Translate

11 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๓ โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๕ [ว่าด้วย ให้จีวร] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่อง ภิกษุรูปหนึ่ง
         [๔๔๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
      ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเที่ยวบิณฑบาตไปตามถนนแห่งหนึ่ง ในพระนครสาวัตถี. แม้ภิกษุณีรูปหนึ่งก็เที่ยวบิณฑบาตไปในถนนนั้น.  ครั้งนั้นแลภิกษุนั้นได้กล่าวคำนี้กะภิกษุณีรูปนั้นว่า ไปเถิดน้องหญิง ณ สถานที่โน้นมีผู้ถวายภิกษา. แม้ภิกษุณีรูปนั้นก็กล่าวอย่างนี้ว่า ไปเถิดพระคุณเจ้า ณ สถานที่โน้นมีผู้ถวายภิกษา. ภิกษุและภิกษุณีทั้งสองได้เป็นเพื่อนเห็นกัน เพราะได้พบกันอยู่เนืองๆ
             ก็แลสมัยนั้น พระเจ้าหน้าที่แจกจีวรกำลังแจกจีวรของสงฆ์ จึงภิกษุณีรูปนั้นไปรับโอวาท แล้วเข้าไปหาภิกษุรูปนั้น อภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.ว่า ยินดี เจ้าข้า เพราะดิฉันมีจีวรเก่า.
              ภิกษุรูปนั้นได้กล่าวคำนี้กะภิกษุณีนั้นผู้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า ดูกรน้องหญิง ส่วนจีวรของฉันนี้ เธอจักยินดีหรือไม่?
             ภิกษุณีรับว่า ยินดี เจ้าข้า เพราะดิฉันมีจีวรเก่า.
             ภิกษุนั้นได้ให้จีวรแก่ภิกษุณีนั้น. แต่ภิกษุนั้นก็เป็นผู้มีจีวรเก่าอยู่เหมือนกัน. ภิกษุทั้งหลายจึงได้กล่าวกะภิกษุรูปนั้นว่า บัดนี้ ท่านจงเปลี่ยนจีวรของท่านเถิด. ภิกษุรูปนั้นได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย. บรรดาภิกษุที่มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุจึงได้ให้จีวรแก่ภิกษุณีเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ...
ทรงสอบถามแล้วบัญญัติสิกขาบท
             พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุรูปนั้นว่า ดูกรภิกษุ ข่าวว่า เธอได้ให้จีวรแก่ภิกษุณีจริงหรือ?
             ภิกษุรูปนั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
             ภ. ดูกรภิกษุ ภิกษุณีนั้นเป็นญาติของเธอหรือมิใช่ญาติ?
             ภิ. มิใช่ญาติ พระพุทธเจ้าข้า.
             ภ. ดูกรโมฆบุรุษ ภิกษุผู้มิใช่ญาติย่อมไม่รู้การกระทำอันสมควรหรือไม่สมควร ของที่มีอยู่หรือไม่มี ของภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ไฉน เธอจึงได้ให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...             
           ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ            ๗๔. ๕. ก. อนึ่ง ภิกษุใด ให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ เป็นปาจิตตีย์.             ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง จบ.
เรื่องภิกษุหลายรูป 
            [๔๔๓] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายรังเกียจ ไม่ให้จีวรแลกเปลี่ยนแก่พวกภิกษุณี ภิกษุณีทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระคุณเจ้าจึงไม่ให้แลกเปลี่ยนแก่พวกเราภิกษุทั้งหลาย ได้ยินภิกษุณีเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงอนุญาตให้แลกเปลี่ยนจีวร
             ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้แลกเปลี่ยนแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขามานา สามเณร สามเณรี เราอนุญาตให้แลกเปลี่ยนแก่สหธรรมิก ๕ เหล่านี้ได้.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ           ๗๔. ๕. ข. อนึ่ง ภิกษุใด ให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยน เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุหลายรูป จบ.
สิกขาบทวิภังค์
             [๔๔๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...             
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
             ที่ชื่อว่า ผู้มิใช่ญาติ คือ ไม่ใช่คนเนื่องถึงกัน ทางมารดาก็ดี ทางบิดาก็ดี ตลอด ๗ ชั่วบุรพชนก.
             ผู้ชื่อว่า ภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย.
             ที่ชื่อว่า จีวร ได้แก่ จีวร ๖ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าองค์กำหนดแห่งผ้าต้องวิกัปเป็นอย่างต่ำ
             คำว่า เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยน ความว่า ภิกษุให้ เว้นการแลกเปลี่ยน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์ - ติกะปาจิตตีย์
             [๔๔๕] ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้จีวร เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยนต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้จีวร เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้จีวร เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ติกะทุกฏ
             ภิกษุให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้อุปสมบทในสงฆ์ฝ่ายเดียว เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยน ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้จีวร ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ภิกษุสงสัย ให้จีวร ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ             ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้จีวร ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
            [๔๔๖] ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ๑ ภิกษุแลกเปลี่ยน คือ เอาจีวรมีค่าน้อยแลกเปลี่ยนจีวรมีค่ามาก หรือเอาจีวรมีค่ามากแลกเปลี่ยนจีวรมีค่าน้อย ๑ ภิกษุณีถือวิสาสะ ๑ ภิกษุณีถือเอาเป็นของขอยืม ๑ ภิกษุให้บริขารอื่นเว้นจีวร ๑ ภิกษุให้แก่สิกขมานา ๑ ภิกษุให้สามเณรี ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ โอวาทวรรคที่ ๓
 สิกขาบทที่ ๕            ภิกขุนีวรรค จีวรทาน
 - บาลีเป็นโอวาทวรรค 
                 วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๕ พึงทราบดังนี้ :- 
                    บทว่า วิสิขาย แปลว่า ในตรอก. 
                 สองบทว่า ปิณฺฑาย จรติ มีความว่า ย่อมเที่ยวไปเนืองๆ ด้วยสามารถแห่งการเที่ยวไปเป็นประจำ. 
                 บทว่า สนฺทิฏฺฐา คือ ได้เป็นเพื่อนเห็นกัน. 
                 บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ โดยบทมีอรรถตื้น โดยวินิจฉัย พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในจีวรปฏิคคหณสิกขาบทนั่นแล พร้อมทั้งสมุฏฐานเป็นต้น. 
                 จริงอยู่ ในจีวรปฏิคคหณสิกขาบทนั้น ภิกษุเป็นผู้รับ ในสิกขาบทนี้ ภิกษุณีเป็นผู้รับ นี้เป็นความแปลกกัน. 
                 คำที่เหลือเป็นเช่นนั้นเหมือนกันแล.

10 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๓ โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๔ เรื่องพระฉัพพัคคีย์ [ว่าด้วย สั่งสอนภิกษุณี เพราะเห็นแก่ลาภ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๔๓๔]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
         ครั้งนั้น พระเถระทั้งหลาย สั่งสอนพวกภิกษุณีย่อมได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร พระฉัพพัคคีย์พูดกันอย่างนี้ว่าพระเถระทั้งหลายไม่ตั้งใจสั่งสอนพวกภิกษุณี ท่านสั่งสอนพวกภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส
          บรรดาภิกษุที่มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้พูดอย่างนี้ว่าพระเถระทั้งหลายไม่ตั้งใจสั่งสอนพวกภิกษุณี ท่านสั่งสอนพวกภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ...
พระทรงสอบถาม             พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า พวกเธอพูดอย่างนี้ว่า พระเถระทั้งหลายไม่ตั้งใจสั่งสอนพวกภิกษุณี ท่านสั่งสอนพวกภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส ดังนี้ จริงหรือ?
             พระฉัพพัคคีย์ ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
            พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงพูดอย่างนี้ว่า พระเถระทั้งหลายไม่ตั้งใจสั่งสอนพวกภิกษุณี ท่านสั่งสอนพวกภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส ดังนี้เล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...             
           ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ           ๗๓. ๔. อนึ่ง ภิกษุใด กล่าวอย่างนี้ว่า พวกภิกษุสั่งสอนพวกภิกษุณีเพราะเหตุอามิส เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
             [๔๓๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...             
          บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
             บทว่า เพราะเหตุอามิส คือ เพราะเหตุจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การกราบไหว้ การบูชา.
             [๔๓๖] คำว่า กล่าวอย่างนี้ ความว่า ภิกษุประสงค์จะแส่โทษ ประสงค์จะทำให้อัปยศ ประสงค์จะทำให้เก้อเขิน กล่าวกะอุปสัมบันผู้อันสงฆ์สมมติให้เป็นผู้สั่งสอนภิกษุณีอย่างนี้ คือกล่าวว่า เธอสั่งสอน เพราะเหตุจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สักการะความเคารพ ความนับถือ การกราบไหว้ การบูชา ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์
             [๔๓๗] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม กล่าวอย่างนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             กรรมเป็นธรรม ภิกษุสงสัย กล่าวอย่างนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม กล่าวอย่างนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ
             [๔๓๘] ภิกษุประสงค์จะแส่โทษ ประสงค์จะทำให้อัปยศ ประสงค์จะทำให้เก้อเขิน กล่าวกะอุปสัมบันผู้อันสงฆ์มิได้สมมติให้เป็นผู้สั่งสอนภิกษุณีอย่างนี้ คือ กล่าวว่า เธอสั่งสอนเพราะเหตุจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สักการะ ความเคารพความนับถือ การกราบไหว้ การบูชา ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
             [๔๓๙] ภิกษุประสงค์จะแส่โทษ ประสงค์จะทำให้อัปยศ ประสงค์จะทำให้เก้อเขิน กล่าวกะอนุปสัมบันผู้อันสงฆ์สมมติก็ตาม มิได้สมมติก็ตาม ให้เป็นผู้สั่งสอนภิกษุณี อย่างนี้คือ กล่าวว่า เธอสั่งสอนเพราะเหตุจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การกราบไหว้ การบูชา ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ติกะทุกกฏ
             [๔๔๐] กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
                กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสงสัย ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.             
          กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
            [๔๔๑] ภิกษุผู้กล่าวกะภิกษุผู้สั่งสอนเพราะเหตุจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การกราบไหว้ การบูชา ตามปกติ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ โอวาทวรรคที่ ๓ 
                     สิกขาบทที่ ๔       ภิกขุนีวรรค อามิส
 - บาลี เป็นโอวาทวรรค 
         วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๔ พึงทราบดังนี้ :- 
                 บทว่า น พหุกตา คือ ไม่ทำความตั้งใจ (สอนจริง). 
                 อธิบายว่า ไม่ทำความเคารพมากในธรรมกล่าวสอน. 
                 ผู้ศึกษาพึงทราบอรรถแห่งบททั้งหลายว่า ภิกฺขุโนวาทกํ อวณฺณํ กตฺตุกาโม เป็นต้น โดยนัยดังที่กล่าวแล้วในอุชฌาปนกสิกขาบทนั่นแล. ภิกษุที่ภิกษุผู้ได้รับสมมติ หรือสงฆ์มอบภาระให้ไว้ พึงทราบว่า ชื่อว่าภิกษุไม่ได้รับสมมติ ในคำว่า อุปสมฺปนฺนํ สงฺเฆน อสมฺมตํ นี้. 
                 ส่วนในคำว่า อุปสมฺปนฺนํ สงฺเฆน สมฺมตํ วา อสมฺมตํ วา นี้ ภิกษุผู้ได้รับสมมติในคราวเป็นภิกษุแล้ว ตั้งอยู่ในภูมิแห่งสามเณร พึงทราบว่าได้รับสมมติ. สามเณรพหูสูตที่ภิกษุผู้ได้รับสมมติหรือสงฆ์มอบหน้าที่ไว้ พึงทราบว่า ผู้มิได้รับสมมติ. 
                 คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวแล้ว. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล. 

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๓ โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๓ [ว่าด้วย สั่งสอนภิกษุณีถึงในที่อยู่] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่อง พระฉัพพัคคีย์
              [๔๒๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตพระนคร กบิลพัสดุ์ สักกชนบท.
 ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เข้าไปสู่สำนักภิกษุณี แล้วกล่าวสอนภิกษุณีฉัพพัคคีย์อยู่.
             ภิกษุณีทั้งหลายได้กล่าวคำนี้กะภิกษุณีฉัพพัคคีย์ว่า มาเถิด แม่เจ้าทั้งหลาย พวกเราจักไปรับโอวาทกัน.
             ภิกษุณีฉัพพัคคีย์พูดว่า แม่เจ้าทั้งหลาย พวกเราจะต้องไปเพราะเหตุแห่งโอวาททำไมเพราะพระคุณเจ้าฉัพพัคคีย์กล่าวสอนพวกเราอยู่ ณ ที่นี้แล้ว.
             ภิกษุณีทั้งหลายต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงเข้ามากล่าวสอนพวกภิกษุณีถึงสำนักภิกษุณีเล่า? แล้วแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
             บรรดาภิกษุที่มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้เข้าไปกล่าวสอนพวกภิกษุณี ถึงสำนักภิกษุณีเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ...
ทรงสอบถาม    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอเข้าไปกล่าวสอนพวกภิกษุณี ถึงสำนักภิกษุณี จริงหรือ?
             พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
             พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้เข้าไปกล่าวสอนพวกภิกษุณีถึงสำนักภิกษุณีเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ             ๓๒. ๓. อนึ่ง ภิกษุใด เข้าไปสู่ที่อาศัยแห่งภิกษุณี แล้วสั่งสอนพวกภิกษุณีเป็นปาจิตตีย์.
             ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
เรื่องพระมหาปชาบดีโคตรมีเถรี
             [๔๓๐] ต่อจากสมัยนั้นมา พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีอาพาธ. พระเถระทั้งหลายพากันเข้าไปเยี่ยมพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีถึงสำนัก แล้วได้กล่าวคำนี้กะพระเถรีว่า ดูกรพระโคตมี ท่านยังพอทนได้หรือ? ยังพอให้อัตภาพเป็นไปได้หรือ?.
             พระมหาปชาบดีโคตมีตอบว่า ดิฉันทนไม่ไหว ให้อัตภาพเป็นไปไม่ได้ เจ้าข้าขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายโปรดแสดงธรรมเถิด เจ้าข้า.
             ดูกรน้องหญิง การเข้ามาสู่สำนักภิกษุณีแล้วแสดงธรรมแก่ภิกษุณียังไม่สมควรก่อนพระเถระเหล่านั้นกล่าวดังนี้แล้วต่างก็รังเกียจอยู่ ไม่แสดงธรรม
             ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรจีวรเสด็จเข้าไปเยี่ยมพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีถึงสำนัก ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย แล้วได้ตรัสคำนี้กะพระมหาปชาบดีโคตมีว่า ดูกรโคตมี เธอยังพอทนได้หรือ? ยังพอให้อัตภาพเป็นไปได้หรือ?
             พระมหาปชาบดีโคตมีกราบทูลว่า เมื่อก่อนพระเถระทั้งหลายพากันมาแสดงธรรมแก่หม่อมฉัน เพราะเหตุนั้น หม่อมฉันจึงมีความสำราญ แต่บัดนี้ ท่านกล่าวว่า พระองค์ทรงห้ามแล้วจึงรังเกียจ ไม่แสดง เพราะเหตุนั้น หม่อมฉันจึงไม่มีความสำราญ พระพุทธเจ้าข้า.
             ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงยังพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญร่าเริง ด้วยธรรมีกถา แล้วทรงลุกจากอาสนะเสด็จกลับ ครั้นแล้วพระองค์ทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เข้าไปสู่สำนักภิกษุณีแล้วสั่งสอนภิกษุณีผู้อาพาธได้.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ            ๗๒. ๓. ข. อนึ่ง ภิกษุใด เข้าไปสู่ที่อาศัยแห่งภิกษุณีแล้วสั่งสอนพวกภิกษุณี เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์. สมัยในเรื่องนั้นดังนี้ คือ ภิกษุณีอาพาธ นี้เป็นสมัยในเรื่องนั้น. เรื่องพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี จบ.
สิกขาบทวิภังค์
             [๔๓๑] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...             
          บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
             ที่ชื่อว่า ที่อาศัยแห่งภิกษุณี ได้แก่สถานเป็นที่พักแรมของพวกภิกษุณี แม้เพียงคืนเดียว.
             บทว่า เข้าไป คือ ไปในสถานที่นั้น.
            บทว่า ภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย.
             บทว่า สั่งสอน ความว่า ภิกษุกล่าวสอนด้วยครุธรรม ๘ ประการ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             บทว่า เว้นไว้แต่สมัย คือ ยกเว้นสมัย.
             ที่ชื่อว่า ภิกษุณีอาพาธ ได้แก่ ภิกษุณีไม่สามารถจะไปรับโอวาทหรือไปร่วมประชุมได้.
บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์
             [๔๓๒] อุปสัมบันภิกษุณี ภิกษุสำคัญว่าอุปสัมบันภิกษุณี เข้าไปสู่ที่อาศัยแห่งภิกษุณี เว้นแต่สมัย สั่งสอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             อุปสัมบันภิกษุณี ภิกษุสงสัยเข้าไปสู่ที่อาศัยแห่งภิกษุณี เว้นไว้แต่สมัย สั่งสอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             อุปสัมบันภิกษุณี ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบันภิกษุณี เข้าไปสู่ที่อาศัยแห่งภิกษุณี เว้นไว้แต่สมัย สั่งสอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
จตุกกะทุกกฏ
             ภิกษุสั่งสอนด้วยธรรมอย่างอื่น ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ภิกษุสั่งสอนภิกษุณีผู้อุปสมบทแต่สงฆ์ฝ่ายเดียว ต้องอาบัติทุกกฏ.
             อนุปสัมบันภิกษุณี ภิกษุสำคัญว่าอุปสัมบันภิกษุณี สั่งสอน ต้องอาบัติทุกกฏ.
             อนุปสัมบันภิกษุณี ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ       อนุปสัมบันภิกษุณี ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบันภิกษุณี ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
             [๔๓๓] ภิกษุสั่งสอนในสมัย ๑ ภิกษุให้อุเทศ ๑ ภิกษุให้ปริปุจฉา ๑ ภิกษุอันภิกษุณีกล่าวว่า นิมนต์ท่านสวดเถิด เจ้าข้า ดังนี้ สวดอยู่ ๑ ภิกษุถามปัญหา ๑ ภิกษุถูกถามปัญหาแล้วแก้ ๑ ภิกษุสั่งสอนเพื่อประโยชน์แห่งผู้อื่น แต่ภิกษุฟังอยู่ด้วย ๑ ภิกษุสั่งสอนสิกขมานา ๑ ภิกษุสั่งสอนสามเณรี ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ โอวาทวรรคที่ ๓
       สิกขาบทที่ ๓ ภิกขุนีวรรคที่ ๓     ภิกขุนีอุปสสย
 - บาลี เป็นโอวาทวรรค 
              วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๓ พึงทราบดังนี้ :- 
                 ในคำเป็นต้นว่า อญฺญตฺรสมยา โอวทติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส เป็นต้น บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้กล่าวสอนด้วยครุธรรม ๘ เท่านั้น, กล่าวสอนด้วยธรรมอื่นเป็นทุกกฏ. 
                สองบทว่า เอกโต อุปสมฺปนฺนาย ได้แก่ ภิกษุณีผู้อุปสมบทในภิกษุณีสงฆ์. แต่เป็นปาจิตตีย์แท้ แก่ภิกษุผู้กล่าวสอนภิกษุณีผู้อุปสมบทในภิกษุสงฆ์. 
                 อนึ่ง เบื้องหน้าแต่นี้ไปในที่ทุกๆ แห่งที่ท่านกล่าวคำว่า เอกโต อุปสมฺปนฺนาย ไว้ บัณฑิตพึงเห็นเนื้อความอย่างนี้เหมือนกัน. 
                        บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับวาจา ๑ ทางวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล. 
                ภิกขุนีอุปัสสยสิกขาบทที่ ๓ จบ. 
                 ข้อเบ็ดเตล็ดในสิกขาบทที่ ๓ 
                 ก็แลในสิกขาบทที่ ๓ นี้ ท่านกล่าวปกิณกะไว้ในมหาปัจจรี ดังต่อไปนี้ :- 
                 ถ้าว่า ภิกษุผู้มิได้รับสมมติ เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว เข้าไปสู่สำนักภิกษุณี กล่าวสอนด้วยครุธรรม ๘ เป็นปาจิตตีย์ ๓ ตัว. เมื่อสอนด้วยธรรมอื่น เป็นทุกกฏ ๒ ตัว, เป็นปาจิตตีย์ ๑ ตัว.  
                คือ อย่างไร? คือว่า ทุกกฏ มีการไม่ได้รับสมมติเป็นมูล ๑, ทุกกฏ มีการไปสู่สำนักภิกษุณีแล้ว กล่าวสอนด้วยธรรมอื่นเป็นมูล ๑, ปาจิตตีย์ มีการกล่าวสอนเมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้วเป็นมูล ๑. ภิกษุผู้ได้รับสมมติแล้ว เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว ไปในสำนักภิกษุณีนั้น กล่าวสอนอยู่ด้วยครุธรรม ๘ เป็นอนาบัติ ๑ เป็นปาจิตตีย์ ๒ ตัว. 
                 คือ อย่างไร? คือว่า เป็นอนาบัติ เพราะเป็นผู้ได้รับสมมติ, เป็นปาจิตตีย์ ๒ ตัว คือ ปาจิตตีย์ มีการกล่าวสอนเมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว เป็นมูลตัว ๑ ปาจิตตีย์ มีการไปกล่าวสอนด้วยครุธรรม ๘ เป็นมูลตัว ๑. ภิกษุผู้กล่าวสอนด้วยธรรมอื่นนั่นแล เป็นอนาบัติ ๑ เป็นทุกกฏ ๑ ตัว เป็นปาจิตตีย์ ๑ ตัว. 
                 คือ อย่างไร? คือว่า เป็นอนาบัติ เพราะได้รับสมมติ, เป็นทุกกฏ มีการไปกล่าวสอนด้วยธรรมอื่นเป็นมูลตัว ๑ เป็นปาจิตตีย์ มีการกล่าวสอนเมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้วเป็นมูลตัว ๑. แต่สำหรับภิกษุผู้ได้รับสมมติ และไม่ได้รับสมมติ ไปกล่าวสอนในกลางวัน บัณฑิตพึงชักปาจิตตีย์ ที่มีการกล่าวสอนในเวลากลางคืนเป็นมูลออกตัว ๑ แล้วทราบอาบัติและอนาบัติที่เหลือฉะนี้แล.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๓ โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๒ เรื่องพระจูฬปันถกเถระ [ว่าด้วย สั่งสอนภิกษุณีเมื่ออาทิตย์ตกแล้ว] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๔๒๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
             ครั้งนั้น พระเถระทั้งหลาย ผลัดเปลี่ยนกันกล่าวสอนพวกภิกษุณี สมัยนั้น ถึงวาระของท่านพระจูฬปันถกที่จะกล่าวสอนพวกภิกษุณี พวกภิกษุณีพูดกันอย่างนี้ว่า วันนี้โอวาทเห็นจะไม่สำเร็จประโยชน์ เพราะประเดี๋ยวพระคุณเจ้าจูฬปันถกจะกล่าวอุทานอย่างเดิมนั่นแหละซ้ำๆ ซากๆ แล้วพากันเข้าไปหาท่านพระจูฬปันถก อภิวาทแล้วนั่งอยู่ ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
             ท่านพระจูฬปันถกได้ถามภิกษุณีเหล่านั้น ผู้นั่งเรียบร้อยแล้ว ดังนี้ว่า พวกเธอพร้อมเพรียงกันแล้วหรือ น้องหญิงทั้งหลาย?
             ภิกษุณี. พวกดิฉันพร้อมเพรียงกันแล้ว เจ้าข้า.
             จูฬ. ครุธรรม ๘ ประการยังเป็นไปดีอยู่หรือ น้องหญิงทั้งหลาย?
             ภิกษุณี. ยังเป็นไปดีอยู่ เจ้าข้า.
             ท่านพระจูฬปันถกสั่งว่า นี่แหละเป็นโอวาทละ น้องหญิงทั้งหลาย แล้วได้กล่าวอุทานนี้ซ้ำอีก ว่าดังนี้:-
            "ความโศก ย่อมไม่มีแก่มุนีผู้มีจิตตั้งมั่น ไม่ประมาท                          
ศึกษาอยู่ในโมเนยยปฏิปทา ผู้คงที่ ผู้สงบระงับ มีสติทุกเมื่อ"             
[๔๒๕] ภิกษุณีทั้งหลายได้สนทนากันอย่างนี้ว่า เราได้พูดแล้วมิใช่หรือว่าวันนี้ โอวาทเห็นจะไม่สำเร็จประโยชน์ เพราะประเดี๋ยว พระคุณเจ้าจูฬปันถก จะกล่าวอุทานอย่างเดิมนั่นแหละซ้ำๆ ซากๆ
             ท่านพระจูฬปันถกได้ยินคำสนทนานี้ของภิกษุณีพวกนั้น ครั้นแล้วท่านเหาะขึ้นสู่เวหา จงกรมบ้าง ยืนบ้าง นั่งบ้าง สำเร็จการนอนบ้าง ทำให้ควันกลุ้มตลบขึ้นบ้าง ทำให้เป็นไฟโพลงขึ้นบ้าง หายตัวบ้าง อยู่ในอากาศกลางหาว กล่าวอุทานอย่างเดิมนั้น และพระพุทธพจน์อย่างอื่นอีกมาก.
             ภิกษุณีทั้งหลายกล่าวชมอย่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์นัก ชาวเราเอ๋ย ไม่เคยมีเลย ชาวเราเอ๋ย ในกาลก่อนแต่นี้ โอวาทไม่เคยสำเร็จประโยชน์แก่พวกเรา เหมือนโอวาทของพระคุณเจ้าจูฬปันถกเลย. 
             คราวนั้น ท่านพระจูฬปันถกกล่าวสอนภิกษุณีเหล่านั้นจนพลบค่ำ ย่ำสนธยา แล้วได้ส่งกลับด้วยคำว่า กลับไปเถิด น้องหญิงทั้งหลาย. จึงภิกษุณีเหล่านั้น เมื่อเขาปิดประตูเมืองแล้วได้พากันพักแรมอยู่นอกเมือง รุ่งสายจึงเข้าเมืองได้ 
               ประชาชนพากัน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ภิกษุณีพวกนี้เหมือนไม่ใช่สตรีผู้ประพฤติพรหมจรรย์ พักแรมอยู่กับพวกภิกษุในอารามแล้ว เพิ่งจะพากันกลับเข้าเมืองเดี๋ยวนี้ ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนพากันเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระจูฬปันถก เมื่อพระอาทิตย์ตกแล้ว จึงยังได้กล่าวสอนพวกภิกษุณีอยู่เล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
ทรงสอบถาม พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามว่า ดูกรจูฬปันถก ข่าวว่า เมื่อพระอาทิตย์ตกแล้ว เธอยังกล่าวสอนพวกภิกษุณีอยู่ จริงหรือ?
             พระจูฬปันถกทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
             พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรจูฬปันถก เมื่อพระอาทิตย์ตกแล้ว ไฉน เธอจึงยังได้กล่าวสอนพวกภิกษุณีอยู่เล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ         ๗๑. ๒. ถ้าภิกษุ แม้ได้รับสมมติแล้ว เมื่อพระอาทิตย์อัสดงค์แล้ว กล่าวสอนพวกภิกษุณี เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระจูฬปันถกเถระ จบ.
พระสิกขาบทวิภังค์
              [๔๒๖] ผู้ชื่อว่า ได้รับสมมติแล้ว คือ ได้รับสมมติแล้วด้วยญัตติจตุตถกรรม.
   คำว่า เมื่อพระอาทิตย์อัสดงค์แล้ว คือ เมื่อพระอาทิตย์ตกแล้ว.
   ผู้ชื่อว่า พวกภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย.
             บทว่า กล่าวสอน ความว่า กล่าวสอนด้วยครุธรรม ๘ ประการ หรือด้วยธรรมอย่างอื่น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
พระบทภาชนีย์ - ติกะปาจิตตีย์
             [๔๒๗] พระอาทิตย์อัสดงค์แล้ว ภิกษุสำคัญว่า อัสดงค์แล้ว กล่าวสอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             พระอาทิตย์อัสดงค์แล้ว ภิกษุสงสัย กล่าวสอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. พระอาทิตย์อัสดงค์แล้ว ภิกษุสำคัญว่ายังไม่อัสดงค์ กล่าวสอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ติกะทุกกฏ
             ภิกษุสั่งสอนภิกษุณีผู้อุปสมบทในสงฆ์ฝ่ายเดียว ต้องอาบัติทุกกฏ.
             พระอาทิตย์ยังไม่อัสดงค์ ภิกษุสำคัญว่าอัสดงค์แล้ว กล่าวสอน ต้องอาบัติทุกกฏ.
             พระอาทิตย์ยังไม่อัสดงค์ ภิกษุสงสัย กล่าวสอน ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ             พระอาทิตย์ยังไม่อัสดงค์ ภิกษุสำคัญว่ายังไม่อัสดงค์ กล่าวสอน ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร             [๔๒๘] ภิกษุให้อุเทศ ๑ ภิกษุให้ปริปุจฉา ๑ ภิกษุอันภิกษุณีกล่าวว่า นิมนต์ท่านสวดเถิดเจ้าข้า ดังนี้ สวดอยู่ ๑ ภิกษุถามปัญหา ๑ ภิกษุถูกถามปัญหาแล้วแก้ ๑ ภิกษุกล่าวสอนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นอยู่ แต่พวกภิกษุณีฟังอยู่ด้วย ๑ ภิกษุกล่าวสอนสิกขมานา ๑ ภิกษุกล่าวสอนสามเณรี ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.
 อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ โอวาทวรรคที่ ๓
 สิกขาบทที่ ๒         ภิกขุนีวรรค อัตถังคต
    พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :- 
  - บาลี เป็นโอวาทวรรค 
[แก้อรรถคาถาของพระจูฬปันถกเถระ]
 บทว่า ปริยาเยน คือ ตามวาระ ความว่า ตามลำดับ. 
                 บทว่า อธิเจตโส คือ ผู้มีอธิจิต. อธิบายว่า ผู้ประกอบด้วยจิตที่ยิ่งกว่าจิตทั้งหมด คืออรหัตผลจิต. 
                 บทว่า อปฺปมชฺชโต คือ ผู้ไม่ประมาท. มีคำอธิบายว่า ผู้ประกอบด้วยการบำเพ็ญกุศลธรรมติดต่อกันด้วยความไม่ประมาท. 
                 บทว่า มุนิโน มีความว่า ญาณ ตรัสเรียกว่า โมนะ เพราะรู้โลกทั้ง ๒ อย่างนี้ว่า ผู้ใดย่อมรู้โลกทั้ง ๒ ผู้นั้น เราเรียกว่า มุนี เพราะเหตุนั้น หรือ พระขีณาสพ ตรัสเรียกชื่อว่า มุนี เพราะประกอบด้วยญาณนั้นแก่มุนีนั้น. 
                 สองบทว่า โมนปเถสุ สิกฺขโต มีความว่า ผู้ศึกษาอยู่ในทางแห่งญาณชื่อโมนะ กล่าวคืออรหัตมรรคญาณ คือในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ หรือในไตรสิกขา. ก็คำนี้พระผู้มีพระภาคตรัสหมายเอาปฏิปทาเป็นส่วนเบื้องต้น. เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงเห็นใจความในคำว่า มุนิโน โมนปเถสุ สิกฺขโต นี้ อย่างนี้ว่า แก่มุนีผู้ศึกษาอยู่ในธรรมเป็นส่วนเบื้องต้นอย่างนี้ บรรลุความเป็นมุนีด้วยการศึกษานี้. 
                 บทพระคาถาว่า โสกา น ภวนฺติ ตาทิโน มีความว่า ความโศกทั้งหลาย เพราะเรื่องมีการพลัดพรากจากอิฏฐารมณ์เป็นต้นในภายใน (ในจิต) ย่อมไม่มีแก่พระขีณาสวมุนีผู้คงที่. อีกอย่างหนึ่ง ในบทว่า ตาทิโน นี้ มีใจความแม้อย่างนี้ว่า ความโศกทั้งหลายย่อมไม่มีแก่มุนีผู้ประกอบด้วยลักษณะคงที่เห็นปานนี้. 
                บทว่า อุปสนฺตสฺส ได้แก่ ผู้สงบระงับเพราะสงบกิเลสมีราคะเป็นต้นได้. 
                 บทว่า สทา สตีมโต ได้แก่ ผู้ไม่เว้นจากสติ ตลอดกาลเป็นนิตย์ เพราะเป็นผู้ถึงความไพบูลย์แห่งสติ. 
                 สองบทว่า อากาเส อนฺตลิกฺเข ได้แก่ ในอากาศ กล่าวคือกลางหาว, ไม่ใช่อากาศเพิกกสิณ ไม่ใช่อากาศเป็นเครื่องกำหนดรูป. 
                 สองบทว่า จงฺกมติปิ ติฏฺฐติปิ มีความว่า พระจูฬปันถกเถระได้ฟังถ้อยคำของภิกษุณีเหล่านั้น คิดว่า ภิกษุณีเหล่านี้ดูหมิ่นเราว่า พระเถระรูปนี้รู้ธรรมเพียงเท่านี้แหละ, เอาละ! บัดนี้ เราจะแสดงอานุภาพของตนแก่ภิกษุณีเหล่านี้ จึงยังความเคารพมาก ในธรรมให้เกิดขึ้นแล้ว เข้าจตุตถฌานมีอภิญญาเป็นบาท ออกแล้วได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์เห็นปานนี้ คือเดินจงกรมในอากาศกลางหาวบ้าง ฯลฯ หายตัวไปในระหว่างบ้าง. 
                 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนฺตรา ปิธายติ มีความว่า หายตัวไปบ้าง คือไปไม่ปรากฏให้เห็นบ้าง. 
                 ข้อว่า ตญฺเญว อุทานํ ภณติ อญฺญญฺจ พหุํ พุทฺธวจนํ มีความว่า ได้ยินว่า พระเถระถูกให้เรียนคาถานี้ในสำนักของพระเถระผู้เป็นหลวงพี่ของตนว่า 
           ดอกบัวชื่อโกกนุท มีกลิ่นหอม พึงบานแต่เช้า 
           ยังไม่วายกลิ่น ฉันใด, ท่านจงดูพระอังคีรส 
           ผู้รุ่งโรจน์เหมือนดวงอาทิตย์แผดรัศมีรุ่งโรจน์ 
           อยู่ในกลางหาว ฉันนั้น. 
       ได้สาธยายถึง ๔ เดือน แต่ไม่อาจทำให้คล่องแคล่วได้. 
                ครั้งนั้น พระเถระ (หลวงพี่) จึงขับไล่พระจูฬปันถกนั้นไปเสียจากวิหาร ด้วยกล่าวว่า เธอเป็นคนอาภัพในพระศาสนานี้. ท่านได้ยืนร้องไห้อยู่ที่ซุ้มประตู. คราวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูพุทธเวไนยสัตว์ ทอดพระเนตรเห็นท่านแล้ว จึงเสด็จไปใกล้ๆ ท่าน ดุจเสด็จเที่ยวไปยังวิหารจาริก ตรัสว่า จูฬปันถก! เธอร้องไห้ทำไม? ท่านจึงกราบทูลเรื่องราวนั้น. 
                 ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงประทาท่อนผ้าอันสะอาดแก่ท่าน ตรัสว่า เธอจงลูบคลำผ้านี้ว่า ผ้าเช็ดธุลี. ท่านรับว่า สาธุ แล้ว นั่งในที่อยู่ของตนลูบคลำที่สุดด้านหนึ่งแห่งผ้านั้น. ที่ที่ถูกลูบคลำนั้น ได้กลายเป็นสีดำ. ท่านกลับได้ความสลดใจว่า ผ้าชื่อว่าแม้บริสุทธิ์อย่างนี้ อาศัยอัตภาพนี้ กลับกลายเป็นสีดำ ดังนี้แล้วจึงปรารภวิปัสสนา. 
                 ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า ท่านปรารภความเพียร ได้ทรงภาษิตโอภาสคาถานี้ว่า อธิเจตโส เป็นต้น. พระเถระบรรลุพระอรหัตผลในเวลาจบคาถา. เพราะเหตุนั้น พระเถระจึงเคารพรักคาถานี้ ตามปรกติเทียว. ท่านกล่าวคาถานั้นนั่นแล เพื่อให้ทราบความเคารพรักคาถานี้นั้น และนำพุทธพจน์อื่นเป็นอันมากมากล่าวอยู่ในระหว่าง. เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า กล่าวอุทานนั้นนั่นแล และพระพุทธพจน์อย่างอื่นเป็นอันมาก. 
                 สองบทว่า เอกโต อุปสมฺปนฺนาย ได้แก่ ภิกษุณีผู้อุปสมบทในภิกษุณีสงฆ์. แต่เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้กล่าวสอนภิกษุณีผู้อุปสมบทในภิกษุสงฆ์. 
                 บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ตื้นทั้งนั้น. 
                 และแม้สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนปทโสธรรมสิกขาบทนั่นแล.