Translate

05 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๘ ว่าด้วยอานิสงส์เป็นต้น หมวด ๙ ว่าด้วยอาฆาตวัตถุเป็นต้น

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
หมวด ๘ ว่าด้วยอานิสงส์เป็นต้น
   [๙๙๖] ภิกษุเห็นอานิสงส์ ๘ ไม่พึงยกภิกษุนั้นฐานไม่เห็นอาบัติ. ภิกษุเห็นอานิสงส์ ๘ พึงแสดงอาบัตินั้น เพราะความเชื่อแม้ต่อผู้อื่น. อาบัติสังฆาทิเสสเป็นยาวตติยกะมี ๘. ประจบตระกูลด้วยอาการ ๘. จีวรบังเกิดมีมาติกา ๘. กฐินเดาะมีมาติกา ๘. น้ำปานะมี ๘ ชนิด. พระเทวทัตต์ มีจิตอันอสัทธรรม ๘ อย่าง
ครอบงำย่ำยี จึงไปสู่อบาย ตกรก ชั่วกัป ช่วยไม่ได้. โลกธรรมมี ๘. ครุธรรมมี ๘. อาบัติปาฏิเทสนียะมี ๘. มุสาวาทมี ๘ องค์อุโบสถมี ๘ องค์แห่งความเป็นทูตมี ๘. วัตรแห่งเดียรถีย์มี ๘. อัจฉริยะอัพภูตธรรมในมหาสมุทรมี ๘. อัจฉริยะอัพภูตธรรมในพระธรรมวินัยนี้มี ๘. ภัตตาหารที่ไม่เป็นเดนมี ๘.
ภัตตาหารที่เป็นเดนมี ๘. เภสัชเป็นนิสสัคคิยะเมื่อรุ่งอรุณที่ ๘. ปาราชิกมี ๘. ภิกษุณียังวัตถุที่ ๘ ให้บริบูรณ์สงฆ์พึงนาสนะเสีย. ภิกษุณียังวัตถุที่ ๘ ให้บริบูรณ์แม้แสดงอาบัติแล้วก็ไม่เป็นอันแสดง. อุปสมบทมีวาจา ๘. พึงลุกรับภิกษุณี ๘ พวก. พึงให้อาสนะแก่ภิกษุณี ๘ พวก. อุบาสิกาขอพร ๘.
ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๘ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นผู้สั่งสอนภิกษุณี การทรงวินัยมีอานิสงส์  ๘. สิกขาบทที่ว่าด้วยอย่างยิ่งมี ๘. ภิกษุผู้ถูกลงตัสสปาปิยสิกากรรมพึงประพฤติชอบในธรรม  ๘. งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมี ๘. งดปาติโมกข์เป็นธรรมมี ๘.  หมวด ๘ จบ

หัวข้อประจำหมวด
   [๙๙๗] ไม่ยกภิกษุนั้น ๑ เชื่อผู้อื่น ๑ อาบัติสังฆาทิเสสเป็นยาวตติยกะ ๑ ประจบ ๑ มาติกา ๑ กฐินเดาะ ๑  น้ำปานะ ๑ อสัทธรรมครอบงำ ๑ โลกธรรม ๑ ครุธรรม ๑ อาบัติปาฏิเทสนียะ ๑ มุสาวาท ๑ อุโบสถ ๑ องค์แห่งทูต ๑ ติตถิยวัตร ๑ มหาสมุทร ๑ อัพภูตธรรมในพระธรรมวินัย ๑
   โภชนะไม่เป็นเดน ๑ โภชนะเป็นเดน ๑ เภสัชเป็นนิสสัคคีย์ ๑ ปาราชิก ๑ วัตถุที่แปด ๑ ไม่แสดง ๑ อุปสมบท ๑ ลุกรับ ๑ ให้อาสนะ ๑ พร ๑ ให้โอวาท ๑ อานิสงส์ ๑ อย่างยิ่ง ๑ ประพฤติในธรรมแปด ๑ งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม ๑ งดปาติโมกข์เป็นธรรม ๑ พระผู้มีพระภาคทรงประกาศหมวดแปดไว้ดีแล้วแล.  หัวข้อประจำหมวด  ๘ จบ
หมวด ๙ ว่าด้วยอาฆาตวัตถุเป็นต้น
   [๙๙๘] อาฆาตวัตถุมี ๙. อุบายกำจัดอาฆาตวัตถุมี ๙. วินีตวัตถุมี ๙. อาบัติสังฆาทิเสสเป็นปฐมาปัตติกะมี ๙. สงฆ์แตกกันเพราะภิกษุ ๙ รูป. โภชนะอันประณีตมี ๙. เป็นทุกกฏเพราะมังสะ ๙ ชนิด. ปาติโมกขุทเทศมี ๙. สิกขาบทที่ว่าด้วยอย่างยิ่งมี ๙. ธรรมมีตัณหาเป็นมูลมี ๙. มานะมี ๙.
   จีวรที่ควรอธิษฐานมี  ๙. จีวรที่ไม่ควรวิกัปมี ๙. จีวรพระสุคตยาว ๙ คืบ. การให้ไม่เป็นธรรมมี ๙. การรับไม่เป็นธรรมมี ๙. บริโภคไม่เป็นธรรมมี ๙. การให้เป็นธรรมมี ๓. การรับเป็นธรรมมี ๓. บริโภคเป็นธรรมมี ๓. สัญญัติไม่เป็นธรรมมี ๙. สัญญัติเป็นธรรมมี ๙. กรรมไม่เป็นธรรมหมวด ๙
มี ๒ หมวด. กรรมเป็นธรรมหมวด ๙ มี ๒ หมวด. งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมี ๙. งดปาติโมกข์เป็นธรรมมี ๙.  หมวด ๙ จบ

หัวข้อประจำหมวด
   [๙๙๙] อาฆาตวัตถุ ๑ อุบายกำจัด ๑ วินีตวัตถุ ๑ อาบัติเป็นปฐมาปัตติกะ ๑ สงฆ์แตกกัน ๑ โภชนะประณีต ๑ มังสะ ๑ อุเทศ ๑ อย่างยิ่ง ๑ ตัณหา ๑ มานะ ๑ อธิษฐาน ๑ วิกัป ๑ คืบ ๑ ให้ ๑ รับ  ๑ บริโภค ๑ ให้รับ และบริโภคที่เป็นธรรมอย่างละสาม ๑ สัญญัติที่ไม่เป็นธรรม ๑ ที่เป็นธรรม ๑ หมวด ๙ สองหมวดสองอย่าง ๑ งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม ๑ เป็นธรรม ๑.
หัวข้อประจำหมวด ๙ จบ
อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๘ [ พรรณนาหมวด ๘ ]วินิจฉัยในหมวด ๘ พึงทราบดังนี้
   บทว่า อฏฺฐานิสํเส ได้แก่ อานิสงส์ ๘ ที่ตรัสไว้ในโกสัมพิกขันธกะอย่างนี้ คือ เราทั้งหลายจักไม่ทำอุโบสถกับภิกษุนี้ จักเว้นภิกษุนี้เสีย ทำอุโบสถ ไม่พึงปวารณากับภิกษุนี้, จักไม่ทำสังฆกรรมกับภิกษุนี้, จักไม่นั่งบนอาสนะกับภิกษุนี้, จักไม่นั่งในที่ดื่มยาคูกับภิกษุนี้, จักไม่นั่งในหอฉันกับภิกษุนี้, จักไม่อยู่ใน
ที่มุงอันเดียวกันกับภิกษุนี้, จักไม่ทำการกราบ, ลุกขึ้นรับ, อัญชลีกรรม สามีจิกรรม, ตามลำดับผู้แก่กับภิกษุนี้, เว้นภิกษุนี้เสีย จึงจักทำ แม้ในหมวด ๘ ที่ ๒ ก็นัยนี้แล. 
   จริงอยู่ แม้หมวด ๘ ที่ ๒ นั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ในโกสัมพิกขันธกะอย่างนี้เหมือนกัน. 
   สองบทว่า อฏฺฐ ยาวตติยกา ได้แก่ สังฆาทิเสสที่เป็นยาวตติยกะ ๔ ในสังฆาทิเสส ๑๓ ของภิกษุทั้งหลาย สังฆาทิเสสที่เป็นยาวตติยกะ ๔ ที่ไม่ทั่วไปด้วยพวกภิกษุ ในสังฆาทิเสส ๑๗ ของภิกษุณีทั้งหลาย จึงรวมเป็นยาวตติยกะ ๘. 
   หลายบทว่า อฏฺฐหากาเรหิ กุลานิ ทูเสติ มีความว่า ย่อมประทุษร้ายตระกูล ด้วยอาการ ๘ เหล่านี้ คือ ด้วยดอกไม้บ้าง, ผลไม้บ้าง, จุณณ์บ้าง, ดินเหนียวบ้าง, ไม้สีฟันบ้าง, ไม้ไผ่บ้าง, เยียวยาทางแพทย์บ้าง, รับใช้ส่งข่าวบ้าง. 
   มาติกา ๘ (เพื่อเกิดขึ้นแห่งจีวร) กล่าวแล้วในจีวรขันธกะมาติกา ๘ ข้อหลัง (เพื่อรื้อกฐิน) ได้กล่าวแล้วในกฐินขันธกะ. 
   สองบทว่า อฏฺฐหิ อสทฺธมฺเมหิ มีความว่า ด้วยลาภ มิใช่ลาภ ด้วยยศ มิใช่ยศ ด้วยสักการะ มิใช่สักการะ ด้วยความเป็นผู้มีปรารถนาลามก ด้วยความเป็นผู้มีปาปมิตร. 
   ชื่อว่าโลกธรรม ๘ คือ ยินดีในลาภ ยินร้ายในมิใช่ลาภ ยินดีในยศ สรรเสริญ สุข ยินร้ายในมิใช่ยศ นินทา ทุกข์. 
   สองบทว่า อฏฺฐงฺคิโก มุสาวาโท ได้แก่ มุสาวาทที่ประกอบด้วยองค์ ๘ คือ ๗ องค์ที่มาในบาลีกับองค์นี้ คือ ตั้งความหมายจึงเป็นมุสาวาทประกอบด้วยองค์ ๘. 
   สองบทว่า อฏฺฐ อุโปสถงฺคานิ ได้แก่ องค์ ๘ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่า :- 
   ไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงถือเอาของที่เขาไม่ให้ ไม่พึงกล่าวเท็จ ไม่พึงดื่มน้ำเมา พึงเว้นจากเมถุนธรรมความประพฤติไม่ประเสริฐ 
   ไม่พึงบริโภคอาหาร ในเวลาวิกาลตลอดราตรี ไม่พึงทัดทรงระเบียบ ดอกไม้ ไม่พึงไล้ทาเครื่องหอม พึงนอนบนเตียงบนพื้น หรือบน เครื่องลาดที่สมควร บัณฑิตทั้งหลายกล่าวอุโบสถมีองค์ ๘ นี้แล  อันพระพุทธเจ้าผู้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ทรงประกาศแล้ว๑- 
   สองบทว่า อฏฺฐ ทูเตยฺยงฺคานิ ได้แก่ องค์ ๘ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในสังฆเภทขันธกะ โดยนัยมีอาทิว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ฟังด้วย เป็นผู้ให้ผู้อื่นฟังด้วย. 
   ติตถิยวัตร ได้ทรงแสดงแล้วในมหาขันธกะ.๒- 
   ของเคี้ยวของฉัน ไม่เป็นเดนและเป็นเดน ได้ทรงแสดงแล้วในปวารณาสิกขาบท.๓- 
   สองบทว่า อฏฺฐนฺนํ ปจฺจุฏฺฐาตพฺพํ มีความว่า ในโรงฉันพึงลุกขึ้นรับแก่ภิกษุณีผู้แก่ทั้งหลาย แม้อาสนะก็พึงให้แก่ภิกษุณีเหล่านั้นแท้. 
   บทว่า อุปาสิกา ได้แก่ นางวิสาขา. 
   สองบทว่า อฏฺฐานิสํสา วินยธเร มีความว่า พึงทราบอานิสงส์ ๘ เพราะเติมอานิสงส์ ๓ นี้ คือ อุโบสถ ปวารณา สังฆกรรม เป็นหน้าที่ของวินัยธรนั้น เข้าในอานิสงส์ ๕ ที่กล่าวแล้วในหมวด ๕. 
   สองบทว่า อฏฺฐ ปรมานิ ได้แก่ พึงทราบอย่างยิ่งทั้งหลาย ที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นเอง แต่จัดด้วยอำนาจหมวด ๘. 
   หลายบทว่า อฏฺฐสุ ธมฺเมสุ สมฺมาวตฺติตพฺพํ ได้แก่ ในธรรม ๘ ที่ทรงแสดงในสมถขันธกะ โดยนัยมีข้อว่า ไม่พึงงดอุโบสถแก่ภิกษุผู้ปกตัตต์ ไม่พึงงดปวารณาแก่ภิกษุผู้ปกตัตต์ เป็นอาทิ. 
         คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล. 
๑- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๑๐.  ๒- มหาวคฺค. เล่ม ๔/ข้อ ๑๐๐/ หน้า ๑๔๓.  ๓- มหาวิภงฺค. เล่ม ๒/ข้อ ๕๐๔/หน้า ๓๓๒.
พรรณนาหมวด ๘ จบ.
อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๙ [ พรรณนาหมวด ๙ ]วินิจฉัยในหมวด ๙ พึงทราบดังนี้
   สองบทว่า นว อาฆาตวตฺถูนิ ได้แก่ อาฆาตวัตถุ ๙ มีผูกอาฆาตว่า เขาได้ประพฤติไม่เป็นประโยชน์แก่เรา เป็นอาทิ. 
   สองบทว่า นว อาฆาตปฏิวินยา ได้แก่ อุบายกำจัดอาฆาต ๙ มีข้อว่า บุคคลย่อมกำจัดอาฆาตเสีย ด้วยคิดว่า เมื่อเราผูกอาฆาตอยู่ว่า เขาได้ประพฤติไม่เป็นประโยชน์แก่เรา ความไม่ประพฤติสิ่งไม่เป็นประโยชน์นั้น เราจะพึงได้ในบุคคลนี้ จากไหน ดังนี้เป็นอาทิ. 
   สองบทว่า นว วินีตวตฺถูนิ ได้แก่ ความงด ความเว้น ความกำจัดเสียด้วยอริยมรรค จากวัตถุแห่งอาฆาต ๙. 
   หลายบทว่า นวหิ สงฺโฆ ภิชฺชติ ได้แก่ ความแตกแห่งสงฆ์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อุบาลี ความร้าวแห่งสงฆ์และความแตกแห่งสงฆ์ ย่อมมีภิกษุ ๙ รูปบ้าง เกินกว่า ๙ รูปบ้าง ดังนี้. 
   สองบทว่า นว ปรมานิ ได้แก่ พึงทราบอย่างยิ่งทั้งหลายที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล แต่จัดด้วยอำนาจหมวด ๙. 
   ธรรมชื่อว่ามีตัณหาเป็นมูล ได้แก่ ความแสวงอาศัยตัณหา ลาภอาศัยความแสวง. ตัดสินอาศัยลาภ. ความรักด้วยความพอใจอาศัยตัดสิน. ความตกลงใจอาศัยความรักด้วยความพอใจ. ความหวงอาศัยความตกลงใจ. ความตระหนี่อาศัยความหวง. ความอารักขาอาศัยความตระหนี่. การฉวยไม้พลอง
   การฉวยศัสตรา ทะเลาะแก่งแย่งโต้เถียง กล่าวว่า มึงๆ ความส่อเสียดและกล่าวเท็จ มีความอารักขาเป็นเหตุ. 
   บทว่า นววิธมานา ได้แก่ มานะของบุคคล ผู้ดีกว่าว่า "เราเป็นคนดีกว่า" เป็นต้น. 
   สองบทว่า นว จีวรานิ มีความว่า จีวรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยนัยมีอาทิว่า ไตรจีวร หรือว่า ผ้าอาบน้ำฝน.๑- 
   บทว่า น วิกปฺเปตพฺพานิ มีความว่า จำเดิมแต่กาลที่ภิกษุอธิษฐานแล้ว ไม่ควรวิกัปป์. 
   หลายบทว่า นว อธมฺมิกานิ ทานานิ มีความว่า ทานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ว่า น้อมลาภที่เขานำมาเพื่อสงฆ์ ไปเพื่อสงฆ์หมู่อื่นก็ตาม เพื่อเจดีย์ก็ตาม เพื่อบุคคลก็ตาม. น้อมลาภที่เขานำมาเพื่อเจดีย์ ไปเพื่อเจดีย์อื่นก็ตาม เพื่อสงฆ์ก็ตาม, เพื่อบุคคลก็ตาม น้อมลาภที่เขานำมาเพื่อบุคคล ไปเพื่อบุคคลอื่นก็ตาม เพื่อสงฆ์ก็ตาม เพื่อเจดีย์ก็ตาม. 
   หลายบทว่า นวปฏิคฺคหา ปริโภคา ได้แก่ รับและบริโภคทานเหล่านั้นเอง. 
   หลายบทว่า ตีณิ ธมฺมิกานิ ทานานิ ได้แก่ ทาน ๓ นี้ คือ ให้ของที่เขาถวายสงฆ์แก่สงฆ์เท่านั้น, ให้ของที่เขาถวายเจดีย์แก่เจดีย์เท่านั้น, ให้ของที่เขาถวายบุคคลแก่บุคคลเท่านั้น. แม้การรับและบริโภค ก็คือรับและบริโภคทาน ๓ นั้นแล. 
   หลายบทว่า นว อธมฺมิกา สญฺญตฺติโย ได้แก่ ติกะ ๓ ที่ทรงแสดงแล้วในสมถขันธกะอย่างนี้ คือ บุคคลเป็นอธัมมวาที, ภิกษุมากหลายเป็นอธัมมวาที, สงฆ์เป็นอธัมมวาที. แม้บัญญัติที่ชอบธรรมก็ทรงแสดงแล้วในสมถขันธกะนั้นแล โดยนัยมีอาทิว่า บุคคลเป็นธัมมวาที ดังนี้. 
   หมวดเก้า ๒ หมวด ในกรรมไม่เป็นธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้แล้วด้วยอำนาจแห่งปาจิตตีย์ ในนิทเทสแห่งสิกขาบทที่ ๑ แห่งโอวาทวรรค.๒- 
   หมวดเก้า ๒ หมวด ในกรรมเป็นธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแล้ว ด้วยอำนาจแห่งทุกกฏ ในนิทเทสแห่งสิกขาบทที่ ๑ แห่งโอวาทวรรคนั้นเหมือนกัน. 
         คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล. 
๑- ติจีวรนฺติ วา วสฺสิกสาฏิกาติ วา   ๒- มหาวิภงฺค ๒/๑๗๑
พรรณนาหมวด ๙ จบ.

ไม่มีความคิดเห็น: