สัทธรรมปุณฑริกสูตร พระสูตร พระไตรปิฎก -ดูหนังกลางแปลง- Abhidhamma Pitaka Sutta Pitaka Watch a movie

Translate

27 เมษายน 2568

Taoist Master (2020) นักพรตจางแห่งหุบเขามังกรพยัคฆ์

นักพรตจางแห่งหุบเขามังกรพยัคฆ์ พ.ศ. 2563 ‧ แอคชั่น/ชีวิต ‧ 1 ชม. 31 นาที
  Overview  Watch movie  Reviews

Search Resul
นักแสดง

ฝาน เส้าหวง
Zhang Daoling
จาง ดอง
Dongfeng Yue
มาโอะ ซู
Lubing Li
Zhenfeng Sun
Yichen Liu
เทอร์รี แฟน
Wang Huilai
維基百科 UzunhuşhanÇin'in Jiangxi Eyaletindeki Dağlar  Eksik ไทย sürümü
ภูเขาในมณฑลเจียงซี ประเทศจีนขาดเวอร์ชั่นภาษาไทย
 การแปลอัตโนมัติ เขตท่องเที่ยวหยิงถาน หลงหูซาน ภูมิภาคเจียงซี   ที่ตั้ง  ประเทศจีน ( เอเชียและแปซิฟิ) มาตรฐาน ธรรมชาติ<
★★★★★ 6.4ปีที่ฉาย : 2020 ความยาว : 1 ชั่วโมง 31 นาที คุณภาพ : HD เสียง : พากย์ไทย เรื่องย่อ: นักพรตจางแห่งหุบเขามังกรพยัคฆ์ นักพรตจางแห่งหุบเขามังกรพยัคฆ์ ภาพยนตร์จีนย้อนยุคแอ็คชั่นแฟนตาซีปี 2020 เล่าเรื่องราวในเขตพื้นที่ปาสู่ (มณฑลเสฉวน) ถูกวิชาไสยศาสตร์เข้าครอบงำ หมอผีทำพิธีหวังยึดครองอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดิน นักพรตถูกดึงให้เข้าไปพัวพันกับแผนร้ายสะท้านปฐพี ใคร่ถามว่า ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะกิเลสในใจได้จริง ๆ หรือ
iQiYi (Adventure)หนังจีน (Fantasy)แอคชั่น (Action)
ภูเขาหลงหูตั้งอยู่ในเมืองกุ้ยซี มณฑล เจียงซี ห่างจาก เมืองหยิงถานประมาณ 20 กิโลเมตร มี ลักษณะภูมิประเทศเป็นยอดเขาตันเซียและมีป่าไม้ ยอดเขาหลักคือยอดเขาหลงหู มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 247.4 เมตร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานธรณีวิทยาแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2544 และเป็นส่วนหนึ่งของ “ ตันเซียของจีน ” ในปี พ.ศ. 2553 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก ที่นี่เป็นสถานที่เกิดที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของลัทธิเต๋า มีวัดเต๋า หลายแห่ง สร้างขึ้นบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดเจิ้งอี้เต้าคฤหาสน์สีหานเทียนซีและพระราชวังต้าซางชิง เป็นที่รู้จักกันว่าเป็น หนึ่งใน สี่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋า
ภูเขาหลงหูยังมีมรดกทางวัฒนธรรมอันอุดมสมบูรณ์อีกด้วยสุสานหน้าผา Xianshuiyanที่ถูกทิ้งร้างโดยชาว Yue โบราณ เมื่อกว่า 2,000 ปีก่อน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยอนุรักษ์โบราณวัตถุสำคัญระดับชาติ ชาวเยว่ในสมัยโบราณจะนำศพของตนไปฝังไว้ในโลงศพที่แขวนอยู่บนหน้าผา ในช่วงกลางของ ราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจางหลิงผู้ก่อตั้งนิกายข้าวห้าเม็ดเคยปรุงยาอายุวัฒนะที่นี่ ตำนานเล่าขานว่า “เมื่อน้ำยาอายุวัฒนะสำเร็จ มังกรและเสือก็ปรากฏตัวขึ้น และภูเขาแห่งนี้จึงได้ชื่อมาจากสิ่งนี้” จางเฉิง เหลนชายของจางหลิงได้ตั้งรกรากที่นี่ ในช่วง สามก๊กหรือราชวงศ์จิ้นตะวันตก และก่อตั้ง บ้านปรมาจารย์สวรรค์ผู้สืบทอดราชวงศ์ฮั่นได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นและมีชื่อเสียงในชื่อจางเทียนซี

ภูเขาที่มีชื่อเสียงของลัทธิเต๋า

ศาลาเซียนสุ่ยเอี้ยนเฟยหยุน
วัดเต๋าแห่งแรกในภูเขาหลงหูคือ วัด เจิ้ นเซียนซึ่งสร้างขึ้นในช่วงยุค ฮุ่ยชาง (841-846) ของราชวงศ์ถัง วัดเต๋าแห่งเดียวที่มีจารึกโบราณที่ชัดเจนคือ วัดจางเทียนซีซึ่งสร้างขึ้นใน ปี ที่แปด ของจักรพรรดิเป่าต้าในราชวงศ์ถังทางตอนใต้ (ค.ศ. 950)  ลัทธิเต๋าเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ บนภูเขาหลงหู ในช่วงราชวงศ์ซ่งโดยมีวัดเต๋าที่มีชื่อเสียงได้แก่ พระราชวังซ่างชิงและวัดเจิ้งอี้ในราชวงศ์หยวน จาง เทียน ซือได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำนิกายเจิ้งอี้ และได้รับหน้าที่ดูแลเครื่องรางของ ภูเขาทั้งสามแห่ง (ภูเขาหลงหู ภูเขา เหมาซานและภูเขาเกอจ้าว ) ในรัชสมัยจักรพรรดิ คังซีแห่งราชวงศ์ ชิงพระราชวังซ่างชิง ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็นพระราชวังต้าซ่างชิง โดยมีจารึกของ จักรพรรดิคังซี
เมื่อลัทธิเต๋าเจริญรุ่งเรืองในพื้นที่หลงหูซาน พระราชวังเต๋า 10 แห่ง วัดเต๋า 81 แห่ง อารามเต๋า 50 แห่ง และสำนักชีเต๋า 10 แห่งได้ถูกสร้างขึ้นต่อเนื่องกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรือง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ยุคใหม่เป็นต้นมา ภูเขาหลงหูก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมลง และพระราชวังและวัดส่วนใหญ่ก็ถูกทิ้งร้างมานานแล้ว มีเพียงแห่งเดียวที่ยังคงรักษารูปลักษณ์เก่าแก่เอาไว้ได้คือคฤหาสน์เทียนซี
ชื่อเต็มของคฤหาสน์เทียนซื่อคือ “ ผู้สืบทอดคฤหาสน์ฮั่น เทียนซื่อ ” ตั้งอยู่ บริเวณกลางของ เมืองซ่างชิง เป็นที่พำนักของจางเทียนซีต่อกันมาหลายชั่วรุ่น อาคารที่มีอยู่ส่วนใหญ่ได้รับการสร้างขึ้นใหม่ในสมัยราชวงศ์ชิงและยุคปัจจุบัน การปรับปรุงครั้งใหญ่ล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1990 นอกจากนี้ยังมีจารึกบนศิลาจารึก Renjing Zhenren ในลานบ้านด้วย ( เขียนโดย Zhao Mengfuซึ่งปัจจุบันเป็นหน่วยอนุรักษ์โบราณวัตถุในมณฑลเจียงซี พระราชวังซ่างชิงและวัดเจิ้งอี้ได้รับการสร้างใหม่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันพระราชวังซ่างชิงเก็บรักษาระฆังสำริดของพระราชวังซ่างชิง (หน่วยอนุรักษ์โบราณวัตถุในมณฑลเจียงซี)

ภูมิประเทศตันเซีย

ลักษณะภูมิประเทศของตันเซียในภูเขาหลงหูมีสาเหตุหลายประการ มีลำดับภูมิประเทศ Danxia ที่สมบูรณ์ตั้งแต่วัยเด็ก วัยกลางคน จนถึงวัยชรา โดยมีภูมิประเทศ Danxia 23 ประเภท รวมถึงกำแพงยอดเขา ป่าหิน และกลุ่มยอดเขา ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2544 ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอุทยานธรณีวิทยาแห่งชาติ แห่งแรกๆ ของประเทศ จีน ในปี พ.ศ. 2550 ภูเขาหลงหูซานและภูเขากุ้ยเฟิง ซึ่ง อยู่ห่างออกไปกว่า 40 กิโลเมตร ได้ร่วมกันยื่นขอเสนอชื่ออุทยานธรณีโลกและได้รับเลือก
มรดกโลก
ในปี 2009 ภูเขาหลงหู (รวมถึงกุ้ยเฟิง ) ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ " ตันเซียของจีน " ร่วมกับลักษณะ ภูมิประเทศตันเซียแบบทั่วไปอีก 6 แห่งในฉีสุ่ย กุ้ยโจ ว เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553 การประชุมมรดกโลกครั้งที่ 34 ได้อนุมัติการรวม “ตันเซียของจีน” ไว้ใน รายชื่อ มรดกโลกทางธรรมชาติ
ภูเขา หลงหู คฤหาสน์ของปรมาจารย์ ลัทธิเต๋า เก็บถาวรจาก แหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-18ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
โลงศพแขวนที่หลงหูซาน (ภูเขาเสือมังกร) เก็บถาวรจากแหล่งเดิมเมื่อ2009-03-18ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  1. ^
     ชีวประวัติของจางเฉิน ในเล่มที่ 6 ของบันทึกหลงหูซานที่เขียนโดยโหลว จินหยวนในราชวงศ์ ชิงระบุว่า: "เฉินรุ่นที่ 20 ซึ่งมีชื่อสุภาพว่าจื่อเจี้ยน ได้รับการเรียกตัวโดยจักรพรรดิ์อู่จงในช่วงฮุ่ยชางของราชวงศ์ถัง และได้รับแท่นบูชาที่มีจารึกว่าเจิ้นเซียนกวน"
  2. ^
     จารึกบนวัดจางเทียนซื่อที่เพิ่งสร้างใหม่บนเขาหลงหูในซินโจว เขียนโดยเฉินเกียว แห่งราชวงศ์ถังตอนใต้:"เมื่อเต๋าจะแผ่ขยายออกไป จะต้องบูชาเสียก่อน ดังนั้นจักรพรรดิจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่สร้างวัดใหม่สำหรับเทียนซื่อบน เขาหลงหู ในซินโจว "
  3. ^
     เจียงซี หลงหูซานได้รับการจัดอันดับให้เป็นอุทยานธรณีวิทยาของโลก[ 2011-07-17 ] . (原始内容存档于2011-09-27).
  4. ^ 
    ภูมิประเทศตันเซียของจีนถูก “รวบรวม” เพื่อยื่นขอเป็น “มรดกโลกทางธรรมชาติ ” ซินหัวเน็ต[ 2552-11-17] . ( เก็บถาวรจากแหล่งเดิมเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2552) (ภาษาจีน (ตัวย่อ) )
  5. ^
     ศูนย์มรดกโลก ยูเนสโก. จีน ตันเซีย ศูนย์มรดกโลก ยูเนสโก[ 2021-03-15 ] . เก็บถาวรจากแหล่งดั้งเดิมเมื่อ 19 พฤษภาคม2021
維基文庫中的相關文本:“หนังสือโบราณและสมัยใหม่ครบชุด·หนังสือภูมิศาสตร์·หนังสือคลาสสิกเรื่องภูเขาและแม่น้ำ·ส่วนภูเขาหลงหู ” จาก หนังสือ โบราณและสมัยใหม่ครบชุด ของ เฉิน เหมิงเล่ย
  • เว็บไซต์การท่องเที่ยวหลงหูซาน ( หน้าเพจถูกเก็บถาวรและเก็บรักษาไว้ในInternet Archive )
  • แหล่งข้อมูลมัลติมีเดียที่เกี่ยวข้องบนWikimedia Commons : Longhushan
  •  คู่มือการเดินทาง วิกิโวเอจไปยังหลงหูซาน
ภูมิประเทศตันเซียถูกกำหนดให้เป็น "ภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็นชั้นดินสีแดงและมีหน้าผาสูงชัน" ได้รับการตั้งชื่อครั้งแรกโดย Feng Jinglanและคนอื่นๆ ในระหว่างการสืบสวนใน ภูเขาDanxia ใน เขต Renhua เมือง Shaoguan มณฑลกวางตุ้ง เมื่อปี พ.ศ. 2471  ภูมิประเทศตันเซียเกิดจากชั้นหินสีแดงที่ทับถมลงในแอ่งภายใน ในช่วงหลายล้านปีของการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ชั้นหินนี้ถูกตัดและกัดเซาะโดยน้ำ ก่อตัวเป็นกลุ่มภูเขาสีแดง
“หน้าผาสีแดง” เป็นลักษณะเฉพาะของภูมิประเทศตันเซีย (ถ่ายภาพที่ภูเขาตันเซีย ในกวางตุ้ง )
ภูมิประเทศ Danxia ถ่ายภาพในอุทยานธรณีวิทยาแห่งชาติ Zhangye Danxia
ภูมิประเทศของตันเซียกระจายอยู่ส่วนใหญ่ในประเทศจีนทาง ตะวันตก ของสหรัฐอเมริกายุโรปกลางและออสเตรเลียโดยมีการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวางที่สุดในประเทศจีน ณ วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2551 มีการค้นพบลักษณะภูมิประเทศตันเซียจำนวน 790 แห่งในจีน ซึ่งกระจายอยู่ใน 26 จังหวัดและภูมิภาค
ในปี 2009 กลุ่ม " Danxia ของจีน " ซึ่งประกอบด้วยภูเขา Danxia ในมณฑลกวางตุ้ง Chishui ในกุ้ย โจวLongshanและภูเขา WanfoในหูหนานTainingในมณฑลฝูเจี้ยนLonghu MountainและGuifengในมณฑลเจียงซี และ Fangyanและภูเขา Jianglang ในเจ้อเจียง กลายเป็น โครงการเดียวที่ได้รับการเสนอชื่อจากจีนให้รับสถานะมรดกโลก ใน ปี นั้น [ 2 ]ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2553 การประชุมมรดกโลกของสหประชาชาติได้ตัดสินใจให้ " จีนตันเซีย " เป็นแหล่งมรดกทางธรรมชาติของโลกทำให้เป็นแหล่งมรดกทางธรรมชาติหรือทางวัฒนธรรมแห่งที่ 40 ของจีน
จาก “ สระดอกไม้ ” ของCao Pi :
   คลองทั้งสองแห่งนี้ชลประทานซึ่งกันและกัน และมีต้นไม้สวยงามล้อมรอบแม่น้ำกิ่งไม้เตี้ยๆปัดปลิวไปตามเรือนยอด ที่ปกคลุมไปด้วยขนนก และกิ่งไม้ยาวๆ ก็ลมแรงพัดดุมล้อ และนกก็บินผ่านหน้าฉันพระจันทร์สว่างไสวอยู่ระหว่างเมฆ สีแดง และดวงดาวก็ปรากฏออกมาจากเมฆท้องฟ้าเปล่งประกายด้วยสี 5 สี ช่างสดใสจริงๆ!
^ 1.0 1.1ย้ายไปที่: ในปีพ.ศ. 2471 เฟิงจิงหลานและคนอื่นๆ ได้ค้นพบลักษณะภูมิประเทศตันเซียในเขตเหรินฮวา ทางตอนเหนือของมณฑลกวางตุ้ง เครือข่าย National Geographic ของประเทศจีน[ 2552-11-14 ] . (原始内容存档于2020-08-09)(中文(简体)) .
 ^ ภูมิประเทศตันเซียของจีนถูก “รวบรวม” เพื่อยื่นขอเป็น “มรดกโลกทางธรรมชาติ ” ซินหัวเน็ต[ 2552-11-17 ] . ( เก็บถาวรจากแหล่งเดิมเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2552) (ภาษาจีน (ตัวย่อ) )
^ จีน ตันเซีย ถูกขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ[ ลิงก์ไม่ถูกต้องถาวร ]
มาโนช ทองแย้ม Quand j'étais mendiant Ту имрӯз чӣ корҳо дорӣ? 4/27/2568 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
Labels: 🌛

20 เมษายน 2568

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑๓. เตวิชชสูตร] ว่าด้วยเรื่องไตรเพท

Tweet 👉 โดย : mount lyell shrew    🙏 Be successful. A Prayer for Generosity  พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๑๓. เตวิชชสูตร ว่าด้วยเรื่องไตรเพท
[๕๑๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
 สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นโกศล พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เสด็จถึงหมู่บ้านพราหมณ์ของชาวโกศลชื่อมนสากฏะประทับอยู่ ณ อัมพวัน ใกล้ฝั่งแม่น้ำอจิรวดี ด้านเหนือหมู่บ้านมนสากฏะ
 [๕๑๙] สมัยนั้น ในหมู่บ้านมนสากฏะ มีพราหมณ์มหาศาลผู้มีชื่อเสียง มาพักอาศัยอยู่หลายคน คือ ๑- จังกีพราหมณ์ ตารุกขพราหมณ์ โปกขรสาติพราหมณ์ชาณุสโสณิพราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์ ๑- และยังมีพราหมณ์มหาศาลผู้มีชื่อเสียง
คนอื่นๆ อีก
 [๕๒๐] ครั้งนั้น วาเสฏฐมาณพกับภารัทวาชมาณพไปเดินเล่น สนทนากันในเรื่องทางและไม่ใช่ทาง วาเสฏฐมาณพกล่าวอย่างนี้ว่า “ทางที่โปกขรสาติพราหมณ์บอกไว้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นทางเดินตรงไป เป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมได้” ฝ่ายภารัทวาชมาณพกล่าว
      อย่างนี้ว่า “ทางที่ตารุกขพราหมณ์บอกไว้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นทางเดินตรงไป เป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมได้” วาเสฏฐมาณพไม่อาจให้ภารัทวาชมาณพยินยอมได้ ฝ่ายภารัทวาชมาณพก็ไม่อาจให้วาเสฏฐมาณพยินยอมได้เช่นกัน
 [๕๒๑] วาเสฏฐมาณพจึงบอกภารัทวาชมาณพว่า “ภารัทวาชะ ก็พระสมณโคดมพระองค์นี้เป็นศากยบุตร ผนวชแล้วจากศากยตระกูล ประทับอยู่ที่อัมพวันใกล้ฝั่งแม่น้ำอจิรวดี ด้านเหนือหมู่บ้านมนสากฏะ ท่านพระโคดมนั้นมีกิตติศัพท์อัน

@เชิงอรรถ : @๑-๑  จังกีพราหมณ์อยู่ที่หมู่บ้านโอปาสาทะ ตารุกขพราหมณ์อยู่ที่หมู่บ้านอิจฉานังคละ โปกขรสาติพราหมณ์ @อยู่ที่เมืองอุกกัฏฐะ ชาณุสโสณิพราหมณ์อยู่ที่กรุงสาวัตถี โตเทยยพราหมณ์อยู่ที่หมู่บ้านตุทิ @(ที.สี.อ. ๕๑๙/๓๓๒) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๓๐}

  พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑๓. เตวิชชสูตร] ว่าด้วยเรื่องทางและไม่ใช่ทาง

 งามขจรไปอย่างนี้ว่า ‘แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ ฯลฯ ๑- เป็นพระผู้มีพระภาค’ ภารัทวาชะ มาเถิดพวกเราจะไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมด้วยกัน ทูลถามเรื่องนี้แล้วทรงจำข้อความตามที่พระสมณโคดมตรัสตอบแก่พวกเรา” ภารัทวาชมาณพรับคำของวาเสฏฐมาณพแล้ว
ว่าด้วยเรื่องทางและไม่ใช่ทาง
[๕๒๒] วาเสฏฐมาณพและภารัทวาชมาณพ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ สนทนากับพระผู้มีพระภาคพอคุ้นเคยดีแล้ว นั่งลง ณ ที่สมควร วาเสฏฐมาณพได้ทูลถามว่า “ท่านพระโคดม ขอประทานวโรกาสเถิด เมื่อข้าพระองค์ทั้งสองไปเดินเล่น ได้สนทนากันในเรื่องทางและไม่ใช่ทาง ข้าพระองค์กล่าว
อย่างนี้ว่า ‘ทางที่โปกขรสาติพราหมณ์บอกไว้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นทางเดินตรงไปเป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมได้’ ภารัทวาชมาณพกลับกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ทางที่ตารุกขพราหมณ์บอกไว้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นทางเดินตรงไป เป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมได้’ ท่านพระโคดม ในเรื่องนี้ยังมีการถือผิดกัน กล่าวผิดกัน กล่าวต่างกันอยู่”
 [๕๒๓] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “วาเสฏฐะ เธอกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ทางที่โปกขรสาติพราหมณ์บอกไว้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นทางเดินตรงไป เป็นทางนำออกนำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมได้’ ภารัทวาชมาณพกลับกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ทางที่ตารุกขพราหมณ์บอกไว้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นทางเดินตรงไป เป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมได้’ พวกเธอถือผิดกันในเรื่องไหน กล่าวผิดกันในเรื่องไหน กล่าวต่างกันในเรื่องไหน”
 [๕๒๔] วาเสฏฐมาณพกราบทูลว่า “ในเรื่องทางและไม่ใช่ทาง ท่านพระโคดม พวกพราหมณ์ทั้งหลาย คือ พวกอัทธริยพราหมณ์ พวกติตติริยพราหมณ์ พวกฉันโทกพราหมณ์ พวกพวหาริชฌพราหมณ์บัญญัติทางไว้ต่างกันก็จริง ถึงกระนั้น

@เชิงอรรถ : @๑  ความเต็มเหมือนในข้อ ๒๕๕

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๓๑}  พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑๓. เตวิชชสูตร] ความขวนขวายของวาเสฏฐมาณพ

 ทางทั้งปวงก็ล้วนเป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมได้ เปรียบเหมือนในที่ใกล้หมู่บ้านหรือนิคม ถึงจะมีทางอยู่หลายเส้นทางก็จริง ถึงกระนั้น ทุกเส้นทางก็มาบรรจบกันที่กลางหมู่บ้านนั่นเอง ฉันใด พวกพราหมณ์ทั้งหลาย คือ พวกอัทธริยพราหมณ์ พวกติตติริยพราหมณ์ พวก
ฉันโทกพราหมณ์ พวก พวหาริชฌพราหมณ์บัญญัติทางไว้ต่างกันก็จริง ถึงกระนั้น ทางทั้งปวงก็ล้วนเป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมได้ ฉันนั้น”
ความขวนขวายของวาเสฏฐมาณพ
 [๕๒๕] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เธอกล่าวว่า ทางเหล่านั้น นำออกได้หรือ”
   เขาทูลตอบว่า “ท่านพระโคดม ข้าพระองค์กล่าวว่านำออกได้”
   พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เธอกล่าวว่า ทางเหล่านั้นนำออกได้หรือ”
   เขาทูลตอบว่า “ท่านพระโคดม ข้าพระองค์กล่าวว่านำออกได้”
   พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เธอกล่าวว่า ทางเหล่านั้นนำออกได้หรือ”
   เขาทูลตอบว่า “ท่านพระโคดม ข้าพระองค์กล่าวว่านำออกได้”
   พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ บรรดาพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพท มี
   พราหมณ์แม้สักคนหนึ่งไหมที่เคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้”
   เขาทูลตอบว่า “ไม่มีเลย ท่านพระโคดม”
   พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ มีอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพท แม้สักคนหนึ่งไหมที่เคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้”
   เขาทูลตอบว่า “ไม่มีเลย ท่านพระโคดม”
   พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ มีปาจารย์ของอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทแม้สักคนหนึ่งไหมที่เคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้”
   เขาทูลตอบว่า “ไม่มีเลย ท่านพระโคดม”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๓๒}  พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑๓. เตวิชชสูตร] ความขวนขวายของวาเสฏฐมาณพ

   พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ มีอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทสักคนหนึ่งไหมที่เป็นอาจารย์สืบทอดกันมาเจ็ดชั่วคนซึ่งเคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้”
   เขาทูลตอบว่า “ไม่มีเลย ท่านพระโคดม”
 [๕๒๖] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ พวกฤๅษีผู้เป็นบูรพาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพท ได้แก่ ฤๅษีอัฏฐกะ ฤๅษีวามกะ ฤๅษีวามเทวะ ฤๅษีเวสสามิตร ฤๅษียมตัคคิ ฤๅษีอังคีรส ฤๅษีภารัทวาชะ ฤๅษีวาเสฏฐะ ฤๅษีกัสสปะ และ ฤๅษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนตร์บอกมนตร์ที่พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทในเวลานี้
ขับตามกล่อมตามซึ่งบทมนตร์เก่าที่ท่านขับไว้กล่อมไว้ รวบรวมไว้ กล่าวได้ถูกต้องตามที่ท่านกล่าวไว้ บอกได้ถูกต้องตามที่ท่านบอกไว้ แม้ฤๅษีเหล่านั้นมีไหมที่กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเรารู้ พวกเราเห็นพระพรหมนั้นว่าอยู่ที่ใด โดยที่ใด หรืออยู่ภพใด”
   เขาทูลตอบว่า “ไม่มีเลย ท่านพระโคดม”
 [๕๒๗] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ ที่กล่าวมานี้สรุปได้ว่า บรรดาพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทไม่มีเลยแม้สักคนเดียวที่เคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้ แม้อาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทก็ไม่มีเลยแม้สักคนเดียวที่เคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้ แม้ปาจารย์ของอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทก็ไม่มีเลย
แม้สักคนเดียวที่เคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้ อาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่เป็นอาจารย์สืบทอดกันมาเจ็ดชั่วคนก็ไม่มีเลยแม้สักคนเดียวที่เคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้ พวกฤๅษีผู้เป็นบูรพาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทได้แก่ฤๅษีอัฏฐกะ ฤๅษีวามกะ ฤๅษีวามเทวะ ฤๅษีเวสสามิตร ฤๅษียมตัคคิ
ฤๅษีอังคีรส ฤๅษีภารัทวาชะ ฤๅษีวาเสฏฐะ ฤๅษีกัสสปะ และฤๅษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนตร์ บอกมนตร์ที่พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทในเวลานี้ขับตามกล่อมตามซึ่งบทมนตร์เก่าที่ท่านขับไว้กล่อมไว้รวบรวมไว้ กล่าวได้ถูกต้องตามที่ท่านกล่าวไว้ บอกได้ถูกต้องตามที่ท่านบอกไว้ แม้ฤๅษีเหล่านั้นก็ไม่มีเลยที่กล่าวอย่างนี้ว่า ‘พวกเรารู้ พวกเราเห็นพระพรหมนั้นว่าอยู่ที่ใด โดยที่ใด หรืออยู่ภพใด’ พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ‘พวกเราไม่รู้ พวกเราไม่เห็น แต่พวกเราแสดงทางเพื่อความเป็นผู้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๓๓}  พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑๓. เตวิชชสูตร] ความขวนขวายของวาเสฏฐมาณพ

   อยู่ร่วมกับพระพรหมว่า ทางนี้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นทางเดินตรงไป เป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมได้’
 [๕๒๘] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไรเมื่อเป็นเช่นนี้ ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทถือว่าเลื่อนลอย ๑- มิใช่หรือ” เขาทูลตอบว่า “ท่านพระโคดม เมื่อเป็นเช่นนี้ ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทถือว่าเลื่อนลอยแน่นอน”
 พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ถูกละ วาเสฏฐะ การที่พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทซึ่งไม่รู้ไม่เห็นพรหม แต่กลับแสดงทางเพื่อความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพรหมว่า ‘ทางนี้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นทางเดินตรงไป เป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมได้’ นั่นไม่ใช่ฐานะที่เป็นไปได้”
 [๕๒๙] วาเสฏฐะ ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทเหมือนคนตาบอดเข้าแถวเกาะหลังกัน คนอยู่หัวแถว คนอยู่กลางแถว และคนอยู่ปลายแถวต่างก็มองไม่เห็นภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทเหล่านั้นช่างน่าขบขัน ต่ำต้อย เหลวไหล ไร้สาระ
 [๕๓๐] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไรพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทมองเห็นดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ขึ้นลงเหมือนคนเหล่าอื่นแต่ก็ยังอ้อนวอนชื่นชมประนมมือนอบน้อมเดินเวียนอยู่” เขาทูลตอบว่า “เป็นเช่นนั้น ท่านพระโคดม พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทมองเห็นดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ขึ้นลงเหมือนคนเหล่าอื่น แต่ก็ยังอ้อนวอนชื่นชมประนมมือนอบน้อมเดินเวียนอยู่”
 [๕๓๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทมองเห็นดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ขึ้นลงเหมือนคนเหล่าอื่น แต่ก็ยังอ้อนวอนชื่นชมประนมมือนอบน้อมเดินเวียนอยู่ พราหมณ์เหล่านั้นจะสามารถแสดงทางไปอยู่ร่วมกับดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ว่า ทางนี้เท่านั้นเป็นทาง

@เชิงอรรถ : @๑   เลื่อนลอย (อปฺปาฏิหีรกตํ) หมายถึง เป็นคำที่ไม่มีปาฏิหาริย์ ขาดเหตุผลที่จะจูงใจฝ่ายตรงข้ามให้เชื่อถือ @หรือยินยอมได้ [ที.สี.ฎีกา(อภินว.) ๒/๔๒๕/๔๙๓] {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๓๔} 

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑๓. เตวิชชสูตร] ความขวนขวายของวาเสฏฐมาณพ

   ตรง เป็นทางเดินตรงไป เป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ได้ละหรือ”
   เขาทูลตอบว่า “หามิได้ ท่านพระโคดม”
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “วาเสฏฐะ ที่กล่าวมานี้
สรุปได้ว่า พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทมองเห็นดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ขึ้นลงเหมือนคนเหล่าอื่น แต่ก็ยังอ้อนวอนชื่นชมประนมมือนอบน้อมเดินเวียนอยู่ พราหมณ์เหล่านั้นไม่สามารถแสดงทางไปอยู่ร่วมกับดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ได้ว่า ทางนี้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นทางเดินตรงไป เป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ได้
 [๕๓๒] วาเสฏฐะ ที่กล่าวมานี้สรุปได้ว่า ไม่มีพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่เคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้ ไม่มีอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่เคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้ ไม่มีปาจารย์ของอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่เคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้ ไม่มีอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่เป็น
อาจารย์สืบทอดกันมาเจ็ดชั่วคนซึ่งเคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้ พวกฤๅษีผู้เป็นบูรพาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพท ได้แก่ ฤๅษีอัฏฐกะ ฤๅษีวามกะ ฤๅษีวามเทวะ ฤๅษีเวสสามิตร ฤๅษียมตัคคิ ฤๅษีอังคีรส ฤๅษีภารัทวาชะ ฤๅษีวาเสฏฐะ ฤๅษีกัสสปะ และฤๅษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนตร์บอกมนตร์ที่พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพท
ในเวลานี้ขับตามกล่อมตามซึ่งบทมนตร์เก่าที่ท่านขับไว้กล่อมไว้รวบรวมไว้ กล่าวได้ถูกต้องตามที่ท่านกล่าวไว้ บอกได้ถูกต้องตามที่ท่านบอกไว้ แม้ฤๅษีเหล่านั้นก็ไม่มีเลยที่กล่าวอย่างนี้ว่า ‘พวกเรารู้ พวกเราเห็นพระพรหมนั้นว่าอยู่ที่ใด โดยที่ใดหรืออยู่ภพใด’ พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ‘พวกเราไม่รู้ พวกเราไม่เห็น แต่พวกเราแสดงทางเพื่อความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมว่า ทางนี้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นทางเดินตรงไป เป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมได้’
 [๕๓๓] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้ ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทถือว่าเลื่อนลอยมิใช่หรือ”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๓๕}  พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑๓. เตวิชชสูตร] เปรียบด้วยชายหลงรักหญิงงามแห่งชนบท

   เขาทูลตอบว่า “ท่านพระโคดม เมื่อเป็นเช่นนี้ ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทถือว่าเลื่อนลอยแน่นอน”
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ถูกละ วาเสฏฐะ
 การที่พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทซึ่งไม่รู้ไม่เห็นพรหม แต่กลับแสดงทางเพื่อความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพรหมว่า ‘ทางนี้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นทางเดินตรงไป เป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมได้’ นั่นมิใช่ฐานะที่เป็นไปได้
เปรียบด้วยชายหลงรักหญิงงามแห่งชนบท
 [๕๓๔] วาเสฏฐะ เปรียบเหมือนชายคนหนึ่งปรารภถึงหญิงสาวอย่างนี้ว่า ‘เราปรารถนารักใคร่หญิงงามแห่งชนบทนี้’
      คนจะถามเขาว่า ‘พ่อคุณ เธอรู้จักหญิง
คนนั้นหรือว่าเป็นนางกษัตริย์ นางพราหมณี นางแพศย์ หรือนางศูทร’
      เมื่อถูกถามอย่างนี้เขาจะตอบว่า ‘ไม่รู้จัก’
จะถูกถามต่อไปว่า ‘เธอรู้จักหญิงคนนั้นหรือว่ามีชื่อ  ตระกูล
สูง ต่ำ สันทัด ดำ คล้ำ หรือผิวเหลือง อยู่ในบ้าน นิคม หรือเมืองโน้น’ เมื่อถูกถาม
      อย่างนี้เขาจะตอบว่า ‘ไม่รู้จัก’
จะถูกถามต่อไปว่า ‘เธอปรารถนารักใคร่หญิงที่ไม่รู้จักทั้งไม่เคยเห็นอย่างนั้นหรือ’ เมื่อถูกถามอย่างนี้ เขาจะตอบว่า ‘ใช่’
 [๕๓๕] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไรเมื่อเป็นเช่นนี้ คำพูดของชายผู้นั้นถือว่าเลื่อนลอยมิใช่หรือ” เขาทูลตอบว่า “ท่านพระโคดม เมื่อเป็นเช่นนี้ คำพูดของชายผู้นั้นถือว่าเลื่อนลอยแน่นอน”
 [๕๓๖] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อย่างนั้นเหมือนกัน วาเสฏฐะ ที่กล่าวมานี้ สรุปได้ว่า ไม่มีพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่เคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้ ไม่มีอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่เคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้ ไม่มีปาจารย์ของอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่เคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้ ไม่มีอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่เป็นอาจารย์สืบทอดกันมาเจ็ดชั่วคนที่เคย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๓๖}  พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑๓. เตวิชชสูตร] เปรียบด้วยคนสร้างบันได

เห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้ ฯลฯ พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ‘พวกเราไม่รู้ พวกเราไม่เห็น แต่พวกเราแสดงทางเพื่อความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมว่า ทางนี้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นทางเดินตรงไป เป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมได้’
 [๕๓๗] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้ ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทถือว่าเลื่อนลอยมิใช่หรือ” เขาทูลตอบว่า “ท่านพระโคดม เมื่อเป็นเช่นนี้ ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทถือว่าเลื่อนลอยแน่นอน”
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ถูกละ วาเสฏฐะ
การที่พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทซึ่งไม่รู้ ไม่เห็นพรหม แต่กลับแสดงทางเพื่อความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพรหมว่า ‘ทางนี้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นทางเดินตรงไป เป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมได้’ นั่นมิใช่ฐานะที่เป็นไปได้”
เปรียบด้วยคนสร้างบันได
 [๕๓๘] วาเสฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษทำบันไดที่หนทางใหญ่สี่แพร่งเพื่อขึ้นปราสาท คนจะถามเขาว่า ‘พ่อคุณ เธอจะทำบันไดขึ้นปราสาท เธอรู้จักปราสาทนั้นหรือว่า ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก หรือทิศเหนือ มีขนาดสูง ต่ำ หรือปานกลาง’ เมื่อถูกถามอย่างนี้เขาจะตอบว่า ‘ยังไม่รู้จัก’ จะถูกถามต่อไปว่า‘เธอจะทำบันไดขึ้นปราสาทที่ยังไม่เคยรู้จักทั้งไม่เคยเห็นอย่างนั้นหรือ’ เมื่อถูกถามอย่างนี้ เขาจะตอบว่า ‘ใช่’
 [๕๓๙] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้ คำพูดของชายผู้นั้นถือว่าเลื่อนลอยมิใช่หรือ” เขาทูลตอบว่า “ท่านพระโคดม เมื่อเป็นเช่นนี้ คำพูดของชายผู้นั้นถือว่าเลื่อนลอยแน่นอน”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๓๗} พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑๓. เตวิชชสูตร] เปรียบด้วยแม่น้ำอจิรวดี

[๕๔๐] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อย่างนั้นเหมือนกัน วาเสฏฐะ ที่กล่าวมานี้ สรุปได้ว่า ไม่มีพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่เคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้ ไม่มีอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่เคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้ ไม่มีปาจารย์ของอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่เคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็น
พยานได้ ไม่มีอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่เป็นอาจารย์สืบทอดกันมาเจ็ดชั่วคนซึ่งเคยเห็นพรหมพอจะอ้างเป็นพยานได้ พวกฤๅษีผู้เป็นบูรพาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพท ได้แก่ ฤๅษีอัฏฐกะ ฤๅษีวามกะ ฤๅษีวามเทวะ ฤๅษีเวสสามิตร ฤๅษียมตัคคิ ฤๅษีอังคีรส ฤๅษีภารัทวาชะ ฤๅษีวาเสฏฐะ ฤๅษีกัสสปะ และฤๅษี
ภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนตร์บอกมนตร์ที่พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทในเวลานี้ขับตามกล่อมตามซึ่งบทมนตร์เก่าที่ท่านขับไว้กล่อมไว้รวบรวมไว้ กล่าวได้ถูกต้องตามที่ท่านกล่าวไว้ บอกได้ถูกต้องตามที่ท่านบอกไว้ แม้ฤๅษีเหล่านั้นก็ไม่มีเลยที่กล่าวอย่างนี้ว่า  ‘พวกเรารู้ พวกเราเห็นพรหมนั้นว่าอยู่ที่ใด โดยที่ใด หรืออยู่ภพ
ใด’ พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ‘พวกเราไม่รู้ พวกเราไม่เห็น แต่พวกเราแสดงทางเพื่อความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมว่า ทางนี้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นทางเดินตรงไปเป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมได้’
 [๕๔๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้ ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทก็ถือว่าเลื่อนลอยมิใช่หรือ” เขาทูลตอบว่า “ท่านพระโคดม เมื่อเป็นเช่นนี้ ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทก็ถือว่าเลื่อนลอยแน่นอน”
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ถูกละ วาเสฏฐะ
การที่พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทซึ่งไม่รู้ ไม่เห็นพรหม แต่กลับแสดงทางเพื่อความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพรหมว่า ‘ทางนี้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นทางเดินตรงไป เป็นทางนำออก นำผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหมได้’ นั่นมิใช่ฐานะที่เป็นไปได้
เปรียบด้วยแม่น้ำอจิรวดี
 [๕๔๒] วาเสฏฐะ เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดีมีน้ำเต็มเสมอฝั่ง นกกา(ก้ม)ดื่มกินได้ ชายคนหนึ่งต้องการ
จะข้ามฝั่ง แสวงหาฝั่ง ไปถึงฝั่ง ประสงค์จะข้าม เขายืนอยู่ที่ฝั่งนี้ตะโกนเรียกฝั่งโน้นว่า ‘ฝั่งโน้นจงเลื่อนมาฝั่งนี้ๆ’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๓๘}  พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย

สีลขันธวรรค [๑๓. เตวิชชสูตร] เปรียบด้วยแม่น้ำอจิรวดี

[๕๔๓] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร เพราะเหตุที่ชายผู้นั้นร้องเรียก อ้อนวอนปรารถนา หรือสรรเสริญ ฝั่งโน้นของแม่น้ำ อจิรวดีจะเลื่อนมายังฝั่งนี้ได้ไหม” เขาทูลตอบว่า “ไม่ได้ ท่านพระโคดม” [๕๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อย่างนั้นเหมือนกัน วาเสฏฐะ การที่พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทละธรรมที่ทำให้เป็น พราหมณ์ ๑- กลับไปถือเอาธรรมที่ไม่ทำให้เป็นพราหมณ์มาประพฤติ กล่าวอย่างนี้ว่า ‘พวกเราร้องเรียกพระอินทร์ ร้องเรียกพระจันทร์ ร้องเรียกพระพิรุณ ร้องเรียกพระอีสาน ร้องเรียกพระปชาบดี ร้องเรียกพระพรหม ร้องเรียกพระ มหิทธิ์’ วาเสฏฐะ การที่พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทเหล่านั้นละธรรมที่ทำให้เป็นพราหมณ์ กลับไปถือเอาธรรมที่ไม่ทำให้ เป็นพราหมณ์มาประพฤติ หลังจากตายแล้วจะถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพรหม เพราะการเรียกร้องการอ้อนวอน การ ปรารถนา หรือการสรรเสริญ นั่นมิใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ [๕๔๕] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดีมีน้ำเต็มเสมอฝั่ง นกกา(ก้ม)ดื่ม กินได้ ชายคนหนึ่งต้องการข้ามไปฝั่งโน้น แต่กลับเอาเชือกเหนียวมัดแขนไพล่หลังแน่นหนาอยู่ที่ฝั่งนี้ วาเสฏฐะ เธอ เข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไรชายคนนั้นจะข้ามแม่น้ำอจิรวดีได้ไหม” เขาทูลตอบว่า “ไม่ได้ ท่านพระโคดม” [๕๔๖] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อย่างนั้นเหมือนกัน วาเสฏฐะ กามคุณ ๒- ๕ ต่อไปนี้ ในวินัยของพระอริยะ เรียกว่า ขื่อคาบ้าง เครื่องจองจำบ้าง กามคุณ ๕ อะไรบ้าง คือ รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยตา อันน่าปรารถนารักใคร่พอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด เสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยหู อันน่าปรารถนารักใคร่พอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยจมูก อันน่าปรารถนารักใคร่พอใจ

@เชิงอรรถ : @๑  ธรรมที่ทำให้เป็นพราหมณ์ (พฺราหฺมณการกา) ในที่นี้หมายถึง ศีล ๕ ศีล ๑๐ และกุศลกรรมบถ ๑๐ 

@(ที.สี.อ. ๕๔๔-๕๔๕/๓๓๕) @๒ กาม (สิ่งที่ทำให้เกิดความใคร่) และ คุณ (เครื่องผูกพันหรือพันธนาการ) [ที.สี.อ. ๕๔๖/๓๓๕] ฉะนั้น

@กามคุณ จึงหมายถึงสิ่งที่ผูกพันสัตว์ไว้คือกาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๓๙}  พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย

สีลขัน ธวรรค [๑๓. เตวิชชสูตร] เปรียบด้วยแม่น้ำอจิรวดี

ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด รสที่พึงรู้แจ้งด้วยลิ้น อันน่าปรารถนารักใคร่ พอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย อันน่า ปรารถนารักใคร่พอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทผู้กำหนัด สยบ หมกมุ่น มองไม่เห็นโทษ ไม่มี ปัญญาที่จะสลัดออก บริโภคกามคุณ ๕ อย่างนี้อยู่ การที่พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพท ละธรรมที่ทำให้เป็นพราหมณ์ กลับไปถือเอาธรรมที่ไม่ทำให้เป็นพราหมณ์มา ประพฤติ กำหนัด สยบ หมกมุ่น มองไม่เห็นโทษ ไม่มีปัญญาที่จะสลัดออก บริโภค กามคุณ ๕ อยู่ ติดตรวนคือกาม หลังจากตายแล้วจะถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพรหม นั่นมิใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ [๕๔๗] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดีมี น้ำเต็มเสมอฝั่ง นกกา(ก้ม)ดื่มกินได้ ชายคนหนึ่งต้องการข้ามไปฝั่งโน้น แต่กลับนอน คลุมโปงอยู่ที่ฝั่งนี้ วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร ชายคนนั้นจะข้ามแม่น้ำ อจิรวดีได้ไหม” เขาทูลตอบว่า “ไม่ได้ ท่านพระโคดม” [๕๔๘] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อย่างนั้นเหมือนกัน วาเสฏฐะ นิวรณ์ ๕ ต่อไปนี้ ในวินัยของพระอริยะเรียกว่า เครื่องหน่วงเหนี่ยวบ้าง เครื่องกางกั้นบ้าง เครื่องรัดรึงบ้าง เครื่องตรึงตราบ้าง นิวรณ์ ๕ อะไรบ้าง คือ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา วาเสฏฐะ นิวรณ์ ๕ เหล่านี้แล ในวินัย ของพระอริยะเรียกว่า เครื่องหน่วงเหนี่ยวบ้าง เครื่องกางกั้นบ้าง เครื่องรัดรึงบ้าง เครื่องตราตรึงบ้าง” [๕๔๙] วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทถูกนิวรณ์ ๕ เหล่านี้แลหน่วงเหนี่ยว กางกั้น รัดรึง ตรึงเอาไว้แล้ว การที่พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทละธรรมที่ทำให้เป็น พราหมณ์ กลับไปถือเอาธรรมที่ไม่ทำให้เป็นพราหมณ์มาประพฤติ ถูกนิวรณ์ ๕ หน่วงเหนี่ยว กางกั้น รัดรึง ตรึงเอาไว้ หลังจากตายแล้วจะถึงความเป็นผู้อยู่ร่วม กับพรหม นั่นมิใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ เรื่องที่ตรัสเทียบเคียงระหว่างพรหมกับพราหมณ์ [๕๕๐] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร เธอเคยได้ยินพราหมณ์ผู้แก่ผู้เฒ่าผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์กล่าวว่าอย่างไร พรหม มีเครื่องเกาะเกี่ยว(ภรรยา) หรือไม่มีเครื่องเกาะเกี่ยว” เขาทูลตอบว่า “ไม่มีเครื่องเกาะเกี่ยว ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “พรหมคิดจองเวรหรือไม่คิดจองเวร” เขาทูลตอบว่า “ไม่คิดจองเวร ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “พรหมคิดเบียดเบียนหรือไม่คิดเบียดเบียน” เขาทูลตอบว่า “ไม่คิดเบียดเบียน ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “พรหมมีจิตเศร้าหมองหรือมีจิตไม่เศร้าหมอง” เขาทูลตอบว่า “มีจิตไม่เศร้าหมอง ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “พรหมบังคับจิตให้อยู่ในอำนาจได้หรือบังคับจิต ให้อยู่ในอำนาจไม่ได้” เขาทูลตอบว่า “บังคับจิตให้อยู่ในอำนาจได้ ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร พราหมณ์ ผู้ได้ไตรเพทมีเครื่องเกาะเกี่ยวหรือไม่มีเครื่องเกาะเกี่ยว” เขาทูลตอบว่า “มีเครื่องเกาะเกี่ยว ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “พราหมณ์คิดจองเวรหรือไม่คิดจองเวร” เขาทูลตอบว่า “คิดจองเวร ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “พราหมณ์คิดเบียดเบียนหรือไม่คิดเบียดเบียน” เขาทูลตอบว่า “คิดเบียดเบียน ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “พราหมณ์มีจิตเศร้าหมองหรือมีจิตไม่เศร้าหมอง” เขาทูลตอบว่า “มีจิตเศร้าหมอง ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “พราหมณ์บังคับจิตให้อยู่ในอำนาจได้หรือบังคับ จิตให้อยู่ในอำนาจไม่ได้” เขาทูลตอบว่า “บังคับจิตให้อยู่ในอำนาจไม่ได้ ท่านพระโคดม” [๕๕๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “วาเสฏฐะ ที่กล่าวมานี้สรุปได้ว่า พราหมณ์ผู้ ได้ไตรเพทยังมีเครื่องเกาะเกี่ยว แต่พรหมไม่มีเครื่องเกาะเกี่ยว ดังนั้น จะเปรียบ เทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่ยังมีเครื่องเกาะเกี่ยวกับพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะเกี่ยวได้ ละหรือ” เขาทูลตอบว่า “เปรียบเทียบกันไม่ได้ ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “ถูกละ วาเสฏฐะ การที่พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพท เหล่านั้นซึ่งยังมีเครื่องเกาะเกี่ยว หลังจากตายแล้วจะถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพรหม ผู้ไม่มีเครื่องเกาะเกี่ยว นั่นมิใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทยังคิด จองเวร แต่พรหมไม่คิดจองเวร ดังนั้น จะเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่ยังคิด จองเวรกับพรหมผู้ไม่คิดจองเวรได้ละหรือ” เขาทูลตอบว่า “เปรียบเทียบกันไม่ได้ ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทยังคิดเบียดเบียน แต่ พรหมไม่คิดเบียดเบียน ดังนั้น จะเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่ยังคิด เบียดเบียนกับพรหมผู้ไม่คิดเบียดเบียนได้ละหรือ” เขาทูลตอบว่า “เปรียบเทียบกันไม่ได้ ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทยังมีจิตเศร้าหมอง แต่ พรหมมีจิตไม่เศร้าหมอง ดังนั้น จะเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่ยังมีจิต เศร้าหมองกับพรหมผู้มีจิตไม่เศร้าหมองได้ละหรือ” เขาทูลตอบว่า “เปรียบเทียบกันไม่ได้ ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทยังบังคับจิตให้อยู่ใน อำนาจไม่ได้ แต่พรหมบังคับจิตให้อยู่ในอำนาจได้ ดังนั้น จะเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ ได้ไตรเพทที่ยังบังคับจิตให้อยู่ในอำนาจไม่ได้กับพรหมผู้บังคับจิตให้อยู่ในอำนาจได้ ละหรือ” เขาทูลตอบว่า “เปรียบเทียบกันไม่ได้ ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ถูกละ วาเสฏฐะ การที่พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่ยัง บังคับจิตให้อยู่ในอำนาจไม่ได้ หลังจากตายแล้วจะถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพรหมผู้ บังคับจิตอยู่ในอำนาจได้ นั่นมิใช่ฐานะที่เป็นไปได้ [๕๕๒] วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทเหล่านั้นจมลงแล้วก็ยังจะจมอยู่ต่อไป ในโลกนี้ เมื่อจมแล้ว ก็ถึงความย่อยยับ แต่ก็ยังเข้าใจว่า ตนข้ามไปได้ง่ายๆ ดังนั้น เราจึงเรียกไตรเพทของพราหณ์ผู้ได้ไตรเพทว่า ป่าใหญ่คือไตรเพทบ้าง ดงกันดารคือ ไตรเพทบ้าง ความพินาศคือไตรเพทบ้าง” [๕๕๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ วาเสฏฐมาณพกราบทูลว่า “ท่าน พระโคดม ข้าพระองค์ได้ฟังมาว่า พระสมณโคดมทรงทราบทางไปเพื่อความเป็นผู้ อยู่ร่วมกับพระพรหม” พระผู้มีพระภาคตรัสย้อนถามว่า “วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร หมู่ บ้านมนสากฏะอยู่ใกล้แค่นี้ ไม่ไกลไปจากนี้ใช่ไหม” เขาทูลตอบว่า “เป็นเช่นนั้น ท่านพระโคดม” [๕๕๔] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร คน ที่เติบโตมาในหมู่บ้านมนสากฏะนี้ เมื่อถูกถามถึงทางไปหมู่บ้านมนสากฏะที่เขาเพิ่ง จะออกมา มีหรือที่เขาจะชักช้าหรือรีรออยู่” เขาทูลตอบว่า “ไม่ชักช้าหรือรีรอเลย ท่านพระโคดม เพราะเขาเติบโตมาในหมู่ บ้านมนสากฏะ จึงรู้หนทางในหมู่บ้านได้เป็นอย่างดี” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “วาเสฏฐะ ผู้ที่เติบโตมาในหมู่บ้านมนสากฏะถูกถาม ถึงทางไปหมู่บ้านนั้นก็ยังอาจจะชักช้าหรือรีรออยู่บ้าง แต่(เรา)ตถาคตถูกถามถึง พรหมโลกหรือข้อปฏิบัติที่พาไปพรหมโลก จะไม่ชักช้าหรือรีรอเลย เพราะเรารู้จัก พรหมโลกและข้อปฏิบัติที่พาไปพรหมโลก อีกทั้งรู้ว่า พรหมปฏิบัติอย่างไรจึงได้เข้า ถึงพรหมโลก” [๕๕๕] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ วาเสฏฐมาณพกราบทูลว่า “ท่าน พระโคดม ข้าพระองค์ได้ฟังมาว่า พระสมณโคดมทรงแสดงทางไปเพื่อความเป็นผู้อยู่ ร่วมกับพระพรหม ข้าพระองค์ขอวโรกาส ขอท่านพระโคดมโปรดแสดงทางไปเพื่อ ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระพรหม โปรดอนุเคราะห์ชุมชนพราหมณ์ด้วยเถิด” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “วาเสฏฐะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงตั้งใจให้ดี เราจะกล่าว” เขาทูลรับสนองพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ทรงแสดงทางไปพรหมโลก [๕๕๖] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “วาเสฏฐะ ตถาคตอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ เป็น พระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยชอบ ฯลฯ๑- (พึงนำข้อความเต็มในสามัญญผลสูตร มาใส่ไว้ในที่นี้) ภิกษุชื่อว่าสมบูรณ์ด้วยศีลเป็นอย่างนี้แล ฯลฯ เมื่อภิกษุนั้นพิจารณา เห็นนิวรณ์ ๕ ที่ตนละได้แล้วย่อมเกิดความเบิกบานใจ เมื่อเบิกบานใจก็ย่อมเกิดปีติ เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบย่อมได้รับความสุข เมื่อมีความสุข จิตย่อม ตั้งมั่น ภิกษุนั้นมีเมตตาจิตแผ่ไปตลอดทิศที่ ๑ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไปตลอดโลกทั่วทุกหมู่เหล่าในที่ทุกสถาน ด้วยเมตตาจิต อันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ วาเสฏฐะ กรรมที่ทำพอประมาณในเมตตาเจโตวิมุตติที่บุคคลอบรมแล้ว อย่างนี้จะไม่เหลืออยู่ในรูปาวจรและอรูปาวจร เปรียบเหมือนคนเป่าสังข์ผู้แข็งแรงพึง @เชิงอรรถ : @๑  ความเต็มเหมือนในสามัญญผลสูตร ข้อ ๑๙๔-๒๑๒
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๔๔}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑๓. เตวิชชสูตร] ทรงแสดงทางไปพรหมโลก
ให้ผู้อื่นได้ยินตลอดทั้ง ๔ ทิศได้โดยไม่ยาก วาเสฏฐะ นี้แลเป็นทางไปเพื่อความเป็น ผู้อยู่ร่วมกับพรหม ยังมีอีก วาเสฏฐะ ภิกษุมีกรุณาจิต ฯลฯ มีมุทิตาจิต ฯลฯ มีอุเบกขาจิตแผ่ไป ตลอดทิศที่ ๑ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ทิศเบื้องบน เบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไป ตลอดโลกทั่วทุกหมู่เหล่าในที่ทุกสถาน ด้วยอุเบกขาจิตอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่ มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ วาเสฏฐะ กรรมที่ทำพอประมาณในอุเบกขาเจโตวิมุตติที่บุคคลอบรมแล้วอย่าง นี้ จะไม่เหลืออยู่ในรูปาวจรและอรูปาวจร เปรียบเหมือนคนเป่าสังข์ผู้แข็งแรงพึงให้ ผู้อื่นได้ยินตลอดทั้ง ๔ ทิศได้โดยไม่ยาก วาเสฏฐะ นี้แลเป็นทางไปเพื่อความเป็นผู้ อยู่ร่วมกับพรหม [๕๕๗] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร ภิกษุผู้มีปกติอยู่อย่างนี้จะมีเครื่องเกาะเกี่ยวหรือไม่มีเครื่องเกาะเกี่ยว” เขาทูลตอบว่า “ไม่มีเครื่องเกาะเกี่ยว ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “คิดจองเวรหรือไม่คิดจองเวร” เขาทูลตอบว่า “ไม่คิดจองเวร ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “คิดเบียดเบียนหรือไม่คิดเบียดเบียน” เขาทูลตอบว่า “ไม่คิดเบียดเบียน ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “มีจิตเศร้าหมองหรือมีจิตไม่เศร้าหมอง” เขาทูลตอบว่า “มีจิตไม่เศร้าหมอง ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “บังคับจิตให้อยู่ในอำนาจได้หรือบังคับจิตให้อยู่ ในอำนาจไม่ได้” เขาทูลตอบว่า “บังคับจิตให้อยู่ในอำนาจได้ ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ ที่กล่าวมานี้สรุปได้ว่า ภิกษุไม่มีเครื่อง เกาะเกี่ยว พรหมก็ไม่มีเครื่องเกาะเกี่ยว ดังนั้น จะเปรียบเทียบภิกษุผู้ไม่มีเครื่อง เกาะเกี่ยวกับพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะเกี่ยวได้ไหม” เขาทูลตอบว่า “เปรียบเทียบกันได้ ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ถูกละ วาเสฏฐะ การที่ภิกษุนั้นผู้ไม่มีเครื่องเกาะเกี่ยว หลังจากตายแล้วจะถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะเกี่ยว นั่น เป็นฐานะที่เป็นไปได้ [๕๕๘] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “วาเสฏฐะ ภิกษุไม่คิดจองเวร พรหมก็ไม่ คิดจองเวร ดังนั้น จะเปรียบเทียบภิกษุผู้ไม่คิดจองเวรกับพรหมผู้ไม่คิดจองเวรได้ไหม” เขาทูลตอบว่า “เปรียบเทียบกันได้ ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “ภิกษุไม่คิดเบียดเบียน พรหมก็ไม่คิดเบียดเบียน ดังนั้น จะเปรียบเทียบภิกษุผู้ไม่คิดเบียดเบียนกับพรหมผู้ไม่คิดเบียดเบียนได้ไหม” เขาทูลตอบว่า “เปรียบเทียบกันได้ ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “ภิกษุมีจิตไม่เศร้าหมอง พรหมก็มีจิตไม่เศร้า หมอง ดังนั้น จะเปรียบเทียบภิกษุผู้มีจิตไม่เศร้าหมองกับพรหมผู้มีจิตไม่เศร้าหมอง ได้ไหม” เขาทูลตอบว่า “เปรียบเทียบกันได้ ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “ภิกษุบังคับจิตให้อยู่ในอำนาจได้ พรหมก็บังคับ จิตให้อยู่ในอำนาจได้ ดังนั้น จะเปรียบเทียบภิกษุผู้บังคับจิตให้อยู่ในอำนาจได้กับ พรหมผู้บังคับจิตให้อยู่ในอำนาจได้ ได้ไหม” เขาทูลตอบว่า “เปรียบเทียบกันได้ ท่านพระโคดม” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ถูกละ วาเสฏฐะ การที่ภิกษุนั้นผู้บังคับจิตให้อยู่ใน อำนาจได้ หลังจากตายแล้วจะถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพรหมผู้บังคับจิตให้อยู่ใน อำนาจได้ นั่นเป็นฐานะที่เป็นไปได้” มาณพทั้งสองประกาศตนเป็นอุบาสก [๕๕๙] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ วาเสฏฐมาณพกับภารัทวาชมาณพ ได้กราบทูลว่า“ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของท่านพระโคดมชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของท่านพระโคดมชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ท่านพระโคดม ทรงประกาศธรรมแจ่มแจ้งโดยประการต่างๆ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดโดยตั้งใจว่า คนมีตาดี จักเห็นรูปได้ ข้าพระองค์ทั้งสองนี้ขอถึงท่านพระโคดม พร้อมทั้งพระธรรมและ พระสงฆ์เป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมจงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต” เตวิชชสูตรที่ ๑๓ จบ สีลขันธวรรค จบ รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. พรหมชาลสูตร ๒. สามัญญผลสูตร ๓. อัมพัฏฐสูตร ๔. โสณทัณฑสูตร ๕. กูฏทันตสูตร ๖. มหาลิสูตร ๗. ชาลิยสูตร ๘. มหาสีหนาทสูตร ๙. โปฏฐปาทสูตร ๑๐. สุภสูตร ๑๑. เกวัฏฏสูตร ๑๒. โลหิจจสูตร ๑๓. เตวิชชสูตร สีลขันธวรรค จบบริบูรณ์ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ สุตตันตปิฎกที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค จบ
มาโนช ทองแย้ม Mount Lyell shrew Ту имрӯз чӣ корҳо дорӣ? 4/20/2568 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
บทความที่ใหม่กว่า บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก
สมัครสมาชิก: บทความ (Atom)

รายการบล็อกของฉัน

  • สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม- กมฺมุนา วตฺตตีโลโก
    อรรถกถา ๓/ ๓ มหาสุตโสมชาดก ว่าด้วย พระเจ้าสุตโสมทรงทรมานพระยาโปริสาท - * ดาวน์โหลด พุทธประวัติ ทศชาติชาดก พระไตรปิฏก[image: Tweet] facebook ทั้งหมด รูปภาพ Google วิดีโอหนังสือข่าวสารMapsช็อปปิ้งเที่ยวบินวิดีโอสั้นเว็...
    1 สัปดาห์ที่ผ่านมา

พระพุทธไสยาสน์ หรือพระนอน

พระพุทธไสยาสน์ หรือพระนอน
คาถาบูชา “พระปางไสยาสน์” นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (สวด 3 จบ) ยัสสานุภาวะโต ยักขา เนวะ ทัสเสนติ ภิงสะนัง ยัมหิ เจวานุยุญชันโต รัตตินทิวะ มะตันทิโต สุขัง สุปะติ สุตโต จะ ปาปัง กิญจิ นะ ปัสสะติ เอวะมาทิคุณู เปตัง ปะริตตันตัมภะณามะเหฯ คติการสร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์หรือปางปรินิพพานนั้น เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้รำลึกถึงการเสด็จปรินิพพานขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะเดียวกันก็เพื่อเป็นอนุสติเตือนใจให้ดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาท สังขารทั้งหลายเป็นสิ่งไม่เที่ยง แม้กระทั่งพระพุทธองค์ก็ยังเลี่ยงไม่พ้น การสร้างพระนอนส่วนใหญ่มักอยู่ในท่าตะแคงขวา ในท่านอนของราชสีห์ (สีหไสยา เป็นท่านอนที่ให้กำหนดจิตให้ตื่นในเวลาที่ต้องการ) หลับพระเนตร พระเศียรหันไปทางทิศเหนือ หนุนพระเขนย พระหัตถ์ขวารองพระเศียรไว้ พระหัตถ์ซ้ายทอดไปตามพระวรกายเบื้องซ้าย พระบาทซ้ายทับพระบาทขวาลักษณะตั้งซ้อนกัน

คลังบทความของบล็อก

  • ►  2024 (541)
    • ►  ม.ค. 2024 (15)
    • ►  ก.พ. 2024 (1)
    • ►  มี.ค. 2024 (33)
    • ►  ก.ค. 2024 (18)
    • ►  ส.ค. 2024 (102)
    • ►  ก.ย. 2024 (147)
    • ►  ต.ค. 2024 (158)
    • ►  พ.ย. 2024 (30)
    • ►  ธ.ค. 2024 (37)
  • ▼  2025 (183)
    • ►  ม.ค. 2025 (51)
    • ►  ก.พ. 2025 (42)
    • ►  มี.ค. 2025 (4)
    • ►  เม.ย. 2025 (20)
    • ►  พ.ค. 2025 (50)
    • ▼  มิ.ย. 2025 (16)
      • [เล่ม 2] ตอนที่ 30 ไซอิ๋ว นวนิยาย
      • [เล่ม 2] ตอนที่ 31 ไซอิ๋ว นวนิยาย
      • [เล่ม 2] ตอนที่ 32 ไซอิ๋ว นวนิยาย
      • [เล่ม 2] ตอนที่ 33 ไซอิ๋ว นวนิยาย
      • [เล่ม 2] ตอนที่ 34 ไซอิ๋ว นวนิยาย
      • [เล่ม 2] ตอนที่ 35 ไซอิ๋ว นวนิยาย
      • [เล่ม 2] ตอนที่ 36 ไซอิ๋ว นวนิยาย
      • [เล่ม 2] ตอนที่ 37 ไซอิ๋ว นวนิยาย
      • [เล่ม 2] ตอนที่ 38 ไซอิ๋ว นวนิยาย
      • [เล่ม 2] ตอนที่ 39 ไซอิ๋ว นวนิยาย
      • [เล่ม 2] ตอนที่ 40 ไซอิ๋ว นวนิยาย
      • [เล่ม 2] ตอนที่ 41 ไซอิ๋ว นวนิยาย
      • [เล่ม 2] ตอนที่ 42 ไซอิ๋ว นวนิยาย
      • [เล่ม 2] ตอนที่ 43 ไซอิ๋ว นวนิยาย
      • [เล่ม 3] ตอนที่ 44 ไซอิ๋ว นวนิยาย
      • [เล่ม 3] ตอนที่ 45 ไซอิ๋ว นวนิยาย

Transformers ทรานฟอร์เมอร์

Transformers ทรานฟอร์เมอร์

Ju-On The Grudge เปิดตำนาน ผีดุ

Ju-On The Grudge  เปิดตำนาน ผีดุ

พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลกลืมไม่ได้ (1993) ภาพยนตร์ที่สร้างจากรื่องจริง

พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลกลืมไม่ได้ (1993)  ภาพยนตร์ที่สร้างจากรื่องจริง

Mortal Kombat มอร์ทัล คอมแบท

Mortal Kombat  มอร์ทัล คอมแบท

กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยะวิษณุกรรมประสิทธิ์

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

หน้าเว็บ

  • เครื่อรางสัตว์นำโชค ไสยศาสตร์ ค่านิยมของมนุษย์ในสังคมปัจจุบัน
  • Godzilla vs. Kong ก็อดซิลล่า ปะทะ คอง
  • พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๑
  • พระไตรปิฎก เล่ม ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค
  • พระไตรปิฎก เล่ม ๓ พระวินัยปิฎก ภิกขุนีวิภังค์ ว่าด้วยสิกขาบท ๓๑๑ ของภิกษุณี
  • พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑
  • พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒
  • พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๖ จุลวรรค ภาค ๑
  • พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒
  • พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘. ปริวาร
  • ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร / วัชระสูตร / สารคดี [ Prajna Paramita Haruthai Sutta ] litterarum
  • พระสัทธรรมปุณฑริกสูตร (妙法蓮華經) Sutta, 28 verses
  • พระสูตร เล่ม ๑
  • Nam Myo Ho Renge Kyo นัม เมียว โฮ เร็ง เง เคียว Lotus Sutta'nın Kitabı
  • Dragon Ball Z The Movie Super Android 13 (1992) ศึกมนุษย์ดัดแปลงหมายเลข 13
  • Journey To The West Conquering The Demons ไซอิ๋ว คนเล็กอิทธิฤทธิ์หญ่าย
  • Kingdom of the Planet อาณาจักรแห่งพิภพวานร
  • Buddhist Sects in Lān Nā between the Reigns of Phayā Tilōk to Phayā Kaeo (1441-1525) : Studies from Dated Bronze Buddha Images in Chiang Mai นิกายพุทธศาสนาในล้านนา ระหว่างรัชสมัยพระเจ้าติโลกราชถึงพญาแก้ว
  • Gamera Rebirth (2023) กาเมร่า รีเบิร์ธ
  • ภาพยนตร์ / ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 1 - 6
  • จิต วิญญาณ Spirituality
  • Chocolate (2008) ช็อคโกแลต
  • ริดดิก Pitch Black 2000 ‧ The Chronicles of Riddick
  • Fast The Fast and the Furious (2001) เร็ว..แรงทะลุนรก
  • Scooby-Doo! Frankencreepy (2014) สคูบี้ดู กับอสุรกายพันธุ์ผสม
  • สคูบี้-ดู และ แบทแมน ผู้กล้าหาญ Scooby-Doo & Batman The Brave and the Bold (2018)
  • The Crow อีกาพญายม (2024) เทพสงครามมังกร
  • คิงส์เกลฟ ไฟนอลแฟนตาซี Kingsglaive: Final Fantasy XV
  • Batman: Hush (2019) แบทแมน: ความเงียบ
  • Pacific Rim (2013-2018) แปซิฟิกริม สงครามอสูรเหล็ก
  • Mulan (2009) วีรสตรีโลกจารึก
  • Pirates of the Caribbean (2003) คืนชีพกองทัพโจรสลัดสยองโลก
  • Under Paris (2024) มฤตยู ใต้ปารีส

รายงานการละเมิด

บริษัทนี้ดี จำกัด ธีม. ขับเคลื่อนโดย Blogger.

วิชา คาถา ชินบัญชร

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ ปุตตะกาโม ละเภปุตตัง ธะนะกาโม ละเภธะนัง อัตถิกาเย กายะ ญายะ เทวานัง ปิยะตัง สุตตะวา อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตวา มารัง สะวาหะนัง จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา. ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเกเต มุนิสสะรา. สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร. หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะทักขิเณ โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะ วามะเก. ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะ ราหุโล กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก. เกสะโต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร นิสินโน สิริสัมปันโน โสภิโต มุนิปุงคะโว กุมาระกัสสโป เถโร มะเหสี จิตตะ วาทะโก โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิคุณากะโร. ปุณโณ อังคุลิมาโร จะ อุปาลี นันทะ สีวะลี เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเต ติละกา มะมะ. เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา. ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะ สุตตะกัง ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา ชินา นานาวะระสังยุตตา สัตตัปปาการะ ลังกะตา วาตะปิตตาทะสัญชาตา พาหิรัช ฌัตตุปัททะวา. อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะ เตชะสา วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร. ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะฮี ตะเล สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา. อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะ ปัญชะเรติ.