Translate

16 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 7 ไซอิ๋ว นวนิยาย

   ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖      
      
กูเจียงกุนนี้เดิมเป็นเต่าทอง มีความเพียรถือศีลภาวนารักษาจิตจนได้สำเร็จฌานแก่กล้า สำเร็จภาคแปลงกายได้ต่าง ๆ มีฤทธิ์เดชอานุภาพเชี่ยวชาญ ท่านจินบู๊จึงเอาไว้เป็นทหารฝ่ายขวา เวลาเห้งเจียเข้าที่คับขันจึงให้กูเจียงกุนมาช่วยรบแก่ปิศาจร้าย
จั๊วเจียงกุนนี้กำเนิดเดิมเป็นงูเห่า ได้ปฏิบัติธรรมรักษาศีลภาวนาจนได้สำเร็จภาค อาจเปลี่ยนแปลงรูปกายได้ต่าง ๆ มีฤทธาอานุภาพกล้าแข็ง ท่านจินบู๊เอาเป็นทหารฝ่ายซ้าย เมื่อคราวเห้งเจียมาขอพลทหาร จินบู๊ได้ให้จั๊วเจียงกุนไปช่วยเห้งเจียปราบปิศาจ
เล่งก๊ำอึ้งนี้เดิมกำเนิดเป็นปลาทองของพระโพธิสัตว์กวนอิม ท่านเลี้ยงไว้ในสระบัวแก้วเมื่อน้ำทะเลท่วมมาก ปลาทองก็หนีออกจากสระบัวแก้วไปตั้งตัวเป็นเจ้าเล่งก๊ำอึ้ง มีฤทธาอานุภาพเชี่ยวชาญ ต่อภายหลังพระโพธิสัตว์กวนอิมมาตามจับเอาตัวไปไว้ดังเดิม
ตั๊นเชงผู้นี้เป็นน้องของตั๊นเท่ง เมื่อเวลาพระถังขัมจั่งกับสานุศิษย์มาถึงบ้านเกจึงได้ช่วยบุตรตั๊นเชงกับบุตรตั๊นเท่งทั้งสองให้รอดพ้นจากความตาย แลได้เลี้ยงดูเคารพนับถือพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์เป็นอันดี
(บทที่ ๗)
 ซีไต้เซียนอ๋อง แลพวกพลเทพารักษ์ พร้อมด้วยจินกุน ยกกองทัพเหาะกลับมายังดาวดึงส์ ครั้นถึงประตู นำทีหมึงก็เดินตรงเข้าไปในปราสาทธงเม่งเต้ย ซีไต้เซียนอ๋องจึงเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่า ซีไต้อ๋อง กับถักทะลี ทีอ๋อง แลหมู่เทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลาย จับตัวซีเทียนไต้เซียมาได้แล้ว พักอยู่ข้างนอก ยังคอยฟังรับสั่งพระองค์อยู่ว่าจะ โปรดปรานประการใด เง็กเซียงฮ่องเต้จึงรับสั่งว่า ให้ตั้วลักกุ้ยอ๋องแลพวกธิเตงพิษณุกรรมเพชฌฆาตเอาตัวซีเทียนไต้เซียไปยัง สนามสำหรับฆ่าปิศาจ ประหารชีวิตเสีย แลทำลายกายให้ย่อยยับละเอียดป่นเป็นธุลี
 ฝ่ายตั้วลักกุ๊ยอ๋องกับธิเตงได้ฟังรับสั่งแล้ว ก็พาซีเทียนไปยังที่ฆ่านักโทษ จึงเอาตัวซีเทียนมัดเข้ากับเสา แล้วพวกเพชฌฆาตก็เอาดาบเข้าฟัน อาวุธก็มิได้บาดร่างกายซีเทียนสักเท่าเส้นขน น่ำเต๋าแชกุนจึงเรียกพวกเทพารักษ์อัคคีให้เอาไฟเผา ไฟก็ไม่ไหม้ร่างกายซีเทียน แล้วเรียกรามสูรเอา ขวานฟ้ามาผ่าอกซีเทียน ร่างกายซีเทียนก็มิได้เป็นอันตราย ซีเทียนก็ยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเซียนเพชฌฆาตก็สิ้นปัญญา ไม่สามารถจะฆ่าซีเทียนให้ตายได้
      ฝ่ายตั้วลักกุ้ยอ๋องเห็นดังนั้นแล้ว จึงกลับมากราบทูลเง็ก
เซียงฮ่องเต้ว่า ซึ่งพระองค์ทรงโปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายนำตัวซีเทียนไปประหารชีวิตนั้น พวกข้าพเจ้าทั้งหลายได้เอาอาวุธมีคมต่าง ๆ เข้าฟาดฟัน แต่อาวุธเหล่านั้นมิได้ทำอันตรายร่างกายของซีเทียน ที่สุดจนเอาไฟเผาก็มิได้สังหารร่างกายซีเทียนให้ไหม้ได้ แลได้ให้รามสูรเอาขวานฟ้ามาฟันก็มิได้เป็นอันตราย ฉะนี้ จะโปรดเกล้าฯ ประการใดต่อไป
      เง็กเซียงฮ่องเต้เมื่อได้ทรงฟังดังนั้นแล้วจึงตรัสว่า ถ้ากระนั้น จะทำไฉนจึงจะปราบลิงตัวนี้ได้
      ท้ายเสียงเล่ากุนได้ฟังเง็กเซียงฮ่องเต้รับสั่งดังนั้นจึงทูลว่า
ซีเทียนวานรตัวนี้ได้กินสิ่งของวิเศษ คือ ชมพู่ทิพย์ สุราทิพย์ แลยาวิเศษซึ่งเป็นยาอายุวัฒนะอันประกอบด้วยเครื่องทิพยโอสถเข้าอยู่ในกาย ของเหล่านี้ล้วนเป็นกายสิทธิ์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น จะเอาสิ่งใดเข้ามาทำลายนั้นไม่ได้ ขอพระองค์โปรดมอบตัวให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเอาตัวซีเทียนไปใส่เบ้าโบ้ยก่วยเผาหลอมเอายาทิพย์ออกแล้ว ร่างกายซีเทียนก็จะละลายแหลกละเอียดไป
      เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังท้ายเสียงเล่ากุนทูลดังนั้น ทรง
เห็นด้วย จึงรับสั่งให้ตั้วลักกุ้ยอ๋องแลหลักเตงออกไปแก้มัดซีเทียนมามอบให้ท้ายเสียงเล่ากุนเอาตัวไปทำตามความคิด
      ตั้วลักกุ้ยอ๋องจึงพากันออกไปแก้มัดซีเทียน แล้วก็เอาตัวซีเทียนมามอบให้ท้ายเสียงเล่ากุน
      ฝ่ายท้ายเสียงเล่ากุนก็พาตัวซีเทียนไปยังวิมานดุสิตโดย
เร็ว ฝ่ายยี่หนึงจินกุนก็เข้ามาเฝ้าถวายบังคมหน้าพระที่นั่งเง็กเซียงฮ่องเต้ โปรดประทานดอกไม้ทองคำทิพย์ร้อยกิ่ง สุราทิพย์ร้อยคนโท โอสถทิพย์ร้อยเมล็ด แลของวิเศษต่าง ๆ รับสั่งให้แบ่งปันแก่พวกพี่น้องทั้งหกนั้น
 จินกุนครั้นได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแล้วก็มีความยินดี
      ฝ่ายพระกวนอิมเห็นสิ้นการสิ้นธุระแล้วก็ถวายพระพรลา
เง็กเซียงฮ่องเต้ แล้วก็พยักหน้าให้จินกุนถวายบังคมลาออกจากประตูสวรรค์ แล้วขึ้นเหยียบเมฆต่างก็เหาะกลับไปยังที่สำนักนั้นแต่เดิมมา
      ฝ่ายท้ายเสียงเล่ากุน เมื่อพาตัวซีเทียนขึ้นมายังชั้นดุสิต
ครั้นถึงแล้ว ก็จัดแจงเบ้าโบ้ยก่วย เสร็จแล้วจึงเอาตัวซีเทียนแก้มัด ถอดมีดกายสิทธิ์ที่เสียบสันหลังนั้นออกเสีย แล้วก็ผลักตัวซีเทียนลงในเบ้า แล้วเอาฝาปิดแน่นหนา ให้สานุศิษย์เอาไฟใส่สุมเบ้านั้น ประกอบด้วยอากาศธาตุแปดส่วน คือ เขียนว่า ฟ้า หนึ่ง น้ำ หนึ่ง กึ้น ว่า ไม้ หนึ่ง ทั้ย ว่า ทอง หนึ่ง จิ้น ว่า กระท้าน หนึ่ง ซ้อน ว่า ลม หนึ่ง ลี้ ว่า ไฟ หนึ่ง คุม ว่า ดิน หนึ่ง (กระท้านนั้นคือลมพายุ) รวมทั้งแปดนี้ประกอบเป็นเบ้ากายสิทธิ์เรียกว่า เบ้าโบ้ยก่วย
      เมื่อเวลาท้ายเสียงเล่ากุนเอาตัวซีเทยีนใส่ลงในเบ้านั้น
ซีเทียนแอบมาอยู่ที่ส่วนลม เพราะลมบังคับไฟให้เย็นได้ เพราะฉะนั้น ซีเทียนจึงไม่เป็นอันตราย แลจักษุของซีเทียนนั้นแดงเป็นไฟ เพราะไฟนอกสุมแรงมาก นัยน์ตาซีเทียนเขม้นอยู่ ตาของซีเทียนแดงเหมือนแสงไฟ ขณะเมื่อไฟฟ้าร้อนนั้นซีเทียนก็หาร้อนเป็นอันตรายไม่
      ตั้งแต่ท้ายเสียงเล่ากุนสุมไฟมาได้สิบเก้าวัน ตามกำหนด
แล้ว ท้ายเสียงเล่ากุนให้เปิดฝาเบ้าเอายาวิเศษ ที่ซีเทียนลักกินนั้น ครั้นพวกศิษย์งัดฝาเบ้าเผยขึ้นออก เมื่อซีเทียนอยู่ในเบ้าไม่เห็นแสงสว่าง ครั้นได้ยินเสียงเบ้าสะเทือน
จึงแลขึ้นไปเห็นแสงสว่าง จึงได้ดำริในใจว่า เราจะนิ่งอยู่อย่างนี้เห็นจะไม่เป็นการ จำจะหนีไปเสียแต่เมื่อยังไม่ทันเขา ระวังจึงจะได้ คิดดังนั้นแล้วก็คอยขยับ พอฝาเบ้าแย้มเปิด ซีเทียนก็เผ่นขึ้นบนปากเบ้า ถีบด้วยกำลังอันแรง เบ้านั้นก็หก คว่ำ พวกเซียนซึ่งอยู่พร้อมกันในที่นั้นก็ตรูกันเข้าจับ ซีเทียนก็กระโจมเข้าทุบตีพวกเซียนเหล่านั้นคนละทีสองทีลุกล้ม วิ่งกระจายไปหมด ไม่มีผู้ใดจะรบรอต่อสู้ซีเทียนได้แต่สักคนหนึ่ง
 ฝ่ายท้ายเสียงเล่ากุนเห็นดังนั้นก็วิ่งเข้ามาจะจับตัวซีเทียน ในขณะนั้น ซีเทียนดุจเสือร้าย ท้ายเสียงเล่ากุน ตรงเข้ามาจะจับตัวซีเทียน ซีเทียนก็ชกด้วยหมัด ถูกท้ายเวียงเซไปแล้วก็ล้มลง ซีเทียนก็รีบออกจากที่นั้น ชักกระบองออก จากหูร้องว่า ใหญ่ ๆ กระบองก็ใหญ่ขึ้นทันทีตามคำสั่ง ซีเทียนจับกระบองกวัดแกว่งตีออกมามิได้เว้นว่าใครแลใคร พวก เซียนทั้งหลายพากันวิ่งวุ่นวายหวั่นหวาดไปทุกวิมาน ซีเทียนไล่พวกเซียนแลเทวดามาจนถึงวิมานดาวทั้งเก้า วิมานดาวทั้ง เก้าก็ต้องปิดประตูวิมานเงียบไปหมด ท้าวจตุโลกบาลซีไต้ทีอ๋องก็พากันวิ่งหนีไปหมด ในคราวนั้น ซีเทียนไม่เลือกหน้าว่าผู้ใดสูงหรือต่ำ ถือ กระบองเที่ยวไล่ตีกระหนาบไปทั้งนั้น ไม่มีผู้ใดจะรอดได้
  ซีเทียนไล่ตีลงมาจนถึงปราสาทธงเม่งเต้ย ซีเทียนคิดจะตีเข้าไป ในปราสาทเหลงเซียวเต้ย บังเอิญพบอีวเซี้ยจินกุน จอสือเล่งกัว เทพบุตรทั้งสองนี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ของเง็กเซียงฮ่องเต้ อีวเซี้ยจินกุนเห็นซีเทียนไล่ตีเข้ามาดังนั้น ก็ชักกระบองกายสิทธิ์เข้าสกัดหน้า ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายลิงไพร จะไปข้างไหน เหตุใดตัวจึงบังอาจกระทำการกำเริบบ้าหลังเช่นนี้ ซีเทียนเห็นเข้าแล้วก็มิได้รอรั้ง ยกกระบองขึ้นตีตรงเข้ามา จอสือเล่งกัวเห็นดังนั้นก็ถลันแข็งเข้ามาเอากระบองยกขึ้นรับ ต่างรบกันอยู่ที่หน้าประตูปราสาทเหลงเซียวเต้ย ยังหาทันแพ้ ชนะกันไม่ อีวเซี้ยจินกุนจึงให้พวกเซียนทหารไปเรียกพวกรามสูรสามสิบหกนายมาให้รีบช่วยกันรบซีเทียน
 ฝ่ายพวกรามสูรก็ถือศัสตราเครื่องอาวุธครบมือกันมาระดมล้อมซีเทียนไว้ทั้งซ้ายขวา ซีเทียนเห็นพวกเทพ บุตรมาล้อมไว้แน่นหนาดังนั้น จึงร่ายพระเวทแปลงกายเป็นสามเศียรหกกร ถือกระบองสามอันกวัดแกว่งดุจดังว่าจักร ผัน เข้ารบเทพบุตรอยู่ในท่ามกลางที่ล้อม เทพบุตรทั้งหลายก็มิอาจจะเข้าใกล้ซีเทียนได้ เวลานั้น เสียงสู้รบกันก็สะท้าน หวั่นไหวไปทั้งวิมาน ทราบถึงเง็กเซียงฮ่องเต้ตกพระทัย จึงรับสั่งให้อีวเปี๋ยนเล่งกัว อีวเซี้ยจินกุน ทั้งสองรีบไปยังทิศประจิม นิมนต์สมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊มาโดยเร็ว เทพบุตรทั้งสองได้ฟังรับสั่งพระเป็นเจ้าโลกดังนั้นแล้ว ก็ถวายบังคมลารีบ ออกจากวิมานเมืองฟ้า เหาะไปยังทิศประจิม
 ครั้นถึง เทพบุตรทั้งสองก็เหาะลงยังพื้นดิน เดินตรงเข้ามายังอารามลุ่ยอิม เจ้าไปนมัสการซี้ไต้กิมกังแล พระสานุศิษย์ทั้งหลาย แล้วจึงบอกว่า ขอได้กรุณาช่วยกราบเรียนพระผู้เป็นเจ้าเป็นที่พึ่งของโลกทราบว่า ข้าพเจ้าทั้งสอง นี้รับเทวบัญชาของเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ลงมานิมนต์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นไปยังดาวดึงส์บัดนี้ ส่วนสานุศิษย์ทั้งหลายเมื่อได้ทราบความดังนั้นจึงเข้าไปกราบทูลพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ (เข้าใจกันว่า พระยูไล) คือ พระอรหันต์ พระองค์จึงโปรดอนุญาตให้นำอีวเปี๋ยนเล่งกัว อีวเซี้ยจินกุน ทั้งสองเข้าไปเฝ้า ครั้นถึง ก็กระทำนมัสการกราบไหว้โดยความเคารพ แล้วก็คุกเข่าประนมมือนิ่งอยู่
 สมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊จึงถามว่า เง็กเซียงฮ่องเต้มีกิจธุระอะไร จึงให้ท่านทั้งสองมาหาข้าพเจ้า เทพบุตรทั้งสองจึงกราบทูลความตามที่ซีเทียนได้กระทำการวุ่นวายตั้งแต่ต้นจนปลายให้พระเป็นเจ้าทรงทราบทุกประการ แล้วกราบทูลต่อไปว่า เง็กเซียงฮ่องเต้ให้ข้าพเจ้ามานิมนต์พระผู้เป็นเจ้าไปช่วยระงับ ด้วยซีเทียนรุกรานเข้าไปจวนจะถึงอับ จนอยู่แล้ว ถ้าพระองค์ไม่ทรงพระกรุณา เห็นดาวดึงสพิภพจะเป็นอันตรายเสียเป็นมั่นคง ขอพระองค์ได้โปรด
 สมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ได้ทรงทราบดังนั้นแล้ว จึงตรัสเรียกพระออนันฮุดโจ๊ กับพระเกียเอี๋ยมฮุด โจ๊ ทั้งสองให้ตามพระองค์ไปด้วย ครั้นพร้อมกันเสร็จแล้ว สมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊พร้อมด้วยศิษย์แลเทพบุตรออกจากพระอาราม แล้ว ทรงกระทำปาฏิหาริย์ไปทั้งสามองค์ เทพบุตรทั้งสององค์ก็เหาะตามไปยังดาวดึงส์ ครั้นถึงหน้าประตูเหลงเซียวเต้ย พระองค์ทรงรับสั่งแก่เทพบุตรทั้งหลายว่า ท่านทั้งปวงจงเลิกการรบพุ่งเถิด เทพบุตรทั้งหลายเมื่อได้ยินพระเป็นเจ้าตรัสสั่งดังนั้น ต่างก็ถอยห่างออกไปจากที่รบ
 ฝ่ายสมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊จึงทรงตรัสเรียกว่า ซีเทียนจงออกมานี่ เราจะถามดูเหตุผลต้นปลายเป็น ประการใดจึงได้มารบพุ่งกันออกวุ่นวายดังนี้ ฝ่ายซีเทียนเมื่อได้ยินพระเป็นเจ้าเรียกดังนั้น ก็คลายมนต์กลับเป็นรูปเดิมตามปรกติ แต่กำลังยังมี โทสะอยู่ จึงร้องถามด้วยเสียงอันดังว่า ท่านผู้นี้อยู่ที่ไหน จึงอาจสามารถมาห้ามปรามเราเมื่อกำลังรบพุ่งแลเรียก ชื่อเราฉะนี้ จะมีธุระอะไรหรือ
 สมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ได้ทรงสดับซีเทียนถามดังนั้น จึงตรัสว่า ตัวเจ้าทำการวุ่นวายในโลก มนุษย์จนกระทั่งถึงเทวโลกทุก ๆ แห่งให้ได้ความเดือดร้อนไปทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าตัวเจ้าเกิดเมื่อไร อยู่ที่ไหน ได้ธรรมอัน วิเศษอันใด จึงทำการให้เกิดวุ่นวายดังนี้ ซีเทียนได้ยินถามดังนั้นก็ร้องตอบว่า ตัวข้าพเจ้านี้คืออากาศฟ้าดินประมวลรวมธาตุกายสิทธิ์ในศิลาจึง บังเกิด ตัวข้าพเจ้าเป็นวานร อาศัยอยู่ในภูเขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเป็นที่อยู่ เที่ยวสืบหาอาจารย์เรียนวิชาบรรลุ ธรรมวิเศษอายุวัฒนากาล ไม่ตาย แลมีวิทยา อาจสำแดงแผลงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ หาที่สุดมิได้ เพราะอยู่ในมนุษยโลก คับแคบไม่พอใจ อยากจะใคร่อยู่ในสวรรค์บ้าง จึงขึ้นมายังวิมานเหลงเซียวเต้ยแห่งนี้ อันตำแหน่งเง็กเซียงฮ่องเต้นี้ ธรรมดาก็ต้องผลัดเปลี่ยนกัน ผู้ใดมีกำลังฤทธาอานุภาพมาก จะต้องยกให้ผู้นั้นเป็น จึงจะสมควร เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้า จึงปรารถนาจะมาชิงเอาที่นี้บ้างตามความปรารถนา
 สมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ได้ทรงฟังซีเทียนวานรพูดดังนั้น จึงทรงแย้มพระโอฐ ตรัสว่า ตัวเจ้าก็ เป็นแต่วานรชาติเดรัจฉาน ทำไมอาจสามารถมีความกำเริบคิดจะเป็นถึงเง็กเซียงฮ่องเต้ จะได้ด้วยเหตุอะไรเจ้ายังจะรู้สึก แล้วหรือ เราจะว่าให้เจ้าเข้าใจก่อน คือ ท่านเง็กเซียงฮ่องเต้นี้ตั้งแต่เล็กมาก็รักษาศีล ให้ทาน แลเจริญกุศลภาวนา มีความบริสุทธิ์ ตั้งอยู่ในทางสัมมาปฏิบัติต่อ ๆ มาพันห้าร้อยห้าสิบกัลป์ กัลป์หนึ่งเป็นสิบสองหมื่นเก้าพันหกร้อยปี เจ้าจงคิดดูว่ามากน้อยเท่าใด เพราะดังนั้น จึงได้ขึ้นมารับบรมสุขในวิมานชั้นดาวดึงส์นี้ด้วยอานิสงสคุณที่ได้สร้างมา ก็ตัวเจ้าเพียงแต่กำเนิดลิงยังอยู่ในชาติเดรัจฉาน อาจสามารถจะปรารถนาทิพยสมบัติขึ้นนั่งที่เป็นเง็กเซียงฮ่องเต้ทีเดียว หรือ เจ้าจงคิดกลับใจเสียใหม่เถิด คิดดังนั้นหาสมควรไม่ อายุของเจ้าจะถอยสั้นไม่เป็นผล
 เจ้าจงเร่งกลับใจโดยเร็ว อายุจะได้ยืนนาน ถ้าเจ้าไม่ฟังคำเราสอน ชีวิตของเจ้าจะดับสูญไปโดยเร็ว เรามีความกรุณาว่าตัวเจ้าเคยปฏิบัติทางชอบ ดี มาช้านาน จงคิดกลับใจเสียใหม่เถิด ซีเทียนได้ฟังสมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ทรงสั่งสอนให้สติตักเตือนดังนั้น จึงตอบว่า มาตรว่าเง็ก เซียงฮ่องเต้รักษาศีลมานานมากกัลป์ก็ดี นานปีก็จริง แต่ไม่ควรอยู่ในที่นี้ เพราะคำบุราณท่านกล่าวไว้ว่า ที่ทางต้อง อาศัยเปลี่ยนแปลงกัน ในปีนี้ควรข้าพเจ้าจะได้นั่งที่นี้ ต้องให้ท่านเง็กเซียงฮ่องเต้ออกไปอยู่เสียที่อื่น วิมานนี้ให้เป็นสิทธิ์แก่ ข้าพเจ้า การกลียุคจึงจะราบคาบไปได้ทั้งสิ้น แม้มิยกที่นี้ให้แก่ข้าพเจ้า การกลียุคก็จะเกิดวุ่นวายไม่มีความสุขได้ทั่วโลก
 พระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ได้ฟังซีเทียนพูดดังนั้น จึงตรัสว่า เจ้าพูดว่าเจ้ามีอายุยืนเท่านั้น จะชิงเอาวิมาน ของเทพยดาจะได้หรือ เจ้าไม่รู้จักอะไรเลย อันทิพยสถานวิมานฟ้าแลทรัพย์สมบัติยศบริวารทั้งหลายย่อมได้ด้วยผลของ ความดีความชอบ คือ บุญกุศลที่ตนได้สร้างมาแต่ชาติปางก่อน มิใช่จะได้โดยฤทธาอานุภาพเรี่ยวแรงเมื่อไรมี ซีเทียนจึงพูดว่า ข้าพเจ้าก็มีศีล มีสัตย์ แลมีวิทยาหลายประการ แปลงกายได้ถึงเจ็ดสิบสองอย่าง หมื่น กัลป์ข้าพเจ้าก็ไม่แก่ไม่ตาย แลชำนาญในการกระทำปาฏิหาริย์ ตีลังกาไปได้ทีหนึ่งไกลถึงหมื่นแปดพันโยชน์ ทำไมจะ นั่งที่พระอินทร์ไม่ได้ทีเดียวหรือ
 พระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊จึงตรัสว่า ถ้าเจ้าอวดอ้างว่าเจ้ามีวิชาดีจริงแล้ว เจ้าจงกระทำปาฏิหาริย์ให้เราดู แม้เจ้ากระโดพ้นฝ่ามือของเราไปได้ เราจะให้เง็กเซียงฮ่องเต้ไปอยู่เสียข้างทิศประจิม จะให้เจ้าอยู่ในวิมานดาวดึงส์นี้ตาม ความปรารถนาของเจ้า ถ้าเจ้ากระโดดไม่พ้นฝ่ามือเรา เจ้าต้องลงไปเป็นปิศาจลิงอยู่เบื้องต่ำรักษาศีลเจริญภาวนารักษา ตัวปฏิบัติไปอีกหลายกัลป์ จึงค่อยมาชิงเอาวิมานี้ ซีเทียนครั้นได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็หัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าตีลังกาทีหนึ่งไปได้ถึงหมื่นแปดพันโยชน์ ฝ่ามือนิดหนึ่งเท่านั้น ทำไมจะโดดไปไม่พ้น
 แล้วซีเทียนจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นขอให้ท่านยื่นฝ่ามือมา ข้าพเจ้าจะกระโดด ให้ท่านดู พระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊จึงยื่นพระหัตถ์แบฝ่ามือออกมาให้ซีเทียน ซีเทียนสำรวมจิตร่ายพระเวทคาถา กระโดดขึ้นอยู่ในฝ่าพระหัตถ์ของพระ แล้วจึงพูดว่า ท่านจงคอยดู ข้าพเจ้าจะหกคะเมนไปเดี๋ยวนี้ ว่าแล้วซีเทียนก็ตีลังหก คะเมนไป หวังใจว่าจะให้พ้นฝ่าพระหัตถ์ของพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ พระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ทรงเล็กทิพยจักษุแลตามช่องเมฆที่ซีเทียนไปโดยเร็วดุจลมพัดนั้นด้วย
 ซีเทียนเมื่อตีลังกาไปจนสิ้นกำลังแล้ว ก็ลงหยุดยังฟากตีนฟ้า จึงแลไปเห็นเสาจันทน์แดงห้าต้นค้ำฟ้าอยู่ อันเสาจันทน์แดงนั้นคือนิ้วพระหัตถ์ของพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ เรียกว่า เสานิ้วแดง ก็ว่า ซีเทียนจึงคิดว่า เรามาถึงนี่แล้วก็สิ้นระยะทางเท่านั้น ในคราวนี้ เราจะกลับไป พระได้สัญญาไว้แก่ เรา เราคงได้นั่งที่แทนเง็กเซียงฮ่องเต้เป็นบรมสุขแล้ว คิดดังนั้นแล้วจึงมาคิดว่า เราจำจะทำสำคัญไว้จึง จะชอบ คิดดังนั้นแล้วจึงถอนขนเพชรออกเส้นหนึ่ง ร่ายพระคาถาเป็นพู่กันอันหนึ่ง จึงเขียนอักษรหกตัวที่ เสากลางว่า ซีเทียนไต้เซียเก่าปี้ แปลเป็นความไทยว่า ซีเทียนได้มาถึงที่นี้
 ครั้นเขียนแล้วจึงเรียก ขนเพชรกลับเข้าตนตามเดิม แล้วก็ถ่ายปัสสาวะลงไว้ที่โคนเสา แล้วหกคะเมนกลับมายังฝ่ามือดังเก่า แล้วจึงพูดว่า ท่านต้องบอกเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ยกวิมานให้แก่ข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้เถิด พระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊จึงตรัสว่า ตัวเจ้าออกไปยังไม่พ้นฝ่ามือเราเลย จะนั่งวิมานยังไม่ได้ ซีเทียนเถียงว่า ข้าพเจ้าได้หกคะเมนไปจนสิ้นระยะทางแล้ว ปะเสาจันทน์แดงห้าต้น ได้จารึกอักษรหก ตัวไว้เป็นสำคัญ แลได้ถ่ายปัสสาวะไว้ที่โคนเสาจันทน์ด้วย ถ้าท่านไม่เชื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะพาท่าน ไปดู จะได้เห็นจริงด้วยกัน
 พระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊จึงตรัสว่า เราไม่ต้องไปให้ลำบากเจ้า จงก้มลงดูที่ฝ่ามือเราก่อน จะได้เห็นสิ่งสำคัญว่า เจ้าไปไม่ พ้นฝ่ามือเรา ซีเทียนจึงก้มศีรษะลงมองดู ก็เห็นที่นิ้วกลางของพระนั้นมีอักษรอยู่หกตัว แลมีน้ำปัสสาวะของตัวอยู่ด้วย ซีเทียนเห็นดังนั้นก็ตกใจ นึกว่า เราเขียนหนังสือไว้หกตัวอยู่ที่เสาต้นกลาง ทำไมจึงมาอยู่ที่นิ้วมือพระองค์นี้ เป็นที่ อัศจรรย์ใจนัก แล้วมานึกว่า หรือจะมีคนจับยามรู้ว่าเราเขียนอักษรไว้ที่เสาจันทน์นั้น จึงได้เอามาเขียนที่นี่ คิดแล้วจึงพูด แก่พระว่า ข้าพเจ้ายังไม่เห็นจริง ไม่เชื่อ ข้าพเจ้าจะขอหกคะเมนกลับไปดูใหม่ ซีเทียนว่าแล้วขยับจะหกคะเมนไป พระจึงคว่ำฝ่าพระหัตถ์ลงครอบซีเทียนไว้ ซีเทียนก็ติดอยู่ในอุ้งมือของพระ
 แล้วพระองค์ก็สลัดให้ซีเทียนกระเด็นไปจาก วิมานดาวดึงส์ทางประตูทิศประจิม บังเกิดเป็นเบญจคีรีห้ายอดครอบซีเทียนลงไว้กับพื้นพสุธาดล เขานั้นติดกันทั้งห้า เขา เรียกว่า เง้าเห้งซัว คือ ประกอบด้วยเบญจธาตุทั้งห้า คือ ธาตุทองคำ หนึ่ง ธาตุไม้ หนึ่ง ธาตุน้ำ หนึ่ง ธาตุ ไฟ หนึ่ง ธาตุดิน หนึ่ง หมู่เทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลายแลเห็นดังนั้นต่างก็ตบมือร้องสาธุการสรรเสริญว่า ชอบแล้ว ควรแล้ว พากันมีความยินดีทุกทั่วหน้า มีคำกลางว่า ตั้งความเพียนอุตสาหะปฏิบัติมานานปีตั้งหมื่นกัลป์ ไม่เคลื่อนทางมรรคผล คราวนี้แผลง ฤทธิ์เดชดังสะท้านสะเทือนตลอดโลก ไม่รู้ว่าอีกกี่พันปีจึงจะกลับออกได้
 ฝ่ายสมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ทรงกำจัดซีเทียนแล้ว จึงเรียกพระออนันแลพระเกียเอี๋ยมจะเสด็จ กลับยังทิศประจิม ในขณะนั้น มีเซียนสองเซียน คือ ทิผอง ทิอิ๋ว เทพบุตรทั้งนี้มาคุกเข่านิมนต์ขอให้พระองค์หยุดสัก ประเดี๋ยว ด้วยเง็กเซียงฮ่องเต้จะออกมาเฝ้า พระองค์ก็ทรงรับนิมนต์ บัดเดี๋ยว เง็กเซียงฮ่องเต้ก็ออกมาเฝ้าถวาย พระอภิวาทกราบไหว้ แล้วจึงพูดว่า จ้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าขอบพระบารมีของพระองค์เป็นที่ยิ่งซึ่ง ได้กำจัดซีเทียนให้เสื่อมเสียพยศอันร้าย พวกเซียนทั้งหลายได้เป็นสุขทุก ๆ วิมาน พระบารมีคุณนั้นหาที่สุดมิได้ ขออาราธนานิมนต์หยุดพักสักวันหนึ่ง จะได้เชิญเทพยดาทั้งหลายทำพิธีเลี้ยงโต๊ะแลถวายเครื่องทิพยโภชนาหารแก่ พระองค์สักครั้งหนึ่ง
 สมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ได้ทรงฟังเง็กเซียงฮ่องเต้นิมนต์ดังนั้น จึงตรัสว่า อาตมภาพทราบว่า บพิตรมีความเดือดร้อน จึงมาช่วยระงับเหตุการณ์ โดยความประสงค์จะให้เทพยดาอารักษ์ทั้งหลายได้มีความผา สุกสวัสดิภาพโดยปรกติตน เง็กเซียงฮ่องเต้จึงทูลนิมนต์ขอให้พระองค์ขึ้นพักอยู่บนพระตำหนักสถิตยังทิพรัตนบัลลังก์ แล้วจึงตรัสสั่ง ให้พวกเทพบุตรรามสูรรีบแยกกันเหาะไปทุกวิมานเชิญเทพยดามาพร้อมกันยังตำหนักเง็กเกียมกิมข้อยไท้เหี้ยนโป๊เก๋ง จะได้นมัสการขอบพระบารมีคุณของพระ
 ฝ่ายหมู่รามสูรก็แยกย้ายกันไปเที่ยวประกาศป่าวร้องตามรับสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ ครั้นพวกรามสูรไป แล้วจึงรับสั่งแก่ซีไต้เทียนซือเทพบุตรแลหมู่นางฟ้าให้จัดแจงเปิดพระตำหนักตำหนักเง็กเกียมกิมข้อยไท้เหี้ยนโป๊เก๋ง ปราสาทแล้ว แลรัตนบัลลังก์สำหรับพระซึ่งจะได้ประทับอยู่ท่ามกลาง สองข้างไว้ที่เซียนเทพบุตรนั่ง แลประดับ ด้วยเครื่องวิเศษต่าง ๆ แลเครื่องทิพยโอชารสต่าง ๆ
 ครั้นจัดเสร็จแล้ว ในเวลานั้น มีเง็กเซงง่วยซุ้ยทีจุน หนึ่ง เสียงเซงเล่งโป๊ทีจุน หนึ่ง ทั้ยเซงเต่าเง็กทีจุน หนึ่ง เง้าขีจินกุน หนึ่ง เง้าเต้าแชกุน หนึ่ง ซัมกัวซื้อเซีย หนึ่ง เก๊าอิ๋วแชกุน หนึ่ง จ๊าหู หนึ่ง อิ๋วปักทีอ๋อง หนึ่ง (อธิบายว่า ท่านที่ออกนามมานั้นล้วนแต่พรหมทั้งสิ้น) โลเฉีย หนึ่ง เหี้ยนหยื้อ หนึ่ง หมู่นี้เทพบุตรนำเครื่องราชวัติฉัตรธง แลเครื่องวิเศษ ดอกไม้ทิพย์ ของหอมประหลาดต่าง ๆ ครั้นมาถึงก็นำขึ้นถวายกราบนมัสการพร้อมกัน แล้วกล่าวว่า ขอบพระบารมีคุณซึ่งทรงปราบ ซีเทียนวานรให้พินาศไปได้ พวกข้าพเจ้าทั้งหลายจึงได้พ้นจากความเดือดร้อนรำคาญ
 ในเวลานั้น เง็กเซียงฮ่องเต้พร้อมด้วยเทพยดาแลพรหมทั้งหลายกระทำสักการบูชาพระเสร็จแล้วด้วย ประการต่าง ๆ ก็ประชุมเลี้ยงโต๊ะกันเป็นการรื่นเริง ครั้นเสร็จการเลี้ยงแล้ว จึงพร้อมกันกราบทูลสมเด็จพระเซ็กเกีย มองนิฮุดโจ๊ขอให้พระองค์ทรงตั้งนามการประชุมนี้ไว้เป็นที่ระลึกอยู่สิ้นกาลนานในภายหน้า สมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ได้ทรงฟังเทพเจ้าทั้งหลายทูลขอนามการประชุมเลี้ยงโต๊ะครั้งนั้น ทรง แย้มพระโอฐโปรดประทานนามว่า เทียนอันพิฮวย แปลว่า วิมานประชุมความสุขของหมู่เทพยดาทั้งหลาย หมู่เทพ ยดาทั้งหลายจึงพร้อมกันเรียกว่า อันพิฮวย แล้วพร้อมกันนั่งกินเลี้ยงโต๊ะอีกคราวหนึ่งตามลำดับผู้น้อยผู้ใหญ่ แล ประโคมเครื่องดนตรีพิณพาทย์ระนาดฆ้องเป็นที่รื่นเริงสำราญทั่วทุกเทพยดา
 ฝ่ายอ๋องโป๊เนี่ยเนี้ยนางท้าวเทวราชก็นำเครื่องมาลาประหลาดต่าง ๆ แลผลชมพู่สองผลขึ้นถวายพระ แล้วนมัสการกราบทูลว่า ขอบพระบารมีคุณอภินิหารของพระองค์ที่ทรงกำจัดปิศาจวานรเสียได้ กระทำให้พวกข้าพเจ้าได้ มีความสุขสำราญทั่วกัน สักประเดี๋ยวมีน่ำเก๊ดซินแซเหาะมา ครั้นถึง ตรงเข้าถวายบังคมเง็กเซียงฮ่องเต้ แล้วก็นมัสการพระเซ็ก เกียมองนิฮุดโจ แล้วจึงทูลว่า ซีเทียนนั้นได้ยินว่าท้ายเสียงเล่ากุนเอาตัวไปหลอมเผาหมายว่าในวิมานจะเป็นสุข บังเอิญ หนีไปได้
 ครั้งนี้ได้พึ่งบารมีของพระองค์ปราบปรามลงได้ ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงได้พ้นจากความเดือดร้อนเป็นบรมสุขสันต์ ถาวร ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งของอันใด มีแต่ทิพยโอสถ หญ้าทิพย์ ของหอม จะขอถวายแก่พระองค์อันเป็นที่เลื่อมใสแห่ง ข้าพเจ้า แล้วกล่าวพรถวายว่า ขอให้พระองค์มีพระชนมายุยืนยาวเท่าแก่ทรายในพระมหาสมุทร แล้วกล่าวคำถวายพร ว่า ขอให้พระกายของพระองค์สูงหกวา พระสรีรรูปเป็นทองคำธรรมชาติ ประทับนั่งบนบัวเก้าชั้น แลมีธรรมอันสุขุม เปล่าว่าง เทพยดาแลมนุษย์ทั้งหลายในสากลโลกนี้ไม่มีผู้เสมอด้วยพระองค์แล้ว
 ขณะนั้น แลเห็นชิดเคียดไต้เซียนเหาะมาถึง แล้วเดินตรงเข้ามาถวายบังคมเง็กเซียงฮ่องเต้ แล้วคุกเข่า ลงคลานนมัสการพระ แล้วนำผลสาลี่ทิพย์สองผลกับพุทราทิพย์สองผลถวาย แล้วทูลถวายพรแก่สมเด็จพระเซ็กเกียมอง นิฮุดโจ๊ แล้วพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ก็เสด็จลงจากอาสนะ
 ในขณะนั้น ซุนซีเลงกัวมากราบทูลว่า ซีเทียนโผล่ศีรษะออกมา จากเขาแล้ว ซุนซีเลงกัวนี้คือเป็นทหารรักษาองค์ของเง็กเซียงฮ่องเต้ สมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊จึงตรัสว่า ท่านอย่าวิตก ตรัสแล้วก็ชักเอายันต์ออกมาจากกลีบจีวร ในยันต์มีอักษรหกตัว คือ ง่ายมอนิปัดมิฮอง ส่งให้พระออนันให้เรียบไปยัง เขาเง้าเห้งซัว ให้เอายันต์นี้ไปปิดที่ยอดเขา พระออนันฮุดโจ๊รับยันต์แล้วปาฏิหาริย์รีบกลับลงไปยังเขาเง้าเห้งซัว
 ครั้นถึงจึงเอายันต์นั้นปิดที่ยอดเขา แลเขาก็บันดาลมีรากงอกลงไป พระออนันปิดยันต์แล้วก็กระทำปาฏิหาริย์กลับมายัง ดาวดึงสพิภพ กราบทูลว่า ได้นำยันต์ไปปิดแล้วตามสั่ง สมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ทรงภาวนาเรียกหมู่พระภูมิเจ้าที่ซึ่งอยู่ ณ เขาเง้าเห้งซัวให้ขึ้นไปที่ดาวดึงส์ พระภูมิทั้งหลายก็ขึ้นไปเฝ้าถวายนมัสการ แล้วก็ยืนอยู่ในที่อันสมควร พระจึงตรัสสั่งแก่พระภูมิเจ้าที่ทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายจงอยู่รักษาดูแลที่เขาเง้าเห้งซัวนี้ให้จงดี ทรมานให้ซีเทียนหมดพยศหมดโทษแล้ว ต่อไปภายหน้าก็คงจะมี ผู้ช่วยซีเทียนให้ออกพ้นจากเขาได้
 ตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงสนทนาแก่เง็กเซียงฮ่องเต้แลเซียนทั้งหลายเสร็จแล้ว แล้วก็ทรงตรัสกำชับท้าวตี่ก๋ง คือ พระภูมิเจ้าที่ ให้ระวังซีเทียน เสร็จแล้วก็ทรงลาเง็กเซียงฮ่องเต้ออกจากวิมานพร้อม ด้วยพระออนัน
   ครั้นถึง ทอดพระเนตรเห็นหมู่ศิษย์ทั้งหลายใหญ่น้อยถือฉัตรธงแลมาลาธูปเทียนยืนรายกันคอยนมัส การรับพระองค์ พระองค์จึงตรัสแก่ศิษย์ทั้งหลายเป็นอรรถว่า ปัญญาลุ่มลึก รู้แจ้งทั้งสามภพ มูลรากสันดานเดิม สุดสิ้น ระงับทุกข์ดุจดังอากาศว่างอันไม่มีลักษณะ เจตสิกธรรมไม่มี แลกำจัดวานรร้าย การเหล่านี้ไม่อาจรู้ได้ นามเดิมว่า เกิด ดับ ธรรมลักษณะดังนี้แล
 เมื่อพระองค์ตรัสอรรถธรรมดังนั้นแล้ว รัศมีเปล่งออกจากพระเมาลีเป็นสีรุ้ง ขาว เขียว แดง เหลือง หงสบาท ยี่สิบสี่สาย ส่องสว่างรอบทั่วไปในอากาศ หมู่ศิษย์ทั้งหลายเห็นดังนั้นต่างตนก็ประนมมือนมัส การ อีกประเดี๋ยวหนึ่ง พระองค์ก็เสด็จเข้าในที่ ขึ้นนั่งบนบัลลังก์บัวเก้าชั้นแล้วทรงระงับกิริยาแน่วแน่ ฝ่ายหมู่สานุศิษย์ทั้งหลายต่างคนก็นมัสการแล้วนั่งประนมมือพร้อมกันทูลถามพระองค์ว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้ประเสริฐสูงสุด ซึ่งเกิดการวุ่นวายบนวิมานนั้น ได้สงบเรียบร้อยแล้วหรือประการใด พระองค์จึงทรงตรัสว่า การวุ่นวายนั้น คือ ในตำบลเขาฮวยก๊วยซัว
 เกิดมีวานรตัวหนึ่งได้กระทำให้ หมู่เทพยดาทั้งหลายได้ความเดือดร้อนเหลือจะพรรณนา แม้หมู่เทพยดาทั้งหลายก็ไม่สามารถจะปราบปรามได้ ขณะเมื่อเราไปถึง วานรอยู่ท่ามกลางหมู่เทพยดาอารักษ์รามสูรล้อมไว้แน่นหนา วานรก็สำแดงฤทธิ์ห้าวหาญ ไม่มีผู้ใด สามารถจะต่อฤทธิ์วานรได้ เราจึงให้หมู่เทพบุตรทั้งหลายหยุดรบกัน เราจึงได้ไต่ถามวานร แล้ววานรได้ตอบโต้ชี้แจง อวดอิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงเล่าความตามที่ได้กล่าวมาแล้วไปเบื้องต้นจนที่สุดที่พระองค์ได้ทำให้วานรไปถูกทรมานอยู่ใน เขาเง้าเห้งซัวให้ศิษย์สาวกฟังทุกประการ พวกศิษย์สาวกทั้งหลายเมื่อได้ฟังพระองค์ทรงเล่าดังนั้นก็พากันยกมือขึ้น ประนมร้องสาธุการ แล้วต่างคนก็ถวายอภิวาททูลลากลับไปยังสถานแห่งตน
  1.  ต้นฉบับไทยว่า "สิบเก้าวัน" แต่ต้นฉบับจีนว่า "สี่สิบเก้าวัน" ("真個光陰迅速,不覺七七四十九日,老君的火候俱全。")

[เล่ม 1] ตอนที่ 6 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖      
      
พระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดนี้ เป็นผู้ได้ปฏิบัติสำเร็จแล้วในทางที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในภายภาคหน้า แลมีฌานแลสมาบัติแก่กล้าสามารถที่จะรู้จะเห็นเหตุการณ์ในที่ใกล้และไกล อาจไปมาในทางอากาศวิถีและเปลี่ยนแปลงรูปกายอธิษฐานให้เป็นได้ตามความประสงค์ ทั้งไม่เกี่ยวข้องในกามคุณ ที่เรียกว่า (โพธิสัตว์โต) นั้น แปลว่าเป็นผู้ข้องอยู่ในที่จะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้า สำนักอยู่ข้างเขาพระสุเมรุ
นางล่อซั่วผู้นี้กำเนิดเดิมนางเป็นยักษ์รากษส นางมีพัดเหล็กวิเศษอยู่พัดหนึ่ง มีฤทธาอานุภาพมาก อาจพัดให้บังเกิดเป็นลมพายุใหญ่และห่าฝนตกลงมาได้ในที่ใช่ฤดูแห่งฝน และจะพัดให้ไฟติดขึ้นจนไม่รู้จักดับก็ได้ นางเป็นภรรยาของงู่ม่ออ๋องและเป็นมารดาของอั้งฮั้ยยี้ซึ่งมีฤทธิ์เดชมากปากพ่นเป็นไฟได้ ที่สำนักของนางอยู่เขาที่ม่อฮุ่นซัว ถ้ำปอเจียวต๋อง แต่งูม่ออ๋องไปมีภรรยาใหม่ นางอยู่ในสำนักแต่เดียว
งู่ม่ออ๋องผู้นี้กำเนิดเดิมเป็นกระบือเผือก มีฤทธาอานุภาพมาก ถือพลองเหล็กเป็นอาวุธสำหรับมือ เป็นสามีของนางล่อซั่ว บุตรชายชื่ออั้งฮั้ยยี้ เดิมเป็นมิตรสหายกันกับเห้งเจีย ภายหลังได้เกิดรบพุ่งกันเพราะเห้งเจียไปทำอุบายเอาพัดที่นางล่อซัวไป แต่ภายหลังก็แพ้แก่เห้งเจียแลกลับเป็นกระบือไปตามเดิม
เจ้าเมืองเจ่จั๊ยก๊กนี้เป็นเมืองเอกฝ่ายประเทศทิศตวันตก เป็นผู้ถือพระรัตนไตรย์เป็นที่พึ่ง ในเมืองมีพระบรมสารีริกธาตุพระพุทธเจ้าบรรจุไว้ในพระเจดีย์วัดกิมกวางยี่เป็นของวิเศษสำหรับให้บ้านเมืองเจริญอยู่เย็นเป็นสุขทั่วกัน แต่ได้มีปิศาจลักเอาพระบรมสารีริกธาตุไปเสีย จึงได้เกิดความเดือดร้อนข้าวยากหมากแพง ภายหลังพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์มาถึง ได้ช่วยติดตามเอาพระบรมสารีริกธาตุกลับมาบรรจุไว้ตามเดิมได้
บ้วนเซี้ยเล่งอ๋องกำเนิดเดิมเป็นนาค สำนักอยู่เขาตำบลล้วนเจี๊ยซัวบึงเพ็กปอท้ำ มีอานุภาพเชี่ยวชาญ มีบุตรหญิงชื่อนางเล่งอ่องก๋งจู๊ บุตรเขยชื่อเก๊าเท้าใต้อ๋อง ได้รบกันแก่เห้งเจียแลโป๊ยก่าย แต่ได้พ่ายแพ้ถึงแก่ความตาย เพราะเห้งเจียไปคืนเอาพระบรมสารีริกธาตุกลับมาไว้ยังเดิมได้
เก๊าเท้าใต้อ๋องผู้นี้ กำเนิดเดิมเป็นกิมิคือหนอน มีศรีษะเก้าศรีษะ ได้ถือศีลเจริญฌานสำเร็จภาคอาจเปลี่ยนแปลงรูปกายได้หลายประการ เป็นบุตรเขยของบ้วนเซี้ยเล่งอ๋อง สำนักอาศัยอยู่กับบ้วนเซี้ยเล่งอ๋องในบึงเพ็กปอท้ำ ได้ต่อสู้แก่เห้งเจียโดยสามารถ แต่สู้เห้งเจียไม่ได้ก็หนีไป
(บทที่ ๖)
      ฝ่ายพระกวนอิมได้รับนิมนต์เจ้าแม่อ่องโป๊เนี่ยเนี้ย จึง
เสด็จมาจากเขาไฮ้โพ่ท่อซัวกับด้วยศิษย์ทั้งหลาย ถึงวิมานก็เดินตรงเข้ายังตำหนักเอี้ยวตี้ที่ประชุมเลี้ยงโต๊ะนั้น ก็เห็นเงียบสงัดอยู่ ไม่เห็นผู้ใด เห็นแต่เทพบุตรแลเซียนอยู่สองสามองค์นั่งสนทนากันอยู่ พระกวนอิมจึงเข้าไปใกล้ ถามเซียนทั้งหลายเหล่านั้น เซียนทั้งหลายเหล่านั้นเห็นพระกวนอิมก็ยืนขึ้นคำนับ แล้วแจ้งความตามเหตุผลทุกประการให้พระกวนอิมฟัง
      พระกวนอิมได้ทราบดังนั้นแล้วจึงพูดว่า ถ้ากระนั้น ท่าน
จงตามเราไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ฟังดูจะเป็นประการใด ไต้เซียนทั้งหลายก็ตามพระกวนอิมไปยังปราสาทธงเม่งเต้ย
      ในเวลานั้น ซีไต้เทียนซือกับชิดเคียดไต้เซียนจึงออกมา
ต้อนรับพระกวนอิม พระกวนอิมจึงบอกแก่ไต้เซียนทั้งสองว่า ท่านจงกลับเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่า อาตมภาพ พระกวนอิม จะมาเฝ้า
      เซียนทั้งสองได้ฟังดังนั้นจึงกลับเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่า พระกวนอิมจะขอเข้ามาเฝ้า
      เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงทราบดังนั้นจึงรับสั่งว่า ให้นิมนต์
ท่านเข้ามาเถิด เซียนทั้งสองก็ออกไปนิมนต์พระกวนอิมเข้ามาเฝ้า เง็กเซียงฮ่องเต้จึงนิมนต์ให้นั่งที่อันสมควร
      ในเวลานั้น ท้ายเสียงเล่ากุนไต้เซียน แลนางท้าวเทวราช
อ๋องโป๊เนี่ยเนี้ย ก็พร้อมกันนมัสการพระกวนอิม แล้วพระกวนอิมจึงถามการประชุมเลี้ยงโต๊ะเหตุผลประการใดจึงได้เงียบสงบไปดังนี้
      เง็กเซียงฮ่องเต้จึงตรัสว่า ทุก ๆ ปีมาก็เป็นที่รื่นเริงโดย
การประชุม มาในปีนี้เป็นเหตุด้วยวานรปิศาจตนหนึ่งได้กระทำให้เกิดการวุ่นวาย ข้าพเจ้ามีความเศร้าหมองใจมาก เพราะฉะนั้น จึงได้จัดพลเทพบุตรสิบหมื่นลงไปกำจัดวานรมาได้วันหนึ่งแล้ว ยังหาเห็นกลับขึ้นมาไม่ การจะเป็นประการใดก็ยังไม่ทราบต่อไป
      พระกวนอิมได้ทราบดังนั้นแล้วจึงเรียกฮุยไง้ สานุศิษย์คน
ใหญ่ มา แล้วสั่งว่า ท่านจงลงไปฟังข่าวที่เขาฮวยก๊วยซัวสืบดูซึ่งเหตุการณ์ที่รบพุ่งกันนั้นให้รู้ว่าจะเป็นประการใด ถ้าปะกำลังรบสู้กันอยู่ ก็จงเข้าช่วยเป็นกำลังแห่งเทพยดาทั้งหลายด้วย
      ฮุยไง้คนนี้ คือ ปุดเฉีย ซึ่งเป็นบุตรที่สองของถักทะลีทีอ๋อง
แม่ทัพ ฮุยไง้รับคำสั่งพระอาจารย์แล้วก็จัดแจงแต่งกายเสร็จ มือจับกระบองเหล็ก ลาพระอาจารย์ ออกจากประตูนำทีหมึงเหยียบเมฆเหาะตรงลงมายังเขาฮวยก๊วยซัว ครั้นถึงก็เดินตรงมาที่หน้าเขา เห็นหมู่เทพบุตรตั้งทัพล้อมเขาฮวยก๊วยซัวอยู่ ฮุยไง้ตรงมายังประตูค่าย จึงเรียกเทพบุตรผู้รักษาประตูบอกว่า ท่านจงไปแจ้งความแก่ท่านแม่ทัพว่า ข้าพเจ้า บุตร
ที่สองของถักทะลีทีอ๋อง ซึ่งเป็นสานุศิษย์ของพระกวนอิมใช้ให้มาสืบข่าวในทัพที่รบพุ่งกัน ท่านนำความไปแจ้งแก่ท่านแม่ ทัพด้วยเถิด ผู้เฝ้าประตูจึงบอกต่อ ๆ กันไปจนทราบถึงถักทะลีทีอ๋อง ถักทะลีทีอ๋องจึงอนุญาตให้เซียนพนักงานนำเข้ามา หา ฮุยไง้เข้ามาถึงจึงกระทำคำนับท่านแม่ทัพผู้เป็นบิดาแล้วยืนอยู่ข้างหนึ่ง
 ถักทะลีทีอ๋องจึงถามบุตรว่า เจ้ามาทำไม มีกิจ ธุระสิ่งใดหรือ ฮุยไง้จึงแจ้งความแก่บิดาว่า ข้าพเจ้าตามพระกวนอิมขึ้นไปยังดาวดึงส์ที่ตำหนักเอี้ยวตี้ ครั้นไปถึง ท่าน อาจารย์ไม่เห็นเลี้ยงโต๊ะเงียบสงบอยู่ จึงได้ถามพวกเซียน เซียนทั้งกลายแจ้งความตามเหตุผล พระอาจารย์จึงให้เทพบุตร นำท่านไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ เง็กเซียงฮ่องเต้จึงได้รับสั่งชี้แจงเหตุผลให้พระอาจารย์ฟัง พระอาจารย์จึงให้ข้าพเจ้า ลงมาฟังเหตุการณ์ที่รบกันว่า จะแพ้ชนะประการใด เพื่อจะได้ทราบเรื่องตลอดได้
 ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังบุตรชี้แจงดังนั้นจึงเล่าความตายการที่ได้รบพุ่งกันแต่เวลาวานนี้ทุกประการให้ฮุยไง้ผู้ บุตรฟังยังหาทันขาดคำไม่ เซียนที่เฝ้าประตูเข้ามาบอกว่า บัดนี้ ซีเทียนพาพวกทหารวานรมาร้องท้าทายพูดจาหยาบคาย มากชวนให้ออกไปรบกัน ซีไต้เซียนอ๋องกับถักทะลีทีอ๋องได้ฟังพวกเซียนมาบอกดังนั้นก็จัดแจงพลทหารจะออกรบ ฮุยไง้จึงยืนขึ้น คำนับบอกแก่บิดาว่า ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งของพระอาจารย์มาว่า แม้ลงมาสืบข้าว เมื่อปะกำลังรบพุ่งกัน ก็ให้ข้าพเจ้าเข้า ช่วยเป็นกำลังแก่บิดาด้วย เวลานี้ แม้ถึงฤทธาข้าพเจ้าน้อยก็จริง แต่จะขออาสาออกไปรบลองกำลังแลฝีมือข้าศึกดูสักครั้งหนึ่ง ซีเทียนไต้เซียจะมีฤทธิ์เดชประการใด
 ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังบุตรอาสาดังนั้นจึงอนุญาตว่า ตามแต่น้ำใจเจ้า ไม่ห้ามปราม แต่จงระมัดระวังให้จง หนัก อย่าให้เสียทีแก่ข้าศึกได้ ฮุยไง้ได้ฟังบิดาอนุญาตแลกำชับดังนั้นก็มีความยินดี คำนับลา แล้วก็จับกระบองออกจากค่าย มายืน อยู่ตรงหน้าข้าศึก แล้วก็ร้องออกไปด้วยเสียงอันดังว่า ตัวไหนชื่อ ซีเทียนไต้เซีย จงรีบบอกมาโดยเร็ว ซีเทียนไต้เซียได้ยินฮุยไง้ร้องถามมาดังนั้นจึงร้องตอบออกไปว่า เรานี้แลผู้ชื่อว่า ซีเทียนไต้เซีย แล้วซี เทียนไต้เซียถามว่า ตัวเจ้าเป็นอะไร จึงสามารถมาถามถึงชื่อเสียงแห่งเราผู้มีอานุภาพหาผู้เสมอมิได้
 ฮุยไง้จึงตอบว่า เราคือบุตรที่สองของถักทะลีทีอ๋อง เป็นสานุศิษย์ของพระกวนอิม ชื่อ ฮุยไง้ ซีเทียนได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า เจ้าเป็นศิษย์ของพระกวนอิม ทำไมไม่อยู่ที่น่ำไฮ้รักษาข้อวัตรปฏิบัติอันดีเล่า เหตุใดจึงมาที่นี้ด้วยกิจธุระอันใด ฮุยไง้ตอบว่า เราได้รับคำสั่งของพระอาจารย์กวนอิมให้มาฟังข่าวในการสงคราม แลเราได้เห็นท่าน ประพฤติการดุจว่าบุคคลอันหาสติปัญญาความคิดมิได้ เราจึงอาสามาเพื่อจะจับตัวท่านไปให้แม่ทัพ
 ซีเทียนจึงตอบว่า ตัวเป็นลูกเด็กเล็กน้อย ไม่ควรมาพูดอวดอ้างวางโต จงมาลองน้ำหนักกระบองของเรา ดูว่าจะมีพิษสงสักเพียงใด ว่าแล้วซีเทียนก็เงื้อกระบองขึ้นกระโจมตีฮุยไง้ ฮุยไง้ยกกระบองเหล็กขึ้นรับไว้แลต่อสู้โดย สามารถประมาณหกสิบเพลง ฮุยไง้ทานกำลังซีเทียนมิได้ก็ถอยหนีกลับมายังค่าย ซีเทียนเห็นดังนั้นก็หัวเราะ แล้วก็มิได้ ไล่ติดตามไป จึงเรียกพลทหารกลับมาหน้าถ้ำ แล้วรายพลตั้งกระบวนรบคอยท่าข้าศึกอยู่ ฝ่ายฮุยไง้หนีกลับเข้าในค่ายแล้วมาคำนับบิดาบอกว่า ซีเทียนมีกำลังแลฤทธิ์เดชมากนัก ข้าพเจ้าเข้าลอง ฝีมือต่อสู้ก็ทานกำลังมิได้ จึงล่าถอยมา
 ถักทะลีอ๋องได้ฟังฮุยไง้ผู้บุตรบอกดังนั้นก็ให้มีความวิตกยิ่งนัก จึงปรึกษาหารือตามเหตุที่ได้สู้รบแก่ข้าศึก เห็นพร้อมกันแล้ว จึงเขียนข้อความบอกเหตุการณ์ที่ได้ต่อสู้แลพ่ายแพ้แก่ศัตรูมอบให้ตั้วลักกุ้ยอ๋องพร้อมกับด้วยฮุยไง้ถือ กลับขึ้นไปยังดาวดึงส์ถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ เง็กเซียงฮ่องเต้เมื่อได้ทราบแล้วก็ทรงพระสรวลตรัสว่า วานรปิศาจตัวเดียว สามารถต่อสู้เทพยดาได้ถึงสิบหมื่น ถักทะลีทีอ๋องมีหนังสือมาขอพลเทพบุตรเพิ่มเติมอีก จะได้เทพยดาองค์ใดลงไปดี ในขณะเง็กเซียงฮ่องเต้ตรัสอยู่นั้น พระกวนอิมจึงถวายพระพรว่า อาตมภาพเห็นเทพารักษ์องค์หนึ่งอาจ สามารถจะลงไปปราบปรามซีเทียนได้
 เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังพระกวนอิมถวายพระพรดังนั้นจึงรับสั่งถามพระกวนอิมว่า ท่านเห็นเทพารักษ์ พระองค์ใดที่สมควรจะไปรบแก่ซีเทียนได้ พระกวนอิมถวายพระพรว่า เทพารักษ์พระองค์นี้ก็นับว่าเป็นนัดดาของพระองค์ชื่อ ยี่หนึงจินกุน คือ เอียวเจี้ยนเมื่อครั้งแผ่นดินห้องสินนั้น ก็มีชื่อเสียงเลืองลือปรากฏว่ามีฝีมือเป็นเอกในสมัยนั้น บัดนี้ อยู่ที่ ศาลปากน้ำก๊วนจิ๋ว ท่านผู้นี้เดิมได้กำจัดลักสินหนหนึ่งแล้ว แลที่เขาบ๊วยซัวมีมิตรสหายมากล้วนแต่มีฝีมือ เข้มแข็ง กับพวกเทพารักษ์ยอดหญ้าพันสองร้อยเป็นบริวารมีฤทธิ์เดชมาก แต่วิตกว่าจะฟังรับสั่งหรือไม่ ก็ยังไม่ทราบ ขอพระองค์ได้มีหนังสือรับสั่งไปสักฉบับหนึ่งให้ยีหนึงมาช่วยเป็นกำลังกำจัดซีเทียน ก็คง จะสำเร็จได้ดั่งประสงค์
 เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังพระอาจารย์ชี้แจงดังนั้นจึงรับสั่งแก่เซียนผู้พนักงานฝ่ายอาลักษณ์ให้แต่งหนังสือถึงยี่หนึงจินกุน ให้ยกพลมาช่วยปราบซีเทียน เซียนพนักงานก็แต่งหนังสือรับสั่งมามอบให้ตั้วลักกุ้ยอ๋อง ตั้วลักกุ้ยอ๋องได้หนังสือรับสั่ง แล้วก็รีบเหาะไปยังแม่น้ำก๊วนจิ๋วที่ศาลยี่หนึงจินกุนอยู่โดยเร็ว ครั้นถึงศาลก็เรียกผู้รักษาประตูบอกว่า เราเชิญหนังสือ รับสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้มาแต่สวรรค์ จะมาหายี่หนึงจินกุน ผู้เฝ้าประตูได้ทราบดังนั้นจึงเข้าไปบอกแก่ยี่หนึงจินกุนโดย เร็ว ยี่หนึงจินกุนกับเทพารักษ์มิตรสหายก็พร้อมกันออกมารับพระอักษรรับสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ พาตั้วลักกุ้ยอ๋องเข้า ไปข้างในแล้วเชิญให้นั่งที่อันสมควร
 ยี่หนึงจินกุนจุดธูปเทียนแล้วก็เปิดผนึกหนังสือออกอ่านในพระอักษรมีว่า ตำบลเขาฮวยก๊วยซัว มีปิศาจ วานรตนหนึ่งชื่อ ซีเทียนไต้เซีย กระทำการหยาบช้าสามัญให้เป็นที่ร้อนรนแก่เทพยดาอารักษ์ทั้งหลาย แลได้กระทำให้ เสียการประชุมเลี้ยงโต๊ะคราวใหญ่แล้วหนีลงไปจากสวรรค์ เราให้ยกพลเทพยดาลงไปสิบหมื่นจับตัวก็ยังหาได้ไม่ เรา ขอให้เจ้าผู้เป็นนัดดาจัดพลโยธาแลพวกเพื่อนมิตรสหายยกไปยังเขาฮวยก๊วยซัวช่วยกันระดมกำจัดศัตรูให้ราบคาบ เมื่อเสร็จศึกสงครามแล้วจะปูนบำเหน็จรางวัลแก่เจ้าให้มีเกียรติยศเป็นอันมากให้สมควรแก่ความชอบ
 จินกุนแลพี่น้องทั้งหลายเมื่อได้ทราบความตามพระอักษรฉะนั้นแล้วก็พากันมีความยินดีทุก ๆ เทพารักษ์ แล้วจินกุนจึงพูดแก่ตั้วลักกุ้ยอ๋องว่า ท่านจงกลับไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้เถิดว่า ข้าพเจ้าจะรีบจัดพลโดยเร็ว ถ้าพรัก พร้อมแล้วก็จะยกไปกำจัดศัตรูเสียให้ราบคาบมิให้เสียเกียรติยศของเง็กเซียงฮ่องเต้ไปได้ ตั้วลักกุ้ยอ๋องก็ลายี่หนึงกลับ ไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ตามถ้อยคำของยี่หนึงซึ่งสั่งมาให้ทูลทุกประการ ฝ่ายจินกุนจึงเรียกพี่น้องทั้งหกคน คือ ด้ง หนึ่ง เตียว หนึ่ง เอี๋ยว หนึ่ง ลี้ หนึ่ง ก๊วนชิน หนึ่ง เต๊กเกี๋ยน หนึ่ง มาประชุมพร้อมกัน แล้วก็จัดพลเทพารักษ์ยอดหญ้าได้พันสองร้อย แล้วก็ให้ถืออาวุธเตรียมตัวแลขี่ สัตว์ต่าง ๆ ครั้นพรักพร้อมกันแล้ว
 จินกุนให้ยกพลออกจากสำนักพาบริวารเหาะตามลมข้ามมหาสมุทรใหญ่ตรงไปยังทิศ บูรพา ครู่หนึ่งก็ถึงเขาฮวยก๊วยซัว ยี่หนึงจินกุนแลไปเห็นพลเทพบุตรล้อมรอบภูเขาเป็นชั้น ๆ ดูแน่นหนาไม่มีทางที่จะ เข้าออกได้ จินกุนเห็นดังนั้นแล้วก็ขับพลลงยังพื้นพสุธาเดินเข้าไปใกล้ค่าย บอกแก่ผู้รักษาประตูว่า ข้าพเจ้า ยี่หนึงจิน กุน ถือรับสั่งเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ยกพลมาช่วย จงบอกแก่ท่านแม่ทัพให้ทราบ ฝ่ายผู้เฝ้าประตูเมื่อได้ฟังยี่หนึงบอกดังนั้นก็บอกกันต่อไป
 ครั้นซีไต้เทียนอ๋องแลถักทะลีทีอ๋องทราบก็พากัน ออกมาประตูค่าย เชิญยี่หนึงจินกุนเข้าไปข้างใน แล้วก็ให้นั่งที่อันสมควร จินกุนจึงถามถึงการรบพุ่งว่า แพ้ชนะเป็น ประการใด ซีไต้เทียนอ๋องกับถักทะลีทีอ๋องจึงเล่าความตามที่ได้รบพุ่งต่อสู้กันให้ยี่หนึงจินกุนฟังทุกประการตามที่ได้ เป็นมาแล้ว ยี่หนึงจินกุนได้ฟังก็หัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้ามาครั้งนี้จะสำแดงฤทธิ์รบแก่ซีเทียนไต้เซียให้ท่านเห็นฝีมือ ตาข่ายที่ล้อมไว้นั้นจงเก็บเลิกเสียเถิด ไม่ต้องการใช้
 ส่วนถักทะลีทีอ๋องจงช่วยข้าพเจ้าเอากระจกขึ้นไปคอยส่องบนอากาศ คอยจับปิศาจวานรนั้นให้เหาะขึ้นไปอยู่บนเวหา ให้คอยดู ถ้าซีเทียนมันแพ้คงจะหนีไปทิศอื่น ขอท่านได้ส่องดูให้แจ่ม แจ้ง อย่าให้มันหนีไปเสียได้ ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังยี่หนึงจินกุนสั่งดังนั้นก็ไปคอยทำการอยู่ตามสั่ง ยี่หนึงจินกุนพร้อมด้วยพี่น้องเป็นเจ็ดคนด้วยกัน กับเทพารักษ์ยอดหญ้า ต่างตระเตรียมกันพร้อม เสร็จ แล้วก็ยกมาหน้าถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง ครั้นถึง จินกุนเห็นวานรตั้งกระบวนเรียงรายกันเป็นหมวดเป็นหมู่เรียกว่า ค่าย มังกรขด ในกลางค่ายตั้งเสาธงยี่ห้อซีเทียนไต้เซีย
 จินกุนเห็นแล้วจึงพูดว่า อ้ายวานรปิศาจนี้อาจสามารถตั้งตัวเป็นซี เทียนไต้เซียได้ จะปราบปรามเสียให้ราบคาบในคราวนี้ ฝ่ายหมู่วานรเมื่อได้แลเห็นยี่หนึงจินกุนยกมาดังนั้น ก็รีบเข้าไปบอกแก่ซีเทียนว่า บัดนี้ มีพลทหารยกมา ตั้งอยู่หน้าค่ายเป็นอันมาก พิเคราะห์ดูท่าทางองอาจมากนัก ขอท่านจงทราบ ซีเทียนได้ฟังบริวารบอกดังนั้น ก็จับกระบองเหล็กกายสิทธิ์สำหรับมือเดินออกจากถ้ำ เห็นจินกุนท่วงทีอง อาจเข้มแข็ง พิศดูลักษณะรูปร่างดงาม
 ซีเทียนจึงหัวเราะ แล้วก็ยกกระบองขึ้นกวัดแกว่ง ร้องถามไปว่า เฮ้ย เอ็งผู้นั้นอยู่ ที่หนตำบลใด รูปร่างน้อยจ้อย มีชื่อแลแซ่ประการใด สามารถมาท้าชวรเรารบ ไม่กลัวความตายหรือประการใด จินกุนได้ฟังดังนั้นจึงร้องตวาดไปว่า เอ็งมีแต่นัยน์ตา เนื้อหามีแก้วตาที่จะเห็นไม่ เอ็งจำเราไม่ได้ หรือ เราเป็นหลานของเง็กเซียงฮ่องเต้ รับที่ตั้งให้เป็นเจียวฮุยเล่งเหี้ยนอ๋องยี่หนึง บัดนี้ เรารับคำสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ มากำจัดตัวเจ้า เจ้ายังหารู้จักความตายว่าจะมีมาถึงตัวเจ้าไม่
 ซีเทียนได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ถ้ากระนั้น เรานึกได้แล้ว คือ น้องสาวของเง็กเซียงฮ่องเต้ลงมาในเมือง มนุษยโลก ได้เสียกันแก่เอี่ยงกุน แล้วเกิดบุตรด้วยกันคนหนึ่ง ท่านเอี่ยงกุนผู้นี้เคยถือขวานเข้าป่าตัดไม้ชมพู่ที่ภูเขาสูง นั้นเป็นนิจ ชาติตระกูลของตัวอย่างนี้มิใช่หรือ เราจะบอกให้เข้าใจ ตัวเจ้าเป็นเด็กเล็กน้อย ไม่สมควรจะรบแก่เรา เจ้าจง บอกซีไต้เทียนอ๋องแลถักทะลีทีอ๋องให้มาลองฝีมือแก่เราเถิด
 จินกุนได้ฟังซีเทียนพูดดังนั้นก็มีความโกรธ ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายชาติเดรัจฉาน พูดจา หยาบช้าไม่มีความเกรง จงมาลองคมง้าวของกูดูก่อน พูดแล้วจินกุนก็ตรงเข้าไปยกง้าวขึ้นฟันลงไปตรงศีรษะของซีเทียน ซีเทียนยกกระบองขึ้นรับไว้ไม่ถูกศีรษะ ต่างเข้าบุกบั่นรบพุ่งกันด้วยกำลังเข้มแข็งได้สามร้อยเพลงยังหาแพ้ชนะกันไม่ จินกุนสำรวมจิตร่ายพระเวทแปลงกายเป็นพรหมสูงประมาณสามหมื่นวา สองมือจับสามง่ามแหลมดุจเขา ฮวยซัว หน้าเขียว ฟันแดง หัวหูผมขนรุงรัง ดุร้ายยิ่งนัก ถือสามง่ามกระโจมแทงซีเทียน
 ซีเทียนเห็นดังนั้นก็สำรวมจิตร่ายพระเวทแปลงกายเป็นพรหมเหมือนจินกุนบ้าง ถือกระบองดุจภูเขากุนลุน ซัวฉะนั้น ยกขึ้นรับรบกับจินกุน ต่างมีอิทธิฤทธิ์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ในขณะเมื่อจินกุนกับซีเทียนรับกันอยู่นั้น พวกพี่น้อง ทั้งหลายเห็นดังนั้นจึงขับหมู่เทพารักษ์ยอดหญ้าแลสัตว์ร้ายต่าง ๆ ตรงมายังถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง รบกระหนาบเข้าไปบ้าง ยิง เกาทัณฑ์แลหน้าไม้ระดมเข้าไปในถ้ำ พวกพลวานรของซีเทียนไม่สามารถจะทนได้ ก็ทิ้งค่ายทิ้งอาวุธหนีไปเอาตัวรอด
 ซีเทียนเห็นพวกวานรแตกกันวุ่นวายไปหมดดังนั้นก็มีความวิตกท้อถอยลง สำรวมกายร่ายพระเวทกลับเป็นรูปเดิมแล้ว โดดหนีไป จินกุนเห็นดังนั้นก็ไล่ประชิดติดตามมา จึงร้องว่า อ้ายวานรไพร จะหนีกูไปข้างไหนเล่า จงกลับมายอมเสีย โดยดี กูจะไว้ชีวิตให้รอดตายสักครั้งหนึ่ง ซีเทียนไม่มีใจที่จะต่อสู้ รีบหนีมายังถ้ำ ปะทหารทั้งหกร่ายกันสกัดกั้นหน้าซีเทียนไว้ ร้องตวาดว่า อ้าย วานร จะวิ่งหนีไปข้างไหน
 ซีเทียนเห็นดังนั้นก็ร่ายพระเวทให้กระบองเหล็กเล็กลงเท่าเข็มยัดซ่อนในรูหู แล้วก็แปลงกายเป็นนก กระจอกน้อยโผขึ้นจับอยู่บนยอดพฤกษา ทหารทั้งหกเหลียวซ้ายแลขวาค้นหาก็ไม่เห็น จึงร้องว่า อ้ายวานรหนีไปแล้วพอ จินกุนมาถึงเข้าก็ถามว่า ซีเทียนวานรหนีไปไหนเล่า พวกทหารทั้งหกคนบอกว่า พวกข้าพเจ้าล้อมอยู่ที่นี่ แต่มันได้หายไป
 จินกุนเมื่อได้ทราบดังนั้นจึงพิเคราะห์ดูบนต้นพฤกษา เห็นนกกระจอกน้อยตัวหนึ่งจับอยู่บนกิ่งไม้ จึงร่ายพระเวทแปลงกายเป็นนกเค้าแมวกระพือปีกจะขึ้นตี ซีเทียนเห็นดังนั้นก็แปลงกายเป็นนกฝักบัวบินขึ้นเวลาหาหนีไป จินกุนจึงแปลงกายเป็นนกการเวกบินสกัดหน้าตรงเข้าจิกนกฝักบัง ซีเทียนเห็นดังนั้นก็โผลงในน้ำกลายเป็นปลาน้อยมุดอยู่ สายชลธีหายไปในน้ำ จินกุนบินไล่มาไม่เห็นซีเทียน ก็นึกว่า เห็นจะแปลงเป็นสัตว์น้ำ จำเราจะตามจับตัวให้จงได้ คิดดังนั้นแล้ว ก็แปลงกายเป็นนกกระทุงลอยคออยู่ท้ายน้ำสักครู่หนึ่ง
 ซีเทียนที่แปลงเป็นปลาก็ล่องน้ำลงมาเห็นนกกระทุง ลอยอยู่ แปลกใจนึกว่า เห็นจะเป็นจินกุนแปลงเป็นนกมาคอยจะจับเราอยู่ คิดเห็นดังนั้นแล้วก็หันกลับ ทวนน้ำว่ายหนีกลับขึ้นไปเหนือน้ำ จินกุนเห็นปลากลับว่ายทวนน้ำดังนั้น ก็คิดเห็นว่า จะเป็นซีเทียนแปลง เป็นปลาแน่แล้ว จึงไล่ติดตามไป พอทันเข้าก็เอาปากจิก ปลาก็กระโดดหนีกลายเป็นงูปลาเล็ดลอดเข้า ซ่อนตามสวะลอยไป จินกุนเห็นปลายหายไป ก็เหลียวซ้ายแลขวาไปเห็นงูปลาตัวหนึ่ง
 จินกุนจึงแปลงกายเป็นนกยางยืนคอยอยู่ ริมฝั่ง จ้องจะคอยจิกงู งูกลายเป็นนกอวนเอี๋ยง คือ นกกะเรียน รีบบินขึ้นจากน้ำไปจับอยู่บนพุ่มไม้ยอดเขา จินกุนกลับเห็นซีเทียนแปลงเป็นนกกะเรียน จึงกลับเป็นรูปเดิม จับลูกเกาทัณฑ์ที่เหน็บเอวพาดสายหมายตรงนกอวนเอี๋ยง
 ซีเทียนเห็นดังนั้นก็หลบตกลงข้างเขากลายเป็นศาลา ทำปากอ้าเป็นประตูศาล เอาฟันทำเป็นบานประตู เอาลิ้นทำเทวรูป เอานัยน์ตาทำเป็นโคมยี่ห้อแขวนที่หน้าศาล ยังแต่หางซ่อนไม่ได้ จึงแปลงเป็นเสาธงตั้งอยู่หลังศาล แปลงสำเร็จแล้วก็นิ่ง สะกดใจอยู่ ฝ่ายจินกุนเห็นนกตกลงไปชายเขา จึงตามไปดู ไม่เห็นนก เห็นแต่ศาลเจ้า เหลียวซ้ายแลขวาพิเคราะห์ดู ศาลเจ้าแปลกจากธรรมดา คือ ถ้าศาลเจ้าจริงคงจะมีเสาธงอยู่หน้าศาลสองเสา นี่เสาธงกลับไปอยู่หลังศาลแต่เสาเดียว ชะรอยจะเป็นศาลเจ้าซีเทียนแปลง
 เมื่อจินกุนคิดเห็นดังนั้นแล้วจึงแกล้งพูดว่า เราจะต้องทำลายศาลเจ้าเสียก่อน เราจึง จะเข้าไปในศาลเจ้าต่อภายหลัง ฝ่ายซีเทียนเมื่อได้ยินจินกุนว่าดังนั้น มีความสะดุ้งใจ ด้วยเหตุบานประตูก็คือฟันของเรา ถ้าจินกุนฟัน ประตูแล้ว อันตรายก็จะมีแก่เราเป็นแน่ คิดดังนั้นแล้วก็ร้องเปียบขึ้นดุจเสียงเสือ แล้วก็กลายเป็นเสือโคร่งกระโดดขึ้นบน อากาศแทรกเข้าในกลีบเมฆไป ฝ่ายจินกุนเที่ยวค้นหาก็มิได้เห็น พอมาพบพี่น้องทั้งหกคนเข้า จึงถามจินกุนว่า ท่านจับตัวซีเทียนได้หรือไม่
 จินกุนหัวเราะแล้วพูดว่า เมื่อตะกี้นี้ ซีเทียนแปลงตัวเป็นศาลเจ้าหลอกเรา เรารู้ทัน จะตีโคมหน้าศาล เจ้าที่เป็นนัยน์ตามัน มันกลัวเรา จึงหนีสูญหายไปไม่มีร่องรอยเลย เราเที่ยวหาอยู่เดี๋ยวนี้ พี่น้องทั้งหกก็พากันเที่ยวค้นดูก็มิได้เห็น จินกุนจึงสั่งพี่น้องว่า จงคอยระวังตรวจตราดูอยู่ที่นี่ เราจะไปเที่ยว ค้นหาดู สั่งแล้วก็ขึ้นบนอากาศมายังถักทะลีทีอ๋อง ถักทะลีทีอ๋องเอากระจกส่องจับอยู่ในเมฆ จินกุนครั้นมาถึงจึงถามถักทะลี ทีอ๋องว่า ท่านเห็นซีเทียนหนีขึ้นมาหรือไม่
 ถักทะลีทีอ๋องบอกว่า ไม่เห็นขึ้นมาทางนี้ ข้าพเจ้าถือกระจกคอยส่องอยู่ก็ไม่เห็น จินกุนจึงเล่าความให้ถักทะลีทีอ๋องฟังว่า ซีเทียนมันนิมิตบิดเบือนได้ทุกประการ แต่ข้าพเจ้าสามารถจะรู้เท่า ถึงความคิดแห่งมัน มันจึงได้หนีสูญหายไปฉะนี้ ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงเอากระจกส่องดูรอบทั้งแปดทิศ
 ถักทะลีทีอ๋องเห็นแล้วจึงหัวเราะ บอกแก่จินกุน ว่า มันหนีลงไปอยู่ที่ศาลเดิมของท่านแล้ว จินกุนได้ฟังถักทะลีทีอ๋องบอกดังนั้น จึงลาถักทะลีทีอ๋อง มือถือสามง่ามเหาะตามไปยังแม่น้ำก๊วนจิ๋วโดยเร็ว ฝ่ายซีเทียนเหาะไปถึงก่อน ก็แปลงกายเหมือนจินกุนลงเดินมายังศาล พวกบริวารทั้งหลายนึกว่าจินกุน กลับมา ต่างก็ออกมาต้อนรับเข้าไปในศาล
 ซีเทียนเข้าไปในศาลแล้วก็ขึ้นนั่งอยู่ท่ามกลางศาล จึงทำเป็นถามกิจการธุระ ต่าง ๆ ในศาล เห็นคนหนึ่งชื่อ ลี้เฮ้า เอาซาแซมาแก้บน อีกคนหนึ่งชื่อ เตียเล้ง มาขอความอยู่เย็นเป็นสุข เตียวกะมา ขอให้มีบุตรแลทำหนังสือทัณฑ์บนไว้ให้ก็มี บางคนมาขอมิให้ไข้เจ็บก็มี ซีเทียนกำลังนั่งตรวจดูสักประเดี๋ยวก็มีผู้มาบอกว่า มีจินกุนอีกองค์หนึ่งมา แล้วพวกเฝ้าศาลจึงออกมาดูเห็นดังนั้นต่างก็ตกใจต่างยืนตกตะลึงอยู่
 จินกุนถามพวกบริวารว่า เห็นซีเทียนไต้เซียมานี่หรือเปล่า พวกเฝ้าศาลจึงแจ้งความว่า ซีเทียนไต้เซีย ไม่เห็น เห็นแต่เจ้าเล่าเอี๋ยนนั่งอยู่ในศาล กำลังตรวจตราธุรการในศาลอยู่ จินกุนก็รีบเข้าไปในศาล ซีเทียนแลเห็นจินกุน ก็กลับกลายเป็นรูปเดิมแล้วจึงพูดว่า จินกุนจะไม่ยอมให้เราอยู่ในศาลแล้วหรือ จินกุนยกสามง่ามกายสิทธิ์แทงลงตรงแก้มซีเทียน
 ซีเทียนสำรวมร่ายพระมนต์หลบกระโดดออกมาห่าง แล้วชักกระบอกกายสิทธิ์ออกรับ ต่างรบรอต่อสู้กันไปมา เสียงสะท้านหวั่นไหว เครื่องภาชนะในศาลหักแตกตก ละเอียดไปด้วยกำลังทั้งสองที่รบกัน ซีเทียนถอยพลางรบพลางออกจากศาลเจ้า ต่างก็แผลงฤทธิ์เหาะขึ้นกลางอากาศเข้า รบกันด้วยกำลังความสามารถ ซีเทียนค่อยรบค่อยถอยมาจนถึงเขาฮวยก๊วยซัว ถักทะลีทีอ๋องกับซีไต้เทียนอ๋องเห็นดังนั้นก็ ตวาดให้เสียงแก่พลทั้งปวง เทพบุตรทั้งหลายก็คอยระวังอยู่โดยกวดขัน
 พวกพี่น้องทั้งหกแลเห็นจินกุนรบกับซีเทียน ก็กรูกันเข้าล้อมไว้โดยแน่นหนา ซีเทียนตกอยู่ในที่ล้อแต่ มิได้ย่อท้อ กัดฟันรบรุกบุกบั่นไปโดยความสามารถ ฝ่ายตั้วลักกุ้ยอ๋องซึ่งเป็นผู้นำพระอักษรของเง็กเซียงฮ่องเต้ลงไปให้ยี่หนึงจินกุนแล้ว กลับขึ้นมากราบทูล เง็กเซียงฮ่องเต้ทรงทราบแล้ว ในเวลานั้น พระกวนอิม นางอ๋องโป๊เนี่ยเนี้ย แลหมู่เทพบุตรไต้เซียนพร้อมกันนั่งสนทนาใน ทางศาสนา เง็กเซียงฮ่องเต้จึงตรัสว่า ยี่หนึงจินกุนยกพลไปแล้ววันหนึ่งก็ยังหาได้ข่าวคราวประการใดไม่
 ฝ่ายพระกวนอิมได้ฟังเง็กเซียงฮ่องเต้ตรัสดังนั้น จึงถวายพระพรว่า ขอพระองค์จงเสด็จออกยังประตู สวรรค์นำทีหมึง ทอดทิพเนตรแลเล็งลงไปดู ก็คงจะทราบได้สิ้นทุกประการ เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังพระกวนอิมทูลดังนั้น ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงมีเทวโองการตรัสสั่งเทพบุตรพนักงานรถให้เทียบรถพระที่นั่ง เง็กเซียงฮ่องเต้ขึ้นทรงรถพร้อมด้วย เทพยดาทั้งหลายแวดล้อมตามเสด็จออกประตูนำทีหมึง ถึงที่ประทับรถแล้ว ทอดพระเนตรลงมาตรงเขาฮวยก๊วยซัว ก็เห็น ซีไต้เทียนอ๋องกับหมู่พลเทพบุตรกำลังชุลมุนเข้าล่อมรบซีเทียน ซีเทียนตกอยู่ท่ามกลางในที่ล้อม แลถักทะลีทีอ๋อง โลเฉีย อยู่กลางอากาศ คอยส่งกระจกจะจับวานร แลเห็นจินกุนเข้ารุกรบจะจับซีเทียน
 แต่ซีเทียนหาย่อท้อไม่ พระกวรอิมจึงพูดแก่ท้ายเสียงเล่ากุนว่า ยี่หนึงจินกุนนั้นท่านเห็นเป็นอย่างไรบ้าง อาตมภาพได้พูดไว้ว่า จินกุนมีฤทธิศักดานุภาพมาก เข้าล่อมจับซีเทียนอยู่กลางอากาศ แต่กระนั้นยังจับมิได้ อาตมภาพจะช่วยจินกุนอีกสักแรง หนึ่ง ก็จะจับตัวซีเทียนได้โดยแท้ ท้ายเสียงเล่ากุนจึงถามพระกวนอิมว่า ท่านจะเอาสิ่งอะไรช่วยเป็นกำลัง พระกวนอิมจึงตอบว่า อาตมภาพจะเอาขวดน้ำมนต์วิเศษขว้างลงไปให้ถูกศีรษะซีเทียนแต่พอล้มลง แต่อย่าให้ตาย พอให้ยี่หนึงจินกุนจับได้โดยง่าย
 ท้ายเสียงเล่ากุนจึงพูดว่า ขวดน้ำมนต์ของท่านนั้นเป็นขวดแก้ว แม้ว่าขว้างลงไปถูกศีรษะซีเทียน ขวดก็ จะแตก ขอท่านอย่าเพ่อขว้างลงไปเลย ข้าพเจ้าจะช่วยเป็นกำลังเอง พระกวนอิมจึงถามว่า ของวิเศษของท่านท้ายเสียงเล่ากุนนั้นคือสิ่งอะไร ท้ายเสียงเล่ากุนจึงบอกว่า ข้าพเจ้ามีของวิเศษสิ่งหนึ่ง ว่าแล้วก็ล้วงเข้าไปในมือเสื้อควักออกมาให้พระ กวนอิมดูว่า ของนี้ถึงเกิดการกลียุคคงจะแก้ได้ เพราะเป็นแม่ทองคำชมพูนุท ข้าพเจ้าประกอบด้วยยาอันวิเศษ เป็น แผ่นทองกายสิทธิ์ไว้คุ้มตัว แม้จะถูกไฟก็ไม่ไหม้ แม้จะเรียกสิ่งของอื่น ๆ ให้เข้ามาหาก็ได้ เรียกชื่อว่า กิมกังต๊อก หรือ จะเรียกว่า กิมกังทั้ว ก็ได้ ท่านจงคอยดู ข้าพเจ้าจะขว้างลงไปให้ท่านเห็นสักทีหนึ่ง
 ท้ายเสียงเล่ากุนพูดดังนั้นแล้ว ก็เสกด้วยคาถาขว้างกิมกังต๊อกลงไปตั้งแต่วิมานในดาวดึงส์ ปลิวลงไป ยังเขาฮวยก๊วยซัวเร็วดังลมพัด เวลานั้น ซีเทียนกำลังรบอยู่กับจินกุน ชุลมุนด้วยพี่น้องทั้งหกคน หาทันรู้ว่าของวิเศษนั้นตกลงมาไม่ บังเอิญ แผ่นทองถูกตรงกระหม่อมซีเทียน ซีเทียนพลาดถลาล้มลงแล้วพลิกตัวจะลุกตะกายหนี จินกุนได้ทีไล่ชิดมา ตีด้วยสามง่าม ถูกหน้าขาซีเทียน ซีเทียนก็ล้มลงกับพื้นแผ่นดิน ซีเทียนร้องด่าด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายตายโหง ไม่ไปรักษาบ้านช่องของตัว มาขับเคี่ยวแก่กู เอ็งจะเอาอะไรที่กูหรือ
 ว่าแล้วพลิกตัวจะลุกขึ้น พวกพ้องจินกุนก็เข้ารุมกันเอาอาวุธกดไว้ แล้วเอาเชือก วิเศษมัดไว้แน่นหนา เอามีดวิเศษแทงเสียบเข้าในกระดูกสันหลังไม่ให้เปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป ฝ่ายท้ายเสียงเล่ากุนเห็นจับซีเทียนได้ จึงเรียกของวิเศษคืนกลับเข้าไว้ในมือเสื้อเสียตามเดิม เวลานั้น เง็กเซียงฮ่องเต้เห็นจับซีเทียนได้แล้ว พระองค์ก็เสด็จกลับเข้าสู่ทิพยสถานพร้อมด้วยเทพยดา แลเซียนทั้งหลาย
 ซีไต้เซียนอ๋อง กับถักทะลีทีอ๋อง แลเทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลายพร้อมกันในที่ประชุม จึงพากัน สรรเสริญยี่หนึงจินกุนว่า หากได้พึ่งกำลังท่าน การจึงได้สำเร็จ หาไม่ พวกข้าพเจ้าจะลำบากหลายเวลา ยี่หนึงจินกุนจึงตอบว่า การนี้เพราะบุญบารมีของเง็กเซียงฮ่องเต้ แลกำลังของเทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลาย ซึ่งตั้งใจช่วยกันโดยแข็งแรง การจึงได้สำเร็จได้ แต่ลำพังตัวข้าพเจ้าถึงมีฤทธิ์เดชอย่างไรก็คงจะไม่เอาชัยชนะซีเทียน ได้โดยงาน เพราะซีเทียนก็มีกำลังแลฝีมือเหมือนกัน
 ฝ่ายพวกพี่น้องจึงว่า เราต้องคุมตัวซีเทียนขึ้นไปถวายเง็กเซียงฮ่องเต้เดี๋ยวนี้จึงจะชอบ เพราะจะโปรด ปรานประการใดจะได้ทราบ จินกุนจึงชี้แจงแก่พี่น้องทั้งหกว่า ตัวท่านยังมิได้รับที่ตั้งบนสวรรค์ จะขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ยังไม่ได้ จงรวบรวมกันจัดการกันอยู่ที่นี้ให้เรียบร้อย คอยเราจะขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ฟังพระกระแสดูก่อนจะโปรดปรานประการใด ต่อข้าพเจ้ากลับมาแล้วจึงพร้อมกันขึ้นไปเฝ้าจึงจะควร พี่น้องทั้งหกเห็นชอบพร้อมกันแล้วก็พักรออยู่ที่เขาฮวยก๊วยซัว ส่วน จินกุนจึงสั่งเทพารักษ์ให้คุมตัวซีเทียนขึ้นไปยังสวรรค์

15 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 5 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖      
      
ไท้จื๊อไม่หยุดต่อเนื่องโอรสต่อเนื่องแผ่นดินโอเกยก๊กตามมานี้เมื่อชอนจินปิศาจขึ้นครองราชสมบัติแทนสรรเสริญ ไท้จื๊อก็สำคัญว่าชอนไม่จำเป็นต้องมีการถ่ายทอดแห่งการล่องเรือตามปกติ ทรงประสิทธิภาพชัวจินประทุษร้ายต่อจักรพรรดิ์... ต่อเมื่อผู้นำองค์กรไปประพาสป่าในพระถังซัมจั๋งแลเหรียงเจียโดยตรงจึงได้ทรงทราบว่าช่วนได้จินปิศาจยักษ์เหรียงคิดอุบายช่วยพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กให้กลับมาได้พ่อลูกจึงจะพบกับครองราชสมบัติบ้านเมืองอีกครั้ง
ปิศาจกูเคียดตนนี้เริ่มแรกจนเป็นที่รู้จักกันในชื่อของบุตรธิดาของพระยาเลสเบี้ยน ในส่วนของเง็กเซียงฮ่องเต้ให้งุยเต็งไปประหารชีวิตเสียนั้น ปีศาจกูเคียดมาตั้งตัวจำนวนมากอยู่ในลำแม่น้ำเฮ้าจุฬาฮ้อ Her แผลงฤทธิ์ทำกลอุบายจับเอาพระถังซัมจั๋งลงไปโดยตรงบาดาลเหรินเจียจึงได้ไปหามอหงังไท้จ๊อ... มาช่วยจับกูเคียดเอาตัวไปทำดาวเคราะห์ยังทะเลทิศทางวันตกเพราะเห้งเจียยกโทษประหารชีวิตให้ด้วยเห็นแก่ฟังโน่งผู้ดัมเบล
ม่อหงังไท้จื๊อผู้นี้ยังคงเป็นส่วนใหญ่ของเลอองอ๋องพระยานาคฝ่ายทะเลทิศตะวันตกเมื่อพระถังซัมจั๋งถูกกูเคียดจับลงไปที่เห็นได้ชัดถึงบาดาล เห้งเจียมาเซอร์ไพรส์... ม่อหงังไท้จื๊อจึงคุมตัวกูเคียดแทนบาดาล ม่อหงังมีฤธาอานุภาพมาก
เจ้าเมืองเซียนตี้ก๊กตรงนี้ เดิมก็ครองราชสมบัติโดยทางทศพิธราชธรรมและไม่จำเป็นต้องเชื่อไสยเชื่อถือในพระพุทธศาสนาแต่ครั้งเมื่อปิศาจใต้เซียรูปลักษณ์ภายนอกทำกลอุบายสำแดงอิทธิฤทธิ์เดชานุภาพต่าง ๆ ที่เหลือกลับมีพระทัยทรงเชื่อถือเชื่อในไสยในลัทธิจักรวาลแห่งปิศาจใหญ่ผู้มีอำนาจอาจารย์ส่วนใหญ่มิจฉาทิฐิไป เมื่อเหรียงเจียมาปราบปีศาจระบบควบคุมนั้นราบคาบแล้วร่างกายจึงได้กลับพระทัยเลื่อมใสศรัทธากระแสพระพุทธศาสนาต่อไปอย่างเดิม
เฮ้าลัดเตนนี้เริ่มต้นเดิมเสือโคร่งถือศีลความเป็นผู้นำความเป็นผู้นำอยู่ในป่าเขามาช้านานจนเกิดผลสำเร็จภาคได้ไม่นานเซียนมีอิทธิฤทธิ์เดชานุภาพไม่นานอันนั้นเองที่ร่างกายสามารถเลือกได้และปล่อยให้ตัวมาถึงใต้เซียนอาจารย์ใหญ่ๆ อีกครั้งมัลติฟังก์ชั่นแก่ลกลัดใต้เซียนเอี๊ยวลัดใต้เซียน เมื่อพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทุกคนมาถึงที่เมืองเซียตี้ก๊กเฮ้าฮับขันลองวิชาความรู้กับเห้งเจียสู้ฤทธิ์เหรียงเจียไม่ได้แล้วก็สามารถไปถึงได้อีกครั้งก็กลับมาอีกครั้งอีกครั้งเสือโคร่งเริ่มต้นอีกครั้ง
ลกลัดใต้เซียนผู้นี้คือจุดเริ่มต้นเริ่มต้นที่กวางป่าเธอรักษาศีลภาวนาอยู่ช้านานสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมได้สำเร็จส่วนการเปลี่ยนแปลงกายได้ … มนต์ประสิทธิ์ขลังตั้งตัวและ พระถังซัมจั๋งเซียนกับที่เป็นประโยชน์มาถึงเมืองเซียนตี้ก๊กกก ลัดขันธ์แก่เห้งเจียในอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ สู้ฤทธิ์เห้งเจียไม่ได้มาถึงตำนานเพราะฝีมือเห้งเจีย ฤทธิ์ของลกลัดก็กลับกันมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะจุดเริ่มต้นเดิม
เอวลัดใต้เซียนนี้เริ่มแรกจนมาถึงเมืองเซียนเนื้อป่าได้เรียนรักษาครีเอทีฟภาวนามาช้านานปีคณาจารย์ส่วนนิมิตการเปลี่ยนแปลงร่างกายได้สำเร็จและรินตัวลงไปใต้เซียนอาจารย์ใหญ่สร้างร่างกายมาอยู่ในเซียนตีก๊กใส่พระถังซัมจั๋งกับนักเรียนที่นำมาถึงเมืองเซียนตีก๊กเอี๊ยวลัดใต้เซียนขันธ์เจริญรุ่งเรืองเจียรเจียร์ แพ้ความรู้ความเข้าใจศาสตร์จนกระทั่งถึงระดับยักษ์ก็ขยายกลับเพิ่มป่าส่วนใหญ่ที่จุดเริ่มต้นเดิม
ตาเฒ่าตั๊นเท่งตั้งบ้านเรีอนอยู่ริมแม่น้ำทงทีฮ้อตั๊นเท่งผู้นี้ไม่เพียงแต่คนมั่งมีบริบูรณ์ยิ่งกว่าคนในตำบลนั้นเท่านั้นที่มีสมาชิกจำนวนมากเท่านั้นที่ราษฎรจำนวนมากในหมู่บ้านนั้น เมื่อพระถังซัมจั๋งกับเพื่อนร่วมงานมาถึงย่านนี้ตาเฒ่าตั๊นเท่งก็ได้ประคับประคองรับรองแขกในถังซัมจั๋งแล... เห้งเจียยกโป๊ยก่ายได้แปลงตัวได้ไม่นานเด็กชายหญิงช่วยปราบปิศาจเสิร์ฟก๊ำใต้อ๋อง อ๋องบุตรของตั๊นเท่งรอดจากการสำรวจได้
(บทที่ ๕)
 ซีเทียนไต้เซียได้รับของประทานแล้วก็ถวายบังคมลาออกมาพร้อมด้วยเง้าเต๊กแชกุนไปยังที่อยู่ ครั้นถึงแล้ว ซีเทียนให้จัดโต๊ะเปิดสุราซึ่งพระเป็นเจ้าพระราชทานมานั้นเชิญกันรับประทาน แล้ว เง้าเต๊กแชกุนก็คำนับลากลับไปที่อยู่ของตน ซีเทียนไต้เซียก็เข้าในหอพักสำราญอารมณ์ มีความปราโมทย์บันเทิงใจเป็นที่ยิ่ง อยู่ในสวรรค์ทุกเช้าเย็นนิรันดร์ไม่มีที่ขัดขวาง แต่หารู้ว่า ตน เป็นขุนนางตำแหน่งไหนไม่ มีแต่ชื่ออยู่เท่านั้น
      หอที่อยู่ของซีเทียนไต้เซียมีเซียนคอยเฝ้ารักษาพยาบาล
ประคับประคองให้ซีเทียนไต้เซียใช้สอยอยู่เสมอมิได้ขาด แล้วก็ไม่มีธุระวุ่นวายอะไร มีแต่ความผาสุกอยู่เนืองนิตย์ ไม่มีความขัดขวางด้วยเหตุสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เวลาว่างก็ไปเที่ยวเล่นตามห้องวิมานแห่งเทพยดาทั้งหลายสั่งสนทนาคบหากันเป็นมิตรสหายชอบชิดสนิทสนม ทั้งท้าวจตุโลกบาลก็ไปมาหาสู่อยู่เนือง ๆ มิได้ขาด
      มาวันหนึ่ง เง็กเซียงฮ่องเต้เสด็จออก เทพบุตรเฝ้า
แวดล้อม อยู่พร้อมกัน ในเวลานั้น มีท่านเค้าเซงอ๋องจินหยินเทพบุตรผู้ใหญ่องค์หนึ่งเข้ามายังหน้าพระที่นั่งถวายบังคมกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้โปรด โดยข้าพเจ้าเห็นว่า ซีเทียนไต้เซียตั้งแต่ขึ้นมาอยู่ในวิมานก็มีความสุขสำราญอยู่ทุก ๆ วัน ไม่มีธุระอะไร ไปเที่ยวเล่นทุก ๆ วิมานอยู่เสมออย่างนี้ ข้าพเจ้าวิตกว่า มีความสบายหนักเข้าก็อาจทำให้ใจกำเริบได้ นานไปข้างหน้าคงจะเกิดเหตุเป็นแน่ ขอพระองค์จงตั้งให้ซีเทียนไต้เซียดูแลการงานอะไรเสียสักอย่างหนึ่งพอเป็นเครื่องกังวลให้กดใจไว้บ้าง
      เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังเค้าเซงอ๋องจินหยินกราบทูลดัง
นั้นก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงรับสั่งให้เทพบุตรไปตามตัวซีเทียนไต้เซียมาเฝ้าถวายบังคม แล้วซีเทียนไต้เซียจึงทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โปรดเกล้าฯ ให้หาข้าพเจ้ามาเฝ้าด้วยเหตุใด
      เง็กเซียงฮ่องเต้จึงรับสั่งว่า เรเห็นซีเทียนไต้เซียว่างเปล่า
อยู่ ไม่มีการสิ่งใด เราหวังจะให้เป็นธุระในราชการสักอย่างหนึ่ง คือ ให้จัดแจงดูแลในสวนชมพู่ตามแต่ซีเทียนจะไปจัดการให้เรียบร้อยเถิด ซีเทียนได้รับสั่งเง็กเซียงฮ่องเต้แล้วก็ถวายบังคมลาตรงไปยังสวนชมพู่ ครั้นถึงแล้วก็เข้าไปตรวจดู ในเวลานั้น เทพารักษ์ท้าวตี่ก๋ง คือ พระภูมิเจ้าที่ ออกมาขวางหน้าถามว่า ไต้เซียจะไปข้างไหน ซีเทียนตอบว่า เง็กเซียง
ฮ่องเต้รับสั่งให้ข้าพเจ้ามาตรวจตราดูแลในสวนชมพู่นี้ เทพารักษ์ท้าวตี่ก๋งได้ฟังดังนั้นก็ยกมือขึ้นคำนับ พวก วิษณุกรรมลักสือที่เฝ้าอยู่ในสวนนั้นก็พากันมาคำนับซีเทียนไต้เซียทุก ๆ ตน ซีเทียนไต้เซียพิจารณาดูสักครู่หนึ่งจึงถาม ท้าวตี่ก๋งว่า ต้นชมพู่หมดด้วยกันทั้งนี้มีประมาณสักเท่าใด ท้าวตี่ก๋งจึงบอกว่า มีอยู่สามพันหกร้อยต้น สวนที่หนึ่ง พันสองร้อยต้น ดอกเล็ก ผลเล็ก สามพันปีสุก
 ครั้งหนึ่ง ถ้าใครได้กินผลหนึ่งได้สำเร็จเป็นเซียน สวนที่สอง สองพันสองร้อยต้น ดอกซ้อน ผลหวาน หกพันปีจึงจะสุกครั้งหนึ่ง ถ้าผู้ใดได้กินผลหนึ่งเหาะเหิน เหยียบเมฆเที่ยวเล่นโดยทางอากาศได้ทั้งมีอายุมากไม่แก่ด้วย สวนที่สาม มีพันสองร้อยต้น ผิวเขียว เมล็ดละเอียด เก้าพันปีจึงจะสุกครั้งหนึ่ง ใครได้กินผลหนึ่งอายุยืนเสมอฟ้าดิน แลเท่าเวลากาลแก่พระอาทิตย์พระจันทร์ชั่วนิรันดร์ ซีเทียนไต้เซียได้ฟังท้าวตี่ก๋งบอกดังนั้นก็มีความยินดีเป็นที่สุด เที่ยวตรวจดูโดยละเอียดแล้วก็กลับมา ยังที่อยู่
 ตั้งแต่นั้นมา ถึงหกวันซีเทียนก็เข้าไปตรวจดูครั้งหนึ่ง ส่วนการไปมาหาสู่คบเพื่อนก็หยุด มิได้ไปเที่ยวเล่นเช่นแต่ก่อน ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ซีเทียนไต้เซียเข้าไปในสวน เที่ยวตรวจดู แล้วก็ไปนั่งเล่นใต้ต้นชมพู่ เห็นมีผลสุก อยู่หลายผล ในใจจะใคร่กินผลชมพู่ที่แรกสุก แต่เกรงท้าวตี่ก๋งแลผู้คนใช้สอยอยู่ที่นั่นพรักพร้อมกัน จึงอุบายบอกว่า ท่านทั้งหลายจงไปคอยเราข้างนอกประตูสวนเพื่อให้เงียบเสียงซึ่งเจรจา เราจะได้พักหลับสักประเดี๋ยว พวกที่ใช้สอยเหล่านั้นได้ฟังซีเทียนไต้เซียว่าดังนั้น ต่างก็พากันออกไปนั่งสนทนากันอยู่ที่ประตูสวนตามสบาย ครั้นพวกเหล่านั้นออกไปแล้ว ซีเทียนก็ถอดหมวกแลเครื่องแต่งตัววางลงไว้บนหอเย็นที่กลางสวน แล้ว ก็กระโดดปีนขึ้นไปบนต้นชมพู่ เลือกดูผลไหนสุกก็เกิบกินตามสบาย
 ครั้นกินแล้วก็กระโดดลงมา แต่งตัวเสร็จแล้วดังเก่า จึงเรียกเซียนเหล่านั้นมาสั่งการ เสร็จแล้วก็กลับมาที่อยู่ ต่อมา ซีเทียนเข้าไปในสวนก็ทำอุบายเหมือนดังก่อน ขโมยชมพู่กินอยู่อย่างนั้นเนือง ๆ จนชมพู่ที่สุก นั้นก็บางลงไปทุก ๆ ต้น ครั้นมาวันหนึ่ง นางท้าวเทวราช คือ พรหมผู้หญิง จะทำการเลี้ยงโต๊ะเป็นการใหญ่ จึงสั่งให้ นางฟ้าทั้งเจ็ดองค์ไปเก็บชมพู่ที่ผลสุกเพื่อจะเอามาเลี้ยงโต๊ะ เทพธิดาทั้งเจ็ดองค์รับรับสั่งนางท้าว ถือกระเช้า สำหรับใส่ชมพู่ ต่างก็ชวนกันไปยังสวน
 ครั้นมาถึงก็เข้าไปหาท้าวตี่ก๋งแลพวกเฝ้าสวนทั้งหลาย นางทั้งเจ็ดก็เข้ามาคำนับ แล้วบอกแก่ท้าวตี่ก๋งว่า เจ้าแม่มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าทั้งหลายมาเก็บผลชมพู่ที่สุกในสวนไปเลี้ยงโต๊ะตามเคยเหมือนทุกปีมา ท้าวตี่ก๋งได้ทราบดังนั้นแล้วจึงบอกว่า เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน เพราะเง็กเซียงฮ่องเต้มอบธุรกิจการในสวนให้แก่ซีเทียน ไต้เซีย จำจะต้องบอกเล่าแก่ซีเทียนไต้เซียก่อนแล้วจึงจะเก็บได้ นางทั้งเจ็ดถามว่า ซีเทียนไต้เซียนั้นอยู่ที่ไหน ท้าวตี่ก๋งจึงบอกว่า เห็นจะเข้านอนที่หอเย็นกลางสวนนั้นกระมัง นางทั้งเจ็ดพูดว่า ถ้าดังนั้นต้องเข้าไปถาม ถ้าช้าไปกลับไม่ทัน ข้าพเจ้าจะมีความผิด
 ท้าวตี่ก๋งพร้อมด้วยนางทั้งเจ็ดก็เข้าไปในสวนเพื่อจะไดบอกเล่าแก่ซีเทียนไต้เซียน ครั้นมาถึงหอเย็น เห็น แต่เครื่องแต่งตัว ไม่เห็นซีเทียนไต้เซีย ฝ่ายซีเทียนไต้เซียนั้น เมื่อแรกเข้าไปในสวนเก็บผลชมพู่กินอิ่มแล้ว จำแลงกายเป็นทารกเด็กน้อยเท่าองคุลี บังใบชมพู่นอนอยู่บนกิ่งไม้ นางทั้งเจ็ดบอกแก่ท้าวตี่ก๋งว่า พวกข้าพเจ้ารับคำสั่งเจ้าแม่มา หาตัวซีเทียนก็ไม่ปะ จะกลับไปเสียนั้น เห็นจะไม่ได้ หากจะมีความผิดขึ้น
 พวกเซียนที่เฝ้าสวนจึงพูดแก่นางเทพธิดาทั้งเจ็ดองค์ว่า ถ้าเช่นนั้น นางไปเก็บเสียก่อนก็ได้ เมื่อซีเทียนไต้เซียกลับมา ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงจะบอกให้ นางทั้งเจ็ดได้ฟังพวก เซียนว่าดังนั้นก็ชวนกันเที่ยวเลือกเก็บผลชมพู่ที่สุกในสวนที่หนึ่งเก็บได้สามกระเช้า ในสวนที่สองเก็บได้ สองกระเช้า แล้วในสวนที่สามพิจารณาดูเห็นผลชมพู่เบาบางไปทุก ๆ ต้น ดอกก็ร่วงโรย มีแต่ต้นละ สองผลสามผลเท่านั้น แลมีแต่ผลที่เขียวดิบ ๆ อยู่ ไม่มีผลสุก โดยเหตุที่ซีเทียนไต้เซียลักเก็บกินเสียหมด
 นางเทพธิดาทั้งเจ็ดเที่ยวมองหาแลค้นดูทุก ๆ ต้น ก็ไม่เห็นมีผลสุก ดูไปดูมาเห็นที่ต้นหนึ่งมีอยู่สองสามผล สุกครึ่งหนึ่ง ดิบครึ่งหนึ่ง นางเสื้อเขียวก็เอื้อมมือเหนี่ยวกิ่งลงมาจะเก็บ นางเสื้อแดงก็เก็บ ครั้นเก็บแล้วก็ปล่อยกิ่ง กิ่งชมพู่ลัดขึ้นไป ถูกซีเทียนที่มานอนอยู่ ซีเทียนไต้เซียตกใจตื่นขึ้น คลายมนต์กายกลับเป็นรูปเดิม ถือกระบองเหล็กคู่มือ แล้วร้องตวาดด้วยเสียง อันดังว่า อีพวกผีปิศาจเหล่านี้อยู่ที่ไหน จึงอาจสามารถเข้ามาในสวนเก็บผลชมพู่ของกูได้
 ฝ่ายพวกนางเทพธิดาทั้งเจ็ดองค์ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ คุกเข่าลง แล้วก็คำนับบอกว่า พวกข้าพเจ้า ทั้งเจ็ดคนนี้ถือรับสั่งพระแม่เจ้าให้มา เพราะพวกข้าพเจ้าทั้งหลายเหล่านี้เป็นพนักงานเก็บผลชมพู่ทุก ๆ ปี ท้าวตี่ก๋ง บอกว่า ท่านอยู่ในสวน ข้าพเจ้าเข้ามาจะคำนับท่านก็ไม่พบท่าน ครั้นจะรอให้พบท่านก็จะไม่ทันราชการการ เกรงจะมี ความผิด เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงบอกแก่ท้าวตี่ก๋งว่า จะขอเก็บผลชมพู่ก่อน เมื่อท่านกลับมาจึงค่อยบอกความต่อหลัง ก็จะได้ จะได้ไม่เสียเวลา ขอท่านอย่าได้ถือโทษพวกข้าพเจ้าเลย เพราะคราวนี้จะเลี้ยงโต๊ะเป็นการประชุมใหญ่ ซีเทียนไต้เซียได้ฟังดังนั้นก็หายโกรธ กลับมีความยินดี พูดแก่นางทั้งเจ็ดให้ลุกขึ้น
 แล้วจึงถามว่า เจ้าแม่ทำการประชุมใหญ่เลี้ยงโต๊ะคราวนี้ จะเชิญผู้ใดบ้าง นางฟ้าทั้งเจ็ดองค์จึงบอกว่า ทุกคราวทุกครั้งที่เคยทำ มาแล้วนั้น ทิศประจิม ได้เชิญพระโพธิสัตว์กับผู้สำเร็จ ทิศพายัพ น้ำเก็กไต้เซียน แลพระกวนอิม ทิศบูรพา ช่องอินไต้ตี่ กับจิวเต๊าเซียนกง ทิศอุดร ปักเก๊กเหี้ยนเล้ง ทิศใต้ ยิดเค๊กอึงกั่กไต้เซียน แลทั่วไปทุก ๆ ภูมิสถาน เทพยดาเทพารักษ์ ในจักรวาลจะมาประชุมพร้อมกันในเวลานั้น เป็นมหาชัยมงคลอันใหญ่สำหรับปี ซีเทียนไต้เซียได้ฟังนางเทพธิดาทั้งเจ็ดบอกเล่าดังนั้น จึงถามต่อไปอีกว่า เจ้าแม่ได้เชิญเราด้วยหรือไม่ ด้วยเราก็เป็นเซียนผู้สำเร็จเหมือนกัน
 นางเทพธิดาทั้งเจ็ดตอบว่า ที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้ตามที่เคยมาทุกปีแล้ว แต่ในคราวนี้ยังไม่ทราบว่าจะเชิญ ผู้ใดมากน้อยเท่าใด ข้าพเจ้าหาทราบไม่ ซีเทียนจึงบอกแก่นางทั้งเจ็ดว่า ถ้ากระนั้น นางจงคอยเราสักประเดี๋ยว เราจะ ไปฟังข่าวดูว่าจะเป็นประการใด พูดแล้วซีเทียนก็สำรวมร่ายพระคาถาผูกนางทั้งเจ็ดไว้แล้วบอกว่า เจ้าจงยืนอยู่ที่นี่ ก่อน นางทั้งเจ็ดถูกมัดด้วยเวทมนต์ก็พากันยืนแข็งอยู่ใต้ต้นชมพู่ ซีเทียนก็เหาะไปยังตำหนักเจ้าแม่ตรวจดูว่าจะสนุกสนาน ครึกครื้นประการใด แต่เมื่อซีเทียนเหาะไปนั้นพรรเอิญมาพบชิดเคียดไต้เซียนเทวดาองค์หนึ่งเหาะมา
 ซีเทียนก้มศีรษะ คำนับแล้วคิดอุบายถามว่า ท่านไต้เซียนจะไปข้างไหน ชิดเคียดไต้เซียนจึงบอกว่า นางอ๋องโป๊เนี่ยเนี้ยให้ไปเชิญมา ประชุมเลี้ยงโต๊ะคราวใหญ่ ซีเทียนจึงพูดว่า ดีแล้ว พบท่านตามทาง ข้าพเจ้าจะบอกท่านไต้เซียนให้ทราบว่า เง็กเซียง ฮ่องเต้เห็นว่าข้าพเจ้าเหาะเหินเร็ว จึงใช้ให้ข้าพเจ้าไปคอยทุกหนทางเพื่อให้เชิญไต้เซียนทั้งหลายไปประชุมที่ปราสาท ธงเม่งเต้ยก่อน แล้วจึงไปที่ประชุมเลี้ยงโต๊ะต่อภายหลัง ชิดเคียดไต้เซียได้ฟังดังนั้นก็สำคัญว่าจริง จึงเหาะกลับไปยัง วิมานธงเม่งเต้ย
 ซีเทียนเห็นชิดเคียดไต้เซียนกลับหลังไปแล้ว ซีเทียนก็ร่ายคาถาแปลงกายเป็นชิดเคียดไต้เซียนรีบ เหาะไปยังที่ประชุมเลี้ยงโต๊ะ ครั้นถึงแล้วก็ลงเดินเข้าไปในตำหนัก เห็นที่บนโต๊ะจัดแจงแต่งตั้งไว้ล้วนประดับประดาด้วย เครื่องวิเสทงดงามประหลาดต่าง ๆ ในมนุษยโลกไม่มีที่จะเปรียบได้ เครื่องโภชนาโอชารสทิพย์ต่าง ๆ ดูเรียบเรียง ไว้เรียงรายเป็นลำดับ ดูน่ากินยิ่งนัก ยังคอยท่าแต่หมู่เทพยดายังหามีใครมาไม่ ซีเทียนตรวจดูเห็นไม่รู้สิ้นสุด ขณะเมื่อซีเทียนยืนดูอยู่นั้น หอมกลิ่นทิพโอชารสสุรามากระทบจมูกเข้า ซีเทียนจึงหันมาเห็นทิพสุราตั้งอยู่ข้างฝาสองสาม คนโท ล้วนแต่สุราทิพย์ที่กลั่นอย่างวิเศษ
 ซีเทียนเห็นดังนั้นนึกอยากจนน้ำลายไหลออกมา อยากจะเดินเข้าไปหยิบ กินก็นึกเกรงพวกรักษาการยังเฝ้าอยู่ ซีเทียนจึงถอนขนตัวใส่ปากเสกคาถาพ่นออกไปเป็นตัวแมลงหวี่ต่าง ๆ บินไป จับเกาะนัยน์ตาทุก ๆ เซียน พนักงานเหล่านั้นก็คันหูคันตาหาวนอน ต่างก็ง่วงงัวเงียมือเท้าอ่อนสัปหงกหลับ ต่างก็ล้มนอนไปทั้งสิ้น ซีเทียนเห็นดังนั้นก็เดินเข้าไปหยิบคนโทสุราทิพย์รินออกมากินตามสบายใจ เมาจนไม่รู้สึกตัว แล้วกลับได้สติคิดขึ้นได้ว่า ไม่ดี ไม่ควร ถ้าช้าอยู่ที่นี่ เทวดามาประชุมพร้อมกันเข้าก็จะจับตัวเรา ทำอย่างไรดี เห็น จะสู้กลับไปนอนยังที่จะดีกว่า คิดดังนั้นแล้วก็ลุกเดินโซเซออกมาจากที่นั่นจะเหาะกลับมา บังเอิญหลงไปหาใช่ที่อยู่ไม่ เหาะไถลไปยังชั้นวิมานดุสิต ที่วิมานนี้พ้นวิมานดาวดึงส์มาแล้ว
 ซีเทียนครั้นเหาะเลยขึ้นไปก็พอสร่างสุราได้สติขึ้นก็แล เห็นวิมานชั้นดุสิต นึกขึ้นได้ว่า เราหลงทางขึ้นมาถึงที่นี่ก็พ้นวิมานดาวดึงส์มาได้แล้ว ซึ่งมาถึงที่นี้เห็นจะเป็นชั้นพรหมที่ ท่านท้ายเสียงเล่ากุนอยู่ ซีเทียนคิดจะเข้าไปหาท้ายเสียงเล่ากุน แต่วิตกที่ตนไม่เคยมา คิดว่า เราหลงมาเวลานี้ จำจะ ต้องเข้าไปหาดูก่อนเห็นจะดี คิดแล้วก็สำรวมกิริยาเดินเข้าไปเหลียวซ้ายแลขวาเห็นเงียบสงัดไม่ได้เห็นใครสักคนเดียว เพราะในเวลานั้น ท้ายเสียงเล่ากุนอยู่บนตำหนักชั้นสูง คอยฟังพระเหยียเตงเทศนา พระเหยียนเตงนั้นคือพรหมผู้ใหญ่
 หมู่เทพยดาใหญ่น้อยเคยมาประชุมแวดล้อมคอยฟังเทศนา ซีเทียนค่อย ๆ เดินเข้ามาในห้องยาของท้ายเสียงเล่ากุน ปรารถนาจะถามความก็ไม่เห็นมีใคร เหลียว ซ้ายแลขวาจึงเห็นน้ำเต้าใส่ยาอยู่บนชั้น แลมีน้ำเต้าห้าลูก ในน้ำเต้านั้นล้วนแต่ใส่ยาวิเศษสำเร็จแล้ว ซีเทียนเห็นแล้วก็ดีใจจึงคิดว่า ของสิ่งนี้ตั้งแต่เราสำเร็จจะขอเรียนวิชาเป็นแพทย์ประกอบยาวิเศษ อย่างนี้ไว้ช่วยมนุษย์ พรรเอิญไม่ให้มีเวลาว่าง วันนี้เห็นเป็นอุปนิสัยอันใหญ่ จึงให้หลงมาพบยาอันวิเศษ แลท้ายเสียงเล่ากุนก็ไม่อยู่ด้วย จำเราจะลองกินสักสองเม็ด เป็นลาภปากที่เราได้มาปะเข้าแล้ว
 คิดดังนั้น แล้วก็เข้าไปหยิบน้ำเต้าเทยาออกมาใส่ปากเคี้ยวกินเล่นดุจถั่วคั่ว กินจนหมดยาในน้ำเต้าทั้งห้าลูก ครั้นซีเทียนกินยาหมดแล้ว ฤทธิ์เมาสุรานั้นก็หายไป ครั้นได้สติก็คิดวิตกว่า ตัวเราไม่ดี ทำการเกินตัว ครั้งนี้โทษเราใหญ่หลวงเท่าฟ้าแลดิน จำเราจะหนีกลับลงไปยังที่เดิมอันเคยอยู่ของเรา คิดแล้วก็ออกจาก วิมานเหาะกลับออกมาทางทิศประจิม ร่ายพระเวทวิทยากำบังกายรีบเหาะตรงลงมายังเขาฮวยก๊วยซัว
 ครั้นถึงปากถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องจึงร้องเรียกบริวารวานรว่า พวกเจ้าทั้งหลาย เรากลับมาแล้ว ฝ่ายพวกบริวารเมื่อได้ยินเสียงซีเทียนไต้เซียดังนั้น ต่างก็มีความยินดี กรูกันออกมาคำนับถามว่า ไต้เซียไปสบายใจนานแล้ว ไม่ลงมาเยี่ยมเยือนพวกข้าพเจ้าบ้างเลย ท่านมีสุขทุกข์ประการใด ซีเทียนเดินพลางพูดพลางด้วยพวกบริวารว่า เราไปก็ ไม่สู้นานกี่วันนัก
 ครั้นเดินถึงในถ้ำขึ้นนั่งบนแท่นแล้ว แล้ววานรนายทหารทั้งสี่พร้อมด้วยบริวารใหญ่น้อยคำนับแล้ว ถามว่า ท่านไต้เซียขึ้นไปอยู่บนสวรรค์มีความสุขสำราญอย่างไรบ้าง แลได้รับหน้าที่เป็นขุนนางตำแหน่งอะไร ซีเทียนได้ยินบริวารถามดังนั้นจึงหัวเราะแล้วพูดว่า ในคราวนี้ขึ้นไปเฝ้า เง็กเซียงฮ่องเต้โปรดปรานมาก ทรงตามใจตั้งให้เราเป็นซีเทียนไต้เซีย แล้วโปรดให้มีที่สำนักสองแห่ง แลให้พนักงานไว้ใช้สอย มาวันหนึ่ง ท่านเห็น ว่าเราไม่มีหน้าที่ราชการอันใด จึงโปรดรับสั่งให้เราไปดูการในสวนชมพู่
 ครั้นอยู่มา นางท้าวเทวราชจะประชุมการเลี้ยง โต๊ะคราวใหญ่ เชิญเทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลาย แต่ตัวเราท่านมิได้เชิญ เพราะฉะนั้น เราจึงลอบไปก่อน ลักกินสุรา ทิพย์แลเครื่องโอชารสเสียสิ้น เราเมาสุราเดินหลงทางเลยไปยังสำนักท้ายเสียงเล่ากุนลักยาวิเศษกินหมดทั้งห้าน้ำเต้า ครั้นกินแล้วก็สร่างเมา เราวิตกว่า จะทราบถึงเง็กเซียงฮ่องเต้ จะมีโทษถึงสิ้นชีวิต เพราะฉะนั้น เราจึงต้องหนีกลับ ลงมาเสียดังนี้ พวกบริวารได้ฟังดังนั้นก็พากันมีความยินดี จึงพร้อมกันจัดแจงเครื่องแกล้มแลสุรามาตั้งเรียงราย แล้วก็รินสุราออก แลยกขึ้นคำนับซีเทียน
 ซีเทียนก็รับดื่มเข้าอึกหนึ่งก็หน้านิ่วคิ้วย่นร้องว่า กินไม่ดี ๆ แลพูดว่า เมื่อ เราลักสุราที่อ๋องโป๊เนี่ยเนี้ยเลี้ยงโต๊ะกินนั้นรสดีกว่าสุรานี้ ด้วยสุรานั้นเป็นของทิพย์ กินแล้วก็ทำให้อายุยืนไม่แก่ไม่ตาย พวกวานรทั้งหลายเหล่านั้นได้ยินซีเทียนไต้เซียพูดดังนั้นต่างก็ดีใจอยากจะได้กินบ้าง จึงพูดว่า ซีเทียน ไต้เซียไปเถิด ข้าพเจ้าจะคอยท่า ซีเทียนได้ฟังบริวารว่าดังนั้นก็รีบออกจากถ้ำเหาะขึ้นไปยังตำหนักเอี้ยวตี้
 ครั้นถึงแล้ว ซีเทียนก็ร่าย คาถากำบังตัวเดินตรงเข้าไปข้างใน แลเห็นเซียนเหล่านั้นยังนั่งสัปหงกง่วงอยู่ ซีเทียนก็เข้าไปหยิบสุราทิพย์ได้สอง ขวด แล้วหนีบรักแร้อีกสองขวด ก็ถือเอามาแล้วเดินออกมาพ้นวิมาน ก็เหาะมายังเขาฮวยก๊วยซัว บอกบริวารให้ จัดโต๊ะประชุมให้พร้อมกัน จะได้เสพสุราอันมีนามว่า เซียมจิ้วหวย คือ สุราทิพย์สำหรับเทวดากิน ครั้นจัดแจงเสร็จแล้ว ก็พากันเสพสุราทิพย์เป็นที่รื่นเริง
 ฝ่ายนางฟ้าทั้งเจ็ดคนที่ถูกซีเทียนร่ายคาถามัดอยู่ในสวนนั้น ครั้นซีเทียนลงไปเมืองมนุษย์แล้ว มนต์ก็ เสื่อมคลาย จึงหลุดออกมาได้ นางทั้งเจ็ดก็รีบยกกระเช้าชมพู่กลับเข้าไปในตำหนักวิมาน คำนับแล้วยืนก้มหน้านิ่งอยู่ อ๋องโป๊เนี่ยเนี้ยนางเทวราชจึงถามนางทั้งเจ็ดว่า พวกเจ้าไปเก็บชมพู่ได้มามากน้อยเท่าใด นางทั้งเจ็ดจึงทูลว่า สวนนอกได้สองกระเช้าเล็ก สวนกลางได้สามกระเช้า สวนหลังนั้นไม่ได้เลย ข้าพเจ้าคิดดูเห็นซีเทียนไต้เซียจะลักเก็บกินเป็นแน่
 เพราะในเวลานั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังค้นผลชมพู่อยู่ ซีเทียนอยู่ ที่ไหนก็ไม่ทราบ กระโดดออกมาร้องตวาดพวกข้าพเจ้า แล้วถามว่า เจ้าแม่จะเลี้ยงโต๊ะ จะเชิญท่านผู้ใดบ้าง พวกข้าพเจ้า จึงบอกว่าตามเคยที่เจ้าแม่ได้เชิญนั้นเล่าให้ฟัง แล้วซีเทียนก็ร่ายคาถามัดพวกข้าพเจ้าให้ยืนนิ่งอยู่ที่นั้น มาถึงเวลานี้ จึงได้หลุดกลับมาได้ นางเทวราชอ๋องโป๊เนี่ยเนี้ยได้ฟังดังนั้นแล้วก็รีบขึ้นไปยังปราสาทเหลงเซียวเต้ย กราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ให้ทรงทราบทุกประการ
 ขณะเมื่ออ๋องโป๊เนี่ยเนี้ยกำลังทูลอยู่นั้น พวกเซียนเฝ้าสุราทิพย์พากันกราบทูลอีกว่า ไม่ทราบว่าผู้ใด ลอบแอบเข้าไปลักสุราทิพย์ไปหมด ทั้งเครื่องทิพโอชาก็เปื้อนเปรอะไปทั้งนั้น ในขณะนั้น เทพยดาแลเซียนทั้งสี่มากราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้อีกว่า ท้ายเสียงเล่ากุนมาแล้ว เง็กเซียง ฮ่องเต้ได้ทรงฟังแล้วก็ลงมาทิพบัลลังก์พร้อมกับนาวท้าวเทวราชออกมารับท้ายเสียงเล่ากุนเข้ามา ท้ายเสียงเล่ากุนจึงทูลแก่เง็กเซียงฮ่องเต้ว่า ในตำหนักของข้าพเจ้านั้นประกอบยาวิเศษสำเร็จแล้ว ไว้หวังจะนำเอามายังที่ประชุมให้เทพยดารับพระราชทาน บังเอิญถูกขโมยลักไปเสียหมดแล้ว ขอพระองค์ได้ทรงทราบ เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังท้ายเสียงเล่ากุนแจ้งดังนั้นก็ตกพระทัยตะลึงไป
 สักครู่หนึ่ง พวกเซียนที่รับใช้ของ ซีเทียนเข้ามากราบทูลว่า ซีเทียนไต้เซียไม่ดูแลการในสวน หายไปตั้งแต่วานนี้แล้วก็ไม่เห็นกลับมา ไม่ทราบว่าจะไปแห่ง หนตำบลใด ขอพระองค์ได้ทรงทราบ เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังพวกเซียนทูลดังนั้นก็ยังทรงนิ่งนึกตรึกตรองอยู่ แล้วทอดพระเนตรเห็นชิด
 เคียดไต้เซียนเข้ามากราบทูลอีกว่า ข้าพเจ้าได้รับเชิญเจ้าแม่มาประชุมเมื่อวานนี้ ปะซีเทียนไต้เซียบอกว่า พระองค์ ให้บรรดาเทพบุตรแลเซียนเข้ามาประชุมที่ปราสาทธงเม่งเต้ยก่อน แล้วจึงค่อยไปตำหนักเอี้ยวตี้ต่อภายหลัง ข้าพเจ้าก็ สำคัญว่าจริง จึงได้กลับมายังธงเม่งเต้ย ก็มิได้เห็นพระองค์ ข้าพระองค์จึงได้เลยมาเฝ้าในครั้งนี้ เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ยิ่งหวาดหวั่นพระทัยยิ่งนัก จึงรับสั่งว่า เราหาได้สั่งแก่ซีเทียน ไต้เซียไม่ มันคงหลอกให้ท่านหลงเชื่อมัน การคงจะเป็นดังนี้แน่ ตรัสดังนั้นแล้วจึงรับสั่งให้เฉเหลงกัวเทพบุตรไปสืบ ดูทั่วทุกวิมานว่าจะเป็นด้วยเหตุประการใด
 เฉเหลงกัวรับรับสั่งแล้วถวายบังคมลาออกมา แล้วก็เที่ยวไปสืบดูทุก ๆ วิมาน ครั้นได้ทราบความแน่แล้วก็กลับมากราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ ซึ่งเกิดความวุ่นวายนั้น มิใช่ใครอื่นไกล ซีเทียนนั้นแล ขอพระองค์ทรงทราบ เง็กเซียงฮ่องเต้เมื่อได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงพระพิโรธ รับสั่งให้ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ พร้อมด้วยถักทะลีทีอ๋อง กับโลเฉีย แลดาวยี่สิบแปดดวง สิบสองง่วนสิน แลดาวทั้งเก้า กับเง้าฮวนเจี่ยวเทพารักษ์ กับเทวดาทั้งสี่ทิศ พร้อมกัน ทั้งพลเทพยดา รวมได้สิบหมื่น ครั้นจัดกันพร้อมแล้วก็พร้อมกันถวายบังคมลาออกจากประตูนำทีหมึง
 ถักทะลีทีอ๋องเร่งพลเทพยดาเหาะ ตรงลงมายังเขาฮวยก๊วยซัว ครั้นถึงแล้ว ถักทะลีทีอ๋องสั่งให้รายพลล้อมเขาฮวยก๊วยซัวไว้แน่นหนา แล้วถักทะลีทีอ๋องสั่ง ให้เก๊าเอี๋ยวดาวทั้งเก้าเข้าไปหน้าถ้ำชวนซีเทียนไต้เซียให้ออกมารบ เก๊าเอี๋ยวก็ยกพลเข้าไปร้องท้าทายที่ปากถ้ำ ฝ่ายพวกบริวารวานรทั้งหลายเมื่อได้ยินเก๊าเอี๋ยวมาร้องท้าดังนั้น ก็รีบนำความเข้าไปบอกแก่ซีเทียนไต้เซีย ซีเทียนไต้เซียเมื่อได้ฟังวานรนำความมาแจ้งดังนั้นก็มิได้แสดงความครั่นคร้ามหวาดเสียวแต่อย่างหนึ่งอย่างใด นั่งเสพสุรา เฉยอยู่ แล้วจึงพูดว่า วันนี้เรากินสุราเมาอยู่ อย่าให้ใครเป็นธุระพวกบ้าเลย
 พูดยังไม่ทันขาดคำ พวกวานรวิ่งเข้ามา บอกอีกว่า เทวดาทั้งเก้าองค์ได้กล่าวคำหยาบช้าต่อไต้อ๋องมากมายนัก ฝ่ายซีเทียนไต้เซียเมื่อได้ฟังพวกวานรมาบอกดังนั้นจึงบอกว่า ช่างเขาเถิด จะด่าว่าประการใดก็ช่างเขา ท่านทั้งหลายอย่าเอาเป็นธุระเลย เรามีสุราสู่กันกินให้สบาย อย่าวิตกทุกข์ร้อนอะไรไปทำไม ซีเทียนพูดยังไม่ทันจะขาดคำลง พวกวานรวิ่งเข้ามาบอกว่า เทพารักษ์เก้าองค์ทำลายประตูถ้ำเสียแล้ว พากันตีเข้ามาเกือบจะถึงอยู่แล้ว
 ซีเทียนได้ฟังดังนั้นจึงเรียกต๊อกกั่กกุยอ๋องเซียนฮองให้พายักษ์เจ็ดสิบสองถ้ำแลพวกทหารวานรยกออกไปก่อน ฝ่ายต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋อง เซียนฮองแม่ทัพหน้า รับคำสั่งแล้วก็รีบจัดทหาร เสร็จแล้วก็ขับทหารออกไปก่อน ฝ่ายซีเทียนชักกระบองออกกวัดแกว่งแลเรียกหมู่ทหารวานรพร้อมกันหนุนออกมา ฝ่ายต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องเซียนฮองครั้นออกมาถึงนอกถ้ำเห็นเทพารักษ์เก้าองค์ตั้งสกัดทางขวางหน้าอยู่ที่สนามเล็ก จะออกไปหาได้ไม่ พอซีเทียนมาถึงเข้าแล้วแลเห็นดังนั้นก็ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า จงรีบเปิดทางโดยเร็ว ว่าแล้วก็ สำแดงฤทธาแกว่งกระบอกโจมตีออกมาด้วยกำลัง
 ฝ่ายเทพารักษ์เก้าองค์จะต่อสู้ต้านทานกำลังซีเทียนมิได้ ก็ล่าถอยออกมาตั้งรายเป็นกระบวนอยู่ แล้วจึง พูดแก่ซีเทียนว่า ตัวท่านไม่รู้จักความตายจะถึงตัว เจ้าบังอาจล่วงละเมิดกระทำความผิดเป็นมหันตโทษ กินชมพู่ในสวน จนหมดแล้ว ยังมิหนำซ้ำไปลักสุรากินอีกเล่า ใช่แต่เท่านั้น ยังกระทำวุ่นวายหลอกลวงให้การประชุมของนางท้าว เทวราชอ๋องโป๊เนี่ยเนี้ยเสียไปด้วย แล้วมิหนำซ้ำยังลักสุราลงมาเลี้ยงพวกของตัวอีก ทำการชั่วร้ายแรงนัก ยังไม่รู้โทษ ตัวว่ากระทำผิดหรือ ซีเทียนได้ยินเทพารักษ์ว่าดังนั้นก็หัวเราะ แล้วตอบว่า การทั้งปวงก็จริงดังท่านว่า แต่บัดนี้ ท่านจะทำ ประการใดเราก็ให้เร่งว่ามาเถิด
 เทพารักษ์เก้าองค์จึงตอบว่า เรารับคำสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ลงมากำจัดตัวเจ้า เจ้าจงยกเสียโดยดี ถ้าขืนดื้อดึงต่อสู้แก่เรา พวกเจ้าก็จะถึงความวินาศลงด้วยฝีมือเราแลพลแห่งเทพยดาทั้งหลาย ซีเทียนจึงว่า ตัวเป็นแต่เทพารักษ์เล็กน้อย จะมีฤทธิ์เดชสักเท่าใด จึงมาพูดข่มขี่บังคับเรา แม้ได้ถูก กระบองเหล็กสักทีหนึ่งจึงจะรู้สำนึกตนว่าจะเป็นประการใด เทวดาทั้งเก้าองค์ได้ฟังซีเทียนหมิ่นประมาทดังนั้นก็มีความโกรธ จึงพร้อมกันเรียงหน้าโจมตีเข้าไปด้วยกำลัง
 ซีเทียนแกว่งกระบอกเหล็กกายสิทธิ์รับรองป้องปัดต่อสู้เทพารักษ์เก้าองค์ด้วยกำลังอันเรี่ยวแรงแข็งขัน เทพารักษ์ทั้งเก้าองค์จะรบรอต่อกรแลทานกำลังซีเทียนก็มิได้ ก็ล่าถอยกลับเข้าค่ายชี้แจงแก่ถักทะลีทีอ๋อง แม่ทัพว่า ซีเทียนมีกำลังฤทธิ์เดชเข้มแข็งนัก จะต่อสู้ทานกำลังมิได้ ขอท่านได้ทราบ ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังเทพารักษ์ทั้งเก้าองค์ชี้แจงดังนั้นจึงสั่งให้ท้าวจตุโลกบาล แลยี่จับโป้ยสือ คือ ดาวยี่สิบ แปดดวง พร้อมกันออกไปรบ ซีไต้เซียนอ๋องกับเทพยดาทั้งหลายรับคำสั่งแล้วก็คำนับลาแม่ทัพ ยกพลทหารออกไปตั้งกระบวนรบอยู่ที่สมรภูมิชัย
 ฝ่ายซีเทียนก็จัดให้ต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องเซียนฮอง แลนายปิศาจยักษ์ทั้งเจ็ดสิบสองถ้ำ กับวานรทหารเอกทั้งสี่ พร้อมกันยกออกไป ตั้งอยู่หน้าถ้ำคอยทีข้าศึกอยู่ ครั้นสองทัพยกมาประจันหน้า ต่างก็เข้าต่อยุทธรบสู้กันเป็นสามารถ ต๊อกกั่กเซียนฮองทั้งสอง แลพวก ยักษ์เจ็ดสิบสองถ้ำ แลพวกบริวารวานรทั้งหลาย จะต่อสู้พลเทพารักษ์มิได้ เสียทีจับไปได้ทั้งสิ้น เหลือแต่นาย ทหารวานรทั้งสี่แลพวกวานรเท่านั้นหลบหนีเข้าถ้ำไปได้
 ฝ่ายซีเทียนเห็นพวกของตนพ่ายแพ้แก่เทพยดาดังนั้นก็มีความโกรธเป็นอันมาก สองตาลุกดังดวงดาว โรหิณี ขนทั่วทั้งกายพองชันดุจขนเม่น ก็ขบฟันแกว่งกระบองเข้ารุกไล่โจมตีเทพยดาทั้งหลายแตกร่นออกไปไม่สามารถจะ ทานกำลังซีเทียนได้ ถักทะลีทีอ๋อง กับโลเฉีย แลท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ เห็นพวกเซียนแตกย่นอ่อนกำลัง ต่างก็เข้าช่วยกันระดม รบซีเทียนแลล้อมไว้จนเวลามืดลงทุกที
 ซีเทียนเห็นดังนั้นก็ถอดขนเพชรในตัวออกกำมือหนึ่ง แล้วก็ใส่ปากร่ายพระเวท คาถาพ่นออกไปเป็นซีเทียนนับได้หมื่นแลแสนตนล้วนแต่ถือกระบองเหล็กเหมือนซีเทียนตรงเข้าโจมตีมิได้รั้งรอ ซีไต้เซียน อ๋อง กับแม่ทัพเทพยดา แลพลโยธาทั้งหลายไม่สามารถจะต่อต้านทานกำลังรูปซีเทียนนิรมิตได้ ก็แตกร่นถอยหนี พากันกลับเข้าค่าย
 ซีเทียนเห็นดังนั้นก็ร่ายพระเวทคาถาเรียกขนเพชรกลับเข้ากาย แล้วเหาะกลับมายังปากถ้ำ พวกวานรบริวาร ก็พากันออกมาต้อนรับ บางตัวก็หัวเราะ บางตัวก็ร้องไห้ ซีเทียนจึงถามว่า เหตุไรพวกเจ้าหัวเราะแลร้องไห้ด้วยฉะนี้เล่า พวกวานรบริวารจึงบอกว่า ที่ข้าพเจ้าหัวเราะนั้นเพราะดีใจว่าท่านได้ชัยชนะ ที่ร้องไห้นั้นเพราะคิดถึง เซียนฮองแลพวกนายปิศาจยักษ์เจ็ดสิบสองถ้ำที่เทพยดารบจับเอาตัวไปได้
 ซีเทียนจึงพูดว่า ธรรมดารบกันไม่แพ้ก็ชนะ ท่านทั้งหลายอย่าวิตกไปเลย พวกเจ้าจงระวังรักษาปากถ้ำของ เราไว้ให้แข็งแรง เราจะพักผ่อนเอาแรงไว้สู้รบในวันพรุ่งนี้ เราจะแผลงฤทธิ์จับตัวพวกเทพยดาแก้แค้นแทนพวกเราให้จงได้ พวกวานรทั้งหลายได้ฟังซีเทียนว่าดังนั้นก็ค่อยมีน้ำใจขึ้น จึงช่วยกันปิดประตูถ้ำ แล้วก็ผลัดกันหลับ นอนผ่อนพักเอากำลังแลผลัดเปลี่ยนกันรักษาหน้าที่
 ฝ่ายพวกเทพยดาแลท้าวจตุโลกบาลรวมพลเข้าแล้วก็ตรวจตราดูพวกปิศาจยักษ์ที่จับมาได้ บ้างเป็น เสือเป็นลิงมีลักษณะรูปร่างต่าง ๆ กัน จับไม่ได้ก็แต่พวกวานร ถักทะลีทีอ๋องจึงสั่งให้ตั้งล้อมเขาฮวยก๊วยซัวไว้ให้แน่นหนา พวกเซียนทั้งหลายก็พร้อมกันจัดการตามแม่ทัพบัญชา สั่งเข้าล้อมเขาฮวยก๊วยซัวไว้ทุกด้านโดยความกวดขัน