Translate

02 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ภิกขุนีวิภังค์ ๑๖ มหาวาร วีสติวาร สมุฏฐานวารแห่งอาบัติ ๖ ที่ ๑ กตาปัตติวารแห่งสมุฏฐานอาบัติ ๖ ที่ ๒ อาปัตติสมุฏฐานคาถา ที่ ๓ วิปัตติปัจจยวารที่ ๔

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
สมุฏฐานวารแห่งอาบัติ ๖ ที่ ๑
   [๘๖๑] มีผู้ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๑ ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก หรือ ตอบว่า ไม่ต้องเลย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส หรือ?
 ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติถุลลัจจัย หรือ?
 ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ?
 ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ หรือ?
 ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ หรือ?
 ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติทุพภาษิต หรือ?
      ตอบว่า ไม่ต้องเลย.
   [๘๖๒] มีผู้ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๒ ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก หรือ?
 ตอบว่า ไม่ต้องเลย. ต้องอาบัติสังฆาทิเสส หรือ?
 ตอบว่า บางทีต้อง.   ต้องอาบัติถุลลัจจัย หรือ?
 ตอบว่า บางทีต้อง    ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ?
 ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ หรือ?
 ตอบว่า ไม่ต้องเลย     ต้องอาบัติทุกกฏ หรือ?
 ตอบว่า บางทีต้อง   ต้องอาบัติทุพภาสิต หรือ?
      ตอบว่า ไม่ต้องเลย.
   [๘๖๓] มีผู้ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๓ ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกหรือ? ตอบว่า ไม่ต้องเลย. ต้องอาบัติสังฆาทิเสส หรือ? 
 ตอบว่า บางทีต้อง.   ต้องอาบัติถุลลัจจัย หรือ?
 ตอบว่า บางทีต้อง.   ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ?
 ตอบว่า บางทีต้อง. ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ หรือ?
 ตอบว่า บางทีต้อง.     ต้องอาบัติทุกกฏ หรือ?
 ตอบว่า บางทีต้อง. ต้องอาบัติทุพภาสิต หรือ?
      ตอบว่า ไม่ต้องเลย.
   [๘๖๔] มีผู้ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๔ ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก หรือ? ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติสังฆาทิเสส หรือ? ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติถุลลัจจัย หรือ?   ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ?   ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ หรือ? ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติทุกกฏ หรือ?     ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติทุพภาสิต หรือ?  ตอบว่า ไม่ต้องเลย.
   [๘๖๕] มีผู้ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๕ ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก หรือ? ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติสังฆาทิเสส หรือ? ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติถุลลัจจัย หรือ?   ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ?  ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ หรือ? ตอบว่า ไม่ต้องเลย.
 ต้องอาบัติทุกกฏ หรือ?    ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติทุพภาสิต หรือ?   ตอบว่า บางทีต้อง.
   [๘๖๖] มีผู้ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๖ ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก หรือ? ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติสังฆาทิเสส หรือ? ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติถุลลัจจัย หรือ?   ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ?  ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติถุลลัจจัย หรือ?   ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ?   ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ หรือ? ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติทุกกฏ หรือ?     ตอบว่า บางทีต้อง.
 ต้องอาบัติทุพภาสิต หรือ?  ตอบว่า ไม่ต้องเลย.
      สมุฏฐานวารแห่งอาบัติ ๖ ที่ ๑ จบ
กตาปัตติวารแห่งสมุฏฐานอาบัติ ๖ ที่ ๒
   [๘๖๗] ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๑ ภิกษุต้องอาบัติเท่าไร? ตอบว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๑
      ภิกษุต้องอาบัติ ๕ คือ
๑. ภิกษุสำคัญว่าควร สร้างกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง ไม่ให้สงฆ์แสดงพื้นที่ เกินประมาณ มีผู้จับจองไว้ ไม่มีชานรอบ เป็นทุกกฏในประโยค.
๒. เมื่อยังไม่วางก้อนดินอีกก้อนหนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
๓. เมื่อวางดินก้อนนั้นเสร็จแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๔. ภิกษุสำคัญว่าควรฉันโภชนะในเวลาวิกาล ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
๕. ภิกษุสำคัญว่าควรรับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี จากมือของภิกษุณีมิใช่ญาติ ผู้เข้าไปสู่ละแวกบ้าน ด้วยมือของตนมาฉัน ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ.
 ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๑ ภิกษุต้องอาบัติ ๕ เหล่านี้.
 ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔?
 สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗?
 เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖?
 จัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔?
 ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
   ตอบว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางที่เป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ. สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๕ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติปาฏิเทสนียะ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ.
เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กาย มิใช่วาจามิใช่จิต. จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔. ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือบางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
      [๘๖๘] ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๒ ภิกษุต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๒ ภิกษุต้องอาบัติ ๔ คือ
 ๑. ภิกษุสำคัญว่าควร สั่งว่า จงทำกุฎีให้ฉัน เขาทำกุฎีให้เธอ มิได้ให้สงฆ์แสดงพื้นที่ เกินประมาณ มีผู้จับจองไว้ ไม่มีชานรอบ เป็นทุกกฏในประโยค.
 ๒. เมื่อยังไม่วางก้อนดินอีกก้อนหนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
 ๓. เมื่อวางดินก้อนนั้นเสร็จแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
 ๔. ภิกษุสำคัญว่าควรสอนธรรมแก่อนุปสัมบันว่าพร้อมกัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
 ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๒ ภิกษุต้องอาบัติ ๔ เหล่านี้.
 ถามว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? ... ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
 ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ. สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๔ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ. เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต.
 จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔.
 ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
   [๘๖๙] ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๓ ภิกษุต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๓ ภิกษุต้องอาบัติ ๕ คือ
 ๑. ภิกษุสำคัญว่าควรจัดการสร้างกุฎี ไม่ให้สงฆ์แสดงพื้นที่ เกินประมาณ มีผู้จับจองไว้ ไม่มีชานรอบ เป็นทุกกฏในประโยค.
 ๒. เมื่อยังมิได้วางก้อนดินอีกก้อนหนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
 ๓. เมื่อวางดินก้อนนั้นเสร็จแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
 ๔. ภิกษุสำคัญว่าควรขอโภชนะอันประณีตเพื่อประโยชน์ตนมาฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
 ๕. ภิกษุสำคัญว่าควร ไม่ห้ามภิกษุณีผู้สั่งเสียอยู่แล้วฉัน ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ.
 ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๓ ภิกษุต้องอาบัติ ๕ เหล่านี้.
 ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? ... ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
 ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ. สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๕ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติปาฏิเทสนียะ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ.
เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายกับวาจามิใช่จิต.
 จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔.
 ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
   [๘๗๐] ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๔ ภิกษุต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๔ ภิกษุต้องอาบัติ ๖ คือ
 ๑. ภิกษุเสพเมถุนธรรม ต้องอาบัติปาราชิก.
 ๒. ภิกษุสำคัญว่าไม่ควรสร้างกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง มิได้ให้สงฆ์แสดงที่ เกินประมาณ มีผู้จับจองไว้ ไม่มีชานรอบ เป็นทุกกฏในประโยค.
 ๓. เมื่อยังไม่วางดินอีกก้อนหนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
 ๔. เมื่อวางดินก้อนนั้นเสร็จแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
 ๕. ภิกษุสำคัญว่าไม่ควรฉันโภชนะในเวลาวิกาล ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
 ๖. ภิกษุสำคัญว่าไม่ควรรับของของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี จากมือภิกษุณีมิใช่ญาติผู้เข้าไปสู่ละแวกบ้าน ด้วยมือตนแล้วฉัน ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ.
ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๔ ภิกษุต้องอาบัติ ๖ เหล่านี้.
 ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? ... ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
 ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ. สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๖ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติปาฏิเทสนียะ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ.
   เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
 จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔.
 ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
   [๘๗๑] ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๕ ภิกษุต้องอาบัติเท่าไร?
 ตอบว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๕ ภิกษุต้องอาบัติ ๖ คือ
 ๑. ภิกษุมีความปรารถนาลามก ถูกความปรารถนาครอบงำ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มี ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติปาราชิก.
 ๒. ภิกษุสำคัญว่าไม่ควร สั่งว่า จงสร้างกุฎีให้ฉัน เขาสร้างกุฎีให้เธอ มิได้ให้สงฆ์แสดงพื้นที่ เกินประมาณ มีผู้จับจองไว้ ไม่มีชานรอบ เป็นทุกกฏในประโยค.
 ๓. เมื่อยังไม่ได้วางก้อนดินอีกก้อนหนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
 ๔. เมื่อวางก้อนดินก้อนนั้นแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
 ๕. ภิกษุสำคัญว่าไม่ควร สอนธรรมแก่อนุปสัมบันว่าพร้อมกัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
 ๖. ภิกษุไม่ประสงค์จะด่า ไม่ประสงค์จะดูหมิ่น ไม่ประสงค์จะทำให้เก้อเขิน กล่าวคำเลวทราม ด้วยประสงค์จะล้อเล่น ต้องอาบัติทุพภาสิต.
ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๕ ภิกษุต้องอาบัติ ๖ เหล่านี้.
 ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไรบรรดาวิบัติ ๔? ... ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
 ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ. สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๖ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ บางทีด้วยกองอาบัติทุพภาสิต.
   เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่วาจากับจิตมิใช่กาย.
   จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔.
   ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
   [๘๗๒] ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๖ ภิกษุต้องอาบัติเท่าไร?
 ตอบว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๖ ภิกษุต้องอาบัติ ๖ คือ
 ๑. ภิกษุชวนกันไปลักทรัพย์ ต้องอาบัติปาราชิก.
 ๒. ภิกษุสำคัญว่าไม่ควร จัดการสร้างกุฎี มิได้ให้สงฆ์แสดงพื้นที่ เกินประมาณ มีผู้จับจองไว้ ไม่มีชานรอบ เป็นทุกกฏในประโยค.
 ๓. เมื่อยังไม่ได้วางก้อนดินอีกก้อนหนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
 ๔. เมื่อวางก้อนดินก้อนนั้นเสร็จแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
 ๕. ภิกษุสำคัญว่าไม่ควร ขอโภชนะอันประณีต เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
 ๖. ภิกษุสำคัญว่าไม่ควร ไม่ห้ามภิกษุณีผู้สั่งเสียอยู่แล้วฉัน ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ.
ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๖ ภิกษุต้องอาบัติ ๖ เหล่านี้.
 ถามว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗? เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐาน ๖? จัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔? ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
 ตอบว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ. สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๖ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติปาฏิเทสนียะ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ.
   เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายวาจาและจิต. จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.   กตาปัตติวารแห่งสมุฏฐานอาบัติ ๖ ที่ ๒ จบ
อาปัตติสมุฏฐานคาถา
   [๘๗๓] สมุฏฐานเกิดแต่กาย อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมีเท่าไร?
      ข้าพเจ้าขอถาม
     ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ขอท่านบอกข้อนั้น.
   สมุฏฐานเกิดแต่กาย อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรงเกื้อกูลสัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้น มี ๕.
      ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์
      ข้าพเจ้าบอกข้อนั้นแก่ท่าน.
   สมุฏฐานเกิดแต่วาจา อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพานทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมีเท่าไร?
      ข้าพเจ้าขอถาม
     ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ขอท่านบอกข้อนั้น.
   สมุฏฐานเกิดแต่วาจา อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพานทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมี ๔.
      ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์
      ข้าพเจ้าบอกข้อนั้นแก่ท่าน.
   สมุฏฐานเกิดแต่กาย เกิดแต่วาจา อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมีเท่าไร?
      ข้าพเจ้าขอถาม
     ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ขอท่านบอกข้อนั้น.
   สมุฏฐานเกิดแต่กาย เกิดแต่วาจา อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมี ๕.
      ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์
      ข้าพเจ้าบอกข้อนั้นแก่ท่าน.
   สมุฏฐานเกิดแต่กาย เกิดแต่จิต อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมีเท่าไร?
      ข้าพเจ้าขอถาม
     ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ขอท่านบอกข้อนั้น.
   สมุฏฐานเกิดแต่กาย เกิดแต่จิต อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมี ๖.
      ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์
      ข้าพเจ้าบอกข้อนั้นแก่ท่าน.
   สมุฏฐานเกิดแต่วาจา เกิดแต่จิต อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมีเท่าไร?
      ข้าพเจ้าขอถาม
     ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ขอท่านบอกข้อนั้น.
   สมุฏฐานเกิดแต่วาจา เกิดแต่จิต อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพานทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมี ๖.
      ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ 
      ข้าพเจ้าบอกข้อนั้นแก่ท่าน.
   สมุฏฐานเกิดแต่กาย เกิดแต่วาจา เกิดแต่จิต อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมีเท่าไร?
      ข้าพเจ้าขอถาม
     ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ขอท่านบอกข้อนั้น.
   สมุฏฐานเกิดแต่กาย เกิดแต่วาจา เกิดแต่จิต อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมี ๖.
      ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์
      ข้าพเจ้าบอกข้อนั้นแก่ท่าน.
อาปัตติสมุฏฐานคาถาที่ ๓ จบ
วิปัตติปัจจยวารที่ ๔
   [๘๗๔] ถามว่า เพราะปัจจัยคือศีลวิบัติ ต้องอาบัติเท่าไร?
   ตอบว่า เพราะปัจจัยคือ ศีลวิบัติ ต้องอาบัติ ๔ คือ
๑. ภิกษุณีรู้อยู่ ปิดปาราชิกธรรม ต้องอาบัติปาราชิก.
๒. สงสัย ปิดไว้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
๓. ภิกษุปิดอาบัติสังฆาทิเสส ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
๔. ปิดอาบัติชั่วหยาบของตน ต้องอาบัติทุกกฏ.
   เพราะปัจจัยคือศีลวิบัติ ต้องอาบัติ ๔ เหล่านี้.
   ถามว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? ... ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗? ...
   ตอบว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ.
   สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๔ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ.
   เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายวาจาและจิต. จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔. ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
             [๘๗๕] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาจารวิบัติ ต้องอาบัติเท่าไร?
             ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาจารวิบัติ ต้องอาบัติ ๑ คือ ปิดอาจารวิบัติ ต้องอาบัติทุกกฏ.
             เพราะปัจจัย คือ อาจารวิบัติ ต้องอาบัติ ตัว ๑ นี้
             ถามว่า อาบัตินั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? ... ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
             ตอบว่า อาบัตินั้นจัดเป็นวิบัติอันหนึ่ง บรรดาวิบัติ ๔ คืออาจารวิบัติ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติหนึ่ง บรรดากองอาบัติ ๗ คือด้วยกองอาบัติทุกกฏ. 
ค้นหาหนังNO GOOD DEED บ้านดีมีบาป (2024) (SEASON 1)
Comedy หนังตลกขำขัน|HD THAI 
No Good Deed บ้านดีมีบาป (2024)
พอลและลิเดียเผชิญหน้ากับความลับอันเจ็บปวดของครอบครัว
ที่เพียรปกปิดไม่ให้แพร่งพรายไปถึงคนนอกและเหล่าผู้ซื้อหน้าเลือด
ระหว่างขายบ้านหลังงามซึ่งดูสวยสมบูรณ์แบบในแอลเอ
Overview ตัวอย่าง Clips Reviews นักแสดง
เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขา วินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑ [๘๗๖] ถามว่า เพราะปัจจัย คือทิฏฐิวิบัติ ต้องอาบัติเท่าไร? ตอบว่า เพราะปัจจัย คือทิฏฐิวิบัติ ต้องอาบัติ ๒ คือ ๑. ไม่สละทิฏฐิอันลามก เพราะสวดประกาศห้ามครบ ๓ จบ จบญัตติเป็นทุกกฏ จบกรรมวาจา ๒ ครั้ง เป็นอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว ๒. จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เพราะปัจจัย คือ ทิฏฐิวิบัติ ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้. ถามว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? ... ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗ ตอบว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติ ๑ บรรดาวิบัติ ๔ คืออาจารวิบัติ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๒ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ. เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือเกิดแต่กาย วาจา และจิต จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔. ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑. [๘๗๗] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาชีววิบัติ ต้องอาบัติเท่าไร? ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาชีววิบัติ ต้องอาบัติ ๖ คือ ๑. เพราะเหตุแห่งอาชีวะ เพราะการณ์แห่งอาชีวะ ภิกษุผู้ปรารถนาลามกอันความ ปรารถนาครอบงำ อวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มี ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติปาราชิก. ๒. เพราะเหตุแห่งอาชีวะ เพราะการณ์แห่งอาชีวะ ภิกษุถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส. ๓. เพราะเหตุแห่งอาชีวะ เพราะการณ์แห่งอาชีวะ ภิกษุกล่าวว่า ภิกษุใดอยู่ในวิหาร ของท่าน ภิกษุนั้นเป็นพระอรหันต์ เมื่อผู้ฟังเข้าใจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย. ๔. เพราะเหตุแห่งอาชีวะ เพราะการณ์แห่งอาชีวะ ภิกษุขอโภชนะอันประณีต เพื่อ ประโยชน์ตนมาฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ๕. เพราะเหตุแห่งอาชีวะ เพราะการณ์แห่งอาชีวะ ภิกษุณีขอโภชนะอันประณีต เพื่อประโยชน์ตนมาฉัน ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ. ๖. เพราะเหตุแห่งอาชีวะ เพราะการณ์แห่งอาชีวะ ภิกษุไม่อาพาธ ขอแกงก็ดี ข้าวสุก ก็ดี เพื่อประโยชน์ตนมาฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ. เพราะปัจจัย คือ อาชีววิบัติ ต้องอาบัติ ๖ เหล่านี้. ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? ... ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗? ตอบว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือบางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ. สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๖ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางที ด้วยกองอาบัติปาฏิเทสนียะ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ. เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางที เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑ จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑. วิปัตติปัจจยวาร ที่ ๔ จบ

ไม่มีความคิดเห็น: