที่ไม่ดี
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พระอาจารย์ที่ไหนจะรู้ได้ หนทางไซทีนั้น ปีศาจ ยักษ์ร้ายมักจะบันดาลให้เห็นเป็นตึกรามห้องหอ ที่ตรงนั้นดูงดงามแต่อากาศร้ายปกคลุมอยู่ ไม่ควรเราจะเข้าไปเลย
   พระถังซัมจั๋งว่าจะเข้าไปได้ก็ชอบแล้ว แต่อาตมภาพหิวนักจะทำอย่างไรดี เห้งเจียว่าแม้อาจารย์หิวโหย จงนิมนต์ลงจากหลังม้านั่งพักก่อน ข้าพเจ้าจะไปบิณฑบาตที่อื่นมา ฉันแล้วจึงค่อยไป พระถังซัมจั๋งก็เชื่อเห้งเจียลงจากหลังม้าอาศัยนั่งยังพื้นราบ ซัวเจ๋งจึงแก้เอาบาตรส่งให้เห้งเจีย ๆ รับบาตรมาแล้วสั่งซัวเจ๋งว่า น้องอย่าไปข้างไหน จงระวังระไวพระอาจารย์ให้มาก ๆ ให้อาจารย์นั่งอยู่ตรงนี้ คอย กว่าเราจะกลับจึงค่อยไป ซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียสั่งดังนั้นก็คอยระวังรักษาอาจารย์ ฝ่ายเห้งเจียสั่งแล้วก็ยังไม่วางใจดี จึงหันหน้ามาบอกแก่อาจารย์ว่า ที่ตรงนี้ร้ายมากดีน้อย พระอาจารย์อย่าได้ออกจากที่นี้​ไปเลย ข้าพเจ้าวิตกกลัวแต่พระอาจารย์จะไม่ยุติอยู่ได้ ข้าพเจ้าจะช่วยทำยันต์คุ้มไว้ให้
เห้งเจียพูดดังนั้นแล้ว ก็จับตะบองเขียนลงที่แผ่นดินเป็นยันต์วงรอบ วงหนึ่ง เขียนแล้วจึงนิมนต์อาจารย์เข้านั่งในกลางวงยันต์ แล้วสั่งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งให้นั่งเฝ้าอยู่ซ้ายขวา แล้วเห้งเจียจึงบอกแก่อาจารย์ว่า อันวงล้อมนี้มั่นคงยิ่งกว่ากำแพงเหล็ก หากว่าจะมี ผี ปิศาจยักษ์ร้าย และสิงสาราสัตว์ที่ดุร้ายก็ไม่อาจสามารถจะเข้ามาใกล้ แต่อาจารย์อย่าได้ออกจากวงนี้เป็นอันขาด จงนั่งอยู่แต่ในวงนี้ให้สบาย
   พระถังซัมจั๋งฟังเห้งเจียสั่งดังนั้น ก็นั่งอยู่ในวงยันต์มิได้ไปข้างไหน เห้งเจียเห็นเรียบร้อยดีแล้วก็ปาฎิหารย์ไปบิณฑบาตเหาะตรงไปยังทิศอาคเนย์ แลไปก็เห็นมีต้นพฤกษาสูงใหญ่ตระหง่านที่ข้างนั้นมีหมู่บ้าน เห้งเจียก็ลดลงยังพื้นดินเดินไปพิจารณาดูภูมิบ้านได้ยินเสียงคนเปิดประตูเดินออกมา เห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งมือถือไม้ เท้าเงยหน้าขึ้นบนฟ้าพูดว่า วันนี้ลมหนาวพัดกล้าพรุ่งนี้ก็จะหยุด พูดยังไม่ทันจะสิ้นคำ เห็นสุนัขตัวหนึ่งวิ่งออกมาเห่าเห้งเจีย ตาเฒ่าเห็นสุนัขเห่าจึงหันไปดู เห็นเห้งเจียยืนถือบาตรอยู่ เห้งเจียจึงร้องบอกตาเฒ่านั้นว่า ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของพระถังซัมจั๋งมีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้ไปไซทีอาราธนาพระธรรม บัดนี้มาถึงตำบลนี้ท่านอาจารย์หิวโหย ขอท่านได้ทำบุญมากน้อยตามจะศรัทธา
   ฝ่ายตาเฒ่าเมื่อได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น จึงบอกว่าอย่าบิณฑบาตเลย ตัวเดินทางผิดเสียแล้ว ทางไปไซทีกับจะมาถึงที่นี่ไกลหลายร้อยโยชน์ทำไมจึงไม่ไปทางโน้นตามทางใหญ่ เห้งเจียพูดว่าก็จริงเหมือนท่านตาพูด แต่อาจารย์ข้าพเจ้านั่งคอยอยู่ที่ทางใหญ่ ตาเฒ่าพูดว่าเป็นชีบานาสงฆ์ถือทางพระ ทำไมจึงพูดจาเลอะเทอะอย่างนี้ ที่ว่าอาจารย์ตัวนั่งอยู่ที่ทางใหญ่ ตัวมาบิณฑบาตหนทางเดินไกลถึงหกเจ็ดวันจึงจะถึง ถ้ากระนั้นอาจารย์จะมิอดตายหรือ เห้งเจียว่าข้าพเจ้าไม่ปิดบังท่านตาข้าพเจ้าจากอาจารย์มา น้ำร้อนที่รินใส่ถ้วยยังไม่ทันเย็นก็มาถึงนี่ บัดนี้บิณฑบาตได้แล้วกลับไปก็ทันเวลาเพล
   ตาเฒ่าได้ฟังดังนั้นจ้งพูดว่าคนนี้เห็นจะเป็นผีปีศาจยักษ์ พูดดังนั้นแล้วก็หันหน้าจะวิ่งกลับเข้าบ้าน
   เห้งเจียก็วิ่งมายึดไว้ถามว่าจะไปไหน มีอาหารก็จงรีบเอามาทำบุญเถิด ตาเฒ่าบอกว่าข้าไม่ปลงใจศรัทธา ในบ้านข้าหกเจ็ดปากกินอยู่ด้วยกันพึ่งเอาข้าวสารใส่หม้อตั้งยังไม่ทันสุก ตัวไปที่อื่นก่อนแล้วจึงค่อยมา เห้งเจียพูดว่าโบราณท่านย่อมว่าไปสามบ้านสู้บ้านเดียวไม่ได้ ข้าพเจ้าจะคอยอยู่ที่นี่กว่าเข้าจะสุกก็ได้ ตาเฒ่าเห็นเห้งเจียพูดรีบรัดข้างจะเอาดังนั้นจึงยกไม้เท้าขึ้นจะตี เห้งเจียก็ไม่สะดุ้งหวาดอะไรยืนนิ่งอยู่ ตาเฒ่าก็ตีศรีษะเห้งเจียเจ็ดแปดที เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าตามแต่ท่านตาจะตีอย่างไรก็ตีเถิด แม้ตีข้าพเจ้าทีหนึ่งจะคิดเอาข้าวทะนานหนึ่งท่านตาจะต้องคิดตวงมาให้ข้าพเจ้า ตาเฒ่าได้ยินดังนั้นก็ทิ้งไม้เท้าวิ่งหนี​เข้าไปในบ้านปิดประตูร้องว่ามีผีมา มีผีมา คนทั้งบ้านก็พากันตกใจไปทุกคน ก็พากันปิดประตูทุก ๆ ประตู
   เห้งเจียเห็นปิดประตูทุกประตูก็นึกแต่ในใจว่า ตาเฒ่าคนนี้พูดว่าพึ่งซาวข้าวใส่หม้อจะจริงเท็จก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องเข้าไปดูให้รู้แน่ คิดดังนั้นแล้วก็ร่ายพระคาถาบังตัวแอบเข้าไปในครัวไฟ เห็นในกะทะควันขึ้นร้อน ๆ เข้าก็สุกครึ่งกะทะเห้งเจียเอาบาตรลงตักทีหนึ่งเต็มแล้วก็ปาฏิหารย์กลับไป
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งนั่งอยู่ในวงยันต์ คอยเห้งเจียอยู่เป็นนานก็ยังไม่เห็นมา จึงขยับตัวบ่นว่าอ้ายลูกลิงมันไปบิณฑบาตที่ไหนก็ไม่รู้ป่านนี้ยังไม่มา โป๊ยก่ายว่าจะรู้ว่าเธอไปข้างไหน เที่ยวเล่นตามสบายใจทิ้งให้เราตากน้ำค้างอยู่ดังนี้ พระถังซัมจั๋งถามว่าทำไมโป๊ยก่ายจึงถูกจำ โป๊ยก่ายว่าอาจารย์ยังไม่รู้คนโทษถ้ามีโทษเขาเขียนวงจำไว้ ไม่ให้ไปข้างไหน เธอว่าวงนี้มั่นคงนั่งลอย ๆ อยู่ดังนี้ หากมีสิงสาราสัตว์มาจะเอาอะไรคุ้มได้ ถ้าดังนี้ก็ส่งเนื้อให้มันกินเสียง่าย ๆ ก็แล้วกัน พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดหารือแก่โป๊ยก่ายว่า ตัวเห็นอย่างไรก็จงคิดดู โป๊ยก่ายพูดว่าความเห็นของข้าพเจ้าเห็นว่านั่งอยู่ที่นี้จะหาที่บังลมกันหนาวก็ไม่ได้ สู้เดินไปข้างหน้าไม่ได้บางทีพี่เห้งเจียบิณฑบาตกลับมาทางนั้นจะปะกัน นั่งคอยอยู่ที่นี่ก็จะเกิดหนาวมากขึ้น
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็คิดเห็นชอบไปด้วย จึงพา​กันออกจากวงนั้นแล้วก็ไปทางทิศตะวันตกเดินไป เดินมาประเดี๋ยวก็มาถึงที่ห้องหอนั้น มีประตูใหญ่อยู่ข้างหน้าก่อทำประดับมีสีต่าง ๆ ที่ประตูเปิดบานหนึ่งปิดบานหนึ่ง โป๊ยก่ายก็จูงม้าเข้ามายังประตู ซัวเจ๋งก็เอาหาบวางลง พระถังซัมจั๋งก็นั่งพักอยู่ที่ประตู โป๊ยก่ายพูดกับอาจารย์ว่า ที่บ้านนี้เห็นจะเป็นบ้านขุนนางผู้ใหญ่ดูไม่เห็นมีคน เห็นคนจะอยู่ข้างในผิงไฟดอกกระมัง
   พระอาจารย์นั่งอยู่นี่กับซัวเจ๋งก่อนข้าพเจ้าจะเข้าไปดูข้างใน พระถังซัมจั๋งว่าจะเข้าไปก็ดูให้เรียบร้อย อย่าไปทำให้เสียธรรมเนียม โป๊ยก่ายพูดว่าข้าพเจ้าเข้าใจตั้งแต่ข้าพเจ้าเข้าในทางพระ ทำนุ๊กธรรมเนียมก็รู้มาก ไม่เหมือนอย่างพวกฆราวาส พูดดังนั้นแล้วก็เอาคราดเหล็กเหน็บหลัง จัดแจงแต่งตัวแล้วก็เดินเข้าไปในประตูพิจารณาดูไปข้างหน้านั้น เห็นมีตึกหลังหนึ่งสามห้องมีมู่ลี่แขวนบังห้อยอยู่ดูเงียบสงัดไม่เห็นมีคน โป๊ยก่ายก็เดินต่อเข้าไปข้างใน ก็เห็นมีหอสูงประตูหน้าต่างแง้มเปิดครึ่งหนึ่ง มองขึ้นไปชั้นบนก็เห็นมีม่านแพรสีต่าง ๆ กั้นอยู่ ประดับประดางามตาแต่เงียบสงัดไม่ได้ยินเสียงผู้คน โป๊ยก่ายนึกแต่ในใจว่า เห็นจะเป็นคนกลัวหนาวนอนยังไม่ตื่น
ตอน ผจญปิศาจควายจอมพลังกับของวิเศษไร้เทียมทาน
   คิดดังนั้นแล้วก็ตรงขึ้นไปบนหอ เอามือผลักประตูออกดู โป๊ยก่ายแลเห็นกระดูกคนกองอยู่เป็นกองใหญ่ก็ตกตะลึงล้มลง น้ำตาก็ร่วงเผาะผอย แลเข้าไปในม่านเห็นแสงไฟอันแจ่มโป๊ยก่ายนึกว่าเห็นจะมีคนเฝ้าจุดธูปเทียน โป๊ยก่ายเดินเข้าไปในม่านก็เห็นมีโต๊ะตั้งอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะนั้นมีเสื้อแพรปักไหมทอง โป๊ยก่ายหยิบขึ้นดูเห็น​งามดี ก็เอาเสื้อตัวนั้นเดินออกมาจากหอ ออกมายังประตูชั้นนอกพูดแก่อาจารย์ว่าในนั้นไม่มีคน เป็นที่เขาบูชาคนตาย ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปบนหอพิจารณาดู ก็เห็นมีแต่กระดูกคนเป็นกองใหญ่ บนโต๊ะมีเสื้อปักไหมทองอยู่ตัวหนึ่ง ข้าพเจ้าเอามา พวกเราเดินทางหนาวมากอาจารย์จงเปลื้องจิวรออกเอาเสื้อตัวนี้ใส่ชั้นในอุ่นดีกันหนาวได้
   พระถังซัมจั๋งว่า ไม่ควรไม่ควร ในสิกขาห้ามปรามสิ่งของอย่างนี้เราจะถือเอาไม่ได้ จะเป็นโทษ โป๊ยก่ายจงรีบเอาไปวางไว้เสียตามเดิม พวกเรานั่งคอยเห้งเจียมาแล้วจะได้พากันไป โป๊ยก่ายว่าไม่มีคนเห็นจะกลัวอะไร ใครจะมาโจทย์ว่าเราเป็นขโมยได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่า ตัวไม่เคยฟังหรือทำการอยู่ในห้องลับก็จริง แต่ยังมีเจ้ารู้แจ้ง อย่ามักได้สิ่งของที่ไม่บริสุทธิ์ โป๊ยก่ายถึงได้ฟังพระอาจารย์ห้ามปรามดังนั้นก็อย่าพึงนึกว่าจะเชื่อฟัง จึงตอบอาจารย์ว่าแม้ท่านไม่ประสงค์ ข้าพเจ้าจะเอาไว้ใส่กันหนาว รอพี่เห้งเจียบิณฑบาตกลับมาแล้วจึงค่อยคืนก็ได้
ซัวเจ๋งพูดว่า ถ้าดังนั้นก็ให้ข้าพเจ้าใส่กันหนาวตัวหนึ่ง โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็พากันถอดเครื่องของตัวออกแล้ว จึงเอาเสื้อปักนั้นแบ่งกันไส่คนละตัว ครั้นใส่เสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร กำลังยืนอยู่ดีดีก็หกล้มลง โป้ยก่ายซัวเจ๋งครั้นใส่แล้ว ก็ตรึงมัดมือแลเท้าออกแน่นจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่หลุดไม่ออก พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบมาถอดเสื้อให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ก็ถอดไม่ออกบัดเดี๋ยวก็จับมืองอติดกับอก พระถังซัมจั๋งจึงบ่นว่าคนทั้งสองไม่เชื่อฟัง โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ร้องอึกกะทึงเสียงดัง
   ​ปิศาจครั้นได้ยินเสียงร้อง ก็วิ่งออกมามองดูเห็นทั้งสองต้องมัดอยู่แล้ว จึงเรียกปีศาจน้อยให้ออกไปเก็บตึกรามห้องหอเหล่านั้น แลจับถังซัมจั๋งกับม้าและโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเอาเข้ามาในถ้ำ ครั้นแล้วปีศาจใหญ่ก็ขึ้นนั่งบนแท่น เห็นปิศาจน้อยจับถังซัมจั๋งเข้ามาคุกเข่าลงกับพื้น ปีศาจจึงถามว่าตัวเป็นสงฆ์อยู่ที่ไหนมา ทำไมจึงสามารถเวลากลางวันแสก ๆ ลักขโมยเสื้อของเราดังนี้
   พระถังซัมจั๋งร้องไห้แล้วตอบว่า อาตมภาพอยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งให้อาตมภาพไปอาราธนาพระธรรมยังเมืองไซที เพราะอาตมภาพมีความหิวโหย จึงให้สานุศิษย์ใหญ่ไปบิณฑบาตก็ยังหากลับมาไม่ อาตมภาพก็ไม่เชื่อฟังเธอสั่ง จึงเดินมาถึงที่นี่แอบลมหนาว ก็บังเอิญเจ้าทั้งสองคนนั้นมีความมักได้ เอาเสื้อออกมาใส่กันหนาว จึงต้องถึงให้ใต้อ๋องจับมา ขอใต้อ๋องได้กรุณาปล่อยอาตมภาพไปอาราธนาพระธรรม พระเดชพระคุณของใต้อ๋องจะอยู่แก่ข้าพเจ้าชั่วพระจันทร์ พระอาทิตย์ไม่มีเวลาลืม ปีศาจได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า เราอยู่ตำบลนี้ได้ยินข่าวเล่าลือกันเนือง ๆ ว่า ถ้าผู้ใดได้กินเนื้อถังซัมจั๋งก้อนหนึ่ง ผมขาวกลับดำ ฟันหักกลับงอก วันนี้ไม่เชิญก็มาเอง ยังจะหมายให้เราปล่อยอีกหรือ ที่ว่าสานุศิษย์ใหญ่นั้นชื่อเรียงเสียงไรไปบิณฑบาตตำบลไหน
   โป๊ยก่ายได้ฟังปีศาจถามดังนั้น ก็พูดอวดแก่ปีศาจว่า พี่ข้าพเจ้าคือเมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้น ได้ขึ้นไปบนสวรรค์​ทำสงครามแก่เทพบุตรนามเรียกว่าซีเทียนใต้เซีย หรือซึงหงอคงก็เรียก ปีศาจได้ฟังดังนั้นก็ครั่นคร้าม จึงคิดในใจว่า เราเคยได้ยินเลื่องลือชื่อเสียงว่าเธอมีฤทธากล้าหาญมาก บัดนี้ไม่ได้นัดบังเอิญมาปะกันเข้า คิดดังนั้นแล้วจึงสั่งพวกปีศาจให้มัดถังซัมจั๋งไปขังไว้ก่อน และจับอ้ายทั้งสองนั้นถอดเสื้อออกเสียก่อน แล้วมัดเอาไปขังไว้แห่งเดียวกัน คอยจับอ้ายคนใหญ่มาแล้ว จึงค่อยสระล้างกินทีเดียว พวกปีศาจได้ฟังนายสั่งดังนั้น ก็พากันไปทำตามสั่งทุกประการ
   ฝ่ายเห้งเจียครั้นได้ข้าวเต็มบาตรแล้ว ก็เหาะกลับมายังที่อาจารย์นั่งแล้วก็ลดลงยังพื้นราบ แลไปก็มิได้เห็นพระอาจารย์กับโป๊ยก่ายและซัวเจ๋งทั้งม้าก็หายไปด้วย เห็นแต่วงที่เขียนไว้นั้นยังอยู่ จึงหันมองไปทางที่มีตึกห้องหอก็สูญหายไปหมดสิ้น เห็นแต่โขดเขาหินผาทั้งนั้น เห้งเจียพูดว่าเห็นจะพากันไปโดนที่ร้ายเข้าแล้ว คิดเห็นดังนั้นแล้วก็รีบเดินตามทางรอยท้าวม้านั้นไป เดินไปพักหนึ่งโดยกำลังระเหระหน ก็ได้ยินเสียงคนพูดกันที่ในโขดเขา เห้งเจียแลไปเห็นตาเฒ่าคนหนึ่งมือถือตะบองศรีษะมังกร มีเด็กเดินตามหลังตาเฒ่ามาคนหนึ่ง ทั้งเดินทั้งร้องเพลงข้ามโขดเขามา เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็วางบาตรลงแล้ววิ่งไปสกัดหน้าปราศรัยถาม ตาเฒ่าแลเห็นก็คำนับตอบแล้วถามว่าท่านจะไปข้างไหน
   เห้งเจียตอบว่า พวกข้าพเจ้าทั้งอาจารย์และศิษย์มาจากเมืองใต้ถัง มาด้วยกันสี่คน ส่วนตัวข้าพเจ้ามีกิจไปบิณฑบาต ข้าพเจ้าสั่งให้คอยอยู่ที่พื้นราบ​ริมโขดเขาทั้งสามคน ครั้นข้าพเจ้ากลับมาก็ไม่เห็นทั้งสามคนและม้า ไม่ทราบว่าจะพากันไปทางใด ขอถามท่านตาเดินมาได้เห็นบ้างหรือไม่ ตาเฒ่าได้ยินถามดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าพึ่งเดินมาเห็นคนทั้งสามเดินหลงพากันเข้าไปในปากปรศาจยักษ์เสียแล้ว เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ขอท่านตาได้กรุณาโปรดชี้ที่ทางได้ข้าพเจ้าด้วยเถิด คือปีศาจยักษ์ร้ายนั้นอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าจะได้ไปทวงถาม ตาเฒ่าตอบว่า อันนามภูเขานี้เรียกว่า (กิมเต๊าซัว) ข้างหน้าเขามีสำนักถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง ถ้ำนั้นเรียกว่าถ้ำกิมเต๊าต๋อง มีปีศาจตนหนึ่งนามว่า ต๊อกกั๊กจูใต้อ๋องมีอำนาจฤทธิ์เดชกล้าหาญ คนทั้งสามเข้าไปก็จะสูญชีวิตเสียแล้ว ท่านจะไปตามเห็นจะกินท่านเสียอีกคนกระมัง
   เห้งเจียพูดว่าขอท่านได้ช่วยชี้ให้เถิด อันจะเป็นตายประการใดจงยกไว้ ข้าพเจ้าจะนิ่งอยู่ที่ไหนได้ เห้งเจียจะใคร่เอาเข้าในบาตรให้ตาเฒ่า จะได้ถือแต่บาตรเปล่าไป ตาเฒ่าเห็นดังนั้นก็วางไม้เท้าลง แปลงรูปกลับเป็นรูปเดิม คือ พระภูมิ ก็คุกเข่าลงกับพื้นคำนับแล้วพูดว่า ใต้เซียข้าพเจ้าไม่อาจจะปิดบังท่าน ข้าพเจ้าคือภูมิเจ้าเขานี้ ข้าพเจ้าคอยถ้ารับใต้เซียอยู่ที่นี่ บาตรข้าวนั้นข้าพเจ้าจะรับไว้ ใต้เซียจะได้เบาตัวไปแก้อาจารย์ออกแล้ว จึงค่อยเอาข้าวในบาตรนี้ไปถวายให้พระอาจารย์ฉัน เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ตวาดว่า อีตาคนนี้จะหาเหตุให้เฆี่ยนหรืออย่างไร ก็เมื่อรู้ว่าเรามาแล้ว ทำไมจึงไม่มาคอยรับก่อน​ทำซ่อนหัวซ่อนหางดังนี้ ภูมิ เจ้าที่พูดว่าใต้เซียใจร้อนข้าพเจ้ามีความเกรงกลัว เพราะฉะนั้นจึงแปลงรูปเสีย มาบอกให้ใต้เซียรู้ก่อน
   เห้งเจียพูดว่าถ้ากระนั้นจงรักษาบาตรไว้ คอยเราจะไปปราบปีศาจแล้วจึงจะกลับมา ภูมิ เจ้าที่ก็รับบาตรไว้ เห้งเจียจึงผูกรัดแต่งตัวแล้ว มือถือตะบองเหล็กเดินลัดไปทางหน้าเขา เดินไปเห็นแต่หินโขดเกะกะ เห้งเจียไปยังประตู แลไปก็เห็นมีประตูหิน นอกประตูมีพวกปีศาจบริวาร เต้นรำฝึกหัดซักซ้อมเพลงอาวุธ หอก ดาบ แหลนหลาวกำลังชุลมุลกันอยู่ เห้งเจียก็เดินตรงเข้าไปร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายพวกเหล่านี้จงรีบไปบอกแก่นายมึงว่า กูเป็นสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋ง คือซีเทียนใต้เซียหงอคง ให้รีบเอาอาจารย์เรามาส่งเสียโดยเร็ว พวกเจ้าจะได้รอดชีวิต พวกปีศาจบริวารได้ยินดังนั้น ก็รีบวิ่งเข้าไปบอกแก่นายโดยเร็ว
   ฝ่ายปิศาจเมื่อได้ยินดังนั้น ก็มีความยินดีแล้วพูดว่า เราเองก็อยากให้เธอมา ตัวเราตั้งแต่จากวิมานก็ยังไม่เคยได้ลองฝีมือแก่ใครเลย วันนี้เธอมาก็ดีแล้ว จึงเรียกให้เอาทวนทองแดงมา พวกบริวารก็ไปแบกเอาทวนมาวางไว้ให้ แล้วสั่งพวกบริวารให้ยกออกนอกประตู ปีศาจเดินนำหน้าถือทวนออกไป พวกบริวารก็พร้อมกันตามหลังออกมา ปีศาจครั้นเห็นเห้งเจียแล้ว จึงร้องถามว่า อ้ายคนไหนชือหงอคง ​เห้งเจียเดินขยับเข้ามาแล้วตอบว่า อ้ายหลานน้อยตาอยู่นี่ เจ้าจงรีบส่งท่านอาจารย์มาโดยเร็ว ทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่เจ็บช้ำ แม้ผิดครึ่งคำไม่ถูกธรรมเนียม จะให้ตายไม่มีที่ฝังศพ ปิศาจร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า มึงชั่งตับใหญ่อ้ายลิงจะมีฝีมือสักเพียงใดมึงจึงสามารถมาพูดจาอวดอ้างอย่างนี้ อาจารย์ของเจ้าขโมยเสื้อของเราไปใส่ บัดนี้เราจับได้จะใคร่เอาต้มกิน แม้ว่าเจ้ามีฝีมือจงมาลองดูแก่เรา แม้ว่าเราแพ้เราจะปล่อยอาจารย์ของเจ้าไป หากไม่ชนะพวกของเจ้าก็ต้องสิ้นชีวิต
   เห้งเจียได้ฟังปิศาจพูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ชะ ช่ะ อ้ายปีศาจเขาทิ้ง เอ็งไม่ต้องพูดจงมาลองกินตะบองดูสักทีหนึ่งหรือ จะได้รู้รสชาติว่าเป็นประการใด เห้งเจียยกกระบองตีลงไป ปีศาจยกทวนขึ้นรับ ต่างมีกำลังเข้มแขงทั้งสองฝ่าย ตลบแตลงรบรับกันไปมาได้สามสิบเพลง ยังไม่แพ้ชนะกัน ปีศาจเห็นเห้งเจียชำนาญในการตะบองคล่องแคล่ว รวดเร็ว ว่องไว จะคิดหักไม่ลง จึงทำเป็นหัวเราะแล้วพูดสรรเสริญว่า อ้ายลิงนี้ดีจริงอาจทำสงครามบนสวรรค์ได้ ปีศาจจึงเอาด้ามทวนลงบนพื้น แล้วร้องให้บริวารเข้าระดมตี พวกปีศาจทั้งหลายก็พากันกุมอาวุธเข้าล้อมเห้งเจีย ๆ ก็มิได้หวาดหวั่น เห้งเจียเอาตะบองขว้างขึ้นไปบนอากาศ ร้องให้แปลงตะบองก็บังเกิดขึ้นเต็มอากาศตกลงมาดังห่าฝน ปีศาจน้อยเห็นดังนั้นต่างก็ตกใจขวัญหาย พากันวิ่งกลับเข้าไปในถ้ำ 
   ปีศาจใหญ่เห็นดังนั้นก็ทำเป็นหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายลิงอย่ากำเริบให้เกิน​ไป เองจงคอยดูของเราบ้างว่าจะเป็นประการใดจึงล้วงในมือเสื้อเอาของวิเศษสิ่งหนึ่งออกมา มีสันฐานเป็นรูปวงกลมขว้างขึ้นไปบนอากาศ ร้องให้คล้องก็คล้องเอาตะบองของเห้งเจียไปเสียได้ เห้งเจียไม่มีอาวุธก็รีบหนีไป ฝ่ายปีศาจมีชัยชนะดังนั้นก็ยกกลับเข้าถ้ำมีความรื่นเริงโดยเหตุที่ได้ชัยชนะนั้น
(บทที่ ๕๑)
   ฝ่ายเห้งเจียเวลานั้น รบกับต๊อกกั๊กปีศาจ ธานฤทธิ์ต๊อกกั๊กปีศาจนั้น ไม่ไหว ทั้งเสียตะบองเหล็กไปด้วย เห้งเจียสิ้นอาวุธก็ล่าหนีแอบข้างหลังเขากิมเง่ซัวนั่งร้องไห้คร่ำครวญ ถึงอาจารย์ว่าเพระเหตุร้อนใจกับท่านปราถนาจะให้สำเร็จมักผล จึงได้อุตสาหะมิได้คิดแก่ชีวิต มาบัดนี้ก็สิ้นอาวุธเสียแล้ว จะทำประการใดจึงจะแก้อาจารย์ออกมาได้เล่า เห้งเจียนั่งคร่ำครวญอยู่แต่ผู้เดียวแล้วนึกขึ้นมาได้ว่า อ้ายปีศาจร้ายนี้ มันพูดว่าจำเราได้เมื่ออยู่บนสวรรค์ ชะรอยจะเป็นดาวร้ายบนสวรรค์จุติลงมาเป็นแน่ จำเราจะขึ้นไปตรวจดูจึงจะดี คิดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นไปยังชั้นดาวดึงส์ เข้าไปข้างในปราสาทเล่งเซียวเต้ยแลเห็นเทพยดาองค์ใหญ่ คือหลินก๊าดเซียนกง หนึ่ง เค้าเซียงเอี้ยง หนึ่ง กูวั่งเจ่ หนึ่ง และซีใต้เซียนก็อยู่พร้อมกันยังหน้าปราสาทแลเห็นเห้งเจียเดินเข้ามา ก็พร้อมกันมาคำนับรับกัน เห้งเจียยกมือขึ้นคำนับตอบแล้วหมู่เทพยดาผู้ใหญ่จึงถามเห้งเจียว่า ท่านใต้เซียมามีกิจธุระสิ่งใดหรือ
   เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้ามีธุระสำคัญจึงต้องขึ้นมา ขอท่านใต้เซียนโปรดนำความกราบทูลด้วย ซีใต้เซียนซือได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น​จึงนำเห้งเจียเข้าเฝ้า เห้งเจียตามใต้เซียนเข้าไปแลเห็นเง็กเซียงฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์แล้ว ก็ย่อตัวลงทำความเคารพแล้ว จึงทูลว่าขอพระองค์ได้ทราบ ซึ่งข้าพเจ้าป้องกันรักษาพระถังซัมจั๋งไปไซที หนทางก็กันดารไกลมากความร้ายก็มากกว่าความดี แต่กระนั้นก็ไม่ต้องพรรณา มาบัดนี้พวกข้าพเจ้าเดินทางมาพบปีศาจร้ายออกสกัด จับเอาพระถังซัมจั๋งไปซ่อนไว้ในถ้ำ ข้าพเจ้าเที่ยวค้นหามาถึงยังประตูถ้ำ ปีศาจร้ายออกต่อสู้รบกัน มันมีฤทธานุภาพมาก เรียกเอาตะบองเหล็กของข้าพเจ้าไปได้และปีศาจนั้นพูดว่าจำข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้ามีความสงสัยว่าจะเป็นหมู่ดาวบนสวรรค์จุติลงไป เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมากราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ ขอพระองค์ให้ผู้รักษาการตรวจดู จะเป็นดาวร้ายดวงใดลงไปแน่ ขอให้ยกพลเทพยดาลงไปกำจัดเสียให้สิ้นสัตว์บาป ข้าพเจ้าจะมีความขอบพระคุณหาที่เปรียบมิได้
   ขณะที่เห้งเจียกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้อยู่นั้น มีเทพยดาก๊าดเซียนกงอยู่ที่นั่น จึงถามเห้งเจียว่า แต่ก่อน ๆ นั้นดูแข็งแรงทำไมบัดนี้จึงทำอ่อนน้อมเล่า เห้งเจียตอบว่าบัดนี้สิ้นอาวุธแล้วจะแข็งแรงไปอย่างไรได้เล่า เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังเห้งเจียกราบทูลร้องทุกข์ดังนั้น จึงรับสั่งให้เทพบุตรทั้งสองคือกัวหั้นซี หนึ่ง ตีเต๋า หนึ่ง ให้ออกไปตรวจดูให้รอบในชั้นดาวดึงส์ว่า จะมีดาวดวงใดจุติลงไปบ้าง เทพบุตรทั้งสองได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็ถวายบังคมลารีบออกไปตรวจรอบทั้งนอกในชั้นดาวดึงส์ก็ไม่มีขาด ดาวประจำก็อยู่คงที่ทุก ๆ ดวง เทพบุตรทั้งสอง​ก็กลับมาเฝ้ากราบทูลว่า ข้าพเจ้าทั้งสองได้ไปตรวจตามรับสั่งโดยละเอียด ก็ไม่มีดาวดวงใดขาดคงพร้อมอยู่ตามหน้าที่ทุก ๆ ดาว ขอพระองค์ได้ทรงทราบ เง็กเซียงฮ่องเต้ ได้ทรงฟังกัวหั้นซี ตีเต๋าเทพบุตรกราบทูลดังนั้น จึงตรัสแก่เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นก็ให้เห้งเจียเลือกดูทหารเอกที่มีฝีมือเข้มแข็งคุมพลเทพบุตรลงไป กำจัดจับปีศาจร้ายเสียให้ได้
   ฝ่ายซีใต้เทียนซือเทพบุตร เมื่อได้ฟังเง็กเซียงฮ่องเต้รับสั่งดังนั้นจึงออกมาจากปราสาทเล่งเซียวเต้ย บอกแก่เห้งเจียให้ทราบตามรับสั่ง เห้งเจียจึงพูดขึ้นว่า อันทหารเทพบุตรนั้นเดิมข้าพเจ้าขึ้นมารบ ก็ไม่เห็นเทวดาองค์ใดจะดีกว่าข้าพเจ้า ส่วนปีศาจมีฝีมือเข้มแข็งทั้งฤทธิ์เดชก็มากที่ไหนจะเอาชัยชนะได้ เทพบุตรเค้าเซียงเอี้ยงพูดแก่เห้งเจียว่าอันเวลาการนั้นผิดกัน มีรับสั่งมาดังนี้แล้วไม่ควรขัดขืน ตามแต่พอใจของท่านจะเลือกเอา ควรท่านผู้ใดจะต่อสู้ได้จะได้ยกลงไปช่วยปราบปราม เห้งเจียพูดว่า ถ้าดังนั้นท่านช่วยโปรดกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ทรงทราบว่า ข้าพเจ้าจะขอท่านถักทะลีทีอ๋องและโลเฉียท้ายจื๊อ เพราะเธอมีอาวุธหกอย่างอาจปราบปีศาจยักษ์มารได้ ท่านทั้งสองนี้ยกพลลงไปบางทีจะจับปีศาจได้
   เทียนซือเทพบุตรได้ฟังดังนั้น ก็นำความเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ ได้ทรงฟังดังนั้น จึงรับสั่งให้ถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียท้ายจื้อคุมพลเทพบุตรลงไปช่วยเห้งเจีย ถักทะลีทีอ๋องครั้น​ได้ฟังรับสั่งดังนั้น ก็คำนับลาออกมาจัดแจงเกณฑ์พลพร้อมกับเห้งเจีย ๆ จึงบอกแก่เทียนซือว่า ข้าพเจ้ายังมีธุระอีกอย่างหนึ่ง อยากจะได้พวกรามสูรไปช่วย ถ้าเวลารบกันจะให้รามสูรคอยอยู่บนอากาศผ่าลงศรีษะปีศาจให้ตายอย่างนี้จึงดี เทียนซือได้ฟังดังนั้นก็กลับเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ จึงมีรับสั่งให้บอกรามสูรยกมาสมทบ ครั้นพร้อมเสร็จแล้วก็พากันยกออกจากประตูน่ำทีหมึง ถักทะลีทีอ๋องก็ขับพลมายังเขากิมเง่ซัวรอทัพอยู่บนอากาศ
   เห้งเจียพูดว่า ท่านทั้งหลายคิดดูว่าท่านผู้ใดจะเข้าไปต่อสู้ก่อน ถักทะลีทีอ๋องพูดว่า จะต้องให้โลเฉียบุตรข้าพเจ้าเข้าไปรบก่อน เพราะเธอมีอาวุธวิเศษสำหรับปราบปีศาจ จะต้องให้เธอออกก่อน เห้งเจียว่าถ้ากระนั้น ข้าพเจ้าจะนำท้ายจื๊อไปร้องท้าทายให้มันออกรบ โลเฉียก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้วพร้อมกับเห้งเจียเดินมาหน้าถ้ำ แลไปก็เห็นปิดประตูไว้แน่นหนา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายปีศาจร้ายมึงจงรีบเปิดประตูส่งอาจารย์ของกูออกมาโดยเร็ว ฝ่ายพวกปีศาจที่เฝ้าประตูได้เห็นดังนั้น จึงรีบเข้าไปบอกนายว่า บัดนี้เห้งเจียพาเด็กหนุ่มที่ไหนมาท้าชวนรบอยู่หน้าประตูถ้ำขอใต้อ๋องได้ทราบ
   ปีศาจต๊อกกั๊กได้ทราบดังนั้น ก็จับทวนรีบเดินออกมาดู แลไปเห็นหนุ่มน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ รูปร่างสง่างาม ปีศาจก็หัวเราะแล้วพูดว่า นี่เจ้าเป็นบุตรของถักทะลีทีอ๋องคือโลเฉียหรือ เหตุใดจึงมายังหน้าประตูถ้ำของเราแล้วยังทำฮึกฮักดังนี้ โลเฉียพูดว่า​เพราะมึงอ้ายมารร้ายคิดทำลายพระถังซัมจั๋ง มีรับสั่งเง็กเซียงฮ่องเต้ให้เรามาจับตัวเจ้า ๆ ยังไม่รู้สึกหรือ
   ต๊อกกั๊กได้ฟังดังนั้นก็โกรธพูดว่า นี่เจ้าเห็นจะเป็นเห้งเจียไปเชิญมาหรือ เราคือเป็นตัวมารของพระถังซัมจั๋งเจ้าจงเร่งรู้เถิด จงคิดดูให้ดีเจ้าเป็นทารกเด็กเล็กน้อยจะมีฝีมือสักเพียงไร ต๊อกกั๊กพูดดังนั้นแล้วก็ยกทวนแทงโลเฉีย โลเฉียก็เอาเกี่ยมวิเศษขึ้นรับไว้ ต่างต่อสู้กันไปมาโดยสามารถ เห้งเจียเห็นดังนั้น จึงเรียกพวกรามสูร ๆ ก็ขึ้นบนอากาศคอยได้ถ้าก็จะผ่าปีศาจ เห็นโลเฉียกำลังแผลงฤทธิ์แปลงเป็นสามเศียรหกกรมือถืออาวุธหกอย่าง เข้าโจมตีปีศาจอยู่ ฝ่ายปีศาจเห็นดังนั้น ก็แปลงเป็นสามเศียรหกกร มือถือทวนหกเล่มยกขึ้น รับ โลเฉียก็สำแดงวิธีอาวุธหกอย่าง คอเกี่ยม หนึ่ง ดาบหนึ่ง เชือกวิเศษหนึ่ง ตะบองวิเศษหนึ่ง จักรไฟหนึ่ง ตะกร้อวิเศษหนึ่ง ของหกอย่างนี้อาจปราบปีศาจยักษ์ร้ายได้ โลเฉียร้องด้วยเสียงอันดังว่าให้แปลง ของวิเศษหกอย่างก็แปลงออกตั้งหมื่นแสนดุจเม็ดฝนตกลงมาจากอากาศฟาดฟันปีศาจยักษ์ ปีศาจต๊อกกั๊กแลเห็นดังนั้น ก็มิได้มีความสะดุ้งหวาดหวั่น จึงชักห่วงวิเศษออกขว้างไปบนอากาศร้องว่าเก็บ ของวิเศษห่วงนั้นก็เก็บของวิเศษเหล่านั้นเข้ามาได้ทั้งสิ้น ต๊อกกั๊กก็เรียกห่วงกลับคืน โลเฉียเห็นดังนั้นก็ตกใจล่าหนีกลับมายังที่ ฝ่ายปีศาจได้ชัยชนะก็กลับไปยังถ้ำ
   ฝ่ายเทพบุตรรามสูรทั้งสอง เห็นโลเฉียล่าหนีกลับมาก็มา​บอกว่า เห็นท่านแผลงฤทธิ์แผ่อำนาจอยู่ ข้าพเจ้าทั้งสองไม่อาจขว้างขวานลงไป บัดนี้ปีศาจมันเอาของวิเศษไปหมดแล้ว ท่านจะคิดประการใดต่อไป เห็นจะต้อง กลับไปหาท่านแม่ทัพก่อน พูดกันดังนั้นแล้วก็พร้อมกันทั้งโลเฉียมมาหาถักทะลีทีอ๋อง บอกว่าปีศาจนั้นมันมีอิทธิฤทธิ์มากจะเอาชัยชนะมันมิได้
   เห้งเจียว่า มันมีอานุภาพร้ายแรงที่ห่วงไม่รู้ว่าห่วงนั้นเป็นของวิเศษอย่างไร มันโยนขึ้นก็รวบเอาของๆ เราไว้ได้ทั้งสิ้น ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังดังนั้น จึงพูดว่าถ้ากระนั้นจะทำอย่างไรจึงจะปราบได้ เห้งเจียว่าตามแต่ท่านทั้งหลายจะคิดอ่านเหตุสำคัญที่ห่วง แม้ว่าสิ่งใดมันเรียกเอาไปไม่ได้แล้ว ก็คงจะจับตัวมันได้ ถักทะลีทีอ๋องพูดว่า สิ่งที่มันจะเรียกไปไม่ได้ก็มีอยู่แต่ไฟกับน้ำ ด้วยคำโบราณท่านย่อมว่าไฟกับน้ำไม่มีวิญญาณ เห้งเจียพูดว่า ท่านคิดดังนั้นเห็นจะถูกต้องท่านคอยอยู่ที่นี่ข้าพเจ้าจะรีบไปบนสวรรค์ ไปเชิญพระเพลิงมาช่วยปล่อยไฟให้เผาปีศาจยักษ์ บางทีจะพลอยเผาถุงนั้นได้ด้วย ลองดูอีกสักครั้งหนึ่งบางทีจะเอาของวิเศษของเรากลับคืนได้ ท่านทั้งหลายก็จะได้พากันกลับไปสวรรค์ และจะได้แก้พระอาจารย์ให้พ้นภัยได้
   โลเฉียได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีแล้วพูดว่า ถ้ากระนั้นท่านใต้เซียจงรีบไปรีบมา เห้งเจียก็เหาะขึ้นมาบนอากาศไปยังประตูสวรรค์น่ำทีหมึง ครั้นถึงก็เดินตัดไปยังตำหนักแพฮวยเกง ครั้นถึงหน้าตำหนักพระเพลิง (ฮ้วย​เต๊กแชกุน) แลเห็นเห้งเจียมาก็จัดแจงแต่งตัวออกมารับคำนับ พระเพลิงจึงพูดว่า เมื่อวานนี้ท่านกัวหั้นซีมาตรวจถึงตำหนักนี้ก็ไม่มีผู้ใดจุติลงไป เห้งเจียพูดว่า ข้าพเจ้าทราบแล้ว บัดนี้ท่านถักทะลีทีอ๋อง กับบุตรชายโลเฉีย ยกพลเทพยดาลงไปก็ปราชัยพ่ายแพ้ เสียของวิเศษปีศาจเก็บเอาไปหมดสิ้น เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงต้องมาเชิญท่านให้ลงไปช่วย เพราะปีศาจมันมีห่วงวิเศษอาจเรียกของอื่น ๆ ไปได้ทั้งสิ้น ก็หารู้ว่าจะเป็นของวิเศษอะไรไม่ ท่านถักทะลีทีอ๋องเห็นว่าไฟเป็นของเผาสิ่งอื่น ๆ ได้ แต่ที่เรียกไปนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านแชกุนลงไปปล่อยไฟเผาปีศาจยักษ์เสียให้สิ้น จะได้ช่วยพระอาจารย์ข้าพเจ้าออกให้พ้นภัย
   พระเพลิง ครั้นได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็รีบจัดพวกบริวารไฟพร้อมด้วยเห้งเจียออกจากประตูน่ำทีหมึง เหาะลงมายังเขากิมเง่ซัวครั้นถึงก็มาพบแก่ท่านแม่ทัพถักทะลีทีอ๋อง แลโลเฉียรามสูรต่างก็คำนับกันแล้ว ถักทะลีทีอ๋องบอกแก่เห้งเจียว่าให้ไปท้าชวนรบล่อปีศาจออกมา ข้าพเจ้าจะเข้ารบดูก่อน แม้ได้ทีก็ให้ฮ้วยเต๊กแชกุนปล่อยไฟออกเผามัน เห้งเจียก็ไปยังประตูถ้ำร้องท้าด้วยเสียงอันดัง ปีศาจต๊อกกั๊กได้ยินก็พาพวกบริวารถืออาวุธออกมา เห็นเห้งเจียก็ด่าว่าอ้ายชาติลิง มึงไปหากองทัพที่ไหนมาอีกหรือ
   ​ถักทะลีทีอ๋องร้องตวาดว่าอ้ายพวกมารร้าย มึงจำกูไมได้หรือต๊อกกั๊กปีศาจได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ท่านถักทะลีทีอ๋องจะแก้แค้นให้บุตรชายหรือ แลจะใคร่ได้เอาอาวุธวิเศษคืนดอกกระมัง ถักทะลีทีอ๋องตอบว่า ข้อหนึ่งเราจะแก้แค้นเอาของวิเศษคืน ข้อสองเราจะจับตัวเจ้าแก้พระถังซัมจั๋งออก ว่าแล้วก็ยกง้าวขึ้นฟัน ปีศาจต๊อกกั๊กก็ยกทวนขึ้นรับ รบกันด้วยกำลังอันเข้มแข็ง ต่อสู้กันอยู่ที่หน้าถ้ำ เห้งเจียจึงร้องให้ ฮ้วยเต๊กแชกุนปล่อยไฟพวกพระเพลิงก็จัดไฟพร้อมกัน ฝ่ายถักทะลีทีอ๋อง กำลังรบเห็นปีศาจชักถุงออก ถักทะลีทีอ๋องถอยกระโดดหนี พวกอัคคีอยู่บนยอดภูเขาสูงก็ปล่อยไฟลงมาเผาปีศาจ ต๊อกกั๊กปีศาจแลเห็นไฟลุกโหมมาก็มิได้มีความหวั่นหวาด มือก็หยิบเอาถุงขว้างไปบนอากาศเสียงเปรี้ยง ไฟต่าง ๆ เหล่านั้นถุงก็หอบเอาไปทั้งสิ้น ปีศาจมีชัยชนะแล้วก็กลับเข้าไปยังถ้ำ
   ฝ่ายฮวยเต๊กแชกุนเมื่อปล่อยไฟไปก็หาทำอะไรแก่ปีศาจได้ไม่ จึงพาพวกพ้องบริวารกลับมาพร้อมกันอยู่ที่ยอดเขากิมเง่ซัว ถักทะลีทีอ๋องจึงพูดแก่เห้งเจียว่า บัดนี้เราก็เสียทีมันรวบเอาไฟไปได้แล้วเราจะทำประการใดดี เห้งเจียพูดว่าจะมาคร่ำครวญวิตกทำไม เสียไฟไปแล้วก็จะต้องเอาน้ำมาทำลายให้จงได้ ท่านทั้งหลายจงพักคอยข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้าพเจ้าจะไปเชิญจุ๊ยเต๊กแชกุนมาทำน้ำท่วมมันจึงจะเอาชัยชนะได้ สิ่งของนี้เราเสียคงจะได้คืน ว่าแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้น​บนเวหาตรงไปยังประตูสวรรค์ปักทีหมึงทิศอุดร เข้าไปในตำหนักเจี๊ยวห้าวเกง
   ฝ่ายจุ๊ยเต๊กแชกุนเห็นเห้งเจียเดินเข้ามา ก็ออกไปเชิญเข้ามาข้างในนั่งที่อันสมควรแล้ว จุ๊ยเต๊กแชกุนพูดว่าวันก่อนท่าน กวหั้นซีมาตรวจวิตกในพวกข้าพเจ้านี้ว่าจะจุติลงไปบ้าง ท่านมิได้ไปตรวจในท้องพระมหาสมุทร จะเป็นปีศาจยักษ์ร้ายอะไรที่ไหน เห้งเจียพูดว่าอันปีศาจนั้นก็หาใช่อยู่ในท้องพระมหาสมุทรไม่ ข้าพเจ้าได้ไปเชิญฮ้วยเต๊กแชกุนลงไปช่วยปล่อยไฟเผามัน มันก็เอาถุงขว้างขึ้นเรียกไฟเข้าถุงไปสิ้น ข้าพเจ้าคิดว่าของสิ่งที่ไม่กลัวไฟคงจะแพ้น้ำ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้ามาเชิญท่านลงไปปล่อยน้ำท่วมปีศาจให้ตาย ช่วยอาจารย์ข้าพเจ้าออกให้พ้นภัย จุ๊ยเต๊กแชกุนได้ฟังดังนั้นก็รีบรวมบริวารน้ำพร้อมเสร็จแล้ว ก็ออกจากตำหนักพร้อมด้วยเห้งเจียเหาะไปยังเขากิมเง่ซัว เห้งเจียถามจุ๊ยเต๊กแชกุนว่าท่านจะเอาอะไรใส่น้ำ จุ๊ยเต๊กแชกุนจึงล้วงเอาขวดเล็กออกจากมือเสื้อขวดหนึ่ง แล้วบอกว่านี่แลข้าพเจ้าใส่น้ำ
   เห้งเจียถามว่าขวดเล็ก ๆ เท่านี้จะใส่น้ำได้สักเท่าใด จุ๊ยเต๊กแชกุนตอบว่าน้ำในลำแม่น้ำอึงฮ้อนั้นจะใส่ครึ่งลำแม่น้ำ ถ้าเต็มขวดก็หมดทั้งแม่น้ำ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ดีใจพูดว่าครึ่งขวดก็ดีแล้ว ฝ่ายจุ๊ยเต๊กแชกุนออกจากสวรรค์ ก็เอาขวดวิเศษตักน้ำในลำแม่น้ำอึงฮ้อครึ่งขวดแล้วก็ตามเห้งเจียมา ครั้นถึงเขากิมเง่ซัวก็เข้าคำนับถักทะลีทีอ๋องหมู่เทพยดา ก็เล่าการที่รบสู้ให้จุ๊ยเต๊กแชกุนฟังทุกประการ ​เห้งเจียพูดว่าอย่าพูดให้ช้าไป ขอท่านได้ตามข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าจะเรียกพวกปีศาจให้เปิดประตูท่านไม่ต้องรอให้มันออก แม้เห็นมันเปิดประตูจงเทน้ำกรอกเข้าไปในถ้ำให้ท่วมทั้งถ้ำ มันตายหมดแล้วข้าพเจ้าจะได้รับอาจารย์ออกต่อภายหลัง จุ๊ยเต๊กแชกุนกับเห้งเจียก็พร้อมกันไปที่หน้าถ้ำเห้งเจียเรียกว่า อ้ายพวกมารร้ายมึงเร่งเปิดประตูออกมา
   ต๊อกกั๊กได้ยินดังนั้นก็หยิบถุงวิเศษกระโดดออกมาเปิดประตู จุ๊ยเต๊กแชกุนก็เอาขวดน้ำวิเศษเท กรอกเข้าไปในถ้ำ น้ำก็ไหลอู้เข้าไป ต๊อกกั๊กเห็นดังนั้น ก็เอาถุงส่องตรงสายน้ำ ๆ ก็ไหลย้อนกลับออกไปปากถ้ำ เห้งเจียจุ๊ยเต๊กแชกุนเห็นดังนั้นก็ตกใจกระโดดถอยหนีขึ้นยอดเขา ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องกับหมู่เทวดาก็เหาะขึ้นกลางอากาศคอยดูเห็นน้ำไหลเป็นคลื่นละลอกซัดออกฉาดฉาน เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร้องว่าไม่เป็นการ น้ำท่วมไร่นาชาวบ้านเสียไปหมด ปีศาจก็สบายอยู่ไม่ร้อนใจไม่รู้ที่ว่าจะทำประการใดได้ จึงบอกจุ๊ยเต๊กแชกุนให้เรียกน้ำกลับคืน จุ๊ยเต๊กแชกุนว่าข้าพเจ้าทำได้แต่ปล่อยจะเรียกคืนกลับทำไม่ได้ (คำโบราณว่าน้ำเทแล้วกลับคืนเข้าไม่ได้) อันเขานั้นแม้จะสูงถ้าน้ำท่วมเขาขึ้นเขานั้นก็ต่ำลง สักประเดี๋ยวน้ำก็ไหลลงคลองหมด
   แลเห็นที่หน้าถ้ำมีปีศาจกระโดดโลดเต้นตบมือเยาะเย้ย ถักทะลีทีอ๋องพูดว่าน้ำก็ไม่เข้าไปในถ้ำได้เสียเวลาเปล่า ๆ ไม่เป็นผล เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ละอายแก่ใจ กำหมัดวิ่งมาร้องว่าอ้ายมารร้ายมึงอย่าหนีกูกูจะตีมึงให้ตาย ​ปิศาจบริวารเหล่านั้นก็พากันวิ่งหนีเข้าถ้ำ ไปบอกแก่ต๊อกกั๊กว่าอ้ายลิงมันไล่ตีมาอีกแล้ว ต๊อกกั๊กได้ยินดังนั้นก็ฉวยทวนวิ่งออกมาตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายนี่มึงแพ้หลายครั้งแล้วยังจะเอาชีวิตมาทำลายเสียอีกหรือ เห้งเจียว่าอ้ายลูกน้อยมึงอย่าพูดโอหังมึงจงมากินหมัดตาสักทีหนึ่งเถิด ต๊อกกั๊กได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายลิงมันอุตส่าห์มาต่อสู้ มันมือเปล่ากำหมัดมวยใหญ่เสมอเมล็ดชมพู่ทำไมมันจึงมาอวดเก่ง
   พูดดังนั้นแล้วก็ร้องว่าเราจะวางทวนเสียเอามือเปล่า ลองเล่นมวยกับเจ้าสักพักหนึ่งให้เห็นฝีมือ ว่าแล้วก็วางทวน มือก็ถกกางเกงขึ้นผูกเชือกเอวแน่นดีแล้ว ก็ออกท่าตรงเข้ามายกกำหมัดขึ้นดุจลูกตุ้มเหล็ก เห้งเจียก็ขยับท่าคอยระวัง พอได้ทีก็เข้าประจันบานต่างออกกำลังโดยเข้มแขงด้วยกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องโลเฉียหมู่เทพยดาอยู่บนยอดเขา แลเห็นก็ลงมาจะเข้าช่วยเห้งเจีย ฝ่ายพวกปีศาจต่างก็ถือทวนหอกดาบอาวุธต่าง ๆ เต้นลำโห่ร้องตีกลองม้าฬ่อกึกก้องสนั่นหวั่นไหว พากันเข้าล้อมเห้งเจีย ๆ เห็นไม่ได้ท่าก็ถอนขนออกกำมือหนึ่ง ขว้างไปบนอากาศร้องว่าแปลงก็แปลงเปนลิงน้อยห้าหกสิบตัวกรูกันเข้าล้อมจับต๊อกกั๊กบ้างเข้าจับแข้งจับขากอดบั้นเอวบ้างก็ควักลูกตา
   ปีศาจตกใจจึงควักถุงวิเศษออก เห้งเจียถักทะลทีอ๋องกับเทวะดาทั้งหลายเห็นปีศาจชักเอาถุงวิเศษออกก็พากันล่าถอยหนีออกขึ้นภูเขา ปีศาจขว้างถุงวิเศษไปเสียงเปลี้ยงก็รวบเก็บลิงแปลงนั้นเข้าถุงทั้งสิ้น ปีศาจมีชัยชนะแล้วก็พาบริวารเข้าถ้ำปิดประตู ​ฝ่ายเห้งเจียถักทะลีทีอ๋องกับเทวดาทั้งหลายนั่งปรึกษากันว่า อ้ายปีศาจมารร้าย มันมีฤทธิ์ที่ถุงนั้นยากที่จะกำจัดได้ ฮ้วยเต๊กกับจุ๊ยเต๊กพูดว่า ถ้าได้ถุงวิเศษมาแล้วจึงจะปราบลงไปได้ เห้งเจียพูดว่า ทำอย่างไรจึงได้ถุงวิเศษของมันเล่า นอกจากจะขโมยเป็นไม่ได้ เทพบุตรทั้งหลายพูดว่า นอกจากท่านเห้งเจียก็ไม่เห็นใครผู้ใดจะเอาได้ เมื่อครั้งก่อนลักชมพู่ ลักยา ไม่มีผู้ใดเสมอ มาวันนี้จะต้องลักถุงวิเศษ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าท่านทั้งหลายช่างพูด ถ้ากระนั้นรอให้ข้าพเจ้าไปแอบดูลาดเลาก่อนจึงจะดี เห้งเจียพูดแล้วก็กระโดดลงจากเขาเดินมาถึงหน้าถ้ำ ก็แปลงเป็นแมลงวันหัวเขียวตัวน้อยบินเบา ๆ เข้าไปในถ้ำ แลไปก็เห็นหมู่ปีศาจนั่งอยู่ทั้งสองข้าง ปีศาจต๊อกกั๊กใต้อ๋องนั่งอยู่หัวโต๊ะ บนโต๊ะก็ตั้งเรี่ยรายล้วนเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เนื้องูเนื้อเสือเนื้อกวาง ปีศาจนั่งกินตามสะบาย
   เห้งเจียลงยังพื้นแปลงเป็นตัวเหาน้อย ค่อยคลานเลียบเคียงเข้าข้างโต๊ะสอดนัยน์ตาด้อมมองหา ก็มิได้เห็นถุงวิเศษ ค่อย ๆ คลานเลยไปข้างหลังโต๊ะแลขึ้นไปบนราวก็เห็นแขวนอยู่ มังกรไฟ ม้าไฟและตะบองเหล็ก เห้งเจียแลเห็นแล้วก็อดใจไม่ได้ก็ลืมนึกแปลงรูปเดิมกระโดดขึ้นกระชากตะบองลงมาได้ก็แกว่งกวัดตีขนาบออกมา
(บทที่ ๕๒)
   ฝ่ายปีศาจตกใจด้วยไม่ทันรู้ตัว รอรับไม่อยู่เห้งเจียก็ออกมาจากถ้ำได้ ก็เดินขึ้นบนยอดเขา บอกแก่ถักทะลีทีอ๋องและเทวดาทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าเอาตะบองมาได้แล้ว ถักทะลีทีอ๋องถามว่าเข้าไปใน​ถ้ำเห็นเป็นอย่างไรบ้างเห้งเจียก็เล่าให้ถักทะลีทีอ๋องฟังทุกประการ ในทันใดนั้นได้ยินเสียงกลองและม้าฬ้อหวั่นไหว แลไปเห็นพวกปีศาจต๊อกกั๊กคุมพวกบริวารไล่ตามเห้งเจีย เห้งเจียแลเห็นก็แกว่งตะบองตรงมาสกัดหน้าร้องถามว่าอ้ายมารร้าย มึงจะไปข้างไหน ปีศาจตอบว่าอ้ายขโมยมึงชั่งไม่มีความอาย กลางวันแสก ๆ ก็มาปล้นเอาของกูมา เห้งเจียด่าว่าอ้ายชาติปีศาจมารร้าย มึงทำเล่ห์กลเอาของกูไป ของสิ่งใดว่าเป็นของมึงที่กูได้เอามา ว่าแล้วเห้งเจียก็ยกตะบองขึ้นตี ปีศาจยกทวนขึ้นรับปัดป้อง ต่อสู้กันประมาณสามชั่วโมงไม่แพ้ไม่ชนะกัน ตะวันก็จวนจะค่ำปีศาจล่าถอยเข้าถ้ำปิดประตู
   เห้งเจียก็แบกเอาตะบองกลับมาบอกแก่ถักทะลีทีอ๋องแลเทพยดาว่า ปีศาจถูกฝีมือข้าพเจ้ารบวันนี้มันระอา อ่อนลงมาก ท่านทั้งหลายอย่าเป็นทุกข์ รอข้าพเจ้าจะเข้าไปดูในถ้ำมัน จะค้นหาถุงนั้น แม้ว่าได้ท่วงทีก็จะลักมาการที่จะจับตัวก็คงจะสำเร็จ สิ่งของวิเศษที่มันเอาไปไว้ ก็จะได้กลับคืนมาให้แก่ท่านทั้งหลายกลับไปสวรรค์ โลเฉียจึงห้ามว่าเวลานี้ก็จวนค่ำแล้วพรุ่งนี้จึงค่อยไปเถิด เห้งเจียพูดว่าท้ายจื๊อยังไม่เข้าใจ อันธรรมดาขโมยนั้น กลางวันหาสู้จะถนัดไม่ กลางคืนจึงจะทำได้ตามสบาย พูดดังนั้นแล้วก็หัวเราะเอาตะบองเหน็บซ่อนแล้วก็ลงจากยอดเขาตรงมายังประตูถ้ำ แปลงเป็นตัวเล็นน้อยกระโดดมุดเข้าไปในประตูถ้ำ ไปเกาะจับอยู่ที่ฝาผนังคอยดูลาดเลา แลเห็นตามไฟสว่างไสว
   เห้งเจียค่อยพิศดู​โดยละเอียด เห็นพวกปีศาจน้อยกำลังเลี้ยงกันอยู่วุ่นวาย ทั้งเหล้าทั้งเนื้อสัตว์กินเล่นตามสบายใจ ประมาณครู่ใหญ่ก็เก็บเลิก ต่างก็จัดหาที่นอน เวลานั้นได้สองยามเศษ เห้งเจียก็ออกจากที่คลานไปข้างชั้นใน ได้ยินเสียงปีศาจต๊อกกั๊กสั่งพวกบริวารให้ผลัดกันคอยระวังระไว จะนอนก็ให้อุตส่าห์ตื่นลุกขึ้นบ้าง บางทีเห้งเจียจะแปลงตัวแอบเข้ามาขโมยของ พวกเจ้าจงเอาระฆังมาสั่นนั่งยาม เห้งเจียเห็นแล้วก็เลยกระโดดคลานเข้าห้องใน เห็นมีเตียงหิน โต๊ะหินมีเครื่องตั้งแต่งเรียงราย และนางไม้ปีศาจเข้าคอยปฏิบัติรักษาต๊อกกั๊กอยู่ เห้งเจียแลไปเห็นต๊อกกั๊กถอดเสื้อถอดเครื่องแต่งตัวออกแล้วขึ้นนอนบนเตียงศิลา ที่แขนสวมห่วงเหล็กดูคล้ายพวงร้อยลูกประคำ ปีศาจก็ไม่ถอดออกจากแขน กลับรูดขึ้นแน่นแล้วก็หลับ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็แปลงเป็นตัวไรน้อย กระโดดขึ้นบนเตียงศิลา มุดแอบอยู่ในผ้าห่มนอน คลานมาใกล้ที่ห่วงวิเศษนั้น คะยิกกัดทีหนึ่ง
   ฝ่ายปิศาจพลิกตัวด่าว่าอ้ายพวกเล็ก ๆ มันไม่ปัดกวาดที่นอนทิ้งไว้ให้ตัวอะไรมันติดอยู่กัดกูดังนี้ พูดดังนั้นแล้วก็เอามือรูดห่วงนั้นขึ้นแล้วก็นอนลงอย่างเดิม เห้งเจียก็กลับคลานเข้าที่ห่วงกัดอีกทีหนึ่ง ปีศาจก็นอนนิ่งเฉยไม่ธุระ เห้งเจียเห็นท่าจะขโมยไม่ได้ก็กลับกระโดดลงจากเตียง แปลงกลับเป็นตัวเล็นไปอย่างเดิมคลานออกจากห้องเข้าไปข้างหลัง ก็ได้ยินเสียงมังกรร้องม้าร้องออกอึกกระทึก ประตูชั้นในใส่กุญแจไว้แน่นหนามังกรไฟ ม้าไฟขังอยู่ในนั้น ​เห้งเจียเห็นดังนั้นก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม เดินเข้ามายังหน้าประตู ร่ายคาถาสะเดาะกุญแจหลุดถอนเปิดออกแล้ว เห้งเจียก็เข้าไปในห้องที่ไว้สิ่งของวิเศษไฟส่องแสงสว่างดุจกลางวัน แลเห็นทั่วไปที่แขวนที่พิงอยู่ตามฝาเป็นเครื่องอาวุธต่าง ๆ คือเป็นของโลเฉียและศรไฟ ธนูไฟเป็นของของจุ๊ยเต๊กแชกุนและฮ้วยเต๊กแชกุน
 เห้งเจียเห็นแล้วแลไปเห็นมีแท่นศิลาบนนั้นมีถาดตั้งอยู่ถาดหนึ่ง ในนั้นมีขนสักกำมือหนึ่งเห้งเจียเห็นดังนั้นก็ดีใจ หยิบขึ้นเป่าทีหนึ่งร้องให้แปลงก็แปลงเป็นวานรน้อยสี่ห้าสิบ เห้งเจียก็สั่งให้เก็บเอาอาวุธเหล่านั้นไป วานรน้อยก็พากันเก็บเอาไปหมดสิ้น เห้งเจียกระโดดขึ้นหลังมังกรไฟแล้ว ก็ปล่อยไฟตั้งแต่ในถ้ำตลอดออกมาจนปากถ้ำ ก็ได้ยินไฟลุกในถ้ำดุจพายุใหญ่ ลุกไหม้โพลงแดงไปทั้งถ้ำ พวกปีศาจต่างตกใจลุกขึ้นร้องไห้เสียงอึกกะทึก ต่างเอาตัวรอดวิ่งหนีไฟ ไม่มีทางออกถูกไฟเผาล้มตายไปประมาณครึ่งหนึ่ง เห้งเจียก็กลับมาหาถักทะลีทีอ๋องเวลานั้นสามยามเศษ
   ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องกับเทวดาทั้งหลายอยู่บนยอดเขาแลลงไปที่หน้าถ้ำปีศาจ เห็นไฟลุกออกสว่างฟ้าก็พากันจะลงไป ก็พอแลเห็นเห้งเจียขี่มังกรไฟขับพวกลิงน้อยกลับมา ครั้นถึงก็ร้องเรียกเสียงดังว่าท่านทั้งหลายจงมารับเครื่องอาวุธเถิด แล้วเห้งเจียก็เรียกขนแปลงเหล่านั้นกลับคืนเข้าตัว โลเฉียท้ายจื๊อก็เก็บเอาเครื่องมือของตัว ฮ้วยเต๊กแชกุนก็​เก็บเอาเครื่องไฟแลมังกรไฟแล้ว ต่างก็ได้เครื่องมือกลับคืนทุกคนมีความรื่นเริง สรรเสริญเห้งเจียว่าท่านมีฝีมือดีมาก ข้าพเจ้าทั้งหลายสู้ไม่ได้
   ฝ่ายต๊อกกั๊กอยู่ในถ้ำกำลังหลับได้ยินเสียงไฟลุกก็ตกใจ รีบเปิดประตูห้องสองมือจับห่วงวิเศษขึ้นบังซ้ายบังขวา ที่ไหนมีไฟลามลุกก็เอาห่วงวิเศษส่งไปไฟก็ดับสงบลงทันทีทั้งสิ้น ต๊อกกั๊กก็รีบไปช่วยพวกบริวาร ตรวจดูที่ถูกไฟตายเสียครึ่งหนึ่งแลค้นดูเครื่องอาวุธวิเศษที่ได้มาก็หายไปทั้งสิ้น แล้วเดินเลยไปข้างในดูโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ถังซัมจั๋งก็ยังอยู่พร้อม ม้าและข้าวของก็อยู่พร้อม ต๊อกกั๊กคิดขึ้นมาก็แค้นใจพูดว่า อันไฟนี้ไม่ใช่ผู้ใดเลยอ้ายเห้งเจียเป็นแน่ เมื่อเวลาข้าลงนอนไม่มีความสุข ชะรอยอ้ายลิงมันแปลงมาจะขโมยของวิเศษของเรา มันจะเห็นท่าว่าจะเอาไม่ได้แล้ว มันจึงได้ลักเอาของเหล่านั้นไป จึงได้ปล่อยมังกรไฟให้เผาอย่างนี้ มันคิดจะใคร่เผาเราให้ตาย แม้อ้ายชาติลิงจะคิดกลอุบายประการใดก็คงป่วยการเปล่า มันมิได้รู้ว่าของวิเศษของเรานั้น ลงน้ำก็ไม่จมเผาไฟก็ไม่ไหม้ แม้ว่ากูจับอ้ายลิงนี้ได้ก็จะสับฟันให้สาแก่ใจกู พูดคร่ำครวญสักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงไก่ขันจวนจะแจ้ง
   ฝ่ายพวกเทพบุตรบนยอดเขา โลเฉียครั้นได้อาวุธกลับคืนแล้วจึงพูดแก่เห้งเจียว่า สว่างแล้วพวกเราพากันลงไปกำจัดปีศาจโดยเร็วในเวลากำลังตกใจอยู่ฉะนี้ แลให้ฮ้วยเต๊กแชกุนเอาไฟปล่อยเผาช่วยเป็นกำลัง​ท่านเห้งเจียจงไปรบกับปีศาจบางทีครั้งนี้จะจับตัวได้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าเห็นการจะสำเร็จได้ พูดดังนั้นแล้วต่างก็จัดแจงแต่งตัวพร้อม เห้งเจียออกหน้าโลเฉียกับเทพบุตรแลถักทะลีทีอ๋องก็ยกพลหนุนตามไป ครั้นถึงหน้าถ้ำแลไปเห็นบานประตูถ้ำทั้งสองบานถูกไฟไหม้เป็นเถ้าไปทั้งสิ้น ในประตูนั้นเห็นพวกปีศาจบริวารสองสามปีศาจกำลังเก็บกวาดขี้เถ้าอยู่ เห้งเจียร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่าอ้ายปีศาจมึงจงออกมารบกับกูให้เห็นฝีมือกันว่าผู้ใดจะดีกว่ากัน จนถึงแพ้ชนะในครั้งนี้
   ปีศาจบริวารได้ยินเสียงตวาดดังนั้น แลไปเห็นเห้งเจียก็ทิ้งไม้กวาดวิ่งเข้าไปบอกต๊อกกั๊กว่าใต้อ๋องอ้ายลิงมาอีกแล้ว ต๊อกกั๊กได้ยินดังนั้นก็ตกใจ มือจับทวนกระโดดลงจากแท่นเดินออกมายังประตูถ้ำแลเห็นเห้งเจียยืนอยู่ จึงร้องด่าว่าอ้ายผู้ร้ายปล้นเผาเรือนเก็บทรัพย์ มึงจะมีฝีมือสักเท่าใดก็จงมารบสู้กันจนถึงแพ้ชนะอย่าหนี ว่าแล้วก็ยกทวนแทงไปหวังให้ถูกเห้งเจีย เห้งเจียก็ยกตะบองขึ้นรับปัดป้องไว้รบกันอยู่ช้านานหลายเพลง
   ฝ่ายโลเฉียถักทะลีทีอ๋องและเทพบุตรทั้งหลาย ก็ช่วยกันเข้าระดมรบฮ้วยเต๊กแชกุนก็ปล่อยไฟ พวกรามสูรก็ขว้างขวานฟ้าผ่าลงมา ถักทะลีทีอ๋องถือง้าวเข้าช่วยเห้งเจียรบ โลเฉียเอาอาวุธวิเศษหกอย่างเข้าระดมรบ หมู่เทพยดาต่างแผลงฤทธิ์เข้าระดมพร้อมกันทุก ๆ คน แต่ปีศาจก็มิได้สะดุ้งหวาดหวั่น หัวเราะแล้วมือก็ล้วงเอาห่วงวิเศษออก​จากมือเสื้อขว้างไปร้องว่าให้เก็บ ห่วงวิเศษก็เอาอาวุธเหล่านั้นและตะบองเหล็กของเห้งเจียไปได้ทั้งสิ้น ฝ่ายปีศาจต๊อกกั๊กเมื่อมีชัยชนะแล้วก็พาบริวารปีศาจกลับเข้าถ้ำ สั่งบริวารให้เอาศิลาก้อนซ้อนทำปิดแทนประตูถ้ำขึ้นใหม่ แลจัดทำห้องหับให้เรียบร้อยดีแล้ว จะให้เอาพระถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งมาฆ่าบวงสรวงที่ทางแล้ว จึงเอาเลี้ยงกันเป็นที่รื่นเริงในพวกเรา ปีศาจทั้งหลายได้ฟังนายสั่งดังนั้นก็ไปจัดการตามนายสั่ง
   ฝ่ายหมู่เทพยดา ครั้นแพ้ฝีมือปีศาจแล้วก็พากันกลับไปยังยอดเขากิมเง่ซัว ถักทะลีทีอ๋อง โลเฉีย ฮ้วยเต๊กแชกุนกับเห้งเจีย ต่างก็มีความโกรธแค้นเว้นแต่จุ๊ยเต๊กแชกุนนั่งนิ่งอยู่ เห้งเจียอุตส่าห์สะกดใจแข็งทำหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านทั้งหลายอย่ามีความวิตกเลย ไว้ธุระข้าพเจ้าจะไปสืบสาวราวเรื่องของอ้ายปีศาจนี้ ให้ทราบเหตุผลได้ความจริงก่อน โลเฉียพูดว่าท่านใต้เซีย เมื่อครั้งก่อนได้ขึ้นไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ก็ได้สืบตรวจดูจนชั้นฟ้าแล้วก็ไม่ได้ความ ก็บัดนี้ท่านจะไปสืบที่ไหนอีกเล่า เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้าคิดว่าพระพุทธเจ้ามีอภินิหารย์เป็นสัพพัญญูรู้ทั่วโลกหาผู้ใดเปรียบเสมอมิได้ ข้าพเจ้าจะทูลถามก็จะรู้ได้ว่าปีศาจตนนี้จะเป็นสิ่งอะไร และจะใคร่จับปีศาจนั้นแก้แค้นให้ท่านทั้งหลายสิ้นธุระได้กลับไปยังเมืองสวรรค์
   ถักทะลีทีอ๋อง โลเฉียกับหมู่เทพยดาทั้งหลายพูดว่าท่านใต้เซีย พูดอย่างนี้ชอบแล้วถูกแล้ว ขอเชิญท่านรีบไปเถิด เห้งเจียก็รับว่าข้าพเจ้าจะไปเดี๋ยว​นี้ ว่าแล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศตรงมาบัดเดี๋ยวก็ถึง เห้งเจียลงยังพื้นเดินพิจารณาดูรอบทั้งซ้ายขวา ได้ยินเสียงคนเรียกว่าซึงหงอคงไปอยู่ที่ไหนจะไปข้างไหน เห้งเจียหันหน้ามาดู เห็นนางภิกขุนี เห้งเจียก็ยกมือขึ้นคำนับแล้วจึงพูดว่า ข้าพเจ้ามีกิจมาเฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้า นางภิกขุนีพูดว่า ท่านจะหาพระยูไลทำไมไม่ขึ้นไปบนสำนักแก้วเล่า เห้งเจียพูดว่า ข้าพเจ้าพึ่งมายังไม่เคยไม่เข้าใจว่าควรจะเฝ้าได้ในที่ใด นางภิกขุนีบอกว่าท่านจงเดินตามข้าพเจ้าไปเถิดจะพาท่านไป
   เห้งเจียก็เดินตามนางภิกขุนีมาประเดี๋ยวก็ถึงประตูวัดลุ่ยอิมยี่ แลไปข้างในก็เห็นหมู่พวกพรหม อินทร์และเทพบุตรสาวกนั่งเฝ้าอยู่ เห้งเจียก็พักคอยอยู่ข้างนอก นางภิกขุนีก็เข้าไปกราบทูล พระองค์ทรงทราบแล้วก็รับสั่งว่าให้เห้งเจียเข้าไปเฝ้า เห้งเจียเข้าไปถึงก็ถวายอะภิวาทกราบไหว้โดยเคารพ แล้วนั่งคุกเข่าพนมมือท่าพรหม สมเด็จพระผู้มีพระภาคจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสถามเห้งเจียว่า หงอคงตถาคตได้ยินว่ากวนอิมโพธิสัตว์โปรดให้ออกจากทรมาทุกข์แล้ว และให้สมาทานถือศีลปฏิบัติธรรม และให้รักษาพระถังซัมจั๋งให้มาถึงนี่ เพื่อจะได้อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ทำไมจึงมาแต่ผู้เดียวเล่า มีกิจธุระสิ่งใดหรือ
   เห้งเจียยกมือขึ้นเคารพแล้วทูลว่า ขอพระองค์ได้โปรด ข้าพระองค์ตั้งแต่สมาทานศีลแล้ว ก็ติดตามรักษาพระถังซัมจั๋งมา บัดนี้เดินทางมาถึงภูเขากิมเง่ซัว พบปีศาจมารร้ายเรียกนามว่า จู๊ต้าย​อ๋องมีฤทธิ์อานุภาพเชี่ยวชาญทำกลอุบายจับเอาพระถังซัมจั๋งกับโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งไว้ในถ้ำ ข้าพเจ้าได้รบพุ่งต่อสู้แก่ปีศาจหลายครั้ง แลได้พึ่งเง็กเซียงฮ่องเต้ ให้หมู่เทพยดาเทพารักษ์ลงมาช่วย ก็พ่ายแพ้แก่ปีศาจไปทั้งสิ้น ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดช่วยปราบปีศาจร้าย เพื่อให้พระถังซัมจั๋งรอดพ้นจากมือมาร จะได้ตั้งความเพียรให้ถึงแก่มรรคผล สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อได้ทรงฟังเห้งเจียกราบทูล ก็ทรงทราบโดยพระญาณวิถี จึงมีพระพุทธฎีกาบริหารตรัสแก่เห้งเจียว่า อันปีศาจนั้นแม้ว่าพระตถาคตรู้เหตุการณ์ตลอดแล้ว ก็ไม่ควรจะแพร่งพรายให้เห้งเจียรู้แจ้งได้ ตถาคตจะให้แต่สิ่งอันประกอบธรรมไปช่วยจับปีศาจได้อยู่ เห้งเจียทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์จะประทานสิ่งใดแก่ข้าพเจ้าให้ไปปราบจับปีศาจร้าย ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าทราบ
   สมเด็จพระผู้มีพระภาค จึงสั่งสิบแปดพระอรหันต์ เปิดห้องแก้วหยิบยากิมตันสิบแปดเม็ด เอาไปถือต่างพระองค์ ๆ ละเม็ด ไปช่วยเห้งเจีย ๆ ทูลถามว่า ยากิมตันนั้นจะเป็นประการใด พระองค์ตรัสว่า ครั้นเวลาถึงถ้ำปีศาจแล้ว เห้งเจียจงไปท้าล่อให้ปีศาจออกมานอกถ้ำ แล้วให้พระอรหันต์ เอายากิมตันขว้างล้อมปีศาจมิให้ออกมาได้ เมื่อเวลานั้นเห้งเจียจะทำอย่างไรก็แล้วแต่เห้งเจีย เห้งเจียได้ฟังพระองค์ตรัสชี้แจงสั่งดังนั้นก็มีความยินดี พูด​ว่ายาวิเศษ ๆ ขอได้โปรดรีบไปโปรดเถิด สิบแปดพระอรหันต์ก็เข้าไปหยิบยากิมตันองค์ละเม็ดออกมาจากห้องแล้ว นมัสการพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เสด็จปาฏิหารย์เหาะไปยังเขากิมเง่ซัวพร้อมกับด้วยเห้งเจีย ๆ เหาะตามมาข้างหลังคอยตรวจดู เห็นพระอรหันต์หายไปสององค์ เห้งเจียจึงพูดว่านี่ท่านไปข้างไหนเสียสององค์
   พระอรหันต์จึงถามว่าท่านบ่นอะไร เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าได้เห็นพระอรหันต์สิบแปดองค์มาด้วยกัน บัดนี้ทำไมจึงเห็นแต่สิบหกองค์เล่า พูดยังไม่ทันขาดคำก็เห็นพระอรหันต์มาอีกสององค์ พูดว่าเห้งเจียทำไมทิ้งเราเสียสององค์เล่า ด้วยอาตมภาพทิ้งสองล้าหลังคอยฟังคำสั่งพระพุทธเจ้าอยู่ เห้งเจียพร้อมกับพระอรหันต์สิบแปดพระองค์เหาะมา บัดเดี๋ยวก็ถึงเขากิมเง่ซัว ถักทะลีทีอ๋อง แลเห็นก็รีบพาหมู่เทพบุตรออกมาคำนับรับเข้านั่งที่แล้ว ถักทะลีทีอ๋องจึงเล่าความให้พระอรหันต์ฟังทุกประการ พระอรหันต์ตรัสว่าไม่ต้องเล่าจะช้าไปเปล่าๆ จงรีบไปล่อให้ปีศาจออกมาเถิด เห้งเจียได้ฟังพระอรหันต์ดังนั้น ก็แผลงฤทธิ์กำหมัดกัดฟันกะโดดลงไปยังหน้าถ้ำร้องด่าว่าท้าทายด้วยถ้อยคำอันหยาบช้าต่าง ๆ เพื่อให้ปีศาจมีใจโกรธจะได้ออกมาโดยเร็ว
   ฝ่ายพวกปีศาจที่เฝ้าประตูถ้ำ เมื่อได้เห็นเห้งเจียมาร้องด่าท้าทายดังนั้น ก็รีบนำความเข้าไปแจ้งแก่ต๊อกกั๊กใต้อ๋อง ๆ ได้ฟังบริวารบอกดังนั้นก็บันดาลโทสะเป็นกำลัง ก็จับทวนเป็นอาวุธสำหรับมือ​ถือเดินออกมา เห็นเห้งเจียยืนอยู่ก็ร้องด่าว่าอ้ายชาติไพร่ไม่มีความอาย มึงแพ้กูหลายครั้งแล้วยังหารู้สึกคิดหนีเอาตัวรอดไม่ ยังจะกลับมาหาที่ตายหรือ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่าอ้ายมารร้าย มึงไม่รู้จักดี ถ้ามึงจะใคร่ให้ตาของมึงไม่มา มึงจงยอมสวามิภักดิ์ส่งอาจารย์ของเราและน้องเราทั้งสองออกมาแล้ว เราจึงจะละเจ้าไม่มารบกวนต่อไป ปีศาจตอบว่าคนทั้งสามนั้น เราชำระขัดล้างไว้ดีแล้ว ไม่ช้าจะทำกับกินเป็นแกล้มสุรากินเล่นให้อร่อย เจ้าเห็นจะยังไม่รู้ดอกกระมัง จึงยังมาร้องทวงดังนี้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็สะกดใจไม่อยู่ กำหมัดตรงเข้าไปจะชกปีศาจ ๆ ก็เอาทวนรบปัดป้องแล้วเอาทวนแทงเห้งเจีย ๆ ก็ตลบซ้ายตลบขวาล่อให้ปีศาจไล่ตามมา
   ปิศาจมิได้ทราบในกลอุบาย ก็ขยิกไล่เห้งเจียออกมาพ้นหน้าถ้ำข้างทิศอาคเนย์ เห้งเจียเห็นได้ทีก็ร้องให้พระอรหันต์สิบแปดองค์ เอายากิมตันขว้างลงมา ยาก็บันดาลเป็นเม็ดทรายตกลงมาดุจห่าฝน บัดเดี๋ยวทรายท่วมขึ้นสามศอกเศษ ปีศาจยืนงงงวยมองดูที่เท้าก็เห็นทรายยิ่งพูนมากขึ้นทุกที ปีศาจก็กระโดดขึ้นยืนบนหน้าทรายยั้งตัวไม่ใคร่อยู่ มองดูบัดเดี๋ยวเห็นทรายท่วมขึ้นมาอีกสองสามศอก ปีศาจตกใจก็รีบชักห่วงออกขว้างขึ้นไปร้องให้เก็บคำหนึ่ง ห่วงก็รวบยากิมตันสิบแปดเม็ดมาได้หมด ปีศาจเก็บยากิมตันมาได้แล้วก็กลับไปยังถ้ำ
   ฝ่ายพระอรหันต์ก็เหลือแต่มือเปล่ายืนอยู่บนเมฆ เห้งเจีย​เข้ามาใกล้ถามว่า ทำไมท่านไม่ปล่อยยาลงมาเล่า พระอรหันต์บอกว่าขว้างลงไปแล้ว ได้ยินเสียงอะไรดังเปรี้ยงทีหนึ่ง ยานั้นก็หายไปข้างไหนหมด เห้งเจียหัวเราะพูดว่าอ้ายปีศาจมันเอาไปเสียแล้ว ถักทะลีทีอ๋องว่ากำจัดมันยากที่สุด คราทีนี้จะทำประการใดดีเล่า พระอรหันต์ หั้งเล้ง หกเฮ้าทั้งสองพระองค์พูดแก่เห้งเจียว่า ท่านเข้าใจหรือเปล่าเมื่อออกจากอาราม อาตมภาพล้าหลังอยู่นั้นว่าเป็นอย่างไร เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าไม่เข้าใจเลย พระอรหันต์บอกว่าพระผู้เป็นเจ้าได้สั่งว่าปีศาจต๊อกกั๊กมีฤทธิ์เชี่ยวชาญ แม้ว่ามันเรียกเอากิมตันนั้นไปได้ ก็ให้เห้งเจียขึ้นไปชั้นดุสิตวิมานลีหึนที่สำนักท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุนอยู่นั้น สืบดูก็จะรู้เหตุผลแห่งปีศาจนั้น บางทีกระพริบตาเดียวก็จะจับตัวได้ เห้งเจียว่าน่าแค้นแท้ ๆ เมื่อแรกจะโปรดบอกเสียก็จะแล้วกัน ไม่ต้องให้ท่านทั้งหลายมาให้ป่วยการ
   ถักทะลีทีอ๋องพูดว่าพระพุทธเจ้าได้โปรดชี้แจงดังนั้นแล้ว ท่านเห้งเจียจงรีบไปสืบดูเถิด เห้งเจียก็เหาะขึ้นบนเวหาตรงไปยังชั้นดุสิตเข้าไปในวิมานลีหึนเกง ครั้นถึงที่ท้ายเสียงเล่ากุนอยู่ เห้งเจียก็ค่อยเดินเข้าไปแลเห็นเทพบุตรน้อยสองคนยืนเฝ้าข้างหน้าสำนัก เห้งเจียก็ไม่บอกว่ากระไรเดินเลยเข้าไปข้างใน กำลังเดินเข้าไปก็เห็นท้ายเสียงเล่ากุนเดินออกมา เห้งเจียก็ลดลงคำนับแล้วพูดว่า นานแล้วข้าพเจ้ามิได้มาเยือน​ท่าน ท้ายเสียงเล่ากุนหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายลิงทำไมไม่ไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมเจ้ามาที่ข้าจะมีธุระอะไรหรือ
 เห้งเจียบอกว่าข้าพเจ้าไปอาราธนาพระธรรม ไม่มีเวลาหยุดหย่อนเพราะหนทางไกลและกันดาร ทั้งมียักษ์มารปีศาจร้ายและสัตว์ร้ายต่างๆ จึงต้องมาดังนี้ ท้ายเสียงเล่ากุนว่าหนทางไซทีขัดข้องก็ไม่เกี่ยวอะไรแก่เรา เห้งเจียว่าท่านอย่าเพ่อพูดแม้สืบเหตุผลได้แล้วก็จะมัวหมองถึงตัวท่านด้วยหลบไม่พ้น ท้ายเสียงเล่ากุนว่าเราอยู่เบื้องบนมีเหตุผลอะไรจึงต้องมาสืบที่เรา เห้งเจียเดินเข้าไปสองตาเที่ยวสอดมองซ้ายมองขวา เดินเข้าไปอีกสองสามห้องมองไปที่ระเบียง เห็นข้างคอกโคมีเด็กนอนอยู่คนหนึ่งโคไม่มี    
   เห้งเจียจึงหันมาบอกแก่ท้ายเสียงเล่ากุนว่าโคของท่านหนีไปแล้ว ท้ายเสียงเล่ากุนตกใจเดินมาดูก็ไม่เห็นโคจึงพูดว่าอ้ายสัตว์นี้มันหนีไปเมื่อไร ท้ายเสียงเล่ากุนกำลังบ่นว่าเด็กน้อย เด็กน้อยตกใจตื่นผุดลุกขึ้นคุกเข่าเคารพพูดว่า ข้าพเจ้ากำลังนอนไม่ทราบว่าโคมันหนีไปเมื่อไร ท้ายเสียงเล่ากุนก็ด่าว่าเจ้าทำไมจึงนอนจนไม่รู้สึกตัวดังนี้ เด็กนั้นพูดว่าข้าพเจ้าอยู่ห้องยาเก็บได้ยากิมตันเมล็ดหนึ่ง กินเข้าไปแล้วก็นอนหลับไปไม่รู้สึกตัว
   ท้ายเสียงเล่ากุนจึงระลึกได้ว่าเมื่อวันก่อนนั้นได้ประกอบยาวิเศษไว้หายไปเสียเมล็ดหนึ่งมันเก็บเอาไปกิน ยานั้นใครกินเมล็ดหนึ่งก็นอนหลับไปเจ็ดวัน โคนั้นไม่มีใครเลี้ยงดูมัน เพราะฉะนั้นมันจึงได้หนีลงไปเมืองใต้ วันนี้ก็ได้เจ็ดวันแล้วท้ายเสียงเล่ากุน​ก็ตรวจของวิเศษว่าจะหายสิ่งใดบ้าง เห้งเจียว่าไม่เห็นมีสิ่งใด เห็นแต่ห่วงเหล็กอย่างเดียวเป็นของมีฤทธิ์มาก ท้ายเสียงเล่ากุนจึงเดินเข้าไปดูข้างในจึงได้รู้ว่ากิมกางต๊อกหายไป จึงพูดว่ามันลักเอากิมกางต๊อกของวิเศษไป เห้งเจียพูดว่าของวิเศษสิ่งนี้ครั้งก่อนได้ตีข้าพเจ้า บัดนี้อ้ายสัตว์เดรัจฉานโคมันลักไปเมืองใต้แผลงอิทธิฤทธิ์ มันได้เรียกเอาของวิเศษไปมากแล้ว ท้ายเสียงเล่ากุนจึงถามว่าบัดนี้มันอยู่ตำบลไหน เห้งเจียบอกว่าบัดนี้มันตั้งตัวอยู่ที่ตำบลเขากิมเง่ซัวถ้ำกิมเง่ต๋อง มันจับพระถังซัมจั๋งไปไว้เอาตะบองเหล็กของข้าพเจ้าไป ทั้งเครื่องอาวุธของถักทะลีทีอ๋องโลเฉีย กับเครื่องไฟของฮ้วยเต๊กแชกุน แลเครื่องกั้นน้ำของจุ๊ยเต๊กแชกุน และเอายาวิเศษของพระอรหันต์สิบแปดเม็ด ที่พระพุทธเจ้าให้มานั้นมันก็เรียกเก็บเอาไปทั้งสิ้น ท่านท้ายเสียงเล่ากุนปล่อยสัตว์ร้ายลงไปแย่งชิงเข้าของแลฆ่าคนดังนี้ โทษของท่านจะมีประการใด
   ท้ายเสียงเล่ากุนพูดว่า กิมกางต๊อกของเรานั้น เป็นของประกอบขับมารร้าย เราฝึกทำมาตั้งแต่เด็กจนได้สำเร็จเป็นของวิเศษ เราต่อให้ของวิเศษอย่างไรไฟหรือน้ำก็หาอาจทำลายได้ไม่ ถ้าหากมันลักเอาพัดไปได้ด้วย ก็ไม่สามารถจะคิดแก้ไขได้ นี่มันลักเอาไปแต่สิ่งเดียวไม่เป็นไร เห้งเจียได้ฟังท้ายเสียงเล่ากุนพูดดังนั้น ก็มีความยินดีค่อยมีความเบาใจลงมาก ท้ายเสียงเล่ากุนก็จับพัดขึ้นเหยียบเมฆเหาะลง​ไป เห้งเจียก็เหาะตามท้ายเสียงเล่ากุนมา ออกจากประตูน่ำทีหมึงมายังเขากิมเง่ซัว บัดเดี๋ยวก็ถึงพบกับสิบแปดพระอรหันต์แลหมู่เทพยดาทั้งหลาย เล่าความให้ท้ายเสียงเล่ากุนฟังทุกประการ ท้ายเสียงเล่ากุนจึงบอกให้เห้งเจียไปล่อให้ปีศาจมันออกมา เราจะได้จับตัวมันกลับคืนไป
   เห้งเจียได้ฟังท้ายเสียงเล่ากุนสั่งดังนั้นก็กระโดดลงไปยังหน้าถ้ำร้องท้าด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายปีศาจมึงจงเร่งออกมารับความตาย ปีศาจต๊อกกั๊กคิดในใจว่า อ้ายลิงหัวขโมยมันจะไปพาใครมาอีกดอกกระมังจึงกลับมาร้องท้าทายอยู่ดังนี้ คิดแล้วก็จับทวนถือเดินออกมาจากถ้ำ ฝ่ายเห้งเจียครั้นเห็นต๊อกกั๊กเดินออกมา ก็แกล้งด่าว่าอ้ายสัตว์ร้ายมึงจะตายในวันนี้แล้ว เห้งเจียก็กำหมัดกระโดดเข้าชกถูกที่หูปีศาจ แล้วก็หันกลับวิ่งหนีไปล่อให้ไล่ ฝ่ายปีศาจต๊อกกั๊กก็ถือทวนไล่แทงเห้งเจียมา ได้ยินเสียงเรียกว่าอ้ายโคน้อยมึงยังไม่กลับที่หรือ ปีศาจเงยหน้าขึ้นไปดูก็เห็นท้ายเสียงเล่ากุนตกใจสะดุ้งหวาด นึกว่าอ้ายลิงนี้มันดีจริงทำไมจึงรู้การดังนี้หนอ สามารถไปเชิญท่านเจ้าของ ๆ เรามาได้ ท้ายเสียงเล่ากุนร่ายเวทคาถาเอาพัดโบกลงไปทีหนึ่ง
ปีศาจก็เอาห่วงขว้างขึ้น ท้ายเสียงเล่ากุนก็จับเอาห่วงนั้นไว้ได้ ก็เอาพัดโบกลงไปปีศาจนั้นก็สลดลงทันที มีอาการให้มือแลเท้าอ่อนเปลี้ยก็กลายกลับเป็นโคไปอย่างเดิม
ท้ายเสียงเล่ากุนก็เอากิมกางต๊อกเจาะจมูกแล้วเป่าทีหนึ่งก็ทะลุ ​แก้เชือกคาดพุงออกร้อยผูก มือหนึ่งก็จับสายตะพาย แล้วก็ลาเทพบุตรทั้งหลาย ขึ้นนั่งบนหลังโคเหาะไปยังวิมานลีหึนเกง ฝ่ายเห้งเจียกับเทพบุตรทั้งหลายก็พากันเข้าในถ้ำ ต่างก็เก็บเอาอาวุธเครื่องมือของตน ๆ เห้งเจียก็ตีพวกปีศาจบริวารตายหมดสิ้น เทพยดาทั้งหลายได้อาวุธแลเครื่องมือแล้ว ก็ลากลับไปยังวิมานแห่งตน ๆ เห้งเจียก็เข้าไปชั้นในแก้อาจารย์และโป๊ยก่ายซัวเจ๋งออก เก็บข้าวของและม้าได้พร้อมแล้ว อาจารย์กับศิษย์ก็พากันออกจากถ้ำเดินไป กำลังเดินมานั้นได้ยินเสียงคนร้องเรียกอยู่ข้างทางว่า ท่านอาจารย์ฉันจังหันเสียก่อนจึงค่อยไป

13 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 38 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสาม ออกจากเมืองเซียตี้ก๊กแล้วก็หมายทิศปราจิณตรงไป กลางวันก็ออกเดิน กลางคืนก็หาที่พัก​อาศัยหลับนอนผ่อนพักมาตามระยะทาง มาวันหนึ่งเดินไป ในสมัยนั้นเป็นฤดูร้อน ท้องฟ้าก็แจ่มแจ้ง ครั้นเวลาจวนค่ำพระถังซัมจั๋งถามเห้งเจียว่า คืนวันนี้เราจะอาศัยพักนอนที่ไหน เห้งเจียตอบว่ามีแสงเดือนสว่างเดินไปอีกสักพักหนึ่ง จึงค่อยหาที่พักนอนเถิด พูดดังนั้นแล้วก็เดินไปอีกสักครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคลื่นซัดน้ำดังออกฉาดฉาน โป๊ยก่ายได้ยินเข้าแล้วจึงพูดว่าสิ้นหนทางแล้ว ซัวเจ๋งพูดว่ามีลำแม่น้ำขวางหน้า พระถังซัมจั๋งว่าไม่รู้ว่าแม่น้ำจะกว้างสักเท่าใด
   เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าจะเหาะขึ้นไปดูก็จะรู้ได้ว่าจะเป็นประการใด ว่าแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้นไปบนกลางอากาศ เอามือป้องเพ่งดูก็เห็นสายน้ำขาวไกลลิบ ๆ ดุจทะเลหลวงไม่รู้ว่ากว้างสักเท่าใด เห้งเจียกลับลงมาบอกแก่พระอาจารย์ว่า กว้างแท้ ๆ ข้าพเจ้าเพ่งดูด้วยตาก็ยังแลไม่เห็นฝั่ง ตาข้าพเจ้าเห็นได้ไกลถึงพันโยชน์ ข้าพเจ้าแลสุดตาก็ยังไม่เห็นฝั่งจึงไม่ทราบว่าจะกว้างสักเท่าใด พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นมีความวิตกเป็นที่สุดจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นเราจะคิดอ่านประการใดจึงจะข้ามได้
   ซัวเจ๋งชี้มือไปข้างริมฝั่งบอกว่าพระอาจารย์จงดู ที่ริมฝั่งตั้งอยู่ดูเหมือนรูปคนยืนไม่ใช่หรือ เห้งเจียเดินไปดูก็หาใช่คนไม่ เป็นเสาศิลาเขาปักไว้ ที่เสาศิลามีอักษรตัวใหญ่จารึกไว้สามตัว คือลำแม่น้ำ (ทงทีฮ้อ) ต่อลงมาข้างล่างมีอักษรตัวเล็กสองแถวสิบตัว คือ (เกีย​ก่วยโป๊ยเชยลึ้โก๊โป้นั้งเกี๊ย) แปลภาษาไทยว่าข้ามไปแปดพันโยชน์เดิมมาไม่มีคนเดิน เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงนิมนต์อาจารย์มาดู พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นแล้วในใจก็เร่าร้อนเต็มไปด้วยความวิตกไม่มีความสบาย
   โป๊ยก่ายบอกว่าพระอาจารย์จงฟังดู นั่นจะเป็นเสียงกลองแลม้าฬ่อตีที่ไหน เห็นจะเป็นบ้านแถวเหล่านี้มีกระมัง ชะรอยเขาจะทำกงเต๊กพวกเราพากันไปที่นั่น หาเครื่องแจกินเห็นจะดีแล้วจะได้ถามดูลาดเลาเหตุผลในลำแม่น้ำนี้ดูว่าจะเป็นประการใด ถ้ารู้เรื่องแล้วจะได้คิดอ่านข้ามไป พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าก็ได้ยินเสียงกลองแลม้าฬ่อเหมือนกัน จึงชักม้าหันหน้าไปตรงนั้น แต่หามีทางเดินไม่ ต้องพากันบุกรกลุยโคลนไป เดินมาประเดี๋ยวก็แลเห็นหมู่บ้านคนอยู่ ประมาณสี่ห้าร้อยหลังเรือน มีบ้านหนึ่งอยู่ต้นทางตั้งเสาธงสองเสาในบ้านนั้นตามโคมไฟสว่าง มีกลิ่นธูปเทียนดอกไม้หอมฟุ้งมานอกบ้าน ครั้นถึงบ้านพระถังซัมจั้งก็ลงจากม้า สำรวมกิริยาแล้วมือถือไม้เท้าเดินเข้าไปที่ประตูบ้าน แลเห็นประตูเปิดแง้มอยู่บานหนึ่งไม่อาจเข้าไป จึงยืนรออยู่ที่หน้าประตู ประเดี๋ยวเห็นผู้เฒ่าเดินมาที่นั่นคนหนึ่ง ที่คอสวมประคำปากภาวนาว่า พุทโธ ๆ เดินออกมาเปิดประตูบ้าน พระถังซัมจั๋งเห็นแล้วก็ย่อตัวร้องเรียกว่า ท่านตาอาตมภาพปราถนาจะใคร่ถามสักหน่อย
   ฝ่ายผู้เฒ่าครั้นแลเห็นพระสงฆ์ก็ยกมือขึ้นนมัสการแล้วถามว่าท่านทำไมมาล้าหลังจนป่านนี้เล่า พระถังซัมจั๋งไม่เข้าใจจึงถามว่า​ท่านตาว่ากระไรข้าพเจ้าไม่เข้าใจ ผู้เฒ่าจึงพูดว่าวันนี้บ้านข้าพเจ้าเมื่อเวลาเพลถวายข้าวสงฆ์และถวายสบงจีวรกับข้าวสารและเงิน ท่านมาถึงเวลานี้สิ่งของก็หมดเสียแล้ว พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าท่านตา ข้าพเจ้ามาบัดนี้มิได้ต้องการสิ่งใด อาตมภาพมาจากเมืองใต้ถังมีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้อาตมภาพไปประเทศไซที อาราธนาพระไตรปิฎก ครั้นมาถึงตำบลนี้เวลาก็พอค่ำ ได้ยินเสียงกลองและม้าฬ่อจึงได้ตรงมาหวังใจจะขออาศัยพักนอนสักคืนหนึ่ง พอรุ่งเช้าก็จะลาไป ตาเฒ่าได้ฟังดังนั้นก็ยกมือสั่นว่า ท่านเป็นสมณะอย่ากล่าวเช่นนั้นเลย อันเมืองใต้ถังมาถึงที่นี่ระยะทางห้าหมื่นสี่พันโยชน์ รูปร่างท่านเล็กน้อยเช่นนี้ทำไมจึงจะมาได้ ข้าพเจ้าสงสัยนัก พระถังซัมจั๋งพูดว่า คำของท่านตาที่ว่าไม่เชื่อก็สมควรอยู่แล้ว แต่อาตมภาพมีศิษย์สามคนตามรักษาจึงมาได้จนถึงที่นี่ ตาเฒ่าถามว่าท่านมีศิษย์ทำไมจึงไม่เห็นมากับท่านเล่า
ตอน ปราบปิศาจเกราะเหล็กไหลจอมเจ้าเล่ห์
   พระถังซัมจั๋งจึงหันหน้าไปเรียก เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง คนทั้งสามได้ยินอาจารย์เรียกก็พากันยกหาบจูงม้าเดินมา ตาเฒ่าเห็นหน้าตาดุร้ายน่ากลัวทั้งสามคน ก็ตกใจสิ้นสติล้มลงปากก็ร้องว่า ผี ยักษ์ร้ายมาแล้ว พระถังซัมจั๋งก็เข้าพยุงตาเฒ่าให้ลุกขึ้นแล้ว บอกว่าท่านตาอย่ากลัวเลย ทั้งสามคนนี้เป็นสานุศิษย์ของอาตมภาพเอง ไม่ใช่ผี ใช่ยักษ์อะไรที่ไหนดอก ตาเฒ่าจึงค่อยได้สติพูดว่า อาจารย์​รูปร่างงดงามดีสานุศิษย์ทำไมรูปร่างจึงได้เป็นอย่างนี้ พระถังซัมจั๋งพูดว่า รูปร่างไม่น่าดูก็จริง แต่มีฤทธาอานุภาพอาจจับเสือและมังกรได้ และจับผี ปีศาจ ยักษ์ร้ายก็ได้ ตาเฒ่าได้ฟังดังนั้นก็ไม่ใคร่จะเชื่อ จึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งขึ้นบนเรือน ในบ้านมีหลวงจีนสองสามรูป กำลังสวดมนต์อยู่ที่หน้าโต๊ะหันหน้าไปเห็นเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งทั้งสามคนเดินขึ้นมา ต่างก็ตกใจไม่เป็นสมประดีล้มลุกคลุกคลานลุกขึ้นวิ่งหนีซุกซ่อนตัว ในบ้านโคมไฟก็ดับหมด
   เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็หัวเราะ จึงร้องไปว่า พวกเจ้าทำไมไม่มีปัญญาที่จะพิจารณาเลย ไม่รู้จักต่ำสูงทำให้เขาตกใจทิ้งบ้านทิ้งสวดมนต์สวดพรเสียวิ่งหนีไปอย่างนั้น คนในบ้านก็พากันวุ่นวายไปทุก ๆ คน พวกเจ้าทำอย่างนี้ก็เหมือนหาความผิดให้แก่เรา
   ตาเฒ่าได้ฟังศิษย์พระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น ก็เชื่อใจว่าเป็นสานุศิษย์แน่ จึงเคารพพระถังซัมจั๋งแล้วพูดว่าท่านอย่ามีความวิตกเลย ซึ่งการทำบุญนั้นก็จวนจะเลิกอยู่แล้ว พูดแล้วก็เรียกคนในบ้านให้จุดตามโคมไฟ คนใช้ได้ยินดังนั้นก็จุดโคมไฟยกมาตั้ง เหลือบไปเห็นโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ตกใจถอยกลับไป และร้องว่า ผี ปีศาจมาแล้ว เห้งเจียจึงจุดไฟขึ้นนิมนต์พระอาจารย์ขึ้นนั่งข้างบน โป๊ยก่ายซัวเจ๋งเห้งเจียก็นั่งเฝ้าอยู่สองข้าง ตาเฒ่าก็มานั่งอยู่ข้างนั้นด้วย คนในบ้านตาเฒ่าอีกคนหนึ่งเดินออกมาถามว่าเวลาค่ำมืดดังนี้ มีผีปีศาจอะไรที่ไหนมา ตาเฒ่าคนนั้นลุกขึ้นบอกว่าพี่เอง มิใช่ผีปีศาจที่ไหนมาท่านอาจารย์ที่​มานี้ เป็นพระสงฆ์มาแต่เมืองใต้ถัง จะไปไซทีอาราธนาพระธรรม สานุศิษย์ของท่านรูปร่างดุร้ายก็จริง แต่ใจดีมีฤทธิ์มาก
   ตาเฒ่าผู้พี่ได้ฟังน้องชายบอกดังนั้น ก็ค่อยวางใจไม่กลัว จึงเข้ามานั่งใกล้สนทนากับพระถังซัมจั๋ง พวกในบ้านแอบมองดู เห็นเจ้าของบ้านทั้งสองคนนั่งสนทนาโต้ตอบกันอยู่ดังนั้น ก็ค่อยหายความกลัว จึงจัดแจงยกน้ำร้อนน้ำชามาถวาย พระถังซัมจั๋งรับประเคนแล้ว ก็ย่อกายขอบใจท่านทั้งหลายทุก ๆ คน แล้วพระถังซัมจั๋งจึงปราศรัยถามว่าท่านตาทั้งสองแซ่อะไร ตาเฒ่าทั้งสองบอกว่า ข้าพเจ้าพี่น้องแซ่ตั๊นพระถังซัมจั๋งพูดว่าท่านทั้งสองร่วมแซ่แก่ข้าพเจ้า ตาเฒ่าทั้งสองถามว่า ท่านอาจารย์ก็แซ่ตั๊นมาหรือ พระถังซัมจั๋งก็ตอบว่าอาตมภาพก็แซ่ตั๊นเหมือนกัน พระถังซัมจั๋งถามต่อไปว่า ท่านตาทำบุญด้วยเหตุอะไร ผู้เฒ่าทั้งสองตอบว่า ข้าพเจ้าทำบุญดังนี้เรียกว่าทำเพื่อตาย โป๊ยก่ายได้ยินก็หัวเราะแล้วพูดว่า ได้ยินแต่เขาทำบุญฝากไป ที่ทำกุศลเพื่อตายดังนี้ไม่เคยได้ยิน ตาเฒ่าถามว่าท่านจะไซทีทำไมไม่ไปตามทางใหญ่ลัดมาทางนี้ด้วยเหตุอะไร
   เห้งเจียตอบว่าอันที่จริงก็เดินตามทางใหญ่ แต่มาปะแม่น้ำขวางหน้า จะข้ามไปไม่ได้ เพราะได้ยินเสียงกลองและม้าฬ่อจึงได้แวะมาหาที่อาศัยพักสักคืนหนึ่ง ตาเฒ่าถามว่าพวกท่านมาถึงริมฝั่งน้ำเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้าเห็นแต่เสาศิลาปักอยู่ นอกนั้นก็ไม่เห็นมีอะไร ตาเฒ่าบอกว่าไปเหนือหลังเสาศิลาสัก​สองสามเส้นมีศาลเจ้าเรียกว่า (เล่งก๊ำใต้อ๋องเบี้ยว) คือศาลเจ้าสักสิทธิ์ท่านไม่เห็นหรือ เห้งเจียตอบว่ายังไม่ได้เคยเห็น แล้วเห้งเจียพูดว่าท่านตาโปรดเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง เหตุใดจึงเรียกว่าศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ตาเฒ่าทั้งสองได้ฟังถามดังนั้น ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นบอกว่า ท่านยังไม่ทราบ เจ้าใต้อ๋องนี้ว่าเป็นอย่างไร คือความศักดิ์สิทธิ์ได้ปกป้องรักษาชาวบ้าน ตำบลนี้ให้มีความสุขฟ้าฝนก็ได้ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวปลาธัญญาหารก็อิ่มเอิบทั่วถึงกันทุกบ้าน
   เห้งเจียจึงว่าศักดิ์สิทธิ์ให้ความสุขอย่างนั้น ก็เป็นความดีความเจริญอย่างยิ่งแล้ว ทำไมท่านตาทั้งสองจึงร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยเหตุอย่างไร ตาเฒ่าทั้งสองยกมือขึ้นทุบ อก พูดว่าท่านยังไม่ทราบอันมีคุณนั้นก็จริง แต่มีความคับแค้นเพราะฆ่าคน คือเจ้านั้นขอบกินเด็กทั้งเป็นมิใช่เจ้ายุติธรรม เห้งเจียถามว่าเจ้านั้นชอบกินเนื้อเด็กๆ หรือ ตาเฒ่าทั้งสองตอบว่าเจ้าชอบกินเนื้อเด็ก ๆ จริง เห้งเจียถามว่าเห็นจะมาถึงเวรบ้านท่านดอกกระมัง ตาเฒ่าตอบว่าปีนี้ถึงกำหนดข้าพเจ้าจะต้องเซ่นไหว้ ที่ตำบลนี้ยังเกี่ยวขึ้นอยู่ในเมืองเซียตี้ก๊ก บ้านนี้เรียกว่าบ้านตั๊นแกจึง เจ้าศักดิ์สิทธิ์นี้ปีหนึ่งต้องเซ่นหนหนึ่ง ต้องเอาเด็กชายหนึ่งหญิงหนึ่งและสุกร เป็ด ไก่ ของต่าง ๆ แม้ว่ารับเครื่องเซ่นนี้แล้ว ก็รักษาปกป้องคุ้มครองในตำบลนี้ได้ มีความสุขทั่วกันทุก ๆ บ้าน ถ้าไม่เซ่นไหว้ตามเคยอย่างทุกปี ก็จะลงโทษกระทำร้ายต่าง ๆ ไม่มีความสุขทั่วกันทั้งตำบล
   เห้งเจียถามว่าในบ้านท่านตามีบุตรสักกี่คน ​ตาเฒ่าจึงเอามือทุบอกแล้วพูดว่า ท่านอย่าถามเรื่องลูกเลย คนนี้น้องชายข้าพเจ้าชื่อตั๊นเชงข้าพเจ้าชื่อตั๊นเท่ง ปีนี้อายุข้าพเจ้าได้หกสิบสามปีแล้ว น้องชายอายุได้ห้าสิบแปด ข้าพเจ้ามีบุตรหญิงคนหนึ่งอายุพึ่งได้แปดขวบนามเรียกว่าเจ็กชิ้นกิม น้องชายมีบุตรชายคนหนึ่งอายุได้เจ็ดขวบนามเรียกว่าตั๊นกวนโป๊ ข้าพเจ้าพี่น้องสองคนรวมกันอายุกว่าร้อยแล้ว จึงได้บุตรไว้ทำพันธุ์สองคนเท่านี้ ก็บังเอิญเวรเวียนมาถึงข้าพเจ้าเซ่นไหว้ก็มิอาจขัดได้จำจะต้องทำตามเคย เพราะฉะนั้นยากที่จะหักความอาลัยในบุตรได้ จึงได้ทำการกุศลเพื่อไปให้ เหตุนี้จึงเรียกว่าทำเพื่อกุศล พระถังซัมจั๋งได้ฟังตาเฒ่าพูดดังนั้นอดไม่ได้เกิดความโทมนัสน้ำตาไหลลงพร่างพราย แล้วพูดว่าดังนี้ก็เหมือนคำโบราณท่านย่อมว่า ลูกสุกยังไม่หล่นลูกอ่อนชิงหล่นก่อน
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าจะถามท่านตาว่าบ้านท่านตาข้าวของเงินทองไร่นาจะมีสักเท่าไร สองเฒ่าตอบว่า ของข้าพเจ้าที่มีนั้น คือนาลุ่มนาดอนสามร้อยไร่เศษนาป่าก็มีหลายสิบแห่ง ในบ้านข้าพเจ้านี้กินสิบปีก็ไม่หมด และเครื่องห่มมีนับไม่ถ้วน แลเครื่องใช้สอยต่าง ๆ ไม่คณานับได้ เห้งเจียจึงพูดว่า ท่านตาทั้งสองมีสมบัติอย่างนี้ ข้าพเจ้าจะเตือนสะติให้ท่าน ตาเฒ่าทั้งสองถามว่า ท่านจะเตือนอย่างไร เห้งเจียตอบว่า ท่านมั่งมีออกเหลือล้น ทำไมจึงยอมสละบุตรชายหญิงของตัวเล่า ทิ้งเสียสักห้าสิบตำลึงเงินไปซื้อเด็กชายคนหนึ่ง ทิ้งเสียร้อยตำลึงเงินไปซื้อเด็กหญิงคนหนึ่ง รวมเงิน​ร้อยห้าสิบตำลึงเอาไปแทนตัวบุตรของเราจะมิดีหรือ สองเฒ่าได้ฟังดังนั้นน้ำตาไหลตกลงพราก ๆ พูดว่าท่านยังไม่ทราบเหตุ คือเจ้าใต้อ๋องเคยไปมาอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าอยู่เสมอ ๆ
   เห้งเจียถามว่า เจ้านั้นเคยไปมามีกิริยาอย่างไรบ้างหรือ สองเฒ่าตอบว่า ไม่เห็นตัวแต่ได้ยินเป็นลมพายุใหญ่ก็กำหนดรู้เอาว่ามาก็พากันจุดธูปเทียนบูชา คนใหญ่น้อยใกล้ไกลก็ย่อมรู้กันทั้งสิ้น และปีเดือนวันเวลาทุกคนก็ย่อมรู้ได้ตลอด จำเพาะเอาบุตรนัดดาของเราเองท่านจึงจะพอใจ ท่านอย่าพูดว่าสองสามร้อยตำลึงเลย สักพันตำลึงหมื่นตำลึงก็จะทูนหัวให้ รูปร่างอย่างนี้ปีเดือนเหมือนกันจะไปหาที่ไหนได้ เห้งเจียว่าดังนั้นก็ตามทีเถิด แต่ท่านตาให้เด็กทั้งสองนั้น ออกมาให้ข้าพเจ้าดูรูปร่างก่อนว่าจะเป็นอย่างไร จึงตาเฒ่าน้องชายเข้าไปข้างใน พาบุตรชายนั้นออกมา ให้นั่งลงตรงหน้าเห้งเจีย เด็กนั้นก็หารู้ว่าตัวจะตายไม่ มือก็ถือผลไม้รื่นเริงกัดกินไปตามประสาทารก
   เห้งเจียพิศดูเด็กแล้วก็นิ่งไม่พูดว่ากะไร ในทันใดนั้นเห้งเจียก็แปลงกายเหมือนเด็กนั้น ตรงมาจับมือเด็กสัพยอกเล่นกัน เฒ่าทั้งสองเห็นดังนั้นก็ตกใจพูดว่า ท่านพึ่งพูดจากันประเดี๋ยวนี้ ทำไมจึงแปลงเหมือนกับบุตรข้าพเจ้าได้เล่า เชิญท่านแปลงกลับอย่างเดิม เห้งเจียเกาคางทีหนึ่งก็กลายเป็นรูปเดิม ตาเฒ่าคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า ไม่ทราบว่าท่านมีฤทธาอานุภาพอย่างนี้เลย เห้งเจียถามว่าอย่างนี้จะเหมือน​บุตรท่านหรือไม่ เฒ่าทั้งสองพูดว่าเหมือนแท้ ๆ เห้งเจียว่าแม้ว่าร่างกายเหมือนอย่างนี้ จะให้แทนบุตรท่านไปเซ่นไหวได้หรือไม่ สองเฒ่าพูดว่า ถ้าอย่างนี้ก็ดีแล้ว ควรจะเอาไปเซ่นแทนได้ เห้งเจียพูดว่า ข้าพเจ้าจะช่วยชีวิตเด็กนั้นไว้ ให้พ้นจากความตาย จะได้อยู่สืบสายต่อวงศ์ตระกูลของท่านต่อไปภายหน้า จะเห็นควรหรือไม่ ตาเฒ่าตั๊นเชงได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงคุกเข่าลงกับพื้นพูดว่า แม้ท่านมีความกรุณาอย่างนั้นจริงแล้ว ข้าพเจ้าจะเคารพคุณท่านเป็นเงินพันตำลึง ให้พระอาจารย์เป็นเสบียงเดินทาง
   เห้งเจียพูดว่า ท่านไม่ให้เงินข้าพเจ้า ๆ จะไปให้ที่ไหน ตาเฒ่าพูดว่า แม้ว่าเอาท่านไปเซ่นชีวิตท่านที่ไหนจะรอดกลับมาได้ เห้งเจียถามว่าทำไมจึงจะไม่รอดกลับมาได้ ตาเฒ่าตอบว่า แม้เอาท่านไปเซ่นเจ้าใต้อ๋องก็จะกินท่านเสีย ที่ไหนท่านจะได้รอดไปได้ เห้งเจียพูดว่าเจ้านั้นจะกล้ากินเราทีเดียวหรือ ตาเฒ่าตอบว่าไม่กินก็ดีนะสิ เห้งเจียพูดว่าจะกินหรือไม่กินก็ชั่งข้าพเจ้าเถิด แม้ว่าเจ้ากินเรา ๆ ก็เป็นคนอายุสั้น แม้ว่าไม่กินเราก็เป็นบุญของเราเอง ท่านจงเอาข้าพเจ้าไปส่งเถิด ท่านอย่าวิตกถึงข้าพเจ้าเลย ตาเฒ่าตั๊นเชงเห็นเห้งเจียรับรองแน่นอนดังนั้น ก็กราบลงกับพื้นพูดว่า เงินนั้นข้าพเจ้าจะขอบคุณท่านเอง
   ฝ่ายตาเฒ่าตั๊นเท่งไม่เคารพไม่กราบไหว้ เข้านั่งแอบบานประตูร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็เดินเข้ามาจับข้อมือตาเฒ่าตั๊นเท่ง​แล้วถามว่า ตามีความเสียดายบุตรสาวดอกกระมัง ตั๊นเท่งเห็นเห้งเจียมาถามดังนั้น ก็คุกเข่าลงกราบแล้วพูดว่าข้าพเจ้ามีความอาลัยถึงบุตรหญิงขอท่านได้กรุณาด้วย ท่านช่วยหลานชายให้รอดแล้ว ขอท่านได้กรุณาช่วยบุตรหญิงของข้าพเจ้าไว้ด้วย เพราะข้าพเจ้าไม่มีบุตรชายมีแต่บุตรหญิงคนเดียวเท่านั้น ความอาลัยในบุตรเพียงจะสิ้นใจแล้ว ขอท่านได้เมตาให้บุตรข้าพเจ้ารอดด้วยเถิด
   เห้งเจียว่าท่านตาจงลุกขึ้นเถิด รีบไปหุงเข้าต้มแจให้พร้อม ให้อ้ายปากยาวมันกินอิ่มเอิบแล้ว ให้มันแปลงเป็นบุตรหญิงของท่านตาเอาไปเซ่นแทนตัว ข้าพเจ้าทั้งสองจะไปแทนให้เด็กทั้งสองรอดจากความตาย ท่านจะเห็นเป็นอย่างไร โป๊ยก่ายได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้นจึงร้องว่า พี่เห้งเจียพี่จะอวดฤทธิ์อวดเดชอย่างไรก็ตามเถิด อย่ามาเกี่ยวข้องถึงข้าพเจ้าด้วยทำไม เห้งเจียพูดว่าน้องอย่าพูดอย่างนั้นจะเสียความกตัญญู คำโบราณย่อมว่าท่านมีคุณต้องแทนคุณท่าน พวกเรามาถึงบ้านท่านได้พี่งคุณของท่าน ก็จะต้องแทนคุณท่านจึงจะถูกและนับว่าเป็นลูกผู้ชาย
   โป๊ยก่ายว่าก็พี่แปลงได้ส่วนตัวข้าพเจ้าไม่เข้าใจแปลง จะให้ทำอย่างไร เห้งเจียว่าเจ้าแปลงได้ถึงสามสิบหกอย่าง ทำไมว่าไม่เข้าใจแปลงเล่า พระถังซัมจั๋งจึงเรียกโป๊ยก่ายมาบอกว่า ซึ่งเห้งเจียพูดนั้นควรแล้ว คำโบราณท่านย่อมว่าช่วยชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง ได้บุญมากกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดองค์ ข้อสองได้แทนคุณผู้มีคุณเป็นกุศลอย่างยิ่ง ​พี่น้องจงพากันไปเถิด โป๊ยก่ายพูดว่าข้าพเจ้าแปลงได้แต่เขาไม้ห้วยธารและสิงสาราสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งจะแปลงเป็นเด็กหญิงนั้นแสนยาก ยังไม่เคยแปลงเลย เห้งเจียพูดว่าท่านทั้งหลายอย่าเชื่อมัน ท่านจงไปพาเด็กหญิงนั้นออกมาดูก่อน ตาเฒ่าตั๊นเท่งก็รีบไปพาบุตรหญิงออกมา ผู้คนชายหญิงในบ้านก็พากันตามออกมาดู แล้วกราบไหว้อ้อนวอนว่าขอท่านได้เมตาช่วยชีวิตเด็กไว้ด้วยเถิด เด็กนั้นก็ยืนอยู่ต่อหน้าคนทั้งหลาย มือก็ถือผลไม้กินอยู่ตามภาษาเด็ก
   เห้งเจียร้องบอกโป๊ยก่ายว่า จงรีบแปลงให้เหมือนเด็กดุจเดียวกัน จะได้เอาไปให้เจ้าใต้อ๋อง โป๊ยก่ายว่าเด็กนั้นรูปร่างงดงาม ทำไมจะแปลงให้เหมือนได้เล่า เห้งเจียว่าจงรีบแปลงโดยเร็วอย่าให้ต้องลงมือ โป๊ยก่ายตกใจก็ร่ายพระคาถาสั่นศรีษะสองสามทีร้องว่าแปลง ร่างกายก็กลายเป็นเด็กหญิงเหมือนเด็กหญิงนั้นดุจเดียวกัน พร้อมทั้งรูปร่างเหมือนทั้งสิ้น เว้นแต่ท้องโตไปหาเหมือนไม่ เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็หัวเราะบอกให้โป๊ยก่ายแปลงใหม่ โป๊ยก่ายว่าแปลงไม่ได้ ขอพี่ได้ช่วยแปลงให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด เห้งเจียร่ายคาถาเป่าไปในตัวโป๊ยก่ายก็เหมือนเด็กดุจเดียวกัน เห้งเจียจึงเรียกสองเฒ่าบอกว่า จงรีบจัดแจงเอาไปเซ่น และพาเด็กทั้งสองแอบซ่อนเสียในห้องเอาขนม นมเนยป้อนเลี้ยงให้ดี อย่าให้ร้องอื้ออึงขึ้นได้ เจ้าใต้อ๋องมันรู้เหตุจะเสียการ เห้งเจียถามว่า การที่จะเอาไปเส้นนั้น​จะมัดผูกไปหรือจะต้มแกงให้สุกก่อนจึงจะเอาไปเซ่น โป๊ยก่ายพูดว่าพี่เห้งเจียแก่จะทำพูดเล่นไป ซึ่งจะทำไปอย่างนั้น ข้าพเจ้าเป็นไม่ยอมไปเป็นแน่
   ตาเฒ่าทั้งสองพูดว่า ข้าพเจ้าไม่กล้าทำอย่างนั้นดอก จะต้องเอาถาดล่องชาติสองถาดให้ท่านนั่งกลางถาดแล้วให้หามไป เห้งเจียพูดว่าถ้าดังนั้นเป็นความดีจริง กระนั้นเอาถาดมาจะขอดูให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เฒ่าทั้งสองก็เข้าไปยกถาดออกมาวางไว้ เห้งเจียโป๊ยก่ายก็ขึ้นนั่งบนถาดคนละถาด เรียกคนมาสี่คนให้ลองยกดู สี่คนก็ยกเดินไปมาสองสามเที่ยวแล้วยกกลับมาวางไว้อย่างเดิม เห้งเจียบอกโป๊ยก่ายว่า เราไม่ต้องเดินไปนั่งให้ยกอย่างนี้ดูมีเกียรติยศขึ้นมาก โป๊ยก่ายว่ายกไปยกมาจนสว่าง ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องวิตก เขาจะเอาไปเซ่นที่ศาลให้มันกินจะร้ายมาก เห้งเจียว่าแม้มากินเราก่อน น้องจงรีบหนีให้พ้น
   โป๊ยก่ายว่าถ้ากินชายก่อนก็ดีนะซิ หากว่ามันจะกินหญิงก่อนจะทำอย่างไรเล่า สองเฒ่าพูดว่า ตามเคยทุก ๆ ปีมาก็กินชายก่อน มีคนเขาได้แอบดูก็เห็นอย่างนั้น โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นก็ดีใจ แล้วพูดว่าถ้าเป็นดังนั้นก็เหมือนเราได้เกิดใหม่ กำลังสนทนากันอยู่ ก็ได้ยินเสียงกลองและม้าฬ่อตีออกสนั่น พวกชาวบ้านหลายสิบคน เข้ามาเปิดประตูบ้านแล้วร้องให้เอาเด็กชายหญิงออกไป เฒ่าทั้งสองก็งกๆ งันๆ รีบเอาเด็กแปลงทั้งสองคนใส่ถาดให้คนหามออกไปส่ง
(บทที่ ๔๘)
 ฝ่ายพวกชาวบ้านแกจึง ครั้นตั๊นเท่งตั๊นเชงพี่น้องทั้งสองเอาเด็กชายหญิงออกมาส่งพวกเหล่านั้นก็รับเอาเด็กนั้นยกไป แลต่างคนต่างถือเครื่องเซ่นสุราและหมูเป็ดไก่กับสิ่งของต่าง ๆ ครั้นพร้อมกันก็โห่สามลาพากันเดินไปยังศาลเจ้า ครั้นถึงก็พากันเข้าไปในศาล เอาเด็กชายหญิงทั้งสองขึ้นวางข้างบน ของนอกนั้นก็วางเรียงกันเป็นลำดับลงมาที่กลางศาลข้างบน มีเป็นป้ายอุ้ยเขียนหนังสือตัวทอง คือศาลเจ้าเล่งก๊ำอ๋อง
   ฝ่ายพวกบ้านแกจึง ครั้นตั้งเครื่องเสร็จแล้ว ก็พากันจุดธูปเทียนขึ้น จึงมีคำบวงสรวงว่า ข้าพเจ้าหมู่บ้านแกจึง ได้พร้อมใจกันทำเครื่องเซ่นมาเซ่น แต่เจ้าของผู้เซ่นนั้น คือตั๊นเท่ง ตั๊นเชงพี่น้องทั้งสอง ได้เอาเด็กชายหญิงเป็นของเซ่นเอก นอกนั้นพวกข้าพเจ้าตามเคย ในปีนี้เดือนนี้ วันนี้เวลานี้ ขอเชิญท่านใต้อ๋องได้มารับเครื่องเซ่นของพวกข้าพเจ้าเหล่านี้เถิด และขอใต้อ๋องได้ปกครองพวกข้าพเจ้าให้ได้มีความสุขทุก ๆ คน และขอให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูทั้งพืชผลต้นข้าวให้งอกงามบริบูรณ์ ให้อิ่มเอิบทุก ๆ คนเถิด
   ครั้นเซ่นแล้วต่างคนก็พากันกลับไปบ้าน ฝ่ายโป๊ยก่ายเห็นคนกลับกันไปหมดแล้ว จึงพูดแก่เห้งเจียว่า เราพากันกลับบ้านเถิด เห้งเจียถามว่าบ้านตัวอยู่ที่ไหน โป๊ยก่ายตอบว่าไปที่บ้านเราพักนั้นอย่างไรละ เห้งเจียด่าว่าอ้ายสัตว์หมูพูดจาออกเลอะเทอะ ได้ตั้งใจยอมรับเป็นธุระเขาแล้ว ก็ต้องทำไปให้ตลอดจึงจะถูกต้อง โป๊ยก่าย​พูดว่าพี่เป็นสัตว์กลับมาว่าข้าเป็นสัตว์ ทำหลอก ๆ เขาเล่นเท่านั้น นี่จะทำเอาจริงจังด้วยเล่า เห้งเจียว่าเป็นคนจะต้องให้มีจริง รับปากเขาแล้วจะต้องคอยให้จนปีศาจมันมากินจึงจะชอบ มิฉะนั้นปีศาจมันก็จะไปลงโทษเอาเขา ก็จะเกิดไม่มีความสุข ในขณะที่เห้งเจียโป๊ยก่ายโต้ตอบกันอยู่ก็ได้ยินลมพายุใหญ่พัดมา ก็นึกรู้สึกว่าเห็นปีศาจมันจะมาแล้ว โป๊ยก่ายไม่สบายใจพูดว่าเห็นจะไม่ได้การ อ้ายตัวเปรตเห็นจะมาแล้ว เห้งเจียห้ามว่าอย่าพูดเสียงดัง ไว้รอพี่โต้ตอบเอง บัดเดี๋ยวใจปีศาจก็มาถึง รูปร่างดุจยักษ์ร้ายแยกเขี้ยวเข้ามายืนขวางประตูศาล ร้องถามว่าปีนี้ใครเป็นเจ้าของเซ่น
   เห้งเจียตอบว่า ตั๊นเท่ง ตั๊นเชงเป็นเจ้าของ ปีศาจได้ฟังดังนั้นมีความสงสัย นึกแต่ในใจว่าทุกปีไม่มีอย่างนี้ อ้ายเด็กทารกนี้ทำไมจึงมีความกล้าหาญ ก่อน ๆ มานั้นถามคำหนึ่งก็พูดไม่ได้ ถามอีกคำหนึ่งก็สิ้นสติ เอามือจับดูก็ดุจคนตายแล้ว วันนี้ทำไมเด็กพูดโต้ตอบไม่สะดุ้งหวาดวั่น ปีศาจเห็นดังนั้นก็ไม่อาจเข้าจับ จึงถามว่าเด็กชายหญิงชื่อเรียงเสียงไร เห้งเจียหัวเราะแล้วตอบว่าชายชื่อตั๊นกวนโป๊ หญิงชื่อเจ็กชิ้นกิม ปีศาจว่าวันนี้ก็ตามเคยมาทุกปีเราจะต้องกินเนื้อเจ้าทั้งสอง เห้งเจียว่าตามแต่ท่านจะประสงค์เถิด ข้าพเจ้าไม่กล้าขัดขวาง ปีศาจได้ยินดังนั้นก็ขยับเข้ามาร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง พูดว่ามึงอย่าทำปากกล้า ทุก ๆ ปีเราเคยกินเด็กชายก่อน ​ปีนี้เราจะกินเด็กหญิงก่อน พูดแล้วก็เข้าจับโป๊ยก่าย ๆ เห็นดังนั้นกระโดดถอยหนีแปลงกลับเป็นรูปเดิม ยกคราดเหล็กสับปีศาจ ๆ ก็ชักมือกลับกระโดดถอยออกนอกศาล โป๊ยก่ายก็ไล่ตามไป เห้งเจียเห็นดังนั้นก็กลับเป็นรูปเดิม ไล่ติดตามไปช่วยรบ ปีศาจก็เหาะหนีขึ้นบนอากาศ เห้งเจียโป๊ยก่ายก็ไล่ตามไป
   ปีศาจหามีอาวุธไม่ อยู่ในกลีบเมฆร้องถามว่าเฮ้ยอ้ายสองคนนี้อยู่แห่งหนตำบลใด ชื่อเรียงเสียงใด เหตุใดมึงจึงสามารถมาดูถูกกูถึงเพียงนี้
   เห้งเจียตอบว่าอ้ายปิศาจร้าย ทำไมมึงจึงไม่รู้จักกู เราคือสานุศิษย์พระถังซัมจั๋ง มีรับสั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้ไปไซทีอาราธนาพระธรรม เพราะมาอาศัยพักที่บ้านตั๊นเท่งตั๊นเชงจึงได้รู้ว่าเอ็งเป็นปีศาจยักษ์ร้าย ปลอมตั้งชื่อว่าเป็นเจ้าก๊ำอึงใต้อ๋อง ทุก ๆ ปีมาทวงเครื่องเซ่นกินเด็กทั้งชายและหญิงเป็น ๆ ไม่มีจิตเมตา เราทราบความมีความกรุณาจึงมาช่วยทุกข์ของทารกพวกชาวบ้าน จึงได้มาหวังจะจับตัวอ้ายปีศาจร้าย เอ็งจงเร่งสารภาพรับผิดโดยดี มึงอยู่ที่นี่ตั้งตัวมาหลายปีแล้ว กินเด็กชายหญิงมากน้อยเท่าใด เจ้าจงเร่งคิดคืนมาโดยเร็ว เราจะยกชีวิตไว้ให้เจ้า
   ปิศาจได้ฟังดังนั้นก็กระโดดหนี โป๊ยก่ายยกคราดสับก็ไม่ถูก ปีศาจก็รีบหนีดำลงในแม่น้ำทงทีฮ้อ เห้งเจียร้องห้ามว่าอย่าไล่มันไปเลย เห็นมันจะอยู่ในแม่น้ำนื้เป็นแน่ ไว้คิดอุบายจับมันจะดีกว่า โป๊ยก่ายก็เชื่อพากันกลับมายังศาล เก็บเครื่องเซ่นเหล่านั้นกลับมา​ยังบ้านตั๊นเท่ง ตั๊นเชง ในเวลานั้นพระถังซัมจั๋งกับซัวเจ๋งกำลังสนทนากันอยู่กับตั๊นเท่ง ตั๊นเชงพี่น้องทั้งสอง แลไปเห็นเห้งเจีย โป๊ยก่ายยกของเครื่องเซ่นนั้นกลับมา พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นจึงถามว่า การเซ่นนั้นเป็นประการใด เห้งเจียก็ชี้แจงเหตุการณ์ที่ได้เป็นนั้นให้ฟังทุกประการ
   ฝ่ายตั๊นเท่ง ตั๊นเชงพี่น้องได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดียิ่งนัก จึงยกที่นอนหมอนเสื่อออกมาจัดแจงให้อาจารย์กับศิษย์อาศัยนอน
   ฝ่ายปีศาจครั้นหนีรอดชีวิตไปได้แล้ว ลงในน้ำไปยังที่สำนักนั่งนิ่งไม่พูดจาว่ากะไร พวกบริวารน้ำเห็นดังนั้น ก็พากันมาถามว่า ใต้อ๋องเคยทุกปีไปรับเครื่องเซ่นแล้ว ถ้ากลับมาก็ย่อมรื่นเริงปีนี้เป็นประการใดกลับมาแล้วใต้อ๋องจึงมีความเศร้าหมองดังนี้เล่า ปีศาจใต้อ๋องตอบว่า ทุกๆ ปีได้เคยรับเครื่องเส้นและยังได้นำมาฝากพวกเจ้ากินเป็นที่รื่นเริงสนุกสนาน ปีนี้ตัวเราก็มิได้เครื่องเซ่น และสิ่งของต่างๆ ก็มิได้เอามา เพราะบังเอิญไปพบอ้ายคนร้ายต่อสู้แก่เรา เดชบุญรอดชีวิตมาได้ พวกบริวารได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า อ้ายคนร้ายนั้นคือใครที่ไหน ปีศาจบอกว่า อ้ายคนร้ายนั้นคือเป็นสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋ง อยู่ ณ เมืองใต้ถังจะไปยังมัชฌิมประเทศ อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม อ้ายคนทั้งสองนั้นมันแปลงเป็นเด็กทั้งชายหญิงเข้านั่งอยู่ในศาล มันเห็นเราไปถึงมันกลับเป็นรูปเดิมชักอาวุธออกจะเข้าทำร้ายเรา บังเอิญเราหนีรอดมาได้ เราเคยได้ยินเขาเล่าลือกันว่า พระถังซัมจั๋ง​เธอเป็นผู้บริสุทธิ์บวชมาสิบชาติแล้ว แม้ว่าผู้ใดได้กินเนื้อเธอก้อนหนึ่ง อายุของผู้นั้นจะยืนนานไม่นับได้ บังเอิญสานุศิษย์ของเธอมาทำลายชื่อเสียงเราเสียได้ เรามีความอัปยศอดสูยิ่งนัก เราคิดจะใคร่จับตัวถังซัมจั๋งให้จงได้ แต่กีดด้วยศิษย์ของเธอมีฤทธิ์เข้มแข็งนักจะจับมิได้โดยง่าย
 ในเวลาที่ปีศาจพูดอยู่นั้น ในหมู่บริวารปลาตัวหนึ่งผุดลุกออกมา คือแม่ปลากระบอกตัวหนึ่งหัวเราะพูดว่า ใต้อ๋องจะใคร่จับพระถังซัมจั๋งนั้นจะยากอะไร แต่ไม่ทราบว่าถ้าจับตัวเธอได้แล้วจะมีบำเหน็จรางวัลประการใด ปิศาจได้ฟังบริวารพูดดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าแม้นจับตัวถังซัมจั๋งได้แน่ดังนั้น ข้าพเจ้ากับนางจะปฏิญาณเป็นพี่น้องกัน รับซึ่งความสุขสำราญด้วยกันทุกวันไป แม่ปลากระบอกได้ฟังดังนั้นก็กระทำความขอบคุณแล้วถามว่า ข้าพเจ้าได้ทราบว่าใต้อ๋องมีฤทธาอานุภาพอาจสามารถจะเรียกลมเรียกฝน แลทำคลื่นละลอกให้ไหวไปทั้งมหาสมุทรได้ ไม่ทราบว่าใต้อ๋องจะทำให้เป็นหมอกและน้ำค้างได้หรือไม่ ปีศาจใต้อ๋องตอบว่า หมอกและน้ำค้างนั้นข้าพเจ้าสามารถทำได้ดังประสงค์ แม่ปลากระบอกได้ฟังนั้นนั้นก็ตบมือหัวเราะว่า ถ้ากระนั้นก็เป็นการง่ายที่สุด ปีศาจจึงให้นางปลากระบอกชี้แจงความคิดให้ฟัง คือว่าอุบายของนางปลากระบอกนั้นจะทำประการใด
   นางปลากระบอกชี้แจงว่า คือวันนี้เข้ายามสามใต้อ๋องจงบันดาลให้มีลมพัดหนาวจัด แลทำให้หมอกลงกลุ้มมืดในลำแม่น้ำทงทีฮ้อ​น้ำแข็งตลอดทั้งลำแม่น้ำ ข้าพเจ้าจะแปลงไปให้หลายคนเดินไปบนหลังน้ำ หาบบ้างคอนบ้างทำเดินไปมาว่าเป็นทีธุระ ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเมื่อได้เห็นดังนั้น โดยที่ตั้งใจคิดจะไปไซทีก็จะลงเดินมา เราคอยรอให้พอถึงกลางแม่น้ำ ใต้อ๋องจงทำน้ำนั้นให้คืนเหลวไปอย่างเดิม ถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็จะจมน้ำ เวลานั้นก็จะจับเอาตามสบาย
   ปีศาจครั้นได้ฟังนางปลาชี้แจงดังนั้น ก็มีความยินดีเห็นว่าคงจะสมคิด จึงพูดว่าคิดอุบายอย่างนี้ดีที่สุดหาที่เปรียบมิได้ ปีศาจพูดสรรเสริญนางปลาฉะนั้นแล้ว เวลาก็จวนสามยามจึงออกจากที่สำนักแหวกน้ำขึ้นมาหลังน้ำ บันดาลให้เป็นลมหมอกหนาวกล้ามืดไปทั้งลำแม่น้ำ ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับพวกศิษย์ทั้งสาม พักอาศัยนอนอยู่ที่บ้านตั๊นเท่ง ตั๊นเชง ในคืนวันนั้นจวนจะแจ้งก็เกิดความหนาวสั่นทุกคน โป๊ยก่ายถามว่าพี่หนาวหรือเปล่า เห้งเจียตวาดว่าเป็นคนอยู่ในทางศีลทานหนาวหน่อยร้อนหน่อยก็วุ่นวายทำไม กลัวอะไรกับหนาวอย่างนี้เล่า พระถังซัมจั๋งพูดว่าดูคืนวันนี้หนาวมากสักหน่อย อาจารย์กับศิษย์ก็พากันนอนไม่หลับ ต่างผุดลุกขึ้นหาผ้าห่ม เปิดประตูมองไปข้างนอก แลเห็นท้องฟ้ามีหมอกลงออกกลุ้มมืดมัวแลไม่เห็นอะไร
   เห้งเจียว่าเห็นจะเป็นปีศาจร้ายสำแดงฤทธิ์คิดจะทำเราดอกกระมัง ดูน้ำค้างตกลงมาขาวราวกับเพชร อาจารย์สานุศิษย์นั่งพิศดูประมาณครู่ใหญ่ ในบ้านตั๊นเท่งเปิดประตูเอาน้ำร้อนออกมาถวายพระถังซัมจั๋งให้ล้างหน้าและสานุศิษย์ก็พากันล้างหน้า พวกคนใช้ก็ยกน้ำชาออกมา​ถวายพระถังซัมจั๋งและยกอั้งโล่ถ่านไฟมาให้ผิง อาจารย์กับศิษย์ก็นั่งล้อมผิงไฟแก้หนาว พระถังซัมจั๋งถามตาเฒ่าตั๊นเท่งว่าที่ตำบลนี้มีเป็นฤดูหรือเปล่า ตั๊นเท่งตอบว่าอันการอื่นก็ผิดบ้างแต่ฤดูสี่นั้นก็ไม่ผิดแก่เมืองบน
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าถ้าฤดูเหมือนกัน ทำไมฤดูนี้ก็มิใช่ฤดูหนาวทำไมจึงมีน้ำค้างและหมอกลงออกขาวมืดมัวไปฉะนี้ แลเกิดความหนาวจัดดุจฤดูหนาวจะมิผิดฤดูหรือ ตั๊นเท่งพูดว่าอันที่จริงฤดูหนาวเดือนสิบสองจึงจะมี แต่ที่ตำบลนี้เดือนสิบก็มีหนาวราย ๆ หมอกน้ำค้างก็มีบ้างแล้ว พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าผิดกับเมืองอาตมภาพ เมืองบนนั้นต่อเดือนสิบสองจึงจะมีหมอกแลน้ำค้าง พระถังซัมจั๋งพูดอยู่กับตั๊นเท่ง คนใช้ในบ้านออกมานิมนต์ฉันข้าวต้ม พระถังซัมจั๋งก็มานั่งรับประเคน ครั้นฉันแล้วศิษย์ทั้งสามก็ฉันก็พอเวลาสว่างดี หมอกน้ำค้างก็ยิ่งมาก บัดเดี๋ยวน้ำค้างที่แผ่นดินสูงขึ้นเป็นศอกเศษ พระถังซัมจั๋งแลไปเห็นน้ำค้างดังนั้นก็ให้เศร้าหมองในใจ เกิดทุกข์โทมนัสน้ำตาไหลออกอาบหน้า
   ตาเฒ่าตั๊นเท่งเห็นดังนั้นพูดว่า ท่านอาจารย์อย่าได้เศร้าหมองเลย บ้านข้าพเจ้าเข้าปลาบริบูรณ์จะเลี้ยงท่านมิให้อดอยากได้ จะกินสักสิบปีก็ไม่หมดท่านอย่าได้วิตกเลย พระถังซัมจั๋งพูดว่าท่านตายังไม่ทราบในความทุกข์ของอาตมภาพ เมื่อปีจะออกจากเมืองพระถังไทจง​ฮ่องเต้ได้เสด็จตามส่งถึงนอกเมืองได้ตรัสถามอาตมภาพว่าสักกี่ปีจึงจะได้กลับเมือง อาตมได้ทูลว่าสักสองสามปีจึงจะได้กลับมา บัดนี้ก็ได้เจ็ดแปดปีแล้ว ก็ยังมิได้เห็นพระพักตร์พระพุทธเจ้าว่าจะเป็นประการใด วิตกจะไม่สมพระราชประสงค์ เพราะฉะนั้นจึงมีความวิตกทุกข์ร้อน มาถึงนี่ได้อาศัยท่านตาก็ขอบคุณท่านเป็นที่สุด เห้งเจียโป๊ยก่ายได้ช่วยท่านตา ก็ปราถนาจะใคร่พึ่งเรือที่จะได้ข้ามไป มาบัดนี้ก็บังเอิญเกิดหมอกน้ำค้างลงออกมากมายผิดประหลาดดังนี้ จนมืดมัวท้องฟ้าแลไม่เห็นอะไร อันธุระของอาตมภาพไม่ทราบว่าเมื่อไรจะสำเร็จที่จะได้กลับบ้านเมืองเดิม
   ตั๊นเท่งได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น จึงพูดว่าท่านอาจารย์อย่าวิตกเลยจงวางใจเถิดจงพักอยู่ที่นี่ก่อน ไม่กี่วันรอท้องฟ้าบริสุทธิ์สว่างแล้วพวกข้าพเจ้าทั้งหลายจะพร้อมกันช่วยจัดเรือข้ามส่งท่านไป ตั๊นเท่งกำลังพูดอยู่กับพระถังซัมจั๋ง ก็เห็นคนใช้ออกมานิมนต์พระถังซัมจั๋งฉันเพล พระถังซัมจั๋งรับประเคนแล้ว พิจารณาดูเครื่องขบฉันเหล่านั้นล้วนแต่ของโอชารสต้องเปลืองต้องเสียทรัพย์มาก คิดขึ้นมาก็ไม่สบายใจโดยเหตุที่ตนได้มาอาศัยพึ่งบุญเจ้าภาพอยู่นั้น ไม่รู้ที่จะเอาอะไรตอบแทน ครั้นพระถังซัมจั๋งฉันแล้ว ตาเฒ่าทั้งสองพี่น้องจึงใช้ให้คนปัดกวาดที่ในสวนดอกไม้ แล้วนิมนต์พระถังซัมจั๋งไปเที่ยวเล่นเพื่อจะให้แก้รำคาญ
   พระถังซัมจั๋งรับนิมนต์ออกไปพิจารณาดูที่สวนดอกไม้นั้นแล้ว เวลาก็จวนค่ำ ตั๊นเท่งจึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งกลับบ้าน ตั๊นเชงก็ให้คนใช้​ยกน้ำชามาถวาย พระถังซัมจั๋งกำลังฉันน้ำชา ได้ยินคนเดินทางพูดกันว่า ฟ้าหนาวน้ำลำแม่น้ำทงทีฮ้อแข็งไปตลอดทั้งแม่น้ำ พระถังซัมจั๋งได้ยินคนพูดดังนั้น จึงถามเห้งเจียว่า น้ำแข็งไปดังนี้จะทำอย่างไร ตั้นเท่งพูดว่า เห็นจะหนาวจัดน้ำแข็งข้างๆ ริมฝั่งดอกกระมัง คนพูดว่าน้ำแข็งตลอดลำแม่น้ำแม่น้ำดุจกระจก บนหลังน้ำมีคนเดินไปมาได้ พระถังซัมจั๋งได้ยินคนพูดว่าเดินไปมาได้ ก็อยากจะเดินออกไปดู ตั๊นเท่งพูดว่าท่านอาจารย์อย่ารีบร้อนเลย วันนี้ก็เวลาค่ำแล้ว รอพรุ่งนี้จึงค่อยไปดูเถิด พระถังซัมจั๋งก็งดมิได้ไปพอค่ำก็พากันพักนอน พอรุ่งแจ้งฉันแล้ว พระถังซัมจั๋งเห้งเจียก็จัดแจงม้าจะได้ข้ามน้ำไป ตั๊นเท่ง ตั๊นเชงพูดว่า ขอพระอาจารย์รอก่อนไว้น้ำคืนเหลวแล้ว พวกข้าพเจ้าจะเอาเรือข้ามส่งดีกว่า ซัวเจ๋งพูดว่า ควรไปได้จะต้องรีบไป ข้าพเจ้าจัดผูกม้าแล้ว นิมนต์พระอาจารย์ขึ้นม้าไปเถิด
   ตั๊นเท่งได้ฟังซัวเจ๋งพูดดังนั้น จึงพูดว่าเห็นจะถูก จึงเรียกพวกคนใช้ให้จัดผูกม้าหกม้า ครั้นแล้วก็พร้อมกันขึ้นม้าเดินไปริมฝั่งพิเคราะห์ดู ก็เห็นคนเดินไปมาบนหลังน้ำได้ พระถังซัมจั๋งจึงถามตั๊นเท่งว่า คนที่เดินนั้นอยู่ที่ไหนไปข้างไหนมา ตั๊นเท่งบอกว่าคนทิศตะวันตกไปมาค้าขาย สิ่งของที่บ้านตำบลนี้ราคาร้อยสลึง ไปเมืองนั้นได้ราคาหมื่นสลึงลงทุนน้อยแต่มีกำไรมาก เพราะฉะนั้นคนจึงไม่คิดถึงความตาย อุตส่าห์พากันไปมาไม่คิดกลัว ทุกปีบางบ้านสี่ห้าคนลงเรือลำหนึ่ง บางลำก็สิบคนแล่นข้ามไปค้าขาย บัดนี้​เห็นน้ำแข็งเดินได้จึงพากันเดินข้ามไปมา
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า ฆราวาสเขาเห็นด้วยลาภผลสู้อุตสาหะไม่คิดกลัวความตาย อาตมภาพรับรับสั่งเพราะด้วยความกตัญญูต่อเจ้าดังนี้ จะมิผิดกว่าฆราวาสหรือ พูดดังนั้นแล้วก็เรียกเห้งเจียให้กลับไปบ้านตั๊นเท่ง จัดแจงรวบรวมเก็บสิ่งของจะได้ทันข้ามน้ำแข็งนี้ไป เห้งเจียรับคำสั่งแล้วก็หัวเราะ ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นจึงพูดว่าโบราณย่อมว่า พันวันก็กินข้าวสิ้นพันถัง บัดนี้มาอาศัยที่บ้านท่านตาทั้งสอง จะพักคอยอีกสักสองสามเวลาให้ท้องฟ้าแจ่มแจ้งแล้วและน้ำกลับคืนเหลวแล้ว จึงค่อยหารือกันข้ามไปจะมิดีหรือ ถ้ารีบร้อนนักเห็นจะไม่เป็นการ วิตกเกรงจะมีความขัดข้องจะได้ความเดือดร้อน พระถังซัมจั๋งพูดว่า ซัวเจ๋งช่างโง่เสียจริง ๆ เวลาตามเวลากาลน้ำแข็งข้ามไป จะมานั่งคอยให้น้ำแปรจึงจะข้าม จะมิพาชักช้าวันคืนไปหรือ
   โป๊ยก่ายว่าท่านทั้งหลายอย่าเถียงกันเลย ข้าพเจ้าจะลองดูก่อน แม้ว่าไปได้จึงค่อยพากันไป โป๊ยก่ายก็ลงจากหลังม้าเดินมาริมฝั่งยกคราดขึ้นสับลงไปเต็มกำลังทีหนึ่ง คราดสะท้อนเจ็บมือ โป๊ยก่ายหัวเราะพูดว่าไปได้ไปได้ ข้างล่างก็แข็งตลอดลงไป พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็มีความยินดีที่สุดจึงพากันกลับมาบ้านตั๊นเท่ง ให้สานุศิษย์จัดสิ่งของเดินทาง
   ฝ่ายตั๊นเท่ง ตั๊นเชงพี่น้องอ้อนวอนสักเท่าใดก็ไม่เชื่อ พี่น้องก็รีบหาสิ่งของเสบียงอาหารให้ไปตามทาง ตั๊นเท่งตั๊นเชงจึงเอาทอง​คำใส่ถาดยกออกมาตั้งขอบคุณ พระถังซัมจั๋งบอกคืนไม่รับพี่น้องก็อ้อนวอนเห้งเจียให้รับ เห้งเจียกลัวจะเสียใจจึงเอาสองนิ้วลงหยิบๆ ทีหนึ่งพอเป็นกิริยา ครั้นเสร็จแล้วพระถังซัมจั๋งก็ลาตั๊นเท่ง ตั๊นเชงพี่น้องแลคนในบ้านทุก ๆ คน เห้งเจียโป๊ยก่ายต่างก็ลาคนในบ้านตั๊นแกจึงทุก ๆ คน ในบ้านตั๊นเท่ง ตั๊นเชงไม่ว่าเล็กใหญ่ พากันออกมาเคารพส่งทุก ๆ คน พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ก็พากันออกเดินมาถึงริมฝั่งน้ำก้าวลงไปในน้ำแข็งลื่นยั้งไม่อยู่ ม้าก็พลาดพระถังซัมจั๋งก็พลัดตกจากหลังม้า ซัวเจ๋งพูดว่าเห็นจะเดินยาก โป๊ยก่ายบอกว่าให้ขอหญ้าฟางที่บ้านตั้นเท่งผูกห่อขาม้าเสียจึงจะเดินไม่ลื่น
   ตั๊นเท่ง ตั๊นเชงตามมาส่งถึงฝั่งน้ำ ได้ยินโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็เรียกคนใช้ให้รีบไปแบกหญ้าฟางมาในทันใด โป๊ยก่ายก็เอาหญ้าฟางผูกห่อขาม้าแล้วนิมนต์อาจารย์ให้ขึ้นขี่ก็ลาออกจากฝั่งข้ามไป ตั้งแต่นั้นก็เดินเป็นปรกติ อาจารย์กับศิษย์ก็ตั้งหน้ามุ่งจะข้ามไปยังปราจิณทิศ ไม่มีความวิตกหวาดหวั่นระวังอะไรเลย แลไม่ได้หยุดพักเลยรีบเดินไปโดยด่วน จนตะวันจวนจะค่ำก็อาศัยแสงพระจันทร์และดาวเดินไป เห็นผิวน้ำแข็งวับแวมเป็นเงาทั่วตลอดไป รีบเดินไปคืนหนึ่งจนสว่าง หิวก็เอาข้าวตากเข้าตูมากินแล้ว ก็ตั้งหน้ารีบตรงไป
   เมื่อกำลังเดินไปนั้น ได้ยินเสียงลั่นอยู่ใต้น้ำ อาจารย์กับศิษย์พากันตกใจ เหตุด้วยปีศาจคอยอยู่หลายเวลาแล้ว พอได้ยินเสียงเท้าม้าเดินข้ามมา ปีศาจก็สำแดงฤทธิ์บันดาลให้น้ำเหลว กลับไป​อย่างเดิม เห้งเจียเห็นดังนั้นก็เหาะขึ้นบนอากาศ พระถังซัมจั๋งกับม้าและโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็พากันจมน้ำ ปีศาจร้ายก็มาจับพระถังซัมจั๋งเอาลงไปยังสำนัก ครั้นถึงก็เข้านั่งเก้าอี้เรียกว่านางน้องอยู่ที่ไหน นางปลากระบอกก็ออกมาคำนับ ปีศาจจึงพูดสรรเสริญว่า น้องพูดคำหนึ่ง แม้ว่าม้าฝีเท้าดีก็สู้ไม่ได้ เดิมเราได้สัญญาว่าถ้าจับถังซัมจั๋งได้ก็จะปฏิญาณเป็นพี่น้อง เวลานี้ก็จับได้แล้ว พูดดังนั้นแล้วก็เรียกบริวารให้ยกโต๊ะออกมาตั้ง และเอามีดที่คมดีมาจะผ่าอกเอาหัวใจพระสงฆ์ออกมาเรากับนางน้องจะได้กินเล่น เป็นที่สำราญรื่นเริง
   นางปลากระบอกได้ฟังดังนั้นจึงห้ามว่า ใต้อ๋องอย่าเพิ่งกินก่อน ยังวิตกด้วยพวกสานุศิษย์ของเธอมาตามก็จะเกิดวุ่นวายกันขึ้น ขอให้รอสักสองเวลา แม้ว่าศิษย์ของเธอไม่มาตามก็แล้วแต่ใต้อ๋องจะกินหรือจะทำประการใด ปีศาจเมื่อได้ฟังนางปลากระบอกทัดทานก็เชื่อฟัง จึงขังพระถังซัมจั๋งไว้ในที่ลับ แล้วเอาแผ่นศิลาใหญ่ทับปิดประตูไว้แน่นหนา
   ฝ่ายโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ว่ายน้ำเก็บสิ่งของวางบนหลังม้าแล้วก็พากันว่ายน้ำกลับมาเข้าฝั่งข้างทิศตะวันออก แลไปก็เห็นเห้งเจียอยู่บนอากาศ เห้งเจียถามว่าพระอาจารย์อยู่ที่ไหนจึงไม่เห็น โป๊ยก่ายตอบว่าพระอาจารย์เปลี่ยนชื่อแล้วเรียกว่าแซ่ตั๊นชื่อก้นเบ้า ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะไปค้นหาที่ไหนได้แล้ว ต้องกลับเข้าฝั่งจึงค่อยติดต่อไป บัดนี้ก็เข้ามาถึงฝั่งแล้วกลับไปยังบ้านแกจึง คนในบ้านแกจึงเดินไป​พบเข้า ก็วิ่งกลับมาบอกแก่ตั๊นเท่ง ตั๊นเชงทั้งสอง สองเฒ่าได้ฟังดังนั้นก็รีบออกมารับแลเห็นเสื้อผ้าเข้าของเปียกน้ำหมดทั้งสิ้น สองเฒ่าถามว่าทำไมไม่เห็นท่านอาจารย์กลับมาเล่า ข้าพเจ้าได้อ้อนวอนห้ามสักเท่าใดก็ไม่ฟัง จึงได้มีเหตุเกิดขึ้นดังนี้
   โป๊ยก่ายพูดว่าต่อนี้ไปอย่าเรียกถังซัมจั๋งเลยเปลี่ยนชื่อให้เรียกว่า ตั๊นก้นเบ้าเถิด สองเฒ่าได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้คร่ำครวญว่าสงสารแก่ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าอ้อนวอนจะให้เอาเรือส่งก็ไม่ยอม ขืนจะรีบไปให้ได้จนมาถึงแก่ชีวิตอันตรายอย่างนี้ เห้งเจียพูดว่าท่านตาทั้งสองอย่ามีความโทมนัสเลย ข้าพเจ้าเชื่อว่าประกันได้ อาจารย์คงจะไม่ถึงแก่ความตาย ที่อ้ายปีศาจก๊ำอึงคงทำกลอุบายจับอาจารย์ไปเป็นแน่ ท่านตาอย่าวิตก ท่านตาจงโปรดเอาจีวรผ้าผ่อนกับหนังสือไปตากเสียให้แห้งและหาหญ้าเลี้ยงม้าไว้ด้วย ไว้ธุระข้าพเจ้าพี่น้องคิดอุบายแก้พระอาจารย์กลับคืนให้จงได้ ธรรมเนียมถางหญ้าต้องถอนรากจึงจะสิ้นความร้อนใจเพื่อภายหลังแลจะช่วยกำจัดอ้ายปีศาจนี้ด้วย ถ้ามิดังนั้นพวกชาวบ้านแกจึงก็จะไม่เปนสุข
   ตั๊นเท่ง ตั๊นเชงได้ฟังดังนั้น ก็มีความยินดีที่สุด จึงให้คนยกข้าวมาเลี้ยง เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็พร้อมกันกินเข้า ครั้นกินเสร็จแล้ว ต่างก็เตรียมอาวุธออกจากบ้านไปยังกลางน้ำค้นหาอาจารย์
(บทที่ ๔๙)
   เห้งเจียถามว่าน้องทั้งสองใครจะเป็นคนเข้าใจ ก็ลงน้ำไปเที่ยวสืบดูสักคนหนึ่งก่อน แม้ว่าทราบเหตุการณ์แล้วจึงค่อยคิดแก้ไขต่อทีหลัง​โป๊ยก่ายพูดว่า พี่มีฝีมือยิ่งกว่าข้าพเจ้าทั้งสอง พี่จงลงน้ำไปก่อนจึงจะดี เห้งเจียพูดว่าพี่ไม่ปิดบังอะไรแก่น้องทั้งสอง แม้ว่าอยู่บนบกและในเขาในป่า มีปีศาจยักษ์ร้ายสักเท่าใด ๆ พี่ก็มิต้องให้น้องออกแรง แต่ในน้ำนี้พี่หาสู้จะถนัดไม่ พี่ทราบว่าน้องทั้งสองถนัดทางน้ำมาก เพราะฉะนั้นขอให้น้องลงไปก่อน
   ซัวเจ๋งพูดว่า พวกข้าพเจ้าถนัดทางน้ำก็จริง แต่ไม่ทราบว่าใต้น้ำจะร้ายดีประการใด สู้เราพร้อมกันลงไปไม่ได้ พี่จงแปลงเป็นกิริยาต่าง ๆ ขี่หลังข้าพเจ้าลงไปเที่ยวค้นหาที่สำนักปีศาจว่ามันจะอยู่ที่ใด พี่จะได้สืบอาจารย์ แม้ได้ทราบแล้วเราจะได้คิดอ่านแก้ไขไปตามการ ข้าพเจ้าคิดเห็นดังนี้จะดีหรือไม่ดี
   เห้งเจียว่าน้องคิดดังนี้ชอบแล้ว เห้งเจียจึงถามว่าใครจะให้ใครขี่ไป โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นก็นึกยินดีแต่ในใจว่าอ้ายลูกลิงมันแกล้งเราหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เราจะเล่นแกล้งมันบ้าง คิดดังนั้นแล้วก็หัวเราะพูดว่า ข้าพเจ้าจะยอมให้พี่ขี่ไปเอง เห้งเจียก็นึกรู้ในวิธีของโป๊ยก่าย จำเราจะซ้อนกลให้มันเข็ดมือ คิดดังนั้นแล้ว ก็ขึ้นหลังโป๊ยก่ายขี่ไป ซัวเจ๋งเดินก่อนค่อยแหวกน้ำนำหน้า พร้อมกันทั้งสามแทรกน้ำลงเดินไป ครั้นไปประมาณสักพันโยชย์ โป๊ยก่ายคิดแกล้งเห้งเจีย ๆ ก็นึกรู้จึงถอนขนออกเส้นหนึ่งเป่าแปลงรูปปลอมเกาะหลังโป๊ยก่าย ตัวเห้งเจียนั้นแปลงเป็นหมัด เกาะแน่นอยู่ที่ใบหูโป๊ยก่าย ๆ ก็หารู้สึกไม่ ครั้นกำลังเดินโป๊ยก่ายเห็นได้ทีก็ทำท่าเซซังจะล้ม จะใคร่​ฟาดเห้งเจียลงกับโคลน
   ครั้นโป๊ยก่ายล้มฟาดลงรูปนั้นก็สูญหายไป ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นจึงถามโป๊ยก่ายว่า ทำไมพี่ทำดังนั้นเล่า กำลังเดินทางมาดี ๆ พี่เอาพี่เห้งเจียหกล้มฟาดหายไปไหนไม่เห็น โป๊ยก่ายพูดว่า อ้ายชาติลิงมันยึดไม่แน่นพลาดลงมันแปรไปข้างไหนไม่รู้มัน เราไปค้นหาอาจารย์เถิด จะไปเป็นธุระถึงมันทำไม ซัวเจ๋งว่าจะไม่ชอบกล ดอกกระมัง ต้องให้กลับมาก่อนจึงจะได้ แม้เธอไม่ชำนาญในทางน้ำก็จริง แต่ความฉลาดเฉลียวยิ่งกว่าเรา แม้มิได้เธอกลับมาข้าก็ไม่ไปด้วย เห้งเจียจับอยู่ที่ใบหูโป๊ยก่าย ได้ฟังดังนั้นก็อดอยู่ไม่ได้ จึงร้องบอกว่าซัวเจ๋งพี่อยู่นี่ ซัวเจ๋งได้ยินดังนั้นสิหัวเราะแล้วพูดว่าตายและวะ ทำไมจึงเล่นแกล้งกันอย่างนี้ ก็เมื่อจะทำเธอ ๆ รู้เท่าแล้ว เธอจะแกล้งต่อไปอย่างไรก็ไม่สู้ โป๊ยก่ายตกใจคุกเข่าลงกับโคลนเอาศรีษะโขกลงกับโคลนแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าขอโทษพี่สักครั้งหนึ่งเถิด ข้าพเจ้าไม่กล้าเล่นแกล้งอีกต่อไปแล้ว ขอพี่จงกลับมาแปลงอย่างเดิมเถิด ข้าพเจ้าจะให้ขี่ต่อไปไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว ไว้ไปหาอาจารย์พบแล้วขึ้นบกข้าพเจ้าจะขอขมาพี่
   เห้งเจียพูดว่าเจ้าเดินไปเถิด ข้าจะไม่แกล้งเจ้าดอกอย่าวิตกเลย จงรีบเดินไปโดยเร็ว โป๊ยก่ายก็ตั้งใจเดิน ครั้นมาประมาณอีกสักพันโยชน์ แลไปข้างในเห็นมีห้องหอใหญ่กว้าง ที่น่าประตูมีหนังสือ​ยี่ห้อสี่ตัวคือ (จุ๊ยง้วนจือเต๋ย) ซัวเจ๋งพูดว่าที่นี้เห็นจะเป็นที่ปีศาจอยู่ เราทั้งสองเข้าไปยังประตู ท้าให้มันออกรบกับเราเห็นจะดี เห้งเจียถามว่าข้างประตูนั้นมีน้ำหรือเปล่า ซัวเจ๋งบอกว่าไม่มี เห้งเจียว่าถ้าไม่มีน้ำเจ้าทั้งสองจงแอบอยู่ซ้ายขวาข้างประตู ตัวพี่จะเข้าไปค้นหาอาจารย์ พูดดังนั้นแล้วเห้งเจียก็ผละออกจากหูโป๊ยก่าย แปลงเป็นนางกุ้งตัวหนึ่งค่อยคลานเข้าไปในประตูพิจารณาดู แลไปข้างบนก็เห็นปีศาจนั่งอยู่ท่ามกลางสองข้างพวกบริวารน้ำ ยืนเฝ้าเรียงกันเป็นลำดับลงมา ได้ยินปิศาจกับนางปลากระบอกกำลังพูดกันเรื่องจะกินเนื้อถังซัมจั๋ง
   เห้งเจียเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นอาจารย์ แลไปข้างทิศปราจิณก็เห็นยายเฒ่ากุ้งก้ามกรามเดินออกมา เห้งเจียก็คลานแอบข้างยายเฒ่ากุ้งถามว่า แม่ ๆ ได้ยินใต้อ๋องจะกินเนื้อถังซัมจั๋งอยู่ที่ไหนจึงไม่เห็นเล่า ยายเฒ่ากุ้งบอกว่า ใต้อ๋องทำน้ำค้างหมอกให้น้ำแข็ง ถังซัมจั๋งเดินมาใต้อ๋องบันดาลให้น้ำเหลว ถังซัมจั๋งจมน้ำจึงจับได้ บัดนี้ขังอยู่หลังหอมีศิลาแผ่นใหญ่ปิดไว้แน่นหนา เห้งเจียเมื่อได้ทราบความชัดเจนแล้ว ก็หลีกแอบไปข้างหลังหอ เหลียวซ้าย แล ขวาหาอาจารย์ แลไปก็เห็นมีห้องหนึ่งทำแน่นหนาคล้าย ๆ โลงใส่ผี ข้างบนมีแผ่นศิลาทับซ้อน เห้งเจียเห็นดังนั้นก็คิดว่า เห็นจะอยู่ในที่นี้เป็นแน่ จึงคลานแอบเข้าไปใกล้ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น เห้งเจียแอบเงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงคร่ำครวญว่า เมื่อแรกเกิดจากท้องมารดา​ก็ลอยน้ำก็ได้รอดชีวิตมาได้ บัดนี้จะไปนมัการพระพุทธเจ้า ก็บังเอิญจมลงในน้ำที่ตายอย่างนี้ ไม่รู้ว่าเกิดมาจะผิดวันเวลาอย่างไร จึงได้ต้องในที่ทุกข์ภัยอย่างนี้ ไม่รู้ว่าสานุศิษย์จะมาตามหรือเปล่า และจะได้พระคัมภีร์กลับบ้านหรือ หรือจะมาสิ้นชีวิตแต่เพียงเท่านี้ก็ไม่รู้ พูดรำพันไปแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นไปไม่หยุด
   เห้งเจียครั้นได้ฟังเสียงจำได้แน่ว่าพระอาจารย์ ก็อดไม่ได้จึงร้องเรียกว่า พระอาจารย์อย่าแค้นเคืองถึงภัยแห่งน้ำไปทำไม ในคัมภีร์ย่อมว่า ดินคือแม่ธาตุทั้งหลาย น้ำคือรากเหง้าของทั้งห้า ไม่มีดินก็เกิดไม่ได้ ไม่มีน้ำก็เติบโตไม่ได้ ข้าพเจ้าเห้งเจียมาแล้ว พระถังซัมจั๋งได้ยินก็ร้องบอกว่า ท่านจงช่วยเราด้วย เห้งเจียว่าท่านอาจารย์จงวางใจเถิด ไว้ข้าพเจ้าจะกำจัดปีศาจร้ายเสียได้แล้วจึงจะกลับมาแก้อาจารย์ออกให้พ้นภัย พระถังซัมจั๋งร้องบอกว่าเห้งเจียรีบลงมือเถิด เห้งเจียก็หันกลับออกจากสำนักปีศาจแล้ว จึงแปลงกายกลับเป็นรูปเดิม ร้องเรียกซัวเจ๋ง โป๊ยก่ายบอกว่าเหมือนอย่างพี่พูด ปีศาจทำอุบายจับอาจารย์ขังไว้ ในที่ลับ เราเข้าไปหาได้พบแล้ว เจ้าทั้งสองจงรบล่อมันให้ขึ้นพ้นน้ำ พี่จะคอยที่ริมฝั่งแม่น้ำ แม้น มันขึ้นมาพี่จะคอยตีจับมันให้จงได้ จะได้แก้เอาอาจารย์ออกจึงจะได้ หรือเจ้าทั้งสองพอจะจับได้ก็ให้จับ ถ้าจับไม่ได้ก็ให้ล่อขึ้นมา เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็ร่ายคาถาแทรกน้ำขึ้นมาคอยอยู่ยังริมฝั่งแม่น้ำ
   ฝ่ายโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ก็มายังประตูสำนักปีศาจ ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายปีศาจโว๊ย มึงจงรีบส่งอาจารย์ของกูออกมาโดยเร็ว ฝ่ายพวกบริวารของปีศาจ เมื่อได้ยินดังนั้นก็วิ่งเข้าไปบอกนายว่า ใต้อ๋องมีคนมาร้องท้าทายทวงอาจารย์ของเขาอยู่นอกประตู ปีศาจได้ฟังบริวารบอก ก็รู้ว่าพวกศิษย์ของถังซัมจั๋ง จึงเรียกเอาเกราะมาสวมใส่ตัวแล้วมือก็ถือลูกตุ้มทองแดง เดินออกมาร้องถามว่าอ้ายสองคนนี้มึงอยู่ที่ไหน จึงบังอาจมาร้องท้าทายยังหน้าประตูกูฉะนี้ เองไม่กลัวความตายดอกหรือ โป๊ยก่ายตวาดว่าอ้ายปีศาจที่กูตีผิดไปหนีมาได้รอดตายแล้ว ยังกลับมาทำร้ายอีก เมื่อคืนก่อนมึงไปตีฝีปากกับกูที่ศาลมึงจำไม่ได้หรือ ตัวกูคือสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋ง จะไปอาราธนาพระธรรม ณ ประเทศไซที มึงหลอกลวงชาวบ้านตั้งตัวเป็นเจ้าก๊ำอึงอะไรที่ไหน ตั้งคอยกินเด็กชายหญิง กูแปลงเป็นเด็กแทนให้ลูกหญิงของตั๊นเชง มึงตรงมาจะกินกูก่อน แล้วมึงถูกคราดเหล็กเข้าวิ่งหนีหายไป มึงยังจะทำเป็นจำไม่ได้หรือ
   ปิศาจได้ฟังแล้วพูดว่า มึงอ้ายถูกศิษย์วัดมาปลอมเป็นเด็กหญิง โทษของมึงยังไม่รู้สิ้น กูยังไม่ทันจะกินมึง ๆ เอาคราดสับกูถูกมือ ๆ กูยังไม่หายเจ็บ มึงยังบังอาจมาจนถึงที่อยู่แห่งกูอีก มึงจะว่ากระไรหรือ โป๊ยก่ายว่ามึงกลัวกูแล้ว เหตุใดมึงทำน้ำหมอกให้มืดมัวและให้น้ำแข็งทั้งแม่น้ำ จึงจะคิดฆ่าอาจารย์ของกูเสีย มึงจงรีบส่งอาจารย์ออกมาเสียโดยเร็ว สารพัดโทษจะยกให้ไม่ฆ่าฟัน แม้ขัดขืนต่อสู้​ก็จะประหารชีวิตเสียเดี๋ยวนี้ ปีศาจพูดว่าเราจับอาจารย์ของเจ้ามาไว้ก็จริงอยู่แล้ว แด่เจ้าทั้งสองจงมาลองฝีมือดูสักสองสามเพลงก่อน แม้ว่าเจ้าชนะเรา ๆ จึงจะคืนอาจารย์ให้ ถ้าเจ้าแพ้เรา ๆ จะจับมาทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์ จะผ่าอกออกกินเล่นเป็นภักษาหาร โป๊ยก่ายด่าว่าอ้ายลูกกลับกลาย มึงพูดดังนี้แล้ว มึงจงคอยระวัง กูจะฟันมึงด้วยคราด
   ว่าแล้วโป๊ยก่ายก็ยกคราดขึ้นฟันลงเต็มกำลัง ปีศาจยกลูกตุ้มขึ้นรับป้องปัดต่อสู้กันไปมา ซัวเจ๋งก็ชักกระบองตรงเข้าระดมช่วยโป๊ยก่าย คนทั้งสามรบกันโดยความสามารถ ต่างคิดจะเอาชัยชนะต่างมีกำลังเข้มแข็ง รบกันไปได้ประมาณสักสามชั่วโมงยังไม่แพ้ไม่ชนะกัน โป๊ยก่ายเห็นจะเอาชัยชนะปีศาจไม่ได้แล้ว ก็ให้หน้าซัวเจ๋งให้ล่าถอย โป๊ยก่ายซัวเจ๋งรบพลางหนีพลางล่อปีศาจให้ไล่ ปีศาจก็รุกไล่ขึ้นมาบนหลังน้ำ ฝ่ายเห้งเจียยืนอยู่ริมฝั่งคอยเขม่นแลดู เห็นคลื่นละลอกเลื่อนลั่นหวั่นไหวมาริมฝั่ง โป๊ยก่ายซัวเจ๋งถึงฝั่งก็ขึ้นฝั่ง ปีศาจก็ไล่ติดตามมา เห้งเจียเห็นได้ทียกกระบองตรงมาร้องตวาดว่า อ้ายปีศาจมึงจงดูกระบองกายสิทธิ์ ปีศาจหันหน้ารับไม่อยู่ ก็โจนลงน้ำดำหนีไป เห้งเจียก็ไม่ไล่ตาม จึงกลับขึ้นบนบกพูดแก่โป๊ยก่าย
   ซัวเจ๋งว่า อ้ายปีศาจนี้มันรู้ว่าขึ้นบกสู้ไม่ได้ แต่น้องทั้งสองเหน็ดเหนื่อยมาก ซัวเจ๋งพูดว่าอ้ายปีศาจนี้ขึ้นบกรู้ว่าสู้ไม่ได้ อยู่ใต้น้ำร้ายแรงมาก ข้าพเจ้ากับพี่โป๊ยก่ายคนละข้างระดมตีก็ยังเอาชัยชนะ​ไม่ได้ จะทำอย่างจึงจะได้อาจารย์ เห้งเจียพูดว่าอย่าสงสัยจะช้าการไป วิตกอยู่เกรงมันจะคิดทำร้ายอาจารย์ น้องทั้งสองจงรีบลงไปชวนมันรบ พี่จะคอยสกัดมันเอง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็พากันรีบแทรกน้ำลงไปอีกตามคำเห้งเจียสั่ง
   ฝ่ายปีศาจถูกเห้งเจียตีด้วยกระบองรับไม่อยู่ ก็หนีกลับลงไปยังสำนัก พวกบริวารก็มาถามว่า ใต้อ๋องไล่อ้ายลูกศิษย์วัดไปถึงไหน ปีศาจบอกว่าอ้ายสองคนนั้นไม่สู้กะไรนัก ยังมีอีกคนหนึ่งฝีมือเหลือเกิน เราไล่อ้ายสองคนนี้ขึ้นบก อ้ายคนนั้นชักกระบองเหล็กมาสกัดตีด้วยกระบอง เรารับไม่อยู่ไม่รู้ว่ากระบองของมันหนักสักเท่าใด ลูกตุ้มทองแดงของเราก็รับไม่อยู่ ต่อสู้ยังไม่ได้สามเพลงเราต้องล่าหนีกลับมา
   นางปลากระบอกถามว่า ใต้อ๋องจำคนนั้นได้หรือไม่รูปร่างอย่างไร ปีศาจตอบว่า จำได้หน้ามันล้วนแต่ขนดูดุจหน้ารามสูร ในตาแดงเหมือนไฟมีแววตาเหลืองเหมือนสีทอง นางปลากระบอกได้ยินดังนั้นก็ตกใจหน้าซีดตัวสั่น จึงพูดแก่ใต้อ๋องว่า ข้าพเจ้าจะบอกให้ใต้อ๋องรู้สึก นี่หากใต้อ๋องหนีมาก่อน ถ้าช้าอีกสักสามเพลงชีวิตก็จะไม่รอดกลับมา เมื่อคราวก่อนข้าพเจ้าอยู่ยังทะเลทิศบูรพาได้ฟังเล่งอ๋องสรรเสริญว่า เธอมีฤทธาอานุภาพใหญ่หลวง เมื่อห้าร้อยปีก่อน ขึ้นไปทำสงครามบนชั้นฟ้าเง็กเซียงฮ่องเต้กับเทพบุตรทั้งหลายขยาดคร้ามฝีมือเธอทั้งสิ้น นามเรียกว่าซีเทียนใต้เซีย มาบัดนี้​เธอละพยศร้ายเข้าบวชตามทางพระแล้ว ได้ตามพระถังซัมจั๋งไปไซทีอาราธนาพระธรรมเปลี่ยนชื่อเรียกว่าซึงหงอคงและซึงเห้งเจียก็เรียก เธอมีเดชาอานุภาพมากนักเปลี่ยนกายได้หลายประการ ใต้อ๋องทำไมไปเกี่ยวข้องแก่เธอเล่า ต่อไปนี้อย่าได้สู้รบเธอเป็นอันขาด
   พูดยังไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงบริวารวิ่งเข้ามาบอกว่า อ้ายสองคนมาอีกแล้วร้องท้าชวนรบอยู่ข้างนอกประตู ปีศาจจึงพูดว่านางน้องพูดเห็นจริง จึงสั่งพวกบริวารให้ปิดประตูให้แน่น เอาศิลาและดินทับไว้อย่าให้ทลายได้ อ้ายสองคนมันเรียกร้องก็ชั่งมัน ฝ่ายพวกบริวารก็ทำตามนายสั่ง เอาดินและศิลามาถมปากประตูขึ้นจนสูงแล้วต่างก็พากันไปที่อยู่ ฝ่ายโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋ง ร้องเรียกท้าทายด่าว่าอย่างไรก็เห็นเงียบอยู่ โป๊ยก่ายขัดใจเอาคราดสับกระชากประตู ก็เห็นแต่ดินแลหินศิลาทับแน่นอยู่ ซัวเจ๋งพูดว่าอ้ายปีศาจเห็นจะมีความกลัวเกรงพวกเรา จึงได้เอาดินและศิลาถมประตูเสียดังนี้ เราพากันกลับไปหาพี่เห้งเจียจะได้คิดอ่านกันใหม่
   โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็พากันกลับไปหาเห้งเจีย ครั้นถึงจึงเล่าให้เห้งเจียฟัง ตามที่มันไม่ออกสู้รบปิดประตูนิ่งอยู่ เห้งเจียได้ฟังแล้วพูดว่าถ้ากระนั้นก็สุดปัญญาที่จะคิดต่อไป เจ้าทั้งสองจงคอยลาดตระเวรอยู่อย่าให้ปีศาจหนีไปได้ ตัวพี่จะไปน่ำไฮ้ ถามพระโพธิสัตว์จึงจะรู้ความได้ สั่งแล้วเห้งเจียก็กระทำปาฏิหารย์ไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงเขาเท้าถ้อซัว เห้งเจียลดลงยังพื้นเดินตรงเข้าไปยังสำนักใหญ่ ​เห็นหมู่เทพบุตรและเทพารักษ์เดินออกมาเชิญเข้าไปนั่งยังหน้าหอ จึงบอกแก่เห้งเจียว่า เมื่อเวลาเช้าพระโพธิสัตว์สั่งพวกข้าพเจ้าไว้ว่า วันนี้ท่านใต้เซียจะมา ให้พวกข้าพเจ้าคอยรับ พระโพธิสัตว์ท่านเข้าไปในป่าไผ่แต่ผู้เดียวมิให้ใครตามสั่งให้ใต้เซียคอยอยู่ที่นี่ เมื่อพระโพธิสัตว์กลับมาจึงให้สนทนา
   เห้งเจียได้ฟังเทพบุตรบอกดังนั้นก็นั่งคอยอยู่ที่หน้าหอ แลไปเห็นเสี้ยนจ๊าย ทงจื้อเดินขึ้นมาคำนับ พูดว่าข้าพเจ้าพึ่งท่านใต้เซียมีจิตโอบอ้อมอารี พึ่งพระโพธิสัตว์มีความกรุณา เช้าค่ำเฝ้าอยู่ซ้ายขวา กระทำให้จิตร้ายหายไปสิ้น เห้งเจียก็นึกว่า (อั้งฮั้ยยี้) จึงหัวเราะพูดว่า เมื่อเวลาก่อนจิตเป็นมารยังพาลหลง บัดนี้เข้าในทางตรงสัมมาทิฐิ จึงรู้ว่าเห้งเจียเป็นคนดี เห้งเจียนั่งคอยพระโพธิสัตว์อยู่นานแล้วไม่เห็นมา จิตใจก็ให้ทุรนทุรายจึงพูดว่า ท่านทั้งหลายช่วยไปกราบเรียนให้ท่านทราบทีเถิด แม้ช้าเวลาวิตกพระอาจารย์จะไม่รอดชีวิต
   หมู่เทพยดาพูดว่าพวกข้าพเจ้าไปไม่ได้ เพราะพระโพธิสัตว์สั่งมิให้ตามไป ท่านจะกลับมาเอง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นใจร้อนที่ไหนจะนั่งคอยอยู่ได้ จึงผุดลุกเดินเข้าไปตามหมู่เทวดาไม่กล้าห้าม เห้งเจียเข้าไปยังป่าไผ่ แลไปก็เห็นพระโพธิสัตว์นั่งที่พื้นดินใต้ร่มไผ่แต่ผู้เดียวนั่งวัดไม้ไผ่ พระองค์ก็ไม่เห็นแต่งตัว เห้งเจียเห็นแล้วก็อดไมได้ จึงร้องถามด้วยเสียงอันดังว่า พระโพธิสัตว์ข้าพเจ้าซึงหงอคงมานมัสการ​ด้วยอาจารย์ข้าพเจ้ามีภัย จะใคร่กราบเรียนถามเหตุการณ์แห่งปีศาจที่ลำแม่น้ำทงทีฮ้อนั้น พระโพธิสัตว์จึงบอกว่าพักคอยอยู่ข้างนอกก่อนสักประเดี๋ยวอาตมจะออกไป เห้งเจียจึงกลับออกมาจากป่าไผ่พูดแก่หมู่เทวดาว่า วันนี้ทำไมพระโพธิสัตว์จึงมีธุระการอะไรนัก ทำไมจึงไม่ขึ้นนั่งบนดอกบัวและไม่แต่งตัว นั่งในป่าไผ่จักไม้ไผ่ทำไมที่ไหน
รูปภาพ ; 鱼篮观音的概述图(1张)  三十三观音之十鱼篮观音观查音菩萨本为古佛再来“十二愿力现身说法解脱贪嗔痴三毒之苦 众生皆能发无上阿耨多罗三藐三菩提心永不退转 壬申年傅继英敬绘图的 กวนอิมองค์ที่ 10 จาก 33 องค์ กวนอิมกับตะกร้าปลา พระโพธิสัตว์กวนอิมเป็นพระโพธิสัตว์ที่กลับชาติมาเกิดใหม่จากพระพุทธเจ้าในสมัยโบราณ พระองค์ทรงมีพระปณิธาน 12 ประการที่จะสั่งสอนและปลดปล่อยผู้คนจากพิษ 3 ประการ คือ ความโลภ ความโกรธ และความไม่รู้ สรรพสัตว์ทั้งหลายสามารถพัฒนาจิตอนุตตรสัมมาสัมโพธิอันสูงสุดได้และจะไม่ถอยหนี ภาพวาดนี้วาดโดย Fu Jiying ในปี Renshen
   เทพยดาทั้งหลายพูดว่าการอย่างนี้พวกข้าพเจ้าไม่ทราบเลย เห็นเมื่อเช้าออกจากสำนักก็ไม่เห็นแต่งตัว สั่งพวกข้าพเจ้าให้คอยรับใต้เซีย เห็นคงจะมีธุระที่ใต้เซียดอกกระมัง เห้งเจียสนทนากับเทวดาอยู่ประเดี๋ยวแลไปก็เห็นพระโพธิสัตว์มือถือตะกร้าเดินออกมาจากป่าไผ่ ร้องเรียกเห้งเจียมาพูดว่า จงรีบไปกับอาตมภาพจะได้ช่วยพระถังซัมจั๋งให้ออกพ้นภัย เห้งเจียคุกเข่าลงพูดว่าข้าพเจ้าไม่กล้าเร่งรัด ขอท่านได้ครองผ้าแล้วจึงค่อยไปก็ได้ พระโพธิสัตว์พูดว่าไม่ต้อง ต้องไปให้ทันเวลานี้ว่าแล้วก็กระทำปาฏิหารย์เหาะไป เห้งเจียก็เหาะติดตามมา บัดเดี๋ยวก็มาถึงแม่น้ำทงทีฮ้อ
   ฝ่ายโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งนั่งคอยอยู่ที่ริมฝั่งก็พูดบ่นกันว่า พี่เห้งเจียใจก็ร้อนทำไมจึงช้าไม่เห็นมา พูดบ่นกันดังนี้สักชั่วหวีผมก็แลเห็นพระโพธิสัตว์เหยียบเมฆข้ามแม่น้ำมาถึง โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็คุกเข่าลงคำนับกับพื้นดิน พระโพธิสัตว์ขยายสายแพรรัดเอ็วออกผูกปากตะกร้า แล้วเหาะขึ้นกลางอากาศร่ายคาถาเจ็ดรอบแล้วก็ขว้าง​ตะกร้าขึ้นบนเหนือน้ำ บัดเดี๋ยวก็ลากขึ้นมามีปลาทองกิมลีฮื้อนอนดิ้นอยู่ในตะกล้า พระโพธิสัตว์จึงเรียกเห้งเจียให้ลงไปรับอาจารย์ขึ้นมา เห้งเจียจึงถามพระโพธิสัตว์ว่า ปีศาจยังจับไม่ได้ทำไมจึงจะไปช่วยอาจารย์ขึ้นมาได้เล่า พระโพธิสัตว์ว่าในตะกร้านี้มิใช่ตัวปีศาจหรือ โป๊ยก่ายซัวเจ๋งคำนับแล้วถามว่า ปลาตัวนี้ทำไมจึงมีฤทธิ์เดชมากนัก พระโพธิสัตว์ตอบว่า ปลาทองตัวนี้เดิมอยู่ในสระบัวของอาตมภาพเลี้ยงไว้จนโต ได้ลอยขึ้นฟังธรรมทุกวัน ๆ ปฏิบัติบวชจนสำเร็จจึงแปลงกายได้ ลูกตุ้มทองแดงที่ถือเป็นอาวุธนั้นคือดอกหญ้าหอมมันประกอบปลุกเสกจึงได้กลายเป็นอาวุธ มาวันหนึ่งน้ำทะเลท่วมมากมันจึงกระโดดออกจากสระหนีมาอยู่ที่นี่ เมื่อเช้านี้อาตมภาพออกไปจะชมสระดูดอกบัว จึงได้รู้ว่ามันหนีไปมิได้เห็นมันขึ้นมาไหว้ จึงตรวจดูก็รู้ว่ามันมาเป็นปีศาจอยู่ที่ลำแม่น้ำนี้ เพราะฉะนั้นอาตมภาพตั้งพิธีสานตะกร้ามาจับมัน
   เห้งเจียได้ฟังพระโพธิสัตว์เล่าให้ฟังดังนั้นจึงขอนิมนต์ว่า ขอพระผู้เป็นเจ้าพักสักประเดี๋ยว ข้าพเจ้าจะบอกพวกชาวบ้านแกจึงให้มานมัสการพระโพธิสัตว์ ด้วยเหตุว่าข้อหนึ่งจะไว้เป็นคุณ ข้อสองจะให้รู้ว่าพระโพธิสัตว์มาจับปีศาจ ข้อสามจะให้หมู่บ้านแกจึงเลื่อมใสศรัทธาในทางธรรม เพราะฉะนั้นพระโพธิสัตว์จึงให้เห้งเจียไปเที่ยวเป่าร้องชาวบ้านให้บอกกันมา โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็รีบไปในบ้านแกจึงร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ท่านทั้งหลายจงรีบมาดูพระโพธิสัตว์กวนอิม พวก​หมู่บ้านแกจึงได้ทราบดังนั้น ไม่ว่าชายแลหญิงเด็กผู้ใหญ่ พากันวิ่งมาดูเห็นพระโพธิสัตว์กวนอิมแล้ว ก็ต่างคนต่างคุกเข่าลงไม่ว่าดินทรายโคลนเลน ที่เป็นช่างเขียนก็วาดรูปพระโพธิสัตว์ไว้ เพราะฉะนั้นจึงมีรูปพระโพธิสัตว์กวนอิมถือตะกร้ามาจนเท่าทุกวันนี้ ครั้นพวกชาวบ้านแกจึงมานมัสการแล้ว พระโพธิสัตว์ก็เสด็จกลับคืนยังสถาานที่น่ำไฮ้
   โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็แทรกน้ำลงไปยังสำนักที่ปีศาจอาศัย ค้นหาอาจารย์ตรงไปยังหลังหอ แลไปก็เห็นมีแผ่นศิลาทับอยู่ จึงงัดเปิดแผ่นศิลาออก โป๊ยก่ายก็ย่อตัวลงไปให้อาจารย์ขึ้นนั่งบนหลังแล้วก็รีบออกจากสำนักปีศาจแทรกน้ำขึ้นมายังบ้านแกจึง ตั๊นเท่ง ตั๊นเชงพี่น้องทั้งสองคนเห็นพระถังซัมจั๋งขึ้นมาได้ ต่างคนก็ดีใจคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ห้ามท่านแล้วท่านก็ไม่เชื่อ จึงได้เกิดความทุกข์ยากอย่างนี้ เห้งเจียจึงพูดว่า ท่านทั้งหลายอย่าพูดเลยการที่ล่วงไปแล้ว ป่วยการเสียเปล่า ข้าพเจ้าจะขอพึ่งท่านชาวบ้านนี้ให้ช่วยหาเรือสักลำหนึ่ง เพื่อจะได้ส่งพวกข้าพเจ้าข้ามฟาก ต่อนี้ไปทุก ๆ ปีก็ไม่ต้องเซ่นไหว้ ด้วยได้กำจัดอ้ายปีศาจเสียแล้ว ไม่มีความร้ายอะไรอีกต่อไป
   ตั๊นเท่ง ตั๊นเชงให้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงพูดว่าอันเรือแพ นาวานั้นท่านอย่าวิตกเลย พวกข้าพเจ้าจะจัดแจงเอง ตั๊นเท่ง ตั๊นเชงจึงป่าวร้องขอแรงพวกชาวบ้านมาช่วยทำ พวกชาวบ้านก็มีศรัทธาทุก ๆ คน ​บ้างออกกระดานบ้างออกถ่อแจวและสิ่งของที่จะต้องใช้ในเรือนั้น จัดทำกันที่ริมฝั่งออกชุลมุน
   ในขณะนั้นได้ยินเสียงร้องเรียกว่าท่านเห้งเจียใต้เซีย ไม่ต้องเสียเปลืองของชาวบ้าน ไว้ธุระข้าพเจ้าจะส่งพระอาจารย์กับสานุศิษย์ให้ข้ามฟากไปเอง หมู่คนกำลังทำให้ฟังดังนั้นต่างก็ตกใจกันทุก ๆ คน บัดเดี๋ยวแลไปก็เห็นผุดขึ้นมาจากน้ำเป็นเต่าใหญ่ตัวหนึ่ง เห้งเจียเห็นดังนั้น จับกระบองแกว่งกระโดดเข้าไปใกล้พูดว่า ข้าดูเจ้าก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้ามึงทำเหมือนอย่างปีศาจอย่างนั้นกูจะตีมึงให้ตายเดี๋ยวนี้
   เต่าจึงพูดว่า ข้าพเจ้าคิดถึงคุณท่านจะมาส่งพวกท่านให้ข้ามฟาก ทำไมท่านจะมาตีข้าพเจ้า เห้งเจียถามว่า เรามีบุญคุณอะไรแก่เจ้า เต่าตอบว่าท่านใต้เซียยังไม่ทราบเรื่องในใต้น้ำนั้นว่าเป็นอย่างไร อันที่สำนักจุ๊ยง้วนจือเต๋ยนั้น เป็นที่อยู่ของข้าพเจ้ามาแต่เดิม แรกเริ่มก็ต่อๆ กันมาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตา ทวด จนมาถึงข้าพเจ้า ได้รักษาดูแล ต่อมาเพราะข้าพเจ้ามีสติปัญญา ก็รักษาถือบวชอยู่ในที่นั้น จึงเปลี่ยนสร้างสำนักนั้นขึ้นใหม่ ตั้งยี่ห้อว่าจุ๊ยง้วนจือเต๋ยอักษรสี่ตัว อ้ายปีศาจนั้น เมื่อก่อนเก้าปีทำคลื่นละลอกใหญ่ซัดเข้ามาจากทะเล มาถึงที่นี้ก็ทำอำนาจดุร้ายรบข้าพเจ้า มันฆ่าพวกบริวารของข้าพเจ้าตายเสียหมดสิ้น ข้าพเจ้าจึงต้องหนีมันไปเที่ยวซุกซ่อนอยู่ จนเท่าทุกวันนี้ มาบัดนี้ท่านใต้เซียมาถึงนี่ได้ไปเชิญพระโพธิสัตว์มาจับปีศาจนั้นไป ที่สำนักนั้นก็คืนกลับมาเป็นของข้าพเจ้าอยู่รักษาไปตามเดิม ​บริวารของข้าพเจ้าก็ได้มีความสุข ข้าพเจ้าคิดถึงพระคุณของท่านดุจภูเขาใหญ่ ตามเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้ากล่าวมานี้ ท่านจะไม่มีบุญคุณแก่ข้าพเจ้าหรือประการใด และทั้งชาวบ้านแกจึงก็ไม่ต้องเซ่นไหว้อีก ได้รอดชีวิตเด็กชายหญิงก็เพราะเหตุแห่งท่าน แปลว่าเป็นคุณทั้งสองฝ่าย ถ้าดังนี้แล้วจะไม่คิดคุณท่านหรือ
   เห้งเจียให้ฟังดังนั้นก็นึกมีความยินดี จึงเก็บกระบองเสียแล้วถามว่า เจ้ามีน้ำใจจริงดังนั้นหรือ เต่านั้นตอบว่าพระเดชพระคุณของใต้เซียดุจฟ้าแลดิน ข้าพเจ้าจะพูดเท็จได้หรือ เห้งเจียว่า แม้เจ้ามีน้ำใจสุจริตกตัญญูอย่างนั้นจริง จงสาบานให้แก่เราว่า แม้ว่าเจ้าไม่ส่งพระถังซัมจั๋งข้ามฟากไป ขอให้ตัวเจ้าละลายเป็นน้ำเลือดไปทั้งสิ้น เต่านั้นก็รับคำประหงกศรีษะหงายหน้ายกศรีษะขึ้นแลดูฟ้ากล่าวคำสาบาน เห้งเจียได้ฟังแล้วหัวเราะเรียกว่าเจ้าจงเข้ามานี่ เต่าก็แอบเข้าใกล้ฝั่งแล้วเกยขึ้นบนบก คนทั้งหลายก็พากันมาดูเต่าใหญ่ประมาณกว้างสี่วาเศษแต่หลังขาว เห้งเจียนิมนต์พระอาจารย์ให้ขึ้นบนหลังเต่าจะได้ข้ามไป
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า แต่น้ำแข็งยังพลาดพลั้งจมไป นี่หลังเต่านี้เกรงจะไม่เป็นปรกติให้ เต่าจึงพูดว่า พระอาจารย์อย่ามีความวิตกเลยจงวางใจเถิด อันน้ำแข็งนั้นสู้ความมั่นคงแข็งแรงของข้าพเจ้าไม่ได้ เห้งเจียจึงบอกอาจารย์ว่า แม้ว่าสัตว์รู้จักพูดภาษาคนคงจะไม่กลับกลอก จึงให้ซัวเจ๋งจูงม้ามาเห้งเจียจูงม้าลงที่หลังเต่ายืนอยู่​กลาง พวกชาวบ้านแกจึงไม่ว่าชายแลหญิงเด็กผู้ใหญ่ มาพร้อมกันนมัสการส่งพระถังซัมจั๋ง ฝ่ายเห้งเจียครั้นให้ม้าลงยืนดีเป็นปรกติแล้ว จึงนิมนต์พระอาจารย์ลงยืนที่ถัดต่อม้ามา ให้ซัวเจ๋งยืนข้างขวา โป๊ยก่ายยืนซ้าย เห้งเจียยืนข้างหน้า เห้งเจียกลัวว่าเต่าจะทำร้าย จึงแก้สายรัดเอ็วหนังเสือออกร้อยรูจมูกเต่าทำสายบังเหียน เท้าหนึ่งก็เหยียบบ่าบนหลังเต่า เท้าหนึ่งก็เหยียบบนศรีษะเต่า มือหนึ่งจับสายสะพาย มือหนึ่งจับกระบอง เห้งเจียจึงบอกให้เต่าค่อย ๆ เดินไป แม้ว่าทำเอียงทีหนึ่งจะตีศรีษะทีหนึ่ง เต่าบอกว่าข้าพเจ้าไม่กล้าทำเอียง
   ว่าแล้วเต่าก็กางสี่เท้าพายลิ่วไปบนหลังน้ำ ชาวบ้านแกจึงอยู่ริมฝั่ง ก็พากันจุดธูปเทียนบนบานให้ไปเป็นสุข ต่างก็นั่งแลดูกว่าจะไม่เห็นตัวจึงได้พากันกลับบ้าน พระถังซัมจั๋งขี่เต่าข้ามไปวันหนึ่งก็ถึงฝั่งฟากข้างตะวันตก ตัวก็ไม่เปียกน้ำดุจเดินบนที่แห้ง ครั้นเต่าถึงริมตลิ่งอาจารย์กับศิษย์ก็พากันขึ้นบก พระถังซัมจั๋งจึงขอบคุณเต่าว่า ได้พึ่งท่าน ๆ ได้อุตสาหะข้ามส่งมาถึงฝั่ง อาตมาภาพก็ไม่มีสิ่งใดจะรางวัลให้ จงรออาตมภาพไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมกลับมาแล้ว จะตอบแทนสนองพระคุณของท่าน เต่าพูดว่าไม่ต้องลำบากแก่ท่านอาจารย์ แต่ข้าพเจ้าได้ยินว่าเมืองไซทีมีพระพุทธเจ้า เป็นพระไม่เกิดไม่ตายต่อไป ล่วงรู้กาลทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบันสามกาล แต่ข้าพเจ้ารักษาศีลถือบวช​มาได้พันสามร้อยปีแล้ว อายุยืนตัวเบาและพูดภาษามนุษย์ได้ แต่ถอดรูปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ขอท่านอาจารย์ได้โปรด แม้ไปถึงพระแล้ว ช่วยถามแทนข้าพเจ้าว่า อีกสักเมื่อไรจะถอดจากรูปเต่าเป็นรูปมนุษย์ได้ พระถังซัมจั๋งก็รับปากว่าเอาเถอะเราจะช่วยทูลถามให้ เต่ายกศรีษะคำนับแล้วก็ดำน้ำกลับไป เห้งเจียพยุงอาจารย์ขึ้นแล้วศิษย์กับอาจารย์ก็พากันออกเดิน