Translate

12 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร ปัญจวรรค ปัญญัติวรรค ที่ ๓ ทรงบัญญัติปาติโมกข์เป็นต้น , ปัญญัติวรรค ที่ ๔ , นวสังคหวรรค ที่ ๕ สังคหะ ๙ อย่าง

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
ทรงบัญญัติปาติโมกข์เป็นต้น
[๑๓๖๐] พระตถาคตทรงบัญญัติปาติโมกข์แก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ ... ทรงบัญญัติปาติโมกขุทเทศ ทรงบัญญัติการงดปาติโมกข์ ทรงบัญญัติปวารณา ทรงบัญญัติการ งดปวารณา ทรงบัญญัติตัชชนีกรรม ทรงบัญญัตินิยสกรรม ทรงบัญญัติปัพพาชนียกรรม ทรงบัญญัติ
ปฏิสารณียกรรม ทรงบัญญัติอุกเขปนียกรรม ทรงบัญญัติการให้ปริวาส ทรงบัญญัติการชักเข้าหาอาบัติเดิม ทรงบัญญัติการให้มานัต ทรงบัญญัติอัพภาน ทรงบัญญัติโอสารนียกรรม ทรงบัญญัตินิสสารนียกรรม ทรงบัญญัติการอุปสมบท ทรงบัญญัติอปโลกนกรรม ทรงบัญญัติญัตติกรรม ทรงบัญญัติญัตติ
ทุติยกรรม ทรงบัญญัติญัตติจตุตถกรรม.
ปัญญัติวรรค ที่ ๓ จบ.
อรรถกถา ปริวาร ปัญจวรรค ปัญญัติวรรคที่ ๓   [พรรณนาปัญญัตติวัคค์]               
               บรรดาธรรมมีปาฏิโมกข์เป็นต้น ปาฏิโมกขุทเทสของภิกษุมี ๕ อย่าง, ของภิกษุณีมี ๔ อย่าง. 
               บรรดากรรมมีให้ปริวาสเป็นต้น สองบทว่า โอสารณียํ ปญฺญตฺตํ มีความว่า โอสารณียกรรม ทรงบัญญัติสำหรับภิกษุผู้ประพฤติในวัตร ๑๘ หรือ ๔๓. อธิบายว่า ภิกษุอันสงฆ์ย่อมเรียกเข้าหมู่ด้วยกรรมใด กรรมนั้นทรงบัญญัติแล้ว. 
               สองบทว่า นิสฺสารณียํ ปญฺญตฺตํ มีความว่า ภิกษุผู้ก่อความบาดหมางเป็นต้น อันสงฆ์ย่อมขับออกจากหมู่ด้วยกรรมใด กรรมนั้นทรงบัญญัติแล้ว.
สังคหะ ๙ อย่าง
[๑๓๖๒] สังคหะมี ๙ อย่าง คือ วัตถุสังคหะ ๑ วิบัติสังคหะ ๑ อาบัติสังคหะ ๑ นิทานสังคหะ ๑ บุคคลสังคหะ ๑ ขันธสังคหะ ๑ สมุฏฐานสังคหะ ๑ อธิกรณสังคหะ ๑ สมถสังคหะ ๑
ให้บอกเรื่อง
   [๑๓๖๓] เมื่ออธิกรณ์เกิดขึ้นแล้ว ถ้าคู่ความทั้งสองมาถึง สงฆ์พึงให้ทั้งสองบอกเรื่อง ครั้นแล้วพึงฟังปฏิญญาทั้งสอง แล้วพึงพูดกะคู่ความทั้งสองว่า เมื่อพวกเราระงับอธิกรณ์นี้แล้ว ท่านทั้งสองจักยินดี หรือ ถ้าทั้งสองรับว่า ข้าพเจ้าทั้งสองจักยินดี สงฆ์พึงรับอธิกรณ์นั้นไว้. ถ้าบริษัทมีอลัชชีมาก สงฆ์พึงระงับด้วยอุพพาหิกา.
   ถ้าบริษัทมีคนพาลมาก สงฆ์พึงแสวงหาพระวินัยธร. อธิกรณ์นั้นจะระงับ โดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสน์ใด สงฆ์พึงระงับอธิกรณ์นั้นโดยอย่างนั้น.
พึงรู้วัตถุเป็นต้น
[๑๓๖๔] พึงรู้วัตถุ พึงรู้โคตร พึงรู้ชื่อ พึงรู้อาบัติ.
คำว่า เมถุนธรรม เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า ปาราชิก เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า อทินนาทาน เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า ปาราชิก  เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า มนุสสวิคคหะ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า ปาราชิก  เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า อุตตริมนุสสธรรม เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า ปาราชิก  เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า สุกกวิสัฏฐิ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า กายสังสัคคะ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า ทุฏฐุลลวาจา เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า อัตตกาม เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า สัญจริตตะ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า ให้ทำกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า ให้ทำวิหารใหญ่ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกไม่มีมูล เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า  สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า  ถือเอาเอกเทศบางอย่างแห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่นให้เป็นเพียงเลศแล้วตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก  เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า  สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า  การที่ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ   ๓ จบ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า  สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า การที่ภิกษุทั้งหลาย ผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า การที่ภิกษุผู้ว่ายากไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ.
คำว่า การที่ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุลไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ ...
คำว่า การอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อถ่ายอุจจาระปัสสาวะหรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร.
 คำว่า ทุกกฏ เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติแล.   นวสังคหวรรคที่ ๕ จบ.
หัวข้อประจำวรรค
   [๑๓๖๕] อปโลกนกรรม ๑ ญัตติกรรม ๑ ญัตติทุติยกรรม ๑ ญัตติจตุตถกรรม ๑ วัตถุ ๑ ญัตติ ๑ อนุสาวนา ๑ สีมา ๑ บริษัท ๑ พร้อมหน้า ๑ สอบถาม ๑ ปฏิญญา ๑ ควรสติวินัย ๑ วัตถุ ๑ สงฆ์ ๑ บุคคล ๑ ญัตติ ๑ ตั้งญัตติภายหลัง ๑ วัตถุ ๑ สงฆ์ ๑ บุคคล ๑ สวดประกาศ ๑
   สวดในกาลไม่ควร ๑ สีมาเล็กเกิน ๑ สีมาใหญ่เกิน ๑ สีมามีนิมิตขาด ๑ สีมาใช้เงาเป็นนิมิต ๑ สีมาไม่มีนิมิต ๑ อยู่นอกสีมาสมมติสีมา ๑ สมมติสีมาในนที ๑ ในสมุทร ๑ ในชาตสระ ๑  คาบเกี่ยวสีมา ๑ ทับสีมาด้วยสีมา ๑ กรรมอันสงฆ์จตุวรรคพึงทำ ๑ กรรมอันสงฆ์ปัญจวรรคพึงทำ ๑
   กรรมอันสงฆ์ทสวรรคพึงทำ ๑ กรรมอันสงฆ์วีสติวรรคพึงทำ ๑ ไม่นำฉันทะมา ๑ นำฉันทะมา ๑ บุคคลผู้เข้ากรรม ๑ ผู้ควรฉันทะ ๑ ผู้ควรกรรม ๑ อปโลกนกรรม ๕ สถาน ๑ ญัตติกรรม ๙ สถาน ๑  ญัตติทุติยกรรม  ๗ สถาน ๑ ญัตติจตุตถกรรม ๗ สถาน ๑ ความรับว่าดี ๑ ความผาสุก ๑ บุคคลผู้เก้อยาก ๑
   ภิกษุมีศีลเป็นที่รัก ๑ อาสวะ ๑ เวร ๑ โทษ ๑ ภัย ๑ อกุศลธรรม ๑ คฤหัสถ์ ๑ บุคคลผู้ปรารถนาลามก ๑ ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ ความตั้งอยู่แห่งพระสัทธรรม ๑ อนุเคราะห์พระวินัย ๑ ปาติโมกขุทเทศ ๑ งดปาติโมกข์ ๑ งดปวารณา ๑ ตัชชนียกรรม ๑ นิยสกรรม ๑
ปัพพาชนียกรรม ๑ ปฏิสารณียกรรม ๑ อุกเขปนียกรรม ๑ ปริวาส ๑ อาบัติเดิม ๑ มานัต ๑ อัพภาน ๑ โอสารณา ๑ นิสสารณา ๑ อุปสมบท ๑ อปโลกนกรรม ๑ ญัตติกรรม ๑ ญัตติทุติยกรรม ๑ ญัตติจตุตถกรรม ๑ ยังมิได้ทรงบัญญัติ ๑ ทรงบัญญัติซ้ำ ๑ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑
   ปฏิญญาตกรณะ ๑ เยภุยยสิกา  ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑ วัตถุ ๑ วิบัติ ๑ อาบัติ ๑ นิทาน ๑ บุคคล ๑ ขันธ์ ๑ สมุฏฐาน ๑ อธิกรณ์ ๑ สมถะ ๑ สังคหะ ๑ ชื่อ ๑ และอาบัติ ๑ ดังนี้แล.
คัมภีร์ปริวาร จบ.
อรรถกถา ปริวาร ปัญจวรรค นวสังคหวรรค  [ว่าด้วยประมวล]               
               บัดนี้ พระอุบาลีกล่าวคำว่า นว สงฺคหา เป็นต้น เพื่อแสดงประมวลสิกขาบททั้งปวงเป็น ๙ ส่วน โดยอาการแต่ละอย่าง. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วตฺถุสงฺคโห ได้แก่ ประมวลด้วยวัตถุ. 
               เนื้อความเฉพาะบท แม้ในบทที่เหลือ ก็พึงทราบอย่างนี้. 
               ก็ในบทว่า วตฺถุสงฺคโห เป็นต้นนี้ มีอัตถโยชนา ดังต่อไปนี้ :- 
               ประมวลด้วยวัตถุ พึงทราบก่อนอย่างนี้ว่า ก็สิกขาบททั้งปวง ชื่อว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประมวลด้วยวัตถุ เพราะเหตุว่า ไม่มีแม้แต่สิกขาบทเดียวที่ทรงบัญญัติ ในเพราะเหตุมิใช่วัตถุ. 
               อนึ่ง ประมวลด้วยวิบัติ พึงทราบอย่างนี้ว่า เพราะเหตุที่อาบัติ ๒ กอง ทรงประมวลด้วยสีลวิบัติ, อาบัติ ๕ กอง ทรงประมวลด้วยอาจารวิบัติ, ๖ สิกขาบท ทรงประมวลด้วยอาชีววิบัติ ฉะนั้น สิกขาบทแม้ทั้งปวง ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยวิบัติ. 
               อนึ่ง ประมวลด้วยอาบัติ พึงทราบอย่างนี้ว่า เพราะเหตุที่ไม่มีแม้แต่สิกขาบทเดียว ซึ่งพ้นจากอาบัติ ๗ กอง ฉะนั้น สิกขาบททั้งปวง ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยอาบัติ. 
               อนึ่ง ประมวลด้วยนิทาน พึงทราบอย่างนี้ว่า สิกขาบททั้งปวง ทรงบัญญัติแล้วใน ๗ นคร เพราะฉะนั้น ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยนิทาน. 
               อนึ่ง ประมวลด้วยบุคคล พึงทราบอย่างนี้ว่า เพราะเหตุที่ไม่มีแม้แต่สิกขาบทเดียว ที่ทรงบัญญัติในเมื่อไม่มีบุคคลผู้ประพฤติล่วง ฉะนั้น สิกขาบททั้งปวง ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยบุคคล. 
