Translate

05 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๑๐ ว่าด้วยอาฆาตวัตถุเป็นต้น หมวด ๑๑ ว่าด้วยบุคคลเป็นต้น

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
หมวด ๑๐ ว่าด้วยอาฆาตวัตถุเป็นต้น
   [๑๐๐๐] อาฆาตวัตถุมี ๑๐. อุบายกำจัดอาฆาตวัตถุมี ๑๐. วินีตวัตถุมี ๑๐. มิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐. สัมมาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐. อันตคาหิกทิฏฐิมี ๑๐. มิจฉัตตะมี ๑๐. สัมมัตตะมี ๑๐. อกุศลกรรมบถมี ๑๐. กุศลกรรมบถมี ๑๐. จับสลากไม่เป็นธรรมมี ๑๐. จับสลากเป็นธรรมมี ๑๐. สามเณรมีสิกขาบท ๑๐. สามเณรประกอบด้วยองค์ ๑๐ พึงให้สึกเสีย.

ว่าด้วยองค์ของพระวินัยธร
   [๑๐๐๑] พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๑๐ นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่กำหนดที่สุดถ้อยคำของตน ๑ ไม่กำหนดที่สุดถ้อยคำของผู้อื่น ๑ ไม่กำหนดที่สุดถ้อยคำของตนและไม่กำหนดที่สุดถ้อยคำของผู้อื่นแล้วปรับอาบัติ ๑ ปรับอาบัติโดยไม่เป็นธรรม ๑ ปรับอาบัติไม่ตามปฏิญญา ๑ ไม่รู้อาบัติ ๑ ไม่รู้มูลของอาบัติ ๑ ไม่รู้เหตุเกิดของอาบัติ ๑ ไม่รู้ความดับของอาบัติ ๑ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอาบัติ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๑๐ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ กำหนดที่สุดถ้อยคำของตน ๑ กำหนดที่สุดถ้อยคำของผู้อื่น ๑ กำหนดที่สุดถ้อยคำของตนและกำหนดที่สุดถ้อยคำของผู้อื่นแล้วปรับอาบัติ ๑ ปรับอาบัติตามธรรม ๑ ปรับอาบัติตามปฏิญญา ๑ รู้อาบัติ ๑ รู้มูลของอาบัติ ๑ รู้เหตุเกิดของอาบัติ ๑ รู้ความดับของอาบัติ ๑ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอาบัติ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๑๐  นับว่า เป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้อธิกรณ์ ๑ ไม่รู้มูลของอธิกรณ์  ๑ ไม่รู้เหตุเกิดของอธิกรณ์ ๑ ไม่รู้ความดับของอธิกรณ์ ๑ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอธิกรณ์ ๑ ไม่รู้วัตถุ ๑ ไม่รู้เหตุเป็นเค้ามูล ๑ ไม่รู้บัญญัติ ๑ ไม่รู้อนุบัญญัติ ๑ ไม่รู้ทางแห่งถ้อยคำอันเข้าอนุสนธิกันได้ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๑๐  นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้อธิกรณ์ ๑ รู้มูลของอธิกรณ์  ๑ รู้เหตุเกิดของอธิกรณ์ ๑ รู้ความดับของอธิกรณ์ ๑ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอธิกรณ์ ๑ รู้วัตถุ ๑ รู้เหตุเป็นเค้ามูล ๑ รู้บัญญัติ ๑ รู้อนุบัญญัติ ๑ รู้ทางแห่งถ้อยคำอันเข้าอนุสนธิกันได้ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๑๐  นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้ญัตติ ๑ ไม่รู้การตั้งญัตติ ๑ ไม่ฉลาดในเบื้องต้น ๑  ไม่ฉลาดในเบื้องปลาย ๑ ไม่รู้กาล ๑ ไม่รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ ไม่รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ ไม่รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ ไม่รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ ไม่ยึดถือ ไม่ใส่ใจ ไม่ใคร่ครวญถ้อยคำที่สืบต่อจากอาจารย์ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๑๐ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้ญัตติ ๑ รู้การตั้งญัตติ ๑ ฉลาดในเบื้องต้น ๑ ฉลาดในเบื้องปลาย ๑ รู้กาล ๑ รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑  เป็นผู้ยึดถือ ใส่ใจใคร่ครวญถ้อยคำที่สืบต่อจากอาจารย์ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๑๐ นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ ไม่ผู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ ไม่รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ ไม่รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ จำปาติโมกข์ทั้งสองไม่ได้โดยพิสดาร จำแนกไม่ดี สวดไม่คล่องแคล่ว วินิจฉัยไม่ถูกต้อง
โดยสูตร โดยอนุพยัญชนะ ๑ ไม่รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ ไม่รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ ไม่รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ ไม่รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ ไม่ฉลาดในการวินิจฉัยอธิกรณ์ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๑๐  นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ จำปาติโมกข์ทั้งสองได้ โดยพิสดาร จำแนกดี สวดคล่องแคล่ววินิจฉัยถูกต้อง โดยสูตร โดยอนุพยัญชนะ ๑
รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ ฉลาดในการวินิจฉัยอธิกรณ์ ๑.

