Translate

17 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 41 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
​(บทที่ ๕๕)
เวลานั้นเห้งเจียจะร่ายคาถาทำจังงังให้หมู่หญิงชาวเมืองไซเหลียงก๊ก ยืนอยู่ที่เดียวก็ยังหาทันไม่ พอได้ยินเสียงซัวเจ๋งร้องโวยวายขึ้น เห้งเจียหันไปถามว่าอะไรกัน ​ซัวเจ๋งบอกว่ามีหญิงผู้หนึ่งทำเป็นม้วนลมพายุ หอบเอาพระอาจารย์ไปแล้ว เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็เหาะขึ้นกลางเวหาแลไปดูทั้งสิบทิศก็เห็นข้างทิศอุดรมีม้วนลมกลุ้ม ๆ ลิ่ว ๆ ไป เห้งเจียเห็นแล้วก็กลับหน้ามาเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่า จงรีบตามเราไปตามอาจารย์โดยเร็ว โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็เก็บของวางบนหลังม้าเสร็จแล้ว จึงหากันเหาะตามเห้งเจียมา
   ฝ่ายพวกหญิงชาวเมืองไซเหลียงก๊กแลเห็นเหาะเหินเดินอากาศไปได้ดังนั้น ต่างคนก็คุกเข่าลงคำนับกับพื้นทำเคารพทุก ๆ คน แล้วพูดว่ามีอภินิหารบารมีเหาะเหินเดินอากาศได้ดังนี้ ชะรอยจะเป็นพระอรหันต์แน่ไม่ต้องสงสัยเลย ท่านน้องพระเจ้าแผ่นดินถังนั้นมีบารมีแก่กล้า พวกเรามีแต่นัยน์ตาไม่มีแก้วตาจึงได้คิดผิดไปดังนี้ หมายใจเสียว่าเหมือนมนุษย์ธรรมดา จึงได้เสียเวลาคิดป่วยการเปล่า ๆ ขอเชิญพระแม่เจ้าขึ้นสู่ราชรถกลับเข้าพระนครเถิด พระราชเทวีเมื่อได้พระสติก็ให้นึกละอายแก่พระทัย จึงพร้อมด้วยขุนนางใหญ่น้อย บ่ายหน้าราชรถคืนกลับเข้าสู่พระนคร
   ฝ่ายเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเหาะไล่ตามม้วนลมนั้นมา ถึงภูเขาสูงอันหนึ่งก็เห็นม้วนลมนั้นเงียบสงบลง ก็หาได้รู้ว่าปีศาจนั้นจะไปข้างไหนไม่ พี่น้องทั้งสามคนก็พากันลดลงยังยอดเขา เที่ยวค้นหาแลไปข้างหน้าก็เห็นแห่งหนึ่ง มีศิลาสีเขียวตั้งอยู่มีแสงระยับสว่างไสวดุจแผ่นกระจกลับแล พ้นแผ่นศิลาเข้าไปข้างหลังนั้น มีบานประตูศิลาปิดงับอยู่บนขวางประตูมีอักษรใหญ่หกตัว คือเขาต๊อกตี๊ซัวถ้ำปี้แป้ต๋อง
โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ตรงเข้ามาจะเอาคราดเหล็กสับ เห้งเจียห้ามว่าน้องอย่าเพิ่งทำก่อน เพราะเราตามม้วนลมมาก็หารู้แน่ไม่ น้องทั้งสองจงพักอยู่ที่นี่สักประเดี๋ยว พี่จะเข้าไปสืบความดู ให้ได้ความก่อนแม้ว่าได้ความแล้วประการใดเราจึงค่อยคิดอ่านต่อไป โป๊ยก่ายซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียก็รอคอยที่นั่น เห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงผึ้งตัวน้อยบินลอดเข้าไปในประตูถึงชั้นที่สอง แลไปเห็นหญิงนั่งอยู่บนแท่นผู้หนึ่ง สองข้างมีหญิงรูปร่างสวยกำลังรุ่นสาว ยืนเรียงรายสองแถว พากันหัวเราะโดยไม่รู้เหตุ เห้งเจียค่อย ๆ บินเข้าไปใกล้จับอยู่บนขื่อคอยแอบฟังเหตุการณ์ ประเดี๋ยวก็เห็นหญิงผมยาวคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน สองมือประคองถาดออกมา ในถาดนั้นมีของกินสองอย่างกำลังร้อน ๆ เดินขึ้นมาที่นางนั่งพูดว่า ขอแม่นางได้ทราบของกินสองสิ่งนี้ สิ่งหนึ่งแกงเนื้อคนสิ่งหนึ่งเป็นของเครื่องแจ
ตอน เรื่องวุ่นๆในเมืองแม่หม้าย ปิศาจแมงป่อง (ช่วงที่2)
   นางปิศาจได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอยู่ในหน้า จึงสั่งว่าพวกเจ้าจงเข้าไปพยุง ท่านพระถังซัมจั๋งออกมานี่ พวกหญิงบริวารเหล่านั้นก็พากันเข้าไปพะยุงพระถังซัมจั๋งออกมา เห้งเจียเห็นพระอาจารย์มีสีหน้าเหลืองสองตาแดงเหมือนร้องไห้ เห้งเจียนึกแต่ในใจว่า อาจารย์เราเห็นจะถูกยาแฝดเสียแล้ว ฝ่ายนางปีศาจยักษ์เห็นคนพยุงพระถังซัมจั๋งออกมา ก็ลงจากแท่นจับมือพระถังซัมจั๋งไว้แล้วจึงพูดว่า ท่านจงวางใจเถิดอย่าทุกข์โทมนัสเศร้าโศกไปให้ป่วยการเลย อันความบริบูรณ์มั่งมีศรีสุขสู้เมือง​ไซเหลียงก๊กไม่ได้ก็จริง แลความสำราญเงียบสงัดที่นี่ดีกว่า จะภาวนาสวดมนต์ก็เป็นที่สะอาดใจ ท่านกับข้าพเจ้าจงเป็นเพื่อนยากกันกว่าชีวิตจะหาไม่เถิด
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังนางปีศาจยักษ์พูดเกี้ยวพานดังนั้น ก็มิได้โต้ตอบประการใด นางปีศาจจึงพูดต่อไปว่าท่านอย่ามีความเศร้าหมองเลย เมื่อเลี้ยงโต๊ะที่เมืองไซเหลียงก๊กในเวลานั้นข้าพเจ้าก็อยู่ แต่ไม่เห็นว่ายื่นให้ซึ่งของกิน มาบัดนี้ข้าพเจ้ามีของกินสองอย่าง คือ แจแลโช ตามแต่ท่านจะประสงค์เถิด พระถังซัมจั๋งนึกในใจว่าแม้ว่าเราไม่พูดจาโต้ตอบ อันหญิงปีศาจนี้หาเหมือนนางกระษัตริย์ไม่ นางยังมีธรรมเนียมะนุษย์ อันปีศาจนี้มันเป็นยักษ์มารร้ายกาจ แลอีกประการหนึ่งศิษย์ทั้งสามก็ยังไม่รู้เหตุการณ์ว่ามาตกทุกข์ได้ยากอยู่ที่นี่ไม่ บางทีปีศาจมันจะคิดหักหาญทำร้ายเราก็จะเสียซึ่งชีวิต คิดดังนั้นแล้วก็อุตส่าห์ออกวาจาตอบว่าอันของสองอย่างนั้น เรียกว่าแจเป็นอย่างไร โชเป็นอย่างไรข้าพเจ้าอยากทราบ นางปีศาจบอกว่าของแจทำต้มแกงไม่มีเนื้อสัตว์ ของโชนั้นต้มแกงด้วยเนื้อมนุษย์ พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมภาพเคยฉันแต่ของแจ
   นางปีศาจได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วเรียกสาวใช้ให้ยกน้ำร้อนน้ำชามา พวกคนใช้ก็ยกน้ำร้อนมาตั้งไว้ตามสั่ง นางปีศาจก็หยิบของแจยื่นส่งให้พระถังซัมจั๋งฉัน พระถังซัมจั๋งหยิบของโชส่งให้นางปีศาจ ต่างยื่นส่งกันไปมากินตามสบาย ฝ่ายเห้งเจียเป็นแมลงผึ้งจับอยู่บนขื่อ เห็นพระถังซัมจั๋งกับนาง​ปีศาจพุดจาปราศรัยกันดังนั้น ก็วิตกกลัวว่าพระอาจารย์จะฟุ้งซ่านลุ่มหลงไป เห้งเจียอดไม่ได้ก็กลายกลับเป็นรูปเดิม ชักตะบองโดดลงมาร้องว่าอีมารร้ายมึงอย่าทำเล่ห์กลหลอกอาจารย์กูเลย นางปีศาจเห็นดังนั้นก็ตกใจ พ่นสายไฟออกจากปากมืดไปหมดทั้งถ้ำ เรียกสาวใช้ให้พาพระถังซัมจั๋งไปเก็บไว้ยังเดิม
   แล้วนางปีศาจก็จับพลองเหล็กกระโดดออกมายังหน้าประตูถ้ำ ด่าว่าอ้ายลิงมึงถืออย่างไรจึงอาจสามารถแอบเข้ามาในถ้ำของกู มึงมาต่อสู้แก่กูให้เห็นฝีมือกัน เห้งเจียเอาตะบองเหล็กขึ้นรับค่อยรบรอถอยมาจากถ้ำ ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง นั่งคอยอยู่หน้าถ้ำ แลไปเห็นคนทั้งสองกำลังต่อสู้กันออกมา โป๊ยก่ายสองมือจับคราดกระโดดมาร้องว่าพี่ขยับถอยไปก่อน ข้าพเจ้าจะสับอีมารด้วยคราดสักทีหนึ่ง

   นางปีศาจเห็นโป๊ยก่ายว่าจะเข้ามาทำร้าย จึงแผลงฤทธิ์ให้ไฟออกจากรูจมูกเป็นควันกลุ้มไม่แลเห็นอะไร แล้วบันดาลให้พลองนั้นบินแกว่งมาบนอากาศตีกระหนาบไม่รอรั้ง จนไม่รู้ว่าปีศาจจะมีสักกี่มือ เห้งเจียโป๊ยก่ายรอรับอยู่คนละข้าง นางปีศาจจึงพูดว่าหงอคงทำไมจึงไม่รู้เหตุการณ์ เราจำเจ้าได้เจ้าจำเราไม่ได้หรือที่วัดลุ่ยอิมยี่พระยูไลยังกลัวเรา ทำไมกับเจ้าอ้ายชาติสัตว์เดรัจฉานสองตนเท่านี้จะไปถึงไหน เห้งเจียโป๊ยก่ายรบแก่นางปีศาจหลายชั่วโมงก็ไม่แพ้ชนะกัน ฝ่ายนางปีศาจก็ร่ายเวทบันดาลเป็นสากตำเข้าบินมา เห้งเจียไม่ทันรู้ตัวสากตกถูกกลางกระหม่อมทีหนึ่ง เห้งเจียร้องโอยก็​ถลาถอยหนี โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ลากคราดถอยหนีไปเหมือนกัน ฝ่ายนางปีศาจมีชัยชนะแล้วกลับเข้าถ้ำ ฝ่ายเห้งเจียถูกสากเจ็บปวดก็ประคองศรีษะหน้านิ่วคิ้วย่นเหลือจะทนได้ ออกปากร้องว่าร้ายแรง
   โป๊ยก่ายถามว่า กำลังรบกันอยู่ทำไมพี่จึงร้องขึ้นและกอดหัววิ่งหนีกลับมาดังนี้เล่า เห้งเจียประคองศรีษะร้องว่าเจ็บเหลือทน แล้วพูดว่าเพื่อเวลากำลังรบแก่ปีศาจมันเห็นเพลงอาวุธจวนจะแพ้เรา ไม่รู้ว่ามันแผลงฤทธิ์ด้วยประการใด บินมาถูกศรีษะเราทีหนึ่งเจ็บปวดเหลือจะทนได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องล่าหนี โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า เพื่อเวลามิได้รบพุ่งแก่ใคร พี่พูดอวดว่าศรีษะของพี่ปลุกเสกประกอบด้วยธรรมอันเชี่ยวชาญแก่กล้า ถ้าจริงดังนั้น ทำไมจึงไม่คุ้มไว้ได้ ให้ถูกเจ็บอย่างนี้ทำไมเล่า เห้งเจียว่า อันความที่เล่าเรียนวิชาการที่คุ้มภัยก็ได้จริงเหมือนกัน ซึ่งเป็นมีดพร้าหรือหอกดาบ แหลนหลาวและไฟเผาสารพัดก็ไม่เป็นอันตรายจริง มาวันนี้นางปีศาจนี้ ไม่รู้ว่ามันเอาสิ่งไรทำให้เราได้ความเจ็บปวดเหลือทนดังนี้
   โป๊ยก่ายว่าถ้าดังนั้นเรากลับไปเมืองไซเหลียงก๊กหายาให้พี่ ปิดแก้ปวดเห็นจะดี เห้งเจียพูดว่าไม่มีบาดแผลและไม่บวมช้ำจะปิดยาอย่างไรได้ โป๊ยก่ายพูดว่าเพื่อข้าพเจ้ามีท้องจนท้องยุบเจ็บปวดก็ยังไม่เจ็บถึงสมอง ซัวเจ๋งพูดว่าพี่โป๊ยก่ายอย่าพูดเล่นให้เสียเวลา ด้วยเวลาก็จวนจะค่ำอยู่แล้ว พี่เห้งเจียได้ความเจ็บปวด ทั้งพระอาจารย์ก็ไม่รู้​ว่าจะเป็นตายประการใด จะคิดอย่างไรดี เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์อยู่ในถ้ำคงไม่เป็นไรอย่าวิตก เราพักพี่ชายเขาสักคืนหนึ่ง พอรุ่งแจ้งจึงค่อยคิดการต่อไป พูดดังนั้นแล้วทั้งสามคนก็พาค้นหาที่พักเป็นปรกติแล้วก็นอน
   ฝ่ายนางปีศาจ ครั้นได้ชัยชนะแล้ว กลับเข้าไปในถ้ำก็ทำใจดีรื่นเริงอ่อนน้อมไม่ดุร้าย สั่งให้พวกคนใช้ปิดประตูชั้นนอกให้มั่นคง สั่งให้นั่งยามอยู่สองคนคอยระวังผลัดเปลี่ยนกัน และสั่งให้สาวใช้ปัดกวาดเตียงนอนจุดโคมไฟขึ้นให้สว่างไสว คืนวันนี้เรากับท่านพระอนุชาเมืองใต้ถังจะมีความรื่นเริงกัน พวกสาวใช้ก็จัดการตามนางปีศาจสั่งทุกประการ ครั้นจัดเสร็จแล้ว ก็พากันเข้าไปข้างในพยุงพระถังซัมจั๋งมาที่นาง ฝ่ายนางปีศาจทำกิริยายียวนเล้าโลมจับมือพระถังซัมจั๋ง แล้วพูดว่า ท่านกับข้าพเจ้าจงเป็นสามีภรรยากันอย่ามีความรังเกียจแต่อย่างใดเลย พระถังซัมจั๋งเมื่อได้เห็นปีศาจทำกิริยาอาการแลพูดจาดังนั้นตกประหม่าหน้าไม่มีสีโลหิต คิดแต่ในใจว่า แม้เราจะขัดขืนมิตามใจมัน ๆ ก็จะฆ่าเราเสีย อย่าเลยจำจะต้องผ่อนผันไปตามการ คิดแล้วก็เดินตามนางเข้าไปในห้อง
   เวลานั้นพระถังซัมจั๋งดุจบ้าใบ้ไม่เป็นสติสมประดี มิได้เงยหน้าแลดูสิ่งใด ครั้นเข้าในห้องสองต่อสองแล้ว นางปีศาจก็ทำกิริยาลูบคลำจับต้องโดยจิตอันกำหนด​ในกามราคะ แต่พระถังซัมจั๋งมิได้มีความยินดีนั่งนิ่งสำรวมจิตมิได้มีความปฏิพัทธ์เกี่ยวข้องในกามคุณ นางปีศาจก็เล้าโลมกอดรัดหวังจะให้ความกำหนัดแห่งพระถังซัมจั๋งกำเริบขึ้น แต่พระถังซัมจั๋งก็นั่งนั่งอยู่เหมือนบ้าใบ้ไม่แสดงความกำหนัดเสน่หา ในทางอสัทธรรมสังวาสจนเวลาล่วงเข้ายามสาม นางปีศาจมีความกำหนัดเร่าร้อนไปด้วยเพลิงราคะ เข้ากอดปล้ำทำประการ ใด ๆ พระถังซัมจั๋งก็สภาวะนิ่งอยู่มิได้กำเริบ นางปีศาจสุดที่จะคิดเพราะเป็นสตรี เมื่อบุรุษไม่ยินดีแล้ว ก็ไม่สามารถจะให้สำเร็จความประสงค์ของตนได้ จึงเรียกสาวใช้ให้เอาเชือกมามัดผูกพระถังซัมจั๋ง ดุจมัดคชสารและราชสีห์แล้วก็สั่งให้ลากลงไปที่ระเบียง พวกคนใช้ก็กระทำตาม นางปีศาจจึงให้ดับโคมไฟนอน
   ฝ่ายเห้งเจียพักอยู่ที่ข้างเขา พอตื่นรู้สึกก็เรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งแล้วพูดว่า เมื่อเวลากลางคืนเจ็บปวดศรีษะ เวลานี้ความเจ็บปวดก็หายแล้ว โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า แม้ว่าหายดีแล้วก็ให้มันลองดูอีกสักทีหรือจะเป็นอย่างใดอีกบ้าง เห้งเจียว่าเลิกเสียเถิดอย่าเอามาพูดอีกเลย โป๊ยก่ายว่าทิ้งอาจารย์เสียคืนหนึ่งแล้วไม่ทราบว่าจะเป็นประการใด ซัวเจ๋งพูดว่าสว่างดีแล้วจะรีบไปกำจัดปีศาจเสียให้จงได้ จะได้แก้เอาพระอาจารย์ออกมา เห้งเจียว่าน้องจงคอยพี่อยู่ที่นี่สักประเดี๋ยวพี่กับโป๊ยก่ายจะไปดูลาดเลาก่อน พูดดังนั้นแล้วก็พร้อมด้วยโป๊ยก่ายรีบเดินขึ้นไปบนถ้ำ ครั้นเห้งเจียขึ้นไปถึงจึงสั่งโป๊ยก่าย​ให้รอคอยอยู่ที่หน้าถ้ำก่อน วิตกว่าเมื่อคืนนี้ปีศาจมันจะทำแก่พระอาจารย์ประการใดก็ยังไม่รู้ได้ พี่จะเข้าไปฟังดูให้รู้แน่ใจก่อน พูดดังนั้นแล้วก็แปลงกายเป็นแมลงผึ้งบินเข้าในถ้ำ ถึงประตูชั้นในแลเห็นคนนั่งยามอยู่สองคน มือถือเกราะนอนหลับอยู่ข้างประตู เห้งเจียก็บินเข้าไปยังห้องนางปีศาจที่นอนอยู่
   ฝ่ายนางปีศาจเวลากลางคืนอดนอนจึงได้หลับอยู่จนสายยังหาตื่นไม่ เห้งเจียก็ค่อย ๆ บินเข้าไปข้างในได้ยินเสียงพระอาจารย์ แลไปก็เห็นต้องมัดอยู่ดุจเขามัดสุกรนอนอยู่ข้างบันใด เห้งเจียก็บินลงมาใกล้ร้องเรียกพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งได้ยินเสียงก็จำได้ว่าเห้งเจีย จึงเรียกว่าเห้งเจียจงรีบมาช่วยชีวิตเราด้วยเถิด เห้งเจียถามว่าเมื่อคืนนี้รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง พระถังซัมจั๋งตอบว่า การประเวณีแล้วก็ตายเสียดีกว่า เพราะไม่ยินดีด้วยกับมัน ๆ จึงได้มัดไว้ทรมานทรกรรมอย่างนี้ เวลานั้นอาจารย์กับศิษย์กำลังพูดกันอยู่นางปีศาจรู้สึกได้ยินเสียงว่าจะไปอาราธนาพระธรรมก็ตกใจตื่นขึ้น แม้นางปีศาจทำทรมานพระถังซัมจั๋งก็จริง แต่ใจนั้นยังมีความเสน่หาอาลัยพระถังซัมจั๋งอยู่มาก นางปีศาจได้ยินว่าจะไปก็รีบลงมาจากเตียงเดินเข้ามาที่มัดพระถังซัมจั๋งไว้ แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า อยู่เป็นผัวเมียกันไม่ดีหรือ จะไปอาราธนาพระธรรมทำไมให้ลำบาก
   เห้งเจียได้เห็นดังนั้นก็รีบบินออกจากอาจารย์มาบอกแก่โป๊ยก่ายว่า อาจารย์ท่านไม่ยอมตามใจ​นางปีศาจ เพราะฉะนั้นมันจึงทรมานมัดท่านไว้ เมื่อกี๊พี่กำลังพูดอยู่กับพระอาจารย์ มันตกใจตื่นขึ้นพี่จึงต้องรีบหนีมา โป๊ยก่ายถามว่า อาจารย์ได้พูดอะไรบ้างหรือ เห้งเจียบอกว่าพระอาจารย์ เธอพูดว่าตายเสียดีกว่าที่จะให้พรหมจรรย์เศร้าหมอง โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็หัวเราะ ชมว่าดี ๆ พระอาจารย์เราเป็นพระแท้ พี่น้องเราจึงพร้อมใจกันช่วยเธอให้ออกพ้นทุกข์ โป๊ยก่ายสองมือจับคราดเต็มกำลังสับกระชากประตูศิลาก็พังลงกระจายสามสี่ก้อน ฝ่ายพวกเฝ้าประตูกำลังนอนหลับก็ตกใจตื่น เห็นดังนั้นก็วิ่งเข้าไปบอกแก่นางปีศาจว่า อ้ายรูปชั่วร้ายทั้งสองคนมาอีกแล้ว
   นางปีศาจได้ฟังดังนั้น ก็จับอาวุธพลองรีบเดินออกมายังประตูถ้ำ ร้องด่าว่าอ้ายสัตว์ลิงสัตว์หมูมึงอายุมากเสียเปล่า ๆ ไม่รู้จักขนบธรรมเนียม ทำไมจึงบังอาจมาทำลายประตูถ้ำของเราเสียดังนี้ควรหรือ โป๊ยก่ายได้ฟังนางปีศาจพูดดังนั้นก็ด่าว่าอีมารร้าย มัวเมาละโมบเต็มไปด้วยกามราคะท่วมกระบาลชาติสามารไม่มีดี มึงจะขับเขี้ยวอาจารย์กูให้ร่วมรักแก่มึงทำให้พรหมจรรย์เศร้าหมอง ครั้นไม่ตามใจมึง ๆ ก็ทำทรมานทรกรรมต่าง ๆ มึงจะตกนรกหมกไหม้ใต้เถรเทวทัตมิได้รู้กลับมาเกิดในที่ดีอีกต่อไปแล้ว มึงจงรีบส่งอาจารย์ของกูออกมากูจะยกโทษให้มึงไว้ชีวิตไม่ฆ่าฟัน แม้ดื้อดึงขัดขวางอยู่ไม่กระทำตามกูว่า กูจะพังรื้อทั้งภูเขาให้ทะลายลงมิให้มึงตั้งรังอยู่ได้ต่อไป
   ​นางปีศาจได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็เตรียมตัวร่ายเวทเหมือนครั้งก่อน ไฟก็พุ่งออกจากรูจมูก มือถืออาวุธเข้าตีโป๊ยก่าย ๆ จับคราดยกขึ้นสับปีศาจ เห้งเจียเอาตะบองเหล็กเข้าระดมตี ปีศาจ นางปิศาจก็แผลงฤทธิ์ออกไม่รู้ว่ากี่มือ รับซ้ายรับขวาต่อสู้กันประมาณได้ห้าสิบเพลง โป๊ยก่ายถูกอาวุธที่ปากได้ความเจ็บปวดก็ถอยหนี เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หวาดวิตกกลัวปีศาจ จึงได้ถอยหนีตามโป๊ยก่ายไป ฝ่ายนางปีศาจมีชัยแล้วก็กลับเข้าถ้ำ สั่งพวกบริวารให้เอาศิลาก้อนใหญ่ ๆ ซ้อนกันปิดปากถ้ำให้มั่นคง ฝ่ายซัวเจ๋งอยู่ที่ชายเขาปล่อยม้าให้กินหญ้า ได้ยินเสียงหมูร้องอยู่ที่ไหนก็ยังไม่เห็นตัว ครั้นแลไปก็เห็นโป๊ยก่ายยกปากวิ่งหนีมา ซัวเจ๋งถามว่านั่นเป็นอะไร โป๊ยก่ายบอกว่าไม่เป็นการเจ็บปวดเหลือทน เห้งเจียวิ่งถามตามมาทันหัวเราะว่าเมื่อวานนี้แช่งข้าหัวบวมวันนี้ปากเจ้าบวม
   โป๊ยก่ายครางร้องว่าเหลือทน พี่น้องทั้งสามกำลังคร่ำครวญแลไปเห็นยายเฒ่าผู้หนึ่ง มือซ้ายถือตะกร้าๆ หนึ่งเก็บผักเดินมาทางทิศอาคเนย์ ซัวเจ๋งชี้มือว่าพี่ยายเฒ่าที่ไหนเดินมาโน่นแน่ เห้งเจียหันไปดูก็เห็นบนศรีษะมีรัศมีปกคลุมอยู่ เห้งเจียจำได้ว่าพระโพธิสัตว์จึงร้องเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมานมัสการว่าพระโพธิสัตว์มาแล้ว ฝ่ายพระโพธิสัตว์เหาะขึ้นบนอากาศ กลับเป็นรูปเดิมของพระโพธิสัตว์ เห้งเจียเหาะตามขึ้นไปนมัศการบอกว่า พวกข้าพเจ้ามัวต่อสู้แก่ปีศาจไม่ทันจะมารับท่าน ขอได้โปรดอภัยแก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด ​บัดนี้พวกข้าพเจ้ามาถูกมารร้ายยากที่จะปราบลงได้ พระโพธิสัตว์บอกว่าสัตว์ตนนี้มันมีฤทธิ์ร้ายแรงนัก ที่มันต่อยคนให้เจ็บปวดนั้นคือปลายหางของมัน ตัวมันเป็นปีศาจแมลงป่องเพราะฉะนั้นมันจึงมีพิษที่ปลายหาง เมื่อก่อนอยู่ที่วัดลุ่ยอิมยี่ฟังพระแสดงธรรม พระยูไลแลเห็นไม่ชอบก็เอามือปัดมันไป มันหวนกลับต่อยนิ้วหัวแม่มือพระยูไลเจ็บปวดเหลือจะทน พระยูไลให้เทพบุตรกิมกังจับมัน ๆ หนีมาซ่อนอยู่แห่งนี้
   ท่านอยากจะให้อาตมาช่วยอาตมาเข้าใกล้ไม่ได้ แม้ว่าจะช่วยได้ก็รีบไปหาดาวเทพบุตรเบ๊ายิดแชกุน อยู่ข้างทิศบูรพาชั้นดาวดึงส์นั้นลงมา นั่นแลจึงจะปราบได้โดยง่าย พระโพธิสัตว์บอกให้เห้งเจียแล้วก็อันตรธานหายไป เห้งเจียครั้นพระโพธิสัตว์ไปแล้ว ก็กลับลงมาบอกแก่โป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่า พระอาจารย์เรามีดาวช่วยไม่เป็นไร พระโพธิสัตว์ท่านชี้แจงให้พี่ไปบนสวรรค์เชิญดาว เบ๊ายิดแชกุนให้ลงมาปราบปีศาจจึงจะได้ พี่จะรีบไปพูดแล้วก็เหาะไปยังดาวดึงส์ เห้งเจียตรงเข้าไปยังตำหนักก้วงเม้งเกง เวลานั้นท่านเบ๊ายิดแชกุนไม่อยู่ เพราะให้ไปตรวจชั้นฟ้าเห้งเจียเห็นไม่อยู่จะถอยกลับออกมา แลไปเห็นพลทหารยืนเป็นแถวข้างหลังนั้น ท่านเบ๊ายิดแชกุนกลับมา แล้วเห้งเจียกระทำคำนับ
   เบ๊ายิดแชกุน เห็นเห้งเจียก็คำนับตอบแล้ว ถามว่าท่านใต้เซียจะไปข้างไหนหรือ เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้ามาหาจินแสไปช่วยอาจารย์ข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่ง เบ๊ายิดแชกุนถามว่าจะให้ช่วยธุระอย่างไรหรือ บัดนี้อยู่ในที่ตำบลใด เห้งเจียบอกว่า อยู่ที่เมืองไซเหลียงก๊กตำบล​เขาต๊อกติ๊ซัวถ้ำบี้แป้ต๋อง พระโพธิสัตว์กวนอิมท่านเสด็จมาบอกให้ว่านางปีศาจนั้นมันเป็นแมลงป่อง ชี้ให้ข้าพเจ้ามาหาท่านจึงจะปราบได้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาขอเชิญท่านไปช่วยอาจารย์ข้าพเจ้า
   เบ๊ายิดแชกุนพูดว่า จะเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ก็จะช้าการไป ท่านใต้เซียมาถึงนี่แล้ว ทั้งพระโพธิสัตว์ก็ได้ชี้มาแล้ว ก็ไม่อาจขัดได้ ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะไปพร้อมกับท่านให้ทันเวลา เห้งเจียมีความดีใจพร้อมกันกับเบ๊ายิดแชกุน ออกจากประตูสวรรค์ตังทีหมึงเหาะมายังเขาต๊อกติ๊ซัว ครั้นถึงก็พากันลงยังยอดเขาเดินตรงมาที่หน้าถ้ำ ซัวเจ๋งแลไปเห็นก็ร้องเรียกโป๊ยก่ายว่า พี่เห้งเจียไปเชิญเบ๊ายิดแชกุนมาแล้ว โป๊ยก่ายแหงนหน้าพูดว่า อย่าถือข้าพเจ้าเลยเป็นคนป่วยไข้ เบ๊ายิดแชกุนถามว่า ท่านมีความป่วยเจ็บประการใดหรือ โป๊ยก่ายบอกว่าเมื่อวานนี้ไปรบกับนางปีศาจ ในเวลากำลังรบกันอยู่ ไม่รู้ว่ามันเอาอะไรต่อยเอาที่ปากทีหนึ่ง ได้ความเจ็บปวดยังไม่หายจนบัดนี้
   เบ๊ายิดแชกุนว่า ท่านขยับมาข้าพเจ้าจะรักษาให้ โป๊ยก่ายก็ขยับมาใกล้ เบ๊ายิดแชกุนก็เอามือลูบที่ปากโป๊ยก่ายทีหนึ่งแล้ว เป่าทีหนึ่งความเจ็บปวดก็หายทันที โป๊ยก่ายดีใจที่สุดก็คำนับสรรเสริญว่าศักดิ์สิทธิ์แท้ ๆ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า ท่านจินแสช่วยลูบให้ข้าพเจ้าสักทีหนึ่งเถิด เมื่อวานนี้ข้าพเจ้าก็ถูกทีหนึ่ง ค่อยเบาแต่ยังไม่หายขาด ยังแสบๆ ตึงๆ อยู่วิตกว่าจะแปรปรวนไปอีก ขอท่านจินแส​ได้ช่วยแก่ให้ข้าพเจ้าด้วย เบ๊ายิดแชกุนก็เอามือลูบที่กลางกระหม่อมเห้งเจียทีหนึ่ง เป่าทีหนึ่งด้วยลมปากก็หายไม่เจ็บแสบอีกต่อไป โป๊ยก่ายนึกโกรธขึ้นมาพูดว่า พี่ไปกำจัดอีปีศาจนั้นก็ไปเถิด
   เบ๊ายิดแชกุนว่าท่านทั้งสองจงไปล่อพอให้มันออกมาพ้นจากปากถ้ำ ข้าพเจ้าจะปราบมันเอง เห้งเจียโป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้น ก็พร้อมกันลงมายังถ้ำ ถึงประตูโป๊ยก่ายก็เอาคราดสับกระชากประตูหักพังทลายลงทั้งสิ้น แล้วเข้าไปในถ้ำถึงชั้นสองก็เอาคราดสับกระชากพังลงทั้งสิ้น เวลานั้นนางปีศาจจะให้คนแก้มัดพระถังซัมจั๋ง จะใคร่เชิญมาฉันน้ำร้อนน้ำชา พอได้ยินเสียงพังประตูชั้นสองอึกกระทึกนางก็ลุกขึ้นจับอาวุธเดินออกมาจากที่ ตีโป๊ยก่าย ๆ ยกคราดขึ้นรับ เห้งเจียเอาตะบองตีนางปีศาจ ๆ รุกเข้ามาจะแผลงฤทธิ์ เห้งเจียโป๊ยก่ายรู้ทีก็ถอยหนีออกมานอกถ้ำ เห้งเจียจึงร้องว่าท่านเบ๊ายิดแชกุนอยู่ที่ไหน แลไปเห็นเบ๊ายิดแชกุนยืนอยู่บนเนินเขา แปลงกายเป็นรูปเดิมคือไก่ใหญ่ตัวหนึ่ง ยื่นศรีษะยาวประมาณแปดศอกหันตรงนางปีศาจร้องขึ้นคำหนึ่ง นางปีศาจก็กลายเป็นรูปเดิม คือแมลงป่อง เบ๊ายิดแชกุนร้องขันขึ้นอีกทีหนึ่ง แมลงป่องนั้นก็ล้มตายอยู่กับเนินเขานั้น
   โป๊ยก่ายตรงเข้ามาเหยียบกลางหลังด่าว่าอีสัตว์เดรัจฉาน ทำไมมึงจึงไม่แผลงฤทธิ์ไปอีกเล่า ปีศาจก็นอนนิ่งไม่ไหวกาย โป๊ยก่ายก็เอาคราดสับฟันจนละเอียดไปทั้งสิ้น ฝ่ายเบ๊ายิดแชกุนเห็นเสร็จธุระแล้วก็เหาะกลับไปยังวิมานสถาน ​เห้งเจียเห็นดังนั้นก็คำนับขอบคุณไป พี่น้องทั้งสามก็พากันเข้าถ้ำ พวกคนใช้ของปีศาจก็พากันมาคุกเข่าคำนับพูดว่า ขอท่านได้โปรดพวกข้าพเจ้ามิใช่ปีศาจมารร้าย พวกข้าพเจ้าเป็นมนุษย์อยู่ในเมืองไซเหลียงก๊ก นางปีศาจจับเอามาทั้งนั้น ท่านอาจารย์นั้นอยู่ข้างในห้องเฮียวปั๊งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ เห้งเจียพิจารณาดูคนเหล่านั้นก็เห็นว่ามิใช่ปีศาจจริง จึงเดินเลยเข้าไปข้างในค้นหาอาจารย์
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง เห็นศิษย์มาพร้อมกันทั้งสามคนก็มีความยินดีพูดว่า อาตมภาพผู้เดียวศิษย์ทั้งหลายจึงได้ซึ่งความทุกข์ แล้วถามต่อไปว่าบัดนี้นางปีศาจนั้นเป็นประการใด โป๊ยก่ายบอกว่าอันหญิงนั้น เดิมเป็นแมลงป่องตัวเมีย หากพระโพธิสัตว์กวนอิมมาบอกให้ไปหาเบ๊ายิดแชกุนลงมาปราบจึงได้ นางปีศาจนั้นข้าพเจ้าสับฟันละเอียดแล้ว พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น มีความขอบคุณพระกวนอิมยิ่งนัก พวกศิษย์ทั้งสามก็หาอาหารให้พระอาจารย์ฉันเสร็จแล้ว ต่างก็พากันกินอิ่มแล้วก็พากันออกจากถ้ำ จึงเรียกพวกหญิงที่ปีศาจจับไว้นั้น ให้ออกมาแล้วก็ชี้ทางให้กลับไปทุกคน แล้วเอาหญ้าฟางทำคบจุดไฟเผาถ้ำนั้นไหม้เป็นจุณไป ก็นิมนต์อาจารย์ชนม้าตัดออกทางใหญ่หมายทิศปราจิณ

16 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 40 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๕๓)
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเดินมาได้ยินเสียงร้องเรียกก็ตกใจ แลไปเห็นพระภูมิเจ้าที่เจ้าเขา ยกบาตรเข้ามาพูดว่า บาตรข้าวนี้เป็นบาตรข้าวของท่านอาจารย์ คือท่านให้เห้งเจียไปบิณฑบาต เพราะท่านทั้งหลายไม่เชื่อฟังคำเห้งเจีย จึงได้รับความเดือดร้อนเพราะปีศาจร้ายกระทำให้เธอได้ทุกข์ยากเหลือเกินหาที่เปรียบมิได้ จนวันนี้จึงได้แก้เอาออกมาได้ นิมนต์ท่านฉันเสียก่อนแล้วจึงค่อยไปเถิด อย่าให้เสียความกตัญญูของท่านเห้งเจียเลย พระถังซัมจั๋งพูดว่า ซึ่งอาตมภาพทำให้เห้งเจียได้ความยากลำบากนั้น แม้ว่ารู้เป็นการเช่นนี้จะออกจากวงไปทำไมให้ได้ความเดือดร้อนถึงเพียงนี้
   เห้งเจียพูดว่าเป็นเหตุเพราะอาจารย์ไม่เชื่อวงนั้น จึงให้ข้าพเจ้าไปรับทุกข์ทรมารห่วงของปีศาจ ทั้งน่าแค้นอ้ายกลับกลอกโป๊ยก่ายมึงแกล้งทำเล่น ให้​พระอาจารย์ไปต้องภัยใหญ่และให้เราต้องขึ้นฟ้าลงดิน เชิญพลเทพบุตรทั้งไฟทั้งน้ำ แม้พระพุทธเจ้าให้ยากิมตันมาก็ยังไม่สามารถจะปราบปีศาจได้ อาศัยพระพุทธเจ้าทรงชี้แจงเหตุผลให้ จึงไปเชิญท่านท้ายเสียงเล่ากุนลงมาจับจึงได้ อันปีศาจนั้นคือโคเขียวของท่านท้ายเสียงเล่ากุนหนีลงมาเป็นปีศาจร้าย
   พระถังซัมจั๋งได้ยินเห้งเจียเล่าความดังนั้น ก็มีความรู้สึกได้สติคิดถึงความดีของเห้งเจีย จึงพูดแก่สานุศิษย์ว่า การที่เป็นแล้วก็พ้นมาได้แล้ว ต่อไปภายหน้าต้องเชื่อคำแนะนำของเห้งเจีย พูดดังนั้นแล้วก็ฉันจังหัน เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็แบ่งกันรับประทาน เห้งเจียเห็นข้าวยังร้อน ๆ จึงถามว่าข้าวนี้ก็หลายเวลาแล้วทำไมยังร้อนอยู่เล่า พระภูมิเจ้าที่คุกเข่าลงบอกว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านใต้เซียจะสำเร็จการจึงได้เอาข้าวร้อนมาให้กิน ครั้นกินข้าวอิ่มแล้วก็เก็บข้าวของเสร็จแล้วก็ลาพระภูมิเจ้าที่
   พระถังซัมจั๋งขึ้นม้าออกเดิน ตัดมรรคาข้ามเขาใหญ่หมายทิศปราจิณ เดินมาหลายเวลาในฤดูนั้นเป็นเดือนสามเดือนสี่ กำลังเดินมาก็พบลำคลองน้อยน้ำใสสีเขียวเยือกเย็น พระถังซัมจั๋งยอม้าพิจารณาดูเห็นต้นไม้ผลิดอกออกช่ออรชร งดงามน่าพึงชม มีเรือนกระท่อมน้อย ๆ อยู่ใต้ร่มไม้สองสามหลังเห้งเจียชี้ว่า ที่มีบ้านคนอยู่นั้นเห็นจะเป็นคนรับจ้างส่งข้ามเป็นแน่ โป๊ยก่ายก็วางหาบร้องเรียกว่า เจ้าเรือโวยเอาเรือมารับข้ามฟากทีเถิด เรียกซ้ำสองสามคำก็เห็นคนค้ำเรือเกะกะออกมา บัดเดี๋ยว​ก็ค้ำข้ามมาถึงฝั่งตะวันออก ร้องถามว่าผู้ที่จะข้ามฟากนั้นอยู่ที่ไหนมา พระถังซัมจั๋งขยับม้ามาริมฝั่ง แลไปก็เห็นหญิงเฒ่าค้ำเรือมา เห้งเจียถามว่าแม่เฒ่าหรือเป็นคนส่งเรือจ้าง
   หญิงนั้นรับว่าข้าพเจ้าเอง เห้งเจียถามว่า ก็ท่านตาไปไหนเล่าจึงไม่มา ใช้ให้ท่านยายส่งอย่างนี้ หญิงนั้นหัวเราะยิ้ม ๆ แล้วก็ไม่ตอบว่ากระไร พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็จูงม้ายกหาบลงเรือ หญิงนั้นก็ค้ำเรือออกจากท่าข้ามถึงฝั่ง พระถังซัมจั๋งก็ขึ้นบกสั่งให้โป๊ยก่ายแก้เอาเงินให้เจ้าของเรือจ้าง แล้ว
ตอน เรื่องวุ่นๆในเมืองแม่หม้าย ปิศาจแมงป่อง (ช่วงที่1)
เวลานั้นพระถังซัมจั๋ง อยากน้ำเห็นน้ำใสเย็นก็นึกอยากกิน เรียกโป๊ยก่ายให้เอาบาตรไปตักน้ำสักครึ่งบาตร โป๊ยก่ายพูดว่าข้าพเจ้าก็อยากกินเหมือนกัน โป๊ยก่ายฉวยได้บาตรก็ลงไปตักน้ำขึ้นมาส่งให้อาจารย์ พระถังซัมจั๋งรับบาตรมาฉันเข้าไปจนอิ่ม แล้วก็ส่งให้โป๊ยก่าย ๆ ก็กินเข้าไปจนอิ่มอีกคนหนึ่ง แล้วก็พะยุงพระถังซัมจั๋งขึ้นม้าจึงพากันเดินไปเดินมายังไม่ทันครึ่งชั่วโมง พระถังซัมจั๋งบ่นว่าปวดท้อง โป๊ยก่ายเดินตามอยู่ข้างหลังก็บ่นว่าเจ็บในท้อง
   ซัวเจ๋งพูดว่าเห็นจะถูกน้ำดอกกระมังพูดยังไม่ทันขาดคำ พระอาจารย์ร้องว่าเจ็บกระชั้นยิ่งหนักขึ้นทุกที โป๊ยก่ายก็ร้องกระชั้นเข้าอาจารย์กับศิษย์เจ็บเหลือที่จะทนได้ ท้องก็โตขึ้นทุกที เอามือคลำดูจุดก้อนโลหิตเคลื่อนไปเคลื่อนมา ในกายตัวพระถังซัมจั๋งไม่เป็นปรกติ แลไปข้างริมทางก็เห็นมีหมู่บ้าน เห้งเจียพูดว่าดีแล้วอาจารย์ที่ข้างนั้นมีโรงงานขายสุรา เราพากันเข้าไปบิณฑบาตรน้ำร้อนให้อาจารย์ฉัน แล้วถามดูบางทีจะ​มียาให้เจียดกินแก้เจ็บท้อง พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงพากันเข้าไปครั้นถึงพระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้า แลไปเห็นที่นอกประตูบ้านมียายเฒ่านั่งอยู่ที่พื้นดินกำลังมัดปอ เห้งเจียก็เดินเข้าไปไกล้ ปราศรัยถามว่าท่านยายสบายอยู่หรือ พวกข้าพเจ้ามาจากประเทศทิศบูรพา อาจารย์ของข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ ของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง เพราะเมื่อเวลาข้ามคลองมากินน้ำในคลองเข้าไปมีอาการให้เจ็บในท้องเป็นกำลัง
   ยายเฒ่าได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วถามว่า นี่ท่านไปกินน้ำในลำคลองนั้นมาหรือ เห้งเจียรับว่ากินมา ยายเฒ่าว่าเห็นจะเกิดสนุกขึ้นแล้ว พวกท่านจงเข้ามาข้าพเจ้าจะเล่าให้ท่านฟัง เห้งเจียก็ออกไปพยุงพระถังซัมจั๋งเข้ามา ซัวเจ๋งก็พยุงโป๊ยก่ายเข้ามา พระถังซัมจั๋งก็ร้องครางหน้านิ่วคิ้วย่นด้วยเจ็บท้องเหลือที่จะทนได้ เห้งเจียร้องขอน้ำร้อนยายเฒ่าจะให้อาจารย์กิน ยายเฒ่าก็ไม่ให้น้ำร้อนหัวเราะแล้วก็เดินไปหลังบ้านเรียกหญิงกลางคนออกมาสามสี่คน มองพระถังซัมจั๋งแล้วก็พากันหัวเราะ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็โกรธขยับเขี้ยวตวาดด้วยเสียงอันดัง พวกหญิงเหล่านั้นก็พากันตกใจ ต่างหกคว่ำคะมำหงายพากันวิ่งหนีเข้าไปหลังบ้าน เห้งเจียวิ่งมายึดไว้พูดว่าจงไปต้มน้ำร้อนเราจะปล่อย 
   ฝ่ายยายเฒ่าตัวสั่นงกๆ งันๆ บอกว่าน้ำร้อนนั้นแก้ไม่ได้ ท่านจงปล่อยข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง เห้งเจียก็ปล่อยยายเฒ่า ๆ บอกว่าที่เมืองนี้มีนามเรียกว่าไซเหลียงก๊ก ล้วนแต่หญิงทั้ง​เมืองไม่มีผู้ชาย เพราะฉะนั้นเห็นพวกท่านมาก็มีความชื่นชม อาจารย์ของท่านกินน้ำผิด ลำคลองนั้นเรียกว่าจื๊อป๊อฮ้อ คือคลองน้ำแม่ลูกนอกจากกำแพงเมือง มีหอรับลมอากาศ ที่ประตูมีสระเรียกส่องท้องสระชาวเมืองนี้ แม้อายุได้ยี่สิบปีกว่า จึงกล้ากินน้ำในคลองจื๊อป๊อฮ้อ ครั้นกินแล้วท้องเจ็บไปได้สามวันก็ตั้งครรภ์ก็ แล้วก็ไปที่หอกินลมอากาศ แล้วก็มายืนที่ปากสระส่องดูเงา แม้ว่ามีเงาคู่ก็มีครรภ์ อาจารย์ท่านได้กินน้ำในคลองนั้นแล้ว ก็จะมีครรภ์กำหนดว่าจะมีบุตร อันน้ำร้อนที่ไหนจะแก้ได้
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังยายเฒ่าพูดดังนั้นก็ตกใจถามเห้งเจียว่า ถ้าดังนั้นจะทำประการใด โป๊ยก่ายก็ค่อยประคองท้องเดินมาถามว่า หากจะมีลูกพวกเราไม่มีทวารลูกจะออกทางไหน เห้งเจียหัวเราะว่า เขาย่อมว่าแตงสุกก็หล่นเอ็ง อันท้องนั้น ครั้นถึงเวลาก็แยกชายโครงมีทางลูกก็ออกมาเอ็ง โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ยิ่งมีความเจ็บปวดมากขึ้น ซัวเจ๋งหัวเราะว่าพี่อย่าดิ้นรนไปท้องลูกจะช้ำชอกจะเกิดเจ็บปวดมากขึ้น โป๊ยก่ายเสียใจร้องไห้ จับเห้งเจียไว้แล้วพูดว่าพี่จ๋า พี่ช่วยถามยายเฒ่านั้นดูว่าที่ไหนจะมีหมอตำแยรับมาสำรองสักสองสามคน ถึงเวลาจะได้ช่วยนวดเคล้น ซัวเจ๋งหัวเราะพูดว่าพี่อย่านวดเคล้นนักกระเพาะลูกจะแตกตาย พระถังซัมจั๋งถามว่าท่านยาย ที่ตำบลนี้มียาแก้บ้างหรือไม่ จะได้ให้สานุศิษย์ไปเจียดมาจะได้กินแก้ให้ท้องลดเสีย
   ​ยายเฒ่าจึงบอกว่า ถึงจะกินยาก็แก้ไม่ได้ ที่ตำบลนี้ไปทางทิศอาคเนย์มีภูเขาหนึ่ง นามเรียกว่าเขาเก๊ยเอี่ยงซัว มีถ้ำเรียกว่ากั้วยี้ต๋อง ในถ้ำนั้นมีสระน้ำเรียกว่าสระโละทัยจั๊ว ถ้าได้น้ำในสระนั้นมากินสักอึกหนึ่ง ท้องลูกนั้นก็ยุบหายไปเป็นปรกติเหมือนอย่างเดิม แต่ในปัจจุบันนี้จะเอาน้ำนั้นไม่ได้เสียแล้ว เมื่อปีก่อนมีเต้าหยินคนหนึ่ง ตั้งนามว่ายู่อี่จินเซียม มาจองเอาถ้ำนั้นเป็นของตน แปลงนามเรียกว่า สำนักจิ๋วเซียนอาน และปกครองรักษาสระนั้นไม่ให้ผู้ใดมาตักน้ำได้โดยง่าย หากผู้ใดจะต้องการก็ต้องมีของกำนัน เป็ดไก่เหล้าแลของหวานต่าง ๆ และเงินด้วยถ้ามีให้ดังนั้น จึงจะให้น้ำไป ก็ท่านอาจารย์มาจากทางไกล จะเอาของกำนันที่ไหนไปให้เขาได้เล่า จะต้องคอยรอตามเวลาเมื่อคลอดเถิด
   เห้งเจียได้ฟังยายเฒ่าพูดดังนั้นก็ดีใจ จึงถามว่าท่านยายระยะทางตั้งแต่นี้ไปถึงเขาเก๊ยเอี่ยงซัวนั้น หนทางประมาณสักเท่าใด ยายเฒ่าบอกว่าสามพันโยชน์เศษ เห้งเจียว่าดีแล้ว ๆ จึงบอกแก่พระอาจารย์ว่า ท่านอย่าวิตกเลยจงวางใจเถิด ไว้ธุระข้าพเจ้าจะไปเอาน้ำนั้นมาให้ท่านฉัน เห้งเจียก็ยืมขวดยายเฒ่าใบหนึ่งถือออกจากบ้าน เหาะขึ้นบนอากาศไปยังเขาเก๊ยเอี่ยงซัว ยายเฒ่าเห็นเห้งเจียเหาะเหินได้ดังนั้นก็ยกมือขึ้นเคารพ พูดว่าท่านผู้นี้มีฤทธิ์อานุภาพมากเชี่ยวชาญแท้ จึงเรียกหญิงในบ้านออกมาสองสามคน มาทำความเคารพพระถังซัมจั๋ง ต่างสรรเสริญว่าเป็นพระอัศจรรย์ ทุกคนก็พากันไปหาข้าวแจมาถวาย ​ฝ่ายเห้งเจียเหาะมาประเดี๋ยวก็ถึงเขาเก๊ยเอี่ยงซัว จึงลงยังยอดเขาเที่ยวสอดส่องแลไป ก็เห็นข้างหลังเขามีสำนัก เห้งเจียก็เดินเข้าไปยังประตู แลเข้าไปดูเห็นมีตาเฒ่าคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าลาน เห้งเจียก็ลงกับพื้นแล้ว ก็เดินเข้าไปใกล้กระทำความคำนับปราศรัย
   ฝ่ายตาเฒ่าก็ทำคำนับตอบแล้วถามว่า ท่านมาจากไหน มาถึงที่นี้มีธุระ ประสงค์สิ่งใดหรือ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้ามาจากเมืองใต้ถังเพราะมีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้ไปประเทศไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรม อาจารย์ข้าพเจ้ากินน้ำในลำคลอง จื๊อป๊อฮ้อเข้าไปก็ให้ปวดท้องเหลือที่จะทนได้ ถามชาวบ้านบอกว่ากินน้ำนั้นเข้าไปก็มีครรภ์เหลือที่จะแก้ได้ จึงสืบถามชาวบ้านนั้น เขาบอกว่าเขานี้มีสระน้ำทำลายครรภ์ ให้เอาน้ำสระนี้กินจึงจะแก้ได้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้ามาหาท่านยู่อี่จินเซียม ขอน้ำนั้นไปแก้ไขอาจารย์ข้าพเจ้า ขอท่านได้ช่วยนำไปชี้สระให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
   ตาเฒ่าเต้าหยินได้ฟังเห้งเจียเล่าบอกดังนั้นก็หัวเราะ แล้วพูดว่าที่ตำบลนี้เดิมเรียกว่า กั๊วยี้ต๋องบัดนี้เรียกว่า (จิ๋วเซียนอาน) ข้าพเจ้าเป็นสานุศิษย์ของยู่อี่จีนเซียน ก็ท่านมีนามกรชื่อใด เราจะได้บอกให้ท่านทราบ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าเป็นศิษย์ใหญ่ของพระถังซัมจั๋งมีนามเรียกว่าซึงหงอคง ตาเฒ่าถามว่าก็ของกำนันเป็ด หมู ไก่ เหล้าและเครื่องตามเคยมีครบแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่าพวกข้าพเจ้าเดินทางไกลมีแต่ความกันดารจะ​เอาหมูเป็ดไก่แลสุราของกำนันมาแต่ไหน ตาเฒ่าได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าท่านอาจารย์ทำไมจึงโง่อย่างนั้นเล่า ท่านอาจารย์ของข้าพเจ้าปกครองรักษาสระน้ำนี้ ก็หาได้ให้ท่านผู้ใดไปเปล่า ๆ ไม่ ท่านจงกลับไปหาของมาก่อนเราจึงจะนำความเข้าไปบอกให้ ถ้ามิฉะนั้นก็จงเชิญท่านกลับไปเสียเถิด อย่าพึงนึกว่าจะได้เลย
   เห้งเจียพูดว่ามนุษย์จิตกว้างใหญ่ดุจฟ้า ท่านโปรดนำชื่อข้าพเจ้าเข้าไปบอกท่านคงจะมีจิตเมตาบางทีจะให้บ้างดอกกระมัง เต้าหยินก็นำความเข้าไปบอก ฝ่ายยู่อี่จินเซียม ยังไม่ทันฟังเหตุการณ์ตลอด ได้ยินออกชื่อซึงหงอคง ก็บันดาลโทสะมีจิตร้ายเกิดขึ้น ก็ผุดลุกขึ้นเรียกเอาเสื้อมาเปลี่ยน มือก็ถืออาวุธไม้ตะขอเหล็กเดินออกมาข้างนอกประตูร้องถามว่าอ้ายซึงหงอคงอยู่ที่ไหน เห้งเจียแลเห็นก็ยกมือขึ้นคำนับ พูดว่าข้าพเจ้าเองคือหงอคง ยูอี่จินเซียนพูดว่าตัวคือหงอคงจำเราได้หรือไม่ เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าเข้ารับปฏิบัติตามทางพระพุทธศาสนาแล้ว เพื่อนฝูงพี่น้องที่รู้จักกันมาแต่เดิม ก็ห่างเหินมิได้ไปมาหาสู่กันนานแล้ว บัดนี้มีธุระติดตามอาจารย์ ขึ้นเขาลงห้วยก็ไม่ว่าง ที่รู้จักกันก็ลืมไปบ้าง บัดนี้ข้ามลำคลองจื๊อป๊อฮ้อ ถามชาวบ้านไซเหลียงบอกชื่อท่านจึงได้ทราบว่าท่านอยู่ที่นี้ ยู่อี่จินเซียมได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ตัวจงไปตามทางของตัว ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตามทางของข้าอย่ามาเกี่ยวข้องกันเลย
   เห้งเจียพูดว่าเพราะอาจารย์ของข้าพเจ้ากินน้ำในลำคลองจื๊อป๊อฮ้อ​เข้าไปก็เจ็บท้องตั้งครรภ์ ข้าพเจ้าจึงได้มาถึงสำนักท่านจะใคร่ขอน้ำสักขวดหนึ่ง ช่วยอาจารย์ข้าพเจ้าให้พ้นจากภัย ยู่อี่จินเซียมได้ฟังดังนั้นนัยน์ตาลุก ถามว่าอาจารย์ของตัวชื่อถังซัมจั๋งมิใช่หรือ เห้งเจียว่านั่นและ จินเซียมกัดฟันว่าพวกเจ้าได้ พบปะเซี้ยเอ็งใต้อ๋องบ้างหรือเปล่า เห้งเจียพูดว่าเธออยู่ที่ถ้ำฮ้วยหุ้นต๋องนามเรียกว่าอั้งฮั้ยยี้ปีศาจนั่นหรือ ท่านกับเธอเป็นอะไรกันดอกกระมัง ยู่อี่จินเซียมพูดว่าอั้งฮั้ยยี้นั้นคือหลานของเรา งู่หม้ออ๋องนั้นคือพี่น้องของเรา ครั้งก่อนเธอได้ให้ข่าวมาให้เราว่า ถังซัมจั๋งมีสานุศิษย์ใหญ่ชื่อซึงหงอคงถือตัวว่ามีฤทธิ์ฆ่าเธอเสียแล้ว เราจะใคร่แก้แค้นบัดนี้เจ้าจะมาขอน้ำอะไร
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านอาจารย์เห็นจะผิด งู่หม้ออ๋องพี่ของท่านนั้น เดิมได้คบเป็นมิตรสหายแก่ข้าพเจ้า แต่ตัวท่านข้าพเจ้าหาได้รู้จักไม่ บัดนี้หลานของท่าน อั้งฮั้ยยี้ก็ได้ดีแล้วเป็นสานุศิษย์พระกวนอิม นามเรียกว่า (เสียนใช้ท่งจื๊อ) พวกข้าพเจ้าก็ยังไม่เท่าเธอ ทำไมท่านอาจารย์จึงมีความเคืองแค้นข้าพเจ้าเล่า ยู่อี่จินเซียมตวาดว่า อ้ายลิงยังมาพูดกลับกลอก หลานของเราอยู่แต่ลำพังตามสบาย ต้องไปตามหลังเป็นข้าเขาจะดีอะไร เจ้าอย่าทำล่วงเกินจงมาลองกินขอเหล็กสักทีหนึ่ง จะมีรสชาติอย่างไรบ้าง ว่าแล้วก็ยกตะขอเหล็กขึ้นจะตีเห้งเจีย ๆ ก็ยกตะบองขึ้นรับหยุดพูดว่าอย่าพูดเรื่องรบพุ่งกันเลย ขอน้ำให้ข้าพเจ้าไปเถิด ยู่อี่จินเซียมด่าว่าอ้ายลิงมึงไม่รู้จักตาย จงมาลองดูสักสามสี่​เพลง ถ้าเจ้าชนะเรา ๆ จะยอมให้น้ำไป ถ้าแพ้เรา ๆ จะฆ่าเจ้าเสียเพื่อแก้แค้นแทนหลานเรา เห้งเจียขัดใจจึงว่าอ้ายนี่ ไม่รู้จักพระกาฬมึงอยากจะแพ้ชนะก็จงมาลองดู ว่าแล้วก็แกว่งตะบองตรงมาจะตี ยู่อี่จินเซียมยกขอเหล็กรับรบกันได้ยี่สิบเพลง เห้งเจียแกว่งตะบองดุจกังหันตีบุกบั่นมิได้ยั้งมือ
   ยู่อี่จินเซียมอ่อนกำลังลงรับไม่อยู่ ก็ผละหนีขึ้นบนเขา เห้งเจียไล่ตามไปไม่ทันแล้วก็กลับมาที่สำนัก เต้าหยินแลเห็นดังนั้นก็ปิดประตู เห้งเจียฉวยขวดก็ลงมาถีบประตูหักลงไปที่บ่อน้ำ แลเห็นตาเฒ่าเต้าหยินนอนซ่อนอยู่ข้างบ่อน้ำ เห็นเห้งเจียเข้ามาก็วิ่งหนีไป เห้งเจียก็เอาถังหย่อนลงไปจะตักน้ำ ยู่อี่จินเซียมก็ย้อนแอบเข้ามาเอาตะขอเหล็กตีหลังเห้งเจียทีหนึ่งก็ล้มคว่ำลงกับพื้น เห้งเจียลุกขึ้นได้เอาตะบองไล่ตียู่อี่จินเซียม ๆ ก็วิ่งตลบหนีอยู่ข้างบ่อ แล้วพูดว่าเจ้าทำอย่างไรก็ตักน้ำไปไม่ได้
   เห้งเจียพูดว่ามึงจะมาตีกู ๆ จับได้จะทำมึงให้สาหัส ยู่อี่จินเซียมก็ไม่อาจจะเข้ามาใกล้ คอยระวังมิให้เห้งเจียตักน้ำได้ มือขวาเห้งเจียถือตะบองมือซ้ายจับเชือก หย่อนถังลงไปลากน้ำขึ้นมา ยู่อี่จินเซียมก็เอาไม้ขอเหล็กมาเกี่ยวเชือกมิให้ลากขึ้น ต่างดึงกันไปมา เชือกก็หลุดจากมือเห้งเจียถังตกลงไปในบ่อน้ำ เห้งเจียขัดใจจับไม้ตะบองไล่มาตีตะบมไม่เลือกว่าหัวหู ยู่อี่จินเซียมก็วิ่งหนีไป เห้งเจียจะกลับมาเอาน้ำก็ไม่มีถังจะตัก แลวิตกว่าอ้ายยู่อี่จินเซียมจะเอาขอมาเกี่ยวอิกคิดขึ้นได้ว่า จำจะต้องไปเรียกซัวเจ๋งมาช่วยจึง​จะได้ คิดดังนั้นแล้วก็เหาะกลับมายังบ้านที่พัก เห้งเจียลดลงยังพื้นเดินเข้าไปเรียกซัวเจ๋ง ข้างในบ้านก็ได้ยินพระอาจารย์กับโป๊ยก่ายร้องครางไม่หยุด
   ซัวเจ๋งได้ยินเสียงเห้งเจียเรียกก็ออกมารับ เห้งเจียเข้าไปหาพระอาจารย์แล้วเล่าให้ฟังทุกประการ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็โทมนัสร้องไห้แล้วพูดว่า ถ้าดังนั้นจะทำอย่างไรดี เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้ากลับมาเพื่อพาซัวเจ๋งไปช่วยกัน คือข้าพเจ้าจะคอยต้อนตีอ้ายยู่อี่จินเซียมไว้ แม้ได้ช่องให้ซัวเจ๋งเข้าตักน้ำ พระถังซัมจั๋งว่าไปทั้งสองคนแล้ว อาตมภาพกับโป๊ยก่ายก็เจ็บจะได้ผู้ใดปฏิบัติรักษาเล่า ฝ่ายยายเฒ่าเจ้าของบ้านจึงพูดว่า ท่านผู้เป็นเจ้าขอจงวางใจเถิด พวกข้าพเจ้าจะขอรับดูแลเอง พวกท่านก็จวนเวลาการที่จะคลอด ข้าพเจ้ามีความสงสารแก่ท่าน จะมีความลำบากมาก พวกข้าพเจ้าเห็นฤทธาอานุภาพสานุศิษย์ของท่านเชี่ยวชาญ เหาะเหินเดินอากาศได้ พวกข้าพเจ้าก็ทราบว่าท่านเป็นผู้มีอะภินิหารย์บารมีธรรมมากแก่กล้าเป็นอันขาดพวกข้าพเจ้าไม่อาจทำร้ายท่าน
   เห้งเจียร้องเอ๊ะพวกท่านเป็นผู้หญิงจะคิดฆ่าใครได้ ยายเฒ่าหัวเราะแล้วพูดว่า นี่หากพวกท่านพากันมาที่บ้านข้าพเจ้าก่อน ถ้าหากว่าเลยไปหมู่บ้านที่สองก็จะรอดไปไม่พ้น โป๊ยก่ายกำลังครางอยู่ได้ยินดังนั้น ถามว่าจะรอดไม่พ้นจะเป็นอย่างไร ยายเฒ่าบอกว่าในบ้านข้าพเจ้านี้มีห้าหกคนก็มีอายุมากด้วย​กันทุกคน แลความกำหนัดในการประเวณีก็หมดสิ้นฤดูแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่คิดความที่จะทำลายท่านได้ หมู่บ้านที่สองนั้นอายุก็กำลังรุ่นเรี่ยวแรงด้วยความกำหนัดในการประเวณี ที่ไหนเลยจะยอมให้ท่านรอดพ้นไปได้ คงจะจับไว้รวมประเวณีแก่พวกเขาเป็นแน่ แม้พวกท่านไม่ยอมก็จะช่วยกันจับฆ่าเสีย และตัดเพศในตัวท่านไปที่ไหนเลยชีวิตจะได้รอดไปได้
   โป๊ยก่ายพูดว่าถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าคงไม่เป็นไรเพราะเนื้อข้าพเจ้าเป็นหมู จะตัดเอาไปก็เหม็นคาว ถ้าเห็นดังนั้นจะตัดเอาของข้าพเจ้าไปทำไม เห้งเจียหัวเราะว่าอย่าพูดให้มากไปจงฝ่าฝืนกำลังไว้จะได้ออกลูก เห้งเจียก็ยืมถังเอาเชือกของยายเฒ่าส่งให้ซัวเจ๋งพร้อมกันเหาะไปบัดเดี๋ยวก็ถึงเขาเก๊ยเอี๊ยงซัวลงยังพื้น เห้งเจียจึงสั่งซัวเจ๋งว่าน้องจงซ่อนแอบคอยดู แม้พี่ล่อมันออกนอกแล้วเวลารบกันชุลมุน ก็รีบไปที่บ่อตักเอาน้ำไปก่อน เห้งเจียสั่งซัวเจ๋งเสร็จแล้ว ก็ถือตะบองมายังประตูถ้ำ ร้องเรียกให้เปิดประตู ตาเฒ่าเต้าหยินก็วิ่งเข้าไปบอก ฝ่ายยู่อี่จินเซียมได้ฟังก็โกรธถือขอเหล็กออกมาที่ประตูถ้ำ ตวาดว่าอ้ายลิงมึงจะมาทำไมอีกเล่า เห้งเจียตอบว่าเราจะมาเอาน้ำ
   ยู่อี่จินเซียมพูดว่า อันบ่อนี้เป็นบ่อของเราได้ปกครองเป็นเจ้าของรักษามาช้านาน แม้ว่าพระยามหากระษัตริยเจ้านายขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยจะต้องการ ก็ต้องมีเครื่องของกำนันหมู เป็ด ไก่ เหล้าคาวหวานมาคำนับเราจึงจะได้ไป อันตัวเจ้ากับเราเป็นผู้ไม่ชอบกัน จะขืนมามือเปล่าจะให้เจ้า​อย่างไรได้ เห้งเจียถามว่าเอ็งจะไม่ยอมให้เราแน่ละหรือ ยู่อี่จินเซียมว่า ข้าไม่ยอมให้เจ้าเป็นแน่แล้ว เห้งเจียแกว่งตะบองกระโจม ตี จินเซียมยกขอเหล็กขึ้นรับรบกันไปมาที่หน้าประตูถ้ำ ล่อไล่กันไปข้างชายเขา ซัวเจ๋งเห็นได้ที ก็ตรงเข้าไปในถ้ำ เดินมาที่บ่อแลไปเห็นตาเฒ่าเต้าหยินออกมากั้นถามว่าเจ้าคนนี้มาแต่ไหนเข้ามาทำไมที่นี่ จะเข้ามาตักน้ำหรือ
   ซัวเจ่งก็วางถังลงชักพลองออกตีตาเฒ่าทีหนึ่งถูกที่แขนขวาหักล้มลงร้องดินร้องฟ้าอึกกะทึกแล้วก็คลานหนีไปข้างใน ซัวเจ๋งก็เอาถังลงไปในบ่อตักน้ำได้แล้วก็หิ้วออกพ้นประตูสำนักแล้วก็เหาะไปร้องตะโกนเห้งเจียว่าพี่ปล่อยมันเสียเถิด ข้าพเจ้าตักน้ำได้แล้ว เห้งเจียได้ยินซัวเจ๋งร้องบอกดังนั้น ก็ยั้งมือพูดว่า จินเซียมจงฟังข้าพูด เราตั้งใจจะตีเจ้าให้สิ้นชีวิต เพราะเจ้าทำผิดแต่ยังไม่ถึงที่ตาย เพราะข้ารู้อยู่ว่าเจ้าเป็นพี่น้องของงู่หม้ออ๋อง บัดนี้น้องเราก็เอาน้ำทำได้แล้วเรายกโทษให้เจ้า แม้ว่าภายหลังมีผู้ใดมาจะเอาน้ำ เจ้าอย่าได้ขัดขืนอย่างนี้ต่อไป จินเซียนก็ไม่เชื่อฟังตรงเข้ามายกตะขอเหล็กจะตีเห้งเจีย เห้งเจียหลบทันกระโดดรุกเข้าใกล้กระชากแย่งเอาตะขอเหล็กมาได้ก็หักเสียเป็นสองท่อนแล้ว รวมเข้าสองท่อนหักเสียอีกเป็นสี่ท่อนโยนทิ้งลงกับพื้นแล้วพูดว่า อ้ายสัตว์เดรัจฉาน มึงอาจสามารถถึงอย่างนี้หรือ
   จินเซียมเห็นดังนั้น มีความอดสูเป็นที่สุดร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งกาย เห้งเจียหัวเราะแล้วก็เหาะตามซัวเจ๋งมา เห้งเจียซัวเจ๋งพากันเหาะมา​บัดเดี๋ยวก็ถึงบ้านที่พักอาศัยเดินเข้าไปในบ้าน เห็นโป๊ยก่ายนั่งพิงประตูกุมท้องร้องคราง เห้งเจียถามว่าเมื่อไรโป๊ยก่ายจะอยู่ไฟ โป๊ยก่ายว่าพี่อย่าหัวเราะเยาะเลยพี่ไปได้น้ำมาหรือเปล่า ซัวเจ๋งเดินตามหลังมาบอกว่าได้น้ำมาแล้ว พระถังซัมจั๋งพูดว่าทำให้ศิษย์ทั้งสองได้ความลำบากมาก ฝ่ายยายเฒ่าในบ้านก็พากันดีใจพูดสรรเสริญ เห้งเจียว่าศิษย์อย่างนี้หายากนัก ยายเฒ่าก็เอาถ้วยอย่างงามตักเอาน้ำที่เอามานั้นถวายพระถังซัมจั๋งให้ฉัน แล้วบอกว่าท่านอาจารย์ค่อย ๆ ฉันเถิด สักถ้วยหนึ่งท้องนั้นก็จะยุบหายไปเอง
   โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าไม่ต้องเอาถ้วยชามใส่ดอก จะกินทั้งถังอย่างนั้นก็ได้ ยายเฒ่าพูดว่าท่านกินอย่างนั้นจะมิฆ่าตัวเสียหรือ แม้ว่ากินหมดทั้งถังก็จะไหลออกมาทั้งสิ้น โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าไม่กล้ากินมาก ขอครึ่งถ้วยก็พอ โป๊ยก่ายก็กินเข้าไปครึ่งถ้วย สักประเดี๋ยวพระถังซัมจั๋งทั้งโป๊ยก่ายท้องก็ลั่นครืดคราดไปพักหนึ่ง โป๊ยก่ายอดทนไม่ได้ทั้งอุจจาระ ปัสสาวะก็ไหลออกมา พระถังซัมจั๋งคิดจะออกไปนอกบ้านหาที่ลับถ่ายอุจาระ เห้งเจียห้ามว่าอย่าออกไปเลย วิตกจะไปต้องลมร้ายโรคจะกำเริบขึ้น จะทำให้เกิดความเดือดร้อนมากไป ยายเฒ่าเจ้าของบ้านไปเอาถังมาสองใบตั้งไว้สำรอง บัดเดี๋ยวใจพระถังซัมจั๋งกับโป๊ยก่ายในท้องก็หายเจ็บ ที่ก่อเป็นก้อนโลหิต​ก็หายยุบท้องก็เล็กไปเหมือนอย่างเดิม ยายเฒ่าก็ไปต้มเข้าต้มน้ำแล้วก็ยกมาให้กินแก้ระหวย โป๊ยก่ายพูดว่าท่านยายขอน้ำให้ชะล้างก่อนแล้วกินข้าวต้มจึงจะดี ยายเฒ่าก็ไปต้มน้ำร้อนยกมาตั้งไว้ พระถังซัมจั๋งกับโป๊ยก่ายก็มาอาบน้ำชำระกายแล้วก็ฉันข้าวต้ม พระถังซัมจั๋งฉันได้สองชาม โป๊ยก่ายกินได้ถึงสิบสี่ สิบห้าชาม เห้งเจียหัวเราะพูดว่า อ้ายหมูอย่ากินมากนักท้องจะครากตาย ยายเฒ่าเห็นโป๊ยก่ายกินได้มากจึงสั่งให้จัดแจงหุงข้าวมาเติมอีก
   ยายเฒ่าบอกแก่พระถังซัมจั๋งว่า น้ำที่เหลือนั้นขอไว้ให้ข้าพเจ้าเถิด เห้งเจียจึงอนุญาตว่า ท่านยายจะเอาไว้ทำอะไรก็ตามแต่ใจท่านยายเถิด ยายเฒ่าก็เอาขวดใส่แล้วนำไปฝังไว้ในบ้าน บอกว่าน้ำในขวดนี้ข้าพเจ้าจะเอาไว้ใส่โลง คนทั้งหลายต่างมีความยินดี ครั้นข้าวสุกแล้วก็จัดยกมาถวาย พระถังซัมจั๋งกับศิษย์กินเสร็จแล้วก็พักอยู่คืนหนึ่ง พอรุ่งแจ้งฉันแล้วอาจารย์กับศิษย์ต่างก็ลายายเฒ่าแลคนในบ้านใหญ่น้อยทุก ๆ คนแล้วก็ออกจากบ้านเดินไป
(บทที่ ๕๔)
  ประมาณได้สี่สิบโยชน์ แลไปข้างหน้าเห็นกำแพงเมือง พระถังซัมจั๋งชี้ว่านี่ก็ใกล้กำแพงเมืองไซเหลียงก๊กมีแต่ผู้หญิงทั้งเมือง พวกเราจงสำรวมอิริยาบถอย่าให้เพลิดเพลินไปด้วยรูปและสี ศิษย์ทั้งสามก็ฟังอาจารย์สั่ง เดินมาประเดี๋ยวก็ถึงต้นถนนทางทิศตะวันออก เห็นผู้คนกำลังแออัด บ้างสาวบ้างแก่บ้างขายบ้างซื้อ ล้วนแต่ผู้หญิงทั้งนั้น พอแลเห็นอาจารย์กับศิษย์ทั้งสี่คนเดินมา คนเหล่านั้นก็พากันรื่นเริง​ดีใจพูดกันว่า พระมนุษย์มาแล้ว พระมนุษย์มาแล้ว บัดเดี๋ยวก็พากันมาดูแน่นหลามไปทั้งถนน พูดหัวเราะกันออกแซ่หู พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าเดินไปไม่ได้ โป๊ยก่ายร้องว่าข้าเชื้อหมู ข้าเชื้อหมู เห้งเจียร้องห้ามว่าอย่าพูดเลอะเทอะไป จงออกกิริยาหยาบ ๆ จึงจะดี โป๊ยก่ายก็ตั้งใบหูชันขึ้น ขนหัวพองยื่นปากออกร้องเสียงดังคำหนึ่ง พวกผู้หญิงเหล่านั้นก็พากันหกล้มคว่ำหงายวิ่งหนีแหวกทางออกกว้าง
   พระถังซัมจั๋งก็ขับม้ารีบเดินไป มาได้อีกสักประเดี๋ยวแลเห็นสองข้างถนนมีตึกรามห้องหอเป็นลำดับเรียงรายดูงดงาม บ้างขายสุราและยาของกินและสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ อาจารย์กับศิษย์พากันเดินไปพอถึงที่เลี้ยว แลไปเห็นขุนนางหญิงคนหนึ่ง ร้องเรียกว่าท่านเป็นแขกเมืองมาจากทางไกล อย่าเพิ่งเข้าไปในเมือง เชิญไปพักที่หอรับแขกที่ประตูเมืองนั้นก่อน เอาชื่อเสียงลงบัญชีแล้ว ข้าพเจ้ากราบทูลแล้วจึงจะเซ็นอนุญาตให้ไป
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ลงจากม้า แลไปที่ประตูเห็นมีแผ่นป้ายหนังสือใหญ่สามตัวว่า หอเงงเอี๊ยงเป็นที่สำหรับพักแขกเมือง พระถังซัมจั๋งบอกแก่เห้งเจียว่า ยายเฒ่านั้นได้บอกว่าที่ประตูเมืองมีหอเงงเอี๊ยงที่รับแขกก็มีจริงดังที่ยายเฒ่าบอก ซัวเจ๋งหัวเราะแล้วพูดว่าพี่โป๊ยก่ายไม่ไปส่องท้องดูจะมีสองรูปหรือเปล่า ยายเฒ่าบอกว่าที่นี่มีบ่อส่องท้อง โป๊ยก่ายว่าอย่าพูดเลอะไป เรากินน้ำทำลายเสียแล้วจะไปส่องดูอะไรอีกเล่า พระถังซัมจั๋งบอกว่าจงระงับไว้บ้าง ​หญิงขุนนางก็มานิมนต์ขึ้นบนหอนั่งที่สมควรแล้ว จึงให้ยกน้ำชามาถวาย อันคนใช้เหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้หญิงทั้งสิ้น ทั้งมีแต่สาว ๆ ทั้งนั้น ทั้งรูปร่างก็สะอาดสำอางนุ่งห่มแต่งตัวก็ล้วนแต่แพรสีต่าง ๆ หญิงขุนนางจึงถามว่า ท่านอาจารย์เป็นชาวเมืองไหนพากันมาจะไปข้างไหน เห้งเจียตอบว่าพวกข้าพเจ้าอยู่ทิศตะวันออกเมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้ไปเมืองไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ท่านอาจารย์นั้นคือพระเจ้าน้องยาเธอนามเรียกถังซัมจั๋ง ข้าพเจ้าทั้งสามนี้คือสานุศิษย์ของเธอ รวมทั้งม้าข้าพเจ้าเป็นห้าด้วยกัน และมีหนังสือเดินทางสำหรับตัวมาด้วย ขอท่านได้พิจารณาเถิด
   ขุนนางหญิงได้ฟังแล้วจึงจับปากกาเขียนลงสารบบ ลงจากที่คุกเข่าทำความเคารพพระถังซัมจั๋ง ข้าพเจ้าขออนุญาตข้าพเจ้าคือขุนนางพนักงานน่าที่รับแขกเมือง ไม่ทราบว่าท่านผู้ใหญ่จะได้ออกไปรับแต่ไกล ทำความเคารพแล้วก็ลุกขึ้น เรียกคนพนักงานเลี้ยงมาสั่งให้จัดข้าว กับมาเลี้ยง พนักงานก็จัดมาพร้อมตามสั่งเสร็จ หญิงขุนนางจึงพูดว่า นิมนต์ท่านอาจารย์ฉันจังหัน ข้าพเจ้าจะนำความเข้าไปกราบทูลเปลี่ยนหนังสือให้ท่านไปไซที พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงนั่งลงฉัน ฝ่ายหญิงขุนนางนั้นครั้นถวายแล้ว ก็ไปแต่งตัวเข้าในพระราชวังในตำหนักเง้าห้องเล้าบอกแก่พวกขันธีว่า ข้าพเจ้าขุนนางรับแขกเมืองมีกิจธุระจะเข้าเฝ้าพระองค์ ขันธีก็เข้าไปกราบทูลจึงมีรับสั่งให้เข้าไปชั้นใน ขันธีก็ออกมานำเข้าไป ครั้นถึงก็ถวายคำนับตามธรรมเนียม
   เจ้า​ผู้หญิงจึงถามว่าเข้ามามีกิจธุระอะไรหรือ หญิงขุนนางกราบทูลว่าข้าพเจ้ารับผู้อยู่เมืองใต้ถัง นามเรียกพระถังซัมจั๋งเป็นน้องของพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง มีสานุศิษย์มาสามคนกับม้าด้วยหนึ่งม้ารวมเป็นห้า จะขึ้นไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎก จะมาขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง เจ้าหญิงได้ฟังดังนั้นก็มีความเลื่อมใสโสมนัสยินดี จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เมื่อคืนนี้เราฝันเห็นไปว่า ขวดทองมีลายสีระยับอย่างงดงามส่องแสงสว่างไสว พิเคราะห์ดูก็สมแก่เหตุอันนี้เปนการดีหาที่เปรียบมิได้ ขุนนางซ้ายขวากราบทูลถามว่า พระองค์ทรงเห็นว่าด้วยประการใด เจ้าหญิงจึงตรัสว่า เมืองใต้ถังคือเป็นผู้ชายและพระถังซัมจั๋งพระเจ้าน้องยาเธอ อันเมืองเรานี้ตั้งแต่มีฟ้ามีดินมีเมืองนี้มา ที่เป็นเจ้าต่อ ๆ มาก็ไม่เคยเห็นผู้ชายมาถึงเมืองนี้ บัดนี้มีน้องชายพระเจ้าแผ่นดินใต้ถังมาคิดดูจะเป็นเทวดาดลใจให้มา เราจะยกราชสมบัติให้เธอเป็นเจ้าเมือง เราจะยอมเป็นอัครมเหสีร่วมรักแก่เธอให้เกิดบุตรเกิดนัดดาต่อเชื้อต่อวงศ์ต่อๆ กันไป เราคิดอย่างนี้ท่านทั้งหลายจะเห็นเป็นประการใด 
   พวกขุนนางผู้หญิงได้ฟังดังนั้น ต่างก็สรรเสริญขึ้นพร้อมกันว่าควรแล้ว ขุนนางพนักงานรับแขกจึงทูลขึ้นว่า ซึ่งพระองค์ทรงคิดการนั้นก็ดีอยู่แล้ว แต่วิตกว่าพระถังซัมจั๋งเธอมีสานุศิษย์สามคน มีลักษณะไม่สมเป็นรูปมนุษย์ เจ้าหญิงถามว่า ก็รูปร่างน้องยาเธอนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ขุนนางรับแขกกราบทูลว่า น้องยาเธอนั้นรูปลักษณะสมควรเป็นเจ้าคนนายคน​ผิวพรรณผ่องใส คนทั้งสามนั้นหน้าตาดุร้ายรูปร่างหยาบคายคล้ายปีศาจยักษ์มาร เจ้าหญิงว่าถ้ากระนั้นก็ให้เธอทั้งสามรับหนังสือเดินทางไปไซที เอาไว้แต่พระถังซัมจั๋งองค์เดียวอย่างนี้จะไม่ดีหรือ ขุนนางผู้หญิงทั้งหลายพร้อมกันทูลว่า พระองค์ทรงคิดอย่างนี้ดีแล้ว พวกข้าพเจ้าเห็นชอบด้วยแล้ว แต่ยังขัดอยู่ที่จะจัดวิวาหะการ จะต้องมีเฒ่าแก่จึงจะเป็นการถูกต้อง
   เจ้าหญิงตรัสว่าตามแต่ท่านจะเห็นควรอย่างไร ครั้นตรัสเสร็จแล้ว จึงสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่ที่จัตุสดมภ์ไปกับขุนนางรับแขก แล้วจึงจะให้ราชรถไปรับ ขุนนางทั้งสองก็ออกมาจากพระราชวังไปยังหอรับแขก ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์พักอยู่ที่หอพอฉันเข้าแล้วแลเห็นคนมามาก จึงถามสานุศิษย์ว่าเขาจะมาทำไมกัน โป๊ยก่ายว่าเห็นจะเป็นเจ้าหญิงใช้ให้มารับพวกเราดอกกระมัง เห้งเจียว่า เห็นจะไม่ใช่มาเชิญ ชะรอยจะเป็นเฒ่าแก่ พระถังซัมจั๋งถามว่า ถ้าหากว่าจะข่มขืนเราโดยเหตุนั้น เราจะขัดขวางโต้ตอบอย่างไร เห้งเจียพูดว่าแม้เป็นดังนั้นจริง พระอาจารย์ต้องผ่อนผันตามการ ข้าพเจ้าจะคิดแก้ไขต่อภายหลัง พูดยังไม่ทันขาดคำขุนนางทั้งสองก็พอมาถึง เข้ามาแล้วก็คุกเข่าลงเคารพ
   พระถังซัมจั๋งย่อตัวลงปราศรัยพูดว่า อาตมภาพไม่มีบุญวาสนาอะไร ท่านทั้งสองต้องลงคุกเข่าดังนี้ ขุนนางทั้งสองสอดตาดูพระถังซัมจั๋งเห็นลักษณะรูปร่างงดงามมีราศีเปล่งปลั่งสมควรจะเป็นสามีของเจ้า​เรา เห็นดังนั้นแล้วก็มีความพอใจพูดว่า ถ้าดังนี้ในเมืองของเราก็จะมีความเจริญขึ้น ขุนนางทั้งสองก็ลุกขึ้นพนมมือ ยืนอยู่สองข้างพูดว่า ข้าพเจ้าทั้งสองเห็นท่านน้องยาเธอก็มีความยินดีที่สุด พระถังซัมจั๋งย่อตัวปราศรัยว่า อาตมภาพเป็นผู้ถือบวชจะมีอะไรที่ไหนยินดีเล่า ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองพูดว่าที่เมืองนี้ คือเมืองไซเหลียงก๊ก ล้วนแต่เป็นผู้หญิงทั้งเมือง ตั้งแต่เดิมมาก็หามีผู้ชายมาถึงนี่ไม่ มาบัดนี้ท่านมาถึงนี่ก็เป็นบุญ จึงได้พบปะแก่ท่าน ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งของเจ้าแห่งข้าพเจ้า ให้มาขอท่านเป็นสามีของเจ้าข้าพเจ้า
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า อาตมาภาพมาถึงเมืองนี้ ก็มีสานุศิษย์มาด้วยสามคน ใจคอหยาบช้าไม่ทราบว่าท่านจะประสงค์คนไหน ขุนนางรับแขกพูดว่า ข้าพเจ้าได้นำความเข้าไปกราบทูลแล้ว เจ้าของข้าพเจ้าก็มีความยินดีที่สุด ตรัสว่าเมื่อคืนนี้พระองค์ทรงพระสุบินไปว่า พระองค์เห็นขวดทรงมีรัศมีเป็นดอกดวงดูงดงาม แลบานกระจกทรงมีแสงส่องฟุ้งออกสว่างไสว เพราะฉะนั้นพระองค์ทราบว่าท่านมาถึงเมืองนี้ ก็เป็นที่นิยมของพระองค์ จะใคร่ผูกสมัครร่วมรักแก่ท่านเป็นสามีภรรยา และจะยกราชสมบัติให้แก่ท่านครอบครองเป็นเจ้าเมือง ส่วนเจ้าหญิงจะยอมเป็นพระมเหสี จึงให้ขุนนางผู้ใหญ่มาพูดให้ข้าพเจ้าเป็นเฒ่าแก่ฝ่ายชาย เพื่อจะได้กระทำการวิวาหะมงคล
   ​พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก้มหน้านิ่งมิได้โต้ตอบประการใด ขุนนางผู้ใหญ่พูดว่า แม้ว่าเชื้อผู้ชายพบปะเวลาอย่างนี้แล้ว ไม่ควรจะให้คลาดเคลื่อน เพราะอย่างนี้จะไปหาที่ไหน ธรรมดาเขาจะให้ครอบครองบ้านเมือง ควรท่านจะต้องมีความยินดียอมรับไมตรีเถิด พวกข้าพเจ้าจะได้ไปกราบทูล พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งงงงวยดุจคนบ้าหาสติมิได้ โป๊ยก่ายยืนอยู่ข้างนั้นอดไม่ได้ ก็ร้องว่าท่านจัตุสดมภ์จงกลับไปกราบทูลเถิด ว่าพระอาจารย์ของข้าพเจ้าปฏิบัติบวชมาก็สำเร็จแล้ว เป็นอันขาดไม่รับซึ่งราชสมบัติบริโภคกามคุณ ท่านไม่มีความยินดีในการบ้านเรือนของฆราวาสแล้ว ชอให้รีบไปเปลี่ยนหนังสือเดินทางให้ไปไซที ข้าพเจ้าจะอยู่รับธุระนี้ท่านจะเห็นเป็นประการใด
   ขุนนางจัตุสดมภ์ครั้นได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น อกใจก็ซ่านเสียวรัวสั่นไปทั้งกาย มิได้อาจตอบโต้ประการใด จึงขุนนางรับแขกพูดแก่โป๊ยก่ายว่าตัวท่านเป็นผู้ชายก็จริง แต่รูปร่างหยาบคายไม่เป็นที่พอพระทัยของเจ้านายเรา โป๊ยก่ายว่าท่านยังไม่เข้าใจของหยาบก็ตามหยาบจะต้องใช้ได้ทั้งสิ้น เห้งเจียตวาดว่าอย่าพูดให้เลอะเทอะไปตามแต่ความพอใจของพระอาจารย์ควรไปก็ไปควรอยู่ก็อยู่ พระถังซัมจั๋งถามเห้งเจียว่าพูดอย่างไรจึงจะดี เห้งเจียว่าถ้าอย่างใจข้าพเจ้าคิดก็ได้อาจารย์อยู่ที่นี่ดี พบเนื้อคู่ไกลร้อยโยชน์ดังนี้ก็นับว่าเป็นนิสัยอันใหญ่ พระถังซัมจั๋งพูดว่า ถ้าอยู่รับราชสมบัติที่นี่แล้ว ใครเล่าจะไปไซที การของพระเจ้าแผ่นดินใต้ถังจะมิล้มละลายหรือ
   ​ขุนนางจัตุสดมภ์พูดว่านางพระยาให้ข้าพเจ้ามาพูดแก่ท่านว่า ต่อตามความประสงค์ของพระองค์ แล้วจึงจะเปลี่ยนหนังสือเดินทางให้ท่านทั้งสามไปไซทีอย่างนั้นจะไม่ดีหรือ เห้งเจียว่าท่านคิดดังนั้นเห็นจะสำเร็จได้ พวกข้าพเจ้าไม่ขัดข้องจะยอมให้อาจารย์อยู่เป็นสามีของเจ้าท่าน ขอท่านจงเปลี่ยนหนังสือให้ข้าพเจ้าพี่น้องไปไซที อาราธนาพระธรรมกลับมาแล้ว จึงจะแวะขอเสบียงอาหารกลับไปเมืองใต้ถัง ขุนนางจัตุสดมภ์และขุนนางรับแขกก็คำนับเห้งเจียแล้วพูดว่า มีความขอบใจท่านเป็นที่สุด
   โป๊ยก่ายว่าบัดนี้พวกข้าพเจ้าพี่น้องก็พร้อมใจยอมแล้ว ท่านจงไปกราบทูลแก่นางพระยาเจ้าของท่าน ให้จัดเครื่องโต๊ะมาให้พวกข้าพเจ้าพี่น้องรับประทานสักเวลาหนึ่งจะได้ลาไปไซที ขุนนางจัตุสดมภ์พูดว่าข้าพเจ้าจะจัดมาให้ตามท่านต้องการ ว่าแล้วก็สั่งเจ้าพนักงานให้จัดทำเครื่องโต๊ะมาให้ พวกเจ้าพนักงานก็ไปจัดมาตั้งพร้อมตามสั่งของขุนนางผู้ใหญ่ ๆ มีความยินดีกลับไปกราบทูล ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเห็นขุนนางทั้งสองกลับไปแล้ว ก็มาจับมือเห้งเจียพูดว่าเห้งเจียทำดังนี้จะมิคิดฆ่าเราเสียหรือ ทำไมจึงรับเขาว่าจะให้เราอยู่ทำการวิวาหะเป็นผัวเมียแก่เจ้าหญิง พวกเจ้าจะไปไซทีถ้าดังนั้นอาตมภาพตายเสียดีกว่า เห้งเจียว่าท่านอาจารย์จงวางใจเถิดข้าพเจ้ามิใช่จะไม่รู้กิริยาจิตของท่านเมื่อไรมี เพราะมาพบมนุษย์อย่างนี้จำเป็นจะต้องเอากลซ้อนกลจึงจะได้ 
   พระถังซัมจั๋งถามว่าอย่างไรจึงเรียกว่าเอากลซ้อนกล เห้งเจียพูดว่าถ้าหากถือมั่นไม่ยอมเธอก็จะไม่เปลี่ยนหนังสือให้ไป บางทีจะกลุ้มรุมมาจับอาจารย์จะเชือดเนื้อเถือหนัง พวกข้าพเจ้าที่ไหนจะยอมให้ทำ ก็คงจะต้องเกิดวิวาทรบพุ่งกันขึ้นพวกข้าพเจ้ามีอาวุธไม้มือหนัก ที่เมืองนี้ก็เพียงเป็นมนุษย์มิใช่ปีศาจยักษ์ร้ายอะไร ส่วนพระอาจารย์ก็ตั้งแต่เมตาจิตสัตว์เล็กใหญ่ก็ไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิต แม้ว่าเกิดตีรันรบพุ่งมนุษย์ก็คงจะตายนับไม่ถ้วน ที่ไหนอาจารย์จะยอมให้ทำได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่าที่เห้งเจียคิดได้ดังนี้ก็เป็นความดีที่สุดอยู่แล้ว แต่วิตกว่าถ้าแต่งการวิวาหะแล้วนางจะให้ร่วมประเวณีด้วยเธอดังนั้น อาตมจะยอมให้เสียพรหมจรรย์ได้หรือ เมื่อไม่ยอมแล้วการก็จะไม่สำเร็จอยู่เอ็งจะทำประการใด
   เห้งเจียพูดว่าวันนี้ทำยอมตามเร็ว ๆ คงจะแต่งตามธรรมเนียมของกษัตริย์มีราชรถมารับท่าน ๆ อย่าขัดขืนจงขึ้นราชรถเข้าไปในวัง ขึ้นนั่งที่บัลลังก์แก้วแล้ว เรียกเอาตรามาประทับหนังสือมอบให้พวกข้าพเจ้าแล้ว ท่านรับสั่งให้จัดราชรถจะตามส่งพวกข้าพเจ้า และให้จัดโต๊ะเลี้ยงแล้วจึงขึ้นราชรถส่งไป ท่านจึงบอกแก่นางเจ้าว่าจะส่งสานุศิษย์ออกจากเมืองแล้ว จึงกลับมาทำการวิวาหะมงคลอยู่กับนางพระยา กระทำให้พวกเจ้าและขุนนางมีความยินดีไม่ขัดขวาง แต่พอส่งออกนอกเมืองแล้ว พระอาจารย์ลงจากราชรถให้ซัวเจ๋งพยุงขึ้นม้าออกเดิน ข้าพเจ้าจะร่ายคาถาทำให้คนทั้งหลายนั้นยืนอยู่ที่เดียว พวกเราเดินไปสักคืนหนึ่งวันหนึ่งแล้ว ข้าพเจ้าจะเรียกคาถาถอนปล่อยให้คนเหล่านั้นกลับรู้สึกตัวคืนเข้าเมือง ซึ่งทำการตามที่ข้าพเจ้าคิดนี้​เป็นประโยชน์สองประการ คือหนึ่งไม่เป็นอันตรายแก่ชีวิตมนุษย์ สองไม่เสียพรหมจรรย์ของพระอาจารย์ อย่างนี้เรียกกลสนิทคิดหนีออกจากอันภัย ทั้งสองฝ่ายก็ไม่เป็นอันตราย พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ดุจบุคคลอันเสพสุราเมาแล้วสร่าง หรือหนึ่งนอนหลับฝันแล้วตื่น สรรเสริญเห้งเจียว่าขอบคุณสานุศิษย์ มีความลึกซึ้งอย่างนี้ดีที่สุดแล้ว
   ฝ่ายขุนนางทั้งสองกลับเข้าไปเฝ้า ครั้นถึงจึงถวายคำนับแล้วกราบทูลว่า ที่พระองค์ทรงพระสุบินนั้นเป็นการตรงแก่เหตุการณ์เป็นมงคลหาที่เปรียบมิได้ นางพระยาได้ฟังขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองเข้ามากราบทูลดังนั้นมีพระทัยใสโสมนัส สา จึงลงจากพระแท่นที่ประทับทรงพระสรวลยิ้มแย้ม ตรัสถามว่าท่านทั้งสองออกไปถามพระอนุชาพระเจ้าแผ่นดินถังพูดว่ากระไรบ้าง ขุนนางผู้ใหญ่กราบทูลว่าข้าพเจ้าออกไปถึงที่รับแขก ก็กระทำคำนับพระอนุชาพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง ๆ ได้ปราศรัยรับรองตามกิริยาแขกเมืองแล้ว ข้าพเจ้าชักนำพูดถึงวิวาหะการท่านก็ยังไม่ยอมตกลง สานุศิษย์ใหญ่เอออวยยอมให้อาจารย์เป็นสามีของพระองค์ ขอให้เปลี่ยนหนังสือเดินทางให้เธอทั้งสามไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎก เมื่อขากลับจะแวะขอเสบียงอาหารแล้วจะลากลับไปเมืองใต้ถัง นางพระยาถามว่า พระเจ้าน้องยาเธอได้พูดจาว่ากระไรบ้างหรือเปล่า นางขุนนางจัตุสดมภ์ทูลว่า พระอนุชาเจ้าแผ่นดินใต้ถัง​หาได้พูดจาว่ากระไรไม่ ยอมตามความประสงค์ของพระองค์ แต่สานุศิษย์ทั้งสามของเธอจะขอให้เลี้ยงโต๊ะก่อน นางกษัตริย์ได้ฟังดังนั้นมีความปลุกปลื้มโสมนัสยินดี จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะและจัดราชรถออกไปรับพระอนุชาพระเจ้าใต้ถัง
   ฝ่ายขุนนางทั้งหลาย ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานทุกหน้าที่ก็จัดการตามสั่งและจัดรถพระที่นั่งพร้อม ครั้นได้เวลานางพระยาก็ขึ้นทรงรถ ขุนนางผู้หญิงก็แห่ห้อมล้อมตามเสด็จออกจากพระราชวัง มาถึงที่หอรับแขกขุนนางรับแขกเมือง ก็บอกแก่พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ให้ทราบว่าเสด็จมาแล้ว พระถังซัมจั๋งก็จัดแจงแต่งตัวคอยรับ พอราชรถถึงนางกษัตริย์ก็แหวกพระวิสูตรลงจากราชรถตรัสถามว่า ไหนพระอนุชาพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง ขุนนางจัตุสดมภ์ทูลว่าที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะนั่นแล นางกษัตริย์ทอดพระเนตรพิเคราะห์ดูพระถังซัมจั๋งโดยละเอียด เห็นว่าสมควรเป็นผู้มีวาสนาที่จะครอบบ้านครองเมืองได้ แลทั้งรูปโฉมก็เป็นที่น่าเสน่หา นางให้มีความปฏิพัทธ์ลุ่มหลงจนลืมพระองค์ตรัสเชิญว่า ขอเชิญพระเจ้าน้องยาเธอขึ้นประทับบนราชรถ พระถังซัมจั๋งให้มีความอดสูละอายแก่ใจ โดยเหตุที่มิได้คุ้นเคยในการประโลมโลก และปราศจากความยินดีในรูปเสียงกลิ่นรส จึงไม่มีความกระสันพันธ์ผูกพิสมัยในนาง 
   แต่โป๊ยก่ายเป็นคนหนักอยู่ในกามเป็นนิสัยนอนจมอยู่ในสันดาน เมื่อได้เห็นรูปโฉมนางพระยาโสภาผ่องใสน่าพึงชม ก็ให้เกิดความปฏิพัทธ์กำหนัดในการสังวาส ที่สุด​ไม่ควรกล่าว จนน้ำลายโป๊ยก่ายไหลลืมสติตะลึงไป เวลานั้นมือแลเท้าโป๊ยก่ายอ่อนเพลียลง ดุจพระยาสีหราชถูกน้ำค้างเข้าผิงไฟ บัดเดี๋ยวใจก็เหือดแห้งไปหมด ฝ่ายนางพระยาไม่สามารถจะอดกลั้นความเสน่หาอยู่ได้ก็ตรงเข้าจับมือพระถังซำจั๋งพูดว่า ท่านจงขึ้นราชรถเสด็จเข้าไปในพระราชวังด้วยข้าพเจ้าเถิด พระถังซัมจั๋งได้ฟังนางพูดดังนั้น จิตใจให้หวั่นหวาดอุธัจสะทกสะท้านพูดไม่ออกตัวสั่น เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงพูดว่า พระอาจารย์จะเกรงกลัวอะไรนักหนา ขอท่านจงขึ้นรถเข้าไปในพระราชวังเถิด จะได้เปลี่ยนหนังสือเดินทางให้พวกข้าพเจ้า พระถังซัมจั๋งได้ยินเห้งเจียพูดเตือนให้สติดังนั้น จึงขืนใจเดินออกมาเคียงกับนางขึ้นราชรถเดียวกัน เคลื่อนรถเข้าในพระราชวัง เห้งเจียให้ซัวเจ๋งยกหาบใส่บ่าจูงม้าตามรถไป โป๊ยก่ายก็วิ่งไปก่อนเข้าไปที่ตำหนักเหงาฮ่องเล้า บ่นว่าถาวรสบายดีจริง แต่ไม่ได้การทำไมไม่เห็นมีเหล้ายากับแกล้มเล่า
   ขุนนางเจ้าพนักงานผู้หญิง เห็นโป๊ยก่ายมาร้องทวงกินดังนั้นก็ตกใจ ไม่กล้าจะเข้าไปจึงกลับมายังราชรถกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทราบ ที่เหงาฮ่องเล้ามีคนปากยาวร้องทวงกินเหล้ากินแกล้มอยู่อึกกระทึก นางพระยาได้ทราบดังนั้น จึงถามพระถังซัมจั๋งว่า คนปากยาวหูใหญ่นั้นเป็นศิษย์คนใหญ่มิใช่ พระถังซัมจั๋งตอบว่า เป็นศิษย์ที่สองของอาตมภาพ เธอท้องใหญ่กินจุ เป็น​ห่วงแต่การกินกลัวจะไม่พอเพียงเท่านั้น ขอนางเจ้าได้ให้เจ้าพนักงานจัดหาเลี้ยงเธอก่อน นางกษัตริย์จึงตรัสถามเจ้าพนักงานว่า ได้จัดหาไว้พร้อมแล้วหรือ เจ้าพนักงานทูลว่าได้จัดหาไว้บนตำหนักพร้อมแล้วทุกประการทั้งสองอย่าง นางจึงถามว่าจัดอะไรไว้ทั้งสองอย่าง นางขุนนางจึงทูลว่า คือจัดไว้ทั้งเครื่องแจแลเครื่องโช
   นางกษัตริย์จึงถามพระถังซัมจั๋งว่า ท่านจะกินแจหรือจะกินโช พระถังซัมจั๋งตอบว่าอาตมภาพก็กินแจสานุศิษย์ทั้งสามก็กินแจทั้งสามคน พูดยังไม่ทันขาดคำลงขุนนางจัตุสดมภ์ก็มาเชิญขึ้นตำหนักเลี้ยงโต๊ะ พูดว่าวันนี้วันดีเลี้ยงโต๊ะแล้วจะได้ทำการวิวาหะมงคล พรุ่งนี้จะได้ยกพระถังซัมจั๋งขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติ เมื่อนางกษัตริย์ได้ฟังขุนนางกราบทูลดังนั้น มีพระทัยใสโสมนัส สา หาที่เปรียบมิได้ จึงจูงมือพระถังซัมจั๋งลงมาจากราชรถขึ้นสู่พระที่นั่งตังก๊อกเดินเข้าไปเห็นที่ข้างตำหนักมีพวกมโหรีพิณพาทย์นั่งคอยท่าอยู่ สองข้างโต๊ะมีหญิงรุ่นกำหนัดผัดหน้าทาแป้งแต่งตัวนุ่งแพรห่มสี ยืนเรียงรายกันอยู่ดุจนางเทพธิดา ที่กลางตำหนักก็จัดไว้สองที่ ข้างขวาโต๊ะแจ ข้างซ้ายโต๊ะโช ลดลงชั้นล่างล้วนแต่เครื่องโชทั้งนั้น นางกษัตริย์เห็นจัดเสร็จแล้ว จึงรินสุราใส่ถ้วยมาเชิญให้พระถังซัมจั๋งกิน เห้งเจียพูดว่า อาจารย์แลพวกข้าพเจ้ากินแจทั้งนั้น จงเชิญอาจารย์นั่งโต๊ะแจนั้นเถิด พวกข้าพเจ้านั่งชั้นล่างก็ได้
   นางขุนนางพูดชมว่าดีอย่างนี้แลควรแล้ว อาจารย์กับศิษย์ก็​เหมือนบิดากับบุตรไม่ควรนั่งเสมอกัน ขุนนางพนักงานก็รีบจัดลดลงอีกสามที่เสร็จแล้ว นางพระยาก็ยกถ้วยสุราเชิญพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสาม เห้งเจียขยิบตาอาจารย์ให้ยกถ้วยตอบคำนับ พระถังซัมจั๋งลุกจากเก้าอี้ยกถัวยมาเชิญนาง ๆ รับถ้วยสุรามานั่งโต๊ะที่หนึ่งแล้ว บรรดานางขุนนางใหญ่น้อยก็ทำคำนับแล้วพร้อมกันเข้านั่งตามลำดับยศ พวกมโหรีพิณพาทย์ก็กระทำเพลงบำเรอขับร้อง ฝ่ายโป๊ยก่ายเสพสุราแลอาหารมากสิ้นสุราเจ็ดแปดถ้วย แล้วร้องว่าเอามาขวดใหญ่ ๆ จะกินให้สบายใจ แล้วจะได้ต่างคนต่างไปตามมีธุระอย่ามาหลงกินให้มากจะเสียการ เรารีบกินจะได้เปลี่ยนหนังสือเดินทาง นางกษัตริย์ได้ยินโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงสั่งเจ้าพนักงานให้เอาสุราขวดใหญ่มาให้โป๊ยก่ายกินตามสบาย เจ้าพนักงานก็เอาสุราปั้นใหญ่มารินให้โป๊ยก่ายกินอีกถ้วยหนึ่ง
   พระถังซัมจั๋งก็ย่อตัวลุกขึ้นเดินมาที่โต๊ะนางพูดว่า อาตมภาพมีความขอบใจเป็นที่สุด ส่วนที่เลี้ยงก็พอแล้ว ขอเชิญขึ้นพระที่นั่งจะได้เปลี่ยนหนังสือเดินทางให้แก่สานุศิษย์ไป นางกษัตริย์ก็ลุกออกจากที่จับมือพระถังซัมจั๋งพากันเดินขึ้นบนปราสาทใหญ่ นางอนุญาตให้พระถังซัมจั๋งขึ้นบนพระที่นั่ง พระถังซัมจั๋งว่าไม่ควรตามท่านเสนาบดีจัตุสดมภ์ว่า วันพรุ่งนี้เป็นวันมหามงคลฤกษ์ อาตมภาพจึงจะขึ้นนั่งได้ แต่วันนี้ขอจงเปลี่ยนหนังสือประทับตราส่งให้เธอทั้งสามไปเสียก่อน นางพระยาก็ประทับบนเก้าอี้แล้วเรียกเอาหนังสือเดินทาง​เห้งเจียก็หยิบหนังสือออกส่งให้ นางพระยาทรงรับมาคลี่ดูโดยละเอียดก็เห็นมีดวงตราของพระเจ้าแผ่นดินใต้ถังประทับอยู่ข้างบน รองลงมาตราเมืองโป๊เชียงก๊ก รองลงมาตราเมืองโอเกยก๊ก รองลงมาตราเมืองเซียตี้ก๊ก ทรงพิเคราะห์ดูตลอดแล้วก็ยิ้มสรวล แล้วตรัสว่าท่านนี้แซ่ตั๊นหรือ
   พระถังซัมจั๋งบอกว่าแซ่ตั๊นชื่อเหี้ยนจึง แต่พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้โปรดให้เป็นพระอนุชา จึงพระราชทานให้แซ่ถัง นางกษัตริย์ทรงถามว่าในหนังสือนี้ทำไมไม่มีชื่อสานุศิษย์ทั้งสามเล่า พระถังซัมจั๋งตอบว่า ศิษย์ทั้งสามคนนี้มิใช่คนในเมืองใต้ถัง อาตมภาพได้เมื่อมาตามทาง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีชื่ออยู่ในหนังสือ นางกษัตริย์ตรัสว่า ถ้ากระนั้นท่านกับข้าพเจ้าเติมชื่อเธอทั้งสามลงในหนังสือจะมิดีหรือ พระถังซัมจั๋งว่าแล้วแต่จะทรงเห็นควร นางจึงเรียกให้พนักงานนำพู่กันกับน้ำหมึกมาแล้ว จึงถามชื่อและแซ่คนทั้งสามนั้นแล้วก็เขียนลงท้ายหนังสือชื่อซึงหงอคง แลหงอเหนง ซัวหงอเจ๋ง เขียนชื่อคนทั้งสามเสร็จแล้ว ก็ประทับตราเข้าผนึกส่งให้เห้งเจีย ๆ ก็รับหนังสือพลัน ส่งให้ซัวเจ๋งเก็บสิ่งของเข้าห่อเสร็จแล้ว จึงรับสั่งให้ขันธีเอาทองคำมาถาดหนึ่ง รางวัลให้แก่เห้งเจียแล้วตรัสว่า จงเอาไปเป็นเสบียงใช้สอยตามทาง เมื่อไปอาราธนาพระไตรปิฎกกลับมาแล้วจะขอบคุณท่านให้จงหนัก
   ​เห้งเจียว่าพวกข้าพเจ้าเป็นผู้บวช อันเงินทองไม่ต้องเอาติดไป ไปตามทางถึงแห่งหนตำบลใดก็บิณฑบาตเขากินต่อ ๆ ไป นางเห็นเห้งเจียไม่รับทอง จึงมีรับสั่งให้เอาแพรมาสิบม้วน แล้วรับสั่งว่าจะทำก็ไม่ทันเวลา จงเอาไปทำเสื้อผ้านุ่งห่มกันหนาวเถิด เห้งเจียว่าคนถือบวชจะนุ่งห่มแพรสีไม่ควร ผ้าผ่อนก็ยังมีอยู่ขอพระองค์อย่ามีความวิตกเลย นางกษัตริย์เห็นเห้งเจียไม่รับแล้ว จึงรับสั่งให้ขันทีนำข้าวสารมาสามถัง แล้วพูดแก่เห้งเจียว่า ของเหล่านั้นไม่รับไปก็ตามทีเถิด จงเอาข้าวสารไปจะได้หุงกินตามทาง โป๊ยก่ายก็รับข้าวสารใส่ย่ามเสร็จแล้ว ก็พร้อมกันทั้งสามคนมาคำนับนางพระยา
   พระถังซัมจั๋งจึงพูดแก่นางว่า ขอเชิญพระองค์เสด็จไปกับอาตมภาพเพื่อส่งคนทั้งสามออกไปจากเมือง อาตมภาพสั่งเสียเธอเสร็จแล้วจะได้กลับมากับพระองค์ ครองราชสมบัติเป็นบรมสุขอยู่สิ้นกาลนาน ส่วนนางกษัตริย์พาซื่อมิได้รู้สึกในกลอุบาย จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดราชรถเสร็จแล้ว ก็ขึ้นทรงรถพร้อมด้วยพระถังซัมจั๋ง นางขุนนางใหญ่น้อยก็ตามเสด็จ บรรดาพวกชาวเมืองก็ตั้งโต๊ะบูชาตลอดสองข้างทาง ชาวเมืองตั้งใจจะคอยดูราชรถนางพระยาและพระถังซัมจั๋ง ครั้นชาวเมืองได้เห็นก็พากันสรรเสริญออกแส้เสียงทั้งสองข้างทาง ประเดี๋ยวรถพระที่นั่งก็มาถึงประตูเมืองด้านข้างทิศปราจิณ เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเตรียมตัวเสร็จแล้ว ก็เดินมาใกล้ราชรถร้องด้วย​เสียงอันดังว่า พระองค์ไม่ต้องไปส่งไกลดอก พวกข้าพเจ้าจะขอทูลลาที่นี้ นางจึงให้รถหยุดพระถังซัมจั๋งก็ลงจากรถทำคำนับพูดว่า ขอพระองค์จงเสด็จกลับไปเถิด อาตมภาพจะขอถวายพระพรลาไปไซทีอาราธนาพระธรรม
   ฝ่ายนางกษัตริย์ เมื่อได้ทรงฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นก็ตกตะลึงจับพระถังซัมจั๋งไว้แล้วก็ตรัสว่า พระเจ้าน้องยาเธอ ข้าพเจ้ายกราชสมบัติให้จะขอท่านไว้เป็นพระราชสามี พรุ่งนี้ฤกษดีก็จะได้ขึ้นเสวยราชสมบัติแล้ว เหตุใดจึงได้มาแปรปรวนไปดังนี้เล่า โป๊ยก่ายได้ยินนางตรัสดังนั้น ก็เดินตรงเข้ามาที่ข้างรถยกหัวขึ้นทำหูชันตวาดด้วยเสียงอันดังว่าพวกข้าพเจ้าถือบวช ใครจะมาร่วมรักกับกระดูกแห้งอย่างนั้นได้หรือ จงปล่อยอาจารย์เราไปเถิด เมื่อนางได้เห็นรูปร่างโป๊ยก่ายน่าเกลียดน่ากลัวดังนั้น แลทำเสียงดังออกท่าดุร้ายดังนั้นก็ตกพระทัยล้มเข้าไปในรถ ซัวเจ๋งก็เข้าอุ้มอาจารย์ออกจากหมู่คนแล้วพยุงให้ขึ้นม้า เห็นผู้หญิงคนหนึ่งร้องตวาดว่า พระเจ้าน้องยาเธอจะหนีไปข้างไหนเราจะมาร่วมรักแก่ท่าน ซัวเจ๋งร้องด่าว่าอีขโมยมึงไม่รู้จักหรือ จึงชักไม้ตะบองออกตีลงไปที่ศรีษะหญิงนั้น ๆ ก็อันตรธานกลายเป็นลมใหญ่มืดมัว หอบเอาพระถังซัมจั๋งไปทางไหนก็ไม่ทันรู้

14 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 39 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๕๐) ในฤดูนั้นเป็นฤดูหนาวจัดลมพัดกล้า น้ำค้างหมอกลงกลุ้มทั้งป่า อาจารย์กับศิษย์กำลังเดินมา แลไปข้างหน้าก็เห็นภูเขาใหญ่ขวางอยู่ หนทางก็แคบเดินลำบากไม่เรียบราบ พระถังซัมจั๋งชักบังเหียนม้าหยุด เรียกเห้งเจียมาถามว่า ดูข้างหน้านั้นมีภูเขาสูง อาตมาวิตกว่าจะมีสิงสาราสัตว์ ร้ายดอกกระมัง จงเอาใจใส่ช่วยกันระวังให้จงดี เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์จงวางใจเถิด พวกพี่น้องข้าพเจ้าพร้อมใจกันจะตั้งจิตตามทางอันชอบธรรม จะกลัวเกรงอะไรแก่สิงสาราสัตว์ที่ดุร้าย
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ค่อยคลายความวิตกตั้งหน้าอุตส่าห์บุกน้ำค้างทนหนาวมิได้คิดที่จะท้อถอย ครั้นข้ามยอดเขาลงมาถึงเชิงเขา พระถังซัมจั๋งแลไปในซอกเขา เห็นมีตึกสามห้องหอสูงตระหง่านดูงดงามสะอาดตา พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ดีใจ จึงเรียกเห้งเจียมาพูดว่า อาตมภาพเดินมาวันนี้ทั้งหนาวทั้งหิวอกใจให้ระอาอ่อนไม่มีกำลัง ในซอกเขานั้นเห็นมีตึกบ้าน​ห้องหอเป็นลำดับคงจะเป็นบ้านคนอยู่ หรือวัดวาอารามเป็นแน่ เห้งเจียลองไปบิณฑบาตบางทีจะได้บ้างดอกกระมัง จะได้มาฉันพอแก้หิวแล้วจะได้เดินต่อไป เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็แลไปดูในที่แห่งนั้น ก็เห็นมีขี้เมฆสีร้ายกลุ้มปกอยู่ข้างบน สลับซับซ้อนกันเป็นกลุ่ม ๆ ดังนั้น จึงหันหน้ามาบอกแก่อาจารย์ว่า ที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ดี หากจะมีสิ่งร้ายสำคัญ พระถังซัมจั๋งว่าเห็นมีเป็นตึกรามห้องหอดูงดงาม เหตุใดเห้งเจียจึงว่าที่ไม่ดี
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พระอาจารย์ที่ไหนจะรู้ได้ หนทางไซทีนั้น ปีศาจ ยักษ์ร้ายมักจะบันดาลให้เห็นเป็นตึกรามห้องหอ ที่ตรงนั้นดูงดงามแต่อากาศร้ายปกคลุมอยู่ ไม่ควรเราจะเข้าไปเลย
   พระถังซัมจั๋งว่าจะเข้าไปได้ก็ชอบแล้ว แต่อาตมภาพหิวนักจะทำอย่างไรดี เห้งเจียว่าแม้อาจารย์หิวโหย จงนิมนต์ลงจากหลังม้านั่งพักก่อน ข้าพเจ้าจะไปบิณฑบาตที่อื่นมา ฉันแล้วจึงค่อยไป พระถังซัมจั๋งก็เชื่อเห้งเจียลงจากหลังม้าอาศัยนั่งยังพื้นราบ ซัวเจ๋งจึงแก้เอาบาตรส่งให้เห้งเจีย ๆ รับบาตรมาแล้วสั่งซัวเจ๋งว่า น้องอย่าไปข้างไหน จงระวังระไวพระอาจารย์ให้มาก ๆ ให้อาจารย์นั่งอยู่ตรงนี้ คอย กว่าเราจะกลับจึงค่อยไป ซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียสั่งดังนั้นก็คอยระวังรักษาอาจารย์ ฝ่ายเห้งเจียสั่งแล้วก็ยังไม่วางใจดี จึงหันหน้ามาบอกแก่อาจารย์ว่า ที่ตรงนี้ร้ายมากดีน้อย พระอาจารย์อย่าได้ออกจากที่นี้​ไปเลย ข้าพเจ้าวิตกกลัวแต่พระอาจารย์จะไม่ยุติอยู่ได้ ข้าพเจ้าจะช่วยทำยันต์คุ้มไว้ให้
เห้งเจียพูดดังนั้นแล้ว ก็จับตะบองเขียนลงที่แผ่นดินเป็นยันต์วงรอบ วงหนึ่ง เขียนแล้วจึงนิมนต์อาจารย์เข้านั่งในกลางวงยันต์ แล้วสั่งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งให้นั่งเฝ้าอยู่ซ้ายขวา แล้วเห้งเจียจึงบอกแก่อาจารย์ว่า อันวงล้อมนี้มั่นคงยิ่งกว่ากำแพงเหล็ก หากว่าจะมี ผี ปิศาจยักษ์ร้าย และสิงสาราสัตว์ที่ดุร้ายก็ไม่อาจสามารถจะเข้ามาใกล้ แต่อาจารย์อย่าได้ออกจากวงนี้เป็นอันขาด จงนั่งอยู่แต่ในวงนี้ให้สบาย
   พระถังซัมจั๋งฟังเห้งเจียสั่งดังนั้น ก็นั่งอยู่ในวงยันต์มิได้ไปข้างไหน เห้งเจียเห็นเรียบร้อยดีแล้วก็ปาฎิหารย์ไปบิณฑบาตเหาะตรงไปยังทิศอาคเนย์ แลไปก็เห็นมีต้นพฤกษาสูงใหญ่ตระหง่านที่ข้างนั้นมีหมู่บ้าน เห้งเจียก็ลดลงยังพื้นดินเดินไปพิจารณาดูภูมิบ้านได้ยินเสียงคนเปิดประตูเดินออกมา เห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งมือถือไม้ เท้าเงยหน้าขึ้นบนฟ้าพูดว่า วันนี้ลมหนาวพัดกล้าพรุ่งนี้ก็จะหยุด พูดยังไม่ทันจะสิ้นคำ เห็นสุนัขตัวหนึ่งวิ่งออกมาเห่าเห้งเจีย ตาเฒ่าเห็นสุนัขเห่าจึงหันไปดู เห็นเห้งเจียยืนถือบาตรอยู่ เห้งเจียจึงร้องบอกตาเฒ่านั้นว่า ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของพระถังซัมจั๋งมีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้ไปไซทีอาราธนาพระธรรม บัดนี้มาถึงตำบลนี้ท่านอาจารย์หิวโหย ขอท่านได้ทำบุญมากน้อยตามจะศรัทธา
   ฝ่ายตาเฒ่าเมื่อได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น จึงบอกว่าอย่าบิณฑบาตเลย ตัวเดินทางผิดเสียแล้ว ทางไปไซทีกับจะมาถึงที่นี่ไกลหลายร้อยโยชน์ทำไมจึงไม่ไปทางโน้นตามทางใหญ่ เห้งเจียพูดว่าก็จริงเหมือนท่านตาพูด แต่อาจารย์ข้าพเจ้านั่งคอยอยู่ที่ทางใหญ่ ตาเฒ่าพูดว่าเป็นชีบานาสงฆ์ถือทางพระ ทำไมจึงพูดจาเลอะเทอะอย่างนี้ ที่ว่าอาจารย์ตัวนั่งอยู่ที่ทางใหญ่ ตัวมาบิณฑบาตหนทางเดินไกลถึงหกเจ็ดวันจึงจะถึง ถ้ากระนั้นอาจารย์จะมิอดตายหรือ เห้งเจียว่าข้าพเจ้าไม่ปิดบังท่านตาข้าพเจ้าจากอาจารย์มา น้ำร้อนที่รินใส่ถ้วยยังไม่ทันเย็นก็มาถึงนี่ บัดนี้บิณฑบาตได้แล้วกลับไปก็ทันเวลาเพล
   ตาเฒ่าได้ฟังดังนั้นจ้งพูดว่าคนนี้เห็นจะเป็นผีปีศาจยักษ์ พูดดังนั้นแล้วก็หันหน้าจะวิ่งกลับเข้าบ้าน
   เห้งเจียก็วิ่งมายึดไว้ถามว่าจะไปไหน มีอาหารก็จงรีบเอามาทำบุญเถิด ตาเฒ่าบอกว่าข้าไม่ปลงใจศรัทธา ในบ้านข้าหกเจ็ดปากกินอยู่ด้วยกันพึ่งเอาข้าวสารใส่หม้อตั้งยังไม่ทันสุก ตัวไปที่อื่นก่อนแล้วจึงค่อยมา เห้งเจียพูดว่าโบราณท่านย่อมว่าไปสามบ้านสู้บ้านเดียวไม่ได้ ข้าพเจ้าจะคอยอยู่ที่นี่กว่าเข้าจะสุกก็ได้ ตาเฒ่าเห็นเห้งเจียพูดรีบรัดข้างจะเอาดังนั้นจึงยกไม้เท้าขึ้นจะตี เห้งเจียก็ไม่สะดุ้งหวาดอะไรยืนนิ่งอยู่ ตาเฒ่าก็ตีศรีษะเห้งเจียเจ็ดแปดที เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าตามแต่ท่านตาจะตีอย่างไรก็ตีเถิด แม้ตีข้าพเจ้าทีหนึ่งจะคิดเอาข้าวทะนานหนึ่งท่านตาจะต้องคิดตวงมาให้ข้าพเจ้า ตาเฒ่าได้ยินดังนั้นก็ทิ้งไม้เท้าวิ่งหนี​เข้าไปในบ้านปิดประตูร้องว่ามีผีมา มีผีมา คนทั้งบ้านก็พากันตกใจไปทุกคน ก็พากันปิดประตูทุก ๆ ประตู
   เห้งเจียเห็นปิดประตูทุกประตูก็นึกแต่ในใจว่า ตาเฒ่าคนนี้พูดว่าพึ่งซาวข้าวใส่หม้อจะจริงเท็จก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องเข้าไปดูให้รู้แน่ คิดดังนั้นแล้วก็ร่ายพระคาถาบังตัวแอบเข้าไปในครัวไฟ เห็นในกะทะควันขึ้นร้อน ๆ เข้าก็สุกครึ่งกะทะเห้งเจียเอาบาตรลงตักทีหนึ่งเต็มแล้วก็ปาฏิหารย์กลับไป
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งนั่งอยู่ในวงยันต์ คอยเห้งเจียอยู่เป็นนานก็ยังไม่เห็นมา จึงขยับตัวบ่นว่าอ้ายลูกลิงมันไปบิณฑบาตที่ไหนก็ไม่รู้ป่านนี้ยังไม่มา โป๊ยก่ายว่าจะรู้ว่าเธอไปข้างไหน เที่ยวเล่นตามสบายใจทิ้งให้เราตากน้ำค้างอยู่ดังนี้ พระถังซัมจั๋งถามว่าทำไมโป๊ยก่ายจึงถูกจำ โป๊ยก่ายว่าอาจารย์ยังไม่รู้คนโทษถ้ามีโทษเขาเขียนวงจำไว้ ไม่ให้ไปข้างไหน เธอว่าวงนี้มั่นคงนั่งลอย ๆ อยู่ดังนี้ หากมีสิงสาราสัตว์มาจะเอาอะไรคุ้มได้ ถ้าดังนี้ก็ส่งเนื้อให้มันกินเสียง่าย ๆ ก็แล้วกัน พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดหารือแก่โป๊ยก่ายว่า ตัวเห็นอย่างไรก็จงคิดดู โป๊ยก่ายพูดว่าความเห็นของข้าพเจ้าเห็นว่านั่งอยู่ที่นี้จะหาที่บังลมกันหนาวก็ไม่ได้ สู้เดินไปข้างหน้าไม่ได้บางทีพี่เห้งเจียบิณฑบาตกลับมาทางนั้นจะปะกัน นั่งคอยอยู่ที่นี่ก็จะเกิดหนาวมากขึ้น
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็คิดเห็นชอบไปด้วย จึงพา​กันออกจากวงนั้นแล้วก็ไปทางทิศตะวันตกเดินไป เดินมาประเดี๋ยวก็มาถึงที่ห้องหอนั้น มีประตูใหญ่อยู่ข้างหน้าก่อทำประดับมีสีต่าง ๆ ที่ประตูเปิดบานหนึ่งปิดบานหนึ่ง โป๊ยก่ายก็จูงม้าเข้ามายังประตู ซัวเจ๋งก็เอาหาบวางลง พระถังซัมจั๋งก็นั่งพักอยู่ที่ประตู โป๊ยก่ายพูดกับอาจารย์ว่า ที่บ้านนี้เห็นจะเป็นบ้านขุนนางผู้ใหญ่ดูไม่เห็นมีคน เห็นคนจะอยู่ข้างในผิงไฟดอกกระมัง
   พระอาจารย์นั่งอยู่นี่กับซัวเจ๋งก่อนข้าพเจ้าจะเข้าไปดูข้างใน พระถังซัมจั๋งว่าจะเข้าไปก็ดูให้เรียบร้อย อย่าไปทำให้เสียธรรมเนียม โป๊ยก่ายพูดว่าข้าพเจ้าเข้าใจตั้งแต่ข้าพเจ้าเข้าในทางพระ ทำนุ๊กธรรมเนียมก็รู้มาก ไม่เหมือนอย่างพวกฆราวาส พูดดังนั้นแล้วก็เอาคราดเหล็กเหน็บหลัง จัดแจงแต่งตัวแล้วก็เดินเข้าไปในประตูพิจารณาดูไปข้างหน้านั้น เห็นมีตึกหลังหนึ่งสามห้องมีมู่ลี่แขวนบังห้อยอยู่ดูเงียบสงัดไม่เห็นมีคน โป๊ยก่ายก็เดินต่อเข้าไปข้างใน ก็เห็นมีหอสูงประตูหน้าต่างแง้มเปิดครึ่งหนึ่ง มองขึ้นไปชั้นบนก็เห็นมีม่านแพรสีต่าง ๆ กั้นอยู่ ประดับประดางามตาแต่เงียบสงัดไม่ได้ยินเสียงผู้คน โป๊ยก่ายนึกแต่ในใจว่า เห็นจะเป็นคนกลัวหนาวนอนยังไม่ตื่น
ตอน ผจญปิศาจควายจอมพลังกับของวิเศษไร้เทียมทาน
   คิดดังนั้นแล้วก็ตรงขึ้นไปบนหอ เอามือผลักประตูออกดู โป๊ยก่ายแลเห็นกระดูกคนกองอยู่เป็นกองใหญ่ก็ตกตะลึงล้มลง น้ำตาก็ร่วงเผาะผอย แลเข้าไปในม่านเห็นแสงไฟอันแจ่มโป๊ยก่ายนึกว่าเห็นจะมีคนเฝ้าจุดธูปเทียน โป๊ยก่ายเดินเข้าไปในม่านก็เห็นมีโต๊ะตั้งอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะนั้นมีเสื้อแพรปักไหมทอง โป๊ยก่ายหยิบขึ้นดูเห็น​งามดี ก็เอาเสื้อตัวนั้นเดินออกมาจากหอ ออกมายังประตูชั้นนอกพูดแก่อาจารย์ว่าในนั้นไม่มีคน เป็นที่เขาบูชาคนตาย ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปบนหอพิจารณาดู ก็เห็นมีแต่กระดูกคนเป็นกองใหญ่ บนโต๊ะมีเสื้อปักไหมทองอยู่ตัวหนึ่ง ข้าพเจ้าเอามา พวกเราเดินทางหนาวมากอาจารย์จงเปลื้องจิวรออกเอาเสื้อตัวนี้ใส่ชั้นในอุ่นดีกันหนาวได้
   พระถังซัมจั๋งว่า ไม่ควรไม่ควร ในสิกขาห้ามปรามสิ่งของอย่างนี้เราจะถือเอาไม่ได้ จะเป็นโทษ โป๊ยก่ายจงรีบเอาไปวางไว้เสียตามเดิม พวกเรานั่งคอยเห้งเจียมาแล้วจะได้พากันไป โป๊ยก่ายว่าไม่มีคนเห็นจะกลัวอะไร ใครจะมาโจทย์ว่าเราเป็นขโมยได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่า ตัวไม่เคยฟังหรือทำการอยู่ในห้องลับก็จริง แต่ยังมีเจ้ารู้แจ้ง อย่ามักได้สิ่งของที่ไม่บริสุทธิ์ โป๊ยก่ายถึงได้ฟังพระอาจารย์ห้ามปรามดังนั้นก็อย่าพึงนึกว่าจะเชื่อฟัง จึงตอบอาจารย์ว่าแม้ท่านไม่ประสงค์ ข้าพเจ้าจะเอาไว้ใส่กันหนาว รอพี่เห้งเจียบิณฑบาตกลับมาแล้วจึงค่อยคืนก็ได้
ซัวเจ๋งพูดว่า ถ้าดังนั้นก็ให้ข้าพเจ้าใส่กันหนาวตัวหนึ่ง โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็พากันถอดเครื่องของตัวออกแล้ว จึงเอาเสื้อปักนั้นแบ่งกันไส่คนละตัว ครั้นใส่เสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร กำลังยืนอยู่ดีดีก็หกล้มลง โป้ยก่ายซัวเจ๋งครั้นใส่แล้ว ก็ตรึงมัดมือแลเท้าออกแน่นจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่หลุดไม่ออก พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบมาถอดเสื้อให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ก็ถอดไม่ออกบัดเดี๋ยวก็จับมืองอติดกับอก พระถังซัมจั๋งจึงบ่นว่าคนทั้งสองไม่เชื่อฟัง โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ร้องอึกกะทึงเสียงดัง
   ​ปิศาจครั้นได้ยินเสียงร้อง ก็วิ่งออกมามองดูเห็นทั้งสองต้องมัดอยู่แล้ว จึงเรียกปีศาจน้อยให้ออกไปเก็บตึกรามห้องหอเหล่านั้น แลจับถังซัมจั๋งกับม้าและโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเอาเข้ามาในถ้ำ ครั้นแล้วปีศาจใหญ่ก็ขึ้นนั่งบนแท่น เห็นปิศาจน้อยจับถังซัมจั๋งเข้ามาคุกเข่าลงกับพื้น ปีศาจจึงถามว่าตัวเป็นสงฆ์อยู่ที่ไหนมา ทำไมจึงสามารถเวลากลางวันแสก ๆ ลักขโมยเสื้อของเราดังนี้
   พระถังซัมจั๋งร้องไห้แล้วตอบว่า อาตมภาพอยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งให้อาตมภาพไปอาราธนาพระธรรมยังเมืองไซที เพราะอาตมภาพมีความหิวโหย จึงให้สานุศิษย์ใหญ่ไปบิณฑบาตก็ยังหากลับมาไม่ อาตมภาพก็ไม่เชื่อฟังเธอสั่ง จึงเดินมาถึงที่นี่แอบลมหนาว ก็บังเอิญเจ้าทั้งสองคนนั้นมีความมักได้ เอาเสื้อออกมาใส่กันหนาว จึงต้องถึงให้ใต้อ๋องจับมา ขอใต้อ๋องได้กรุณาปล่อยอาตมภาพไปอาราธนาพระธรรม พระเดชพระคุณของใต้อ๋องจะอยู่แก่ข้าพเจ้าชั่วพระจันทร์ พระอาทิตย์ไม่มีเวลาลืม ปีศาจได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า เราอยู่ตำบลนี้ได้ยินข่าวเล่าลือกันเนือง ๆ ว่า ถ้าผู้ใดได้กินเนื้อถังซัมจั๋งก้อนหนึ่ง ผมขาวกลับดำ ฟันหักกลับงอก วันนี้ไม่เชิญก็มาเอง ยังจะหมายให้เราปล่อยอีกหรือ ที่ว่าสานุศิษย์ใหญ่นั้นชื่อเรียงเสียงไรไปบิณฑบาตตำบลไหน
   โป๊ยก่ายได้ฟังปีศาจถามดังนั้น ก็พูดอวดแก่ปีศาจว่า พี่ข้าพเจ้าคือเมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้น ได้ขึ้นไปบนสวรรค์​ทำสงครามแก่เทพบุตรนามเรียกว่าซีเทียนใต้เซีย หรือซึงหงอคงก็เรียก ปีศาจได้ฟังดังนั้นก็ครั่นคร้าม จึงคิดในใจว่า เราเคยได้ยินเลื่องลือชื่อเสียงว่าเธอมีฤทธากล้าหาญมาก บัดนี้ไม่ได้นัดบังเอิญมาปะกันเข้า คิดดังนั้นแล้วจึงสั่งพวกปีศาจให้มัดถังซัมจั๋งไปขังไว้ก่อน และจับอ้ายทั้งสองนั้นถอดเสื้อออกเสียก่อน แล้วมัดเอาไปขังไว้แห่งเดียวกัน คอยจับอ้ายคนใหญ่มาแล้ว จึงค่อยสระล้างกินทีเดียว พวกปีศาจได้ฟังนายสั่งดังนั้น ก็พากันไปทำตามสั่งทุกประการ
   ฝ่ายเห้งเจียครั้นได้ข้าวเต็มบาตรแล้ว ก็เหาะกลับมายังที่อาจารย์นั่งแล้วก็ลดลงยังพื้นราบ แลไปก็มิได้เห็นพระอาจารย์กับโป๊ยก่ายและซัวเจ๋งทั้งม้าก็หายไปด้วย เห็นแต่วงที่เขียนไว้นั้นยังอยู่ จึงหันมองไปทางที่มีตึกห้องหอก็สูญหายไปหมดสิ้น เห็นแต่โขดเขาหินผาทั้งนั้น เห้งเจียพูดว่าเห็นจะพากันไปโดนที่ร้ายเข้าแล้ว คิดเห็นดังนั้นแล้วก็รีบเดินตามทางรอยท้าวม้านั้นไป เดินไปพักหนึ่งโดยกำลังระเหระหน ก็ได้ยินเสียงคนพูดกันที่ในโขดเขา เห้งเจียแลไปเห็นตาเฒ่าคนหนึ่งมือถือตะบองศรีษะมังกร มีเด็กเดินตามหลังตาเฒ่ามาคนหนึ่ง ทั้งเดินทั้งร้องเพลงข้ามโขดเขามา เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็วางบาตรลงแล้ววิ่งไปสกัดหน้าปราศรัยถาม ตาเฒ่าแลเห็นก็คำนับตอบแล้วถามว่าท่านจะไปข้างไหน
   เห้งเจียตอบว่า พวกข้าพเจ้าทั้งอาจารย์และศิษย์มาจากเมืองใต้ถัง มาด้วยกันสี่คน ส่วนตัวข้าพเจ้ามีกิจไปบิณฑบาต ข้าพเจ้าสั่งให้คอยอยู่ที่พื้นราบ​ริมโขดเขาทั้งสามคน ครั้นข้าพเจ้ากลับมาก็ไม่เห็นทั้งสามคนและม้า ไม่ทราบว่าจะพากันไปทางใด ขอถามท่านตาเดินมาได้เห็นบ้างหรือไม่ ตาเฒ่าได้ยินถามดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าพึ่งเดินมาเห็นคนทั้งสามเดินหลงพากันเข้าไปในปากปรศาจยักษ์เสียแล้ว เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ขอท่านตาได้กรุณาโปรดชี้ที่ทางได้ข้าพเจ้าด้วยเถิด คือปีศาจยักษ์ร้ายนั้นอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าจะได้ไปทวงถาม ตาเฒ่าตอบว่า อันนามภูเขานี้เรียกว่า (กิมเต๊าซัว) ข้างหน้าเขามีสำนักถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง ถ้ำนั้นเรียกว่าถ้ำกิมเต๊าต๋อง มีปีศาจตนหนึ่งนามว่า ต๊อกกั๊กจูใต้อ๋องมีอำนาจฤทธิ์เดชกล้าหาญ คนทั้งสามเข้าไปก็จะสูญชีวิตเสียแล้ว ท่านจะไปตามเห็นจะกินท่านเสียอีกคนกระมัง
   เห้งเจียพูดว่าขอท่านได้ช่วยชี้ให้เถิด อันจะเป็นตายประการใดจงยกไว้ ข้าพเจ้าจะนิ่งอยู่ที่ไหนได้ เห้งเจียจะใคร่เอาเข้าในบาตรให้ตาเฒ่า จะได้ถือแต่บาตรเปล่าไป ตาเฒ่าเห็นดังนั้นก็วางไม้เท้าลง แปลงรูปกลับเป็นรูปเดิม คือ พระภูมิ ก็คุกเข่าลงกับพื้นคำนับแล้วพูดว่า ใต้เซียข้าพเจ้าไม่อาจจะปิดบังท่าน ข้าพเจ้าคือภูมิเจ้าเขานี้ ข้าพเจ้าคอยถ้ารับใต้เซียอยู่ที่นี่ บาตรข้าวนั้นข้าพเจ้าจะรับไว้ ใต้เซียจะได้เบาตัวไปแก้อาจารย์ออกแล้ว จึงค่อยเอาข้าวในบาตรนี้ไปถวายให้พระอาจารย์ฉัน เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ตวาดว่า อีตาคนนี้จะหาเหตุให้เฆี่ยนหรืออย่างไร ก็เมื่อรู้ว่าเรามาแล้ว ทำไมจึงไม่มาคอยรับก่อน​ทำซ่อนหัวซ่อนหางดังนี้ ภูมิ เจ้าที่พูดว่าใต้เซียใจร้อนข้าพเจ้ามีความเกรงกลัว เพราะฉะนั้นจึงแปลงรูปเสีย มาบอกให้ใต้เซียรู้ก่อน
   เห้งเจียพูดว่าถ้ากระนั้นจงรักษาบาตรไว้ คอยเราจะไปปราบปีศาจแล้วจึงจะกลับมา ภูมิ เจ้าที่ก็รับบาตรไว้ เห้งเจียจึงผูกรัดแต่งตัวแล้ว มือถือตะบองเหล็กเดินลัดไปทางหน้าเขา เดินไปเห็นแต่หินโขดเกะกะ เห้งเจียไปยังประตู แลไปก็เห็นมีประตูหิน นอกประตูมีพวกปีศาจบริวาร เต้นรำฝึกหัดซักซ้อมเพลงอาวุธ หอก ดาบ แหลนหลาวกำลังชุลมุลกันอยู่ เห้งเจียก็เดินตรงเข้าไปร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายพวกเหล่านี้จงรีบไปบอกแก่นายมึงว่า กูเป็นสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋ง คือซีเทียนใต้เซียหงอคง ให้รีบเอาอาจารย์เรามาส่งเสียโดยเร็ว พวกเจ้าจะได้รอดชีวิต พวกปีศาจบริวารได้ยินดังนั้น ก็รีบวิ่งเข้าไปบอกแก่นายโดยเร็ว
   ฝ่ายปิศาจเมื่อได้ยินดังนั้น ก็มีความยินดีแล้วพูดว่า เราเองก็อยากให้เธอมา ตัวเราตั้งแต่จากวิมานก็ยังไม่เคยได้ลองฝีมือแก่ใครเลย วันนี้เธอมาก็ดีแล้ว จึงเรียกให้เอาทวนทองแดงมา พวกบริวารก็ไปแบกเอาทวนมาวางไว้ให้ แล้วสั่งพวกบริวารให้ยกออกนอกประตู ปีศาจเดินนำหน้าถือทวนออกไป พวกบริวารก็พร้อมกันตามหลังออกมา ปีศาจครั้นเห็นเห้งเจียแล้ว จึงร้องถามว่า อ้ายคนไหนชือหงอคง ​เห้งเจียเดินขยับเข้ามาแล้วตอบว่า อ้ายหลานน้อยตาอยู่นี่ เจ้าจงรีบส่งท่านอาจารย์มาโดยเร็ว ทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่เจ็บช้ำ แม้ผิดครึ่งคำไม่ถูกธรรมเนียม จะให้ตายไม่มีที่ฝังศพ ปิศาจร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า มึงชั่งตับใหญ่อ้ายลิงจะมีฝีมือสักเพียงใดมึงจึงสามารถมาพูดจาอวดอ้างอย่างนี้ อาจารย์ของเจ้าขโมยเสื้อของเราไปใส่ บัดนี้เราจับได้จะใคร่เอาต้มกิน แม้ว่าเจ้ามีฝีมือจงมาลองดูแก่เรา แม้ว่าเราแพ้เราจะปล่อยอาจารย์ของเจ้าไป หากไม่ชนะพวกของเจ้าก็ต้องสิ้นชีวิต
   เห้งเจียได้ฟังปิศาจพูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ชะ ช่ะ อ้ายปีศาจเขาทิ้ง เอ็งไม่ต้องพูดจงมาลองกินตะบองดูสักทีหนึ่งหรือ จะได้รู้รสชาติว่าเป็นประการใด เห้งเจียยกกระบองตีลงไป ปีศาจยกทวนขึ้นรับ ต่างมีกำลังเข้มแขงทั้งสองฝ่าย ตลบแตลงรบรับกันไปมาได้สามสิบเพลง ยังไม่แพ้ชนะกัน ปีศาจเห็นเห้งเจียชำนาญในการตะบองคล่องแคล่ว รวดเร็ว ว่องไว จะคิดหักไม่ลง จึงทำเป็นหัวเราะแล้วพูดสรรเสริญว่า อ้ายลิงนี้ดีจริงอาจทำสงครามบนสวรรค์ได้ ปีศาจจึงเอาด้ามทวนลงบนพื้น แล้วร้องให้บริวารเข้าระดมตี พวกปีศาจทั้งหลายก็พากันกุมอาวุธเข้าล้อมเห้งเจีย ๆ ก็มิได้หวาดหวั่น เห้งเจียเอาตะบองขว้างขึ้นไปบนอากาศ ร้องให้แปลงตะบองก็บังเกิดขึ้นเต็มอากาศตกลงมาดังห่าฝน ปีศาจน้อยเห็นดังนั้นต่างก็ตกใจขวัญหาย พากันวิ่งกลับเข้าไปในถ้ำ 
   ปีศาจใหญ่เห็นดังนั้นก็ทำเป็นหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายลิงอย่ากำเริบให้เกิน​ไป เองจงคอยดูของเราบ้างว่าจะเป็นประการใดจึงล้วงในมือเสื้อเอาของวิเศษสิ่งหนึ่งออกมา มีสันฐานเป็นรูปวงกลมขว้างขึ้นไปบนอากาศ ร้องให้คล้องก็คล้องเอาตะบองของเห้งเจียไปเสียได้ เห้งเจียไม่มีอาวุธก็รีบหนีไป ฝ่ายปีศาจมีชัยชนะดังนั้นก็ยกกลับเข้าถ้ำมีความรื่นเริงโดยเหตุที่ได้ชัยชนะนั้น
(บทที่ ๕๑)
   ฝ่ายเห้งเจียเวลานั้น รบกับต๊อกกั๊กปีศาจ ธานฤทธิ์ต๊อกกั๊กปีศาจนั้น ไม่ไหว ทั้งเสียตะบองเหล็กไปด้วย เห้งเจียสิ้นอาวุธก็ล่าหนีแอบข้างหลังเขากิมเง่ซัวนั่งร้องไห้คร่ำครวญ ถึงอาจารย์ว่าเพระเหตุร้อนใจกับท่านปราถนาจะให้สำเร็จมักผล จึงได้อุตสาหะมิได้คิดแก่ชีวิต มาบัดนี้ก็สิ้นอาวุธเสียแล้ว จะทำประการใดจึงจะแก้อาจารย์ออกมาได้เล่า เห้งเจียนั่งคร่ำครวญอยู่แต่ผู้เดียวแล้วนึกขึ้นมาได้ว่า อ้ายปีศาจร้ายนี้ มันพูดว่าจำเราได้เมื่ออยู่บนสวรรค์ ชะรอยจะเป็นดาวร้ายบนสวรรค์จุติลงมาเป็นแน่ จำเราจะขึ้นไปตรวจดูจึงจะดี คิดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นไปยังชั้นดาวดึงส์ เข้าไปข้างในปราสาทเล่งเซียวเต้ยแลเห็นเทพยดาองค์ใหญ่ คือหลินก๊าดเซียนกง หนึ่ง เค้าเซียงเอี้ยง หนึ่ง กูวั่งเจ่ หนึ่ง และซีใต้เซียนก็อยู่พร้อมกันยังหน้าปราสาทแลเห็นเห้งเจียเดินเข้ามา ก็พร้อมกันมาคำนับรับกัน เห้งเจียยกมือขึ้นคำนับตอบแล้วหมู่เทพยดาผู้ใหญ่จึงถามเห้งเจียว่า ท่านใต้เซียมามีกิจธุระสิ่งใดหรือ
   เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้ามีธุระสำคัญจึงต้องขึ้นมา ขอท่านใต้เซียนโปรดนำความกราบทูลด้วย ซีใต้เซียนซือได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น​จึงนำเห้งเจียเข้าเฝ้า เห้งเจียตามใต้เซียนเข้าไปแลเห็นเง็กเซียงฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์แล้ว ก็ย่อตัวลงทำความเคารพแล้ว จึงทูลว่าขอพระองค์ได้ทราบ ซึ่งข้าพเจ้าป้องกันรักษาพระถังซัมจั๋งไปไซที หนทางก็กันดารไกลมากความร้ายก็มากกว่าความดี แต่กระนั้นก็ไม่ต้องพรรณา มาบัดนี้พวกข้าพเจ้าเดินทางมาพบปีศาจร้ายออกสกัด จับเอาพระถังซัมจั๋งไปซ่อนไว้ในถ้ำ ข้าพเจ้าเที่ยวค้นหามาถึงยังประตูถ้ำ ปีศาจร้ายออกต่อสู้รบกัน มันมีฤทธานุภาพมาก เรียกเอาตะบองเหล็กของข้าพเจ้าไปได้และปีศาจนั้นพูดว่าจำข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้ามีความสงสัยว่าจะเป็นหมู่ดาวบนสวรรค์จุติลงไป เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมากราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ ขอพระองค์ให้ผู้รักษาการตรวจดู จะเป็นดาวร้ายดวงใดลงไปแน่ ขอให้ยกพลเทพยดาลงไปกำจัดเสียให้สิ้นสัตว์บาป ข้าพเจ้าจะมีความขอบพระคุณหาที่เปรียบมิได้
   ขณะที่เห้งเจียกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้อยู่นั้น มีเทพยดาก๊าดเซียนกงอยู่ที่นั่น จึงถามเห้งเจียว่า แต่ก่อน ๆ นั้นดูแข็งแรงทำไมบัดนี้จึงทำอ่อนน้อมเล่า เห้งเจียตอบว่าบัดนี้สิ้นอาวุธแล้วจะแข็งแรงไปอย่างไรได้เล่า เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังเห้งเจียกราบทูลร้องทุกข์ดังนั้น จึงรับสั่งให้เทพบุตรทั้งสองคือกัวหั้นซี หนึ่ง ตีเต๋า หนึ่ง ให้ออกไปตรวจดูให้รอบในชั้นดาวดึงส์ว่า จะมีดาวดวงใดจุติลงไปบ้าง เทพบุตรทั้งสองได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็ถวายบังคมลารีบออกไปตรวจรอบทั้งนอกในชั้นดาวดึงส์ก็ไม่มีขาด ดาวประจำก็อยู่คงที่ทุก ๆ ดวง เทพบุตรทั้งสอง​ก็กลับมาเฝ้ากราบทูลว่า ข้าพเจ้าทั้งสองได้ไปตรวจตามรับสั่งโดยละเอียด ก็ไม่มีดาวดวงใดขาดคงพร้อมอยู่ตามหน้าที่ทุก ๆ ดาว ขอพระองค์ได้ทรงทราบ เง็กเซียงฮ่องเต้ ได้ทรงฟังกัวหั้นซี ตีเต๋าเทพบุตรกราบทูลดังนั้น จึงตรัสแก่เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นก็ให้เห้งเจียเลือกดูทหารเอกที่มีฝีมือเข้มแข็งคุมพลเทพบุตรลงไป กำจัดจับปีศาจร้ายเสียให้ได้
   ฝ่ายซีใต้เทียนซือเทพบุตร เมื่อได้ฟังเง็กเซียงฮ่องเต้รับสั่งดังนั้นจึงออกมาจากปราสาทเล่งเซียวเต้ย บอกแก่เห้งเจียให้ทราบตามรับสั่ง เห้งเจียจึงพูดขึ้นว่า อันทหารเทพบุตรนั้นเดิมข้าพเจ้าขึ้นมารบ ก็ไม่เห็นเทวดาองค์ใดจะดีกว่าข้าพเจ้า ส่วนปีศาจมีฝีมือเข้มแข็งทั้งฤทธิ์เดชก็มากที่ไหนจะเอาชัยชนะได้ เทพบุตรเค้าเซียงเอี้ยงพูดแก่เห้งเจียว่าอันเวลาการนั้นผิดกัน มีรับสั่งมาดังนี้แล้วไม่ควรขัดขืน ตามแต่พอใจของท่านจะเลือกเอา ควรท่านผู้ใดจะต่อสู้ได้จะได้ยกลงไปช่วยปราบปราม เห้งเจียพูดว่า ถ้าดังนั้นท่านช่วยโปรดกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ทรงทราบว่า ข้าพเจ้าจะขอท่านถักทะลีทีอ๋องและโลเฉียท้ายจื๊อ เพราะเธอมีอาวุธหกอย่างอาจปราบปีศาจยักษ์มารได้ ท่านทั้งสองนี้ยกพลลงไปบางทีจะจับปีศาจได้
   เทียนซือเทพบุตรได้ฟังดังนั้น ก็นำความเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ ได้ทรงฟังดังนั้น จึงรับสั่งให้ถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียท้ายจื้อคุมพลเทพบุตรลงไปช่วยเห้งเจีย ถักทะลีทีอ๋องครั้น​ได้ฟังรับสั่งดังนั้น ก็คำนับลาออกมาจัดแจงเกณฑ์พลพร้อมกับเห้งเจีย ๆ จึงบอกแก่เทียนซือว่า ข้าพเจ้ายังมีธุระอีกอย่างหนึ่ง อยากจะได้พวกรามสูรไปช่วย ถ้าเวลารบกันจะให้รามสูรคอยอยู่บนอากาศผ่าลงศรีษะปีศาจให้ตายอย่างนี้จึงดี เทียนซือได้ฟังดังนั้นก็กลับเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ จึงมีรับสั่งให้บอกรามสูรยกมาสมทบ ครั้นพร้อมเสร็จแล้วก็พากันยกออกจากประตูน่ำทีหมึง ถักทะลีทีอ๋องก็ขับพลมายังเขากิมเง่ซัวรอทัพอยู่บนอากาศ
   เห้งเจียพูดว่า ท่านทั้งหลายคิดดูว่าท่านผู้ใดจะเข้าไปต่อสู้ก่อน ถักทะลีทีอ๋องพูดว่า จะต้องให้โลเฉียบุตรข้าพเจ้าเข้าไปรบก่อน เพราะเธอมีอาวุธวิเศษสำหรับปราบปีศาจ จะต้องให้เธอออกก่อน เห้งเจียว่าถ้ากระนั้น ข้าพเจ้าจะนำท้ายจื๊อไปร้องท้าทายให้มันออกรบ โลเฉียก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้วพร้อมกับเห้งเจียเดินมาหน้าถ้ำ แลไปก็เห็นปิดประตูไว้แน่นหนา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายปีศาจร้ายมึงจงรีบเปิดประตูส่งอาจารย์ของกูออกมาโดยเร็ว ฝ่ายพวกปีศาจที่เฝ้าประตูได้เห็นดังนั้น จึงรีบเข้าไปบอกนายว่า บัดนี้เห้งเจียพาเด็กหนุ่มที่ไหนมาท้าชวนรบอยู่หน้าประตูถ้ำขอใต้อ๋องได้ทราบ
   ปีศาจต๊อกกั๊กได้ทราบดังนั้น ก็จับทวนรีบเดินออกมาดู แลไปเห็นหนุ่มน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ รูปร่างสง่างาม ปีศาจก็หัวเราะแล้วพูดว่า นี่เจ้าเป็นบุตรของถักทะลีทีอ๋องคือโลเฉียหรือ เหตุใดจึงมายังหน้าประตูถ้ำของเราแล้วยังทำฮึกฮักดังนี้ โลเฉียพูดว่า​เพราะมึงอ้ายมารร้ายคิดทำลายพระถังซัมจั๋ง มีรับสั่งเง็กเซียงฮ่องเต้ให้เรามาจับตัวเจ้า ๆ ยังไม่รู้สึกหรือ
   ต๊อกกั๊กได้ฟังดังนั้นก็โกรธพูดว่า นี่เจ้าเห็นจะเป็นเห้งเจียไปเชิญมาหรือ เราคือเป็นตัวมารของพระถังซัมจั๋งเจ้าจงเร่งรู้เถิด จงคิดดูให้ดีเจ้าเป็นทารกเด็กเล็กน้อยจะมีฝีมือสักเพียงไร ต๊อกกั๊กพูดดังนั้นแล้วก็ยกทวนแทงโลเฉีย โลเฉียก็เอาเกี่ยมวิเศษขึ้นรับไว้ ต่างต่อสู้กันไปมาโดยสามารถ เห้งเจียเห็นดังนั้น จึงเรียกพวกรามสูร ๆ ก็ขึ้นบนอากาศคอยได้ถ้าก็จะผ่าปีศาจ เห็นโลเฉียกำลังแผลงฤทธิ์แปลงเป็นสามเศียรหกกรมือถืออาวุธหกอย่าง เข้าโจมตีปีศาจอยู่ ฝ่ายปีศาจเห็นดังนั้น ก็แปลงเป็นสามเศียรหกกร มือถือทวนหกเล่มยกขึ้น รับ โลเฉียก็สำแดงวิธีอาวุธหกอย่าง คอเกี่ยม หนึ่ง ดาบหนึ่ง เชือกวิเศษหนึ่ง ตะบองวิเศษหนึ่ง จักรไฟหนึ่ง ตะกร้อวิเศษหนึ่ง ของหกอย่างนี้อาจปราบปีศาจยักษ์ร้ายได้ โลเฉียร้องด้วยเสียงอันดังว่าให้แปลง ของวิเศษหกอย่างก็แปลงออกตั้งหมื่นแสนดุจเม็ดฝนตกลงมาจากอากาศฟาดฟันปีศาจยักษ์ ปีศาจต๊อกกั๊กแลเห็นดังนั้น ก็มิได้มีความสะดุ้งหวาดหวั่น จึงชักห่วงวิเศษออกขว้างไปบนอากาศร้องว่าเก็บ ของวิเศษห่วงนั้นก็เก็บของวิเศษเหล่านั้นเข้ามาได้ทั้งสิ้น ต๊อกกั๊กก็เรียกห่วงกลับคืน โลเฉียเห็นดังนั้นก็ตกใจล่าหนีกลับมายังที่ ฝ่ายปีศาจได้ชัยชนะก็กลับไปยังถ้ำ
   ฝ่ายเทพบุตรรามสูรทั้งสอง เห็นโลเฉียล่าหนีกลับมาก็มา​บอกว่า เห็นท่านแผลงฤทธิ์แผ่อำนาจอยู่ ข้าพเจ้าทั้งสองไม่อาจขว้างขวานลงไป บัดนี้ปีศาจมันเอาของวิเศษไปหมดแล้ว ท่านจะคิดประการใดต่อไป เห็นจะต้อง กลับไปหาท่านแม่ทัพก่อน พูดกันดังนั้นแล้วก็พร้อมกันทั้งโลเฉียมมาหาถักทะลีทีอ๋อง บอกว่าปีศาจนั้นมันมีอิทธิฤทธิ์มากจะเอาชัยชนะมันมิได้
   เห้งเจียว่า มันมีอานุภาพร้ายแรงที่ห่วงไม่รู้ว่าห่วงนั้นเป็นของวิเศษอย่างไร มันโยนขึ้นก็รวบเอาของๆ เราไว้ได้ทั้งสิ้น ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังดังนั้น จึงพูดว่าถ้ากระนั้นจะทำอย่างไรจึงจะปราบได้ เห้งเจียว่าตามแต่ท่านทั้งหลายจะคิดอ่านเหตุสำคัญที่ห่วง แม้ว่าสิ่งใดมันเรียกเอาไปไม่ได้แล้ว ก็คงจะจับตัวมันได้ ถักทะลีทีอ๋องพูดว่า สิ่งที่มันจะเรียกไปไม่ได้ก็มีอยู่แต่ไฟกับน้ำ ด้วยคำโบราณท่านย่อมว่าไฟกับน้ำไม่มีวิญญาณ เห้งเจียพูดว่า ท่านคิดดังนั้นเห็นจะถูกต้องท่านคอยอยู่ที่นี่ข้าพเจ้าจะรีบไปบนสวรรค์ ไปเชิญพระเพลิงมาช่วยปล่อยไฟให้เผาปีศาจยักษ์ บางทีจะพลอยเผาถุงนั้นได้ด้วย ลองดูอีกสักครั้งหนึ่งบางทีจะเอาของวิเศษของเรากลับคืนได้ ท่านทั้งหลายก็จะได้พากันกลับไปสวรรค์ และจะได้แก้พระอาจารย์ให้พ้นภัยได้
   โลเฉียได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีแล้วพูดว่า ถ้ากระนั้นท่านใต้เซียจงรีบไปรีบมา เห้งเจียก็เหาะขึ้นมาบนอากาศไปยังประตูสวรรค์น่ำทีหมึง ครั้นถึงก็เดินตัดไปยังตำหนักแพฮวยเกง ครั้นถึงหน้าตำหนักพระเพลิง (ฮ้วย​เต๊กแชกุน) แลเห็นเห้งเจียมาก็จัดแจงแต่งตัวออกมารับคำนับ พระเพลิงจึงพูดว่า เมื่อวานนี้ท่านกัวหั้นซีมาตรวจถึงตำหนักนี้ก็ไม่มีผู้ใดจุติลงไป เห้งเจียพูดว่า ข้าพเจ้าทราบแล้ว บัดนี้ท่านถักทะลีทีอ๋อง กับบุตรชายโลเฉีย ยกพลเทพยดาลงไปก็ปราชัยพ่ายแพ้ เสียของวิเศษปีศาจเก็บเอาไปหมดสิ้น เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงต้องมาเชิญท่านให้ลงไปช่วย เพราะปีศาจมันมีห่วงวิเศษอาจเรียกของอื่น ๆ ไปได้ทั้งสิ้น ก็หารู้ว่าจะเป็นของวิเศษอะไรไม่ ท่านถักทะลีทีอ๋องเห็นว่าไฟเป็นของเผาสิ่งอื่น ๆ ได้ แต่ที่เรียกไปนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านแชกุนลงไปปล่อยไฟเผาปีศาจยักษ์เสียให้สิ้น จะได้ช่วยพระอาจารย์ข้าพเจ้าออกให้พ้นภัย
   พระเพลิง ครั้นได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็รีบจัดพวกบริวารไฟพร้อมด้วยเห้งเจียออกจากประตูน่ำทีหมึง เหาะลงมายังเขากิมเง่ซัวครั้นถึงก็มาพบแก่ท่านแม่ทัพถักทะลีทีอ๋อง แลโลเฉียรามสูรต่างก็คำนับกันแล้ว ถักทะลีทีอ๋องบอกแก่เห้งเจียว่าให้ไปท้าชวนรบล่อปีศาจออกมา ข้าพเจ้าจะเข้ารบดูก่อน แม้ได้ทีก็ให้ฮ้วยเต๊กแชกุนปล่อยไฟออกเผามัน เห้งเจียก็ไปยังประตูถ้ำร้องท้าด้วยเสียงอันดัง ปีศาจต๊อกกั๊กได้ยินก็พาพวกบริวารถืออาวุธออกมา เห็นเห้งเจียก็ด่าว่าอ้ายชาติลิง มึงไปหากองทัพที่ไหนมาอีกหรือ
   ​ถักทะลีทีอ๋องร้องตวาดว่าอ้ายพวกมารร้าย มึงจำกูไมได้หรือต๊อกกั๊กปีศาจได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ท่านถักทะลีทีอ๋องจะแก้แค้นให้บุตรชายหรือ แลจะใคร่ได้เอาอาวุธวิเศษคืนดอกกระมัง ถักทะลีทีอ๋องตอบว่า ข้อหนึ่งเราจะแก้แค้นเอาของวิเศษคืน ข้อสองเราจะจับตัวเจ้าแก้พระถังซัมจั๋งออก ว่าแล้วก็ยกง้าวขึ้นฟัน ปีศาจต๊อกกั๊กก็ยกทวนขึ้นรับ รบกันด้วยกำลังอันเข้มแข็ง ต่อสู้กันอยู่ที่หน้าถ้ำ เห้งเจียจึงร้องให้ ฮ้วยเต๊กแชกุนปล่อยไฟพวกพระเพลิงก็จัดไฟพร้อมกัน ฝ่ายถักทะลีทีอ๋อง กำลังรบเห็นปีศาจชักถุงออก ถักทะลีทีอ๋องถอยกระโดดหนี พวกอัคคีอยู่บนยอดภูเขาสูงก็ปล่อยไฟลงมาเผาปีศาจ ต๊อกกั๊กปีศาจแลเห็นไฟลุกโหมมาก็มิได้มีความหวั่นหวาด มือก็หยิบเอาถุงขว้างไปบนอากาศเสียงเปรี้ยง ไฟต่าง ๆ เหล่านั้นถุงก็หอบเอาไปทั้งสิ้น ปีศาจมีชัยชนะแล้วก็กลับเข้าไปยังถ้ำ
   ฝ่ายฮวยเต๊กแชกุนเมื่อปล่อยไฟไปก็หาทำอะไรแก่ปีศาจได้ไม่ จึงพาพวกพ้องบริวารกลับมาพร้อมกันอยู่ที่ยอดเขากิมเง่ซัว ถักทะลีทีอ๋องจึงพูดแก่เห้งเจียว่า บัดนี้เราก็เสียทีมันรวบเอาไฟไปได้แล้วเราจะทำประการใดดี เห้งเจียพูดว่าจะมาคร่ำครวญวิตกทำไม เสียไฟไปแล้วก็จะต้องเอาน้ำมาทำลายให้จงได้ ท่านทั้งหลายจงพักคอยข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้าพเจ้าจะไปเชิญจุ๊ยเต๊กแชกุนมาทำน้ำท่วมมันจึงจะเอาชัยชนะได้ สิ่งของนี้เราเสียคงจะได้คืน ว่าแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้น​บนเวหาตรงไปยังประตูสวรรค์ปักทีหมึงทิศอุดร เข้าไปในตำหนักเจี๊ยวห้าวเกง
   ฝ่ายจุ๊ยเต๊กแชกุนเห็นเห้งเจียเดินเข้ามา ก็ออกไปเชิญเข้ามาข้างในนั่งที่อันสมควรแล้ว จุ๊ยเต๊กแชกุนพูดว่าวันก่อนท่าน กวหั้นซีมาตรวจวิตกในพวกข้าพเจ้านี้ว่าจะจุติลงไปบ้าง ท่านมิได้ไปตรวจในท้องพระมหาสมุทร จะเป็นปีศาจยักษ์ร้ายอะไรที่ไหน เห้งเจียพูดว่าอันปีศาจนั้นก็หาใช่อยู่ในท้องพระมหาสมุทรไม่ ข้าพเจ้าได้ไปเชิญฮ้วยเต๊กแชกุนลงไปช่วยปล่อยไฟเผามัน มันก็เอาถุงขว้างขึ้นเรียกไฟเข้าถุงไปสิ้น ข้าพเจ้าคิดว่าของสิ่งที่ไม่กลัวไฟคงจะแพ้น้ำ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้ามาเชิญท่านลงไปปล่อยน้ำท่วมปีศาจให้ตาย ช่วยอาจารย์ข้าพเจ้าออกให้พ้นภัย จุ๊ยเต๊กแชกุนได้ฟังดังนั้นก็รีบรวมบริวารน้ำพร้อมเสร็จแล้ว ก็ออกจากตำหนักพร้อมด้วยเห้งเจียเหาะไปยังเขากิมเง่ซัว เห้งเจียถามจุ๊ยเต๊กแชกุนว่าท่านจะเอาอะไรใส่น้ำ จุ๊ยเต๊กแชกุนจึงล้วงเอาขวดเล็กออกจากมือเสื้อขวดหนึ่ง แล้วบอกว่านี่แลข้าพเจ้าใส่น้ำ
   เห้งเจียถามว่าขวดเล็ก ๆ เท่านี้จะใส่น้ำได้สักเท่าใด จุ๊ยเต๊กแชกุนตอบว่าน้ำในลำแม่น้ำอึงฮ้อนั้นจะใส่ครึ่งลำแม่น้ำ ถ้าเต็มขวดก็หมดทั้งแม่น้ำ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ดีใจพูดว่าครึ่งขวดก็ดีแล้ว ฝ่ายจุ๊ยเต๊กแชกุนออกจากสวรรค์ ก็เอาขวดวิเศษตักน้ำในลำแม่น้ำอึงฮ้อครึ่งขวดแล้วก็ตามเห้งเจียมา ครั้นถึงเขากิมเง่ซัวก็เข้าคำนับถักทะลีทีอ๋องหมู่เทพยดา ก็เล่าการที่รบสู้ให้จุ๊ยเต๊กแชกุนฟังทุกประการ ​เห้งเจียพูดว่าอย่าพูดให้ช้าไป ขอท่านได้ตามข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าจะเรียกพวกปีศาจให้เปิดประตูท่านไม่ต้องรอให้มันออก แม้เห็นมันเปิดประตูจงเทน้ำกรอกเข้าไปในถ้ำให้ท่วมทั้งถ้ำ มันตายหมดแล้วข้าพเจ้าจะได้รับอาจารย์ออกต่อภายหลัง จุ๊ยเต๊กแชกุนกับเห้งเจียก็พร้อมกันไปที่หน้าถ้ำเห้งเจียเรียกว่า อ้ายพวกมารร้ายมึงเร่งเปิดประตูออกมา
   ต๊อกกั๊กได้ยินดังนั้นก็หยิบถุงวิเศษกระโดดออกมาเปิดประตู จุ๊ยเต๊กแชกุนก็เอาขวดน้ำวิเศษเท กรอกเข้าไปในถ้ำ น้ำก็ไหลอู้เข้าไป ต๊อกกั๊กเห็นดังนั้น ก็เอาถุงส่องตรงสายน้ำ ๆ ก็ไหลย้อนกลับออกไปปากถ้ำ เห้งเจียจุ๊ยเต๊กแชกุนเห็นดังนั้นก็ตกใจกระโดดถอยหนีขึ้นยอดเขา ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องกับหมู่เทวดาก็เหาะขึ้นกลางอากาศคอยดูเห็นน้ำไหลเป็นคลื่นละลอกซัดออกฉาดฉาน เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร้องว่าไม่เป็นการ น้ำท่วมไร่นาชาวบ้านเสียไปหมด ปีศาจก็สบายอยู่ไม่ร้อนใจไม่รู้ที่ว่าจะทำประการใดได้ จึงบอกจุ๊ยเต๊กแชกุนให้เรียกน้ำกลับคืน จุ๊ยเต๊กแชกุนว่าข้าพเจ้าทำได้แต่ปล่อยจะเรียกคืนกลับทำไม่ได้ (คำโบราณว่าน้ำเทแล้วกลับคืนเข้าไม่ได้) อันเขานั้นแม้จะสูงถ้าน้ำท่วมเขาขึ้นเขานั้นก็ต่ำลง สักประเดี๋ยวน้ำก็ไหลลงคลองหมด
   แลเห็นที่หน้าถ้ำมีปีศาจกระโดดโลดเต้นตบมือเยาะเย้ย ถักทะลีทีอ๋องพูดว่าน้ำก็ไม่เข้าไปในถ้ำได้เสียเวลาเปล่า ๆ ไม่เป็นผล เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ละอายแก่ใจ กำหมัดวิ่งมาร้องว่าอ้ายมารร้ายมึงอย่าหนีกูกูจะตีมึงให้ตาย ​ปิศาจบริวารเหล่านั้นก็พากันวิ่งหนีเข้าถ้ำ ไปบอกแก่ต๊อกกั๊กว่าอ้ายลิงมันไล่ตีมาอีกแล้ว ต๊อกกั๊กได้ยินดังนั้นก็ฉวยทวนวิ่งออกมาตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายนี่มึงแพ้หลายครั้งแล้วยังจะเอาชีวิตมาทำลายเสียอีกหรือ เห้งเจียว่าอ้ายลูกน้อยมึงอย่าพูดโอหังมึงจงมากินหมัดตาสักทีหนึ่งเถิด ต๊อกกั๊กได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายลิงมันอุตส่าห์มาต่อสู้ มันมือเปล่ากำหมัดมวยใหญ่เสมอเมล็ดชมพู่ทำไมมันจึงมาอวดเก่ง
   พูดดังนั้นแล้วก็ร้องว่าเราจะวางทวนเสียเอามือเปล่า ลองเล่นมวยกับเจ้าสักพักหนึ่งให้เห็นฝีมือ ว่าแล้วก็วางทวน มือก็ถกกางเกงขึ้นผูกเชือกเอวแน่นดีแล้ว ก็ออกท่าตรงเข้ามายกกำหมัดขึ้นดุจลูกตุ้มเหล็ก เห้งเจียก็ขยับท่าคอยระวัง พอได้ทีก็เข้าประจันบานต่างออกกำลังโดยเข้มแขงด้วยกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องโลเฉียหมู่เทพยดาอยู่บนยอดเขา แลเห็นก็ลงมาจะเข้าช่วยเห้งเจีย ฝ่ายพวกปีศาจต่างก็ถือทวนหอกดาบอาวุธต่าง ๆ เต้นลำโห่ร้องตีกลองม้าฬ่อกึกก้องสนั่นหวั่นไหว พากันเข้าล้อมเห้งเจีย ๆ เห็นไม่ได้ท่าก็ถอนขนออกกำมือหนึ่ง ขว้างไปบนอากาศร้องว่าแปลงก็แปลงเปนลิงน้อยห้าหกสิบตัวกรูกันเข้าล้อมจับต๊อกกั๊กบ้างเข้าจับแข้งจับขากอดบั้นเอวบ้างก็ควักลูกตา
   ปีศาจตกใจจึงควักถุงวิเศษออก เห้งเจียถักทะลทีอ๋องกับเทวะดาทั้งหลายเห็นปีศาจชักเอาถุงวิเศษออกก็พากันล่าถอยหนีออกขึ้นภูเขา ปีศาจขว้างถุงวิเศษไปเสียงเปลี้ยงก็รวบเก็บลิงแปลงนั้นเข้าถุงทั้งสิ้น ปีศาจมีชัยชนะแล้วก็พาบริวารเข้าถ้ำปิดประตู ​ฝ่ายเห้งเจียถักทะลีทีอ๋องกับเทวดาทั้งหลายนั่งปรึกษากันว่า อ้ายปีศาจมารร้าย มันมีฤทธิ์ที่ถุงนั้นยากที่จะกำจัดได้ ฮ้วยเต๊กกับจุ๊ยเต๊กพูดว่า ถ้าได้ถุงวิเศษมาแล้วจึงจะปราบลงไปได้ เห้งเจียพูดว่า ทำอย่างไรจึงได้ถุงวิเศษของมันเล่า นอกจากจะขโมยเป็นไม่ได้ เทพบุตรทั้งหลายพูดว่า นอกจากท่านเห้งเจียก็ไม่เห็นใครผู้ใดจะเอาได้ เมื่อครั้งก่อนลักชมพู่ ลักยา ไม่มีผู้ใดเสมอ มาวันนี้จะต้องลักถุงวิเศษ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าท่านทั้งหลายช่างพูด ถ้ากระนั้นรอให้ข้าพเจ้าไปแอบดูลาดเลาก่อนจึงจะดี เห้งเจียพูดแล้วก็กระโดดลงจากเขาเดินมาถึงหน้าถ้ำ ก็แปลงเป็นแมลงวันหัวเขียวตัวน้อยบินเบา ๆ เข้าไปในถ้ำ แลไปก็เห็นหมู่ปีศาจนั่งอยู่ทั้งสองข้าง ปีศาจต๊อกกั๊กใต้อ๋องนั่งอยู่หัวโต๊ะ บนโต๊ะก็ตั้งเรี่ยรายล้วนเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เนื้องูเนื้อเสือเนื้อกวาง ปีศาจนั่งกินตามสะบาย
   เห้งเจียลงยังพื้นแปลงเป็นตัวเหาน้อย ค่อยคลานเลียบเคียงเข้าข้างโต๊ะสอดนัยน์ตาด้อมมองหา ก็มิได้เห็นถุงวิเศษ ค่อย ๆ คลานเลยไปข้างหลังโต๊ะแลขึ้นไปบนราวก็เห็นแขวนอยู่ มังกรไฟ ม้าไฟและตะบองเหล็ก เห้งเจียแลเห็นแล้วก็อดใจไม่ได้ก็ลืมนึกแปลงรูปเดิมกระโดดขึ้นกระชากตะบองลงมาได้ก็แกว่งกวัดตีขนาบออกมา
(บทที่ ๕๒)
   ฝ่ายปีศาจตกใจด้วยไม่ทันรู้ตัว รอรับไม่อยู่เห้งเจียก็ออกมาจากถ้ำได้ ก็เดินขึ้นบนยอดเขา บอกแก่ถักทะลีทีอ๋องและเทวดาทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าเอาตะบองมาได้แล้ว ถักทะลีทีอ๋องถามว่าเข้าไปใน​ถ้ำเห็นเป็นอย่างไรบ้างเห้งเจียก็เล่าให้ถักทะลีทีอ๋องฟังทุกประการ ในทันใดนั้นได้ยินเสียงกลองและม้าฬ้อหวั่นไหว แลไปเห็นพวกปีศาจต๊อกกั๊กคุมพวกบริวารไล่ตามเห้งเจีย เห้งเจียแลเห็นก็แกว่งตะบองตรงมาสกัดหน้าร้องถามว่าอ้ายมารร้าย มึงจะไปข้างไหน ปีศาจตอบว่าอ้ายขโมยมึงชั่งไม่มีความอาย กลางวันแสก ๆ ก็มาปล้นเอาของกูมา เห้งเจียด่าว่าอ้ายชาติปีศาจมารร้าย มึงทำเล่ห์กลเอาของกูไป ของสิ่งใดว่าเป็นของมึงที่กูได้เอามา ว่าแล้วเห้งเจียก็ยกตะบองขึ้นตี ปีศาจยกทวนขึ้นรับปัดป้อง ต่อสู้กันประมาณสามชั่วโมงไม่แพ้ไม่ชนะกัน ตะวันก็จวนจะค่ำปีศาจล่าถอยเข้าถ้ำปิดประตู
   เห้งเจียก็แบกเอาตะบองกลับมาบอกแก่ถักทะลีทีอ๋องแลเทพยดาว่า ปีศาจถูกฝีมือข้าพเจ้ารบวันนี้มันระอา อ่อนลงมาก ท่านทั้งหลายอย่าเป็นทุกข์ รอข้าพเจ้าจะเข้าไปดูในถ้ำมัน จะค้นหาถุงนั้น แม้ว่าได้ท่วงทีก็จะลักมาการที่จะจับตัวก็คงจะสำเร็จ สิ่งของวิเศษที่มันเอาไปไว้ ก็จะได้กลับคืนมาให้แก่ท่านทั้งหลายกลับไปสวรรค์ โลเฉียจึงห้ามว่าเวลานี้ก็จวนค่ำแล้วพรุ่งนี้จึงค่อยไปเถิด เห้งเจียพูดว่าท้ายจื๊อยังไม่เข้าใจ อันธรรมดาขโมยนั้น กลางวันหาสู้จะถนัดไม่ กลางคืนจึงจะทำได้ตามสบาย พูดดังนั้นแล้วก็หัวเราะเอาตะบองเหน็บซ่อนแล้วก็ลงจากยอดเขาตรงมายังประตูถ้ำ แปลงเป็นตัวเล็นน้อยกระโดดมุดเข้าไปในประตูถ้ำ ไปเกาะจับอยู่ที่ฝาผนังคอยดูลาดเลา แลเห็นตามไฟสว่างไสว
   เห้งเจียค่อยพิศดู​โดยละเอียด เห็นพวกปีศาจน้อยกำลังเลี้ยงกันอยู่วุ่นวาย ทั้งเหล้าทั้งเนื้อสัตว์กินเล่นตามสบายใจ ประมาณครู่ใหญ่ก็เก็บเลิก ต่างก็จัดหาที่นอน เวลานั้นได้สองยามเศษ เห้งเจียก็ออกจากที่คลานไปข้างชั้นใน ได้ยินเสียงปีศาจต๊อกกั๊กสั่งพวกบริวารให้ผลัดกันคอยระวังระไว จะนอนก็ให้อุตส่าห์ตื่นลุกขึ้นบ้าง บางทีเห้งเจียจะแปลงตัวแอบเข้ามาขโมยของ พวกเจ้าจงเอาระฆังมาสั่นนั่งยาม เห้งเจียเห็นแล้วก็เลยกระโดดคลานเข้าห้องใน เห็นมีเตียงหิน โต๊ะหินมีเครื่องตั้งแต่งเรียงราย และนางไม้ปีศาจเข้าคอยปฏิบัติรักษาต๊อกกั๊กอยู่ เห้งเจียแลไปเห็นต๊อกกั๊กถอดเสื้อถอดเครื่องแต่งตัวออกแล้วขึ้นนอนบนเตียงศิลา ที่แขนสวมห่วงเหล็กดูคล้ายพวงร้อยลูกประคำ ปีศาจก็ไม่ถอดออกจากแขน กลับรูดขึ้นแน่นแล้วก็หลับ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็แปลงเป็นตัวไรน้อย กระโดดขึ้นบนเตียงศิลา มุดแอบอยู่ในผ้าห่มนอน คลานมาใกล้ที่ห่วงวิเศษนั้น คะยิกกัดทีหนึ่ง
   ฝ่ายปิศาจพลิกตัวด่าว่าอ้ายพวกเล็ก ๆ มันไม่ปัดกวาดที่นอนทิ้งไว้ให้ตัวอะไรมันติดอยู่กัดกูดังนี้ พูดดังนั้นแล้วก็เอามือรูดห่วงนั้นขึ้นแล้วก็นอนลงอย่างเดิม เห้งเจียก็กลับคลานเข้าที่ห่วงกัดอีกทีหนึ่ง ปีศาจก็นอนนิ่งเฉยไม่ธุระ เห้งเจียเห็นท่าจะขโมยไม่ได้ก็กลับกระโดดลงจากเตียง แปลงกลับเป็นตัวเล็นไปอย่างเดิมคลานออกจากห้องเข้าไปข้างหลัง ก็ได้ยินเสียงมังกรร้องม้าร้องออกอึกกระทึก ประตูชั้นในใส่กุญแจไว้แน่นหนามังกรไฟ ม้าไฟขังอยู่ในนั้น ​เห้งเจียเห็นดังนั้นก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม เดินเข้ามายังหน้าประตู ร่ายคาถาสะเดาะกุญแจหลุดถอนเปิดออกแล้ว เห้งเจียก็เข้าไปในห้องที่ไว้สิ่งของวิเศษไฟส่องแสงสว่างดุจกลางวัน แลเห็นทั่วไปที่แขวนที่พิงอยู่ตามฝาเป็นเครื่องอาวุธต่าง ๆ คือเป็นของโลเฉียและศรไฟ ธนูไฟเป็นของของจุ๊ยเต๊กแชกุนและฮ้วยเต๊กแชกุน
 เห้งเจียเห็นแล้วแลไปเห็นมีแท่นศิลาบนนั้นมีถาดตั้งอยู่ถาดหนึ่ง ในนั้นมีขนสักกำมือหนึ่งเห้งเจียเห็นดังนั้นก็ดีใจ หยิบขึ้นเป่าทีหนึ่งร้องให้แปลงก็แปลงเป็นวานรน้อยสี่ห้าสิบ เห้งเจียก็สั่งให้เก็บเอาอาวุธเหล่านั้นไป วานรน้อยก็พากันเก็บเอาไปหมดสิ้น เห้งเจียกระโดดขึ้นหลังมังกรไฟแล้ว ก็ปล่อยไฟตั้งแต่ในถ้ำตลอดออกมาจนปากถ้ำ ก็ได้ยินไฟลุกในถ้ำดุจพายุใหญ่ ลุกไหม้โพลงแดงไปทั้งถ้ำ พวกปีศาจต่างตกใจลุกขึ้นร้องไห้เสียงอึกกะทึก ต่างเอาตัวรอดวิ่งหนีไฟ ไม่มีทางออกถูกไฟเผาล้มตายไปประมาณครึ่งหนึ่ง เห้งเจียก็กลับมาหาถักทะลีทีอ๋องเวลานั้นสามยามเศษ
   ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องกับเทวดาทั้งหลายอยู่บนยอดเขาแลลงไปที่หน้าถ้ำปีศาจ เห็นไฟลุกออกสว่างฟ้าก็พากันจะลงไป ก็พอแลเห็นเห้งเจียขี่มังกรไฟขับพวกลิงน้อยกลับมา ครั้นถึงก็ร้องเรียกเสียงดังว่าท่านทั้งหลายจงมารับเครื่องอาวุธเถิด แล้วเห้งเจียก็เรียกขนแปลงเหล่านั้นกลับคืนเข้าตัว โลเฉียท้ายจื๊อก็เก็บเอาเครื่องมือของตัว ฮ้วยเต๊กแชกุนก็​เก็บเอาเครื่องไฟแลมังกรไฟแล้ว ต่างก็ได้เครื่องมือกลับคืนทุกคนมีความรื่นเริง สรรเสริญเห้งเจียว่าท่านมีฝีมือดีมาก ข้าพเจ้าทั้งหลายสู้ไม่ได้
   ฝ่ายต๊อกกั๊กอยู่ในถ้ำกำลังหลับได้ยินเสียงไฟลุกก็ตกใจ รีบเปิดประตูห้องสองมือจับห่วงวิเศษขึ้นบังซ้ายบังขวา ที่ไหนมีไฟลามลุกก็เอาห่วงวิเศษส่งไปไฟก็ดับสงบลงทันทีทั้งสิ้น ต๊อกกั๊กก็รีบไปช่วยพวกบริวาร ตรวจดูที่ถูกไฟตายเสียครึ่งหนึ่งแลค้นดูเครื่องอาวุธวิเศษที่ได้มาก็หายไปทั้งสิ้น แล้วเดินเลยไปข้างในดูโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ถังซัมจั๋งก็ยังอยู่พร้อม ม้าและข้าวของก็อยู่พร้อม ต๊อกกั๊กคิดขึ้นมาก็แค้นใจพูดว่า อันไฟนี้ไม่ใช่ผู้ใดเลยอ้ายเห้งเจียเป็นแน่ เมื่อเวลาข้าลงนอนไม่มีความสุข ชะรอยอ้ายลิงมันแปลงมาจะขโมยของวิเศษของเรา มันจะเห็นท่าว่าจะเอาไม่ได้แล้ว มันจึงได้ลักเอาของเหล่านั้นไป จึงได้ปล่อยมังกรไฟให้เผาอย่างนี้ มันคิดจะใคร่เผาเราให้ตาย แม้อ้ายชาติลิงจะคิดกลอุบายประการใดก็คงป่วยการเปล่า มันมิได้รู้ว่าของวิเศษของเรานั้น ลงน้ำก็ไม่จมเผาไฟก็ไม่ไหม้ แม้ว่ากูจับอ้ายลิงนี้ได้ก็จะสับฟันให้สาแก่ใจกู พูดคร่ำครวญสักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงไก่ขันจวนจะแจ้ง
   ฝ่ายพวกเทพบุตรบนยอดเขา โลเฉียครั้นได้อาวุธกลับคืนแล้วจึงพูดแก่เห้งเจียว่า สว่างแล้วพวกเราพากันลงไปกำจัดปีศาจโดยเร็วในเวลากำลังตกใจอยู่ฉะนี้ แลให้ฮ้วยเต๊กแชกุนเอาไฟปล่อยเผาช่วยเป็นกำลัง​ท่านเห้งเจียจงไปรบกับปีศาจบางทีครั้งนี้จะจับตัวได้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าเห็นการจะสำเร็จได้ พูดดังนั้นแล้วต่างก็จัดแจงแต่งตัวพร้อม เห้งเจียออกหน้าโลเฉียกับเทพบุตรแลถักทะลีทีอ๋องก็ยกพลหนุนตามไป ครั้นถึงหน้าถ้ำแลไปเห็นบานประตูถ้ำทั้งสองบานถูกไฟไหม้เป็นเถ้าไปทั้งสิ้น ในประตูนั้นเห็นพวกปีศาจบริวารสองสามปีศาจกำลังเก็บกวาดขี้เถ้าอยู่ เห้งเจียร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่าอ้ายปีศาจมึงจงออกมารบกับกูให้เห็นฝีมือกันว่าผู้ใดจะดีกว่ากัน จนถึงแพ้ชนะในครั้งนี้
   ปีศาจบริวารได้ยินเสียงตวาดดังนั้น แลไปเห็นเห้งเจียก็ทิ้งไม้กวาดวิ่งเข้าไปบอกต๊อกกั๊กว่าใต้อ๋องอ้ายลิงมาอีกแล้ว ต๊อกกั๊กได้ยินดังนั้นก็ตกใจ มือจับทวนกระโดดลงจากแท่นเดินออกมายังประตูถ้ำแลเห็นเห้งเจียยืนอยู่ จึงร้องด่าว่าอ้ายผู้ร้ายปล้นเผาเรือนเก็บทรัพย์ มึงจะมีฝีมือสักเท่าใดก็จงมารบสู้กันจนถึงแพ้ชนะอย่าหนี ว่าแล้วก็ยกทวนแทงไปหวังให้ถูกเห้งเจีย เห้งเจียก็ยกตะบองขึ้นรับปัดป้องไว้รบกันอยู่ช้านานหลายเพลง
   ฝ่ายโลเฉียถักทะลีทีอ๋องและเทพบุตรทั้งหลาย ก็ช่วยกันเข้าระดมรบฮ้วยเต๊กแชกุนก็ปล่อยไฟ พวกรามสูรก็ขว้างขวานฟ้าผ่าลงมา ถักทะลีทีอ๋องถือง้าวเข้าช่วยเห้งเจียรบ โลเฉียเอาอาวุธวิเศษหกอย่างเข้าระดมรบ หมู่เทพยดาต่างแผลงฤทธิ์เข้าระดมพร้อมกันทุก ๆ คน แต่ปีศาจก็มิได้สะดุ้งหวาดหวั่น หัวเราะแล้วมือก็ล้วงเอาห่วงวิเศษออก​จากมือเสื้อขว้างไปร้องว่าให้เก็บ ห่วงวิเศษก็เอาอาวุธเหล่านั้นและตะบองเหล็กของเห้งเจียไปได้ทั้งสิ้น ฝ่ายปีศาจต๊อกกั๊กเมื่อมีชัยชนะแล้วก็พาบริวารปีศาจกลับเข้าถ้ำ สั่งบริวารให้เอาศิลาก้อนซ้อนทำปิดแทนประตูถ้ำขึ้นใหม่ แลจัดทำห้องหับให้เรียบร้อยดีแล้ว จะให้เอาพระถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งมาฆ่าบวงสรวงที่ทางแล้ว จึงเอาเลี้ยงกันเป็นที่รื่นเริงในพวกเรา ปีศาจทั้งหลายได้ฟังนายสั่งดังนั้นก็ไปจัดการตามนายสั่ง
   ฝ่ายหมู่เทพยดา ครั้นแพ้ฝีมือปีศาจแล้วก็พากันกลับไปยังยอดเขากิมเง่ซัว ถักทะลีทีอ๋อง โลเฉีย ฮ้วยเต๊กแชกุนกับเห้งเจีย ต่างก็มีความโกรธแค้นเว้นแต่จุ๊ยเต๊กแชกุนนั่งนิ่งอยู่ เห้งเจียอุตส่าห์สะกดใจแข็งทำหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านทั้งหลายอย่ามีความวิตกเลย ไว้ธุระข้าพเจ้าจะไปสืบสาวราวเรื่องของอ้ายปีศาจนี้ ให้ทราบเหตุผลได้ความจริงก่อน โลเฉียพูดว่าท่านใต้เซีย เมื่อครั้งก่อนได้ขึ้นไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ก็ได้สืบตรวจดูจนชั้นฟ้าแล้วก็ไม่ได้ความ ก็บัดนี้ท่านจะไปสืบที่ไหนอีกเล่า เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้าคิดว่าพระพุทธเจ้ามีอภินิหารย์เป็นสัพพัญญูรู้ทั่วโลกหาผู้ใดเปรียบเสมอมิได้ ข้าพเจ้าจะทูลถามก็จะรู้ได้ว่าปีศาจตนนี้จะเป็นสิ่งอะไร และจะใคร่จับปีศาจนั้นแก้แค้นให้ท่านทั้งหลายสิ้นธุระได้กลับไปยังเมืองสวรรค์
   ถักทะลีทีอ๋อง โลเฉียกับหมู่เทพยดาทั้งหลายพูดว่าท่านใต้เซีย พูดอย่างนี้ชอบแล้วถูกแล้ว ขอเชิญท่านรีบไปเถิด เห้งเจียก็รับว่าข้าพเจ้าจะไปเดี๋ยว​นี้ ว่าแล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศตรงมาบัดเดี๋ยวก็ถึง เห้งเจียลงยังพื้นเดินพิจารณาดูรอบทั้งซ้ายขวา ได้ยินเสียงคนเรียกว่าซึงหงอคงไปอยู่ที่ไหนจะไปข้างไหน เห้งเจียหันหน้ามาดู เห็นนางภิกขุนี เห้งเจียก็ยกมือขึ้นคำนับแล้วจึงพูดว่า ข้าพเจ้ามีกิจมาเฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้า นางภิกขุนีพูดว่า ท่านจะหาพระยูไลทำไมไม่ขึ้นไปบนสำนักแก้วเล่า เห้งเจียพูดว่า ข้าพเจ้าพึ่งมายังไม่เคยไม่เข้าใจว่าควรจะเฝ้าได้ในที่ใด นางภิกขุนีบอกว่าท่านจงเดินตามข้าพเจ้าไปเถิดจะพาท่านไป
   เห้งเจียก็เดินตามนางภิกขุนีมาประเดี๋ยวก็ถึงประตูวัดลุ่ยอิมยี่ แลไปข้างในก็เห็นหมู่พวกพรหม อินทร์และเทพบุตรสาวกนั่งเฝ้าอยู่ เห้งเจียก็พักคอยอยู่ข้างนอก นางภิกขุนีก็เข้าไปกราบทูล พระองค์ทรงทราบแล้วก็รับสั่งว่าให้เห้งเจียเข้าไปเฝ้า เห้งเจียเข้าไปถึงก็ถวายอะภิวาทกราบไหว้โดยเคารพ แล้วนั่งคุกเข่าพนมมือท่าพรหม สมเด็จพระผู้มีพระภาคจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสถามเห้งเจียว่า หงอคงตถาคตได้ยินว่ากวนอิมโพธิสัตว์โปรดให้ออกจากทรมาทุกข์แล้ว และให้สมาทานถือศีลปฏิบัติธรรม และให้รักษาพระถังซัมจั๋งให้มาถึงนี่ เพื่อจะได้อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ทำไมจึงมาแต่ผู้เดียวเล่า มีกิจธุระสิ่งใดหรือ
   เห้งเจียยกมือขึ้นเคารพแล้วทูลว่า ขอพระองค์ได้โปรด ข้าพระองค์ตั้งแต่สมาทานศีลแล้ว ก็ติดตามรักษาพระถังซัมจั๋งมา บัดนี้เดินทางมาถึงภูเขากิมเง่ซัว พบปีศาจมารร้ายเรียกนามว่า จู๊ต้าย​อ๋องมีฤทธิ์อานุภาพเชี่ยวชาญทำกลอุบายจับเอาพระถังซัมจั๋งกับโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งไว้ในถ้ำ ข้าพเจ้าได้รบพุ่งต่อสู้แก่ปีศาจหลายครั้ง แลได้พึ่งเง็กเซียงฮ่องเต้ ให้หมู่เทพยดาเทพารักษ์ลงมาช่วย ก็พ่ายแพ้แก่ปีศาจไปทั้งสิ้น ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดช่วยปราบปีศาจร้าย เพื่อให้พระถังซัมจั๋งรอดพ้นจากมือมาร จะได้ตั้งความเพียรให้ถึงแก่มรรคผล สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อได้ทรงฟังเห้งเจียกราบทูล ก็ทรงทราบโดยพระญาณวิถี จึงมีพระพุทธฎีกาบริหารตรัสแก่เห้งเจียว่า อันปีศาจนั้นแม้ว่าพระตถาคตรู้เหตุการณ์ตลอดแล้ว ก็ไม่ควรจะแพร่งพรายให้เห้งเจียรู้แจ้งได้ ตถาคตจะให้แต่สิ่งอันประกอบธรรมไปช่วยจับปีศาจได้อยู่ เห้งเจียทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์จะประทานสิ่งใดแก่ข้าพเจ้าให้ไปปราบจับปีศาจร้าย ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าทราบ
   สมเด็จพระผู้มีพระภาค จึงสั่งสิบแปดพระอรหันต์ เปิดห้องแก้วหยิบยากิมตันสิบแปดเม็ด เอาไปถือต่างพระองค์ ๆ ละเม็ด ไปช่วยเห้งเจีย ๆ ทูลถามว่า ยากิมตันนั้นจะเป็นประการใด พระองค์ตรัสว่า ครั้นเวลาถึงถ้ำปีศาจแล้ว เห้งเจียจงไปท้าล่อให้ปีศาจออกมานอกถ้ำ แล้วให้พระอรหันต์ เอายากิมตันขว้างล้อมปีศาจมิให้ออกมาได้ เมื่อเวลานั้นเห้งเจียจะทำอย่างไรก็แล้วแต่เห้งเจีย เห้งเจียได้ฟังพระองค์ตรัสชี้แจงสั่งดังนั้นก็มีความยินดี พูด​ว่ายาวิเศษ ๆ ขอได้โปรดรีบไปโปรดเถิด สิบแปดพระอรหันต์ก็เข้าไปหยิบยากิมตันองค์ละเม็ดออกมาจากห้องแล้ว นมัสการพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เสด็จปาฏิหารย์เหาะไปยังเขากิมเง่ซัวพร้อมกับด้วยเห้งเจีย ๆ เหาะตามมาข้างหลังคอยตรวจดู เห็นพระอรหันต์หายไปสององค์ เห้งเจียจึงพูดว่านี่ท่านไปข้างไหนเสียสององค์
   พระอรหันต์จึงถามว่าท่านบ่นอะไร เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าได้เห็นพระอรหันต์สิบแปดองค์มาด้วยกัน บัดนี้ทำไมจึงเห็นแต่สิบหกองค์เล่า พูดยังไม่ทันขาดคำก็เห็นพระอรหันต์มาอีกสององค์ พูดว่าเห้งเจียทำไมทิ้งเราเสียสององค์เล่า ด้วยอาตมภาพทิ้งสองล้าหลังคอยฟังคำสั่งพระพุทธเจ้าอยู่ เห้งเจียพร้อมกับพระอรหันต์สิบแปดพระองค์เหาะมา บัดเดี๋ยวก็ถึงเขากิมเง่ซัว ถักทะลีทีอ๋อง แลเห็นก็รีบพาหมู่เทพบุตรออกมาคำนับรับเข้านั่งที่แล้ว ถักทะลีทีอ๋องจึงเล่าความให้พระอรหันต์ฟังทุกประการ พระอรหันต์ตรัสว่าไม่ต้องเล่าจะช้าไปเปล่าๆ จงรีบไปล่อให้ปีศาจออกมาเถิด เห้งเจียได้ฟังพระอรหันต์ดังนั้น ก็แผลงฤทธิ์กำหมัดกัดฟันกะโดดลงไปยังหน้าถ้ำร้องด่าว่าท้าทายด้วยถ้อยคำอันหยาบช้าต่าง ๆ เพื่อให้ปีศาจมีใจโกรธจะได้ออกมาโดยเร็ว
   ฝ่ายพวกปีศาจที่เฝ้าประตูถ้ำ เมื่อได้เห็นเห้งเจียมาร้องด่าท้าทายดังนั้น ก็รีบนำความเข้าไปแจ้งแก่ต๊อกกั๊กใต้อ๋อง ๆ ได้ฟังบริวารบอกดังนั้นก็บันดาลโทสะเป็นกำลัง ก็จับทวนเป็นอาวุธสำหรับมือ​ถือเดินออกมา เห็นเห้งเจียยืนอยู่ก็ร้องด่าว่าอ้ายชาติไพร่ไม่มีความอาย มึงแพ้กูหลายครั้งแล้วยังหารู้สึกคิดหนีเอาตัวรอดไม่ ยังจะกลับมาหาที่ตายหรือ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่าอ้ายมารร้าย มึงไม่รู้จักดี ถ้ามึงจะใคร่ให้ตาของมึงไม่มา มึงจงยอมสวามิภักดิ์ส่งอาจารย์ของเราและน้องเราทั้งสองออกมาแล้ว เราจึงจะละเจ้าไม่มารบกวนต่อไป ปีศาจตอบว่าคนทั้งสามนั้น เราชำระขัดล้างไว้ดีแล้ว ไม่ช้าจะทำกับกินเป็นแกล้มสุรากินเล่นให้อร่อย เจ้าเห็นจะยังไม่รู้ดอกกระมัง จึงยังมาร้องทวงดังนี้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็สะกดใจไม่อยู่ กำหมัดตรงเข้าไปจะชกปีศาจ ๆ ก็เอาทวนรบปัดป้องแล้วเอาทวนแทงเห้งเจีย ๆ ก็ตลบซ้ายตลบขวาล่อให้ปีศาจไล่ตามมา
   ปิศาจมิได้ทราบในกลอุบาย ก็ขยิกไล่เห้งเจียออกมาพ้นหน้าถ้ำข้างทิศอาคเนย์ เห้งเจียเห็นได้ทีก็ร้องให้พระอรหันต์สิบแปดองค์ เอายากิมตันขว้างลงมา ยาก็บันดาลเป็นเม็ดทรายตกลงมาดุจห่าฝน บัดเดี๋ยวทรายท่วมขึ้นสามศอกเศษ ปีศาจยืนงงงวยมองดูที่เท้าก็เห็นทรายยิ่งพูนมากขึ้นทุกที ปีศาจก็กระโดดขึ้นยืนบนหน้าทรายยั้งตัวไม่ใคร่อยู่ มองดูบัดเดี๋ยวเห็นทรายท่วมขึ้นมาอีกสองสามศอก ปีศาจตกใจก็รีบชักห่วงออกขว้างขึ้นไปร้องให้เก็บคำหนึ่ง ห่วงก็รวบยากิมตันสิบแปดเม็ดมาได้หมด ปีศาจเก็บยากิมตันมาได้แล้วก็กลับไปยังถ้ำ
   ฝ่ายพระอรหันต์ก็เหลือแต่มือเปล่ายืนอยู่บนเมฆ เห้งเจีย​เข้ามาใกล้ถามว่า ทำไมท่านไม่ปล่อยยาลงมาเล่า พระอรหันต์บอกว่าขว้างลงไปแล้ว ได้ยินเสียงอะไรดังเปรี้ยงทีหนึ่ง ยานั้นก็หายไปข้างไหนหมด เห้งเจียหัวเราะพูดว่าอ้ายปีศาจมันเอาไปเสียแล้ว ถักทะลีทีอ๋องว่ากำจัดมันยากที่สุด คราทีนี้จะทำประการใดดีเล่า พระอรหันต์ หั้งเล้ง หกเฮ้าทั้งสองพระองค์พูดแก่เห้งเจียว่า ท่านเข้าใจหรือเปล่าเมื่อออกจากอาราม อาตมภาพล้าหลังอยู่นั้นว่าเป็นอย่างไร เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าไม่เข้าใจเลย พระอรหันต์บอกว่าพระผู้เป็นเจ้าได้สั่งว่าปีศาจต๊อกกั๊กมีฤทธิ์เชี่ยวชาญ แม้ว่ามันเรียกเอากิมตันนั้นไปได้ ก็ให้เห้งเจียขึ้นไปชั้นดุสิตวิมานลีหึนที่สำนักท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุนอยู่นั้น สืบดูก็จะรู้เหตุผลแห่งปีศาจนั้น บางทีกระพริบตาเดียวก็จะจับตัวได้ เห้งเจียว่าน่าแค้นแท้ ๆ เมื่อแรกจะโปรดบอกเสียก็จะแล้วกัน ไม่ต้องให้ท่านทั้งหลายมาให้ป่วยการ
   ถักทะลีทีอ๋องพูดว่าพระพุทธเจ้าได้โปรดชี้แจงดังนั้นแล้ว ท่านเห้งเจียจงรีบไปสืบดูเถิด เห้งเจียก็เหาะขึ้นบนเวหาตรงไปยังชั้นดุสิตเข้าไปในวิมานลีหึนเกง ครั้นถึงที่ท้ายเสียงเล่ากุนอยู่ เห้งเจียก็ค่อยเดินเข้าไปแลเห็นเทพบุตรน้อยสองคนยืนเฝ้าข้างหน้าสำนัก เห้งเจียก็ไม่บอกว่ากระไรเดินเลยเข้าไปข้างใน กำลังเดินเข้าไปก็เห็นท้ายเสียงเล่ากุนเดินออกมา เห้งเจียก็ลดลงคำนับแล้วพูดว่า นานแล้วข้าพเจ้ามิได้มาเยือน​ท่าน ท้ายเสียงเล่ากุนหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายลิงทำไมไม่ไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมเจ้ามาที่ข้าจะมีธุระอะไรหรือ
 เห้งเจียบอกว่าข้าพเจ้าไปอาราธนาพระธรรม ไม่มีเวลาหยุดหย่อนเพราะหนทางไกลและกันดาร ทั้งมียักษ์มารปีศาจร้ายและสัตว์ร้ายต่างๆ จึงต้องมาดังนี้ ท้ายเสียงเล่ากุนว่าหนทางไซทีขัดข้องก็ไม่เกี่ยวอะไรแก่เรา เห้งเจียว่าท่านอย่าเพ่อพูดแม้สืบเหตุผลได้แล้วก็จะมัวหมองถึงตัวท่านด้วยหลบไม่พ้น ท้ายเสียงเล่ากุนว่าเราอยู่เบื้องบนมีเหตุผลอะไรจึงต้องมาสืบที่เรา เห้งเจียเดินเข้าไปสองตาเที่ยวสอดมองซ้ายมองขวา เดินเข้าไปอีกสองสามห้องมองไปที่ระเบียง เห็นข้างคอกโคมีเด็กนอนอยู่คนหนึ่งโคไม่มี    
   เห้งเจียจึงหันมาบอกแก่ท้ายเสียงเล่ากุนว่าโคของท่านหนีไปแล้ว ท้ายเสียงเล่ากุนตกใจเดินมาดูก็ไม่เห็นโคจึงพูดว่าอ้ายสัตว์นี้มันหนีไปเมื่อไร ท้ายเสียงเล่ากุนกำลังบ่นว่าเด็กน้อย เด็กน้อยตกใจตื่นผุดลุกขึ้นคุกเข่าเคารพพูดว่า ข้าพเจ้ากำลังนอนไม่ทราบว่าโคมันหนีไปเมื่อไร ท้ายเสียงเล่ากุนก็ด่าว่าเจ้าทำไมจึงนอนจนไม่รู้สึกตัวดังนี้ เด็กนั้นพูดว่าข้าพเจ้าอยู่ห้องยาเก็บได้ยากิมตันเมล็ดหนึ่ง กินเข้าไปแล้วก็นอนหลับไปไม่รู้สึกตัว
   ท้ายเสียงเล่ากุนจึงระลึกได้ว่าเมื่อวันก่อนนั้นได้ประกอบยาวิเศษไว้หายไปเสียเมล็ดหนึ่งมันเก็บเอาไปกิน ยานั้นใครกินเมล็ดหนึ่งก็นอนหลับไปเจ็ดวัน โคนั้นไม่มีใครเลี้ยงดูมัน เพราะฉะนั้นมันจึงได้หนีลงไปเมืองใต้ วันนี้ก็ได้เจ็ดวันแล้วท้ายเสียงเล่ากุน​ก็ตรวจของวิเศษว่าจะหายสิ่งใดบ้าง เห้งเจียว่าไม่เห็นมีสิ่งใด เห็นแต่ห่วงเหล็กอย่างเดียวเป็นของมีฤทธิ์มาก ท้ายเสียงเล่ากุนจึงเดินเข้าไปดูข้างในจึงได้รู้ว่ากิมกางต๊อกหายไป จึงพูดว่ามันลักเอากิมกางต๊อกของวิเศษไป เห้งเจียพูดว่าของวิเศษสิ่งนี้ครั้งก่อนได้ตีข้าพเจ้า บัดนี้อ้ายสัตว์เดรัจฉานโคมันลักไปเมืองใต้แผลงอิทธิฤทธิ์ มันได้เรียกเอาของวิเศษไปมากแล้ว ท้ายเสียงเล่ากุนจึงถามว่าบัดนี้มันอยู่ตำบลไหน เห้งเจียบอกว่าบัดนี้มันตั้งตัวอยู่ที่ตำบลเขากิมเง่ซัวถ้ำกิมเง่ต๋อง มันจับพระถังซัมจั๋งไปไว้เอาตะบองเหล็กของข้าพเจ้าไป ทั้งเครื่องอาวุธของถักทะลีทีอ๋องโลเฉีย กับเครื่องไฟของฮ้วยเต๊กแชกุน แลเครื่องกั้นน้ำของจุ๊ยเต๊กแชกุน และเอายาวิเศษของพระอรหันต์สิบแปดเม็ด ที่พระพุทธเจ้าให้มานั้นมันก็เรียกเก็บเอาไปทั้งสิ้น ท่านท้ายเสียงเล่ากุนปล่อยสัตว์ร้ายลงไปแย่งชิงเข้าของแลฆ่าคนดังนี้ โทษของท่านจะมีประการใด
   ท้ายเสียงเล่ากุนพูดว่า กิมกางต๊อกของเรานั้น เป็นของประกอบขับมารร้าย เราฝึกทำมาตั้งแต่เด็กจนได้สำเร็จเป็นของวิเศษ เราต่อให้ของวิเศษอย่างไรไฟหรือน้ำก็หาอาจทำลายได้ไม่ ถ้าหากมันลักเอาพัดไปได้ด้วย ก็ไม่สามารถจะคิดแก้ไขได้ นี่มันลักเอาไปแต่สิ่งเดียวไม่เป็นไร เห้งเจียได้ฟังท้ายเสียงเล่ากุนพูดดังนั้น ก็มีความยินดีค่อยมีความเบาใจลงมาก ท้ายเสียงเล่ากุนก็จับพัดขึ้นเหยียบเมฆเหาะลง​ไป เห้งเจียก็เหาะตามท้ายเสียงเล่ากุนมา ออกจากประตูน่ำทีหมึงมายังเขากิมเง่ซัว บัดเดี๋ยวก็ถึงพบกับสิบแปดพระอรหันต์แลหมู่เทพยดาทั้งหลาย เล่าความให้ท้ายเสียงเล่ากุนฟังทุกประการ ท้ายเสียงเล่ากุนจึงบอกให้เห้งเจียไปล่อให้ปีศาจมันออกมา เราจะได้จับตัวมันกลับคืนไป
   เห้งเจียได้ฟังท้ายเสียงเล่ากุนสั่งดังนั้นก็กระโดดลงไปยังหน้าถ้ำร้องท้าด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายปีศาจมึงจงเร่งออกมารับความตาย ปีศาจต๊อกกั๊กคิดในใจว่า อ้ายลิงหัวขโมยมันจะไปพาใครมาอีกดอกกระมังจึงกลับมาร้องท้าทายอยู่ดังนี้ คิดแล้วก็จับทวนถือเดินออกมาจากถ้ำ ฝ่ายเห้งเจียครั้นเห็นต๊อกกั๊กเดินออกมา ก็แกล้งด่าว่าอ้ายสัตว์ร้ายมึงจะตายในวันนี้แล้ว เห้งเจียก็กำหมัดกระโดดเข้าชกถูกที่หูปีศาจ แล้วก็หันกลับวิ่งหนีไปล่อให้ไล่ ฝ่ายปีศาจต๊อกกั๊กก็ถือทวนไล่แทงเห้งเจียมา ได้ยินเสียงเรียกว่าอ้ายโคน้อยมึงยังไม่กลับที่หรือ ปีศาจเงยหน้าขึ้นไปดูก็เห็นท้ายเสียงเล่ากุนตกใจสะดุ้งหวาด นึกว่าอ้ายลิงนี้มันดีจริงทำไมจึงรู้การดังนี้หนอ สามารถไปเชิญท่านเจ้าของ ๆ เรามาได้ ท้ายเสียงเล่ากุนร่ายเวทคาถาเอาพัดโบกลงไปทีหนึ่ง
ปีศาจก็เอาห่วงขว้างขึ้น ท้ายเสียงเล่ากุนก็จับเอาห่วงนั้นไว้ได้ ก็เอาพัดโบกลงไปปีศาจนั้นก็สลดลงทันที มีอาการให้มือแลเท้าอ่อนเปลี้ยก็กลายกลับเป็นโคไปอย่างเดิม
ท้ายเสียงเล่ากุนก็เอากิมกางต๊อกเจาะจมูกแล้วเป่าทีหนึ่งก็ทะลุ ​แก้เชือกคาดพุงออกร้อยผูก มือหนึ่งก็จับสายตะพาย แล้วก็ลาเทพบุตรทั้งหลาย ขึ้นนั่งบนหลังโคเหาะไปยังวิมานลีหึนเกง ฝ่ายเห้งเจียกับเทพบุตรทั้งหลายก็พากันเข้าในถ้ำ ต่างก็เก็บเอาอาวุธเครื่องมือของตน ๆ เห้งเจียก็ตีพวกปีศาจบริวารตายหมดสิ้น เทพยดาทั้งหลายได้อาวุธแลเครื่องมือแล้ว ก็ลากลับไปยังวิมานแห่งตน ๆ เห้งเจียก็เข้าไปชั้นในแก้อาจารย์และโป๊ยก่ายซัวเจ๋งออก เก็บข้าวของและม้าได้พร้อมแล้ว อาจารย์กับศิษย์ก็พากันออกจากถ้ำเดินไป กำลังเดินมานั้นได้ยินเสียงคนร้องเรียกอยู่ข้างทางว่า ท่านอาจารย์ฉันจังหันเสียก่อนจึงค่อยไป