               อนึ่ง สิกขาบททั้งปวง ทรงประมวลแล้วด้วยอาบัติ ๕ กองและ ๗ กอง. สิกขาบททั้งหมดนั้น เว้นจากสมุฏฐาน ๖ เสีย ย่อมเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยสมุฏฐาน. 
               อนึ่ง สิกขาบททั้งปวง ทรงประมวลแล้วด้วยอาปัตตาธิกรณ์ในบรรดาอธิกรณ์ ๔. สิกขาบททั้งปวงย่อมถึงความระงับด้วยสมถะ ๗ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยสมถะ. 
               แม้ประมวลด้วยกอง อธิกรณ์ สมุฏฐานและสมถะ ในบทว่า ขนฺธสงฺคโห เป็นอาทินี้ ก็พึงทราบอย่างนี้. 
               คำที่เหลือ มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล ฉะนี้แล.
               พรรณนาสังคหวัคค์ ในอัฏฐกถาวินัย               
               
ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ               
               และพรรณนาบทที่มีเนื้อความไม่ตื้น               
               แห่งคัมภีร์บริวาร ก็จบดังนี้แล.
 
คาถาส่งท้าย
   [๑๓๖๖] ก็พระวินัยธร ผู้เรืองนาม มีปัญญามาก ทรงสุตะ มีวิจารณญาณสอบสวนแนวทางของท่านบูรพาจารย์ในที่นั้นๆ แล้วคิดเขียนข้อพิสดารและสังเขปนี้ไว้ในสายกลาง ตามแนวทางที่วางไว้ ซึ่งจะนำความสะดวกมาให้แก่เหล่าศิษย์. คัมภีร์นี้เรียกว่าปริวาร มีทุกเรื่องพร้อมทั้งลักษณะ มี อรรถโดยอรรถ
ในสัทธรรม มีธรรมโดยธรรมในบัญญัติ ห้อมล้อมพระศาสนาดุจสาครล้อมรอบชมพูทวีป ฉะนั้น.
   พระวินัยธรเมื่อไม่รู้คัมภีร์ปริวาร ไฉนจะวินิจฉัยโดยธรรมได้. ความเคลือบแคลงของพระวินัยธรใดที่เกิดในวิบัติ วัตถุ บัญญัติ อนุบัญญัติ บุคคล เอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ โลกวัชชะ  และปัณณัตติวัชชะ ย่อมขาดสิ้นไปด้วยคัมภีร์ปริวาร, พระเจ้าจักรพรรดิ สง่างามในกองทัพใหญ่ฉันใดไกรสรสง่างามในท่ามกลาง
ฝูงมฤคฉันใด พระอาทิตย์แผ่สร้านด้วยรัศมี ย่อมสง่างามฉันใด พระจันทร์สง่างามในหมู่ดาราฉันใด พระพรหมสง่างามในหมู่พรหมฉันใด ท่านผู้นำสง่างามในท่ามกลางหมู่ชนฉันใด พระสัทธรรมวินัยย่อมงามสง่าด้วยคัมภีร์ปริวาร ฉันนั้นแล.
พระวินัยปิฎก จบบริบูรณ์.
   อรรถกถา ปริวาร คาถาส่งท้าย  วินัยฏฐกถาวสานคาถา
   พระโลกนาถผู้ชำนะ เมื่อจะทรงแนะนำบุคคลผู้ควรแนะนำ  ได้ตรัสวินัยปิฎกใด ซึ่งแสดงจำแนกโดยอุภโตวิภังค์ ขันธกะ และ บริวาร, อรรถกถาชื่อสมันตปาสาทิกาแห่งวินัยปิฎกนั้น จบบริบูรณ์ แล้ว โดยคันถะประมาณ ๒๗,๐๐๐ ถ้วนด้วยลำดับแห่งคำเพียงเท่านี้แล. 
   ในคำที่ว่า อรรถกถาวินัย ปลูกความเลื่อมใสรอบด้านนั้น  มีคำอธิบายในข้อที่อรรถกถาชื่อสมันตปาสาทิกา เป็นคัมภีร์ปลูก 
         ความเลื่อมใสรอบด้าน ดังนี้ :- 
 ในสมันตปาสาทิกานี้ ไม่ปรากฏคำน้อยหนึ่งที่
 ไม่น่าเลื่อมใสแก่  วิญญูชนทั้งหลายผู้พิจารณา
 อยู่ โดยสืบลำดับแห่งอาจารย์ โดยแสดง 
         ประเภทแห่งนิทานและวัตถุ
 โดยเว้นลัทธิของฝ่ายอื่น โดยความหมดจด  แห่งลัทธิของตน โดยชำระพยัญชนะให้หมดจด โดยเนื้อความเฉพาะบท 
 โดยลำดับแห่งบาลีและโยชนา โดยวินิจฉัยในสิกขาบท และโดยแสดง ประเภทแห่งนัยที่สมแก่วิภังค์ เพราะฉะนั้น อรรถกถาแห่งวินัย ซึ่ง พระโลกนาถผู้ทรงอนุเคราะห์สัตวโลกผู้ฉลาดในการฝึกชนที่ควรแนะนำ ได้ตรัสไว้แล้วอย่างนั้นนี้ จึงบ่งนามว่า "สมันตปาสาทิกา" แล. 
        ข้าพเจ้าเมื่ออยู่ที่ปราสาท อันห้อมล้อมด้วยกำแพงทองสะพรั่ง ด้วยต้นไม้มีร่มเงาอันเย็น มีสระน้ำพร้อมมูล เป็นที่รื่นรมย์ใจ ซึ่งอุบาสก ผู้ปรากฏนามว่า มหานิคมสามี ผู้เกิดในสกุลสูงเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ด้วยศรัทธาไม่อากูล บำรุงพระสงฆ์ทุกเมื่อได้สร้างไว้ใกล้เรือนเป็นที่ 
        บำเพ็ญเพียรอันสูงลิ่ว ซึ่งภิกษุสงฆ์ผู้มีจาริตสีลอันสะอาดอาศัยอยู่ ที่ตั้งอยู่  ทางด้านใต้แห่งมหาวิหาร อันประดับด้วยต้นมหาโพธิ ของพระศาสดา  ซึ่งประดิษฐานอยู่บนภูมิภาค ในอุทยานมีนามว่ามหาเมฆวัน(ข้าพเจ้า) ได้ฟังอรรถกถาซึ่งพระเถระในเกาะสีหล ได้รจนาไว้ทั้ง 
        ๓ คัมภีร์เหล่านี้ คือมหาอรรถกถา มหาปัจจรี และกุรุนที ในสำนักพระเถระ  ผู้ปรากฏโดยนามว่า "พุทธมิตต์" ซึ่งเป็นนักปราชญ์ รู้ทั่วถึงพระวินัย  มีชื่อเสียง มาคำนึงถึงพระพุทธสิริเถระผู้มีศีลและอาจาระอันสะอาด จึงได้เริ่ม  รจนาอรรถกถาวินัยอันใด ซึ่งให้สำเร็จประโยชน์ อรรถกถาวินัยนี้ ข้าพเจ้า 
        ได้เริ่มรจนาในปีที่ ๒๐ ถ้วนซึ่งเป็นปีที่เกษมมีชัยของพระเจ้าสิริบาล ผู้เป็น ที่อาศัยอยู่แห่งสิริ มีพระยศ ทรงปกครองลังกาทวีปทั้งสิ้น ให้ปราศจากเสี้ยน 
   หนาม สำเร็จเรียบร้อยเมื่อย่างเข้าปีที่ ๒๑. 
   อรรถกถาวินัยนี้ เข้าถึงความสำเร็จได้ 
 ในโลกซึ่งคับคั่งด้วยอุปัทวะ โดยกาลเพียงปีเดียว 
 โดยปราศจากอุปัทวะฉันใด, ความริเริ่มทั้งปวง 
 ที่อิงอาศัยธรรม ห่างอุปัทวะของสัตวโลกทั้งมวล 
         จงพลันสำเร็จ ฉันนั้นเถิด. 
 อนึ่ง บุญใด ซึ่งข้าพเจ้าผู้มีความนับถือพระ 
 สัทธรรมมาก รจนาอรรถกถานี้เพื่อให้พระธรรม 
ตั้งอยู่ยั่งยืน ได้สร้างสมแล้ว, ด้วยอานุภาพแห่งบุญ ทั้งมวลนั้น ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้เสวยรสแห่งพระ สัทธรรมของพระธรรมราชาเถิด, ขอพระสัทธรรม จงตั้งอยู่ตลอดกาลนานเถิด, ขอฝนจงตกตามฤดูกาล ยังประชาให้ชุ่มชื่นตลอดกาลนานเถิด, ขอพระราชา  จงปกครองแผ่นดินโดยธรรมเถิด ฉะนี้แล. 
       อรรถกถาวินัย ชื่อสมันตปาสาทิกา อันพระเถระผู้อันครูทั้งหลาย  ขนานนามว่า "พุทธโฆสะ" ผู้ประดับด้วยศรัทธาปัญญาและความเพียร  อันบริสุทธิ์ยิ่ง ผู้รุ่งเรืองด้วยกองคุณมีศีลอาจาระ ความซื่อตรงและความ อ่อนโยนเป็นต้น ผู้สามารถหยั่งลงสู่ชัฏ คือลัทธิของตนและลัทธิฝ่ายอื่น  ผู้ประกอบด้วย
ความเฉียบแหลมด้วยปัญญา ผู้มีอานุภาพแห่งญาณ ไม่ติดขัด ในสัตถุศาสนากับทั้งอรรถกถาอันต่างด้วยปริยัติ คือพระไตรปิฏก  ผู้รู้ไวยากรณ์มาก เป็นมหากวีนักพูดประเสริฐ พูดคำที่ควรพูดในกาลที่ควร๑-  ผู้ประกอบด้วยถ้อยคำอันสละสลวยไพเราะอย่างยิ่ง ซึ่งเปล่งออกโดยง่าย  ซึ่งให้เกิดแก่กรณสมบัติ
       ผู้เป็นเครื่องประดับวงศ์ของพระเถระทั้งหลาย 
       ผู้อยู่ในมหาวิหาร ผู้ยังเถรวงศ์ให้สว่าง
       มีปัญญามั่นคงดีในอุตริมนุสธรรม อันประดับ
ด้วยคุณ มีอภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทาเป็นต้นเป็นประเภท มีปฏิสัมภิทาญาณอันแตกฉาน เป็นบริวารผู้มีปัญญาไพบูลย์ หมดจดดี 
        ได้รจนาแล้วนี้ จบแล้ว. 
 แม้พระนามว่า "พุทโธ" ของพระโลกเชษฐ์ 
 ผู้มีพระหฤทัยสะอาดคงที่ แสวงหาคุณใหญ่หลวง 
 ยังเป็นไปอยู่ในโลก ตราบใด, ขออรรถกถาวินัยนี้ 
 จงตั้งอยู่ในโลก แสดงนัยเพื่อความหมดจดแห่งศีล 
 แก่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้แสวงหาพระนิพพาน เป็นที่ 
        หลีกออกจากโลกตราบนั้น เทอญ. 
๑- พูดทั้งผูกทั้งแก้ (?)
               อรรถกถาวินัย จบแล้ว.

ไม่มีความคิดเห็น: