Translate

09 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร ว่าด้วยไม่ถึงฉันทาคติ เป็นต้น ว่าด้วยให้เข้าใจ เป็นต้น

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
ว่าด้วยไม่ถึงฉันทาคติ
   [๑๐๙๘] คำว่า ไม่พึงถึงฉันทาคติ นั้น ความว่า เมื่อถึงฉันทาคติ ถึงอย่างไร? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ คิดว่า ท่านผู้นี้เป็นอุปัชฌาย์ของเรา เป็นอาจารย์ของเรา เป็นสัทธิวิหาริกของเรา เป็นอันเตวาสิกของเรา เป็นผู้ร่วมอุปัชฌาย์ของเรา เป็นผู้ร่วมอาจารย์ของเราเป็นผู้เคยเห็นกันมากับเรา เป็นผู้เคยร่วม
คบกันมากับเรา หรือท่านผู้นี้เป็นญาติสาโลหิตของเรา ดังนี้ เพื่ออนุเคราะผู้นั้น เพื่อตามรักษาท่านผู้นั้น จึงแสดงอธรรมว่าธรรม แสดงธรรมว่าอธรรม แสดงอวินัยว่าวินัย แสดงวินัยว่าอวินัย แสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิต ว่าพระตถาคตตรัสภาษิตแล้ว แสดงสิ่งที่พระตถาคตตรัสภาษิตแล้ว ว่าพระตถาคตไม่ได้
ตรัสภาษิต แสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมา ว่าพระตถาคตทรงประพฤติมาแล้ว แสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงประพฤติมาแล้ว ว่าพระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมา แสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัติว่าพระตถาคตทรงบัญญัติแล้ว แสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงบัญญัติแล้ว ว่าพระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัติ
แสดงอนาบัติว่าอาบัติ แสดงอาบัติว่าอนาบัติ แสดงอาบัติเบาว่าอาบัติหนัก แสดงอาบัติหนักว่าอาบัติเบา แสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่าอาบัติไม่มีส่วนเหลือ แสดงอาบัติไม่มีส่วนเหลือว่าอาบัติมีส่วนเหลือ แสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ภิกษุถึงฉันทาคติด้วยวัตถุ
๑๘ อย่างนี้ ย่อมปฏิบัติ เพื่อไม่เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อความไม่เป็นสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อความพินาศแก่ชนหมู่มาก เพื่อความไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ภิกษุผู้ถึงฉันทาคติด้วยวัตถุ ๑๘ อย่างนี้ ย่อมบริหารตนให้ถูกขุดถูกกำจัด เป็นผู้ประกอบด้วยโทษ อันวิญญูชนพึงติเตียน และย่อมประสพบาปมิใช่บุญมาก ภิกษุเมื่อถึงฉันทาคติ ย่อมถึงอย่างนี้.

ว่าด้วยไม่ถึงโทสาคติ
   [๑๐๙๙] คำว่า ไม่พึงถึงโทสาคติ นั้น ความว่า เมื่อถึงโทสาคติ ถึงอย่างไร? ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้ได้ก่อความพินาศแก่เราแล้ว ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้กำลังก่อความพินาศแก่เรา ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้จักก่อความพินาศแก่เรา ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้ได้ก่อความพินาศแก่เราผู้เป็นที่รักที่พอใจ
ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้กำลังก่อความพินาศแก่เราผู้เป็นที่รักที่พอใจ ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้จักก่อความพินาศแก่เราผู้เป็นที่รักที่พอใจ ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้ได้ก่อประโยชน์แก่เราผู้ไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่พอใจ ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้กำลังก่อประโยชน์แก่เราผู้ไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่พอใจ ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้จักก่อประโยชน์แก่เราผู้ไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่พอใจ
ภิกษุนั้นอาฆาต ปองร้าย ขุ่นเคือง อันความโกรธครอบงำ เพราะอาฆาตวัตถุ ๙ อย่างนี้ ย่อมแสดงอธรรมว่าธรรม แสดงธรรมว่าอธรรม ... แสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ภิกษุผู้ถึงโทสาคติเพราะวัตถุ ๑๘ อย่างนี้ ย่อมปฏิบัติเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนหมู่
มาก เพื่อความไม่เป็นสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อความพินาศแก่ชนหมู่มาก เพื่อความไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ภิกษุผู้ถึงโทสาคติเพราะวัตถุ ๑๘ อย่างนี้ ย่อมบริหารตนให้ถูกขุดถูกกำจัด เป็นผู้ประกอบด้วยโทษ อันวิญญูชนพึงติเตียน และย่อมประสพบาปมิใช่บุญมาก ภิกษุเมื่อถึงโทสาคติ ย่อมถึงอย่างนี้.

ว่าด้วยไม่ถึงโมหาคติ
   [๑๑๐๐] คำว่า ไม่พึงถึงโมหาคติ นั้น ความว่า เมื่อถึงโมหาคติ ถึงอย่างไร? ภิกษุเป็นผู้กำหนัด ย่อมถึงด้วยอำนาจความกำหนัด เป็นผู้ขัดเคืองย่อมถึงด้วยอำนาจความขัดเคืองเป็นผู้หลง ย่อมถึงด้วยอำนาจความหลง เป็นผู้ลูบคลำ ย่อมถึงด้วยอำนาจทิฏฐิ ภิกษุเป็นผู้หลงงมงาย ถูกโมหะครอบงำ
ย่อมแสดงอธรรมว่าธรรม แสดงธรรมว่าอธรรม ... แสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ  แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ภิกษุผู้ถึงโมหาคติเพราะวัตถุ ๑๘ อย่างนี้ ย่อมปฏิบัติเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อความไม่เป็นสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อความพินาศแก่ชนหมู่มาก เพื่อความไม่เกื้อกูล
เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ภิกษุผู้ถึงโมหาคติเพราะวัตถุ ๑๘ อย่างนี้ ย่อมบริหารตนให้ถูกขุดถูกกำจัด เป็นผู้ประกอบด้วยโทษ อันวิญญูชนพึงติเตียน และย่อมประสพบาปมิใช่บุญมาก ภิกษุเมื่อถึงโมหาคติ ย่อมถึงอย่างนี้.

ว่าด้วยไม่ถึงภยาคติ
   [๑๑๐๑] คำว่า ไม่พึงถึงภยาคติ นั้น ความว่า เมื่อถึงภยาคติ ถึงอย่างไร? ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ คิดว่า ผู้นี้อาศัยความประพฤติไม่เรียบร้อย อาศัยความยึดถืออาศัยพรรคพวกมีกำลัง เป็นผู้ร้ายกาจหยาบคาย จักทำอันตรายแก่ชีวิต หรือทำอันตรายแก่พรหมจรรย์ ดังนี้ จึงขลาด เพราะกลัว
ต่อผู้นั้น ย่อมแสดงอธรรมว่าธรรม แสดงธรรมว่าอธรรม ... แสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ภิกษุผู้ถึงภยาคติ เพราะวัตถุ ๑๘ อย่างนี้ ย่อมปฏิบัติเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อความไม่เป็นสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อความพินาศแก่ชนหมู่มาก เพื่อความไม่เกื้อกูล
เพื่อความทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ภิกษุผู้ถึงภยาคติเพราะวัตถุ ๑๘ อย่างนี้ ย่อมบริหารตนให้ถูกขุดถูกกำจัด เป็นผู้ประกอบด้วยโทษ อันวิญญูชนพึงติเตียน และย่อมประสพบาปมิใช่บุญมาก ภิกษุเมื่อถึงภยาคติ ย่อมถึงอย่างนี้.
นิคมคาถา
 [๑๑๐๒] ผู้ใดประพฤติล่วงธรรม เพราะชอบ
 เพราะชัง เพราะกลัว เพราะหลง ยศของผู้นั้นย่อม
 เสื่อมเหมือนดวงจันทร์ในวันข้างแรม   ฉะนั้นฯ

ไม่ถึงฉันทาคติ
 [๑๑๐๓] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ?
ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่าอธรรม ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงธรรมว่าธรรม ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอวินัยว่าอวินัย ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงวินัยว่าวินัย ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิตว่า พระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิต ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตตรัสภาษิตว่า พระตถาคตตรัสภาษิต ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมาว่า พระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมา ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตประพฤติมาว่า พระตถาคตประพฤติมา ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัติว่า พระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัติ  ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงบัญญัติว่า พระตถาคตทรงบัญญัติ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอนาบัติว่าอนาบัติ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติว่าอาบัติ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติเบาว่าอาบัติเบา ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติหนักว่าอาบัติหนัก ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ    ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิตว่า พระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิต ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตตรัสภาษิตว่า พระตถาคตตรัสภาษิต ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมาว่า พระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมา ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตประพฤติมาว่า พระตถาคตประพฤติมา ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัติว่า พระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัติ  ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงบัญญัติว่า พระตถาคตทรงบัญญัติ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอนาบัติว่าอนาบัติ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติว่าอาบัติ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติเบาว่าอาบัติเบา ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติหนักว่าอาบัติหนัก ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่าอาบัติมีส่วนเหลือ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงอาบัติไม่มีส่วนเหลือว่าอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
       อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ.

ไม่ถึงโทสาคติ
 [๑๑๐๔] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าไม่ถึงโทสาคติ?
ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่าอธรรม ชื่อว่าไม่ถึงโทสาคติ
 ภิกษุแสดงธรรมว่าธรรม ชื่อว่าไม่ถึงโทสาคติ ...
 ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงโทสาคติ
 ภิกษุแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงโทสาคติ
       อย่างนี้ชื่อว่าภิกษุไม่ถึงโทสาคติ.

ไม่ถึงโมหาคติ
 [๑๑๐๕] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าไม่ถึงโมหาคติ?
ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่าอธรรม ชื่อว่าไม่ถึงโมหาคติ
 ภิกษุแสดงธรรมว่าธรรม ชื่อว่า ไม่ถึงโมหาคติ ...
 ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงโมหาคติ
 ภิกษุแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงโมหาคติ
       อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าไม่ถึงโมหาคติ.

ไม่ถึงภยาคติ
 [๑๑๐๖] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ?
ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่าอธรรม ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงธรรมว่าธรรม ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ ...
ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
 ภิกษุแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
       อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ.

นิคมคาถา
 [๑๑๐๗] ผู้ใดไม่ประพฤติล่วงธรรม เพราะชอบ เพราะชัง เพราะกลัว เพราะหลง ยศของผู้นั้นย่อมเต็มเปี่ยมเหมือนดวงจันทร์ในวันข้างขึ้น ฉะนั้น

ว่าด้วยให้เข้าใจ
 [๑๑๐๘] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าให้เข้าใจในสถานะควรให้เข้าใจ?
   ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่าอธรรม ชื่อว่าให้เข้าใจในสถานะควรให้เข้าใจ
   ภิกษุแสดงธรรมว่าธรรม ชื่อว่าให้เข้าใจในสถานะควรให้เข้าใจ ...
   ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าให้เข้าใจในสถานะควรให้เข้าใจ
   ภิกษุแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าให้เข้าใจในสถานะควรให้เข้าใจ
   อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าให้เข้าใจในสถานะควรให้เข้าใจฯ

ว่าด้วยพินิจ
   [๑๑๐๙] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าย่อมพินิจในสถานะควรพินิจ?
   ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่าอธรรม ชื่อว่าย่อมพินิจในสถานะควรพินิจ
   ภิกษุแสดงธรรมว่าธรรม ชื่อว่าย่อมพินิจในสถานะควรพินิจ ...
   ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าย่อมพินิจในสถานะควรพินิจ
   ภิกษุแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าย่อมพินิจในสถานะควรพินิจ
   อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าย่อมพินิจในสถานะควรพินิจ.

ว่าด้วยเพ่งเล็ง
   [๑๑๑๐] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าย่อมเพ่งเล็งในสถานะควรเพ่งเล็ง?
   ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่าอธรรม ชื่อว่าย่อมเพ่งเล็งในสถานะควรเพ่งเล็ง.
   ภิกษุแสดงธรรมว่าธรรม ชื่อว่าย่อมเพ่งเล็งในสถานะควรเพ่งเล็ง ...
   ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าย่อมเพ่งเล็งในสถานะควรเพ่งเล็ง
   ภิกษุแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าย่อมเพ่งเล็งในสถานะควรเพ่งเล็ง
   อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าย่อมเพ่งเล็งในสถานะควรเพ่งเล็ง.

ว่าด้วยความเลื่อมใส
   [๑๑๑๑] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าเลื่อมใสในสถานะควรเลื่อมใส?
   ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่าอธรรม ชื่อว่าย่อมเลื่อมใสในสถานะควรเลื่อมใส
   ภิกษุแสดงธรรมว่าธรรม ชื่อว่าย่อมเลื่อมใสในสถานะควรเลื่อมใส ...
   ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าย่อมเลื่อมใสในสถานะควรเลื่อมใส
   ภิกษุแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าย่อมเลื่อมใสในสถานะควรเลื่อมใส
   อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าย่อมเลื่อมใสในสถานะควรเลื่อมใส.

ว่าด้วยดูหมิ่นพรรคพวกอื่น
   [๑๑๑๒] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าย่อมดูหมิ่นพรรคพวกอื่นด้วยเข้าใจว่า เราได้พรรคพวกแล้ว?
   ตอบว่า ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ได้พรรคพวก ได้บริวาร มีพรรคพวกมีญาติ คิดว่า ผู้นี้ไม่ได้พรรคพวก ไม่ได้บริวาร ไม่มีพรรคพวก ไม่มีญาติ จึงดูหมิ่นภิกษุนั้นย่อมแสดงอธรรมว่า ธรรม แสดงธรรมว่า อธรรม  ... แสดงอาบัติชั่วหยาบว่า อาบัติไม่ชั่วหยาบแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า อาบัติชั่วหยาบ
   อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าดูหมิ่นพรรคพวกอื่น ด้วยเข้าใจว่า เราได้พรรคพวกแล้ว.

ว่าด้วยดูหมิ่นภิกษุมีสุตะน้อย
   [๑๑๑๓] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าดูหมิ่นท่านผู้มีสุตะน้อยด้วยเข้าใจว่าเรามีสุตะมาก?
   ตอบว่า ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีสุตะมาก ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะดูหมิ่นภิกษุนั้นว่า ท่านผู้นี้มีสุตะน้อย มีอาคมน้อย ทรงจำไว้ได้น้อย ย่อมแสดงอธรรมว่าธรรม แสดงธรรมว่า อธรรม ... แสดงอาบัติชั่วหยาบว่า อาบัติไม่ชั่วหยาบ แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า อาบัติชั่วหยาบ
   อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าดูหมิ่นภิกษุมีสุตะน้อย ด้วยเข้าใจว่า เรามีสุตะมาก.

ว่าด้วยดูหมิ่นภิกษุผู้อ่อนกว่า
   [๑๑๑๔] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่า ดูหมิ่นภิกษุผู้อ่อนกว่า ด้วยเข้าใจว่าเราเป็นผู้แก่กว่า
   ตอบว่า ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ เป็นเถระ รู้ราตรีบวชนาน ดูหมิ่นภิกษุนั้นว่าท่านผู้นี้เป็นผู้อ่อนกว่า ไม่มีชื่อเสียง มีสุตะน้อย ไม่รู้นิพพานอันปัจจัยอะไรทำไม่ได้ ถ้อยคำของผู้นี้จักทำอะไรไม่ได้ ย่อมแสดงอธรรมว่า ธรรม แสดงธรรมว่า อธรรม ... แสดงอาบัติชั่วหยาบว่า อาบัติไม่ชั่วหยาบ แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า อาบัติชั่วหยาบ
   อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าดูหมิ่นภิกษุผู้อ่อนกว่าด้วยเข้าใจว่า เราเป็นผู้แก่กว่า.

ว่าด้วยไม่พูดเรื่องที่ยังไม่มาถึง
   [๑๑๑๕] คำว่า ไม่พูดเรื่องที่ยังไม่มาถึง นั้น คือ ไม่เก็บเอาคำพูดที่ไม่เข้าประเด็นคำว่า ไม่พึงให้เรื่องที่มาถึงแล้วตกหล่น จากธรรม จากวินัย นั้น คือ สงฆ์ประชุมกันเพื่อประโยชน์อันใด ไม่พึงยังประโยชน์อันนั้นให้บกพร่องจากธรรม จากวินัย.

ว่าด้วยธรรมวินัยสัตถุศาสน์
 [๑๑๑๖] คำว่า ด้วยธรรมใด คือด้วยเรื่องจริง.
คำว่า ด้วยวินัยใด คือ โจทก์แล้วให้จำเลยให้การ.
   คำว่า ด้วยสัตถุศาสน์ใด คือ ด้วยญัตติสัมปทา ด้วยอนุสาวนสัมปทา.

ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์
   พากย์ว่า อธิกรณ์นั้นย่อมระงับด้วยธรรมใด ด้วยวินัยใด ด้วยสัตถุศาสน์ใด พึงให้อธิกรณ์นั้นระงับด้วยอย่างนั้น มีใจความว่า อันภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงถามโจทก์ว่าผู้มีอายุ ข้อที่ท่านงดปวารณาแก่ภิกษุรูปนี้นั้น ท่านงดเพราะเรื่องอะไร? ท่านงดเพราะศีลวิบัติ งดเพราะอาจารวิบัติ งดเพราะทิฏฐิวิบัติ หรือ?
   ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า งดเพราะศีลวิบัติ งดเพราะอาจารวิบัติ หรือว่างดเพราะทิฏฐิวิบัติ
   ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักโจทก์ต่อไปว่า ท่านรู้ศีลวิบัติ อาจารวิบัติ ทิฏฐิวิบัติ หรือ?
   ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้าพเจ้ารู้ศีลวิบัติ รู้อาจารวิบัติ รู้ทิฏฐิวิบัติ
   ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักโจทก์ต่อไปว่า ผู้มีอายุ ก็ศีลวิบัติเป็นอย่างไร? อาจารวิบัติเป็นอย่างไร? ทิฏฐิวิบัติเป็นอย่างไร?
   ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ นี้เป็นศีลวิบัติ ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต นี้เป็นอาจารวิบัติ มิจฉาทิฏฐิ อันตคาหิกทิฏฐิ นี้เป็นทิฏฐิวิบัติ.
   ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักโจทก์ต่อไปว่า ผู้มีอายุ ข้อที่ท่านงดปวารณา แก่ภิกษุรูปนี้นั้น ท่านงดเพราะเรื่องที่ได้เห็น งดเพราะเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง งดเพราะเรื่องที่รังเกียจ หรือ?
   ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า งดเพราะเรื่องที่ได้เห็น งดเพราะเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง หรือว่างดเพราะเรื่องที่รังเกียจ.
   ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักโจทก์ต่อไปว่า ผู้มีอายุ ข้อที่ท่านงดปวารณาแก่ภิกษุรูปนี้เพราะเรื่องที่ได้เห็นนั้น ท่านเห็นเรื่องอะไร? เห็นว่าอย่างไร? เห็นเมื่อไร? เห็นที่ไหน? ท่านเห็นภิกษุรูปนี้ ต้องอาบัติปาราชิก หรือ ท่านเห็นภิกษุรูปนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิตหรือ? อนึ่ง ท่านอยู่ที่ไหน? และภิกษุรูปนี้อยู่ที่ไหน? ท่านทำอะไรอยู่? ภิกษุรูปนี้ทำอะไรอยู่?
   ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้าพเจ้าไม่ได้งดปวารณา แก่ภิกษุรูปนี้ เพราะเรื่องที่ได้เห็น ก็แต่ว่า ข้าพเจ้างดปวารณา เพราะเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง.
   ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักโจทก์ต่อไปว่า ผู้มีอายุ ข้อที่ท่านงดปวารณา แก่ภิกษุ
รูปนี้ เพราะเรื่องที่ได้ยินได้ฟังนั้น ท่านได้ยินได้ฟังอะไร? ได้ยินได้ฟังว่าอย่างไร? ได้ยินได้ฟัง
เมื่อไร? ได้ยินได้ฟังที่ไหน? ท่านได้ยินได้ฟังว่า ภิกษุรูปนี้ต้องอาบัติปาราชิก หรือท่านได้ยิน
ได้ฟังว่า ภิกษุรูปนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต หรือ?
ท่านได้ยินได้ฟังต่อภิกษุ หรือ ได้ยินได้ฟังต่อภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก
อุบาสิกา พระราชา ราชมหาอำมาตย์ เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ หรือ?
             ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้าพเจ้าไม่ได้งดปวารณา แก่ภิกษุรูปนี้ เพราะเรื่องที่
ได้ยินได้ฟัง ก็แต่ว่า ข้าพเจ้างดปวารณา เพราะเรื่องที่รังเกียจ.
             ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักโจทก์ต่อไปว่า ผู้มีอายุ ข้อที่ท่านงดปวารณาแก่ภิกษุรูปนี้
เพราะเรื่องที่รังเกียจนั้น ท่านรังเกียจอะไร? รังเกียจว่าอย่างไร? รังเกียจเมื่อไร? รังเกียจที่
ไหน? ท่านรังเกียจว่า ภิกษุรูปนี้ต้องอาบัติปาราชิก หรือ ท่านรังเกียจว่า ภิกษุรูปนี้ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต หรือ? ท่านได้ยินได้ฟังต่อ
ภิกษุแล้วรังเกียจ หรือท่านได้ยินได้ฟังต่อภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก
อุบาสิกา พระราชา รานมหาอำมาตย์ เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ จึงรังเกียจ หรือ? 
เปรียบเทียบอธิกรณ์ [๑๑๑๗] เรื่องที่เห็นสมด้วยเรื่องที่เห็น เรื่องที่เห็นเทียบกันได้กับเรื่องที่เห็น แต่บุคคลนั้นไม่ยอมรับ เพราะอาศัยการเห็น บุคคลนั้น ถูกรังเกียจโดยไม่มีมูล พึงปรับอาบัติตามปฏิญญา พึงทำปวารณากับบุคคลนั้น. เรื่องที่ได้ยินได้ฟังสมด้วยเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง เรื่องที่ได้ยินได้ฟังเทียบกันได้กับเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง แต่บุคคลนั้นไม่ยอมรับ เพราะอาศัย การได้ยินได้ฟัง บุคคลนั้นถูกรังเกียจโดยไม่มีมูล พึงปรับอาบัติตามปฏิญญาพึงทำปวารณากับบุคคลนั้น เรื่องที่ได้ทราบสมด้วย เรื่องที่ได้ทราบ. เรื่องที่ได้ทราบเทียบกันได้กับเรื่องที่ได้ทราบ แต่บุคคลนั้นไม่ยอมรับ เพราะอาศัยการได้ทราบ บุคคลนั้นถูกรังเกียจโดยไม่มีมูล พึงปรับอาบัติตามปฏิญญา พึงทำปวารณากับบุคคลนั้นเถิด. 
จำแนกการเห็น 
[๑๑๑๘] คำว่า ท่านเห็นอะไร นั้น ถามถึงอะไร? คำว่า ท่านเห็นว่าอย่างไร นั้น ถามถึงอะไร? คำว่า ท่านเห็นเมื่อไร นั้น ถามถึงอะไร? คำว่า ท่านเห็นที่ไหน นั้น ถามถึงอะไร? [๑๑๑๙] คำว่า ท่านเห็นอะไร นั้น ถามถึงวัตถุ ถามถึงวิบัติ ถามถึงอาบัติ ถามถึงอัธยาจาร. ข้อว่า ถามถึงวัตถุ นั้น คือ ถามถึงวัตถุปาราชิก ๘ ถามถึงวัตถุสังฆาทิเสส ๒๓ ถามถึงวัตถุอนิยต ๒ ถามถึงวัตถุนิสสัคคิยะ ๔๒ ถามถึงวัตถุปาจิตตีย์ ๑๘๘ ถามถึงวัตถุปาฏิเทสนียะ ๑๒ ถามถึงวัตถุทุกกฏทั้งหลาย ถามถึงวัตถุทุพภาสิตทั้งหลาย. ข้อว่า ถามถึงวิบัติ นั้น คือ ถามถึงศีลวิบัติ ถามถึงอาจารวิบัติ ถามถึงทิฏฐิวิบัติถามถึงอาชีววิบัติ.
ข้อว่า ถามถึงอาบัติ นั้น คือ ถามถึงอาบัติปาราชิก
ถามถึงอาบัติสังฆาทิเสส ถามถึงอาบัติถุลลัจจัย ถามถึงอาบัติปาจิตตีย์
ถามถึงอาบัติปาฏิเทสนียะ ถามถึงอาบัติทุกกฏ ถามถึงอาบัติทุพภาสิต.
ข้อว่า ถามถึงอัธยาจาร นั้น คือ ถามถึงการร่วมกันเป็นคู่ๆ ฯ [๑๑๒๐] คำว่า ท่านเห็นว่าอย่างไร นั้น ได้แก่ถามถึงเพศ ถามถึงอิริยาบถ ถามถึงอาการ ถามถึงประการอันแปลก. ข้อว่า ถามถึงเพศ นั้น หมายถึงว่า สูงหรือต่ำ ดำหรือขาว. ข้อว่า ถามถึงอิริยาบถ นั้น หมายถึงว่า เดินหรือยืน นั่งหรือนอน. ข้อว่า ถามถึงอาการ นั้น หมายถึงเพศคฤหัสถ์ เพศเดียรถีย์ หรือเพศบรรพชิต. ข้อว่า ถามถึงประการอันแปลก นั้น หมายถึงเดินไปหรือยืนอยู่นั่งหรือนอน. [๑๑๒๑] ถามว่า ท่านเห็นเมื่อไร นั้น คือ ถามถึงกาล ถามถึงสมัยถามถึงวัน ถามถึงฤดู.
ข้อว่า ถามถึงกาล นั้น หมายถึงเวลาเช้า เวลาเที่ยง หรือเวลาเย็น. ข้อว่า ถามถึงสมัย นั้น หมายถึงสมัยเช้า สมัยเที่ยง หรือสมัยเย็น. ข้อว่า ถามถึงวัน นั้น หมายถึงก่อนอาหาร หรือหลังอาหาร กลางคืน
หรือกลางวันข้างแรมหรือข้างขึ้น. ข้อว่า ถามถึงฤดู นั้น หมายถึงฤดูหนาว ฤดูร้อน หรือฤดูฝน. [๑๑๒๒] คำว่า ท่านเห็นที่ไหน นั้น คือ ถามถึงสถานที่ ถามถึงพื้นที่
ถามถึงโอกาส ถามถึงประเทศ. ข้อว่า ถามถึงสถานที่ นั้น หมายถึงพื้นที่หรือแผ่นดิน ธรณี หรือทางเดิน. ข้อว่า ถามถึงพื้นที่ นั้น หมายถึงแผ่นดินหรือภูเขา หินหรือปราสาท. ข้อว่า ถามถึงโอกาส นั้น หมายถึงในโอกาสด้านตะวันออก หรือโอกาส
ด้านตะวันตก โอกาสด้านเหนือ หรือโอกาสด้านใต้. ข้อว่า ถามถึงประเทศ นั้น หมายถึงในประเทศด้านตะวันออก หรือประเทศ
ด้านตะวันตก ในประเทศด้านเหนือ หรือประเทศด้านใต้. มหาสงคราม จบ หัวข้อประจำเรื่อง
[๑๑๒๓] วัตถุ นิทาน อาการ คำต้น คำหลัง สิ่งที่ทำแล้ว สิ่งที่ยังไม่ได้
ทำกรรม อธิกรณ์ และสมถะ และลำเอียง เพราะชอบ เพราะชัง เพราะหลง
และเพราะกลัวให้เข้าใจและพินิจ เพ่งเล็ง เลื่อมใส มีพรรคพวกมีสุตะ
แก่กว่า เรื่องที่ยังไม่มาถึง เรื่องที่มาถึงแล้ว โดยธรรม โดยวินัย
และแม้โดยสัตถุศาสน์ ชื่อว่า มหาสงคราม แล.
หัวข้อประจำเรื่อง จบ.
ปีที่ฉาย : เสียง : พากย์ไทย 0  ชั่วโมง 50 นาที 6.3/10 İMDb
  HD Cassandra (2025) คาสซานดร้า‧ Television series ‧ 2568 BE ‧ 1 season
| Overview   ตัวอย่าง Clips   Reviews  นักแสดง
เป็นเรื่องราวของ บ้านอัจฉริยะที่เก่าแก่ที่สุดของเยอรมนีตั้งอยู่ว่างเปล่า นับตั้งแต่เจ้าของเสียชีวิตในสถานการณ์ลึกลับเมื่อกว่า 50 ปีก่อน เมื่อครอบครัวหนึ่งย้ายเข้ามาในที่สุด AI คาสซานดร้า ก็ตื่นจาก การหลับใหล โดยตั้งใจที่จะใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีเพื่อให้แน่ใจว่าเธอ จะไม่มีวันอยู่คนเดียวอีกต่อไป เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น: