Translate

05 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๖ ว่าด้วยความไม่เคารพเป็นต้น ว่าด้วยองค์ ๖ แห่งพระอุปัชฌาย์ หมวด ๗ ว่าด้วยอาบัติเป็นต้น

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
หมวด ๖ ว่าด้วยความไม่เคารพเป็นต้น
   [๙๘๘] ความไม่เคารพมี ๖. ความเคารพมี ๖. วินีตวัตถุมี ๖ สามีจิกรรมมี ๖. สมุฏฐานอาบัติมี ๖. อาบัติมีอันตัดเป็นวินัยกรรมมี ๖. ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการ ๖. การทรงวินัยมีอานิสงส์ ๖. สิกขาบทที่ว่าด้วยอย่างยิ่งมี ๖ ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวร ๖ ราตรี. จีวรมี ๖ ชนิด. น้ำย้อมมี ๖. ชนิด
อาบัติเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจามี ๖ อาบัติเกิดแต่วาจากับจิตมิใช่กายมี ๖. อาบัติเกิดแต่กายวาจาและจิตมี ๖. กรรมมี ๖. มูลแห่งวิวาทมี ๖. มูลแห่งการโจทมี ๖. สาราณียธรรมมี ๖. ผ้าอาบน้ำฝนยาว ๖ คืบพระสุคต จีวรพระสุคตกว้าง ๖ คืบพระสุคต. นิสัยระงับจากพระอาจารย์มี ๖. อนุบัญญัติ
ในการอาบน้ำมี ๖. ภิกษุถือเอาจีวรที่ทำค้างไว้แล้วหลีกไป เก็บเอาจีวรที่ทำค้างแล้วหลีกไป.
ว่าด้วยองค์ ๖ แห่งพระอุปัชฌาย์
   [๙๘๙] ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๖ ควรให้อุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ :-
 เป็นผู้ประกอบด้วยกองศีล ของพระอเสขะ ๑
 เป็นผู้ประกอบด้วยกองสมาธิ ของพระอเสขะ ๑
 เป็นผู้ประกอบด้วยกองปัญญา ของพระอเสขะ ๑
 เป็นผู้ประกอบด้วยกองวิมุตติ  ของพระอเสขะ ๑
เป็นผู้ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ ของพระอเสขะ ๑
 เป็นผู้มีพรรษาสิบ หรือมีพรรษาเกินสิบ  ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๖ ควรให้อุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ:-
   เป็นผู้ประกอบด้วยกองศีลของพระอเสขะด้วยตน และชักชวนผู้อื่นในกองศีลของพระอเสขะ ๑
   เป็นผู้ประกอบด้วยกองสมาธิของพระอเสขะด้วยตน และชักชวนผู้อื่นในกองสมาธิของพระอเสขะ ๑
   เป็นผู้ประกอบด้วยกองปัญญาของพระอเสขะด้วยตน และชักชวนผู้อื่นในกองปัญญาของพระอเสขะ ๑
   เป็นผู้ประกอบด้วยกองวิมุตติของพระอเสขะด้วยตน และชักชวนผู้อื่นในกองวิมุตติของพระอเสขะ ๑
   เป็นผู้ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะของพระอเสขะด้วยตน และชักชวนผู้อื่นในกองวิมุตติญาณทัสสนะของพระอเสขะ ๑.
   เป็นผู้มีพรรษาสิบ หรือมีพรรษาเกินสิบ ๑.
 ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๖ ควรให้อุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ มีศรัทธา ๑ มีความละอาย ๑ มีความเกรงกลัวบาป ๑ ปรารภความเพียร ๑ มีสติตั้งมั่น ๑ มีพรรษาสิบ  หรือมีพรรษาเกินสิบ ๑.
 ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๖ ควรให้อุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ ไม่มีศีลวิบัติในอธิศีล ๑ ไม่มีอาจารวิบัติในอัชฌาจาร ๑ ไม่มีทิฏฐิวิบัติในอติทิฏฐิ ๑ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก ๑ มีปัญญา ๑ มีพรรษาสิบ หรือมีพรรษาเกินสิบ ๑.
 ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๖ ควรให้อุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ อาจพยาบาลเอง หรือสั่งให้ผู้อื่นพยาบาลอันตวาสิกหรือสิทธิวิหาริกผู้อาพาธ ๑ อาจระงับเองหรือวานผู้อื่นให้ช่วยระงับความกระสันอันเกิดขึ้นแล้ว ๑ อาจบรรเทาเองหรือวานผู้อื่นให้ช่วยบรรเทาความเบื่อหน่ายอันเกิดขึ้นโดยธรรม ๑ รู้จักอาบัติ ๑  รู้จักวิธีออกจากอาบัติ ๑ มีพรรษาได้สิบ หรือมีพรรษาเกินสิบ ๑
 ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๖ ควรให้อุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ อาจฝึกปรืออันเตวาสิก หรือสัทธิวิหาริกในสิกขาอันเป็นส่วนอภิสมาจาร ๑ อาจแนะนำอันเตวาสิกหรือสัทธิวิหาริกในสิกขาเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ๑ อาจแนะนำในธรรมอันยิ่งขึ้นไป ๑ อาจแนะนำในวินัยอันยิ่งขึ้นไป ๑ อาจเปลื้องทิฏฐิผิดอันเกิดขึ้นแล้วโดยธรรม ๑ มีพรรษาได้สิบ หรือมีพรรษาเกินสิบ ๑.
 ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๖ ควรให้อุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ รู้อาบัติ ๑  รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑ จำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดีโดยพิสดาร จำแนกดี สวดคล่องแคล่ว วินิจฉัยถูกต้องโดยสูตร โดยอนุพยัญชนะ  ๑ มีพรรษาได้สิบ หรือมีพรรษาเกินสิบ ๑.
ว่าด้วยงดปาติโมกข์
             [๙๙๐] งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมี ๖. งดปาติโมกข์เป็นธรรมมี ๖.    หมวด ๖ จบ
หัวข้อประจำหมวด
   [๙๙๑] อคารวะ ๑ คารวะ ๑ วินีตวัตถุ ๑ สามีจิกรรม ๑ สมุฏฐานอาบัติ ๑ สิกขาบทมีการตัดเป็นวินัยกรรม ๑ อาการ ๑ อานิสงส์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยอย่างยิ่ง ๑ อยู่ปราศ ๖ ราตรี ๑ จีวร ๑ น้ำย้อม ๑ อาบัติเกิดแต่กายกับจิต ๑ วาจากับจิต ๑ กายวาจาและจิต ๑ กรรม ๑ มูลแห่งวิวาท ๑
   มูลแห่งการโจท ๑ ด้านยาว ๑ ด้านกว้าง ๑ นิสัยระงับ ๑ อนุบัญญัติ ๑ ถือเอาจีวรที่ทำค้าง ๑ เก็บเอาจีวรที่ทำค้าง ๑ อเสขธรรม ๑ ชักชวนผู้อื่นในอเสขธรรม  ๑ มีศรัทธา ๑ อธิศีล ๑ พยาบาลผู้อาพาธ ๑ ฝึกปรือในอภิสมาจาร ๑ รู้อาบัติ ๑ งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม ๑ งดปาติโมกข์เป็นธรรม  ๑.  หัวข้อประจำหมวด ๖ จบ

หมวด ๗ ว่าด้วยอาบัติเป็นต้น
   [๙๙๒] อาบัติมี ๗. กองอาบัติมี ๗. วินีตวัตถุมี ๗. สามีจิกรรมมี ๗. ทำตามปฏิญญาไม่ชอบธรรมมี ๗. ทำตามปฏิญญาชอบธรรมมี ๗. กิจ ๗ อย่างภิกษุไปด้วยสัตตาหกรณียะไม่ต้องอาบัติ. ทรงวินัยมีอานิสงส์ ๗. สิกขาบทว่าด้วยอย่างยิ่งมี ๗.  เพราะอรุณขึ้นเป็นนิสสัคคิย์มี ๗. สมถะมี ๗.
กรรมมี ๗. ข้าวเปลือกดิบมี ๗. สร้างกุฎีด้านกว้างร่วมใน ๗ คืบ. คณะโภชน์ อนุบัญญัติมี ๗. ภิกษุรับประเคนเภสัชแล้วเก็บไว้ฉันได้  ๗ วันเป็นอย่างยิ่ง. ภิกษุถือเอาจีวรที่ทำเสร็จแล้วหลีกไป. เก็บจีวรที่ทำเสร็จแล้วหลีกไป. ภิกษุไม่เห็นอาบัติ. ภิกษุเห็นอาบัติ ภิกษุทำคืนอาบัติ. งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมี ๗. งดปาติโมกข์เป็นธรรมมี ๗.
ว่าด้วยองค์ของพระวินัยธร
   [๙๙๓] ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๗ เป็นพระวินัยธรได้ คือรู้อาบัติ ๑ รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑ เป็นผู้มีศีล สำรวมในปาติโมกข์สังวร ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจรอยู่ เห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ๑ สำหรับฌาน ๔ ฝ่ายกุศลเจตสิก
   เป็นเครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน เธอเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ไม่มีอาสวะเพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยตนเองในปัจจุบันนี้แหละเข้าถึงอยู่ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๗ เป็นพระวินัยธรได้ คือรู้อาบัติ ๑ รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑ เป็นผู้มีสุตะมาก ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ  ธรรมเหล่านั้นใดไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์สิ้นเชิง ธรรมเห็น
ปานนั้น เธอสดับมาก ทรงไว้ สั่งสมด้วยวาจาเพ่งด้วยใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ ๑ สำหรับฌาน ๔ ฝ่ายกุศลเจตสิกเป็นเครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน เธอเป็นผู้ได้ตามความปรารถนาได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ  ปัญญาวิมุติไม่มีอาสวะเพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันนี้แหละ เข้าถึงอยู่ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๗ เป็นพระวินัยธรได้ คือ รู้อาบัติ ๑ รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑  จำปาติโมกข์ทั้งสองได้โดยพิสดาร จำแนกดี สวดคล่องแคล่ว วินิจฉัยถูกต้อง โดยสูตร โดยอนุพยัญชนะ  ๑ สำหรับฌาน ๔ ฝ่ายกุศลเจตสิก เป็นเครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน
   เธอเป็นผู้ได้ตามความปรารถ ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ไม่มีอาสวะเพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันนี้แหละเข้าถึงอยู่ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๗ เป็นพระวินัยธรได้ คือ รู้อาบัติ ๑ รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑  ระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้างสองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง หกชาติบ้าง เจ็ดชาติบ้าง แปดชาติบ้าง เก้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง
สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้น มีกำหนดอายุเท่านั้น
   ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้น มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้
   ย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจ
มิจฉาทิฏฐิ สัตว์เหล่านั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ สัตว์เหล่านั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุบัติเลวประณีต
มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันนี้แหละ เข้าถึงอยู่ ๑.
       พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๗ ย่อมงาม คือ รู้อาบัติ ๑ รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑  เป็นผู้มีศีล ... สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ๑ สำหรับฌาน ๔ ฝ่ายกุศลเจตสิก เป็นเครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน เธอเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันนี้แหละ เข้าถึงอยู่ ๑.
       พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๗ ย่อมงาม คือรู้อาบัติ ๑ รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑ เป็นผู้มีสุตะมาก ... แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ ๑ สำหรับฌาน ๔ ฝ่ายกุศลเจตสิก เป็นเครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน เธอเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันนี้แหละเข้าถึงอยู่ ๑.
       พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๗ ย่อมงาม คือ รู้อาบัติ ๑ รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑ จำปาติโมกข์ทั้งสองได้โดยพิสดาร จำแนกดี สวดคล่องแคล่ว วินิจฉัยถูกต้อง โดยสูตร โดยอนุพยัญชนะ  ๑ สำหรับฌาน ๔ ฝ่ายกุศลเจตสิก เป็นเครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน เธอเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ไม่มีอาสวะเพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันนี้แหละเข้าถึงอยู่ ๑.
       พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๗ ย่อมงาม คือ รู้อาบัติ ๑ รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑ ระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก ... ๑ เล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์เป็นไปตามกรรม ... ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันนี้แหละ เข้าถึงอยู่ ๑.
ว่าด้วยอสัทธรรมและสัทธรรม
   [๙๙๔] อสัทธรรม ๗ คือ ไม่มีศรัทธา ๑ ไม่มีความละอาย ๑ ไม่มีความเกรงกลัว ๑ มีการฟังน้อย ๑ เกียจคร้าน ๑ หลงลืมสติ ๑ มีปัญญาทราม ๑.
   สัทธรรมมี ๗ คือ มีศรัทธา ๑ มีความละอาย ๑ มีความเกรงกลัว ๑ มีการฟังมาก ๑ ปรารภความเพียร ๑ มีสติตั้งมั่น ๑ มีปัญญา ๑.    หมวด ๗ จบ
หัวข้อประจำหมวด
   [๙๙๕] อาบัติ ๑ กองอาบัติ ๑ วินีตวัตถุ ๑ สามีจิกรรม ๑ ทำตามปฏิญญาไม่เป็นธรรม ๑ ทำตามปฏิญญาเป็นธรรม ๑ สัตตาหะไปไม่ต้องอาบัติ ๑ อานิสงส์ ๑ อย่างยิ่ง ๑ อรุณ ๑ สมถะ ๑ กรรม ๑ ข้าวเปลือกดิบ ๑ สร้างกุฎีด้านกว้าง ๑ คณะโภชน์ ๑ เจ็ดวันเป็นอย่างยิ่ง ๑ ถือเอา ๑ เก็บไป ๑
   ไม่เห็นอาบัติ ๑ เห็นอาบัติ ๑ ทำคืนอาบัติ ๑ งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม ๑ งดปาติโมกข์เป็นธรรม ๑ วินัยธร ๔ อย่าง ๑ ภิกษุงาม ๔ อย่าง ๑ อสัทธรรม ๗ อย่าง ๑ สัทธรรม ๗ อย่าง ๑ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้แล้วแล.
หัวข้อประจำหมวด ๗ จบ
อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๖ [ พรรณนาหมวด ๖ ]วินิจฉัยในหมวด ๖ พึงทราบดังนี้
   สองบทว่า ฉ สามีจิโย ได้แก่ สามีจิกรรม ๖ เฉพาะในภิกขุปาฏิโมกข์เหล่านี้ คือ ภิกษุนั้นก็เป็นอันมิได้อัพภาน, และภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นอันพระพุทธเจ้าจะพึงทรงติเตียน นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น, ว่า ท่านจงทวงเอาทรัพย์ของท่านคืน, ทรัพย์ของท่านอย่าได้ฉิบหายเสียเลย ดังนี้ นี้เป็นสามีจิกรรมใน
เรื่องนั้น, ว่า ภิกษุ นี้บาตรของท่าน พึงทรงไว้ กว่าจะแตก ดังนี้ นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น, นำออกจากที่นั้นแล้วพึงแบ่งปันกับภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น, อันภิกษุผู้ศึกษาอยู่ ควรรู้ถึง, ควรสอบถาม, ควรตริตรอง, นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น, ด้วยหมายว่า ของผู้ใด ผู้นั้นจักได้เอาไป นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น. 
   สองบทว่า ฉ เฉทนกา ได้แก่ อาบัติ ๕ ที่กล่าวไว้ในหมวด ๕ กับผ้าสำหรับอาบน้ำของภิกษุณีรวมเป็น ๖. 
   บทว่า ฉหากาเรหิ ได้แก่ ความเป็นผู้ไม่ละอาย, ความไม่รู้, ความเป็นผู้สงสัยแล้วขืนทำ, ความเป็นผู้มีความสำคัญว่าควร ในของที่ไม่ควร, ความเป็นผู้มีความสำคัญว่าไม่ควร ในของที่ควร, ความลืมสติ. 
   ในอาการ ๖ นั้น เมื่อต้องอาบัติ เพราะไตรจีวรและสัตตาหกาลิกก้าวล่วง ๑ ราตรี ๖ ราตรีและ ๗ วันเป็นต้น ชื่อว่าต้องเพราะความลืมสติ. ที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล. 
   หลายบทว่า ฉ อานิสํสา วินยธเร ได้แก่ อานิสงส์ ๕ ที่กล่าวแล้วในหมวด ๕ รวมเป็น ๖ กับทั้งอานิสงส์นี้ คืออุโบสถเป็นหน้าที่ของพระวินัยธรนั้น. 
   สองบทว่า ฉ ปรมานิ มีความว่า พึงทรงอติเรกจีวรไว้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง, ภิกษุนั้นพึงเก็บจีวรนั้นไว้ ๑ เดือนเป็นอย่างยิ่ง, ภิกษุนั้น พึงยินดีจีวรมีอุตราสงค์กับอันตรวาสกเป็นอย่างยิ่งจากจีวรเหล่านั้น, พึงเข้าไปยืนนิ่งต่อหน้า ๖ ครั้งเป็นอย่างยิ่ง. อนึ่ง ภิกษุให้ทำสันถัตใหม่แล้ว พึงทรงไว้ให้ได้ ๖ ปี
   เพราะฉะนั้น สันถัตใหม่อันภิกษุพึงทรงไว้โดยกาลมี ๖ ปีเป็นอย่างยิ่ง, (ขนเจียมเหล่านั้น) อันภิกษุ ... พึงถือไปด้วยมือของตนเอง ตลอดระยะทาง ๓ โยชน์เป็นอย่างยิ่ง, พึงทรงอติเรกบาตรไว้ได้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง, พึงเก็บ (เภสัชเหล่านั้น) ไว้ฉันได้ ๗ วันเป็นอย่างยิ่ง, ภิกษุนั้น พึงอยู่ปราศจากจีวร
นั้นได้ ๖ คืนเป็นอย่างยิ่ง, ภิกษุณีพึงจ่ายผ้าห่มหนาวมีราคา ๑๖ กหาปณะเป็นอย่างยิ่ง. ภิกษุณี พึงจ่ายผ้าห่มฤดูร้อน มีราคา ๑๐ กหาปณะเป็นอย่างยิ่ง, ภิกษุณี (เมื่อทำความสะอาดด้วยน้ำ) พึงล้วงได้ ๒ องคุลีเป็นอย่างยิ่ง, เขียงเท้าเตียงให้มี ๘ นิ้วเป็นอย่างยิ่ง, ไม้ชำระฟันให้มี ๘ นิ้วเป็นอย่างยิ่ง, รวมเป็นอย่างยิ่ง ๑๔ นี้ด้วยประการฉะนี้. 
   ในอย่างยิ่ง ๑๔ นั้น ๖ ข้อแรกเป็นหมวด ๖ อันหนึ่ง, ต่อไปนั้นพึงจัดหมวด ๖ เหล่าอื่นบ้าง โดยนัยมีอาทิ คือชักออกเสียหมวดหนึ่ง ที่ยังเหลือจัดเข้าเป็นหมวดอันหนึ่งๆ. 
   สองบทว่า ฉ อาปตฺติโย ได้แก่ หมวดหก ๓ หมวดที่กล่าวแล้วในอันตรเปยยาล. 
   สองบทว่า ฉ กมฺมานิ ได้แก่ ตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรม รวมเป็น ๔ ทั้งกรรม ๒ ที่กล่าว เพราะไม่เห็นอาบัติและเพราะไม่ทำคืนอาบัติ รวมเป็น ๑, กรรม ๑ เพราะไม่ยอมสละทิฏฐิลามก. 
   บทว่า ฉ นหาเน ได้แก่ (อนุบัญญัติ ๖) เพราะอาบน้ำ ยังหย่อนกึ่งเดือน. 
   หมวดหก ๒ หมวดว่าด้วยจีวรที่ทำค้างเป็นต้น ได้อธิบายไว้แล้วในกฐินขันธกะ. 
         คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล.
         พรรณนาหมวด ๖ จบ.
อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๗ [ พรรณนาหมวด ๗ ]วินิจฉัยในหมวด ๗ พึงทราบดังนี้
   สองบทว่า สตฺต สามีจิโย มีความว่า พึงทราบสามีจิกรรม ๗ เพราะเพิ่มข้อว่า ภิกษุณีนั้น ก็เป็นอันมิได้อัพภาน ภิกษุณีทั้งหลายเหล่านั้น ก็เป็นอันพระพุทธเจ้าจะพึงทรงติเตียน นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น นี้เข้าในสามีจิกรรม ๖ ที่กล่าวมาแล้วในหนหลัง.
              หลายบทว่า สตฺต อธมฺมิกา ปฏิญฺญาตกรณา
ได้แก่ ทำตามปฏิญญาที่ไม่เป็นธรรม ๗ ที่ทรงแสดงแล้วในสมถขันธกะ อย่างนี้ว่า
ภิกษุต้องปาราชิก อันภิกษุผู้ต้องปาราชิก โจทอยู่ จึงปฏิญญาว่า ข้าพเจ้าต้องสังฆาทิเสส
สงฆ์ปรับเธอด้วยสังฆาทิเสส, ชื่อว่าทำตามปฏิญญาไม่เป็นธรรม. แม้ทำตามปฏิญญาที่เป็นธรรม
ก็ได้ทรงแสดงแล้วในสมถขันธกะนั้นแล. 
                         สตฺต อธมฺมิกา ปฏิญฺญาตกรณาติ ภิกฺขุ ปาราชิกํ อชฺฌาปนฺโน 
                         โหติ ปาราชิเกน โจทิยมาโน สงฺฆาทิเสสํ อชฺฌาปนฺโนมฺหีติ 
                         ปฏิชานาติ ตํ สงฺโฆ สงฺฆาทิเสเสน กาเรติ อธมฺมิกํ 
                         ปฏิญฺญาตกรณนฺติ เอวํ สมถกฺขนฺธเก นิทฺทิฏฺาฯ 
               หลายบทว่า สตฺตนฺนํ อนาปตฺติ สตฺตาหกรณีเยน คนฺตุํ นี้ ได้กล่าวแล้วในวัสสูปนายิกขันธกะ. 
               สองบทว่า สตฺตานิสํสา วินยธเร มีความว่า อานิสงส์ ๕ ที่กล่าวแล้วในหมวด ๕ กับ ๒
อานิสงส์นี้ คืออุโบสถ ปวารณาเป็นหน้าที่ของพระวินัยธรนั้น จึงรวมเป็น ๗. 
               สองบทว่า สตฺต ปรมานิ ได้แก่ อย่างยิ่งที่กล่าวแล้วในหมวด ๖ นั่นแล พึงจัดด้วยอำนาจหมวด ๗. 
               หมวดเจ็ด ๒ หมวด มีว่าด้วยจีวรที่ทำแล้วเป็นอาทิ ได้แสดงแล้วในกฐินขันธกะ.
หมวดเหล่านี้ คืออาบัติที่ต้องเห็น ไม่มีแก่ภิกษุ, อาบัติที่ต้องเห็น มีแก่ภิกษุ,
อาบัติที่ต้องทำคืน มีแก่ภิกษุ, เป็นหมวดเจ็ด ๓ หมวด. 
               อธัมมิกะ ๒ หมวด, ธัมมิกะ ๑ หมวด. ทั้ง ๓ หมวดนั้น ได้แสดงแล้วในจัมเปยยขันธกะ. 
               บทว่า อสทฺธมฺมา ได้แก่ ธรรมของอสัตบุรุษ หรือธรรมที่ไม่สงบ. อธิบายว่า ธรรมไม่งาม คือเลว ลามก. 
               บทว่า สทฺธมฺมา ได้แก่ ธรรมของสัตบุรุษ คือของพระอริยะมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น หรือธรรมที่สงบ.
               อธิบายว่า ธรรมที่งาม คือสูงสุด.
                              คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล.
                              พรรณนาหมวด ๗ จบ.

ไม่มีความคิดเห็น: