Translate

06 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร [อัตถวเสปกรณ์] อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ [คาถาสังคณิกะ] ท่านพระอุบาลีเข้าเฝ้าทูลถามปัญหา

 
อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ
   [๑๐๐๙] พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบท แก่พระสาวกทั้งหลาย เพราะทรงอาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย ๑.
   [๑๐๑๐] สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก สิ่งใดเป็นไปเพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก สิ่งนั้นเป็นไปเพื่ออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก สิ่งใดเป็นไปเพื่ออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน สิ่งใดเป็นไปเพื่อป้องกันอาสวะ อันจะบังเกิดในปัจจุบัน สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต สิ่งใดเป็นไปเพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส สิ่งใดเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว สิ่งใดเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนผู้ที่เลื่อมใสแล้ว สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม สิ่งใดเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม สิ่งนั้นเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย.
   [๑๐๑๑] สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์สิ่งนั้นเป็นไปเพื่ออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบันสิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย.
   [๑๐๑๒] สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่ออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์.
   [๑๐๑๓] สิ่งใดเป็นไปเพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ... สิ่งใดเป็นไปเพื่ออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ...  สิ่งใดเป็นไปเพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ...  สิ่งใดเป็นไปเพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ... สิ่งใดเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ... สิ่งใดเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...  สิ่งใดเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ...  สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งนั้นเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งนั้นเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งนั้นเป็นไป
 เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งนั้นเป็นไปเพื่ออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัยสิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม.
       [๑๐๑๔] อรรถหนึ่งร้อย ธรรมหนึ่งร้อย นิรุตติสองร้อย
ญาณสี่ร้อย มีในอัตถวเสปกรณ์.   อัตถวเสปกรณ์ จบ
 มหาวรรค จบ
หัวข้อประจำเรื่อง
       [๑๐๑๕]  หมวดธรรมเหล่านี้ของภิกษุ ๑๖ ของภิกษุณี ๑๖ คือ หมวด ๑ ถึงหมวด ๘ ในคำถามและปัจจัย และหมวด ๑ ถึงหมวด ๘ ในคำถามและปัจจัยอีก เปยยาล อันตราเภทและเอกุตตริกะ ปวารณา อัตถวเสปกรณ์สงเคราะห์เข้ามหาวรรค ฯ หัวข้อประจำเรื่อง จบ
คาถาสังคณิกะ
ท่านพระอุบาลีเข้าเฝ้าทูลถามปัญหา
   ท่านพระอุบาลีกราบทูลว่า สิกขาบทที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ในวินัยทั้งสอง ย่อมมาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถ สิกขาบทเหล่านั้น มีเท่าไร? ทรงบัญญัติไว้ ณ พระนครกี่แห่ง?
   พ. ปัญญาของท่านดี ท่านสอบถามโดยแยบคาย เพราะฉะนั้นเราจักบอกแก่ท่านตามที่ท่านเป็นผู้ฉลาดถาม.
   สิกขาบทที่บัญญัติไว้ในวินัยทั้งสอง ย่อมมาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถสิกขาบทเหล่านั้นมี ๓๕๐ สิกขาบท ตถาคตบัญญัติไว้ ณ พระนคร ๗ แห่ง.
   [๑๐๑๗] อุ. สิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ ณ พระนคร ๗ แห่งๆ ไหนบ้าง? ของพระองค์ได้โปรดแจ้งพระนคร ๗ แห่งนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้าๆ ได้ฟังทางแห่งพระดำรัสของพระองค์แล้ว จะปฏิบัติ ข้อนั้นจะพึงมีเพื่อความเกื้อกูลแก่พวกข้าพระพุทธเจ้า.
   พ. สิกขาบทเหล่านั้น บัญญัติไว้ ณ พระนครเวสาลี ๑ พระนครราชคฤห์ ๑ พระนครสาวัตถี ๑ พระนครอาฬวี ๑ พระนครโกสัมพี ๑ สักกชนบท ๑ ภัคคชนบท ๑.
สิกขาบทบัญญัติ
   [๑๐๑๘] อุ. สิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ ณ พระนครเวสาลี มีเท่าไร? ณ พระนครราชคฤห์ มีเท่าไร? ณ พระนครสาวัตถี มีเท่าไร? ณ พระนครอาฬวี มีเท่าไร? ณ พระนครโกสัมพี มีเท่าไร? ณ สักกชนบท มีเท่าไร? ณ ภัคคชนบท มีเท่าไร? พระองค์อันข้าพระพุทธเจ้าทูลถามแล้ว ขอได้โปรดตอบข้อนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้า.
   พ. สิกขาบทที่บัญญัติไว้ ในพระนครเวสาลีมี ๑๐ สิกขาบท. ในพระนครราชคฤห์มี ๒๑ สิกขาบท. ในพระนครสาวัตถี รวมทั้งหมด มี ๒๙๔ สิกขาบท. ในพระนครอาฬวี มี ๖ สิกขาบท. ในพระนครโกสัมพี มี ๘ สิกขาบท. ในสักกชนบทมี ๘ สิกขาบท. ในภัคคชนบท. มี ๓ สิกขาบท.
   สิกขาบทเหล่าใดได้บัญญัติไว้ในพระนครเวสาลี ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นตามที่จะกล่าวต่อไป. สิกขาบทว่าด้วยเสพเมถุน ๑ สิกขาบทว่าด้วยฆ่ามนุษย์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยอวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีจริง ๑ สิกขาบทว่าด้วยทรงอติเรกจีวร ๑ สิกขาบทว่าด้วยหล่อสันถัตด้วยขนเจียมดำล้วน ๑ สิกขาบทว่าด้วยอวดอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริง ๑ สิกขาบทว่าด้วยภัตรทีหลัง ๑ สิกขาบทว่าด้วยไม้ชำระฟัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้ของเคี้ยวของฉันแก่อเจลก ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีด่าภิกษุ ๑ รวม สิกขาบทที่บัญญัติไว้ในพระนครเวสาลี เป็น ๑๐ สิกขาบท
   สิกขาบทเหล่าใดที่บัญญัติไว้ในพระนครราชคฤห์ ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้น ตามที่จะกล่าวต่อไป. สิกขาบทว่าด้วยถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ณ พระนครราชคฤห์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยตามกำจัดภิกษุรวม ๒ สิกขาบทว่าด้วยทำลายสงฆ์และประพฤติตามรวม ๒,  สิกขาบทว่าด้วยรับอันตรวาสก ๑, สิกขาบทว่าด้วยแลกเปลี่ยนรูปิยะ ๑, สิกขาบทว่าด้วยขอด้าย ๑, สิกขาบทว่าด้วยบ่นว่า ๑, สิกขาบทว่าด้วยฉันโภชนะที่ภิกษุณีแนะให้เขาถวาย ๑ สิกขาบทว่าด้วยอาหารในโรงทาน ๑ สิกขาบทว่าด้วยฉันหมู่ ๑ สิกขาบทว่าด้วยฉันในเวลาวิกาล ๑ สิกขาบทว่าด้วยเที่ยวไปในสกุล ๑ สิกขาบทว่าด้วยอาบน้ำ ๑ สิกขาบทว่าด้วยบวชคนมีอายุไม่ครบ ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้จีวร ๑ สิกขาบทว่าด้วยฉันโภชนะที่ภิกษุณียืนสั่งเสีย ๑ สิกขาบทว่าด้วยเที่ยวยอดเขา ๑ สิกขาบทว่าด้วยจาริก  ๑ สิกขาบทเหล่านี้บัญญัติไว้ในพระนครราชคฤห์ รวมกับการให้ฉันทะในกรรมนั้นแหละ  เป็น ๒๑ สิกขาบท.
   สิกขาบทเหล่าใดบัญญัติไว้ในพระนครสาวัตถี ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้น ตามที่กล่าวต่อไป. ปาราชิก ๔ ของภิกษุณี สังฆาทิเลส ๑๖ อนิยต ๒ นิสสัคคียะ ๒๔ สิกขาบทที่เรียกว่าขุททกสิกขาบทมี ๑๕๖ สิกขาบทที่ควรติเตียน ๑๐ สิกขาบทเสขิยวัตร ๗๒ สิกขาบท รวม สิกขาบททั้งหมดที่บัญญัติไว้ ในพระนครสาวัตถี ๒๙๔ สิกขาบท.
   สิกขาบทเหล่าใดบัญญัติไว้ในพระนครอาฬวี ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นดังจะกล่าวต่อไป. สิกขาบทว่าด้วยให้ทำกุฎี ๑ สิกขาบทว่าด้วยทำสันถัตเจือไหม ๑ สิกขาบทว่าด้วยนอนร่วมกับอนุปสัมบัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยขุดดิน ๑ สิกขาบทว่าด้วยพรากภูตคาม ๑ สิกขาบทว่าด้วยน้ำมีตัวสัตว์เอารดหญ้าหรือดิน ๑ สิกขาบทเหล่านี้รวม ๖ สิกขาบท  บัญญัติไว้ในพระนครอาฬวี.
   สิกขาบทเหล่าใดบัญญัติไว้ในพระนครโกสัมพี ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้น ดังจะกล่าวต่อไป สิกขาบทว่าด้วยให้ทำวิหารใหญ่ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุว่ายากสอนยาก ๑ สิกขาบทว่าด้วยแกล้งพูดคำอื่นกลบเกลื่อน ๑ สิกขาบทว่าด้วยกรอบประตู ๑ สิกขาบทว่าด้วยดื่มสุราเมรัย ๑ สิกขาบทว่าด้วยไม่เอื้อเฟื้อ ๑ สิกขาบทว่าด้วยว่ากล่าวโดยชอบธรรม ๑ รวมเป็น ๘ สิกขาบททั้งดื่มน้ำนม.
   สิกขาบทเหล่าใดบัญญัติไว้ในสักกชนบท ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้น ดังจะกล่าวต่อไป. สิกขาบทว่าด้วยให้ซักขนเจียม ๑ สิกขาบทว่าด้วยบาตรมีรอยร้าวหย่อน ๕ แห่ง ๑ สิกขาบทว่าด้วยสั่งสอนภิกษุณีถึงที่อยู่ ๑ สิกขาบทว่าด้วยขอเภสัช ๑ สิกขาบทว่าด้วยกล่องเข็ม ๑ สิกขาบทว่าด้วยเสนาสนะป่า ๑ รวม ๖ สิกขาบทนี้บัญญัติไว้ ณ พระนครกบิลพัสดุ์ สิกขาบทว่าด้วยทำความสะอาดด้วยน้ำ ๑ สิกขาบทว่าด้วยไม่รับโอวาท ๑ ตถาคตได้กล่าวไว้ในหมู่ภิกษุณี.
   สิกขาบทเหล่าใดบัญญัติไว้ในภัคคชนบท ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้น ดังจะกล่าวต่อไป. สิกขาบทว่าด้วยติดไฟผิง ๑ สิกขาบทว่าด้วยมือเปื้อนอามิส ๑ สิกขาบทว่าด้วยน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวสุก ๑ สิกขาบทเหล่านั้น คือ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๗ นิสสัคคิยะ ๘ ขุททกะ ๓๒ ปาฏิเทสนียะสิกขาบทที่น่าติ ๒ เสขิยวัตร ๓ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ บัญญัติไว้ใน ๖ พระนคร รวม ๕๖ สิกขาบทในพระนครสาวัตถี พระโคดมผู้มียศ บัญญัติไว้ทั้งหมดรวม ๒๙๔ สิกขาบท.
ทรงพยากรณ์อาบัติหนักและอาบัติเบาเป็นต้น
   [๑๐๑๙] อุ. ข้าพระพุทธเจ้า ได้ทูลถามปัญหาข้อใดกะพระองค์ พระองค์ได้ ทรงแก้ปัญหาข้อนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้า ได้ทรงแก้ปัญหานั้นๆ โดยมิได้เป็นอย่างอื่น. ข้าพระพุทธเจ้า ขอทูลถามปัญหาข้ออื่นกะพระองค์ ขอพระองค์โปรดตอบปัญหานั้นต่อไป. คือ อาบัติหนัก ๑ อาบัติเบา  ๑ อาบัติมีส่วนเหลือ ๑ อาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ อาบัติชั่วหยาบ ๑ อาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ สิกขาบทเป็นยาวตติยกะ ๑ สิกขาบททั่วไป ๑ สิกขาบทไม่ทั่วไป ๑ สิกขาบทที่จำแนกไว้ระงับด้วยสมถะเหล่าใด ๑ ขอพระองค์ได้โปรดชี้แจงสิกขาบทนี้แม้ทั้งมวล. พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจะฟังพระดำรัสของพระองค์.
   พ. อาบัติหนักมี ๓๑ ศีลวิบัติและอาจารวิบัติในอาบัติหนักเหล่านั้น อาบัติปาราชิกที่ไม่มีส่วนเหลือมี ๘ อาบัติใดหนัก อาบัตินั้นชั่วหยาบอาบัติใดชั่วหยาบ อาบัตินั้นเป็นศีลวิบัติ.  อาบัติปาราชิก อาบัติสังฆาทิเสส เรียกชื่อว่าศีลวิบัติ. อาบัติถุลลัจจัย ปาจิตติยะ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏทุพภาสิตคือด่าประสงค์จะล้อเล่น อาบัตินี้นั้นรวมเรียกว่า อาจารวิบัติ.
ทิฏฐิวิบัติ
   [๑๐๒๐] บุคคลมีปัญญาเขลา อันโมหะครอบงำ ถูกอสัทธรรมรุมล้อมย่อมถือทิฏฐิวิบัติกล่าวตู่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาบัตินี้นั้นรวมเรียกว่าทิฏฐิวิบัติ.
อาชีววิบัติ
   [๑๐๒๑] ภิกษุผู้ปรารถนาลามก ถูกความอยากครอบงำ ย่อมอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีไม่เป็นจริง เพราะเหตุอาชีวะ เพราะการณ์อาชีวะ ภิกษุถึงความเที่ยวชักสื่อ เพราะเหตุอาชีวะ เพราะการณ์อาชีวะ  ภิกษุกล่าวว่าภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่านภิกษุนั้นเป็นอรหันต์ เพราะเหตุอาชีวะ เพราะการณ์อาชีวะ ภิกษุณี ขอโภชนะอันประณีตเพื่อประโยชน์ตนมาฉัน เพราะเหตุอาชีวะ เพราะการณ์อาชีวะ ภิกษุไม่อาพาธขอแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์ตนมาฉัน เพราะเหตุอาชีวะ เพราะการณ์อาชีวะ อาบัตินี้นั้นรวมเรียกว่า อาชีววิบัติ.
ยาวตติยกะสิกขาบท
   [๑๐๒๒]  ยาวตติยกะสิกขาบท ๑๑ นั้น ท่านจงฟัง ดังจะกล่าวต่อไป อุกขิตตานุวัตติกสิกขาบท ๑ ยาวตติยกะสิกขาบท ๘ อริฏฐสิกขาบท ๑ จัณฑกาลิสิกขาบท ๑ สิกขาบทเหล่านี้นั้นชื่อยาวตติยกะสิกขาบท.
ทรงพยากรณ์เฉทนกสิกขาบทและเภทนกสิกขาบทเป็นต้น 
             [๑๐๒๓] อุ. สิกขาบทว่าด้วยการตัดมีเท่าไร? สิกขาบทว่าด้วยการทำลายมีเท่าไร? สิกขาบทว่าด้วยการรื้อมีเท่าไร? สิกขาบทว่าเป็นปาจิตตีย์มิใช่อื่นมีเท่าไร? สิกขาบทว่าด้วยการ
สมมติภิกษุมีเท่าไร? สิกขาบทที่ว่าเป็นความชอบ มีเท่าไร? สิกขาบทที่ว่าอย่างยิ่งมีเท่าไร? สิกขาบทที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ทรงบัญญัติว่ารู้อยู่ มีเท่าไร?
         พ. สิกขาบทว่าด้วยการตัดมี ๖ สิกขาบทว่าด้วยการทำลายมี ๑ สิกขาบทว่าด้วยการรื้อมี ๑ สิกขาบทที่ว่าเป็นปาจิตตีย์มิใช่อื่นมี ๔ สิกขาบทว่าด้วยการสมมติภิกษุมี ๔ สิกขาบทที่ว่าเป็นความชอบมี ๗ สิกขาบทที่ว่าอย่างยิ่งมี ๑๔ สิกขาบทที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์บัญญัติไว้ว่ารู้อยู่มี ๑๖.
อรรถกถา ปริวาร อัตถวเสปกรณ์ อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการอัตถวเสปกรณวัณณนา  วินิจฉัยในอัตถวเสปกรณ์ พึงทราบดังนี้ :-
   ในคำว่า ทส อตฺถวเส เป็นต้น คำที่ควรกล่าว ได้กล่าวในวัณณนาแห่งปฐมปาราชิกแล้วแล.๑- 
   ในบททั้งหลายมีบทว่า ยํ สงฺฆสุฏฺฐุ ตํ สงฺฆผาสุ เป็นอาทิ บทต้นๆ เป็นเนื้อความของบทหลังๆ. 
   ก็ด้วยทำให้เป็นบทตั้งทีละบท ในทุก ๑๐ บท ประกอบ ๒๐ ครั้ง รวมร้อยบทนี้ใด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสในคำว่า อรรถร้อยหนึ่ง ธรรมร้อยหนึ่ง เป็นต้น. พึงทราบอรรถร้อยหนึ่ง ด้วยอำนาจบทหลังๆ ในร้อยบทนั้น. พึงทราบร้อยธรรม ด้วยอำนาจบทต้นๆ. 
   อีกอย่างหนึ่ง สิกขาบทอันพระตถาคตทรงอำนาจประโยชน์ ๑๐ เหล่าใด ทรงบัญญัติแล้วแก่สาวกทั้งหลาย อำนาจประโยชน์ ๑๐ เหล่าใดอันข้าพเจ้าพรรณนาแล้ว ในอรรถกถาแห่งปฐมปาราชิกในหนหลัง โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า บรรดาอำนาจประโยชน์ ๑๐ นั้น ความเห็นชอบของสงฆ์ คือความยอมรับคำว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า ดุจความยอมรับคำในที่มาว่า ดีแล้ว เทวะ ชื่อว่าสังฆสุฏฐุตา. 
   ก็ภิกษุใด ยอมรับคำของพระตถาคต ความยอมรับคำนั้น ของภิกษุนั้น ย่อมมี เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงกระทำให้แจ้งซึ่งเนื้อความนี้ว่า เราจักบัญญัติ เพื่อสงฆ์ยอมรับคำของเราว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า จักแสดงโทษในการที่ไม่ยอมรับ และอานิสงส์ในการที่
ยอมรับก่อนจึงจะบัญญัติ จักไม่บัญญัติกดขี่ด้วยหักหาญ ดังนี้ จึงตรัสว่า เพื่อเห็นชอบของสงฆ์. พึงทราบอรรถร้อยหนึ่งเพราะอำนาจประโยชน์เหล่านั้น มาแล้วในคัมภีร์บริวารนี้ ๑๐ ครั้ง และพึงทราบธรรมร้อยหนึ่ง ด้วยอำนาจบทที่ส่องอรรถนั้น.
   พึงทราบนิรุตติสองร้อยเหล่านี้ คือด้วยอำนาจแห่งนิรุตติที่ส่องอรรถ ร้อยนิรุตติ ด้วยอำนาจแห่งนิรุตติที่เป็นตัวธรรมดา ร้อยนิรุตติ. 
   และพึงทราบญาณสี่ร้อย คือ ร้อยญาณ ในร้อยอรรถ ร้อยญาณ ในในร้อยธรรม สองร้อยญาณ ในสองร้อยนิรุตติ. 
   จริงอยู่ คำใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ร้อยอรรถ ร้อยธรรม สองร้อยนิรุตติ รวมเป็นสี่ร้อยญาณ มีในอำนาจประโยชน์ที่เป็นเหตุเริ่มทำคำนี้ ทรงอาศัยอรรถเป็นต้นนั้น ตรัสแล้ว ฉะนี้แล. 
๑- สมนฺต.ปฐม. ๒๕๘.
พรรณนาอัตถวเสปกรณ์ จบ มหาวัคควัณณนา
          ในอรรถกถาวินัย ชื่อสมันตปาสาทิกา จบแล้ว                  ด้วยประการฉะนี้
จำนวนสิกขาบทของภิกษุเป็นต้น  [๑๐๒๔] สิกขาบทของภิกษุมาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถรวม ๒๒๐ สิกขาบท ของภิกษุณีมาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถรวม ๓๐๔ สิกขาบท.
                            สิกขาบทของภิกษุที่ไม่ทั่วไปกับภิกษุณี มี ๔๖ สิกขาบท.
                           สิกขาบทของภิกษุณีที่ไม่ทั่วไปกับภิกษุ มี ๑๓๐ สิกขาบท
                            สิกขาบทของทั้งสองฝ่ายที่ไม่ทั่วไปรวม ๑๗๖ สิกขาบท สิกขาบทของทั้งสองฝ่ายที่ศึกษาร่วมกันมี ๑๗๔ สิกขาบท. 
  ประเภทสิกขาบทของภิกษุ [๑๐๒๕] สิกขาบทของภิกษุ ๒๒๐ สิกขาบท มาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถ ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นดังจะกล่าวต่อไป. ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคิยะ ๓๐ ถ้วน ขุททกะ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยะ ๗๕ สิกขาบท ของภิกษุ รวม ๒๒๐ สิกขาบท มาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถ. 
ประเภทสิกขาบทของภิกษุณี [๑๐๒๖] สิกขาบทของภิกษุณี ๓๐๔ สิกขาบท มาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นดังจะกล่าวต่อไป. ปาราชิก ๘ สังฆาทิเสส ๑๗นิสสัคคิยะ ๓๐ ถ้วน ขุททกะ ๑๖๖ ปาฏิเทสนียะ ๘ เสขิยะ ๗๕ สิกขาบทของภิกษุณี รวม ๓๐๔ สิกขาบท มาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถ. 
อสาธารณะสิกขาบทของภิกษุ [๑๐๒๗] สิกขาบทของภิกษุ ที่ไม่ทั่วไปกับภิกษุณี มี ๔๖ ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นดังจะกล่าวต่อไป. สังฆาทิเสส ๖ รวมทั้งอนิยต ๒ สิกขาบท เป็น ๘ นิสสัคคิยะ ๑๒ รวมกันเป็น ๒๐ ขุททกะ ๒๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ สิกขาบทของภิกษุไม่ทั่วไปกับภิกษุณี รวม ๔๖ สิกขาบท.
อสาธารณะสิกขาบทของภิกษุณี
                [๑๐๒๘] สิกขาบทของภิกษุณี ที่ไม่ทั่วไปกับภิกษุมี ๑๓๐ ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นดังจะกล่าวต่อไป ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ที่สงฆ์ขับออกจากหมู่ ๑๐ นิสสัคคิยะ ๑๒ ขุททกะ ๙๖ ปาฏิเทสนียะ ๘ สิกขาบทของภิกษุณีที่ไม่ทั่วไปกับภิกษุ รวม ๑๓๐.
สิกขาบทที่ไม่ทั่วไปแก่สองฝ่าย
                [๑๐๒๙] สิกขาบทของทั้งสองฝ่ายที่ไม่ทั่วไปมี ๑๗๖ ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นดังจะกล่าวต่อไป. ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๖ อนิยต ๒ นิสสัคคิยะ ๒๔ ขุททกะ ๑๑๘ ปาฏิเทสนียะ ๑๒ สิกขาบทของทั้งสอง ฝ่ายที่ไม่ทั่วไป รวม ๑๗๖.
สิกขาบทของทั้งสองฝ่ายที่ศึกษาร่วมกัน
                [๑๐๓๐] สิกขาบทของทั้งสองฝ่ายที่ศึกษาร่วมกันมี ๑๗๔ ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นดังจะกล่าวต่อไป. ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๗ นิสสัคคิยะ ๑๘ ขุททกะ ๗๐ ถ้วน เสขิยะ ๗๕ สิกขาบทของทั้งสองฝ่ายที่ศึกษาร่วมกัน รวม ๑๗๔ สิกขาบท.
อาบัติที่ระงับไม่ได้
                [๑๐๓๑] บุคคลผู้ต้องปาราชิกเหล่าใด ๘ จำพวกไม่ควรเข้าใกล้ เปรียบเสมอด้วยโคนต้นตาล บุคคลผู้ต้องปาราชิกเหล่านั้น ย่อมไม่งอกงามเปรียบเหมือนใบไม้เหลือง ศิลาหนา คนศีรษะขาด ต้นตาลยอดด้วน ฉะนั้น.
อาบัติที่ระงับได้
                [๑๐๓๒] สังฆาทิเสส ๒๓ อนิยต ๒ นิสสัคคิยะ ๔๒ ปาจิตตีย์ ๑๘๘ ปาฏิเทสนียะ ๑๒ เสขิยะ ๗๕ ระงับด้วยสมถะ ๓ คือสัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑.
                ส่วนที่ทรงจำแนก
                [๑๐๓๓] อุโบสถ ๓ ปวารณา ๒ กรรม ๔ อันพระชินเจ้าทรงแสดงแล้วอุเทศ ๕ และอุเทศ ๔ ย่อมไม่มีโดยประการอื่น และกองอาบัติมี ๗.
อธิกรณ์     [๑๐๓๔] อธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๗ คือ ระงับด้วยสมถะ ๒ ด้วยสมถะ ๔ ด้วยสมถะ ๓ แต่กิจจาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๑.

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร อุโปสถาทิปุจฉาวิสัชนา อุโปสถกรรมเป็นต้น

 [๑๐๐๗] อุโบสถกรรม มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ปวารณากรรม มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ตัชชนียกรรม  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   นิยสกรรม  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ปัพพาชนียกรรม  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ปฏิสารณียกรรม  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   อุกเขปนียกรรม  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การให้ปริวาส มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การชักเข้าหาอาบัติเดิม  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การให้มานัต  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   อัพภาน  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   อุปสัมปทากรรม  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การระงับตัชชนียกรรม  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การระงับนิยสกรรม  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การระงับปัพพาชนียกรรม มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การระงับปฏิสารณียกรรม มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การระงับอุกเขปนียกรรม  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   สติวินัย  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   อมูฬหวินัย  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ตัสสปาปิยสิกา  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ติณวัตถารกะ  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การสมมติให้เป็นผู้สอนภิกษุณี  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การสมมติให้อยู่ปราศจากไตรจีวร  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การสมมติสันถัต  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การสมมติให้ทิ้งรูปิยะ  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การสมมติให้รับผ้าสาฎก  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การสมมติให้รับบาตร  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การสมมติไม้เท้า  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การสมมติสาแหรก  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   การสมมติไม้เท้าและสาแหรก มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?

ถามและตอบในอุโบสถกรรมเป็นต้น
   [๑๐๐๘] ถามว่า อุโบสถกรรม มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ตอบว่า อุโบสถกรรม มีสามัคคีเป็นเบื้องต้น มีการกระทำเป็นท่ามกลาง มีความสำเร็จเป็นที่สุด.
   ถ. ปวารณากรรม มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. ปวารณากรรม  มีสามัคคีเป็นเบื้องต้น มีการกระทำเป็นท่ามกลาง มีการสำเร็จเป็นที่สุด.
   ถ. ตัชชนียกรรม มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. ตัชชนียกรรม มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. นิยสกรรม มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. นิยสกรรม มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. ปัพพาชนียกรรม  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. ปัพพาชนียกรรม มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. ปฏิสารณียกรรม  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. ปฏิสารณียกรรม มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. อุกเขปนียกรรม มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. อุกเขปนียกรรม  มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การให้ปริวาส มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การให้ปริวาส  มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การชักเข้าหาอาบัติเดิม  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การชักเข้าหาอาบัติเดิม  มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การให้มานัต มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การให้มานัต มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. อัพภาน มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. อัพภาน มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. อุปสัมปทากรรม มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. อุปสัมปทากรรม มีบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การระงับตัชชนียกรรม มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การระงับตัชชนียกรรม มีความประพฤติชอบเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลางมีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การระงับนิยสกรรม มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การระงับนิยสกรรม  มีความประพฤติชอบเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลางมีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การระงับปัพพาชนียกรรม มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การระงับปัพพาชนียกรรม  มีความประพฤติชอบเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลางมีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การระงับปฏิสารณียกรรม มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การระงับปฏิสารณียกรรม มีความประพฤติชอบเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลางมีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การระงับอุกเขปนียกรรม มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การระงับอุกเขปนียกรรม มีความประพฤติชอบเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลางมีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. สติวินัย มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. สติวินัย  มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. อมูฬหวินัย มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. อมูฬหวินัย มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. ตัสสปาปิยสิกา มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. ตัสสปาปิยสิกา มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. ติณวัตถารกะ มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. ติณวัตถารกะ มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การสมมติให้เป็นผู้สอนภิกษุณี มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การสมมติให้เป็นผู้สอนภิกษุณี  มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การสมมติให้อยู่ปราศจากไตรจีวร  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลางมีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การสมมติให้อยู่ปราศจากไตรจีวร  มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การสมมติสันถัต  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การสมมติสันถัต  มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การสมมติให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การสมมติให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ  มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลางมีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การสมมติให้รับผ้าสาฎก มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การสมมติให้รับผ้าสาฎก มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลางมีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การสมมติให้รับบาตร  มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การสมมติให้รับบาตร มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การสมมติไม้เท้า มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การสมมติไม้เท้า  มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การสมมติสาแหรก มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การสมมติสาแหรก มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
   ถ. การสมมติไม้เท้าและสาแหรก มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ต. การสมมติไม้เท้าและสาแหรก มีวัตถุและบุคคลเป็นเบื้องต้น มีญัตติเป็นท่ามกลาง มีกรรมวาจาเป็นที่สุด.
ถามและตอบในอุโบสถกรรมเป็นต้น จบ
อรรถกถา ปริวาร อุโปสถกรรมเป็นต้นอุโปสถาทิปุจฉาวิสัชนาวัณณนา วินิจฉัยในคำแก้คำถามทั้งหลายมีคำถามว่า อะไรเป็นเบื้องต้นของ
อุโบสถกรรม เป็นอาทิ พึงทราบดังนี้ :-
      สองบทว่า สามคฺคี อาทิ มีความว่า กายสามัคคีของภิกษุทั้งหลายผู้คิดว่า จักทำอุโบสถ แล้วชำระสีมา นำฉันทะและปาริสุทธิมา ประชุมกัน เป็นเบื้องต้นของอุโบสถกรรม. 
      สองบทว่า กิริยา มชฺเฌ มีความว่า กิริยาที่กระทำบุพกิจสวดปาฏิโมกข์ เป็นท่ามกลางของอุโบสถกรรม. 
      สองบทว่า นิฏฺฐานํ ปริโยสานํ มีความว่า ความจบปาฏิโมกข์ ดังนี้ว่า ภิกษุทั้งหมดทีเดียว พึงเป็นผู้พร้อมเพรียง ชื่นชมยินดีด้วยดีอยู่ เป็นผู้ไม่วิวาทอยู่ ศึกษาในพระปาฏิโมกข์นั้น เป็นที่สุด (ของอุโบสถกรรม). 
      หลายบทว่า ปวารณากมฺมสฺส สามคฺคี อาทิ มีความว่า กายสามัคคีของภิกษุทั้งหลายผู้คิดว่า จักทำปวารณา แล้วชำระสีมา นำฉันทะและปวารณามา ประชุมกัน เป็นเบื้องต้นของปวารณากรรม. 
      สองบทว่า กิริยา มชฺเฌ มีความว่า ปวารณาญัตติและปวารณากถา เป็นท่ามกลาง (ของปวารณากรรม). 
      คำของภิกษุผู้สังฆนวกะที่ว่า ข้าพเจ้าเห็นอยู่ จักทำคืน เป็นที่สุด (ของปวารณากรรม). 
      ภิกษุย่อมเป็นผู้ควรแก่กรรม ด้วยวัตถุใด วัตถุนั้น ชื่อว่าวัตถุในกรรมทั้งหลาย มีตัชชนียกรรมเป็นต้น. 
         บุคคลที่ก่อวัตถุนั้น ชื่อว่าบุคคล. 
      สองบทว่า กมฺมวาจา ปริโยสานํ มีความว่า คำสุดท้ายแห่งกรรมวาจานั้นๆ อย่างนี้ว่า ตัชชนียกรรม อันสงฆ์ทำแล้ว แก่ภิกษุชื่อนี้ ควรแก่สงฆ์ เพราะเหตุนั้นจึงนิ่ง, ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้ เป็นที่สุดของกรรมทั้งหลาย มีตัชชนียกรรมเป็นต้น. 
         คำที่เหลือในที่ทั้งปวงตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล.
พรรณนาอุโปสถาทิปุจฉาวิสัชนา จบ.

05 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๑๐ ว่าด้วยอาฆาตวัตถุเป็นต้น หมวด ๑๑ ว่าด้วยบุคคลเป็นต้น

   ทำบุญ 
หมวด ๑๐ ว่าด้วยอาฆาตวัตถุเป็นต้น
   [๑๐๐๐] อาฆาตวัตถุมี ๑๐. อุบายกำจัดอาฆาตวัตถุมี ๑๐. วินีตวัตถุมี ๑๐. มิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐. สัมมาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐. อันตคาหิกทิฏฐิมี ๑๐. มิจฉัตตะมี ๑๐. สัมมัตตะมี ๑๐. อกุศลกรรมบถมี ๑๐. กุศลกรรมบถมี ๑๐. จับสลากไม่เป็นธรรมมี ๑๐. จับสลากเป็นธรรมมี ๑๐. สามเณรมีสิกขาบท ๑๐. สามเณรประกอบด้วยองค์ ๑๐ พึงให้สึกเสีย.

ว่าด้วยองค์ของพระวินัยธร
   [๑๐๐๑] พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๑๐ นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่กำหนดที่สุดถ้อยคำของตน ๑ ไม่กำหนดที่สุดถ้อยคำของผู้อื่น ๑ ไม่กำหนดที่สุดถ้อยคำของตนและไม่กำหนดที่สุดถ้อยคำของผู้อื่นแล้วปรับอาบัติ ๑ ปรับอาบัติโดยไม่เป็นธรรม ๑ ปรับอาบัติไม่ตามปฏิญญา ๑ ไม่รู้อาบัติ ๑ ไม่รู้มูลของอาบัติ ๑ ไม่รู้เหตุเกิดของอาบัติ ๑ ไม่รู้ความดับของอาบัติ ๑ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอาบัติ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๑๐ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ กำหนดที่สุดถ้อยคำของตน ๑ กำหนดที่สุดถ้อยคำของผู้อื่น ๑ กำหนดที่สุดถ้อยคำของตนและกำหนดที่สุดถ้อยคำของผู้อื่นแล้วปรับอาบัติ ๑ ปรับอาบัติตามธรรม ๑ ปรับอาบัติตามปฏิญญา ๑ รู้อาบัติ ๑ รู้มูลของอาบัติ ๑ รู้เหตุเกิดของอาบัติ ๑ รู้ความดับของอาบัติ ๑ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอาบัติ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๑๐  นับว่า เป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้อธิกรณ์ ๑ ไม่รู้มูลของอธิกรณ์  ๑ ไม่รู้เหตุเกิดของอธิกรณ์ ๑ ไม่รู้ความดับของอธิกรณ์ ๑ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอธิกรณ์ ๑ ไม่รู้วัตถุ ๑ ไม่รู้เหตุเป็นเค้ามูล ๑ ไม่รู้บัญญัติ ๑ ไม่รู้อนุบัญญัติ ๑ ไม่รู้ทางแห่งถ้อยคำอันเข้าอนุสนธิกันได้ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๑๐  นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้อธิกรณ์ ๑ รู้มูลของอธิกรณ์  ๑ รู้เหตุเกิดของอธิกรณ์ ๑ รู้ความดับของอธิกรณ์ ๑ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอธิกรณ์ ๑ รู้วัตถุ ๑ รู้เหตุเป็นเค้ามูล ๑ รู้บัญญัติ ๑ รู้อนุบัญญัติ ๑ รู้ทางแห่งถ้อยคำอันเข้าอนุสนธิกันได้ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๑๐  นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้ญัตติ ๑ ไม่รู้การตั้งญัตติ ๑ ไม่ฉลาดในเบื้องต้น ๑  ไม่ฉลาดในเบื้องปลาย ๑ ไม่รู้กาล ๑ ไม่รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ ไม่รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ ไม่รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ ไม่รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ ไม่ยึดถือ ไม่ใส่ใจ ไม่ใคร่ครวญถ้อยคำที่สืบต่อจากอาจารย์ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๑๐ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้ญัตติ ๑ รู้การตั้งญัตติ ๑ ฉลาดในเบื้องต้น ๑ ฉลาดในเบื้องปลาย ๑ รู้กาล ๑ รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑  เป็นผู้ยึดถือ ใส่ใจใคร่ครวญถ้อยคำที่สืบต่อจากอาจารย์ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๑๐ นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ ไม่ผู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ ไม่รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ ไม่รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ จำปาติโมกข์ทั้งสองไม่ได้โดยพิสดาร จำแนกไม่ดี สวดไม่คล่องแคล่ว วินิจฉัยไม่ถูกต้อง
โดยสูตร โดยอนุพยัญชนะ ๑ ไม่รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ ไม่รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ ไม่รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ ไม่รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ ไม่ฉลาดในการวินิจฉัยอธิกรณ์ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๑๐  นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ จำปาติโมกข์ทั้งสองได้ โดยพิสดาร จำแนกดี สวดคล่องแคล่ววินิจฉัยถูกต้อง โดยสูตร โดยอนุพยัญชนะ ๑
รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ ฉลาดในการวินิจฉัยอธิกรณ์ ๑.

ว่าด้วยอุพพาหิกาเป็นต้น
   [๑๐๐๒] ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๑๐ สงฆ์พึงสมมติด้วยอุพพาหิกา. พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกทั้งหลาย  เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐. การเข้าไปสู่ภายในพระราชฐานมีโทษ ๑๐. ทานวัตถุมี ๑๐. รัตนะมี ๑๐. ภิกษุสงฆ์มีวรรค ๑๐. คณะสงฆ์มีวรรค ๑๐ พึงให้อุปสมบท.
ผ้าบังสุกุลมี ๑๐. จีวรสำหรับใช้สอยมี ๑๐. ทรงอติเรกจีวรมี ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง. น้ำสุกกะมี ๑๐ สตรีมี ๑๐. ภรรยามี  ๑๐. ภิกษุในพระนครเวสาลีแสดงวัตถุ ๑๐. บุคคลไม่ควรไหว้มี ๑๐. เรื่องสำหรับด่ามี ๑๐.  กล่าวคำส่อเสียดด้วยอาการ ๑๐. เสนาสนะมี ๑๐. ขอพร ๑๐. งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมี
๑๐.  งดปาติโมกข์เป็นธรรมมี ๑๐. ยาคูมีอานิสงส์ ๑๐. อกัปปิยะมังสะมี ๑๐. สิกขาบทว่าด้วยอย่างยิ่งมี ๑๐. ภิกษุมีพรรษา ๑๐ ฉลาด สามารถควรให้บรรพชา อุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก. ภิกษุณีมีพรรษา ๑๐ ฉลาดสามารถ ควรให้บรรพชาอุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้
สามเณรีอุปัฏฐาก. ภิกษุณีมีพรรษา ๑๐ ฉลาด สามารถ พึงยินดีการสมมติให้บวช. ภิกษุณีมีพรรษา ๑๐ ควรให้สิกขาแก่สตรีคฤหัสถ์.  หมวด ๑๐ จบ

หัวข้อประจำหมวด
   [๑๐๐๓] อาฆาตวัตถุ ๑ อุบายกำจัด ๑ วินีตวัตถุ ๑ มิจฉาทิฏฐิ ๑ สัมมาทิฏฐิ ๑ อันตคาหิกทิฏฐิ ๑ มิจฉัตตะ ๑ สัมมัตตะ ๑ อกุศลกรรมบถ ๑ กุศลธรรมบถ ๑ จับสลากเป็นธรรม ๑ จับสลากไม่เป็นธรรม ๑ สามเณร ๑ นาสนะ ๑ ถ้อยคำ ๑ อธิกรณ์ ๑ ญัตติ ๑ อาบัติเบา ๑ อาบัติเบาอีก ๑ อาบัติหนัก ๑
จงรู้ฝ่ายดำ  ฝ่ายขาว เหล่านี้ไว้ อุพพาหิกา ๑ สิกขาบท ๑  ภายในพระราชฐาน ๑ ทานวัตถุ ๑ รัตนะ ๑ คณะสงฆ์ทสวรรค ๑ คณะสงฆ์ทสวรรคให้อุปสมบท ๑ ผ้าบังสุกุล ๑ จีวรสำหรับใช้สอย ๑ สิบวัน ๑ น้ำสุกกะ ๑ สตรี ๑ ภรรยา ๑ วัตถุสิบ ๑ คนไม่ควรไหว้ ๑ เรื่องสำหรับด่า ๑ คำส่อเสียด ๑
เสนาสนะ ๑ พร ๑ งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม ๑ งดปาติโมกข์เป็นธรรม ๑ ยาคู ๑ มังสะ ๑ อย่างยิ่ง ๑ ภิกษุ ๑ ภิกษุณี ๑ ให้บวช ๑ สตรีคฤหัสถ์ ๑ หมวดสิบ พระผู้มีพระภาค ทรงประกาศไว้ดีแล้วแล.  หัวข้อประจำหมวด ๑๐ จบ

หมวด ๑๑ ว่าด้วยบุคคลเป็นต้น
   [๑๐๐๔] บุคคล ๑๑ จำพวก ที่เป็นอนุปสัมบันไม่ควรให้อุปสมบท ที่เป็นอุปสัมบันควรให้สึกเสีย. รองเท้าไม่ควรมี ๑๑. ชนิด. บาตรไม่สมควรมี ๑๑ ชนิด. จีวรไม่สมควรมี ๑๑ ชนิด. สิกขาบทเป็นยาวตติยกะมี ๑๑. พึงถามคันตรายิกธรรม ๑๑ ของภิกษุณี. จีวรควรอธิษฐานมี ๑๑.
จีวรไม่ควรวิกัปมี ๑๑. จีวรเป็นนิสสัคคีย์เมื่อรุ่งอรุณที่ ๑๑. ลูกดุมที่สมควรมี ๑๑. ลูกถวินที่สมควรมี ๑๑. แผ่นดินไม่สมควรมี ๑๑. แผ่นดินที่สมควรมี ๑๑. การระงับนิสัยมี ๑๑. บุคคลไม่ควรไหว้มี ๑๑. สิกขาบทที่ว่าด้วยอย่างยิ่งมี ๑๑.  ขอพร ๑๑. โทษแห่งสีมามี ๑๑. บุคคลผู้ด่าบริภาษต้องได้รับโทษ ๑๑ อย่าง.
   เมื่อเมตตาเจโตวิมุติอันบุคคลเสพมาแต่แรก ให้เจริญแล้วทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยานที่เทียมดีแล้ว ทำให้เป็นที่ตั้ง ประพฤติสั่งสมเนืองๆ ปรารภสม่ำเสมอดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ อย่าง คือ หลับเป็นสุข ๑ ตื่นเป็นสุข ๑ ไม่ฝันร้าย ๑ เป็นที่รักของพวกมนุษย์ ๑  เป็นที่รักของพวกอมนุษย์ ๑
   เทพยดารักษา ๑ ไฟก็ดี ยาพิษก็ดีศาตราก็ดี ไม่ต้องบุคคลนั้น ๑ จิตตั้งมั่นได้รวดเร็ว ๑ สีหน้าผุดผ่อง ๑ ไม่หลงทำกาละ ๑ เมื่อยังไม่บรรลุคุณวิเศษที่ยิ่งขึ้นไปย่อมเกิดในพรหมโลก ๑ เมื่อเมตตาเจโตวิมุติอันบุคคลเสพมาแต่แรก ให้เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยานที่เทียมดีแล้ว ทำให้เป็นที่ตั้ง ประพฤติสั่งสมเนืองๆ ปรารภสม่ำเสมอดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ นี้แล.  หมวด ๑๑ จบ
หัวข้อประจำหมวด
   [๑๐๐๕] ให้สึก ๑ รองเท้า ๑ บาตร ๑ จีวร ๑ สิกขาบทเป็นยาวตติยะ ๑ พึงถาม ๑ อธิษฐาน ๑ วิกัป ๑ อรุณ ๑ ลูกดุม ๑ ลูกถวิน ๑ แผ่นดินไม่ควร ๑ แผ่นดินควร ๑ นิสัย  ๑ บุคคลไม่ควรไหว้ ๑ อย่างยิ่ง ๑ พร ๑ โทษสีมา ๑ ด่า ๑ เมตตา จัดเป็นหมวด ๑๑.
เอกุตตริกะ จบ
หัวข้อลำดับหมวด
   [๑๐๐๖] หมวดยิ่งกว่าหนึ่งไม่มีมลทิน คือ หมวด ๑ หมวด ๒ หมวด ๓ หมวด ๔ หมวด ๕ หมวด ๖ หมวด ๗ หมวด ๘ หมวด ๙ หมวด ๑๐ และหมวด ๑๑ อันพระพุทธเจ้าผู้มหาวีระ มีธรรมอันปรากฏแล้ว ผู้คงที่ ทรงแสดงแล้ว เพื่อความเกื้อกูล แก่สรรพสัตว์แล.
หัวข้อลำดับหมวด ๑๑ จบ
อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๑๐ [ พรรณนาหมวด ๑๐ ]วินิจฉัยในหมวด ๑๐ พึงทราบดังนี้
   สองบทว่า ทส อาฆาตวตฺถูนิ ได้แก่ อาฆาตวัตถุ ๙ ที่กล่าวแล้วในหมวด ๙ กับข้อนี้ว่า ก็หรือ อาฆาตย่อมเกิดขึ้นในอัฏฐานะ จึงรวมเป็น ๑๐. แม้อุบายกำจัดอาฆาต พึงทราบอุบาย ๙ ที่กล่าวแล้วในหมวด ๙ นั้นรวมเป็น ๑๐ ทั้งข้อนี้ว่า ก็หรือ อาฆาตเกิดในอัฏฐานะ จึงกำจัดอาฆาตเสีย ด้วยพิจารณาว่า ข้อนั้น เราจะพึงได้ในผู้นี้จากไหน. 
   สองบทว่า ทส วินีตวตฺถูนิ ได้แก่ วินีตวัตถุ ๑๐ กล่าวคือเว้นจากอาฆาตวัตถุ ๑๐. 
   สองบทว่า ทสวตฺถุกา มิจฺฉาทิฏฺฐิ ได้แก่ พึงทราบด้วยอำนาจแห่งวัตถุว่า ผลแห่งทานอันบุคคลให้แล้ว ไม่มี เป็นอาทิ. 
   สัมมาทิฏฐิ พึงทราบด้วยอำนาจวัตถุว่า ผลแห่งทานอันบุคคลให้แล้วมีอยู่ เป็นอาทิ. 
   ส่วนอันตคาหิกทิฏฐิ พึงทราบด้วยอำนาจแห่งความเห็นว่า โลกเที่ยงเป็นอาทิ. 
   มิจฉัตตะ ๑๐ มีมิจฉาทิฏฐิเป็นต้น มีมิจฉาวิมุตติเป็นปริโยสาน. ทิฏฐิที่ตรงกันข้าม เป็นสัมมัตตะ. 
   การจับสลาก ทรงแสดงแล้วในสมถขันธกะ. 
   หลายบทว่า ทสหงฺเคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ อุพฺพาหิกาย สมฺมนฺนิตพฺโพ ได้แก่ ด้วยองค์ ๑๐ ที่ตรัสไว้ในสมถขันธกะ โดยนัยมีคำว่า เป็นผู้มีศีล เป็นต้น. 
   โทษ ๑๐ ประการ ในการเข้าสู่ภายในวังหลวง ได้ทรงแสดงแล้วในราชสิกขาบท.๑- 
   สองบทว่า ทส ทานวตฺถูนิ ได้แก่ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ระเบียบ ของหอม เครื่องทา ที่นอน ที่พัก เชื้อประทีป. 
   สองบทว่า ทส รตนานิ ได้แก่ แก้ว ๑๐ ประการ มีมุกดา มณี ไพฑูรย์เป็นต้น. 
   สองบทว่า ทส ปํสุกูลานิ มีความว่า อุปสัมบันพึงทำความขวนขวายในจีวรเหล่านี้ คือ ผ้าที่ตกที่ป่าช้า ผ้าที่ตกที่ประตูตลาด ผ้าที่หนูกัด ผ้าที่ 
   ปลวกกัด ผ้าที่ถูกไฟไหม้ ผ้าที่โคกัด ผ้าที่แพะกัด ผ้าห่มจอมปลวก ผ้าที่เขาทิ้งในที่อภิเษก ผ้าที่เขานำไปสู่ป่าช้าแล้วนำกลับมา. 
   ในอรรถกถากุรุนทีกล่าวว่า จีวรสาธารณะ ๑๐ นั้น ได้แก่ จีวร ๑๐ ชนิด ด้วยอำนาจจีวรที่พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ ย่อมทรงจีวรทั้งหลายมีจีวรเขียวล้วนเป็นต้น. 
   แต่ในมหาอรรถกถากล่าวว่า ได้แก่ จีวร ๑๐ ชนิด เพิ่มผ้าอาบน้ำหรือผ้าคาดนม (ของภิกษุณี) เข้าในจีวรที่ควร ๙ ชนิด. 
 บุคคลที่ไม่ควรไหว้ ได้แสดงแล้วในเสนาสนขันธกะ. 
 อักโกสวัตถุ ได้แสดงแล้วในโอมสวาทสิกขาบท.๒- 
 อาการ ๑๐ ได้แสดงแล้วในเปสุญญสิกขาบท.๓- 
    สองบทว่า ทส เสนาสนานิ ได้แก่ เตียง ตั่ง ฟูก หมอน เครื่องรองรักษาพื้น เสื่อสำหรับปูทับข้างบน ท่อนหนังสำหรับรองนั่ง ผ้าปูนอน เครื่องลาดทำด้วยหญ้า เครื่องลาดทำด้วยใบไม้. 
    หลายบทว่า ทส วรานิ ยาจึสุ มีความว่า นางวิสาขาได้ขอพร ๘ ประการ, พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงขอพร ๑ หมอชีวกได้ขอพร ๑. 
    อานิสงส์แห่งยาคูและอกัปปิยมังสะ ได้ทรงแสดงแล้วในเภสัชชขันธกะ. 
         บทที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล. 
๑- มหาวิภงฺค. ๒/๔๘๔.  ๒- มหาวิภงฺค. ๒/๑๖๔.  ๓- มหาวิภงฺค. ๒/๖๘๔.
พรรณนาหมวด ๑๐ จบ.

อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๑๑ [ พรรณนาหมวด ๑๑ ]วินิจฉัยในหมวด ๑๑ พึงทราบดังนี้
   บทว่า เอกาทส ได้แก่ บุคคล ๑๑ พวก มีบัณเฑาะก์เป็นต้น. 
   สองบทว่า เอกาทส ปาทุกา ได้แก่ เขียงเท้า ๑๐ อย่าง เป็นวิการแห่งรัตนะ เขียงเท้าไม้ ๑, ส่วนเขียงเท้าทำด้วยหญ้าสามัญ หญ้าปล้องและหญ้ามุงกระต่ายเป็นต้น จัดเข้าพวกเขียงเท้าไม้เหมือนกัน. 
   สองบทว่า เอกาทส ปตฺตา ได้แก่ บาตรที่ทำด้วยรตนะ ๑๐ ชนิด รวมทั้งบาตรที่ทำด้วยทองแดงหรือทำด้วยไม้. 
   สองบทว่า เอกาทส จีวรานิ ได้แก่ จีวรเขียวล้วนเป็นต้น. 
   สองบทว่า เอกาทส ยาวตติยกา ได้แก่ อุกขิตตานุวัตติกา ๑ สังฆาทิเสสของภิกษุณี ๘ อริฏฐสิกขาบท ๑ จัณฑกาฬีสิกขาบท ๑. 
   อันตรายิกธรรมทั้งหลาย อันภิกษุณีผู้สวดกรรมวาจาพึงถาม มีข้อว่า น สีมนิมิตฺตา เป็นต้น ชื่อว่าอันตรายิกธรรม ๑๑. 
   หลายบทว่า เอกาทส จีวรานิ อธิฏฺฐาตพฺพานิ ได้แก่ ไตรจีวร ผ้าอาบน้ำฝน ผ้านิสีทนะ ผ้าปูนอน ผ้าปิดฝี ผ้าเช็ดหน้า บริขารโจล ผ้าอาบน้ำ ผ้าคาดนม. 
   บทว่า น วิกปฺเปตพฺพานิ มีความว่า จีวร ๑๑ ชนิดนั้นแล จำเดิมแต่กาลที่อธิษฐานแล้ว ไม่ควรวิกัปป์. 
   ลูกดุมและลูกถวิน มี ๑๑ อย่าง รวมทั้งที่ถักด้วยด้าย. ทั้งหมดนั้นได้แสดงแล้วในขุททกขันธกะ. 
   ปฐพี ได้แสดงแล้วในปฐวีสิกขาบท.๑- 
   ระงับนิสัย จากอุปัชฌาย์ ๕ จากอาจารย์ ๖ รวมเป็น ๑๑ อย่างนี้. 
   บุคคลไม่ควรไหว้ รวมทั้งบุคคลผู้เปลือยกายจึงเป็น ๑๑, บุคคลไม่ควรไหว้ทั้งหมดนั้น ได้แสดงแล้วในเสนาสนขันธกะ. 
   อย่างยิ่ง ๑๑ พึงทราบในอย่างยิ่ง ๑๔ ที่กล่าวแล้วในหนหลัง แต่จัดด้วยอำนาจหมวด ๑๑. 
   สองบทว่า เอกาทส วรานิ ได้แก่ พร ๑๐ ประการที่กล่าวแล้วในหนหลัง กับพรที่พระนางมหาปชาบดีทูลขอ. 
   สีมาโทษ ๑๑ อย่าง จักมาในกัมมวรรค โดยนัยมีคำว่า สมมติสีมาเล็กเกินนัก เป็นอาทิ. 
   ขึ้นชื่อว่า โทษ ๑๑ ประการ ในบุคคลผู้ด่า ผู้กล่าวขู่ พึงทราบโดยพระบาลีว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นใด ผู้ด่า ผู้กล่าวขู่เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย มักด่าว่าพระอริยะ, ข้อที่ภิกษุนั้นไม่พึงประสบความฉิบหาย ๑๑ อย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส. ความฉิบหาย ๑๑ อย่าง คืออะไรบ้าง?
   คือ ภิกษุนั้นไม่บรรลุคุณที่ไม่บรรลุ ๑ เสื่อมจากคุณที่ได้บรรลุแล้ว ๑ สัทธรรมของภิกษุนั้นไม่ผ่องใส ๑ ภิกษุนั้น ย่อมเป็นผู้มีความดูหมิ่นในพระสัทธรรม ๑ เบื่อหน่ายประพฤติพรหมจรรย์ ๑ ต้องอาบัติที่เศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑ ลาสิกขาเวียนมาเป็นคนเลว ๑ ถูกความเจ็บไข้คือโรคอย่างหนัก ๑
   ถึงความคลั่งเป็นบ้า ๑ ย่อมหลงใหลทำกาลกิริยา ๑ เบื้องหน้าแต่มรณะเพราะแตกแห่งกาย ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ๑. ก็พระพุทธวจนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์ว่า สัทธรรม ในบทว่า สทฺธมฺมสฺส นี้. 
   บทว่า อาเสวิตาย ได้แก่ เสพมาตั้งแต่แรก. 
   บทว่า ภาวิตาย ได้แก่ ให้สำเร็จ หรือให้เจริญ. 
   บทว่า พหุลีกตาย ได้แก่ กระทำบ่อยๆ. 
   บทว่า ยานีกตาย ได้แก่ ทำให้คล้ายยานที่เทียมไว้ดีแล้ว. 
   บทว่า วตฺถุกตาย ได้แก่ ทำให้เป็นคุณตั้งมั่น โดยประการที่จะตั้งมั่น. 
   บทว่า อนุฏฺฐิตาย ได้แก่ ประพฤติเนืองๆ. อธิบายว่า อธิษฐานเป็นนิตย์. 
   บทว่า ปริจิตาย ได้แก่ สะสมโดยรอบ คือ สะสมในทิศทั้งปวงคือ สะสมทั่วถึง. อธิบายว่า ให้เจริญยิ่งๆ. 
   บทว่า สุสมารทฺธาย ได้แก่ ปรารภดีพร้อม. อธิบายว่า น้อมเข้าไปสู่ความเป็นผู้ชำนาญ. 
   สองบทว่า น ปาปกํ สุปินํ มีความว่า ไม่ฝันเห็นเฉพาะที่ลามกเท่านั้น, แต่ย่อมฝันเห็นที่ดี คือ ที่เป็นเหตุแห่งความเจริญ. 
   สองบทว่า เทวตา รกฺขนฺติ มีความว่า อารักขเทวดาทั้งหลายย่อมจัดตั้งการรักษาที่ชอบธรรม. 
   หลายบทว่า ตุวฏํ จิตฺตํ สมาธิยติ ได้แก่ จิตย่อมตั้งมั่น (เป็นสมาธิ) เร็ว. 
   สองบทว่า อุตฺตรึ อปฺปฏิวิชฺฌนฺโต มีความว่า เมื่อไม่กระทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัต ซึ่งยิ่งกว่าเมตตาฌานขึ้นไป คงเป็นเสขบุคคลหรือปุถุชนก็ตาม เมื่อทำกาลกิริยา ย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก. 
         คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล. 
๑- มหาวิภงฺค. ๒/๒๓๐.
         เอกุตตริกวัณณนามีพรรณนาหมวด ๑๑ เป็นที่สุดจบ.

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๘ ว่าด้วยอานิสงส์เป็นต้น หมวด ๙ ว่าด้วยอาฆาตวัตถุเป็นต้น

หมวด ๘ ว่าด้วยอานิสงส์เป็นต้น
   [๙๙๖] ภิกษุเห็นอานิสงส์ ๘ ไม่พึงยกภิกษุนั้นฐานไม่เห็นอาบัติ. ภิกษุเห็นอานิสงส์ ๘ พึงแสดงอาบัตินั้น เพราะความเชื่อแม้ต่อผู้อื่น. อาบัติสังฆาทิเสสเป็นยาวตติยกะมี ๘. ประจบตระกูลด้วยอาการ ๘. จีวรบังเกิดมีมาติกา ๘. กฐินเดาะมีมาติกา ๘. น้ำปานะมี ๘ ชนิด. พระเทวทัตต์ มีจิตอันอสัทธรรม ๘ อย่าง ครอบงำย่ำยี จึงไปสู่อบาย ตกรก ชั่วกัป ช่วยไม่ได้. โลกธรรมมี ๘. ครุธรรมมี ๘. อาบัติปาฏิเทสนียะมี ๘. มุสาวาทมี ๘ องค์อุโบสถมี ๘ องค์แห่งความเป็นทูตมี ๘. วัตรแห่งเดียรถีย์มี ๘. อัจฉริยะอัพภูตธรรมในมหาสมุทรมี ๘. อัจฉริยะอัพภูตธรรมในพระธรรมวินัยนี้มี ๘. ภัตตาหารที่ไม่เป็นเดนมี ๘.
 ภัตตาหารที่เป็นเดนมี ๘. เภสัชเป็นนิสสัคคิยะเมื่อรุ่งอรุณที่ ๘. ปาราชิกมี ๘. ภิกษุณียังวัตถุที่ ๘ ให้บริบูรณ์สงฆ์พึงนาสนะเสีย. ภิกษุณียังวัตถุที่ ๘ ให้บริบูรณ์แม้แสดงอาบัติแล้วก็ไม่เป็นอันแสดง. อุปสมบทมีวาจา ๘. พึงลุกรับภิกษุณี ๘ พวก. พึงให้อาสนะแก่ภิกษุณี ๘ พวก. อุบาสิกาขอพร ๘. ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๘ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นผู้สั่งสอนภิกษุณี การทรงวินัยมีอานิสงส์  ๘. สิกขาบทที่ว่าด้วยอย่างยิ่งมี ๘. ภิกษุผู้ถูกลงตัสสปาปิยสิกากรรมพึงประพฤติชอบในธรรม  ๘. งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมี ๘. งดปาติโมกข์เป็นธรรมมี ๘.  หมวด ๘ จบ

หัวข้อประจำหมวด
   [๙๙๗] ไม่ยกภิกษุนั้น ๑ เชื่อผู้อื่น ๑ อาบัติสังฆาทิเสสเป็นยาวตติยกะ ๑ ประจบ ๑ มาติกา ๑ กฐินเดาะ ๑  น้ำปานะ ๑ อสัทธรรมครอบงำ ๑ โลกธรรม ๑ ครุธรรม ๑ อาบัติปาฏิเทสนียะ ๑ มุสาวาท ๑ อุโบสถ ๑ องค์แห่งทูต ๑ ติตถิยวัตร ๑ มหาสมุทร ๑ อัพภูตธรรมในพระธรรมวินัย ๑
   โภชนะไม่เป็นเดน ๑ โภชนะเป็นเดน ๑ เภสัชเป็นนิสสัคคีย์ ๑ ปาราชิก ๑ วัตถุที่แปด ๑ ไม่แสดง ๑ อุปสมบท ๑ ลุกรับ ๑ ให้อาสนะ ๑ พร ๑ ให้โอวาท ๑ อานิสงส์ ๑ อย่างยิ่ง ๑ ประพฤติในธรรมแปด ๑ งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม ๑ งดปาติโมกข์เป็นธรรม ๑ พระผู้มีพระภาคทรงประกาศหมวดแปดไว้ดีแล้วแล.  หัวข้อประจำหมวด  ๘ จบ
หมวด ๙ ว่าด้วยอาฆาตวัตถุเป็นต้น
   [๙๙๘] อาฆาตวัตถุมี ๙. อุบายกำจัดอาฆาตวัตถุมี ๙. วินีตวัตถุมี ๙. อาบัติสังฆาทิเสสเป็นปฐมาปัตติกะมี ๙. สงฆ์แตกกันเพราะภิกษุ ๙ รูป. โภชนะอันประณีตมี ๙. เป็นทุกกฏเพราะมังสะ ๙ ชนิด. ปาติโมกขุทเทศมี ๙. สิกขาบทที่ว่าด้วยอย่างยิ่งมี ๙. ธรรมมีตัณหาเป็นมูลมี ๙. มานะมี ๙.
   จีวรที่ควรอธิษฐานมี  ๙. จีวรที่ไม่ควรวิกัปมี ๙. จีวรพระสุคตยาว ๙ คืบ. การให้ไม่เป็นธรรมมี ๙. การรับไม่เป็นธรรมมี ๙. บริโภคไม่เป็นธรรมมี ๙. การให้เป็นธรรมมี ๓. การรับเป็นธรรมมี ๓. บริโภคเป็นธรรมมี ๓. สัญญัติไม่เป็นธรรมมี ๙. สัญญัติเป็นธรรมมี ๙. กรรมไม่เป็นธรรมหมวด ๙
มี ๒ หมวด. กรรมเป็นธรรมหมวด ๙ มี ๒ หมวด. งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมี ๙. งดปาติโมกข์เป็นธรรมมี ๙.  หมวด ๙ จบ

หัวข้อประจำหมวด
   [๙๙๙] อาฆาตวัตถุ ๑ อุบายกำจัด ๑ วินีตวัตถุ ๑ อาบัติเป็นปฐมาปัตติกะ ๑ สงฆ์แตกกัน ๑ โภชนะประณีต ๑ มังสะ ๑ อุเทศ ๑ อย่างยิ่ง ๑ ตัณหา ๑ มานะ ๑ อธิษฐาน ๑ วิกัป ๑ คืบ ๑ ให้ ๑ รับ  ๑ บริโภค ๑ ให้รับ และบริโภคที่เป็นธรรมอย่างละสาม ๑ สัญญัติที่ไม่เป็นธรรม ๑ ที่เป็นธรรม ๑ หมวด ๙ สองหมวดสองอย่าง ๑ งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม ๑ เป็นธรรม ๑.
หัวข้อประจำหมวด ๙ จบ
 อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๘ [ พรรณนาหมวด ๘ ]วินิจฉัยในหมวด ๘ พึงทราบดังนี้
   บทว่า อฏฺฐานิสํเส ได้แก่ อานิสงส์ ๘ ที่ตรัสไว้ในโกสัมพิกขันธกะอย่างนี้ คือ เราทั้งหลายจักไม่ทำอุโบสถกับภิกษุนี้ จักเว้นภิกษุนี้เสีย ทำอุโบสถ ไม่พึงปวารณากับภิกษุนี้, จักไม่ทำสังฆกรรมกับภิกษุนี้, จักไม่นั่งบนอาสนะกับภิกษุนี้, จักไม่นั่งในที่ดื่มยาคูกับภิกษุนี้, จักไม่นั่งในหอฉันกับภิกษุนี้, จักไม่อยู่ใน
ที่มุงอันเดียวกันกับภิกษุนี้, จักไม่ทำการกราบ, ลุกขึ้นรับ, อัญชลีกรรม สามีจิกรรม, ตามลำดับผู้แก่กับภิกษุนี้, เว้นภิกษุนี้เสีย จึงจักทำ แม้ในหมวด ๘ ที่ ๒ ก็นัยนี้แล. 
   จริงอยู่ แม้หมวด ๘ ที่ ๒ นั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ในโกสัมพิกขันธกะอย่างนี้เหมือนกัน. 
   สองบทว่า อฏฺฐ ยาวตติยกา ได้แก่ สังฆาทิเสสที่เป็นยาวตติยกะ ๔ ในสังฆาทิเสส ๑๓ ของภิกษุทั้งหลาย สังฆาทิเสสที่เป็นยาวตติยกะ ๔ ที่ไม่ทั่วไปด้วยพวกภิกษุ ในสังฆาทิเสส ๑๗ ของภิกษุณีทั้งหลาย จึงรวมเป็นยาวตติยกะ ๘. 
   หลายบทว่า อฏฺฐหากาเรหิ กุลานิ ทูเสติ มีความว่า ย่อมประทุษร้ายตระกูล ด้วยอาการ ๘ เหล่านี้ คือ ด้วยดอกไม้บ้าง, ผลไม้บ้าง, จุณณ์บ้าง, ดินเหนียวบ้าง, ไม้สีฟันบ้าง, ไม้ไผ่บ้าง, เยียวยาทางแพทย์บ้าง, รับใช้ส่งข่าวบ้าง. 
   มาติกา ๘ (เพื่อเกิดขึ้นแห่งจีวร) กล่าวแล้วในจีวรขันธกะมาติกา ๘ ข้อหลัง (เพื่อรื้อกฐิน) ได้กล่าวแล้วในกฐินขันธกะ. 
   สองบทว่า อฏฺฐหิ อสทฺธมฺเมหิ มีความว่า ด้วยลาภ มิใช่ลาภ ด้วยยศ มิใช่ยศ ด้วยสักการะ มิใช่สักการะ ด้วยความเป็นผู้มีปรารถนาลามก ด้วยความเป็นผู้มีปาปมิตร. 
   ชื่อว่าโลกธรรม ๘ คือ ยินดีในลาภ ยินร้ายในมิใช่ลาภ ยินดีในยศ สรรเสริญ สุข ยินร้ายในมิใช่ยศ นินทา ทุกข์. 
   สองบทว่า อฏฺฐงฺคิโก มุสาวาโท ได้แก่ มุสาวาทที่ประกอบด้วยองค์ ๘ คือ ๗ องค์ที่มาในบาลีกับองค์นี้ คือ ตั้งความหมายจึงเป็นมุสาวาทประกอบด้วยองค์ ๘. 
   สองบทว่า อฏฺฐ อุโปสถงฺคานิ ได้แก่ องค์ ๘ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่า :- 
   ไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงถือเอาของที่เขาไม่ให้ ไม่พึงกล่าวเท็จ ไม่พึงดื่มน้ำเมา พึงเว้นจากเมถุนธรรมความประพฤติไม่ประเสริฐ 
   ไม่พึงบริโภคอาหาร ในเวลาวิกาลตลอดราตรี ไม่พึงทัดทรงระเบียบ ดอกไม้ ไม่พึงไล้ทาเครื่องหอม พึงนอนบนเตียงบนพื้น หรือบน เครื่องลาดที่สมควร บัณฑิตทั้งหลายกล่าวอุโบสถมีองค์ ๘ นี้แล  อันพระพุทธเจ้าผู้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ทรงประกาศแล้ว๑- 
   สองบทว่า อฏฺฐ ทูเตยฺยงฺคานิ ได้แก่ องค์ ๘ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในสังฆเภทขันธกะ โดยนัยมีอาทิว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ฟังด้วย เป็นผู้ให้ผู้อื่นฟังด้วย. 
   ติตถิยวัตร ได้ทรงแสดงแล้วในมหาขันธกะ.๒- 
   ของเคี้ยวของฉัน ไม่เป็นเดนและเป็นเดน ได้ทรงแสดงแล้วในปวารณาสิกขาบท.๓- 
   สองบทว่า อฏฺฐนฺนํ ปจฺจุฏฺฐาตพฺพํ มีความว่า ในโรงฉันพึงลุกขึ้นรับแก่ภิกษุณีผู้แก่ทั้งหลาย แม้อาสนะก็พึงให้แก่ภิกษุณีเหล่านั้นแท้. 
   บทว่า อุปาสิกา ได้แก่ นางวิสาขา. 
   สองบทว่า อฏฺฐานิสํสา วินยธเร มีความว่า พึงทราบอานิสงส์ ๘ เพราะเติมอานิสงส์ ๓ นี้ คือ อุโบสถ ปวารณา สังฆกรรม เป็นหน้าที่ของวินัยธรนั้น เข้าในอานิสงส์ ๕ ที่กล่าวแล้วในหมวด ๕. 
   สองบทว่า อฏฺฐ ปรมานิ ได้แก่ พึงทราบอย่างยิ่งทั้งหลาย ที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นเอง แต่จัดด้วยอำนาจหมวด ๘. 
   หลายบทว่า อฏฺฐสุ ธมฺเมสุ สมฺมาวตฺติตพฺพํ ได้แก่ ในธรรม ๘ ที่ทรงแสดงในสมถขันธกะ โดยนัยมีข้อว่า ไม่พึงงดอุโบสถแก่ภิกษุผู้ปกตัตต์ ไม่พึงงดปวารณาแก่ภิกษุผู้ปกตัตต์ เป็นอาทิ. 
         คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล. 
๑- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๑๐.  ๒- มหาวคฺค. เล่ม ๔/ข้อ ๑๐๐/ หน้า ๑๔๓.  ๓- มหาวิภงฺค. เล่ม ๒/ข้อ ๕๐๔/หน้า ๓๓๒.
พรรณนาหมวด ๘ จบ.
 อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๙ [ พรรณนาหมวด ๙ ]วินิจฉัยในหมวด ๙ พึงทราบดังนี้
   สองบทว่า นว อาฆาตวตฺถูนิ ได้แก่ อาฆาตวัตถุ ๙ มีผูกอาฆาตว่า เขาได้ประพฤติไม่เป็นประโยชน์แก่เรา เป็นอาทิ. 
   สองบทว่า นว อาฆาตปฏิวินยา ได้แก่ อุบายกำจัดอาฆาต ๙ มีข้อว่า บุคคลย่อมกำจัดอาฆาตเสีย ด้วยคิดว่า เมื่อเราผูกอาฆาตอยู่ว่า เขาได้ประพฤติไม่เป็นประโยชน์แก่เรา ความไม่ประพฤติสิ่งไม่เป็นประโยชน์นั้น เราจะพึงได้ในบุคคลนี้ จากไหน ดังนี้เป็นอาทิ. 
   สองบทว่า นว วินีตวตฺถูนิ ได้แก่ ความงด ความเว้น ความกำจัดเสียด้วยอริยมรรค จากวัตถุแห่งอาฆาต ๙. 
   หลายบทว่า นวหิ สงฺโฆ ภิชฺชติ ได้แก่ ความแตกแห่งสงฆ์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อุบาลี ความร้าวแห่งสงฆ์และความแตกแห่งสงฆ์ ย่อมมีภิกษุ ๙ รูปบ้าง เกินกว่า ๙ รูปบ้าง ดังนี้. 
   สองบทว่า นว ปรมานิ ได้แก่ พึงทราบอย่างยิ่งทั้งหลายที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล แต่จัดด้วยอำนาจหมวด ๙. 
   ธรรมชื่อว่ามีตัณหาเป็นมูล ได้แก่ ความแสวงอาศัยตัณหา ลาภอาศัยความแสวง. ตัดสินอาศัยลาภ. ความรักด้วยความพอใจอาศัยตัดสิน. ความตกลงใจอาศัยความรักด้วยความพอใจ. ความหวงอาศัยความตกลงใจ. ความตระหนี่อาศัยความหวง. ความอารักขาอาศัยความตระหนี่. การฉวยไม้พลอง
   การฉวยศัสตรา ทะเลาะแก่งแย่งโต้เถียง กล่าวว่า มึงๆ ความส่อเสียดและกล่าวเท็จ มีความอารักขาเป็นเหตุ. 
   บทว่า นววิธมานา ได้แก่ มานะของบุคคล ผู้ดีกว่าว่า "เราเป็นคนดีกว่า" เป็นต้น. 
   สองบทว่า นว จีวรานิ มีความว่า จีวรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยนัยมีอาทิว่า ไตรจีวร หรือว่า ผ้าอาบน้ำฝน.๑- 
   บทว่า น วิกปฺเปตพฺพานิ มีความว่า จำเดิมแต่กาลที่ภิกษุอธิษฐานแล้ว ไม่ควรวิกัปป์. 
   หลายบทว่า นว อธมฺมิกานิ ทานานิ มีความว่า ทานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ว่า น้อมลาภที่เขานำมาเพื่อสงฆ์ ไปเพื่อสงฆ์หมู่อื่นก็ตาม เพื่อเจดีย์ก็ตาม เพื่อบุคคลก็ตาม. น้อมลาภที่เขานำมาเพื่อเจดีย์ ไปเพื่อเจดีย์อื่นก็ตาม เพื่อสงฆ์ก็ตาม, เพื่อบุคคลก็ตาม น้อมลาภที่เขานำมาเพื่อบุคคล ไปเพื่อบุคคลอื่นก็ตาม เพื่อสงฆ์ก็ตาม เพื่อเจดีย์ก็ตาม. 
   หลายบทว่า นวปฏิคฺคหา ปริโภคา ได้แก่ รับและบริโภคทานเหล่านั้นเอง. 
   หลายบทว่า ตีณิ ธมฺมิกานิ ทานานิ ได้แก่ ทาน ๓ นี้ คือ ให้ของที่เขาถวายสงฆ์แก่สงฆ์เท่านั้น, ให้ของที่เขาถวายเจดีย์แก่เจดีย์เท่านั้น, ให้ของที่เขาถวายบุคคลแก่บุคคลเท่านั้น. แม้การรับและบริโภค ก็คือรับและบริโภคทาน ๓ นั้นแล. 
   หลายบทว่า นว อธมฺมิกา สญฺญตฺติโย ได้แก่ ติกะ ๓ ที่ทรงแสดงแล้วในสมถขันธกะอย่างนี้ คือ บุคคลเป็นอธัมมวาที, ภิกษุมากหลายเป็นอธัมมวาที, สงฆ์เป็นอธัมมวาที. แม้บัญญัติที่ชอบธรรมก็ทรงแสดงแล้วในสมถขันธกะนั้นแล โดยนัยมีอาทิว่า บุคคลเป็นธัมมวาที ดังนี้. 
   หมวดเก้า ๒ หมวด ในกรรมไม่เป็นธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้แล้วด้วยอำนาจแห่งปาจิตตีย์ ในนิทเทสแห่งสิกขาบทที่ ๑ แห่งโอวาทวรรค.๒- 
   หมวดเก้า ๒ หมวด ในกรรมเป็นธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแล้ว ด้วยอำนาจแห่งทุกกฏ ในนิทเทสแห่งสิกขาบทที่ ๑ แห่งโอวาทวรรคนั้นเหมือนกัน. 
         คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล. 
๑- ติจีวรนฺติ วา วสฺสิกสาฏิกาติ วา   ๒- มหาวิภงฺค ๒/๑๗๑
พรรณนาหมวด ๙ จบ.

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๖ ว่าด้วยความไม่เคารพเป็นต้น ว่าด้วยองค์ ๖ แห่งพระอุปัชฌาย์ หมวด ๗ ว่าด้วยอาบัติเป็นต้น

หมวด ๖ ว่าด้วยความไม่เคารพเป็นต้น
   [๙๘๘] ความไม่เคารพมี ๖. ความเคารพมี ๖. วินีตวัตถุมี ๖ สามีจิกรรมมี ๖. สมุฏฐานอาบัติมี ๖. อาบัติมีอันตัดเป็นวินัยกรรมมี ๖. ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการ ๖. การทรงวินัยมีอานิสงส์ ๖. สิกขาบทที่ว่าด้วยอย่างยิ่งมี ๖ ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวร ๖ ราตรี. จีวรมี ๖ ชนิด. น้ำย้อมมี ๖. ชนิด อาบัติเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจามี ๖ อาบัติเกิดแต่วาจากับจิตมิใช่กายมี ๖. อาบัติเกิดแต่กายวาจาและจิตมี ๖. กรรมมี ๖. มูลแห่งวิวาทมี ๖. มูลแห่งการโจทมี ๖. สาราณียธรรมมี ๖. ผ้าอาบน้ำฝนยาว ๖ คืบพระสุคต จีวรพระสุคตกว้าง ๖ คืบพระสุคต. นิสัยระงับจากพระอาจารย์มี ๖. อนุบัญญัติในการอาบน้ำมี ๖. ภิกษุถือเอาจีวรที่ทำค้างไว้แล้วหลีกไป เก็บเอาจีวรที่ทำค้างแล้วหลีกไป.
ว่าด้วยองค์ ๖ แห่งพระอุปัชฌาย์
   [๙๘๙] ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๖ ควรให้อุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ :-
 เป็นผู้ประกอบด้วยกองศีล ของพระอเสขะ ๑
 เป็นผู้ประกอบด้วยกองสมาธิ ของพระอเสขะ ๑
 เป็นผู้ประกอบด้วยกองปัญญา ของพระอเสขะ ๑
 เป็นผู้ประกอบด้วยกองวิมุตติ  ของพระอเสขะ ๑
เป็นผู้ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ ของพระอเสขะ ๑
 เป็นผู้มีพรรษาสิบ หรือมีพรรษาเกินสิบ  ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๖ ควรให้อุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ:-
   เป็นผู้ประกอบด้วยกองศีลของพระอเสขะด้วยตน และชักชวนผู้อื่นในกองศีลของพระอเสขะ ๑
   เป็นผู้ประกอบด้วยกองสมาธิของพระอเสขะด้วยตน และชักชวนผู้อื่นในกองสมาธิของพระอเสขะ ๑
   เป็นผู้ประกอบด้วยกองปัญญาของพระอเสขะด้วยตน และชักชวนผู้อื่นในกองปัญญาของพระอเสขะ ๑
   เป็นผู้ประกอบด้วยกองวิมุตติของพระอเสขะด้วยตน และชักชวนผู้อื่นในกองวิมุตติของพระอเสขะ ๑
   เป็นผู้ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะของพระอเสขะด้วยตน และชักชวนผู้อื่นในกองวิมุตติญาณทัสสนะของพระอเสขะ ๑.
   เป็นผู้มีพรรษาสิบ หรือมีพรรษาเกินสิบ ๑.
 ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๖ ควรให้อุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ มีศรัทธา ๑ มีความละอาย ๑ มีความเกรงกลัวบาป ๑ ปรารภความเพียร ๑ มีสติตั้งมั่น ๑ มีพรรษาสิบ  หรือมีพรรษาเกินสิบ ๑.
 ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๖ ควรให้อุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ ไม่มีศีลวิบัติในอธิศีล ๑ ไม่มีอาจารวิบัติในอัชฌาจาร ๑ ไม่มีทิฏฐิวิบัติในอติทิฏฐิ ๑ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก ๑ มีปัญญา ๑ มีพรรษาสิบ หรือมีพรรษาเกินสิบ ๑.
 ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๖ ควรให้อุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ อาจพยาบาลเอง หรือสั่งให้ผู้อื่นพยาบาลอันตวาสิกหรือสิทธิวิหาริกผู้อาพาธ ๑ อาจระงับเองหรือวานผู้อื่นให้ช่วยระงับความกระสันอันเกิดขึ้นแล้ว ๑ อาจบรรเทาเองหรือวานผู้อื่นให้ช่วยบรรเทาความเบื่อหน่ายอันเกิดขึ้นโดยธรรม ๑ รู้จักอาบัติ ๑  รู้จักวิธีออกจากอาบัติ ๑ มีพรรษาได้สิบ หรือมีพรรษาเกินสิบ ๑
 ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๖ ควรให้อุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ อาจฝึกปรืออันเตวาสิก หรือสัทธิวิหาริกในสิกขาอันเป็นส่วนอภิสมาจาร ๑ อาจแนะนำอันเตวาสิกหรือสัทธิวิหาริกในสิกขาเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ๑ อาจแนะนำในธรรมอันยิ่งขึ้นไป ๑ อาจแนะนำในวินัยอันยิ่งขึ้นไป ๑ อาจเปลื้องทิฏฐิผิดอันเกิดขึ้นแล้วโดยธรรม ๑ มีพรรษาได้สิบ หรือมีพรรษาเกินสิบ ๑.
 ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๖ ควรให้อุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ รู้อาบัติ ๑  รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑ จำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดีโดยพิสดาร จำแนกดี สวดคล่องแคล่ว วินิจฉัยถูกต้องโดยสูตร โดยอนุพยัญชนะ  ๑ มีพรรษาได้สิบ หรือมีพรรษาเกินสิบ ๑.
ว่าด้วยงดปาติโมกข์
             [๙๙๐] งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมี ๖. งดปาติโมกข์เป็นธรรมมี ๖.    หมวด ๖ จบ
หัวข้อประจำหมวด
   [๙๙๑] อคารวะ ๑ คารวะ ๑ วินีตวัตถุ ๑ สามีจิกรรม ๑ สมุฏฐานอาบัติ ๑ สิกขาบทมีการตัดเป็นวินัยกรรม ๑ อาการ ๑ อานิสงส์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยอย่างยิ่ง ๑ อยู่ปราศ ๖ ราตรี ๑ จีวร ๑ น้ำย้อม ๑ อาบัติเกิดแต่กายกับจิต ๑ วาจากับจิต ๑ กายวาจาและจิต ๑ กรรม ๑ มูลแห่งวิวาท ๑
   มูลแห่งการโจท ๑ ด้านยาว ๑ ด้านกว้าง ๑ นิสัยระงับ ๑ อนุบัญญัติ ๑ ถือเอาจีวรที่ทำค้าง ๑ เก็บเอาจีวรที่ทำค้าง ๑ อเสขธรรม ๑ ชักชวนผู้อื่นในอเสขธรรม  ๑ มีศรัทธา ๑ อธิศีล ๑ พยาบาลผู้อาพาธ ๑ ฝึกปรือในอภิสมาจาร ๑ รู้อาบัติ ๑ งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม ๑ งดปาติโมกข์เป็นธรรม  ๑.  หัวข้อประจำหมวด ๖ จบ

หมวด ๗ ว่าด้วยอาบัติเป็นต้น
   [๙๙๒] อาบัติมี ๗. กองอาบัติมี ๗. วินีตวัตถุมี ๗. สามีจิกรรมมี ๗. ทำตามปฏิญญาไม่ชอบธรรมมี ๗. ทำตามปฏิญญาชอบธรรมมี ๗. กิจ ๗ อย่างภิกษุไปด้วยสัตตาหกรณียะไม่ต้องอาบัติ. ทรงวินัยมีอานิสงส์ ๗. สิกขาบทว่าด้วยอย่างยิ่งมี ๗.  เพราะอรุณขึ้นเป็นนิสสัคคิย์มี ๗. สมถะมี ๗.
กรรมมี ๗. ข้าวเปลือกดิบมี ๗. สร้างกุฎีด้านกว้างร่วมใน ๗ คืบ. คณะโภชน์ อนุบัญญัติมี ๗. ภิกษุรับประเคนเภสัชแล้วเก็บไว้ฉันได้  ๗ วันเป็นอย่างยิ่ง. ภิกษุถือเอาจีวรที่ทำเสร็จแล้วหลีกไป. เก็บจีวรที่ทำเสร็จแล้วหลีกไป. ภิกษุไม่เห็นอาบัติ. ภิกษุเห็นอาบัติ ภิกษุทำคืนอาบัติ. งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมี ๗. งดปาติโมกข์เป็นธรรมมี ๗.
ว่าด้วยองค์ของพระวินัยธร
   [๙๙๓] ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๗ เป็นพระวินัยธรได้ คือรู้อาบัติ ๑ รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑ เป็นผู้มีศีล สำรวมในปาติโมกข์สังวร ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจรอยู่ เห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ๑ สำหรับฌาน ๔ ฝ่ายกุศลเจตสิก
   เป็นเครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน เธอเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ไม่มีอาสวะเพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยตนเองในปัจจุบันนี้แหละเข้าถึงอยู่ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๗ เป็นพระวินัยธรได้ คือรู้อาบัติ ๑ รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑ เป็นผู้มีสุตะมาก ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ  ธรรมเหล่านั้นใดไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์สิ้นเชิง ธรรมเห็น
ปานนั้น เธอสดับมาก ทรงไว้ สั่งสมด้วยวาจาเพ่งด้วยใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ ๑ สำหรับฌาน ๔ ฝ่ายกุศลเจตสิกเป็นเครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน เธอเป็นผู้ได้ตามความปรารถนาได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ  ปัญญาวิมุติไม่มีอาสวะเพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันนี้แหละ เข้าถึงอยู่ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๗ เป็นพระวินัยธรได้ คือ รู้อาบัติ ๑ รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑  จำปาติโมกข์ทั้งสองได้โดยพิสดาร จำแนกดี สวดคล่องแคล่ว วินิจฉัยถูกต้อง โดยสูตร โดยอนุพยัญชนะ  ๑ สำหรับฌาน ๔ ฝ่ายกุศลเจตสิก เป็นเครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน
   เธอเป็นผู้ได้ตามความปรารถ ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ไม่มีอาสวะเพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันนี้แหละเข้าถึงอยู่ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๗ เป็นพระวินัยธรได้ คือ รู้อาบัติ ๑ รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑  ระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้างสองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง หกชาติบ้าง เจ็ดชาติบ้าง แปดชาติบ้าง เก้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง
สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้น มีกำหนดอายุเท่านั้น
   ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้น มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้
   ย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจ
มิจฉาทิฏฐิ สัตว์เหล่านั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ สัตว์เหล่านั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุบัติเลวประณีต
มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันนี้แหละ เข้าถึงอยู่ ๑.
       พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๗ ย่อมงาม คือ รู้อาบัติ ๑ รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑  เป็นผู้มีศีล ... สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ๑ สำหรับฌาน ๔ ฝ่ายกุศลเจตสิก เป็นเครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน เธอเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันนี้แหละ เข้าถึงอยู่ ๑.
       พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๗ ย่อมงาม คือรู้อาบัติ ๑ รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑ เป็นผู้มีสุตะมาก ... แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ ๑ สำหรับฌาน ๔ ฝ่ายกุศลเจตสิก เป็นเครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน เธอเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันนี้แหละเข้าถึงอยู่ ๑.
       พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๗ ย่อมงาม คือ รู้อาบัติ ๑ รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑ จำปาติโมกข์ทั้งสองได้โดยพิสดาร จำแนกดี สวดคล่องแคล่ว วินิจฉัยถูกต้อง โดยสูตร โดยอนุพยัญชนะ  ๑ สำหรับฌาน ๔ ฝ่ายกุศลเจตสิก เป็นเครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน เธอเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ไม่มีอาสวะเพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันนี้แหละเข้าถึงอยู่ ๑.
       พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๗ ย่อมงาม คือ รู้อาบัติ ๑ รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑ ระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก ... ๑ เล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์เป็นไปตามกรรม ... ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันนี้แหละ เข้าถึงอยู่ ๑.
ว่าด้วยอสัทธรรมและสัทธรรม
   [๙๙๔] อสัทธรรม ๗ คือ ไม่มีศรัทธา ๑ ไม่มีความละอาย ๑ ไม่มีความเกรงกลัว ๑ มีการฟังน้อย ๑ เกียจคร้าน ๑ หลงลืมสติ ๑ มีปัญญาทราม ๑.
   สัทธรรมมี ๗ คือ มีศรัทธา ๑ มีความละอาย ๑ มีความเกรงกลัว ๑ มีการฟังมาก ๑ ปรารภความเพียร ๑ มีสติตั้งมั่น ๑ มีปัญญา ๑.    หมวด ๗ จบ
หัวข้อประจำหมวด
   [๙๙๕] อาบัติ ๑ กองอาบัติ ๑ วินีตวัตถุ ๑ สามีจิกรรม ๑ ทำตามปฏิญญาไม่เป็นธรรม ๑ ทำตามปฏิญญาเป็นธรรม ๑ สัตตาหะไปไม่ต้องอาบัติ ๑ อานิสงส์ ๑ อย่างยิ่ง ๑ อรุณ ๑ สมถะ ๑ กรรม ๑ ข้าวเปลือกดิบ ๑ สร้างกุฎีด้านกว้าง ๑ คณะโภชน์ ๑ เจ็ดวันเป็นอย่างยิ่ง ๑ ถือเอา ๑ เก็บไป ๑
   ไม่เห็นอาบัติ ๑ เห็นอาบัติ ๑ ทำคืนอาบัติ ๑ งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม ๑ งดปาติโมกข์เป็นธรรม ๑ วินัยธร ๔ อย่าง ๑ ภิกษุงาม ๔ อย่าง ๑ อสัทธรรม ๗ อย่าง ๑ สัทธรรม ๗ อย่าง ๑ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้แล้วแล.
หัวข้อประจำหมวด ๗ จบ
อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๖ [ พรรณนาหมวด ๖ ]
วินิจฉัยในหมวด ๖ พึงทราบดังนี้
   สองบทว่า ฉ สามีจิโย ได้แก่ สามีจิกรรม ๖ เฉพาะในภิกขุปาฏิโมกข์เหล่านี้ คือ ภิกษุนั้นก็เป็นอันมิได้อัพภาน, และภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นอันพระพุทธเจ้าจะพึงทรงติเตียน นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น, ว่า ท่านจงทวงเอาทรัพย์ของท่านคืน, ทรัพย์ของท่านอย่าได้ฉิบหายเสียเลย ดังนี้ นี้เป็นสามีจิกรรมใน
เรื่องนั้น, ว่า ภิกษุ นี้บาตรของท่าน พึงทรงไว้ กว่าจะแตก ดังนี้ นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น, นำออกจากที่นั้นแล้วพึงแบ่งปันกับภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น, อันภิกษุผู้ศึกษาอยู่ ควรรู้ถึง, ควรสอบถาม, ควรตริตรอง, นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น, ด้วยหมายว่า ของผู้ใด ผู้นั้นจักได้เอาไป นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น. 
   สองบทว่า ฉ เฉทนกา ได้แก่ อาบัติ ๕ ที่กล่าวไว้ในหมวด ๕ กับผ้าสำหรับอาบน้ำของภิกษุณีรวมเป็น ๖. 
   บทว่า ฉหากาเรหิ ได้แก่ ความเป็นผู้ไม่ละอาย, ความไม่รู้, ความเป็นผู้สงสัยแล้วขืนทำ, ความเป็นผู้มีความสำคัญว่าควร ในของที่ไม่ควร, ความเป็นผู้มีความสำคัญว่าไม่ควร ในของที่ควร, ความลืมสติ. 
   ในอาการ ๖ นั้น เมื่อต้องอาบัติ เพราะไตรจีวรและสัตตาหกาลิกก้าวล่วง ๑ ราตรี ๖ ราตรีและ ๗ วันเป็นต้น ชื่อว่าต้องเพราะความลืมสติ. ที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล. 
   หลายบทว่า ฉ อานิสํสา วินยธเร ได้แก่ อานิสงส์ ๕ ที่กล่าวแล้วในหมวด ๕ รวมเป็น ๖ กับทั้งอานิสงส์นี้ คืออุโบสถเป็นหน้าที่ของพระวินัยธรนั้น. 
   สองบทว่า ฉ ปรมานิ มีความว่า พึงทรงอติเรกจีวรไว้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง, ภิกษุนั้นพึงเก็บจีวรนั้นไว้ ๑ เดือนเป็นอย่างยิ่ง, ภิกษุนั้น พึงยินดีจีวรมีอุตราสงค์กับอันตรวาสกเป็นอย่างยิ่งจากจีวรเหล่านั้น, พึงเข้าไปยืนนิ่งต่อหน้า ๖ ครั้งเป็นอย่างยิ่ง. อนึ่ง ภิกษุให้ทำสันถัตใหม่แล้ว พึงทรงไว้ให้ได้ ๖ ปี
   เพราะฉะนั้น สันถัตใหม่อันภิกษุพึงทรงไว้โดยกาลมี ๖ ปีเป็นอย่างยิ่ง, (ขนเจียมเหล่านั้น) อันภิกษุ ... พึงถือไปด้วยมือของตนเอง ตลอดระยะทาง ๓ โยชน์เป็นอย่างยิ่ง, พึงทรงอติเรกบาตรไว้ได้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง, พึงเก็บ (เภสัชเหล่านั้น) ไว้ฉันได้ ๗ วันเป็นอย่างยิ่ง, ภิกษุนั้น พึงอยู่ปราศจากจีวร
นั้นได้ ๖ คืนเป็นอย่างยิ่ง, ภิกษุณีพึงจ่ายผ้าห่มหนาวมีราคา ๑๖ กหาปณะเป็นอย่างยิ่ง. ภิกษุณี พึงจ่ายผ้าห่มฤดูร้อน มีราคา ๑๐ กหาปณะเป็นอย่างยิ่ง, ภิกษุณี (เมื่อทำความสะอาดด้วยน้ำ) พึงล้วงได้ ๒ องคุลีเป็นอย่างยิ่ง, เขียงเท้าเตียงให้มี ๘ นิ้วเป็นอย่างยิ่ง, ไม้ชำระฟันให้มี ๘ นิ้วเป็นอย่างยิ่ง, รวมเป็นอย่างยิ่ง ๑๔ นี้ด้วยประการฉะนี้. 
   ในอย่างยิ่ง ๑๔ นั้น ๖ ข้อแรกเป็นหมวด ๖ อันหนึ่ง, ต่อไปนั้นพึงจัดหมวด ๖ เหล่าอื่นบ้าง โดยนัยมีอาทิ คือชักออกเสียหมวดหนึ่ง ที่ยังเหลือจัดเข้าเป็นหมวดอันหนึ่งๆ. 
   สองบทว่า ฉ อาปตฺติโย ได้แก่ หมวดหก ๓ หมวดที่กล่าวแล้วในอันตรเปยยาล. 
   สองบทว่า ฉ กมฺมานิ ได้แก่ ตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรม รวมเป็น ๔ ทั้งกรรม ๒ ที่กล่าว เพราะไม่เห็นอาบัติและเพราะไม่ทำคืนอาบัติ รวมเป็น ๑, กรรม ๑ เพราะไม่ยอมสละทิฏฐิลามก. 
   บทว่า ฉ นหาเน ได้แก่ (อนุบัญญัติ ๖) เพราะอาบน้ำ ยังหย่อนกึ่งเดือน. 
   หมวดหก ๒ หมวดว่าด้วยจีวรที่ทำค้างเป็นต้น ได้อธิบายไว้แล้วในกฐินขันธกะ. 
         คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล.
         พรรณนาหมวด ๖ จบ.
อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๗ [ พรรณนาหมวด ๗ ]
วินิจฉัยในหมวด ๗ พึงทราบดังนี้
   สองบทว่า สตฺต สามีจิโย มีความว่า พึงทราบสามีจิกรรม ๗ เพราะเพิ่มข้อว่า ภิกษุณีนั้น ก็เป็นอันมิได้อัพภาน ภิกษุณีทั้งหลายเหล่านั้น ก็เป็นอันพระพุทธเจ้าจะพึงทรงติเตียน นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น นี้เข้าในสามีจิกรรม ๖ ที่กล่าวมาแล้วในหนหลัง.
               หลายบทว่า สตฺต อธมฺมิกา ปฏิญฺญาตกรณา ได้แก่ ทำตามปฏิญญาที่ไม่เป็นธรรม ๗ ที่ทรงแสดงแล้วในสมถขันธกะ อย่างนี้ว่า 
               ภิกษุต้องปาราชิก อันภิกษุผู้ต้องปาราชิก โจทอยู่ จึงปฏิญญาว่า ข้าพเจ้าต้องสังฆาทิเสส สงฆ์ปรับเธอด้วยสังฆาทิเสส, ชื่อว่าทำตามปฏิญญาไม่เป็นธรรม. 
               แม้ทำตามปฏิญญาที่เป็นธรรม ก็ได้ทรงแสดงแล้วในสมถขันธกะนั้นแล. 
  สตฺต อธมฺมิกา ปฏิญฺญาตกรณาติ ภิกฺขุ ปาราชิกํ อชฺฌาปนฺโน โหติ ปาราชิเกน โจทิยมาโน สงฺฆาทิเสสํ อชฺฌาปนฺโนมฺหีติ ปฏิชานาติ ตํ สงฺโฆ สงฺฆาทิเสเสน กาเรติ อธมฺมิกํ ปฏิญฺญาตกรณนฺติ เอวํ สมถกฺขนฺธเก นิทฺทิฏฺาฯ 
               หลายบทว่า สตฺตนฺนํ อนาปตฺติ สตฺตาหกรณีเยน คนฺตุํ นี้ ได้กล่าวแล้วในวัสสูปนายิกขันธกะ. 
               สองบทว่า สตฺตานิสํสา วินยธเร มีความว่า อานิสงส์ ๕ ที่กล่าวแล้วในหมวด ๕ กับ ๒ อานิสงส์นี้ คืออุโบสถ ปวารณาเป็นหน้าที่ของพระวินัยธรนั้น จึงรวมเป็น ๗. 
               สองบทว่า สตฺต ปรมานิ ได้แก่ อย่างยิ่งที่กล่าวแล้วในหมวด ๖ นั่นแล พึงจัดด้วยอำนาจหมวด ๗. หมวดเจ็ด ๒ หมวด มีว่าด้วยจีวรที่ทำแล้วเป็นอาทิ ได้แสดงแล้วในกฐินขันธกะ. 
               หมวดเหล่านี้ คืออาบัติที่ต้องเห็น ไม่มีแก่ภิกษุ, อาบัติที่ต้องเห็น มีแก่ภิกษุ, อาบัติที่ต้องทำคืน มีแก่ภิกษุ, เป็นหมวดเจ็ด ๓ หมวด.
               อธัมมิกะ ๒ หมวด, ธัมมิกะ ๑ หมวด. ทั้ง ๓ หมวดนั้น ได้แสดงแล้วในจัมเปยยขันธกะ. 
               บทว่า อสทฺธมฺมา ได้แก่ ธรรมของอสัตบุรุษ หรือธรรมที่ไม่สงบ. อธิบายว่า ธรรมไม่งาม คือเลว ลามก. 
               บทว่า สทฺธมฺมา ได้แก่ ธรรมของสัตบุรุษ คือของพระอริยะมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น หรือธรรมที่สงบ. อธิบายว่า ธรรมที่งาม คือสูงสุด.
                                 คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล.
พรรณนาหมวด ๗ จบ.