ว่าด้วยอุพพาหิกาเป็นต้น
   [๑๐๐๒] ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๑๐ สงฆ์พึงสมมติด้วยอุพพาหิกา. พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกทั้งหลาย  เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐. การเข้าไปสู่ภายในพระราชฐานมีโทษ ๑๐. ทานวัตถุมี ๑๐. รัตนะมี ๑๐. ภิกษุสงฆ์มีวรรค ๑๐. คณะสงฆ์มีวรรค ๑๐ พึงให้อุปสมบท.
ผ้าบังสุกุลมี ๑๐. จีวรสำหรับใช้สอยมี ๑๐. ทรงอติเรกจีวรมี ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง. น้ำสุกกะมี ๑๐ สตรีมี ๑๐. ภรรยามี  ๑๐. ภิกษุในพระนครเวสาลีแสดงวัตถุ ๑๐. บุคคลไม่ควรไหว้มี ๑๐. เรื่องสำหรับด่ามี ๑๐.  กล่าวคำส่อเสียดด้วยอาการ ๑๐. เสนาสนะมี ๑๐. ขอพร ๑๐. งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมี
๑๐.  งดปาติโมกข์เป็นธรรมมี ๑๐. ยาคูมีอานิสงส์ ๑๐. อกัปปิยะมังสะมี ๑๐. สิกขาบทว่าด้วยอย่างยิ่งมี ๑๐. ภิกษุมีพรรษา ๑๐ ฉลาด สามารถควรให้บรรพชา อุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก. ภิกษุณีมีพรรษา ๑๐ ฉลาดสามารถ ควรให้บรรพชาอุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้
สามเณรีอุปัฏฐาก. ภิกษุณีมีพรรษา ๑๐ ฉลาด สามารถ พึงยินดีการสมมติให้บวช. ภิกษุณีมีพรรษา ๑๐ ควรให้สิกขาแก่สตรีคฤหัสถ์.  หมวด ๑๐ จบ

หัวข้อประจำหมวด
   [๑๐๐๓] อาฆาตวัตถุ ๑ อุบายกำจัด ๑ วินีตวัตถุ ๑ มิจฉาทิฏฐิ ๑ สัมมาทิฏฐิ ๑ อันตคาหิกทิฏฐิ ๑ มิจฉัตตะ ๑ สัมมัตตะ ๑ อกุศลกรรมบถ ๑ กุศลธรรมบถ ๑ จับสลากเป็นธรรม ๑ จับสลากไม่เป็นธรรม ๑ สามเณร ๑ นาสนะ ๑ ถ้อยคำ ๑ อธิกรณ์ ๑ ญัตติ ๑ อาบัติเบา ๑ อาบัติเบาอีก ๑ อาบัติหนัก ๑
จงรู้ฝ่ายดำ  ฝ่ายขาว เหล่านี้ไว้ อุพพาหิกา ๑ สิกขาบท ๑  ภายในพระราชฐาน ๑ ทานวัตถุ ๑ รัตนะ ๑ คณะสงฆ์ทสวรรค ๑ คณะสงฆ์ทสวรรคให้อุปสมบท ๑ ผ้าบังสุกุล ๑ จีวรสำหรับใช้สอย ๑ สิบวัน ๑ น้ำสุกกะ ๑ สตรี ๑ ภรรยา ๑ วัตถุสิบ ๑ คนไม่ควรไหว้ ๑ เรื่องสำหรับด่า ๑ คำส่อเสียด ๑
เสนาสนะ ๑ พร ๑ งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม ๑ งดปาติโมกข์เป็นธรรม ๑ ยาคู ๑ มังสะ ๑ อย่างยิ่ง ๑ ภิกษุ ๑ ภิกษุณี ๑ ให้บวช ๑ สตรีคฤหัสถ์ ๑ หมวดสิบ พระผู้มีพระภาค ทรงประกาศไว้ดีแล้วแล.  หัวข้อประจำหมวด ๑๐ จบ

หมวด ๑๑ ว่าด้วยบุคคลเป็นต้น
   [๑๐๐๔] บุคคล ๑๑ จำพวก ที่เป็นอนุปสัมบันไม่ควรให้อุปสมบท ที่เป็นอุปสัมบันควรให้สึกเสีย. รองเท้าไม่ควรมี ๑๑. ชนิด. บาตรไม่สมควรมี ๑๑ ชนิด. จีวรไม่สมควรมี ๑๑ ชนิด. สิกขาบทเป็นยาวตติยกะมี ๑๑. พึงถามคันตรายิกธรรม ๑๑ ของภิกษุณี. จีวรควรอธิษฐานมี ๑๑.
จีวรไม่ควรวิกัปมี ๑๑. จีวรเป็นนิสสัคคีย์เมื่อรุ่งอรุณที่ ๑๑. ลูกดุมที่สมควรมี ๑๑. ลูกถวินที่สมควรมี ๑๑. แผ่นดินไม่สมควรมี ๑๑. แผ่นดินที่สมควรมี ๑๑. การระงับนิสัยมี ๑๑. บุคคลไม่ควรไหว้มี ๑๑. สิกขาบทที่ว่าด้วยอย่างยิ่งมี ๑๑.  ขอพร ๑๑. โทษแห่งสีมามี ๑๑. บุคคลผู้ด่าบริภาษต้องได้รับโทษ ๑๑ อย่าง.
   เมื่อเมตตาเจโตวิมุติอันบุคคลเสพมาแต่แรก ให้เจริญแล้วทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยานที่เทียมดีแล้ว ทำให้เป็นที่ตั้ง ประพฤติสั่งสมเนืองๆ ปรารภสม่ำเสมอดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ อย่าง คือ หลับเป็นสุข ๑ ตื่นเป็นสุข ๑ ไม่ฝันร้าย ๑ เป็นที่รักของพวกมนุษย์ ๑  เป็นที่รักของพวกอมนุษย์ ๑
   เทพยดารักษา ๑ ไฟก็ดี ยาพิษก็ดีศาตราก็ดี ไม่ต้องบุคคลนั้น ๑ จิตตั้งมั่นได้รวดเร็ว ๑ สีหน้าผุดผ่อง ๑ ไม่หลงทำกาละ ๑ เมื่อยังไม่บรรลุคุณวิเศษที่ยิ่งขึ้นไปย่อมเกิดในพรหมโลก ๑ เมื่อเมตตาเจโตวิมุติอันบุคคลเสพมาแต่แรก ให้เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยานที่เทียมดีแล้ว ทำให้เป็นที่ตั้ง ประพฤติสั่งสมเนืองๆ ปรารภสม่ำเสมอดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ นี้แล.  หมวด ๑๑ จบ
หัวข้อประจำหมวด
   [๑๐๐๕] ให้สึก ๑ รองเท้า ๑ บาตร ๑ จีวร ๑ สิกขาบทเป็นยาวตติยะ ๑ พึงถาม ๑ อธิษฐาน ๑ วิกัป ๑ อรุณ ๑ ลูกดุม ๑ ลูกถวิน ๑ แผ่นดินไม่ควร ๑ แผ่นดินควร ๑ นิสัย  ๑ บุคคลไม่ควรไหว้ ๑ อย่างยิ่ง ๑ พร ๑ โทษสีมา ๑ ด่า ๑ เมตตา จัดเป็นหมวด ๑๑.
เอกุตตริกะ จบ
หัวข้อลำดับหมวด
   [๑๐๐๖] หมวดยิ่งกว่าหนึ่งไม่มีมลทิน คือ หมวด ๑ หมวด ๒ หมวด ๓ หมวด ๔ หมวด ๕ หมวด ๖ หมวด ๗ หมวด ๘ หมวด ๙ หมวด ๑๐ และหมวด ๑๑ อันพระพุทธเจ้าผู้มหาวีระ มีธรรมอันปรากฏแล้ว ผู้คงที่ ทรงแสดงแล้ว เพื่อความเกื้อกูล แก่สรรพสัตว์แล.
หัวข้อลำดับหมวด ๑๑ จบ
อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๑๐ [ พรรณนาหมวด ๑๐ ]วินิจฉัยในหมวด ๑๐ พึงทราบดังนี้
   สองบทว่า ทส อาฆาตวตฺถูนิ ได้แก่ อาฆาตวัตถุ ๙ ที่กล่าวแล้วในหมวด ๙ กับข้อนี้ว่า ก็หรือ อาฆาตย่อมเกิดขึ้นในอัฏฐานะ จึงรวมเป็น ๑๐. แม้อุบายกำจัดอาฆาต พึงทราบอุบาย ๙ ที่กล่าวแล้วในหมวด ๙ นั้นรวมเป็น ๑๐ ทั้งข้อนี้ว่า ก็หรือ อาฆาตเกิดในอัฏฐานะ จึงกำจัดอาฆาตเสีย ด้วยพิจารณาว่า ข้อนั้น เราจะพึงได้ในผู้นี้จากไหน. 
   สองบทว่า ทส วินีตวตฺถูนิ ได้แก่ วินีตวัตถุ ๑๐ กล่าวคือเว้นจากอาฆาตวัตถุ ๑๐. 
   สองบทว่า ทสวตฺถุกา มิจฺฉาทิฏฺฐิ ได้แก่ พึงทราบด้วยอำนาจแห่งวัตถุว่า ผลแห่งทานอันบุคคลให้แล้ว ไม่มี เป็นอาทิ. 
   สัมมาทิฏฐิ พึงทราบด้วยอำนาจวัตถุว่า ผลแห่งทานอันบุคคลให้แล้วมีอยู่ เป็นอาทิ. 
   ส่วนอันตคาหิกทิฏฐิ พึงทราบด้วยอำนาจแห่งความเห็นว่า โลกเที่ยงเป็นอาทิ. 
   มิจฉัตตะ ๑๐ มีมิจฉาทิฏฐิเป็นต้น มีมิจฉาวิมุตติเป็นปริโยสาน. ทิฏฐิที่ตรงกันข้าม เป็นสัมมัตตะ. 
   การจับสลาก ทรงแสดงแล้วในสมถขันธกะ. 
   หลายบทว่า ทสหงฺเคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ อุพฺพาหิกาย สมฺมนฺนิตพฺโพ ได้แก่ ด้วยองค์ ๑๐ ที่ตรัสไว้ในสมถขันธกะ โดยนัยมีคำว่า เป็นผู้มีศีล เป็นต้น. 
   โทษ ๑๐ ประการ ในการเข้าสู่ภายในวังหลวง ได้ทรงแสดงแล้วในราชสิกขาบท.๑- 
   สองบทว่า ทส ทานวตฺถูนิ ได้แก่ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ระเบียบ ของหอม เครื่องทา ที่นอน ที่พัก เชื้อประทีป. 
   สองบทว่า ทส รตนานิ ได้แก่ แก้ว ๑๐ ประการ มีมุกดา มณี ไพฑูรย์เป็นต้น. 
   สองบทว่า ทส ปํสุกูลานิ มีความว่า อุปสัมบันพึงทำความขวนขวายในจีวรเหล่านี้ คือ ผ้าที่ตกที่ป่าช้า ผ้าที่ตกที่ประตูตลาด ผ้าที่หนูกัด ผ้าที่ 
   ปลวกกัด ผ้าที่ถูกไฟไหม้ ผ้าที่โคกัด ผ้าที่แพะกัด ผ้าห่มจอมปลวก ผ้าที่เขาทิ้งในที่อภิเษก ผ้าที่เขานำไปสู่ป่าช้าแล้วนำกลับมา. 
   ในอรรถกถากุรุนทีกล่าวว่า จีวรสาธารณะ ๑๐ นั้น ได้แก่ จีวร ๑๐ ชนิด ด้วยอำนาจจีวรที่พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ ย่อมทรงจีวรทั้งหลายมีจีวรเขียวล้วนเป็นต้น. 
   แต่ในมหาอรรถกถากล่าวว่า ได้แก่ จีวร ๑๐ ชนิด เพิ่มผ้าอาบน้ำหรือผ้าคาดนม (ของภิกษุณี) เข้าในจีวรที่ควร ๙ ชนิด. 
 บุคคลที่ไม่ควรไหว้ ได้แสดงแล้วในเสนาสนขันธกะ. 
 อักโกสวัตถุ ได้แสดงแล้วในโอมสวาทสิกขาบท.๒- 
 อาการ ๑๐ ได้แสดงแล้วในเปสุญญสิกขาบท.๓- 
    สองบทว่า ทส เสนาสนานิ ได้แก่ เตียง ตั่ง ฟูก หมอน เครื่องรองรักษาพื้น เสื่อสำหรับปูทับข้างบน ท่อนหนังสำหรับรองนั่ง ผ้าปูนอน เครื่องลาดทำด้วยหญ้า เครื่องลาดทำด้วยใบไม้. 
    หลายบทว่า ทส วรานิ ยาจึสุ มีความว่า นางวิสาขาได้ขอพร ๘ ประการ, พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงขอพร ๑ หมอชีวกได้ขอพร ๑. 
    อานิสงส์แห่งยาคูและอกัปปิยมังสะ ได้ทรงแสดงแล้วในเภสัชชขันธกะ. 
         บทที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล. 
๑- มหาวิภงฺค. ๒/๔๘๔.  ๒- มหาวิภงฺค. ๒/๑๖๔.  ๓- มหาวิภงฺค. ๒/๖๘๔.
พรรณนาหมวด ๑๐ จบ.

อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๑๑ [ พรรณนาหมวด ๑๑ ]วินิจฉัยในหมวด ๑๑ พึงทราบดังนี้
   บทว่า เอกาทส ได้แก่ บุคคล ๑๑ พวก มีบัณเฑาะก์เป็นต้น. 
   สองบทว่า เอกาทส ปาทุกา ได้แก่ เขียงเท้า ๑๐ อย่าง เป็นวิการแห่งรัตนะ เขียงเท้าไม้ ๑, ส่วนเขียงเท้าทำด้วยหญ้าสามัญ หญ้าปล้องและหญ้ามุงกระต่ายเป็นต้น จัดเข้าพวกเขียงเท้าไม้เหมือนกัน. 
   สองบทว่า เอกาทส ปตฺตา ได้แก่ บาตรที่ทำด้วยรตนะ ๑๐ ชนิด รวมทั้งบาตรที่ทำด้วยทองแดงหรือทำด้วยไม้. 
   สองบทว่า เอกาทส จีวรานิ ได้แก่ จีวรเขียวล้วนเป็นต้น. 
   สองบทว่า เอกาทส ยาวตติยกา ได้แก่ อุกขิตตานุวัตติกา ๑ สังฆาทิเสสของภิกษุณี ๘ อริฏฐสิกขาบท ๑ จัณฑกาฬีสิกขาบท ๑. 
   อันตรายิกธรรมทั้งหลาย อันภิกษุณีผู้สวดกรรมวาจาพึงถาม มีข้อว่า น สีมนิมิตฺตา เป็นต้น ชื่อว่าอันตรายิกธรรม ๑๑. 
   หลายบทว่า เอกาทส จีวรานิ อธิฏฺฐาตพฺพานิ ได้แก่ ไตรจีวร ผ้าอาบน้ำฝน ผ้านิสีทนะ ผ้าปูนอน ผ้าปิดฝี ผ้าเช็ดหน้า บริขารโจล ผ้าอาบน้ำ ผ้าคาดนม. 
   บทว่า น วิกปฺเปตพฺพานิ มีความว่า จีวร ๑๑ ชนิดนั้นแล จำเดิมแต่กาลที่อธิษฐานแล้ว ไม่ควรวิกัปป์. 
   ลูกดุมและลูกถวิน มี ๑๑ อย่าง รวมทั้งที่ถักด้วยด้าย. ทั้งหมดนั้นได้แสดงแล้วในขุททกขันธกะ. 
   ปฐพี ได้แสดงแล้วในปฐวีสิกขาบท.๑- 
   ระงับนิสัย จากอุปัชฌาย์ ๕ จากอาจารย์ ๖ รวมเป็น ๑๑ อย่างนี้. 
   บุคคลไม่ควรไหว้ รวมทั้งบุคคลผู้เปลือยกายจึงเป็น ๑๑, บุคคลไม่ควรไหว้ทั้งหมดนั้น ได้แสดงแล้วในเสนาสนขันธกะ. 
   อย่างยิ่ง ๑๑ พึงทราบในอย่างยิ่ง ๑๔ ที่กล่าวแล้วในหนหลัง แต่จัดด้วยอำนาจหมวด ๑๑. 
   สองบทว่า เอกาทส วรานิ ได้แก่ พร ๑๐ ประการที่กล่าวแล้วในหนหลัง กับพรที่พระนางมหาปชาบดีทูลขอ. 
   สีมาโทษ ๑๑ อย่าง จักมาในกัมมวรรค โดยนัยมีคำว่า สมมติสีมาเล็กเกินนัก เป็นอาทิ. 
   ขึ้นชื่อว่า โทษ ๑๑ ประการ ในบุคคลผู้ด่า ผู้กล่าวขู่ พึงทราบโดยพระบาลีว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นใด ผู้ด่า ผู้กล่าวขู่เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย มักด่าว่าพระอริยะ, ข้อที่ภิกษุนั้นไม่พึงประสบความฉิบหาย ๑๑ อย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส. ความฉิบหาย ๑๑ อย่าง คืออะไรบ้าง?
   คือ ภิกษุนั้นไม่บรรลุคุณที่ไม่บรรลุ ๑ เสื่อมจากคุณที่ได้บรรลุแล้ว ๑ สัทธรรมของภิกษุนั้นไม่ผ่องใส ๑ ภิกษุนั้น ย่อมเป็นผู้มีความดูหมิ่นในพระสัทธรรม ๑ เบื่อหน่ายประพฤติพรหมจรรย์ ๑ ต้องอาบัติที่เศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑ ลาสิกขาเวียนมาเป็นคนเลว ๑ ถูกความเจ็บไข้คือโรคอย่างหนัก ๑
   ถึงความคลั่งเป็นบ้า ๑ ย่อมหลงใหลทำกาลกิริยา ๑ เบื้องหน้าแต่มรณะเพราะแตกแห่งกาย ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ๑. ก็พระพุทธวจนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์ว่า สัทธรรม ในบทว่า สทฺธมฺมสฺส นี้. 
   บทว่า อาเสวิตาย ได้แก่ เสพมาตั้งแต่แรก. 
   บทว่า ภาวิตาย ได้แก่ ให้สำเร็จ หรือให้เจริญ. 
   บทว่า พหุลีกตาย ได้แก่ กระทำบ่อยๆ. 
   บทว่า ยานีกตาย ได้แก่ ทำให้คล้ายยานที่เทียมไว้ดีแล้ว. 
   บทว่า วตฺถุกตาย ได้แก่ ทำให้เป็นคุณตั้งมั่น โดยประการที่จะตั้งมั่น. 
   บทว่า อนุฏฺฐิตาย ได้แก่ ประพฤติเนืองๆ. อธิบายว่า อธิษฐานเป็นนิตย์. 
   บทว่า ปริจิตาย ได้แก่ สะสมโดยรอบ คือ สะสมในทิศทั้งปวงคือ สะสมทั่วถึง. อธิบายว่า ให้เจริญยิ่งๆ. 
   บทว่า สุสมารทฺธาย ได้แก่ ปรารภดีพร้อม. อธิบายว่า น้อมเข้าไปสู่ความเป็นผู้ชำนาญ. 
   สองบทว่า น ปาปกํ สุปินํ มีความว่า ไม่ฝันเห็นเฉพาะที่ลามกเท่านั้น, แต่ย่อมฝันเห็นที่ดี คือ ที่เป็นเหตุแห่งความเจริญ. 
   สองบทว่า เทวตา รกฺขนฺติ มีความว่า อารักขเทวดาทั้งหลายย่อมจัดตั้งการรักษาที่ชอบธรรม. 
   หลายบทว่า ตุวฏํ จิตฺตํ สมาธิยติ ได้แก่ จิตย่อมตั้งมั่น (เป็นสมาธิ) เร็ว. 
   สองบทว่า อุตฺตรึ อปฺปฏิวิชฺฌนฺโต มีความว่า เมื่อไม่กระทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัต ซึ่งยิ่งกว่าเมตตาฌานขึ้นไป คงเป็นเสขบุคคลหรือปุถุชนก็ตาม เมื่อทำกาลกิริยา ย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก. 
         คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล. 
๑- มหาวิภงฺค. ๒/๒๓๐.
         เอกุตตริกวัณณนามีพรรณนาหมวด ๑๑ เป็นที่สุดจบ.

ไม่มีความคิดเห็น: