Translate

08 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร [จูฬสงคราม] ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้เข้าสงคราม ว่าด้วยประโยชน์แห่งสูตรเป็นต้น

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
    มหาสงคราม
ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้เข้าสงครามเป็นต้น [๑๐๘๓] อันภิกษุผู้เข้าสงครามเมื่อเข้าหาสงฆ์พึงเป็นผู้มีจิตยำเกรง มีจิตเสมอด้วยผ้าเช็ดธุลี เข้าหาสงฆ์ พึงเป็นผู้รู้จักที่นั่ง รู้จักการนั่ง ไม่เบียดภิกษุผู้เถระ ไม่ห้ามภิกษุผู้อ่อนกว่าด้วยอาสนะ พึงนั่งอาสนะตามสมควร ไม่พึงพูดเรื่องต่างๆ ไม่พึงพูดเรื่องดิรัจฉานกถา พึงกล่าวธรรมเอง หรือพึงเชื้อเชิญภิกษุรูปอื่น ไม่พึงดูหมิ่นอริยดุษณีภาพ.
   อันภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ที่สงฆ์อนุมัติแล้ว มีประสงค์จะวินิจฉัยอธิกรณ์
  ไม่พึงถามถึงอุปัชฌาย์ ไม่พึงถามถึงอาจารย์
  ไม่พึงถามถึงสัทธิวิหาริก ไม่พึงถามถึงอันเตวาสิก
  ไม่พึงถามถึงภิกษุปูนอุปัชฌาย์ ไม่พึงถามถึงภิกษุปูนอาจารย์ ไม่พึงถามถึงชาติ ไม่พึงถามถึงชื่อ ไม่พึงถามถึงโคตร ไม่พึงถามถึงอาคม ไม่พึงถามถึงตระกูลประเทศ ไม่พึงถามถึงชาติภูมิ.
  เพราะเหตุไร? เพราะความรักหรือความชังจะพึงมีในบุคคลนั้น เมื่อมีความรักหรือความชัง พึงลำเอียงเพราะความชอบบ้าง พึงลำเอียงเพราะความชังบ้าง พึงลำเอียงเพราะความหลงบ้าง พึงลำเอียงเพราะความกลัวบ้าง.

ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ 
   อันภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ที่สงฆ์อนุมัติแล้ว มีประสงค์จะวินิจฉัยอธิกรณ์ พึงเป็นผู้หนักในสงฆ์ ไม่พึงเป็นผู้หนักในบุคคล พึงเป็นผู้หนักในพระสัทธรรม ไม่พึงเป็นผู้หนักในอามิสพึงเป็นผู้ไปตามอำนาจแห่งคดี ไม่พึงเป็นผู้เห็นแก่บริษัท พึงวินิจฉัยโดยกาลอันควร ไม่พึงวินิจฉัยโดยกาลไม่ควร พึงวินัยฉัยด้วยคำจริง
  ไม่พึงวินิจฉัยด้วยคำไม่จริง พึงวินิจฉัยด้วยคำสุภาพ ไม่พึงวินิจฉัยด้วยคำหยาบ พึงวินิจฉัยด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์ ไม่พึงวินิจฉัยด้วยคำไม่ประกอบด้วยประโยชน์ พึงเป็นผู้มีเมตตาจิตวินิจฉัย ไม่พึงเป็นผู้มุ่งร้ายวินิจฉัย ไม่พึงเป็นผู้กระซิบที่หู ไม่พึงคอยจับผิด ไม่พึงขยิบตา ไม่พึงเลิกคิ้ว ไม่พึงชะเง้อศีรษะ
  ไม่พึงทำวิการแห่งมือ ไม่พึงแสดงปลายนิ้วมือ พึงเป็นผู้รู้จักที่นั่ง พึงเป็นผู้รู้จักการนั่ง พึงนั่งบนอาสนะของตน ทอดตาชั่วแอก เพ่งเนื้อความและไม่ลุกจากอาสนะไปข้างไหน ไม่พึงยังการวินิจฉัยให้บกพร่อง ไม่พึงเสพทางผิด ไม่พึงพูดส่ายคำ พึงเป็นผู้ไม่รีบด่วน ไม่ผลุนผลันไม่ดุดัน เป็นผู้อดได้ต่อถ้อยคำ พึงเป็นผู้มีเมตตาจิต
คิดเอ็นดูเพื่อประโยชน์ พึงเป็นผู้มีกรุณา ขวนขวายเพื่อประโยชน์ พึงเป็นผู้ไม่พูดพล่อย เป็นผู้พูดมีที่สุด พึงเป็นผู้ไม่ผูกเวร ไม่ขัดเคือง พึงรู้จักตน พึงรู้จักผู้อื่น พึงสังเกตโจทก์ พึงสังเกตจำเลย พึงกำหนดรู้ผู้โจทก์ไม่เป็นธรรม พึงกำหนดรู้ผู้ถูกโจทไม่เป็นธรรม พึงกำหนดรู้ผู้โจทก์เป็นธรรม พึงกำหนดรู้ผู้ถูกโจทเป็นธรรม
พึงกำหนดข้อความอันสองฝ่ายกล่าวมิให้ตกหล่น ไม่แซมข้อความอันเขาไม่ได้กล่าว พึงจำบทพยัญชนะ อันเข้าประเด็นไว้เป็นอย่างดีสอบสวนจำเลย แล้วพึงปรับตามคำรับสารภาพ โจทก์หรือจำเลยประหม่า พึงพูดเอาใจ เป็นผู้ขลาด พึงพูดปลอบ เป็นผู้ดุ พึงห้ามเสีย เป็นผู้ไม่สะอาดพึงดัดเสีย เป็นผู้ตรง
  พึงประพฤติต่อด้วยความอ่อนโยน ไม่พึงถึงฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ พึงวางตนเป็นกลาง ทั้งในธรรม ทั้งในบุคคล.
      ก็แล ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ เมื่อวินิจฉัยอธิกรณ์ด้วยอาการ อย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสอนของพระศาสดา เป็นที่รักที่ชอบใจที่เคารพ ที่สรรเสริญ แห่งสพรหมจารีทั้งหลายผู้เป็นวิญญู.

ว่าด้วยประโยชน์แห่งสูตรเป็นต้น
   [๑๐๘๔] สูตร เพื่อประโยชน์แก่การเทียบเคียง ข้ออุปมา เพื่อประโยชน์แก่การชี้ความ เนื้อความ เพื่อประโยชน์ที่ให้เขาเข้าใจ การย้อนถาม เพื่อประโยชน์แก่ความดำรงอยู่ การขอโอกาส เพื่อประโยชน์แก่การโจท การโจท เพื่อประโยชน์แก่การให้จำเลยระลึกโทษ การให้ระลึก เพื่อประโยชน์แก่ความ เป็นผู้มีถ้อยคำอัน
จะพึงกล่าว ความเป็นผู้มีถ้อยคำอันจะพึงกล่าวเพื่อประโยชน์แก่การกังวล การกังวลเพื่อประโยชน์แก่การวินิจฉัย การวินิจฉัย เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณา การพิจารณาเพื่อประโยชน์แก่การถึงฐานะและมิใช่ฐานะ การถึงฐานะและมิใช่ฐานะ เพื่อประโยชน์ข่มบุคคลผู้เก้อยาก เพื่อประโยชน์ยกย่องภิกษุมีศีลเป็นที่รัก
สงฆ์ เพื่อประโยชน์แก่การสอดส่องและรับรอง บุคคลที่สงฆ์อนุมัติแล้ว ตั้งอยู่ในตำแหน่งผู้ใหญ่ ตั้งอยู่ในตำแหน่งผู้ไม่แกล้งกล่าวให้ผิด.

ประโยชน์แห่งวินัยเป็นต้น
   วินัยเพื่อประโยชน์แก่ความสำรวม
ความสำรวมเพื่อประโยชน์แก่ความไม่เดือดร้อน
ความไม่เดือดร้อนเพื่อประโยชน์แก่ความปราโมทย์
   ความปราโมทย์เพื่อประโยชน์แก่ความปีติ
   ความปีติเพื่อประโยชน์แก่ปัสสัทธิ
   ปัสสัทธิเพื่อประโยชน์แก่ความสุข
   ความสุขเพื่อประโยชน์แก่สมาธิ
สมาธิเพื่อประโยชน์แก่ความรู้เห็นตามเป็นจริง
   ความรู้เห็นตามเป็นจริงเพื่อประโยชน์แก่ความเบื่อหน่าย ความเบื่อหน่ายเพื่อประโยชน์แก่ความสำรอก ความสำรอกเพื่อประโยชน์ แก่วิมุตติ วิมุตติเพื่อประโยชน์แก่วิมุตติญาณทัสสนะ วิมุตติญาณทัสสนะเพื่อประโยชน์แก่ความดับสนิทหาปัจจัยมิได้. การกล่าววินัยมีอนุปาทาปรินิพพานนั้นเป็นประโยชน์
   การปรึกษาวินัยมีอนุปาทาปรินิพพานนั้นเป็นประโยชน์ เหตุมีอนุปาทาปรินิพพานนั้นเป็นประโยชน์ ความเงี่ยโสตสดับมีอนุปาทาปรินิพพานนั้นเป็นประโยชน์ คือ ความพ้นวิเศษแห่งจิต เพราะไม่ยึดมั่น.

อนุโยควัตร
   [๑๐๘๕] เธอจงพิจารณาวัตร คือ การซักถาม อนุโลมแก่สิกขาบท อันพระพุทธเจ้าผู้เฉียบแหลม มีพระปัญญา ทรงวางไว้ ตรัสไว้ดีแล้วอย่าให้เสียคติที่เป็นไปในสัมปรายภพ.
   ภิกษุใดไม่รู้ วัตถุ วิบัติ อาบัติ นิทาน คำต้น คำหลัง สิ่งที่ทำแล้ว และยังไม่ได้ทำโดยเสมอ และเป็นผู้ไม่เข้าใจอาการ ภิกษุผู้เช่นนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่ควรเลือก.
   อนึ่ง ภิกษุใดไม่รู้กรรม อธิกรณ์ และไม่เข้าใจสมถะ เป็นผู้กำหนัดขัดเคืองและหลงย่อมลำเอียงเพราะกลัว เพราะหลง ไม่เข้าใจในสัญญัติ ไม่ฉลาดในการพินิจ เป็นผู้ได้พรรคพวกไม่มีความละอาย มีกรรมดำ ไม่เอื้อเฟื้อ ภิกษุผู้เช่นนั้นๆ แลพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่ควรเลือก.
   ภิกษุใดรู้วัตถุ วิบัติ อาบัติ นิทาน คำต้น คำหลัง สิ่งที่ทำแล้ว และยังไม่ได้ทำ โดยเสมอและเป็นผู้เข้าใจอาการ ภิกษุผู้เช่นนั้นๆ แล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ควรเลือก.
   อนึ่ง ภิกษุใดรู้กรรม อธิกรณ์ และเข้าใจสมถะ เป็นผู้ไม่กำหนัด ไม่ขัดเคือง และไม่หลง ไม่ลำเอียง เพราะกลัว เพราะหลง เข้าใจใน สัญญัติ ฉลาดในการพินิจ เป็นผู้ได้พรรคพวก มีความละอาย มีกรรม ขาว มีความเคารพ ภิกษุผู้เช่นนั้นๆ แล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ควรเลือก.    จูฬสงคราม จบ
หัวข้อประจำเรื่อง 
   [๑๐๘๖] มีจิตยำเกรง ๑ ถาม ๑ หนักในสงฆ์ มิใช่ในบุคคล ๑ สูตรเพื่อประโยชน์แก่การเทียบเคียง ๑ วินัยเพื่ออนุเคราะห์ ๑ หัวข้อตามที่กล่าวนี้มีอุเทศอย่างเดียว ท่านจัดไว้ในจูฬสงครามแล.
[มหาสงคราม] ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้เข้าสงคราม 
   [๑๐๘๗] อันภิกษุผู้เข้าสงคราม เมื่อกล่าวในสงฆ์ พึงรู้วัตถุ พึงรู้วิบัติ พึงรู้อาบัติ พึงรู้นิทาน พึงรู้อาการ พึงรู้คำต้นและคำหลัง พึงรู้สิ่งที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำ พึงรู้กรรม พึงรู้อธิกรณ์ พึงรู้สมถะ ไม่พึงถึงฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ พึงชี้แจงในสถานะควรชี้แจง พึงพินิจในสถานะควรพินิจ
  พึงเพ่งเล็งในสถานะควรเพ่งเล็ง พึงเลื่อมใสในสถานะควรเลื่อมใส ไม่พึงหมิ่นพรรคพวกอื่น ด้วยเข้าใจว่า เราได้พรรคพวกแล้ว ไม่พึงหมิ่นผู้มีสุตะน้อยด้วยเข้าใจว่า เรามีสุตะมาก ไม่พึงหมิ่นภิกษุผู้อ่อนกว่า ด้วยเข้าใจว่า เราเป็นผู้แก่กว่า ไม่พึงพูดเรื่องที่ยังไม่ถึง ไม่พึงให้เรื่องที่มาถึงแล้วตกหล่นจากธรรมจากวินัย
อธิกรณ์นั้นย่อมระงับด้วยธรรม ด้วยวินัย ด้วยสัตถุศาสน์ใด พึงให้อธิกรณ์นั้น ระงับด้วยอย่างนั้น.

ว่าด้วยการรู้วัตถุ
   [๑๐๘๘] คำว่า พึงรู้วัตถุ นั้น คือ พึงรู้วัตถุแห่งปาราชิก ๘ สิกขาบท พึงรู้วัตถุแห่งสังฆาทิเสส ๒๓ สิกขาบท พึงรู้วัตถุแห่งอนิยต ๒ สิกขาบท พึงรู้วัตถุแห่งนิสสัคคีย์ ๔๒ สิกขาบท พึงรู้วัตถุแห่งปาจิตตีย์ ๑๘๘ สิกขาบท พึงรู้วัตถุแห่งปาฏิเทสนียะ ๑๒ สิกขาบท พึงรู้วัตถุแห่งทุกกฏทั้งหลาย พึงรู้วัตถุแห่งทุพภาสิตทั้งหลาย.

ว่าด้วยการรู้วิบัติ [๑๐๘๙] คำว่า พึงรู้วิบัติ คือ พึงรู้ศีลวิบัติ อาจารวิบัติ ทิฏฐิวิบัติ อาชีววิบัติ.

ว่าด้วยการรู้อาบัติ [๑๐๙๐] คำว่า พึงรู้อาบัติ นั้น คือ พึงรู้อาบัติปาราชิก อาบัติสังฆาทิเสส อาบัติถุลลัจจัย อาบัติปาจิตตีย์ อาบัติปาฏิเทสนียะ อาบัติทุกกฏ อาบัติทุพภาสิต.

ว่าด้วยการรู้นิทาน [๑๐๙๑] คำว่า พึงรู้นิทาน นั้น คือ พึงรู้นิทานแห่งปาราชิก ๘ สิกขาบท พึงรู้นิทานแห่งสังฆาทิเสส ๒๓ สิกขาบท พึงรู้นิทานแห่งอนิยต ๒ สิกขาบท พึงรู้นิทานแห่งนิสสัคคีย์ ๔๒ สิกขาบท พึงรู้นิทานแห่งปาจิตตีย์ ๑๘๘ สิกขาบท พึงรู้นิทานแห่งปาฏิเทสนียะ ๑๒ สิกขาบท พึงรู้นิทานแห่งทุกกฏทั้งหลาย พึงรู้นิทานแห่ทุพภาสิตทั้งหลาย.

ว่าด้วยการรู้อาการ [๑๐๙๒] คำว่า พึงรู้อาการ นั้น คือ พึงรู้จักสงฆ์โดยอาการ พึงรู้จักคณะโดยอาการ พึงรู้จักบุคคลโดยอาการ พึงรู้จักโจทก์โดยอาการ พึงรู้จักจำเลยโดยอาการ.
       ข้อว่า พึงรู้จักสงฆ์โดยอาการ นั้น คือ พึงรู้จักสงฆ์โดยอาการอย่างนี้ว่า สงฆ์หมู่นี้จะสามารถระงับอธิกรณ์นี้ได้โดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสน์ หรือไม่หนอ.
       ข้อว่า พึงรู้จักคณะโดยอาการ นั้น คือ พึงรู้จักคณะโดยอาการอย่างนี้ว่า คณะนี้จะสามารถระงับอธิกรณ์นี้ได้โดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสน์หรือไม่หนอ.
       ข้อว่า พึงรู้จักบุคคลโดยอาการ นั้น คือ พึงรู้จักบุคคลโดยอาการอย่างนี้ว่า บุคคลผู้นี้จะสามารถระงับอธิกรณ์นี้ได้โดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสน์ หรือไม่หนอ.
       ข้อว่า พึงรู้จักโจทก์โดยอาการ นั้น คือ พึงรู้จักโจทก์โดยอาการอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้จักตั้งอยู่ในธรรม ๕ ประการ แล้วโจทก์ผู้อื่น หรือไม่หนอ.
       ข้อว่า พึงรู้จักจำเลยโดยอาการ นั้น คือ พึงรู้จักจำเลยโดยอาการอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้ตั้งอยู่ในธรรม ๒ ข้อ คือ ให้การตามจริงและไม่โกรธ หรือไม่หนอ.

ว่าด้วยรู้คำต้นและคำหลัง
   [๑๐๙๓] คำว่า พึงรู้คำต้นและคำหลัง นั้น คือ พึงรู้คำต้นและคำหลังอย่างนี้ว่าท่านผู้นี้ย้ายวัตถุจากวัตถุ ย้ายวิบัติจากวิบัติ ย้ายอาบัติจากอาบัติ ปฏิเสธแล้วกลับปฏิญาณ ปฏิญญาณแล้วกลับปฏิเสธ หรือสับเรื่องอื่นด้วยเรื่องอื่น หรือไม่หนอ.

ว่าด้วยการรู้สิ่งที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำ
   [๑๐๙๔] คำว่า พึงรู้สิ่งที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำ นั้น คือ พึงรู้เมถุนธรรม พึงรู้อนุโลมแก่เมถุนธรรม พึงรู้บุพพภาคแห่งเมถุน.
      ข้อว่า พึงรู้เมถุนธรรม นั้น คือ พึงรู้ความร่วมกันเป็นคู่ๆ.
      ข้อว่า พึงรู้อนุโลมแก่เมถุนธรรม นั้น คือ ภิกษุอมองค์กำเนิดของภิกษุอื่น ด้วยปากของตน
      ข้อว่า พึงรู้บุพพภาคแห่งเมถุนธรรม นั้น คือ สี สิ่งมิใช่สี การเคล้าคลึงด้วยกายวาจาชั่วหยาบ การบำเรอตนด้วยกาม การยังวรรณะให้เกิด.

ว่าด้วยการรู้กรรม[๑๐๙๕] คำว่า พึงรู้กรรม นั้น ได้แก่ พึงรู้กรรม ๑๖ อย่าง คือ พึงรู้อปโลกนกรรม ๔ อย่าง พึงรู้ญัตติกรรม ๔ อย่าง พึงรู้ญัตติทุติยกรรม ๔ อย่าง พึงรู้ญัตติจตุตถกรรม ๔ อย่าง.

ว่าด้วยการรู้อธิกรณ์[๑๐๙๖] คำว่า พึงรู้อธิกรณ์ นั้น ได้แก่ พึงรู้อธิกรณ์ ๔ คือ พึงรู้วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ กิจจาธิกรณ์.

ว่าด้วยรู้สมถะ [๑๐๙๗] คำว่า พึงรู้สมถะ นั้น ได้แก่ พึงรู้สมถะ ๗ คือ พึงรู้สัมมุขาวินัยสติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ เยภุยยสิกา ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ.
   อรรถกถา ปริวาร มหาสงคราม ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้เข้าสงครามเป็นต้น
มหาสังคามวัณณนาวินิจฉัยในมหาสงคราม พึงทราบดังนี้ :-
   หลายบทว่า วตฺถุโต วาวตฺถุํ สงฺกมติ
   มีความว่า โจทก์กล่าวว่า วัตถุแห่งปฐมปาราชิก อันข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว หรือว่า วัตถุแห่งปฐมปาราชิก อันข้าพเจ้าได้ฟังแล้ว เมื่อถูกถาม คือถูกคาดคั้นเข้าอีก กลับกล่าวว่า วัตถุแห่งปฐมปาราชิก ข้าพเจ้าไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน วัตถุแห่งทุติยปาราชิก อันข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว หรือว่า วัตถุแห่งทุติยปาราชิก
   อันข้าพเจ้าได้ยินแล้ว. พึงทราบการย้ายวัตถุที่เหลือ การย้ายวิบัติจากวิบัติ และการย้ายอาบัติจากอาบัติ โดยนัยนี้แล. 
   ฝ่ายภิกษุใดกล่าวว่า ข้าพเจ้าหาได้เห็นไม่ หาได้ยินไม่ดั่งนี้แล้ว ภายหลังกล่าวว่า
       ข้อนั้น แม้ข้าพเจ้าก็ได้เห็น หรือว่า
       ข้อนั้น แม้ข้าพเจ้าก็ได้ยิน กล่าวว่า
   ข้าพเจ้าได้เห็น หรือว่าข้าพเจ้าได้ยิน ดังนี้แล้ว
   ภายหลังกลับกล่าวว่า ข้าพเจ้าหาได้เห็นไม่ หาได้ยินไม่ ภิกษุนั้น พึงทราบว่า ปฏิเสธแล้วกลับปฏิญญา ปฏิญญาแล้วกลับปฏิเสธ. ภิกษุนี้แล ชื่อว่าสับเรื่องอื่นด้วยเรื่องอื่น. 
   สุกกวิสัฏฐิสิกขาบท ด้วยอำนาจสีมีสีเขียวเป็นต้น และความเป็นผู้ไม่มีโรค ท่านกล่าวว่า วณฺโณ อวณฺโณ
   สัญจริตสิกขาบท ท่านกล่าวว่า วณฺณมนุปฺปาทนํ
(ยังการขอให้เกิดตามขึ้น) ๓ สิกขาบทมีกายสังสัคคสิกขาบทเป็นต้น ท่านกล่าวตามรูปเดิมนั่นเอง. ๕ สิกขาบทนี้ พึงทราบว่า เป็นบุพภาค คือบุพประโยคของเมถุนธรรม ด้วยประการฉะนี้. 
         อปโลกนกรรม ๔ นั้น ได้แก่ กรรมเป็นวรรค๑- โดยธรรมเป็นต้น. 
         แม้ในกรรมที่เหลือ ก็นัยนี้แล. 
         หมวด ๔ สี่หมวด จึงรวมเป็น ๑๖ ด้วยประการฉะนี้. 
   หลายบทว่า พหุชนอหิตาย ปฏิปนฺโน โหติ
   มีความว่า จริงอยู่ เมื่ออธิกรณ์อันพระวินัยธร วินิจฉัยด้วยฉันทาคติอย่างนั้น สงฆ์ในวัดนั้นย่อมแตกกันเป็น ๒ ฝ่าย.
   แม้ภิกษุณีทั้งหลายผู้อาศัยโอวาทเป็นอยู่ ก็ย่อมเป็น ๒ ฝ่าย.
   พวกอุบาสกก็ดี อุบาสิกาก็ดี เด็กชายก็ดี เด็กหญิงก็ดี ย่อมเป็น ๒ ฝ่าย
   แม้เหล่าอารักขเทวดาของชนเหล่านั้น ก็ย่อมแตกกันเป็น ๒ ฝ่ายเหมือนกัน.
   ต่อแต่นั้นเทวดาทั้งหลายนับภุมมเทวดาเป็นต้น จนถึงอกนิฏฐพรหม ย่อมแยกเป็น ๒ ฝ่ายด้วย. 
   ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ภิกษุผู้ลำเอียงด้วยฉันทาคติเป็นต้น ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อไม่เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก ฯลฯ เป็นผู้ปฏิบัติ เพื่อไม่เป็นประโยชน์ เพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์ แก่ชนเป็นอันมาก ทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย. 
         บทว่า วิสมนิสฺสิโต ได้แก่ ผู้อาศัยกายกรรมเป็นต้น ซึ่งไม่เรียบร้อย. 
         บทว่า คหณนิสฺสิโต ได้แก่ ผู้อาศัยความถือ กล่าวคือมิจฉาทิฏฐิและอันตคาหิกทิฏฐิ. 
         บทว่า พลวนิสฺสิโต ได้แก่ ผู้อาศัยภิกษุผู้มีชื่อเสียง ซึ่งมีกำลัง. 
         สองบทว่า ตสฺส อวชานนฺโต ได้แก่ ดูหมิ่นถ้อยคำของภิกษุนั้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ตสฺส นั้น เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ใช้ในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ.
         อธิบายว่า ดูหมิ่นภิกษุนั้น. 
 สองบทว่า ยํ อตฺถาย มีความว่า เพื่อประโยชน์ใด. 
 สองบทว่า ตํ อตฺถํ มีความว่า ประโยชน์นั้น. 
         คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล. 
๑- ตามฉบับในลาน เป็น วคฺคาทีนิ.
มหาสังคามวัณณนา จบ.

ไม่มีความคิดเห็น: