
ทรงบัญญัติปาติโมกข์เป็นต้น
[๑๓๖๐] พระตถาคตทรงบัญญัติปาติโมกข์แก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ ... ทรงบัญญัติปาติโมกขุทเทศ ทรงบัญญัติการงดปาติโมกข์ ทรงบัญญัติปวารณา ทรงบัญญัติการ งดปวารณา ทรงบัญญัติตัชชนีกรรม ทรงบัญญัตินิยสกรรม ทรงบัญญัติปัพพาชนียกรรม ทรงบัญญัติ
ปฏิสารณียกรรม ทรงบัญญัติอุกเขปนียกรรม ทรงบัญญัติการให้ปริวาส ทรงบัญญัติการชักเข้าหาอาบัติเดิม ทรงบัญญัติการให้มานัต ทรงบัญญัติอัพภาน ทรงบัญญัติโอสารนียกรรม ทรงบัญญัตินิสสารนียกรรม ทรงบัญญัติการอุปสมบท ทรงบัญญัติอปโลกนกรรม ทรงบัญญัติญัตติกรรม ทรงบัญญัติญัตติ
ทุติยกรรม ทรงบัญญัติญัตติจตุตถกรรม.
ปัญญัติวรรค ที่ ๓ จบ.
บรรดากรรมมีให้ปริวาสเป็นต้น สองบทว่า โอสารณียํ ปญฺญตฺตํ มีความว่า โอสารณียกรรม ทรงบัญญัติสำหรับภิกษุผู้ประพฤติในวัตร ๑๘ หรือ ๔๓. อธิบายว่า ภิกษุอันสงฆ์ย่อมเรียกเข้าหมู่ด้วยกรรมใด กรรมนั้นทรงบัญญัติแล้ว.
สองบทว่า นิสฺสารณียํ ปญฺญตฺตํ มีความว่า ภิกษุผู้ก่อความบาดหมางเป็นต้น อันสงฆ์ย่อมขับออกจากหมู่ด้วยกรรมใด กรรมนั้นทรงบัญญัติแล้ว.
สังคหะ ๙ อย่าง
[๑๓๖๒] สังคหะมี ๙ อย่าง คือ วัตถุสังคหะ ๑ วิบัติสังคหะ ๑ อาบัติสังคหะ ๑ นิทานสังคหะ ๑ บุคคลสังคหะ ๑ ขันธสังคหะ ๑ สมุฏฐานสังคหะ ๑ อธิกรณสังคหะ ๑ สมถสังคหะ ๑
ให้บอกเรื่อง
[๑๓๖๓] เมื่ออธิกรณ์เกิดขึ้นแล้ว ถ้าคู่ความทั้งสองมาถึง สงฆ์พึงให้ทั้งสองบอกเรื่อง ครั้นแล้วพึงฟังปฏิญญาทั้งสอง แล้วพึงพูดกะคู่ความทั้งสองว่า เมื่อพวกเราระงับอธิกรณ์นี้แล้ว ท่านทั้งสองจักยินดี หรือ ถ้าทั้งสองรับว่า ข้าพเจ้าทั้งสองจักยินดี สงฆ์พึงรับอธิกรณ์นั้นไว้. ถ้าบริษัทมีอลัชชีมาก สงฆ์พึงระงับด้วยอุพพาหิกา.
ถ้าบริษัทมีคนพาลมาก สงฆ์พึงแสวงหาพระวินัยธร. อธิกรณ์นั้นจะระงับ โดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสน์ใด สงฆ์พึงระงับอธิกรณ์นั้นโดยอย่างนั้น.
พึงรู้วัตถุเป็นต้น
[๑๓๖๔] พึงรู้วัตถุ พึงรู้โคตร พึงรู้ชื่อ พึงรู้อาบัติ.
คำว่า เมถุนธรรม เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า ปาราชิก เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า อทินนาทาน เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า ปาราชิก เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า มนุสสวิคคหะ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า ปาราชิก เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า อุตตริมนุสสธรรม เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า ปาราชิก เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า สุกกวิสัฏฐิ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า กายสังสัคคะ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า ทุฏฐุลลวาจา เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า อัตตกาม เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า สัญจริตตะ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า ให้ทำกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า ให้ทำวิหารใหญ่ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกไม่มีมูล เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า ถือเอาเอกเทศบางอย่างแห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่นให้เป็นเพียงเลศแล้วตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า การที่ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า การที่ภิกษุทั้งหลาย ผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า การที่ภิกษุผู้ว่ายากไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า การที่ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุลไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ ...
คำว่า การอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อถ่ายอุจจาระปัสสาวะหรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า ทุกกฏ เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติแล. นวสังคหวรรคที่ ๕ จบ.
หัวข้อประจำวรรค
[๑๓๖๕] อปโลกนกรรม ๑ ญัตติกรรม ๑ ญัตติทุติยกรรม ๑ ญัตติจตุตถกรรม ๑ วัตถุ ๑ ญัตติ ๑ อนุสาวนา ๑ สีมา ๑ บริษัท ๑ พร้อมหน้า ๑ สอบถาม ๑ ปฏิญญา ๑ ควรสติวินัย ๑ วัตถุ ๑ สงฆ์ ๑ บุคคล ๑ ญัตติ ๑ ตั้งญัตติภายหลัง ๑ วัตถุ ๑ สงฆ์ ๑ บุคคล ๑ สวดประกาศ ๑
สวดในกาลไม่ควร ๑ สีมาเล็กเกิน ๑ สีมาใหญ่เกิน ๑ สีมามีนิมิตขาด ๑ สีมาใช้เงาเป็นนิมิต ๑ สีมาไม่มีนิมิต ๑ อยู่นอกสีมาสมมติสีมา ๑ สมมติสีมาในนที ๑ ในสมุทร ๑ ในชาตสระ ๑ คาบเกี่ยวสีมา ๑ ทับสีมาด้วยสีมา ๑ กรรมอันสงฆ์จตุวรรคพึงทำ ๑ กรรมอันสงฆ์ปัญจวรรคพึงทำ ๑
กรรมอันสงฆ์ทสวรรคพึงทำ ๑ กรรมอันสงฆ์วีสติวรรคพึงทำ ๑ ไม่นำฉันทะมา ๑ นำฉันทะมา ๑ บุคคลผู้เข้ากรรม ๑ ผู้ควรฉันทะ ๑ ผู้ควรกรรม ๑ อปโลกนกรรม ๕ สถาน ๑ ญัตติกรรม ๙ สถาน ๑ ญัตติทุติยกรรม ๗ สถาน ๑ ญัตติจตุตถกรรม ๗ สถาน ๑ ความรับว่าดี ๑ ความผาสุก ๑ บุคคลผู้เก้อยาก ๑
ภิกษุมีศีลเป็นที่รัก ๑ อาสวะ ๑ เวร ๑ โทษ ๑ ภัย ๑ อกุศลธรรม ๑ คฤหัสถ์ ๑ บุคคลผู้ปรารถนาลามก ๑ ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ ความตั้งอยู่แห่งพระสัทธรรม ๑ อนุเคราะห์พระวินัย ๑ ปาติโมกขุทเทศ ๑ งดปาติโมกข์ ๑ งดปวารณา ๑ ตัชชนียกรรม ๑ นิยสกรรม ๑
ปัพพาชนียกรรม ๑ ปฏิสารณียกรรม ๑ อุกเขปนียกรรม ๑ ปริวาส ๑ อาบัติเดิม ๑ มานัต ๑ อัพภาน ๑ โอสารณา ๑ นิสสารณา ๑ อุปสมบท ๑ อปโลกนกรรม ๑ ญัตติกรรม ๑ ญัตติทุติยกรรม ๑ ญัตติจตุตถกรรม ๑ ยังมิได้ทรงบัญญัติ ๑ ทรงบัญญัติซ้ำ ๑ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑
ปฏิญญาตกรณะ ๑ เยภุยยสิกา ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑ วัตถุ ๑ วิบัติ ๑ อาบัติ ๑ นิทาน ๑ บุคคล ๑ ขันธ์ ๑ สมุฏฐาน ๑ อธิกรณ์ ๑ สมถะ ๑ สังคหะ ๑ ชื่อ ๑ และอาบัติ ๑ ดังนี้แล.
คัมภีร์ปริวาร จบ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วตฺถุสงฺคโห ได้แก่ ประมวลด้วยวัตถุ.
เนื้อความเฉพาะบท แม้ในบทที่เหลือ ก็พึงทราบอย่างนี้.
ก็ในบทว่า วตฺถุสงฺคโห เป็นต้นนี้ มีอัตถโยชนา ดังต่อไปนี้ :-
ประมวลด้วยวัตถุ พึงทราบก่อนอย่างนี้ว่า ก็สิกขาบททั้งปวง ชื่อว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประมวลด้วยวัตถุ เพราะเหตุว่า ไม่มีแม้แต่สิกขาบทเดียวที่ทรงบัญญัติ ในเพราะเหตุมิใช่วัตถุ.
อนึ่ง ประมวลด้วยวิบัติ พึงทราบอย่างนี้ว่า เพราะเหตุที่อาบัติ ๒ กอง ทรงประมวลด้วยสีลวิบัติ, อาบัติ ๕ กอง ทรงประมวลด้วยอาจารวิบัติ, ๖ สิกขาบท ทรงประมวลด้วยอาชีววิบัติ ฉะนั้น สิกขาบทแม้ทั้งปวง ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยวิบัติ.
อนึ่ง ประมวลด้วยอาบัติ พึงทราบอย่างนี้ว่า เพราะเหตุที่ไม่มีแม้แต่สิกขาบทเดียว ซึ่งพ้นจากอาบัติ ๗ กอง ฉะนั้น สิกขาบททั้งปวง ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยอาบัติ.
อนึ่ง ประมวลด้วยนิทาน พึงทราบอย่างนี้ว่า สิกขาบททั้งปวง ทรงบัญญัติแล้วใน ๗ นคร เพราะฉะนั้น ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยนิทาน.
อนึ่ง ประมวลด้วยบุคคล พึงทราบอย่างนี้ว่า เพราะเหตุที่ไม่มีแม้แต่สิกขาบทเดียว ที่ทรงบัญญัติในเมื่อไม่มีบุคคลผู้ประพฤติล่วง ฉะนั้น สิกขาบททั้งปวง ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยบุคคล.
อนึ่ง สิกขาบททั้งปวง ทรงประมวลแล้วด้วยอาบัติ ๕ กองและ ๗ กอง. สิกขาบททั้งหมดนั้น เว้นจากสมุฏฐาน ๖ เสีย ย่อมเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยสมุฏฐาน.
อนึ่ง สิกขาบททั้งปวง ทรงประมวลแล้วด้วยอาปัตตาธิกรณ์ในบรรดาอธิกรณ์ ๔. สิกขาบททั้งปวงย่อมถึงความระงับด้วยสมถะ ๗ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยสมถะ.
แม้ประมวลด้วยกอง อธิกรณ์ สมุฏฐานและสมถะ ในบทว่า ขนฺธสงฺคโห เป็นอาทินี้ ก็พึงทราบอย่างนี้.
คำที่เหลือ มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล ฉะนี้แล.
ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ
และพรรณนาบทที่มีเนื้อความไม่ตื้น
แห่งคัมภีร์บริวาร ก็จบดังนี้แล.
![]() |
อรรถกถา ปริวาร คาถาส่งท้าย วินัยฏฐกถาวสานคาถา |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น