Translate

10 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๖ เรื่องภิกษุณีภรรยาเก่าของมหาอำมาตย์

     [๑๖๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
    ครั้งนั้น มหาอำมาตย์ผู้หนึ่ง ชื่ออาโรหันตะ ได้บวชอยู่ใน สำนักภิกษุ. ภรรยาเก่าของท่านก็ได้บวชอยู่ในสำนักภิกษุณี.
    ต่อมา ภิกษุนั้นทำภัตกิจในสำนักภิกษุณี นั้น.
    เมื่อภิกษุนั้นกำลังฉันอยู่ ภิกษุณีนั้นได้เข้าไปยืนปฏิบัติอยู่ใกล้ๆ ด้วยน้ำฉันและการพัดวีแล้วกล่าวถ้อยคำเกี่ยวกับการครองเรือนยั่วยวนอยู่ จึงภิกษุนั้นรุกรานนางว่า ดูกรน้องหญิง เธออย่าได้ทำเช่นนี้ ข้อนี้ไม่ควร.
    นางได้กล่าวว่า เมื่อก่อนท่านได้กระทำอย่างนี้ๆ แก่ข้าพเจ้า บัดนี้ เพียงเท่านี้ก็ทนไม่ได้ ครั้นแล้วได้ครอบขันน้ำลงบนศีรษะ ประหารด้วยพัด. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่ง โทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงได้ให้ประหารแก่ภิกษุเล่า 
ทรงสอบถาม
    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีให้ประหารแก่ภิกษุ จริงหรือ?
 ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจึงได้ให้ประหารแก่ ภิกษุเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ ๖๑. ๖. อนึ่ง ภิกษุณีใด เมื่อภิกษุกำลังฉันอยู่ เข้าไปปฏิบัติอยู่ใกล้ๆ ด้วยน้ำฉันหรือด้วยการพัดวี เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีภรรยาเก่าของมหาอำมาตย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    [๑๖๙] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    บทว่า เมื่อภิกษุ ได้แก่ เมื่ออุปสัมบัน.
    บทว่า กำลังฉันอยู่ คือ กำลังฉันโภชนะ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่.
    ที่ชื่อว่า น้ำฉัน ได้แก่ น้ำชนิดใดชนิดหนึ่งสำหรับดื่ม.
    ที่ชื่อว่า การพัดวี ได้แก่ เครื่องโบกแกว่งชนิดใดชนิดหนึ่งสำหรับพัดวี.
    บทว่า เข้าไปปฏิบัติอยู่ใกล้ๆ ความว่า อยู่ในหัตถบาส ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกะปาจิตตีย์
    [๑๗๐] อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน เข้าไปปฏิบัติอยู่ใกล้ๆ ด้วยน้ำฉัน หรือ ด้วยการพัดวี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    อุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย เข้าไปปฏิบัติอยู่ใกล้ๆ ด้วยน้ำฉันหรือการพัดวี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน เข้าไปปฏิบัติอยู่ใกล้ๆ ด้วยน้ำฉันหรือการพัดวี ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ฉักกะทุกกฎ
    ปฏิบัติอยู่นอกหัตถบาส ต้องอาบัติทุกกฏ.
    ภิกษุฉันของเคี้ยว ภิกษุณีเข้าไปปฏิบัติ ต้องอาบัติทุกกฏ.
    เข้าไปปฏิบัติอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
    อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
    อนุสัมบัน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ
    อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร [๑๗๑] ภิกษุณีถวายเอง ๑ ให้คนอื่นถวาย ๑ สั่งอนุปสัมบันให้ปฏิบัติ ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.
อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๖
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๖ พึงทราบดังนี้ :-
บทว่า ภตฺตวิสฺสคฺคํ แปลว่า ภัตกิจ.
    สามบทว่า ปานีเยน จ วิธูปเนน จอุปติฏฺฐิตฺวา ความว่า ยืนเอามือข้างหนึ่งถือขันน้ำ เอามือข้างหนึ่งถือพัด พัดวีอยู่ใกล้ๆ.
    บทว่า อจฺจาวทติ มีความว่า กล่าวถ้อยคำเกี่ยวกับการครองเรือน ละเมิดจารีตของบรรพชิตว่า แม้เมื่อก่อน ท่านก็บริโภคอยู่อย่างนี้ ดิฉันก็ทำการปรนนิบัติท่านอย่างนี้.
    สองบทว่า ยงฺกิญฺจิ ปานียํ มีความว่า น้ำสะอาด หรือน้ำเปรียง นมส้ม น้ำผึ้ง น้ำรส และนมสดเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามที.
    สองบทว่า ยากาจิ วีชนี คือ ชั้นที่สุดแม้ชายจีวร ก็ชื่อว่าพัด.
    ในคำว่า หตฺถปาเส ติฏฺฐติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรับปาจิตตีย์ เพราะการยืนเป็นปัจจัยเท่านั้น. แต่เพราะการประหารเป็นปัจจัย ทรงบัญญัติทุกกฏไว้ในขันธกะ. 
    สองบทว่า เทติ ทาเปติ มีความว่า ภิกษุณีถวายน้ำดื่ม หรือแกงเป็นต้นว่า นิมนต์ท่านดื่มน้ำนี้ นิมนต์ท่านฉันกับแกงนี้เถิด. ถวายพัดใบตาลว่า นิมนต์ท่านพัดด้วยพัดใบตาลนี้ ฉันเถิด หรือว่าสั่งให้ผู้อื่นถวายน้ำดื่มและพัดให้แม้ทั้ง ๒ อย่างไม่เป็นอาบัติ. 
    สองบทว่า อนุปสมฺปนฺนํ อาณาเปติ คือ สั่งสามเณรีเพื่อให้ปฏิบัติไม่เป็นอาบัติ.
 คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
    สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มี

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๕ เรื่องพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี

     [๑๖๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตพระนครกบิลพัสดุ์ สักกชนบท.
    ครั้งนั้น พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงพุทธสำนักถวายบังคมแล้วได้ยืนเฝ้าอยู่ ณ ที่ใต้ลม กราบทูลว่า มาตุคามมีกลิ่นเหม็น พระพุทธเจ้าข้า.
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ภิกษุณีทั้งหลายจงใช้น้ำชำระ แล้วทรงยังพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ครั้นพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี อันพระผู้มีพระภาคโปรดประทานให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว ถวายบังคม
          ทำประทักษิณหลีกไปแล้ว พระองค์จึงทรงกระทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น
        ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตน้ำชำระ แก่ภิกษุณีทั้งหลาย. เรื่องพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี จบ.
 เรื่องภิกษุณีรูปหนึ่ง
    [๑๖๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีรูปหนึ่งทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตน้ำชำระแล้ว จึงใช้น้ำชำระลึกเกินไป ได้ทำให้เกิดแผลขึ้นในองค์รหัส ดังนั้นนางจึงได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย.
    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงได้ใช้น้ำชำระลึกเกินไปเล่า
ทรงสอบถาม
    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีใช้น้ำชำระลึกเกินไป จริงหรือ?
 ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจึงได้ใช้น้ำชำระลึกเกินไปเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
  ก็แลภิกษุณีทั้งหลาย จงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ     ๖๐. ๕. อนึ่ง ภิกษุณีผู้จะใช้น้ำชำระ พึงใช้ชำระลึกเพียงสองข้อองคุลีเป็นอย่างยิ่ง เกินกว่านั้น เป็นอาบัติปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีรูปหนึ่ง จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    [๑๖๕] ที่ชื่อว่า น้ำชำระ ได้แก่ น้ำที่เขาเรียกว่าน้ำสำหรับชำระองค์รหัส.
    บทว่า ผู้จะใช้ คือ ผู้จะชะล้าง.
    คำว่า พึงใช้ชำระลึกเพียงสองข้อองคุลีเป็นอย่างยิ่ง คือ พึงใช้ชำระลึกเพียงสองข้อในสององคุลี เป็นอย่างยิ่ง.
    คำว่า เกินกว่านั้น ความว่า ภิกษุณียินดีสัมผัสให้ล่วงเลยเข้าไป โดยที่สุดแม้ชั่วปลายเส้นผม ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกะปาจิตตีย์
    [๑๖๖] เกินสองข้อองคุลี ภิกษุณีสำคัญว่าเกิน ใช้ชำระ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    เกินสองข้อองคุลี ภิกษุณีสงสัย ใช้ชำระ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    เกินสองข้อองคุลี ภิกษุณีสำคัญว่าไม่ถึง ใช้ชำระ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
 ทุกะทุกกฎ
    ไม่ถึงสองข้อองคุลี ภิกษุณีสำคัญว่าเกิน ต้องอาบัติทุกกฏ.
    ไม่ถึงสองข้อองคุลี ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ    ไม่ถึงสองข้อองคุลี ภิกษุณีสำคัญว่าไม่ถึง ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
    [๑๖๗] ใช้ชำระลึกเพียงสองข้อองคุลี ๑ ใช้ชำระลึกไม่ถึงสองข้อองคุลี ๑ เพราะเหตุอาพาธ ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.
 อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๕
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๕ พึงทราบดังนี้ :-
     ข้อว่า อติคมฺภีรํ อุทกสุทฺธิกํ อาทียติ ได้แก่ กระทำการชำระด้วยน้ำให้เข้าข้างในลึกเกินไป.
    สองบทว่า เกสคฺคมตฺตํปิ อติกฺกาเมติ มีความว่า ภิกษุณีสอดนิ้วมือนิ้วที่ ๓ หรือนิ้วที่ ๔ เข้าไปตามทางยาว ให้เลยทางด้านลึกเกิน ๒ ข้อนิ้วมือไปแม้เพียงปลายเส้นผม เป็นปาจิตตีย์.
    สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีว่า ภิกษุณีย่อมไม่ได้เพื่อจะใช้ข้อนิ้วมือ ๓ ข้อของบางนิ้วชำระ จะใช้นิ้วมือ ๓ หรือ ๔ นิ้ว แม้ข้อเดียวชำระก็ไม่ได้.
บทที่เหลือ ตื้นทั้งนั้น.
    แม้สมุฏฐานเป็นต้นก็เป็นเช่นกับที่กล่าวแล้วในตลฆาฏกสิกขาบทนั้นแล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๔ เรื่องภิกษุณีรูปหนึ่ง

     [๑๖๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
    ครั้งนั้น มีพระสนมเก่าคนหนึ่งบวชอยู่ในสำนักภิกษุณี ภิกษุณีรูปหนึ่งอันความกระสันบีบคั้นแล้ว ได้เข้าไปหาภิกษุณีพระสนมรูปนั้นถึงสำนักแล้วถามว่าแม่เจ้า พระราชาเสด็จไปหาแม่เจ้านานๆ ครั้ง แม่เจ้าดำรงอยู่ได้ด้วยอาการอย่างไร?
    ภิกษุณีพระสนมตอบว่า ด้วยท่อนยางเกลี้ยงๆ จ๊ะ.
    ภิกษุณีนั้นซักว่า ท่อนยางเกลี้ยงนั่นเป็นอย่างไร?
    จึงภิกษุณีพระสนมนั้นได้บอกท่อนยางเกลี้ยงแก่ภิกษุณีนั้น ภิกษุณีนั้นใช้ท่อนยางเกลี้ยงแล้วลืมล้างวางทิ้งไว้ ณ ที่ข้างหนึ่ง. ภิกษุณีทั้งหลายเห็นท่อนยางเกลี้ยงมีหมู่แมลงวันตอม จึงพูดเป็นเชิงถามว่า นี่การกระทำของใคร?
    ภิกษุณีนั้นกล่าวตอบอย่างนี้ว่า นี้เป็นการกระทำของดิฉัน. 
    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงได้ใช้ท่อนยางเกลี้ยงๆ เล่า
ทรงสอบถาม
    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีใช้ท่อนยางเกลี้ยงๆ จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจึงได้ใช้ท่อนยางเกลี้ยงๆ เล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
         ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ     ๕๙. ๔. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะใช้ท่อนยางเกลี้ยงๆ เรื่องภิกษุณีรูปหนึ่ง จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    [๑๖๑] ที่ชื่อว่า ท่อนยางเกลี้ยงๆ ได้แก่ วัตถุที่ทำขึ้นด้วยยาง ทำขึ้นด้วยไม้ ทำขึ้นด้วยแป้ง ทำขึ้นด้วยดิน.
    ภิกษุณียินดีสัมผัส สอดวัตถุโดยที่สุดแม้กลีบอุบล เข้าไปสู่องค์รหัส ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อนาปัตติวาร     [๑๖๒] มีเหตุอาพาธ ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.
อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๒
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๔ พึงทราบดังนี้;-
    บทว่า ปุราณราโชโรโธ ได้แก่ เป็นพระสนมของพระเจ้าแผ่นดินในกาลก่อน คือในคราวเป็นคฤหัสถ์.
    สองบทว่า จิราจิรํ คจฺฉติ คือ นานๆ พระราชาจึงจะเสด็จมา.
    บทว่า ธาเรถ คือ แม่เจ้าอาจ (ดํารงอยู่ได้อย่างไร?). เมื่อพวกภิกษุณีถามว่า นี้กรรมของใคร? ภิกษุณีนั้นเข้าใจว่า แม้เมื่อเราไม่บอก ภิกษุณีเหล่านี้ก็จักทําความระแวงสงสัยในเรา จึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า นี้เป็นการกระทําของดิฉัน.
    บทว่า ชตุมฏฺฐเก ได้แก่ ท่อนเกลี้ยงๆ ทําด้วยยาง.
    บทว่า ชตุมฎฺฐเก นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอํานาจแห่งเรื่องเท่านั้น. แต่เมื่อสอดท่อนกลมๆ อย่างใดอย่างหนึ่งเข้าไปเป็นอาบัติทั้งนั้น.
    ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสว่า ชั้นที่สุด สอดแม้กลีบอุบลเข้าไปสู่องค์รหัสและแม้กลีบอุบลนี้ ก็โตเกินไป แต่เมื่อสอดแม้เพียงเกสรเข้าไปก็อาบัติเหมือนกัน.
บทที่เหลือ ตื้นทั้งนั้น.
    สมุฏฐานเป็นต้นก็เป็นเช่นกับที่กล่าวแล้วในตลฆาฏกสิกขาบทนั้นแล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๓ เรื่องภิกษุณี ๒ รูป

     [๑๕๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
    ครั้งนั้น ภิกษุณี ๒ รูปอันความกระสันบีบคั้นแล้วเข้าห้องน้อยแล้วทำการสัมผัสบริเวณองค์รหัสกัน.   ภิกษุณีทั้งหลายพรูกันเข้ามาตามเสียงสัมผัสนั้นแล้วได้ถามสองภิกษุณีนั้นดังนี้ว่า แม่เจ้าทั้งหลาย เหตุไฉนพวกท่านจึงทำมิดีมิร้ายกับบุรุษ.
    ภิกษุณีสองรูปนั้นตอบว่า แม่เจ้าทั้งหลาย พวกดิฉันมิได้ทำมิดีมิร้ายกับบุรุษ ภิกษุณีสองรูปนั้นได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย.
    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ทำการสัมผัสบริเวณองค์รหัสกันเล่า
ทรงสอบถาม     พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุณีทำการสัมผัสบริเวณองค์รหัสกัน จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ทำการสัมผัสบริเวณองค์รหัสกันเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ ๕๘. ๓. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะสัมผัสบริเวณองค์รหัส. เรื่องภิกษุณี ๒ รูป จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    [๑๕๘] ที่ชื่อว่า สัมผัสบริเวณองค์รหัส คือ ภิกษุณียินดีสัมผัสให้ตบที่องค์รหัส โดยที่สุดแม้ด้วยกลีบบัว ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อนาปัตติวาร
    [๑๕๙] มีเหตุอาพาธ ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.
อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๒
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๓ พึงทราบดังนี้ :-
    บทว่า ตลฆาฏเก คือ ในเพราะสัมผัสบริเวณองค์รหัส (ในเพราะสัมผัสบริเวณทวารเบา).
    ในคำว่า อนฺตมโส อุปฺปลปตฺเตนปิ นี้ มีวินิจฉัยว่า กลีบบัวค่อนข้างจะโตไป. เมื่อให้ตบแม้ด้วยเกสรบัว ก็เป็นอาบัติเหมือนกัน.
    บทว่า อาพาธปจฺจยา มีความว่า จะตบฝี หรือแผล ควรอยู่.
บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
    สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิก เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๒ ฉะนี้แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๒ เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์

     [๑๕๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
    ครั้งนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ ให้ถอนขนในที่แคบ แล้วเปลือย กายอาบน้ำท่าเดียวกันกับหญิงแพศยา ในแม่น้ำอจิรวดี.
    พวกหญิงแพศยาพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ให้ถอนขนในที่แคบเหมือนพวกหญิงคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินหญิงแพศยาพวกนั้นพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่.
    บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้ให้ถอนขนในที่แคบ
ทรงสอบถาม     พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ ให้ถอนขนในที่แคบ จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้ให้ถอนขนในที่แคบเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ     ๕๗. ๒. อนึ่ง ภิกษุณีใด ให้ถอนขนในที่แคบ เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ.
 สิกขาบทวิภังค์
    [๑๕๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่าผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    ที่ชื่อว่า ที่แคบ ได้แก่ รักแร้ทั้งสอง บริเวณทวารเบา.
    บทว่า ให้ถอน คือให้ถอนขนแม้เส้นเดียว ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ให้ถอนขนแม้หลายเส้น ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อนาปัตติวาร
    [๑๕๖] มีเหตุอาพาธ ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.
อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๒
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๒ พึงทราบดังนี้ :-
    บทว่า สมฺพาเธ คือ โอกาสที่กำบัง. ก็เพื่อแสดงจำแนก โอกาสที่กำบัง (ที่ลับ) นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อุโภ อุปกจฺฉกา มุตฺตกรณํ แปลว่า รักแร้ทั้ง ๒ บริเวณทวารเบา.
    สองบทว่า เอกมฺปิ โลมํ มีความว่า ภิกษุณีให้ถอนขนเส้นเดียวหรือมากเส้น โดยประโยคเดียว ด้วยกรรไกรก็ดี ด้วยแหนบก็ดี ด้วยของคม อย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี เป็นปาจิตตีย์มากตัว โดยการนับประโยค ไม่ใช่โดยนับเส้นขน.
    บทว่า อาพาธปจฺจยา ได้แก่ ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุณีผู้ให้ถอน เพราะอาพาธ มีฝีและหิดเป็นต้นเป็นปัจจัย. 
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
    สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๔ เกิดขึ้นทางกาย ๑ ทางกายกับวาจา ๑ ทางกายกับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๑ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

     แม่เจ้าทั้งหลาย ก็ธรรมคือปาจิตตีย์ ๑๖๖ สิกขาบทเหล่านี้แล มาสู่อุเทศ.
เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา
   [๑๔๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
    ครั้งนั้น อุบาสกคนหนึ่งได้ปวารณากระเทียมไว้แก่ภิกษุณีสงฆ์ว่า แม่เจ้าเหล่าใดต้องการกระเทียม กระผมขอปวารณา. และยังได้สั่งคนเฝ้าไร่ไว้ด้วยว่า ถ้าภิกษุณีทั้งหลายมาขอ จงถวายท่านไปรูปละ ๒-๓ กำ.
    ก็สมัยนั้นแล ในเมืองสาวัตถีกำลังมีงานมหรสพ. กระเทียมเท่าที่เขานำมาขายได้หมด ขาดคราว. ภิกษุณีทั้งหลายพากันเข้าไปหาอุบาสกคนนั้น แล้วได้กล่าวคำนี้ว่า อาวุโส พวกอาตมาต้องการกระเทียม
    อุบาสกกล่าวว่า ไม่มี เจ้าข้า กระเทียมเท่าที่นำมาแล้วหมด ขาดคราว ขอท่านทั้งหลายได้โปรดไปที่ไร่
    ภิกษุณีถุลลนันทาได้ไปที่ไร่ ขนกระเทียมไปมาก ไม่รู้จักประมาณ. คนเฝ้าไร่จึงเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายไปถึงไร่แล้วจึงไม่รู้จักประมาณ ขนกระเทียมไปมากมายเล่า.
    ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนเฝ้าไร่เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงไม่รู้จักประมาณ ขนกระเทียมเอาไปมากมายเล่า.
 ทรงสอบถาม     พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทาไม่รู้จักประมาณ ขนกระเทียมไปมากมาย จริงหรือ?
  ภิกษุณีทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาจึงได้ไม่รู้จักประมาณ ขนกระเทียมเขาไปมากมาย การกระทำของนางนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชน
    ที่เลื่อมใสแล้วโดยที่แท้ การกระทำของนางนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
    [๑๔๘] พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุณีถุลลนันทา โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ทรงกระทำธรรมีกถาอันสมควรแก่เรื่องนั้น อันเหมาะสมแก่เรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วตรัสเล่ากะภิกษุทั้งหลายว่า
เรื่องหงส์ทอง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เรื่องเคยมีมาแล้ว ภิกษุณีถุลลนันทาได้เคยเป็นปชาบดีของพราหมณ์คนหนึ่ง มีธิดา ๓ คน ชื่อนันทา ๑ นันทวดี ๑ สุนทรีนันทา ๑ ครั้นพราหมณ์สามีทำลายขันธ์ไปบังเกิดในกำเนิดหงส์ตระกูลหนึ่ง มีขนเป็นทองทั้งตัว หงส์นั้นสลัดขนให้แก่สตรีเหล่านั้นคนละขน แต่ภิกษุณีถุลลนันทาคิดว่า หงส์ตัวนี้สลัดขน
    ให้แก่พวกเราคนละขนเท่านั้น แล้วได้จับพระยาหงส์นั้นถอนขนจนเกลี้ยง ขนพระยาหงส์นั้นที่งอกใหม่ได้กลายเป็นสีขาวไป. 
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นภิกษุณีถุลลนันทาได้เสื่อมจากทองเพราะความโลภจัด มาบัดนี้ เสื่อมจากกระเทียม.
    [๑๔๙] ได้สิ่งใดแล้ว ควรยินดีด้วยสิ่งนั้น เพราะความโลภจัดเป็นเหตุให้เสื่อม เหมือนภิกษุณีถุลลนันทาจับพระยาหงส์ถอนขนแล้ว เสื่อมจากทองฉะนั้น.
    [๑๕๐] พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุณีถุลลนันทา โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ     ๕๖. ๑. อนึ่ง ภิกษุณีใด ฉันกระเทียม เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    [๑๕๑] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    ที่ชื่อว่า กระเทียม ได้แก่ กระเทียมที่เขาเรียกกันว่าเกิดในแคว้นมคธ.    ภิกษุณีรับประเคนด้วยหมายใจว่า จักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ กลืนกิน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน.
บทภาชนีย์
ติกะปาจิตตีย์
    [๑๕๒] กระเทียม ภิกษุณีสำคัญว่ากระเทียม ฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์    กระเทียม ภิกษุณีสงสัย ฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.    กระเทียม ภิกษุณีสำคัญว่าไม่ใช่กระเทียม ฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกะทุกกฎ  ไม่ใช่กระเทียม ภิกษุณีสำคัญว่ากระเทียม ต้องอาบัติทุกกฏ.  ไม่ใช่กระเทียม ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
ไม่ต้องอาบัติ  ไม่ใช่กระเทียม ภิกษุณีสำคัญว่า ไม่ใช่กระเทียม ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
    [๑๕๓] กระเทียมเหลือง ๑ กระเทียมแดง ๑ กระเทียมเขียว ๑ กระเทียมต้นไม่มีเยื่อ ๑ กระเทียมที่ปรุงลงในแกง ๑ กระเทียมที่ปรุงลงในเนื้อ ๑ กระเทียมเจียวน้ำมัน ๑ กระเทียมที่ปรุงลงในน้ำพุทรา ๑ กระเทียมที่ปรุงลงในแกงอ่อม ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.
อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๑ อรรถกถาขุททกัณฑ์
    ธรรมเหล่าใด รวบรวมได้ ๑๖๖ ข้อ ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ ทั้งหลายร้อยกรองไว้ ในลําดับแห่งติงสกกัณฑ์ บัดนี้จะพรรณนาธรรม    แม้เหล่านั้นดังต่อไปนี้.
   ในบรรดา ๙ วรรคนั้น พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑ แห่งลสุณวรรคก่อน. [ว่าด้วยเรื่องภิกษุณีฉันกระเทียม]     สามบทว่า เทฺว ตโย ภณฺฑกา ได้แก่ จุกกระเทียม ๒-๓ จุก
    คําว่า โปฏฺฏลเก นี้ เป็นชื่อของกระเทียมมีเยื่อในสมบูรณ์.
    สองบทว่า น มตฺตํ ชานิตฺวา มีความว่า (ภิกษุณีถุลลนันทานั้น) ไม่รู้จักประมาณ เมื่อคนเฝ้าไร่ห้ามปรามอยู่ ใช้ให้ (พวกภิกษุณี) ขนเอากระเทียมมาเป็นอันมาก.
    สองบทว่า อญฺญตรํ หํสโยนึ ได้แก่ กําเนิดหงส์ทอง.
    สามบทว่า โส ตาสํ เอเกกํ มีความว่า หงส์นั้นเป็นสัตว์ระลึกชาติได้. ดังนั้นจึงมาหาด้วยความรักในก่อน แล้วสลัดขนให้แก่สตรีเหล่านั้นคนละขน. ขนนั้นเป็นทองคําแท้ ควรแก่การหลอมการทุบและตัดได้.
    บทว่า มาคธิกํ แปลว่า เกิดแล้วในแคว้นมคธ.
    จริงอยู่ เฉพาะกระเทียมที่เกิดในแคว้นมคธ ท่านประสงค์เอาว่า ลสุณํ ในสิกขาบทนี้. แม้กระเทียมนั้นเป็นกระเทียมที่มีเยื่อในสมบูรณ์ ไม่ใช่กระเทียมที่มีเยื่อในเพียงกลีบหรือ ๒-๓ กลีบ. แต่ในกุรุนทีท่านไม่กล่าวถึงประเทศที่เกิด กล่าวว่า กระเทียมมีเยื่อในสมบูรณ์ ชื่อว่า กระเทียมมคธ.
    ในคําว่า อชฺโฌหาเร อชฺโฌหาเร นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
    ถ้าภิกษุณีรวบรวมกระเทียม ๒-๓ จุกเข้าด้วยกันเคี้ยวกลืนกิน เป็นปาจิตตีย์ตัวเดียว แต่เมื่อภิกษุณีบิออกกินทีละกลีบ เป็นปาจิตตีย์มากตัว ด้วยการนับประโยคแล.
    บัณฑิตพึงทราบความแตกต่างกันแห่งกระเทียมเหลืองเป็นต้น โดยสีหรือโดยเยื่อใน. ว่าด้วยสีก่อน ชื่อว่า กระเทียมเหลือง ย่อมมีสีเหลือง กระเทียมแดง มีสีแดง กระเทียมเขียวมีใบสีเขียว.
    แต่ว่าโดยเยื่อใน (หรือกลีบ) กระเทียมเหลืองมีเยื่อในชั้นเดียว. กระเทียมแดงมีเยื่อใน ๒ ชั้น. กระเทียมเขียวมีเอื่อใน ๓ ชั้น กระเทียมต้น ไม่มีเยื่อใน.
    จริงอยู่ กระเทียมนั้น เป็นเพียงหน่อเท่านั้น. แต่ในมหาปัจจรีเป็นต้นกล่าวไว้ว่า กระเทียมเหลืองมีเยื่อใน (มีกลีบ) ๓ ชั้น กระเทียมแดงมีเยื่อใน ๒ ชั้น กระเทียมเขียวมีเยื่อในชั้นเดียว. กระเทียมเหลืองเป็นต้นนั่น ย่อมควร โดยสภาพทีเดียว.
    แต่ในการต้มแกงเป็นต้น แม้กระเทียมมคธก็ควร. ความจริง จะใส่กระเทียมมคธนั้นลง ในแกงถั่วเป็นต้นซึ่งกําลังแกงก็ดี ในกับข้าวชนิดที่ปรุงด้วยปลาเนื้อก็ดี ในนํ้ามันก็ดี
  ในนํ้าปานะมีนํ้าพุทราเป็นต้นก็ดี ในแกงผักดองที่เปรี้ยวเป็นต้นก็ดี ในแกงอ่อมก็ดี ในแกงอย่างใดอย่างหนึ่ง ชั้นที่สุดแม้ในยาคูและภัตก็ควร.
คําที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
    สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.