
ภิกษุไม่มีความจงใจต้องอาบัติเป็นต้น
[๑๒๓๐] มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่มีความจงใจต้อง มีความจงใจออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีความจงใจต้อง ไม่มีความจงใจออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่มีความจงใจต้อง ไม่มีความจงใจออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีความจงใจต้อง มีความจงใจออก.
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นกุศลต้อง มีจิตเป็นกุศลออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นกุศลต้อง มีจิตเป็นอกุศลออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นกุศลต้อง มีจิตเป็นอัพยากฤตออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอกุศลต้อง มีจิตเป็นกุศลออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอกุศลต้อง มีจิตเป็นอกุศลออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอกุศลต้อง มีจิตเป็นอัพยากฤตออก.
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอัพยากฤตต้อง มีจิตเป็นกุศลออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอัพยากฤตต้อง มีจิตเป็นอกุศลออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอัพยากฤตต้อง มีจิตเป็นอัพยากฤตออก.
ปาราชิก ๔
[๑๒๓๑] ถามว่า ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ตอบว่า ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
ถ. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑.
ถ. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑.
ถ. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑. ปาราชิก ๔ สิกขาบท จบ.
สังฆาทิเสส ๑๓
[๑๒๓๒] ถามว่า สังฆาทิเสสของภิกษุผู้พยายามปล่อยอสุจิ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ตอบว่า สังฆาทิเสสของภิกษุผู้พยายามปล่อยอสุจิ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้พูดเคาะมาตุคาม ด้วยวาจาชั่วหยาบ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้พูดเคาะมาตุคาม ด้วยวาจาชั่วหยาบ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กายวาจา และจิต ๑.
ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุ ผู้กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามในสำนักมาตุคาม เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. สังฆาทิเสสของภิกษุ ผู้กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามในสำนักมาตุคาม เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.
ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.
ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ให้ทำกุฎี ด้วยอาการขอเอาเอง เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ให้ทำกุฎี ด้วยอาการขอเอาเอง เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.
ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ให้ทำกุฎีใหญ่ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ให้ทำกุฎีใหญ่ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กายมิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.
ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันหามูลมิได้ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันหามูลมิได้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.
ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถือเอาเอกเทศบางอย่าง แห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลศ ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรม อันมีโทษถึงปาราชิก เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถือเอาเอกเทศบางอย่าง แห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลศ ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรม อันมีโทษถึงปาราชิก เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑.
ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ไม่สละกรรม เมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต.
ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลาย ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลาย ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือเกิดแต่กาย วาจา และจิต.
ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ว่ายาก ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ว่ายาก ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจาและจิต.
ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต. สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท จบ
เสขิยวัตร
[๑๒๓๓] ... ถามว่า ทุกกฏของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะหรือบ้วนเขฬะ ลงในน้ำ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ตอบว่า ทุกกฏของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย กับจิต มิใช่วาจา. เสขิยวัตร จบ
ปาราชิก ๔
[๑๒๓๔] ถามว่า ปาราชิก ๔ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ตอบว่า ปาราชิก ๔ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.
สังฆาทิเสส ๑๓
[๑๒๓๕] ถามว่า สังฆาทิเสส ๑๓ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ตอบว่า สังฆาทิเสส ๑๓ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจามิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจา กับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑.
อนิยต ๒
[๑๒๓๖] ถามว่า อนิยต ๒ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ตอบว่า อนิยต ๒ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย ๑ วาจา และจิต ๑.
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐
[๑๒๓๗] ถามว่า นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ตอบว่า นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจามิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑.
ปาจิตตีย์ ๙๒
[๑๒๓๘] ถามว่า ปาจิตตีย์ ๙๒ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ตอบว่า ปาจิตตีย์ ๙๒ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑.
ปาฏิเทสนียะ ๔
[๑๒๓๙] ถามว่า ปาฏิเทสนียะ ๔ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ตอบว่า ปาฏิเทสนียะ ๔ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจามิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.
เสขิยะ ๗๕
[๑๒๔๐] ถามว่า เสขิยะ ๗๕ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ตอบว่า เสขิยะ ๗๕ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑. สมุฏฐานจบ
หัวข้อประจำเรื่อง
[๑๒๔๑] ไม่มีความจงใจ ๑ มีจิตเป็นกุศล ๑ สมุฏฐานทุกสิกขาบท ๑ ขอท่านทั้งหลายจงรู้สมุฏฐาน โดยรู้ตามธรรมเทอญ.
สมุฏฐานวัณณนา วินิจฉัยในคำว่า อจิตฺตโก อาปชฺชติ เป็นอาทิ พึงทราบดังนี้ :-
ภิกษุผู้ไม่แกล้ง แต่ต้องโทษตามพระบัญญัติ มีสหไสยเป็นต้น ชื่อว่าไม่มีความจงใจต้อง, เมื่อแสดงเสีย ชื่อว่ามีความจงใจออก.
ภิกษุผู้แกล้งต้องโทษอย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่ามีความจงใจต้อง, เมื่อออกด้วยติณวัตถารกวินัย ชื่อว่าไม่มีความจงใจออก.
เมื่อออกอาบัติที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล ด้วยติณวัตถารกวินัย ชื่อว่าไม่มีความจงใจต้อง ไม่มีความจงใจออก.
เมื่อแสดงอาบัตินอกนี้ ชื่อว่ามีความจงใจต้อง มีความจงใจออก.
เมื่อคิดว่า เราจะทำธรรมทาน กระทำธรรมเป็นต้นโดยบท ชื่อว่ามีจิตเป็นกุศลต้อง.
เมื่อมีจิตเบิกบานว่า เราทำตามคำพร่ำสอนของพระพุทธเจ้า แสดง (อาบัติ) ชื่อว่ามีจิตเป็นกุศลออก.
เมื่อเป็นผู้ถึงความเสียใจแสดง ชื่อว่ามีจิตเป็นอกุศลออก.
เมื่อหลับเสีย ออกด้วยติณวัตถารกวินัย ชื่อว่ามีจิตเป็นอัพยากฤตออก.
เมื่อทำความละเมิดมีหลอนให้กลัวเป็นต้น แล้วถึงความดีใจว่า เราทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แสดง (อาบัติ) ชื่อว่ามีจิตเป็นอกุศลต้อง มีจิตเป็นกุศลออก.
ถึงความเสียใจเทียวแสดง ชื่อว่ามีจิตเป็นอกุศลออก.
เมื่อออกด้วยติณวัตถารกวินัย ตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล ชื่อว่ามีจิต เป็นอัพยากฤตออก.
เมื่อต้องอาบัติเพราะนอนร่วมเรือน ในสมัยที่หยั่งลงสู่ความหลับ ชื่อว่ามีจิตเป็นอัพยากฤตต้อง.
ส่วนคำว่า มีจิตเป็นกุศลออก เป็นอาทิ พึงทราบในอาบัติที่ต้องเพราะนอนร่วมเรือนนี้ ตามนัยที่กล่าวนั่นแล.
คำว่า ปฐมํ ปาราชิกํ กตีหิ สมุฏฺฐาเนหิ เป็นอาทิ นับว่าตื้นทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวแล้วในหลัง.
สมุฏฐานใดๆ ได้แก่อาบัติใดๆ, สมุฏฐานและอาบัตินั้นๆ ทั้งมวล เป็นอันได้กล่าวเสร็จแล้ว โดยกำหนดอย่างสูง ในคำว่า ปาราชิก ๔ ย่อมเกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ เป็นอาทิ.
สมุฏฐานวัณณนา จบ.
ทุติยคาถาสังคณิกะ อาบัติทางกายเป็นต้น
[๑๒๔๒] ถามว่า อาบัติทางกายจัดไว้เท่าไร? ทางวาจาจัดไว้เท่าไร? เมื่อปกปิดต้องอาบัติเท่าไร? อาบัติมีการเคล้าคลึงเป็นปัจจัยมีเท่าไร?
ตอบว่า อาบัติทางกายจัดไว้ ๖ ทางวาจาจัดไว้ ๖ เมื่อปกปิดต้องอาบัติ ๓ อาบัติมีการเคล้าคลึงเป็นปัจจัยมี ๕.
ต้องอาบัติเมื่ออรุณขึ้นเป็นต้น
[๑๒๔๓] ถามว่า อาบัติเพราะอรุณขึ้นมีเท่าไร? อาบัติชื่อยาวตติยกา มีเท่าไร? อาบัติชื่ออัตถวัตถุกาในศาสนานี้มีเท่าไร? สงเคราะห์สิกขาบทและปาติโมก ขุทเทสทั้งมวลด้วยอุเทสเท่าไร?
ตอบว่า อาบัติเพราะอรุณขึ้น มี ๓ อาบัติชื่อยาวตติยกามี ๒ อาบัติชื่ออัตถวัตถุกาในศาสนานี้มี ๑ สงเคราะห์สิกขาบทและปาติโมกขุทเทสทั้งมวล ด้วยนิทานุเทสอย่างเดียว.
มูลแห่งวินัยเป็นต้น
[๑๒๔๔] ถามว่า มูลแห่งวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้มีเท่าไร? อาบัติหนักในฝ่ายวินัยตรัสไว้เท่าไร? อาบัติเพราะปิดอาบัติชั่วหยาบมีเท่าไร?
ตอบว่า มูลแห่งวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้มี ๒ อาบัติหนักในฝ่ายวินัยตรัสไว้ ๒ อาบัติเพราะปิดอาบัติชั่วหยาบมี ๒
ต้องอาบัติในละแวกบ้านเป็นต้น
[๑๒๔๕] ถามว่า อาบัติในละแวกบ้านมีเท่าไร? อาบัติมีฝั่งนทีเป็นปัจจัยมีเท่าไร? เป็นอาบัติถุลลัจจัย เพราะเนื้อกี่ชนิด? เป็นอาบัติทุกกฏ เพราะเนื้อกี่ชนิด?
ตอบว่า อาบัติในละแวกบ้านมี ๔ อาบัติมีฝั่งนทีเป็นปัจจัยมี ๔ เป็นอาบัติถุลลัจจัย เพราะเนื้อชนิดเดียว เป็นอาบัติทุกกฏ เพราะเนื้อ ๙ ชนิด.
ต้องอาบัติทางวาจาในราตรีเป็นต้น
[๑๒๔๖] ถามว่า อาบัติทางวาจาในกลางคืนมีเท่าไร? อาบัติทางวาจาในกลางวันมีเท่าไร? เมื่อให้ ต้องอาบัติเท่าไร? เมื่อรับ ต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า อาบัติทางวาจาในกลางคืนมี ๒ อาบัติทางวาจาในกลางวันมี ๒ เมื่อให้ ต้องอาบัติ ๓ เพราะรับ ต้องอาบัติ ๔.
ต้องอาบัติเป็นเทสนาคามินีเป็นต้น
[๑๒๔๗] ถามว่า อาบัติเป็นเทสนาคามินี มีเท่าไร? อาบัติที่ทำคืนได้ จัดไว้เท่าไร? อาบัติที่ทำคืนไม่ได้ในศาสนานี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร?
ตอบว่า อาบัติเป็นเทสนาคามินีมี ๕ อาบัติที่ทำคืนได้จัดไว้ ๖ อาบัติที่ทำคืนไม่ได้ในศาสนานี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้อย่างเดียว.
ต้องอาบัติหนักในฝ่ายวินัยเป็นต้น
[๑๒๔๘] ถามว่า อาบัติหนักในฝ่ายวินัยเป็นไปทางกายและวาจา ตรัสไว้เท่าไร? ธัญญรสในเวลาวิกาลมีเท่าไร? สมมติด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจามีเท่าไร?
ตอบว่า อาบัติหนักในฝ่ายวินัยเป็นไปทางกายและวาจาตรัสไว้ ๒ ธัญญรสในเวลาวิกาลมีอย่างเดียว สมมติด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจามีอย่างเดียว.
อาบัติปาราชิกทางกายเป็นต้น
[๑๒๔๙] ถามว่า อาบัติปาราชิกทางกายมีเท่าไร? ภูมิของภิกษุผู้มีสังวาสเท่าไร? รัตติเฉทของภิกษุกี่พวก? และพระบัญญัติเรื่องสองนิ้วมีเท่าไร?
ตอบว่า อาบัติปาราชิกทางกายมี ๒ ภูมิของภิกษุผู้มีสังวาสมี ๒ รัตติเฉทของภิกษุ ๒ พวก และพระบัญญัติเรื่องสองนิ้วมี ๒.
ต้องอาบัติเพราะทำร้ายตัวเองเป็นต้น
[๑๒๕๐] ถามว่า เพราะทำร้ายตัวเอง ต้องอาบัติเท่าไร? สงฆ์แตกกัน ด้วยอาการเท่าไร? อาบัติชื่อปฐมาปัตติกาในศาสนานี้ มีเท่าไร? ทำญัตติมีเท่าไร?
ตอบว่า เพราะทำร้ายตนเอง ต้องอาบัติ ๒ สงฆ์แตกกันด้วยอาการ ๒ อาบัติชื่อปฐมาปัตติกาในศาสนี้มี ๒ ทำญัตติมี ๒.
ต้องอาบัติเพราะปาณาติบาตเป็นต้น
[๑๒๕๑] ถามว่า อาบัติเพราะปาณาติบาต มีเท่าไร? อาบัติปาราชิกเนื่องด้วยวาจามีเท่าไร? อาบัติเกี่ยวด้วยพูดเคาะ ตรัสไว้เท่าไร? อาบัติเกี่ยวด้วยเที่ยวชักสื่อ ตรัสไว้เท่าไร?
ตอบว่า อาบัติเพราะปาณาติบาตมี ๓ อาบัติปาราชิกเนื่องด้วยวาจามี ๓ อาบัติเกี่ยวด้วยพูดเคาะ ตรัสไว้ ๓ และเกี่ยวด้วยเที่ยวชักสื่อ ตรัสไว้ ๓
บุคคลไม่ควรให้อุปสมบทเป็นต้น
[๑๒๕๒] ถามว่า บุคคลที่ไม่ควรให้อุปสมบท มีเท่าไร? กรรมสงเคราะห์มีเท่าไร? บุคคลที่ถูกนาสนะตรัสไว้เท่าไร? อนุสาวนาเดียวกันสำหรับบุคคล มีจำนวนเท่าไร?
ตอบว่า บุคคลที่ไม่ควรให้อุปสมบทมี ๓ พวก, กรรมสงเคราะห์มี ๓ อย่าง, บุคคลที่ถูกนาสนะตรัสไว้ ๓ พวก, อนุสาวนาเดียวกัน สำหรับบุคคลมีจำนวน ๓ คน.
ต้องอาบัติเพราะอทินนาทานเป็นต้น [๑๒๕๓] ถามว่า อาบัติเพราะอทินนาทาน มีเท่าไร? อาบัติเพราะเมถุนเป็นปัจจัยมีเท่าไร? เมื่อตัดเป็นอาบัติเท่าไร? เพราะการทิ้งเป็นปัจจัย เป็นอาบัติเท่าไร? ตอบว่า อาบัติเพราะอทินนาทานมี ๓ อาบัติเพราะเมถุนเป็นปัจจัยมี ๔ เมื่อตัดเป็น อาบัติ ๓ ตัว อาบัติเพราะการทิ้งเป็นปัจจัยมี ๕. ปรับอาบัติควบกันเป็นต้น [๑๒๕๔] ถามว่า ในภิกขุโนวาทกวรรค อาบัติทุกกฏ กับปาจิตตีย์ หมวดที่ตรัสไว้เป็น ๙ ในสิกขาบทที่ ๑ นั้น เป็นเท่าไร? ภิกษุณีเท่าไร เป็นอาบัติแก่ภิกษุเพราะจีวร? ตอบว่า ในภิกขุโนวาทกวรรค อาบัติทุกกฏ กับปาจิตตีย์ที่ตรัสไว้หมวด ๙ ในสิกขา- บทที่ ๑ นั้น มี ๔ ภิกษุณี ๒ พวก เป็นอาบัติแก่ภิกษุเพราะจีวร. ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะเป็นต้น [๑๒๕๕] ถามว่า อาบัติปาฏิเทสนียะสำหรับภิกษุณีที่ตรัสไว้เท่าไร? เพราะขอข้าวเปลือกดิบ มาฉัน ปรับอาบัติทุกกฏกับปาจิตตีย์ หรือ? ตอบว่า อาบัติปาฏิเทสนียะ ที่ตรัสแก่ภิกษุณี ปรับอาบัติไว้ ๘ เพราะขอข้าวเปลือก ดิบมาฉัน ปรับอาบัติทุกกฏกับปาจิตตีย์. ต้องอาบัติเพราะเดินเป็นต้น [๑๒๕๖] ถามว่า ผู้เดินต้องอาบัติเท่าไร? ผู้ยืนต้องอาบัติเท่าไร? ผู้นั่งต้องอาบัติเท่าไร? และผู้นอนต้องอาบัติเท่าไร? ตอบว่า ผู้เดินต้องอาบัติ ๔ ผู้ยืนต้องอาบัติเท่ากัน ผู้นั่งต้องอาบัติ ๔ และผู้นอน ต้องอาบัติเท่ากัน. ต้องอาบัติในเขตเดียวกัน [๑๒๕๗] ถามว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมด มีเท่าไร ที่ต่างวัตถุกันภิกษุพึงต้องในขณะเดียวกัน ไม่ก่อน ไม่หลัง? ตอบว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมี ๕ ที่ต่างวัตถุกัน ภิกษุพึงต้องในขณะเดียวกัน ไม่ก่อน ไม่หลัง. [๑๒๕๘] ถามว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมด มีเท่าไร ที่ต่างวัตถุกันภิกษุพึงต้องในขณะเดียวกัน ไม่ก่อน ไม่หลัง? ตอบว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมี ๙ ที่ต่างวัตถุกัน ภิกษุพึงต้องในขณะเดียวกัน ไม่ก่อน ไม่หลัง. วิธีแสดงอาบัติ [๑๒๕๙] ถามว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมด มีเท่าไร? ที่ต่างวัตถุกันอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่า แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสแล้ว ภิกษุพึงแสดงด้วยวาจาเท่าไร? ตอบว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมี ๕ ที่ต่างวัตถุกัน อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระ ราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสแล้ว ภิกษุพึงแสดงด้วยวาจาอย่างเดียว. [๑๒๖๐] ถามว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมีเท่าไร? ที่ต่างวัตถุกันอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่ง พระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสแล้ว ภิกษุพึงแสดงด้วยวาจาเท่าไร? ตอบว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมี ๙ ที่ต่างวัตถุกัน อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่ง พระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสแล้ว ภิกษุพึงแสดงด้วยวาจาอย่างเดียว. [๑๒๖๑] ถามว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมีเท่าไร? ที่ต่างวัตถุกันอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่ง พระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสแล้ว ภิกษุพึงแสดงระบุอะไร? ตอบว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมี ๕ ที่ต่างวัตถุกัน อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่ง พระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสแล้ว ภิกษุพึงแสดงระบุวัตถุ. [๑๒๖๒] ถามว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมีเท่าไร? ที่ต่างวัตถุกันอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่ง พระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสแล้ว ภิกษุพึงแสดงระบุอะไร? ตอบว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมี ๙ ที่ต่างวัตถุกัน อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่ง พระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสแล้ว ภิกษุพึงแสดงระบุวัตถุ. ยาวตติยกาเป็นต้น [๑๒๖๓] ถามว่า เพราะสวดประกาศครบ ๓ จบ เป็นอาบัติเท่าไร? เพราะการกล่าวเป็น ปัจจัย เป็นอาบัติเท่าไร? ภิกษุเคี้ยว ต้องอาบัติเท่าไร? เพราะฉันเป็นปัจจัย เป็น อาบัติเท่าไร? ตอบว่า เพราะสวดประกาศครบ ๓ จบ เป็นอาบัติ ๓ เพราะการกล่าวเป็นปัจจัย เป็นอาบัติ ๖ ภิกษุเคี้ยวต้องอาบัติ ๓ ตัว, เพราะฉันเป็นปัจจัย เป็นอาบัติ ๕. ฐานะแห่งยาวตติยกาเป็นต้น [๑๒๖๔] ถามว่า ยาวตติยกาบัติทั้งมวล ย่อมถึงฐานะเท่าไร? อาบัติมีแก่คนกี่พวก? และอธิกรณ์ มีแก่คนกี่พวก? ตอบว่า ยาวตติยกาบัติทั้งมวลย่อมถึงฐานะ ๕ อาบัติมีแก่สหธรรมิก ๕ และ อธิกรณ์ มีแก่สหธรรมิก ๕. วินิจฉัยเป็นต้น [๑๒๖๕] ถามว่า วินิจฉัยมีแก่บุคคลกี่พวก? การระงับ มีแก่บุคคลกี่พวก? บุคคลกี่พวก ไม่ต้องอาบัติ? และภิกษุย่อมงามด้วยฐานะเท่าไร? ตอบว่า วินิจฉัยมีแก่สหธรรมิก ๕ พวก การระงับมีแก่สหธรรมิก ๕ พวก สหธรรมิก ๕ พวก ไม่ต้องอาบัติและภิกษุย่อมงามด้วยเหตุ ๓ สถาน อาบัติทางกายในราตรีเป็นต้น [๑๒๖๖] ถามว่า อาบัติทางกายในราตรีมีเท่าไร? ทางกายในกลางวันมีเท่าไร? ภิกษุแพ่งดูต้อง อาบัติเท่าไร? เพราะบิณฑบาตเป็นปัจจัยเป็นอาบัติเท่าไร? ตอบว่า อาบัติทางกายในราตรีมี ๒ ทางกายในกลางวันมี ๒ ภิกษุเพ่งดูต้อง อาบัติตัวเดียว เพราะบิณฑบาตเป็นปัจจัยเป็นอาบัติตัวเดียว. ภิกษุที่สงฆ์ยกวัตรเป็นต้น [๑๒๖๗] ถามว่า ภิกษุเห็นอานิสงส์เท่าไร จึงแสดง เพราะเชื่อผู้อื่น? ภิกษุผู้ถูกยกวัตรตรัส ไว้มีเท่าไร? ความประพฤติชอบมีเท่าไร? ตอบว่า ภิกษุเห็นอานิสงส์ ๘ อย่าง จึงแสดงเพราะเชื่อผู้อื่น ภิกษุผู้ถูกยกวัตร ตรัสไว้ มี ๓ พวก ความประพฤติชอบมี ๔๓ ข้อ มุสาวาทเป็นต้น [๑๒๖๘] ถามว่า มุสาวาทถึงฐานะเท่าไร? ที่ตรัสว่าอย่างยิ่งมีเท่าไร? ปาฏิเทสนียะมีกี่สิกขาบท? การแสดงโทษของบุคคลกี่จำพวก? ตอบว่า มุสาวาทถึงฐานะ ๕ ที่ตรัสว่าอย่างยิ่ง มี ๑๔ สิขาบท ปาฏิเทสนียะมี ๑๒ สิกขาบท การแสดงโทษของบุคคล ๕ จำพวก องค์ของมุสาวาทเป็นต้น [๑๒๖๙] ถามว่า มุสาวาทมีองค์เท่าไร? องค์อุโบสถมีเท่าไร? องค์ของผู้ควรเป็นทูตมีเท่าไร? ติตถิยวัตร มีเท่าไร? ตอบว่า มุสาวาทมีองค์ ๘ องค์อุโบสถมี ๘ องค์ของผู้ควรเป็นทูตมี ๘ ติตถิยวัตรมี ๘ อุปสัมปทาเป็นต้น [๑๒๗๐] ถามว่า อุปสัมปทามีวาจาเท่าไร? ภิกษุณีพึงลุกรับภิกษุณีกี่พวก? พึงให้อาสนะ แก่ภิกษุณีกี่พวก? ภิกษุผู้สั่งสอนภิกษุณีต้องประกอบด้วยคุณสมบัติเท่าไร? ตอบว่า อุปสัมปทามีวาจา ๘ ภิกษุณีพึงลุกรับ ภิกษุณี ๘ พวกพึงให้อาสนะแก่ ภิกษุณี ๘ พวก ภิกษุผู้สั่งสอนภิกษุณีต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ๘ ความขาดเป็นต้น [๑๒๗๑] ถามว่า ความขาดมีแก่คนเท่าไร? อาบัติถุลลัจจัยมีแก่คนเท่าไร? บุคคลเท่าไร ไม่ต้องอาบัติ? อาบัติและอนาบัติของคนทั้งหมดมีวัตถุอย่างเดียวกัน หรือ? ตอบว่า ความขาดมีแก่คนผู้เดียว อาบัติถุลลัจจัยมีแก่คน ๔ พวก บุคคล ๔ พวก ไม่ต้องอาบัติอาบัติและอนาบัติของคนทั้งหมดมีวัตถุอย่างเดียวกัน กรรมเนื่องด้วยญัตติเป็นต้น [๑๒๗๒] ถามว่า อาฆาตวัตถุมีเท่าไร? สงฆ์แตกกัน ด้วยเหตุเท่าไร? อาบัติชื่อปฐมาปัตติกา ในศาสนานี้มีเท่าไร? ทำด้วยญัตติมีเท่าไร? ตอบว่า อาฆาตวัตถุมี ๙ สงฆ์แตกกันด้วยเหตุ ๙ อย่าง อาบัติชื่อปฐมาปัตติกา ในศาสนานี้มี ๙ อย่าง ทำด้วยญัตติมี ๙. บุคคลไม่ควรกราบไหว้เป็นต้น [๑๒๗๓] ถามว่า บุคคลเท่าไร อันภิกษุไม่พึงกราบไหว้ และไม่พึงทำอัญชลีกรรมและสามี จิกรรม? เพราะทำแก่บุคคลเท่าไร ต้องอาบัติทุกกฏ? ทรงจีวรมีกำหนดเท่าไร? ตอบว่า บุคคล ๑๐ พวก อันภิกษุไม่พึงกราบไหว้ ไม่พึงทำอัญชลีกรรม และสามี จิกรรม เพราะทำแก่บุคคล ๑๐ พวก ต้องอาบัติทุกกฏทรงจีวรมีกำหนด ๑๐ วัน ให้จีวรเป็นต้น [๑๒๗๔] ถามว่า จีวรควรให้แก่บุคคลในศาสนานี้ ผู้จำพรรษาแล้วกี่พวก? เมื่อมีผู้รับแทนควรให้ แก่บุคคลกี่พวก? และไม่ควรให้แก่บุคคลกี่พวก? ตอบว่า จีวรควรให้แก่สหธรรมิก ๕ ในศาสนานี้ ผู้จำพรรษาแล้วเมื่อมีผู้รับแทน ควรให้แก่บุคคล ๗ พวก ไม่ควรให้แก่บุคคล ๑๖ พวก ภิกษุอยู่ปริวาส [๑๒๗๕] ถามว่า ชั่ว ๑๐๐ ราตรี ภิกษุอยู่ปริวาสปิดอาบัติไว้กี่ร้อย? ต้องอยู่ปริวาสกี่ราตรี จึงจะพ้น? ตอบว่า ชั่ว ๑๐๐ ราตรี ภิกษุอยู่ปริวาสปิดอาบัติไว้ ๑๐ ร้อยราตรีต้องอยู่ปริวาส ๑๐ ราตรี จึงจะพ้น โทษแห่งกรรม [๑๒๗๖] ถามว่า โทษแห่งกรรม อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ เท่าไร? กรรมไม่เป็นธรรมทั้งหมดที่ตรัสไว้ในเรื่องวินัย ในพระนครจัมปามีเท่าไร? ตอบว่า โทษแห่งกรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้มี ๑๒ กรรมที่ตรัสไว้ในเรื่องวินัยในพระนครจัมปาล้วนไม่เป็นธรรม. กรรมสมบัติ [๑๒๗๗] ถามว่า กรรมสมบัติอันพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้มีเท่าไร? กรรมเป็นธรรมทั้งหมดที่ตรัสไว้ในเรื่องวินัย ในพระนครจำปามีเท่าไร? ตอบว่า กรรมสมบัติอันพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๔ อย่าง กรรมที่ตรัสไว้ในเรื่องวินัย ในพระนครจัมปาล้วนเป็นธรรม กรรม ๖ อย่าง [๑๒๗๘] ถามว่า กรรมอันพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? กรรมที่ตรัสไว้ในเรื่องวินัยในพระนครจัมปา ที่เป็นธรรมมีเท่าไร? ที่ไม่เป็นธรรมมีเท่าไร? ตอบว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๖ อย่าง บรรดา กรรม ๖ นี้ กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ในเรื่องวินัย ในพระนคร จัมปา ที่เป็นธรรมอย่างเดียว, ที่ไม่เป็นธรรม ๕ อย่าง. กรรม ๔ อย่าง [๑๒๗๙] ถามว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? กรรมที่ ตรัสไว้ในเรื่องวินัยในพระนครจัมปา ที่เป็นธรรมมีเท่าไร? ที่ไม่เป็นธรรมมีเท่าไร? ตอบว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๔ อย่าง, บรรดา กรรม ๔ นี้ กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ในเรื่องวินัย ในพระนคร จัมปา ที่เป็นธรรมมีอย่างเดียว ที่ไม่เป็นธรรมมี ๓ อย่าง อาบัติระงับและไม่ระงับ [๑๒๘๐] ถามว่า กองอาบัติใด อันพระอนันตชินเจ้าผู้คงที่ ผู้ทรงเห็นวิเวกทรงแสดงแล้ว ในกองอาบัตินั้น กองอาบัติเท่าใด เว้นสมถะเสีย ย่อมระงับ? ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ข้าพเจ้าถามข้อนั้น ขอท่านจงบอก ตอบว่า กองอาบัติใดอันพระอนันตชินเจ้าผู้คงที่ ผู้ทรงเห็นวิเวกทรงแสดงแล้ว ในกองอาบัตินั้น กองอาบัติกองเดียว เว้นสมถะเสียย่อมระงับ ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ข้าพเจ้าบอกข้อนั้น แก่ท่าน ภิกษุทำลายสงฆ์ไปสู่อบาย [๑๒๘๑] ถามว่า ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ไปสู่อบาย อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย ตอบว่า ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ไปสู่อบาย ตกนรกชั่วกัลป์อันพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าแห่ง พระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๑๔๔ ขอท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย. ภิกษุทำลายสงฆ์ไม่ไปสู่อบาย [๑๒๘๒] ถามว่า ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ไม่ไปสู่อบาย อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย ตอบว่า ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ไม่ไปอบาย อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ ตรัสไว้ ๑๘ ขอท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย. หมวด ๘ [๑๒๘๓] ถามว่า หมวด ๘ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย ตอบว่า หมวด ๘ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๑๘ หมวด ขอท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะวินัย. กรรม ๑๖ อย่าง [๑๒๘๔] ถามว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้า ทั้งหลาย ขอฟังนิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย ตอบว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๑๖ ขอท่านจง ฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย. โทษแห่งกรรม ๑๒ [๑๒๘๕] ถามว่า โทษแห่งกรรม อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้าทั้งหลายขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย. ตอบว่า โทษแห่งกรรม อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๑๒ อย่าง ขอท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย. กรรมสมบัติ ๔ [๑๒๘๖] ถามว่า กรรมสมบัติ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย. ตอบว่า กรรมสมบัติ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๔ อย่าง ขอท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะวินัย. กรรม ๖ [๑๒๘๗] ถามว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้า ทั้งหลายขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย ตอบว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๖ อย่าง ขอท่าน จงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย. กรรม ๔ [๑๒๘๘] ถามว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้า ทั้งหลายขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย, ตอบว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๔ อย่าง ขอท่าน จงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย ปาราชิก ๘ [๑๒๘๙] ถามว่า ปาราชิก อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย. ตอบว่า ปาราชิก อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๘ ขอท่าน จงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย. สังฆาทิเสส ๒๓ [๑๒๙๐] ถามว่า สังฆาทิเสส อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังนิสัยของท่านผู้รู้ เฉพาะพระวินัย ตอบว่า สังฆาทิเสส อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๒๓ ขอท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย. อนิยต ๒ [๑๒๙๑] ถามว่า อนิยต อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย ตอบว่า อนิยต อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๒ ขอท่าน จงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย. นิสสัคคิยะ ๔๒ [๑๒๙๒] ถามว่า นิสสัคคิยะ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย ตอบว่า นิสสัคคิยะ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๔๒ ของท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย. ปาจิตติยะ ๑๘๘ [๑๒๙๓] ถามว่า ปาจิตติยะ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย ตอบว่า ปาจิตติยะ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๑๘๘ ขอท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย. ปาฏิเทสนียะ ๑๒ [๑๒๙๔] ถามว่า ปาฏิเทสนียะ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย ตอบว่า ปาฏิเทสนียะ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๑๒ ขอท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะวินัย. เสขิยะ ๗๕ [๑๒๙๕] ถามว่า เสขิยะ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของผู้รู้เฉพาะพระวินัย ตอบว่า เสขิยะ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๗๕ ขอท่าน จงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย. ปัญหาข้อใด ท่านถามแล้วด้วยดีฉันใด ปัญหาข้อนั้นข้าพเจ้าตอบแล้วด้วยดีฉันนั้น อนึ่ง ในคำถามและคำตอบจะไม่อ้างถึงสูตรอะไรไม่มีแล. ทุติยคาถาสังคณิกะ จบ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น