Translate

09 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร กฐินเภท ว่าด้วยกฐินไม่เป็นอันกรานเป็นต้น มูลเหตุแห่งกฐินเป็นต้น องค์ของภิกษุผู้กรานกฐิน

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
ว่าด้วยกฐินไม่เป็นอันกรานเป็นต้น
   [๑๑๒๔] กฐินใครไม่ได้กราน? กฐินใครได้กราน? กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการอย่างไร? กฐินเป็นอันกรานด้วยอาการอย่างไร?
กฐินไม่เป็นอันกราน
   [๑๑๒๕] คำว่า กฐินใครไม่ได้กราน นั้น ความว่า กฐิน บุคคล ๒ พวก คือ ภิกษุผู้ไม่ได้กราน ๑ ภิกษุผู้ไม่อนุโมทนา ๑ ไม่เป็นอันกรานกฐิน บุคคล ๒ พวกนี้ ไม่เป็นอันกราน.
กฐินเป็นอันกราน
   [๑๑๒๖] คำว่า กฐินใครได้กราน นั้น ความว่า กฐิน บุคคล ๒ พวกนี้ คือ ภิกษุผู้กราน ๑ ภิกษุผู้อนุโมทนา ๑ เป็นอันกราน กฐิน บุคคล ๒ พวกนี้ เป็นอันกราน.
เหตุที่กฐินไม่เป็นอันกราน
   [๑๑๒๗] คำว่า กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการอย่างไร นั้น คือ กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการ ๒๔ คือ:-
 ๑. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงขีดรอย
 ๒. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงซักผ้า
 ๓. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงกะผ้า
 ๔. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงตัดผ้า
 ๕. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงเนาผ้า
 ๖. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงเย็บด้น
 ๗. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงทำลูกดุม
 ๘. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงทำรังดุมให้มั่น
 ๙. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงประกอบผ้าอนุวาต
 ๑๐. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงประกอบผ้าอนุวาตด้านหน้า
 ๑๑. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงดามผ้า
 ๑๒. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงย้อมเป็นสีหม่น
 ๑๓. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงผ้าที่ทำนิมิตได้มา
 ๑๔. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่พูดเลียบเคียงได้มา
 ๑๕. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ยืมเขามา
 ๑๖. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่เก็บไว้ค้างคืน
 ๑๗. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่เป็นนิสสัคคิยะ
 ๑๘. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่มิได้ทำกัปปะพินทุ
 ๑๙. กฐินไม่เป็นอันกราน เว้นผ้าสังฆาฏิ
 ๒๐. กฐินไม่เป็นอันกราน เว้นผ้าอุตราสงค์
 ๒๑. กฐินไม่เป็นอันกราน เว้นผ้าอันตรวาสก
 ๒๒. กฐินไม่เป็นอันกราน เว้นจีวรมีขันธ์ ๕ หรือเกินกว่า ๕ ซึ่งตัดดีแล้ว ทำให้มีมณฑล เสร็จในวันนั้น
 ๒๓. กฐินไม่เป็นอันกราน นอกจากบุคคลกราน
 ๒๔. กฐินไม่เป็นอันกรานโดยชอบ ถ้าภิกษุผู้อยู่นอกสีมา อนุโมทนากฐินนั้น
   กฐินไม่เป็นอันกราน แม้ด้วยอาการอย่างนี้.
อธิบายเหตุที่ไม่ได้กรานบางข้อ
   [๑๑๒๘] ที่ชื่อว่า ทำนิมิต คือ ภิกษุทำนิมิตว่า เราจักกรานกฐินด้วยผ้าผืนนี้.
   ที่ชื่อว่า พูดเลียบเคียง คือ ภิกษุพูดเลียบเคียงด้วยคิดว่า จักยังผ้ากฐินให้เกิดด้วยการพูดเลียบเคียงนี้. ผ้าที่ทายกไม่ได้หยิบยกให้เรียกว่าผ้ายืมเขามา.
   ที่ชื่อว่า ผ้าเก็บไว้ค้างคืน มี ๒ อย่าง คือ ผ้าทำค้างคืน ๑ ผ้าเก็บไว้ค้างคืน ๑.
   ที่ชื่อว่า ผ้าเป็นนิสสัคคิยะ คือ ภิกษุกำลังทำอยู่ อรุณขึ้นมา.
   กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการ ๒๔ อย่างนี้.
เหตุที่กฐินเป็นอันกราน
   [๑๑๒๙] คำว่า กฐินเป็นอันกราน ด้วยอาการอย่างไร นั้น ความว่า กฐินย่อมเป็นอันกรานด้วยอาการ ๑๗ อย่าง ดังต่อไปนี้
   ๑. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าใหม่
   ๒. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าเทียมใหม่
   ๓. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าเก่า
   ๔. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าบังสุกุล
   ๕. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าตกตามร้าน
 ๖. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ไม่ได้ทำนิมิตได้มา
 ๗. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ไม่ได้พูดเลียบเคียงได้มา
 ๘. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ไม่ได้ยืมเขามา
 ๙. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่มิได้เก็บไว้ค้างคืน
 ๑๐. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่มิได้เป็นนิสสัคคิยะ
 ๑๑. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าทำกัปปะพินทุแล้ว
 ๑๒. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าสังฆาฏิ
 ๑๓. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าอุตราสงค์
 ๑๔. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าอันตรวาสก
 ๑๕. กฐินเป็นอันกราน ด้วยจีวรมีขันธ์ ๕ หรือเกินกว่า ซึ่งตัดดีแล้วทำให้มีมณฑลเสร็จในวันนั้น
 ๑๖. กฐินเป็นอันกราน เพราะบุคคลกราน
 ๑๗. กฐินเป็นอันกรานโดยชอบ ถ้าภิกษุผู้อยู่ในสีมา อนุโมทนากฐินนั้น
   กฐินเป็นอันกราน แม้ด้วยอาการอย่างนี้ กฐินเป็นอันกราน ด้วยอาการ ๑๗ อย่างนี้.
ธรรมที่เกิดพร้อมกัน
   [๑๑๓๐] ถามว่า ธรรมเท่าไร ย่อมเกิดพร้อมกับการกรานกฐิน?
   ตอบว่า ธรรม ๑๕ อย่าง ย่อมเกิดพร้อมกับการกรานกฐิน คือ มาติกา ๘ ปลิโพธ ๒ อานิสงส์ ๕ ธรรม ๑๕ อย่างนี้ ย่อมเกิดพร้อมกับการกรานกฐิน.
ธรรมที่เป็นปัจจัยแห่งประโยคเป็นต้น
   [๑๑๓๑] ประโยค มีธรรมเท่าไรเป็นปัจจัยโดยอนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัยเป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย.
          บุพพกรณ์ ...
          การถอนผ้า ...
          การอธิษฐานผ้า ...
          การกราน ...
          มาติกา และปลิโพธ ...
 วัตถุ มีธรรมเท่าไรเป็นปัจจัยโดยอนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย.
บุพพกรณ์เป็นปัจจัย
   [๑๑๓๒] ประโยค มีบุพพกรณ์เป็นปัจจัยโดยอนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย. บุพพกรณ์ มีประโยคเป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย. ประโยค มีบุพพกรณ์เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย. ธรรม ๑๕ อย่างเป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย.
การถอนผ้าเป็นปัจจัย
   [๑๑๓๓] บุพพกรณ์ มีการถอนผ้าเป็นปัจจัยโดยอนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย. การถอนผ้า มีบุพพกรณ์เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย. บุพพกรณ์ มีการถอนผ้า เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย. ธรรม ๑๕ อย่าง เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย.
การอธิษฐานผ้าเป็นปัจจัย
   [๑๑๓๔] การถอนผ้า มีการอธิษฐานผ้าเป็นปัจจัยโดยอนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย. การอธิษฐานผ้ามีการถอนปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย. การถอนผ้ามีการอธิษฐานเป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย. ธรรม๑๕ อย่าง  เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย.
การกรานเป็นปัจจัย
   [๑๑๓๕] การอธิษฐานผ้า มีการกรานเป็นปัจจัยโดยอนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย. การกรานมีการอธิษฐานเป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย. การอธิษฐานผ้ามีการกรานเป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย, ธรรม ๑๕ อย่าง  เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย.
มาติกาและปลิโพธิเป็นปัจจัย
   [๑๑๓๖] การกราน มีมาติกาแลปลิโพธเป็นปัจจัยโดยอนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย. มาติกาและปลิโพธมีการกรานเป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย. การกรานมีมาติกาและปลิโพธเป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย. ธรรม ๑๕ อย่าง  เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย.
ความหวังและหมดหวังเป็นปัจจัย
   [๑๑๓๗] วัตถุ มีความหวังและหมดหวังเป็นปัจจัย โดยอนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย. ความหวังและหมดหวัง มีวัตถุเป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย. วัตถุมีความหวังและหมดหวัง เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย. ธรรม ๑๕ อย่าง  เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย.
นิทานเป็นต้นแห่งบุพพกรณ์เป็นต้น
   [๑๑๓๘] ถามว่า บุพพกรณ์ มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   การถอนผ้า มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   การอธิษฐานผ้า มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน.
   การกราน มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   มาติกาและปลิโพธ มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   ความหวังและหมดหวัง มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   ตอบว่า บุพพกรณ์ มีประโยคเป็นนิทาน มีประโยคเป็นสมุทัย มีประโยคเป็นชาติ มีประโยคเป็นแดนเกิดก่อน มีประโยคเป็นองค์ มีประโยคเป็นสมุฏฐาน.
   การถอนผ้า มีบุพพกรณ์เป็นนิทาน มีบุพพกรณ์เป็นสมุทัย มีบุพพกรณ์เป็นชาติ มีบุพพกรณ์เป็นแดนเกิดก่อน มีบุพพกรณ์เป็นองค์ มีบุพพกรณ์เป็นสมุฏฐาน.
   การอธิษฐานผ้า มีการถอนเป็นนิทาน มีการถอนเป็นสมุทัย มีการถอนเป็นชาติ มีการถอนเป็นแดนเกิดก่อน มีการถอนเป็นองค์ มีการถอนเป็นสมุฏฐาน.
   การกราน มีการอธิษฐานเป็นนิทาน มีการอธิษฐานเป็นสมุทัย มีการอธิษฐานเป็นชาติมีการอธิษฐานเป็นแดนเกิดก่อน มีการอธิษฐานเป็นองค์ มีการอธิษฐานเป็นสมุฏฐาน.
   มาติกาและปลิโพธ มีการกรานเป็นนิทาน มีการกรานเป็นสมุทัย มีการกรานเป็นชาติ มีการกรานเป็นแดนเกิดก่อน มีการกรานเป็นองค์ มีการกรานเป็นสมุฏฐาน.
   ความหวังและหมดหวัง มีวัตถุเป็นนิทาน มีวัตถุเป็นสมุทัย มีวัตถุเป็นชาติ มีวัตถุเป็นแดนเกิดก่อน มีวัตถุเป็นองค์ มีวัตถุเป็นสมุฏฐาน.
   ถ. ประโยค มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
          บุพพกรณ์ ...
          การถอนผ้า ...
          การอธิษฐานผ้า ...
          การกราน ...
          มาติกาและปลิโพธ ...
          วัตถุ ...
  ความหวังและหมดหวัง มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
  ต. ประโยค มีเหตุเป็นนิทาน มีเหตุเป็นสมุทัย มีเหตุเป็นชาติ มีเหตุเป็นแดนเกิดก่อน มีเหตุเป็นองค์ มีเหตุเป็นสมุฏฐาน.
          การถอนผ้า ...
          การอธิษฐานผ้า ...
          การกราน ...
          มาติกาและปลิโพธ ...
          วัตถุ ...
 ความหวังและหมดหวัง มีเหตุเป็นนิทาน มีเหตุเป็นสมุทัย มีเหตุเป็นชาติ มีเหตุเป็นแดนเกิดก่อน มีเหตุเป็นองค์ มีเหตุเป็นสมุฏฐาน.
 ถ. ประโยค มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน ...
          บุพพกรณ์ ...
          การถอนผ้า ...
          การอธิษฐานผ้า ...
          การกราน ...
          มาติกาและปลิโพธ ...
          วัตถุ ...
 ความหวังและหมดหวัง มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
 ต. ประโยค มีปัจจัยเป็นนิทาน มีปัจจัยเป็นสมุทัย มีปัจจัยเป็นชาติ มีปัจจัยเป็นแดนเกิดก่อน มีปัจจัยเป็นองค์ มีปัจจัยเป็นสมุฏฐาน.
          บุพพกรณ์ ...
          การถอนผ้า ...
          การอธิษฐานผ้า ...
          การกราน ...
          มาติกาและปลิโพธ ...
          วัตถุ ...
 ความหวังและหมดหวัง มีปัจจัยเป็นนิทาน มีปัจจัยเป็นสมุทัย มีปัจจัยเป็นชาติ มีปัจจัยเป็นแดนเกิดก่อน มีปัจจัยเป็นองค์ มีปัจจัยเป็นสมุฏฐาน.
สงเคราะห์ธรรม
   [๑๑๓๙] ถามว่า บุพพกรณ์ สงเคราะห์ด้วยธรรมเท่าไร?
   ตอบว่า บุพพกรณ์ สงเคราะห์ด้วยธรรม ๗ อย่าง คือ ซักผ้า ๑ กะผ้า ๑ ตัดผ้า ๑ เนาผ้า ๑ เย็บผ้า ๑ ย้อมผ้า ๑ ทำกัปปะพินทุ ๑ บุพพกรณ์ สงเคราะห์ด้วยธรรม ๗ นี้.
   ถ. การถอนผ้า สงเคราะห์ด้วยธรรมเท่าไร?
   ต. การถอนผ้า สงเคราะห์ด้วยธรรม ๓ อย่าง คือ ผ้าสังฆาฏิ ๑ ผ้าอุตราสงค์ ๑ ผ้าอันตรวาสก ๑.
   ถ. การอธิษฐานผ้า สงเคราะห์ด้วยธรรมเท่าไร?
   ต. การอธิษฐานผ้า สงเคราะห์ด้วยธรรม ๓ อย่าง คือ ผ้าสังฆาฏิ ๑ ผ้าอุตราสงค์ ๑ ผ้าอันตรวาสก ๑.
   ถ. การกราน สงเคราะห์ด้วยธรรมเท่าไร?
   ต. การกราน สงเคราะห์ด้วยธรรมอย่างเดียว คือ เปล่งวาจา.
มูลเหตุแห่งกฐินเป็นต้น
   [๑๑๔๐] ถามว่า กฐินมีมูลเท่าไร? มีวัตถุเท่าไร? มีภูมิเท่าไร?
   ตอบว่า กฐิน มีมูลอย่างเดียว คือ สงฆ์ มีวัตถุ ๓ คือ ผ้าสังฆาฏิ ๑ ผ้าอุตราสงค์ ๑ ผ้าอันตรวาสก ๑ มีภูมิ ๖ คือ ผ้าทำด้วยเปลือกไม้ ๑ ผ้าทำด้วยฝ้าย ๑ ผ้าทำด้วยไหม ๑ ผ้าทำด้วยขนสัตว์ ๑ ผ้าทำด้วยป่าน ๑ ผ้าทำด้วยสัมภาระเจือกัน ๑.
เป็นต้นแห่งกฐินเป็นต้น
   [๑๑๔๑] ถามว่า กฐิน มีอะไรเป็นเบื้องต้น? มีอะไรเป็นท่ามกลาง? มีอะไรเป็นที่สุด?
   ตอบว่า กฐินมีบุพพกรณ์เป็นเบื้องต้น มีการทำเป็นท่ามกลาง มีการกรานเป็นที่สุด.
องค์ของภิกษุผู้กรานกฐิน
   [๑๑๔๒] ถามว่า ภิกษุประกอบด้วยองค์เท่าไร ไม่ควรกรานกฐิน? ภิกษุประกอบด้วยองค์เท่าไร ควรกรานกฐิน?
   ตอบว่า ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๘ ไม่ควรกรานกฐิน ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๘ ควรกรานกฐิน.
   ถ. ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นไฉน ไม่ควรกรานกฐิน?
   ต. ภิกษุไม่รู้บุพพกรณ์ ๑ ไม่รู้การถอนผ้า ๑ ไม่รู้การอธิษฐานผ้า ๑ ไม่รู้การกราน ๑ ไม่รู้มาติกา ๑ ไม่รู้ปลิโพธ ๑ ไม่รู้การเดาะกฐิน ๑ ไม่รู้อานิสงส์ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ ไม่ควรกรานกฐิน.
   ถ. ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นไฉน ควรกรานกฐิน?
   ต. ภิกษุรู้บุพพกรณ์ ๑ รู้การถอนผ้า ๑ รู้การอธิษฐานผ้า ๑ รู้การกราน ๑ รู้มาติกา ๑ รู้ปลิโพธ ๑ รู้การเดาะกฐิน ๑ รู้อานิสงส์ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ ควรกรานกฐิน.
การกรานกฐิน
   [๑๑๔๓] ถามว่า บุคคลพวกไหนกรานกฐินไม่ขึ้น? บุคคลพวกไหนกรานกฐินขึ้น?
   ตอบว่า บุคคล ๓ พวกกรานกฐินไม่ขึ้น บุคคล ๓ พวกกรานกฐินขึ้น.
   ถ. บุคคล ๓ พวกเหล่าไหน กรานกฐินไม่ขึ้น.
   ต. บุคคลอยู่นอกสีมาอนุโมทนา ๑ เมื่ออนุโมทนาไม่เปล่งวาจา ๑ เมื่อเปล่งวาจาไม่ให้ผู้อื่นรู้ ๑ บุคคล ๓ พวกเหล่านี้ กรานกฐินไม่ขึ้น.
   ถ. บุคคล ๓ พวกเหล่าไหน กรานกฐินขึ้น?
   ต. บุคคลอยู่ในสีมาอนุโมทนา ๑ เมื่ออนุโมทนาเปล่งวาจา ๑ เมื่อเปล่งวาจาให้ผู้อื่นรู้ ๑ บุคคล ๓ พวกนี้กรานกฐินขึ้น.
วัตถุวิบัติเป็นต้น
   [๑๑๔๔] ถามว่า การกรานกฐินเท่าไร ไม่ขึ้น? การกรานกฐินเท่าไร ขึ้น?
   ตอบว่า การกรานกฐิน ๓ อย่าง ไม่ขึ้น การกรานกฐิน ๓ อย่าง ขึ้น.
   ถ. การกรานกฐิน ๓ อย่างเหล่าไหน ไม่ขึ้น?
   ต. ผ้าเป็นของวิบัติโดยวัตถุ ๑ วิบัติโดยกาล ๑ วิบัติโดยการกระทำ ๑ การกรานกฐิน ๓ อย่างนี้ ไม่ขึ้น.
   ถ. การกรานกฐิน ๓ อย่างเหล่าไหน ขึ้น?
   ต. ผ้าเป็นของถึงพร้อมด้วยวัตถุ ๑ ถึงพร้อมด้วยกาล ๑ ถึงพร้อมด้วยการกระทำ ๑ การกรานกฐิน ๓ อย่างนี้ ขึ้น.
ควรรู้กฐินเป็นต้น
   [๑๑๔๕] พึงรู้จักกฐิน พึงรู้จักการกรานกฐิน พึงรู้จักเดือนที่กรานกฐิน พึงรู้จักวิบัติแห่งการกรานกฐิน พึงรู้จักสมบัติแห่งการกรานกฐิน พึงรู้จักการทำนิมิต พึงรู้จักการพูดเลียบเคียง พึงรู้จักผ้าที่ยืมเขามา พึงรู้จักผ้าที่เก็บไว้ค้างคืน พึงรู้จักผ้าที่เป็นนิสสัคคีย์.
วิภาคคำว่าพึงรู้จักกฐินเป็นต้น
   [๑๑๔๖] คำว่า พึงรู้จักกฐิน นั้น ความว่า การรวบรวม การประชุมชื่อ การตั้งชื่อการเรียกชื่อ ภาษา พยัญชนะ การกล่าวธรรมเหล่านั้น รวมเรียกว่า กฐิน.
             คำว่า พึงรู้จักเดือนที่กรานกฐิน คือ พึงรู้จักเดือนท้ายแห่งฤดูฝน.
             คำว่า พึงรู้จักวิบัติแห่งการกรานกฐิน ได้แก่ พึงรู้จักวิบัติแห่งการกรานกฐิน ด้วย
อาการ ๒๔ อย่าง.
             คำว่า พึงรู้จักสมบัติแห่งการกรานกฐิน ได้แก่ พึงรู้จักสมบัติแห่งการกรานกฐิน
ด้วยอาการ ๑๗ อย่าง.
             คำว่า พึงรู้จักการทำนิมิต คือ ทำนิมิตว่า จักกรานกฐิน ด้วยผ้าผืนนี้.
             คำว่า พึงรู้จักการพูดเลียบเคียง คือ ทำการพูดเลียบเคียงด้วยคิดว่า จักยังผ้ากฐิน
ให้เกิด ด้วยการพูดเลียบเคียงนี้.
             คำว่า พึงรู้จักผ้าที่ยืมเขามา คือรู้จักผ้าที่ทายกมิได้หยิบยกให้.
             คำว่า พึงรู้จักผ้าที่เก็บไว้ค้างคืน คือ พึงรู้จักผ้าที่เก็บไว้ค้างคืน ๒ อย่าง คือ
ทำค้างคืน ๑ เก็บไว้ค้างคืน ๑.
             คำว่า พึงรู้จักผ้าเป็นนิสสัคคีย์ นั้น คือ เมื่อภิกษุกำลังทำผ้าอยู่อรุณขึ้นมา.
                  อธิบายการกรานกฐิน
             [๑๑๔๗] คำว่า พึงรู้จักการกรานกฐิน นั้น มีอธิบายว่า ถ้าผ้ากฐินบังเกิดแก่สงฆ์
สงฆ์พึงปฏิบัติอย่างไร? ภิกษุผู้กรานพึงปฏิบัติอย่างไร? ภิกษุผู้อนุโมทนาพึงปฏิบัติอย่างไร?
             สงฆ์พึงให้ผ้ากฐินแก่ภิกษุผู้กรานกฐินด้วยญัตติทุติยกรรม.
             ภิกษุผู้กรานกฐินนั้น พึงซักขยำให้สะอาดแล้ว กะ ตัด เย็บ ย้อม ทำพินทุกัปปะ
แล้วกรานกฐินในวันนั้นเทียว ถ้าประสงค์จะกรานกฐินด้วยผ้าสังฆาฏิ พึงถอนผ้าสังฆาฏิผืนเก่า
เสีย พึงอธิษฐานผ้าสังฆาฏิผืนใหม่ เปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้ากรานกฐินด้วยผ้าสังฆาฏิผืนนี้, ถ้า
ประสงค์จะกรานกฐินด้วยผ้าอุตราสงค์ พึงถอนผ้าอุตราสงค์ผืนเก่าเสีย พึงอธิษฐานผ้าอุตราสงค์
ผืนใหม่ เปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้ากรานกฐินด้วยผ้าอุตราสงค์ผืนนี้, ถ้าประสงค์จะกรานกฐินด้วยผ้า
อันตรวาสก พึงถอนผ้าอันตรวาสกผืนเก่าเสีย พึงอธิษฐานผ้าอันตรวาสกผืนใหม่ เปล่งวาจาว่า
ข้าพเจ้ากรานกฐินด้วยผ้าอันตรวาสกผืนนี้.
             อันภิกษุผู้กรานกฐินนั้น พึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ประคองอัญชลี
กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า กฐินของสงฆ์กรานแล้ว การกรานกฐินเป็นธรรม ขอท่านทั้งหลาย
อนุโมทนาเถิด.
             ภิกษุผู้อนุโมทนาเหล่านั้น พึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ประคองอัญชลี กล่าวอย่างนี้
ว่า ผู้มีอายุ กฐินของสงฆ์กรานแล้ว การกรานกฐินเป็นธรรม เราทั้งหลายอนุโมทนา.
             ภิกษุผู้กรานกฐินนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ประคอง
อัญชลีกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า กฐินของสงฆ์กรานแล้ว การกรานกฐินเป็นธรรม ขอท่าน
ทั้งหลายอนุโมทนาเถิด.
             ภิกษุผู้อนุโมทนาเหล่านั้น พึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ประคองอัญชลีกล่าวอย่างนี้ว่า
ผู้มีอายุ กฐินของสงฆ์กรานแล้ว การกรานกฐินเป็นธรรม เราทั้งหลายอนุโมทนา.
             ภิกษุผู้กรานกฐินนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ประคอง
อัญชลีกล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ กฐินของสงฆ์กรานแล้ว การกรานกฐินเป็นธรรม ขอท่าน
อนุโมทนาเถิด.
             ภิกษุผู้อนุโมทนานั้น พึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ประคองอัญชลีกล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มี
อายุ กฐินของสงฆ์กรานแล้ว การกรานกฐินเป็นธรรม ข้าพเจ้าอนุโมทนา.
กรานกฐิน
             [๑๑๔๘] ถามว่า สงฆ์กรานกฐิน คณะกรานกฐิน บุคคลกรานกฐิน หรือ?
             ตอบว่า สงฆ์หาได้กรานกฐินไม่ คณะหาได้กรานกฐินไม่ แต่บุคคลกรานกฐิน. ถ้า
สงฆ์หาได้กรานกฐินไม่ คณะหาได้กรานกฐินไม่ แต่บุคคลกรานกฐิน ได้ชื่อว่า สงฆ์ไม่ได้กราน
กฐิน คณะไม่ได้กรานกฐิน แต่บุคคลกรานกฐิน.
             ถ. สงฆ์สวดปาติโมกข์ คณะสวดปาติโมกข์ บุคคลสวดปาติโมกข์ หรือ?
             ต. สงฆ์หาได้สวดปาติโมกข์ไม่ คณะหาได้สวดปาติโมกข์ไม่ แต่บุคคลสวดปาติโมกข์,
สงฆ์หาได้สวดปาติโมกข์ไม่ คณะหาได้สวดปาติโมกข์ไม่ แต่บุคคลสวดปาติโมกข์ ได้ชื่อว่า
สงฆ์ไม่ได้สวดปาติโมกข์ คณะไม่ได้สวดปาติโมกข์ แต่บุคคลสวดปาติโมกข์. หรือ เพราะ
ความสามัคคีแห่งสงฆ์ เพราะความสามัคคีแห่งคณะ เพราะบุคคลสวด ได้ชื่อว่า สงฆ์สวด
ปาติโมกข์ คณะสวดปาติโมกข์ บุคคลสวดปาติโมกข์ ฉันใด, สงฆ์หาได้กรานกฐินไม่ คณะ
หาได้กรานกฐินไม่ แต่บุคคลกรานกฐิน, เพราะสงฆ์อนุโมทนา เพราะคณะอนุโมทนา เพราะ
บุคคลกราน ได้ชื่อว่า สงฆ์กรานกฐิน คณะกรานกฐิน บุคคลกรานกฐิน ฉันนั้นเหมือนกัน.
                                   แก้ปัญหาปลิโพธในมาติกา ๘
             [๑๑๔๙] ท่านมหากัสสปถามว่า การเดาะกฐินมีการหลีกไปเป็นที่สุด
อันพระสุคตเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้แล้ว ก็ข้าพเจ้า
ขอถามท่านถึงการเดาะกฐินนั่น ปลิโพธอย่างไหนขาดก่อน?
             ท่านพระอุบาลีตอบว่า การเดาะกฐินมีการหลีกไปเป็นที่สุด อัน
พระสุคตเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้แล้ว ก็เมื่อภิกษุ
หลีกไปด้วยคิดว่า จักทิ้งอาวาสนี้เสียละ ปลิโพธในจีวรขาดก่อน, ปลิโพธ
ในอาวาสขาดพร้อมกับภิกษุนั้นไปนอกสีมา.
             [๑๑๕๐] ม. การเดาะกฐินมีการทำเสร็จเป็นที่สุด อันพระสุคตเจ้าผู้เป็น
เผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้แล้ว ก็ข้าพเจ้าขอถามท่าน ถึงการ
เดาะกฐินนั่น ปลิโพธอย่างไหนขาดก่อน?
             อุ. การเดาะกฐินมีการทำเสร็จเป็นที่สุด อันพระสุคตเจ้าผู้เป็น
เผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้แล้ว ก็เมื่อภิกษุหลีกไปด้วยคิดว่าจัก
ทิ้งอาวาสนี้เสียละ ปลิโพธในอาวาสขาดก่อน เมื่อจีวรสำเร็จ ปลิโพธใน
จีวรขาด.
             [๑๑๕๑] ม. การเดาะกฐินมีการตกลงใจเป็นที่สุด อันพระสุคตเจ้าผู้เป็น
เผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้แล้ว ก็ข้าพเจ้าขอถามท่านถึงการ
เดาะกฐินนั่น ปลิโพธอย่างไหนขาดก่อน?
             อุ. การเดาะกฐินมีการตกลงใจเป็นที่สุด อันพระสุคตเจ้าผู้เป็น
เผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้แล้ว ก็เมื่อภิกษุหลีกไปด้วยคิดว่าจัก
ทิ้งอาวาสนี้เสียละ ปลิโพธ ๒ อย่าง ขาดพร้อมกัน.
             [๑๑๕๒] ม. การเดาะกฐินมีความเสียเป็นที่สุด อันพระสุคตเจ้าผู้เป็น
เผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้แล้ว ก็ข้าพเจ้าขอถามท่านถึงการ
เดาะกฐินนั่น ปลิโพธอย่างไหนขาดก่อน?
             อุ. การเดาะกฐินมีการเสียเป็นที่สุด อันพระสุคตเจ้าผู้เป็นเผ่า
พันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้แล้ว ก็เมื่อภิกษุหลีกไปด้วยคิดว่าจักทิ้ง
อาวาสนี้เสียละ ปลิโพธในอาวาสขาดก่อน  ปลิโพธในจีวรขาดเมื่อจีวร
เสียหาย.
             [๑๑๕๓] ม. การเดาะกฐินมีการฟังเป็นที่สุด อันพระสุคตเจ้าผู้เป็น
เผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้แล้ว ก็ข้าพเจ้าขอถามท่านถึงการ
เดาะกฐินนั่น ปลิโพธอย่างไหนขาดก่อน
             อุ. การเดาะกฐินมีการฟังเป็นที่สุด อันพระสุคตเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์
แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้แล้ว ก็เมื่อภิกษุหลีกไปด้วยคิดว่าจักทิ้ง
อาวาสนี้เสียละ ปลิโพธในจีวรขาดก่อน ปลิโพธในอาวาสขาดพร้อมกับ
การฟังของภิกษุนั้น.
             [๑๑๕๔] ม. การเดาะกฐินมีความสิ้นหวังเป็นที่สุด อันพระสุคตเจ้าผู้เป็น
เผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้แล้ว ก็ข้าพเจ้าขอถามท่าน ถึงการ
เดาะกฐินนั่น ปลิโพธอย่างไหนขาดก่อน?
             อุ. การเดาะกฐินมีความสิ้นหวังเป็นที่สุด อันพระสุคตเจ้าผู้เป็น
เผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้แล้ว ก็เมื่อภิกษุหลีกไปด้วยคิดว่าจัก
ทิ้งอาวาสนี้เสียละ ปลิโพธในอาวาสขาดก่อน  ปลิโพธในจีวรขาดต่อเมื่อ
สิ้นความหวังในจีวรแล้ว.
             [๑๑๕๕] ม. การเดาะกฐินมีการก้าวล่วงสีมาเป็นที่สุด อันพระสุคตเจ้าผู้
เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้แล้ว ก็ข้าพเจ้าขอถามท่าน ถึง
การเดาะกฐินนั่น ปลิโพธอย่างไหนขาดก่อน?
             อุ. การเดาะกฐินมีการก้าวล่วงสีมาเป็นที่สุด อันพระสุคตเจ้า
ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้แล้ว ก็เมื่อภิกษุหลีกไปด้วย
คิดว่า จักทิ้งอาวาสนี้เสียละ ปลิโพธในจีวรขาดก่อน  ปลิโพธในอาวาส
ขาดเมื่อภิกษุนั้นไปนอกสีมา.
             [๑๑๕๖] ม. การเดาะกฐินมีการเดาะพร้อมกัน อันพระสุคตเจ้าผู้เป็น
เผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้แล้ว ก็ข้าพเจ้าขอถามท่านถึงการ
เดาะกฐินนั่น ปลิโพธอย่างไหนขาดก่อน?
             อุ. การเดาะกฐินมีการเดาะพร้อมกัน อันพระสุคตเจ้าผู้เป็นเผ่า-
พันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้แล้ว ก็เมื่อภิกษุหลีกไปด้วยคิดว่าจักทิ้ง
อาวาสนี้เสียละ ปลิโพธทั้ง ๒ ขาดพร้อมกัน.
                                   การเดาะกฐิน
             [๑๑๕๗] ถามว่า การเดาะกฐินที่สงฆ์เป็นใหญ่มีเท่าไร? การเดาะกฐินที่บุคคลเป็น
ใหญ่มีเท่าไร? การเดาะกฐินที่สงฆ์ไม่เป็นใหญ่บุคคลไม่เป็นใหญ่มีเท่าไร?
             ตอบว่า การเดาะกฐินที่สงฆ์เป็นใหญ่มีอย่างเดียว คือ การเดาะในระหว่าง.
             การเดาะกฐินที่บุคคลเป็นใหญ่มี ๔ อย่าง คือ เดาะกฐินมีการหลีกไปเป็นที่สุด ๑ มี
การทำเสร็จเป็นที่สุด ๑ มีความตกลงใจเป็นที่สุด ๑ มีความก้าวล่วงสีมาเป็นที่สุด ๑.
             การเดาะกฐินที่สงฆ์ไม่เป็นใหญ่ ที่บุคคลไม่เป็นใหญ่มี ๔ อย่าง คือการเดาะกฐินมี
การเสียเป็นที่สุด ๑ มีการฟังเป็นที่สุด ๑ มีความสิ้นหวังเป็นที่สุด ๑ มีการเดาะกฐินพร้อมกัน ๑.
                การเดาะกฐินภายในสีมาเป็นต้น
             [๑๑๕๘] ถามว่า การเดาะกฐินเท่าไร เดาะภายในสีมา? การเดาะกฐินเท่าไร เดาะ
ภายนอกสีมา? การเดาะกฐินเท่าไร บางอย่างเดาะภายในสีมา บางอย่างเดาะภายนอกสีมา?
             ตอบว่า การเดาะกฐิน ๒ อย่าง เดาะภายในสีมา คือ เดาะในระหว่าง ๑ เดาะ
พร้อมกัน ๑.
             การเดาะกฐิน ๓ อย่าง เดาะภายนอกสีมา คือ การเดาะกฐินมีความหลีกไปเป็นที่สุด
๑ มีความฟังเป็นที่สุด ๑ มีความก้าวล่วงสีมาเป็นที่สุด ๑.
             การเดาะกฐิน ๔ อย่าง บางอย่างเดาะภายในสีมา บางอย่างเดาะภายนอกสีมา คือ
การเดาะกฐินมีการทำเสร็จเป็นที่สุด ๑ มีความตกลงใจเป็นที่สุด ๑ มีความเสียเป็นที่สุด ๑ มี
ความสิ้นหวังเป็นที่สุด ๑.
                การเดาะกฐินเกิดขึ้นพร้อมกันเป็นต้น
             [๑๑๕๙] ถามว่า การเดาะกฐินเท่าไร เกิดด้วยกัน ดับด้วยกัน? การเดาะกฐิน
เท่าไร เกิดด้วยกัน ดับต่างกัน?
             ตอบว่า การเดาะกฐิน ๒ อย่างที่เกิดด้วยกัน ดับด้วยกัน คือ เดาะในระหว่าง ๑
เดาะพร้อมกัน ๑.
             การเดาะกฐินนอกนั้น เกิดด้วยกัน ดับต่างกัน.
      กฐินเภท จบ
                           หัวข้อประจำเรื่อง
             [๑๑๖๐] ใคร ด้วยอย่างไร ธรรม ๑๕ อย่าง นิทาน เหตุ ปัจจัย สงเคราะห์ มูล
เบื้องต้น ประเภท บุคคล ๘ บุคคล ๓ การเดาะกฐิน ๓ พึงรู้ การกราน การสวด ปลิโพธ
เป็นใหญ่ สีมา เกิดขึ้นและดับ.
      ปริวาร จบ

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร ว่าด้วยไม่ถึงฉันทาคติ เป็นต้น ว่าด้วยให้เข้าใจ เป็นต้น

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
ว่าด้วยไม่ถึงฉันทาคติ
   [๑๐๙๘] คำว่า ไม่พึงถึงฉันทาคติ นั้น ความว่า เมื่อถึงฉันทาคติ ถึงอย่างไร? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ คิดว่า ท่านผู้นี้เป็นอุปัชฌาย์ของเรา เป็นอาจารย์ของเรา เป็นสัทธิวิหาริกของเรา เป็นอันเตวาสิกของเรา เป็นผู้ร่วมอุปัชฌาย์ของเรา เป็นผู้ร่วมอาจารย์ของเราเป็นผู้เคยเห็นกันมากับเรา เป็นผู้เคยร่วม
คบกันมากับเรา หรือท่านผู้นี้เป็นญาติสาโลหิตของเรา ดังนี้ เพื่ออนุเคราะผู้นั้น เพื่อตามรักษาท่านผู้นั้น จึงแสดงอธรรมว่าธรรม แสดงธรรมว่าอธรรม แสดงอวินัยว่าวินัย แสดงวินัยว่าอวินัย แสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิต ว่าพระตถาคตตรัสภาษิตแล้ว แสดงสิ่งที่พระตถาคตตรัสภาษิตแล้ว ว่าพระตถาคตไม่ได้
ตรัสภาษิต แสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมา ว่าพระตถาคตทรงประพฤติมาแล้ว แสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงประพฤติมาแล้ว ว่าพระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมา แสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัติว่าพระตถาคตทรงบัญญัติแล้ว แสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงบัญญัติแล้ว ว่าพระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัติ
แสดงอนาบัติว่าอาบัติ แสดงอาบัติว่าอนาบัติ แสดงอาบัติเบาว่าอาบัติหนัก แสดงอาบัติหนักว่าอาบัติเบา แสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่าอาบัติไม่มีส่วนเหลือ แสดงอาบัติไม่มีส่วนเหลือว่าอาบัติมีส่วนเหลือ แสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ภิกษุถึงฉันทาคติด้วยวัตถุ
๑๘ อย่างนี้ ย่อมปฏิบัติ เพื่อไม่เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อความไม่เป็นสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อความพินาศแก่ชนหมู่มาก เพื่อความไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ภิกษุผู้ถึงฉันทาคติด้วยวัตถุ ๑๘ อย่างนี้ ย่อมบริหารตนให้ถูกขุดถูกกำจัด เป็นผู้ประกอบด้วยโทษ อันวิญญูชนพึงติเตียน และย่อมประสพบาปมิใช่บุญมาก ภิกษุเมื่อถึงฉันทาคติ ย่อมถึงอย่างนี้.

ว่าด้วยไม่ถึงโทสาคติ
   [๑๐๙๙] คำว่า ไม่พึงถึงโทสาคติ นั้น ความว่า เมื่อถึงโทสาคติ ถึงอย่างไร? ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้ได้ก่อความพินาศแก่เราแล้ว ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้กำลังก่อความพินาศแก่เรา ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้จักก่อความพินาศแก่เรา ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้ได้ก่อความพินาศแก่เราผู้เป็นที่รักที่พอใจ
ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้กำลังก่อความพินาศแก่เราผู้เป็นที่รักที่พอใจ ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้จักก่อความพินาศแก่เราผู้เป็นที่รักที่พอใจ ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้ได้ก่อประโยชน์แก่เราผู้ไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่พอใจ ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้กำลังก่อประโยชน์แก่เราผู้ไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่พอใจ ผูกอาฆาตว่า ผู้นี้จักก่อประโยชน์แก่เราผู้ไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่พอใจ
ภิกษุนั้นอาฆาต ปองร้าย ขุ่นเคือง อันความโกรธครอบงำ เพราะอาฆาตวัตถุ ๙ อย่างนี้ ย่อมแสดงอธรรมว่าธรรม แสดงธรรมว่าอธรรม ... แสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ภิกษุผู้ถึงโทสาคติเพราะวัตถุ ๑๘ อย่างนี้ ย่อมปฏิบัติเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนหมู่
มาก เพื่อความไม่เป็นสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อความพินาศแก่ชนหมู่มาก เพื่อความไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ภิกษุผู้ถึงโทสาคติเพราะวัตถุ ๑๘ อย่างนี้ ย่อมบริหารตนให้ถูกขุดถูกกำจัด เป็นผู้ประกอบด้วยโทษ อันวิญญูชนพึงติเตียน และย่อมประสพบาปมิใช่บุญมาก ภิกษุเมื่อถึงโทสาคติ ย่อมถึงอย่างนี้.

ว่าด้วยไม่ถึงโมหาคติ
   [๑๑๐๐] คำว่า ไม่พึงถึงโมหาคติ นั้น ความว่า เมื่อถึงโมหาคติ ถึงอย่างไร? ภิกษุเป็นผู้กำหนัด ย่อมถึงด้วยอำนาจความกำหนัด เป็นผู้ขัดเคืองย่อมถึงด้วยอำนาจความขัดเคืองเป็นผู้หลง ย่อมถึงด้วยอำนาจความหลง เป็นผู้ลูบคลำ ย่อมถึงด้วยอำนาจทิฏฐิ ภิกษุเป็นผู้หลงงมงาย ถูกโมหะครอบงำ
ย่อมแสดงอธรรมว่าธรรม แสดงธรรมว่าอธรรม ... แสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ  แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ภิกษุผู้ถึงโมหาคติเพราะวัตถุ ๑๘ อย่างนี้ ย่อมปฏิบัติเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อความไม่เป็นสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อความพินาศแก่ชนหมู่มาก เพื่อความไม่เกื้อกูล
เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ภิกษุผู้ถึงโมหาคติเพราะวัตถุ ๑๘ อย่างนี้ ย่อมบริหารตนให้ถูกขุดถูกกำจัด เป็นผู้ประกอบด้วยโทษ อันวิญญูชนพึงติเตียน และย่อมประสพบาปมิใช่บุญมาก ภิกษุเมื่อถึงโมหาคติ ย่อมถึงอย่างนี้.

ว่าด้วยไม่ถึงภยาคติ
   [๑๑๐๑] คำว่า ไม่พึงถึงภยาคติ นั้น ความว่า เมื่อถึงภยาคติ ถึงอย่างไร? ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ คิดว่า ผู้นี้อาศัยความประพฤติไม่เรียบร้อย อาศัยความยึดถืออาศัยพรรคพวกมีกำลัง เป็นผู้ร้ายกาจหยาบคาย จักทำอันตรายแก่ชีวิต หรือทำอันตรายแก่พรหมจรรย์ ดังนี้ จึงขลาด เพราะกลัว
ต่อผู้นั้น ย่อมแสดงอธรรมว่าธรรม แสดงธรรมว่าอธรรม ... แสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ภิกษุผู้ถึงภยาคติ เพราะวัตถุ ๑๘ อย่างนี้ ย่อมปฏิบัติเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อความไม่เป็นสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อความพินาศแก่ชนหมู่มาก เพื่อความไม่เกื้อกูล
เพื่อความทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ภิกษุผู้ถึงภยาคติเพราะวัตถุ ๑๘ อย่างนี้ ย่อมบริหารตนให้ถูกขุดถูกกำจัด เป็นผู้ประกอบด้วยโทษ อันวิญญูชนพึงติเตียน และย่อมประสพบาปมิใช่บุญมาก ภิกษุเมื่อถึงภยาคติ ย่อมถึงอย่างนี้.
นิคมคาถา
 [๑๑๐๒] ผู้ใดประพฤติล่วงธรรม เพราะชอบ
 เพราะชัง เพราะกลัว เพราะหลง ยศของผู้นั้นย่อม
 เสื่อมเหมือนดวงจันทร์ในวันข้างแรม   ฉะนั้นฯ

ไม่ถึงฉันทาคติ
 [๑๑๐๓] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ?
ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่าอธรรม ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงธรรมว่าธรรม ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอวินัยว่าอวินัย ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงวินัยว่าวินัย ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิตว่า พระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิต ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตตรัสภาษิตว่า พระตถาคตตรัสภาษิต ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมาว่า พระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมา ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตประพฤติมาว่า พระตถาคตประพฤติมา ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัติว่า พระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัติ  ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงบัญญัติว่า พระตถาคตทรงบัญญัติ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอนาบัติว่าอนาบัติ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติว่าอาบัติ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติเบาว่าอาบัติเบา ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติหนักว่าอาบัติหนัก ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ    ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิตว่า พระตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิต ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตตรัสภาษิตว่า พระตถาคตตรัสภาษิต ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมาว่า พระตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมา ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตประพฤติมาว่า พระตถาคตประพฤติมา ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัติว่า พระตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัติ  ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงบัญญัติว่า พระตถาคตทรงบัญญัติ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอนาบัติว่าอนาบัติ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติว่าอาบัติ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติเบาว่าอาบัติเบา ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
ภิกษุแสดงอาบัติหนักว่าอาบัติหนัก ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่าอาบัติมีส่วนเหลือ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงอาบัติไม่มีส่วนเหลือว่าอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
   ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ
       อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าไม่ถึงฉันทาคติ.

ไม่ถึงโทสาคติ
 [๑๑๐๔] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าไม่ถึงโทสาคติ?
ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่าอธรรม ชื่อว่าไม่ถึงโทสาคติ
 ภิกษุแสดงธรรมว่าธรรม ชื่อว่าไม่ถึงโทสาคติ ...
 ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงโทสาคติ
 ภิกษุแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงโทสาคติ
       อย่างนี้ชื่อว่าภิกษุไม่ถึงโทสาคติ.

ไม่ถึงโมหาคติ
 [๑๑๐๕] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าไม่ถึงโมหาคติ?
ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่าอธรรม ชื่อว่าไม่ถึงโมหาคติ
 ภิกษุแสดงธรรมว่าธรรม ชื่อว่า ไม่ถึงโมหาคติ ...
 ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงโมหาคติ
 ภิกษุแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงโมหาคติ
       อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าไม่ถึงโมหาคติ.

ไม่ถึงภยาคติ
 [๑๑๐๖] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ?
ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่าอธรรม ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
ภิกษุแสดงธรรมว่าธรรม ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ ...
ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
 ภิกษุแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ
       อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าไม่ถึงภยาคติ.

นิคมคาถา
 [๑๑๐๗] ผู้ใดไม่ประพฤติล่วงธรรม เพราะชอบ เพราะชัง เพราะกลัว เพราะหลง ยศของผู้นั้นย่อมเต็มเปี่ยมเหมือนดวงจันทร์ในวันข้างขึ้น ฉะนั้น

ว่าด้วยให้เข้าใจ
 [๑๑๐๘] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าให้เข้าใจในสถานะควรให้เข้าใจ?
   ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่าอธรรม ชื่อว่าให้เข้าใจในสถานะควรให้เข้าใจ
   ภิกษุแสดงธรรมว่าธรรม ชื่อว่าให้เข้าใจในสถานะควรให้เข้าใจ ...
   ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าให้เข้าใจในสถานะควรให้เข้าใจ
   ภิกษุแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าให้เข้าใจในสถานะควรให้เข้าใจ
   อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าให้เข้าใจในสถานะควรให้เข้าใจฯ

ว่าด้วยพินิจ
   [๑๑๐๙] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าย่อมพินิจในสถานะควรพินิจ?
   ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่าอธรรม ชื่อว่าย่อมพินิจในสถานะควรพินิจ
   ภิกษุแสดงธรรมว่าธรรม ชื่อว่าย่อมพินิจในสถานะควรพินิจ ...
   ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าย่อมพินิจในสถานะควรพินิจ
   ภิกษุแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าย่อมพินิจในสถานะควรพินิจ
   อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าย่อมพินิจในสถานะควรพินิจ.

ว่าด้วยเพ่งเล็ง
   [๑๑๑๐] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าย่อมเพ่งเล็งในสถานะควรเพ่งเล็ง?
   ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่าอธรรม ชื่อว่าย่อมเพ่งเล็งในสถานะควรเพ่งเล็ง.
   ภิกษุแสดงธรรมว่าธรรม ชื่อว่าย่อมเพ่งเล็งในสถานะควรเพ่งเล็ง ...
   ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าย่อมเพ่งเล็งในสถานะควรเพ่งเล็ง
   ภิกษุแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าย่อมเพ่งเล็งในสถานะควรเพ่งเล็ง
   อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าย่อมเพ่งเล็งในสถานะควรเพ่งเล็ง.

ว่าด้วยความเลื่อมใส
   [๑๑๑๑] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าเลื่อมใสในสถานะควรเลื่อมใส?
   ตอบว่า ภิกษุแสดงอธรรมว่าอธรรม ชื่อว่าย่อมเลื่อมใสในสถานะควรเลื่อมใส
   ภิกษุแสดงธรรมว่าธรรม ชื่อว่าย่อมเลื่อมใสในสถานะควรเลื่อมใส ...
   ภิกษุแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าอาบัติชั่วหยาบ ชื่อว่าย่อมเลื่อมใสในสถานะควรเลื่อมใส
   ภิกษุแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าอาบัติไม่ชั่วหยาบ ชื่อว่าย่อมเลื่อมใสในสถานะควรเลื่อมใส
   อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าย่อมเลื่อมใสในสถานะควรเลื่อมใส.

ว่าด้วยดูหมิ่นพรรคพวกอื่น
   [๑๑๑๒] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าย่อมดูหมิ่นพรรคพวกอื่นด้วยเข้าใจว่า เราได้พรรคพวกแล้ว?
   ตอบว่า ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ได้พรรคพวก ได้บริวาร มีพรรคพวกมีญาติ คิดว่า ผู้นี้ไม่ได้พรรคพวก ไม่ได้บริวาร ไม่มีพรรคพวก ไม่มีญาติ จึงดูหมิ่นภิกษุนั้นย่อมแสดงอธรรมว่า ธรรม แสดงธรรมว่า อธรรม  ... แสดงอาบัติชั่วหยาบว่า อาบัติไม่ชั่วหยาบแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า อาบัติชั่วหยาบ
   อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าดูหมิ่นพรรคพวกอื่น ด้วยเข้าใจว่า เราได้พรรคพวกแล้ว.

ว่าด้วยดูหมิ่นภิกษุมีสุตะน้อย
   [๑๑๑๓] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่าดูหมิ่นท่านผู้มีสุตะน้อยด้วยเข้าใจว่าเรามีสุตะมาก?
   ตอบว่า ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีสุตะมาก ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะดูหมิ่นภิกษุนั้นว่า ท่านผู้นี้มีสุตะน้อย มีอาคมน้อย ทรงจำไว้ได้น้อย ย่อมแสดงอธรรมว่าธรรม แสดงธรรมว่า อธรรม ... แสดงอาบัติชั่วหยาบว่า อาบัติไม่ชั่วหยาบ แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า อาบัติชั่วหยาบ
   อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าดูหมิ่นภิกษุมีสุตะน้อย ด้วยเข้าใจว่า เรามีสุตะมาก.

ว่าด้วยดูหมิ่นภิกษุผู้อ่อนกว่า
   [๑๑๑๔] ถามว่า อย่างไร ชื่อว่า ดูหมิ่นภิกษุผู้อ่อนกว่า ด้วยเข้าใจว่าเราเป็นผู้แก่กว่า
   ตอบว่า ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ เป็นเถระ รู้ราตรีบวชนาน ดูหมิ่นภิกษุนั้นว่าท่านผู้นี้เป็นผู้อ่อนกว่า ไม่มีชื่อเสียง มีสุตะน้อย ไม่รู้นิพพานอันปัจจัยอะไรทำไม่ได้ ถ้อยคำของผู้นี้จักทำอะไรไม่ได้ ย่อมแสดงอธรรมว่า ธรรม แสดงธรรมว่า อธรรม ... แสดงอาบัติชั่วหยาบว่า อาบัติไม่ชั่วหยาบ แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า อาบัติชั่วหยาบ
   อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าดูหมิ่นภิกษุผู้อ่อนกว่าด้วยเข้าใจว่า เราเป็นผู้แก่กว่า.

ว่าด้วยไม่พูดเรื่องที่ยังไม่มาถึง
   [๑๑๑๕] คำว่า ไม่พูดเรื่องที่ยังไม่มาถึง นั้น คือ ไม่เก็บเอาคำพูดที่ไม่เข้าประเด็นคำว่า ไม่พึงให้เรื่องที่มาถึงแล้วตกหล่น จากธรรม จากวินัย นั้น คือ สงฆ์ประชุมกันเพื่อประโยชน์อันใด ไม่พึงยังประโยชน์อันนั้นให้บกพร่องจากธรรม จากวินัย.

ว่าด้วยธรรมวินัยสัตถุศาสน์
 [๑๑๑๖] คำว่า ด้วยธรรมใด คือด้วยเรื่องจริง.
คำว่า ด้วยวินัยใด คือ โจทก์แล้วให้จำเลยให้การ.
   คำว่า ด้วยสัตถุศาสน์ใด คือ ด้วยญัตติสัมปทา ด้วยอนุสาวนสัมปทา.

ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์
   พากย์ว่า อธิกรณ์นั้นย่อมระงับด้วยธรรมใด ด้วยวินัยใด ด้วยสัตถุศาสน์ใด พึงให้อธิกรณ์นั้นระงับด้วยอย่างนั้น มีใจความว่า อันภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงถามโจทก์ว่าผู้มีอายุ ข้อที่ท่านงดปวารณาแก่ภิกษุรูปนี้นั้น ท่านงดเพราะเรื่องอะไร? ท่านงดเพราะศีลวิบัติ งดเพราะอาจารวิบัติ งดเพราะทิฏฐิวิบัติ หรือ?
   ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า งดเพราะศีลวิบัติ งดเพราะอาจารวิบัติ หรือว่างดเพราะทิฏฐิวิบัติ
   ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักโจทก์ต่อไปว่า ท่านรู้ศีลวิบัติ อาจารวิบัติ ทิฏฐิวิบัติ หรือ?
   ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้าพเจ้ารู้ศีลวิบัติ รู้อาจารวิบัติ รู้ทิฏฐิวิบัติ
   ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักโจทก์ต่อไปว่า ผู้มีอายุ ก็ศีลวิบัติเป็นอย่างไร? อาจารวิบัติเป็นอย่างไร? ทิฏฐิวิบัติเป็นอย่างไร?
   ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ นี้เป็นศีลวิบัติ ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต นี้เป็นอาจารวิบัติ มิจฉาทิฏฐิ อันตคาหิกทิฏฐิ นี้เป็นทิฏฐิวิบัติ.
   ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักโจทก์ต่อไปว่า ผู้มีอายุ ข้อที่ท่านงดปวารณา แก่ภิกษุรูปนี้นั้น ท่านงดเพราะเรื่องที่ได้เห็น งดเพราะเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง งดเพราะเรื่องที่รังเกียจ หรือ?
   ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า งดเพราะเรื่องที่ได้เห็น งดเพราะเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง หรือว่างดเพราะเรื่องที่รังเกียจ.
   ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักโจทก์ต่อไปว่า ผู้มีอายุ ข้อที่ท่านงดปวารณาแก่ภิกษุรูปนี้เพราะเรื่องที่ได้เห็นนั้น ท่านเห็นเรื่องอะไร? เห็นว่าอย่างไร? เห็นเมื่อไร? เห็นที่ไหน? ท่านเห็นภิกษุรูปนี้ ต้องอาบัติปาราชิก หรือ ท่านเห็นภิกษุรูปนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิตหรือ? อนึ่ง ท่านอยู่ที่ไหน? และภิกษุรูปนี้อยู่ที่ไหน? ท่านทำอะไรอยู่? ภิกษุรูปนี้ทำอะไรอยู่?
   ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้าพเจ้าไม่ได้งดปวารณา แก่ภิกษุรูปนี้ เพราะเรื่องที่ได้เห็น ก็แต่ว่า ข้าพเจ้างดปวารณา เพราะเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง.
   ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักโจทก์ต่อไปว่า ผู้มีอายุ ข้อที่ท่านงดปวารณา แก่ภิกษุ
รูปนี้ เพราะเรื่องที่ได้ยินได้ฟังนั้น ท่านได้ยินได้ฟังอะไร? ได้ยินได้ฟังว่าอย่างไร? ได้ยินได้ฟัง
เมื่อไร? ได้ยินได้ฟังที่ไหน? ท่านได้ยินได้ฟังว่า ภิกษุรูปนี้ต้องอาบัติปาราชิก หรือท่านได้ยิน
ได้ฟังว่า ภิกษุรูปนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต หรือ?
ท่านได้ยินได้ฟังต่อภิกษุ หรือ ได้ยินได้ฟังต่อภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก
อุบาสิกา พระราชา ราชมหาอำมาตย์ เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ หรือ?
             ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้าพเจ้าไม่ได้งดปวารณา แก่ภิกษุรูปนี้ เพราะเรื่องที่
ได้ยินได้ฟัง ก็แต่ว่า ข้าพเจ้างดปวารณา เพราะเรื่องที่รังเกียจ.
             ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักโจทก์ต่อไปว่า ผู้มีอายุ ข้อที่ท่านงดปวารณาแก่ภิกษุรูปนี้
เพราะเรื่องที่รังเกียจนั้น ท่านรังเกียจอะไร? รังเกียจว่าอย่างไร? รังเกียจเมื่อไร? รังเกียจที่
ไหน? ท่านรังเกียจว่า ภิกษุรูปนี้ต้องอาบัติปาราชิก หรือ ท่านรังเกียจว่า ภิกษุรูปนี้ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต หรือ? ท่านได้ยินได้ฟังต่อ
ภิกษุแล้วรังเกียจ หรือท่านได้ยินได้ฟังต่อภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก
อุบาสิกา พระราชา รานมหาอำมาตย์ เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ จึงรังเกียจ หรือ? 
เปรียบเทียบอธิกรณ์ [๑๑๑๗] เรื่องที่เห็นสมด้วยเรื่องที่เห็น เรื่องที่เห็นเทียบกันได้กับเรื่องที่เห็น แต่บุคคลนั้นไม่ยอมรับ เพราะอาศัยการเห็น บุคคลนั้น ถูกรังเกียจโดยไม่มีมูล พึงปรับอาบัติตามปฏิญญา พึงทำปวารณากับบุคคลนั้น. เรื่องที่ได้ยินได้ฟังสมด้วยเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง เรื่องที่ได้ยินได้ฟังเทียบกันได้กับเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง แต่บุคคลนั้นไม่ยอมรับ เพราะอาศัย การได้ยินได้ฟัง บุคคลนั้นถูกรังเกียจโดยไม่มีมูล พึงปรับอาบัติตามปฏิญญาพึงทำปวารณากับบุคคลนั้น เรื่องที่ได้ทราบสมด้วย เรื่องที่ได้ทราบ. เรื่องที่ได้ทราบเทียบกันได้กับเรื่องที่ได้ทราบ แต่บุคคลนั้นไม่ยอมรับ เพราะอาศัยการได้ทราบ บุคคลนั้นถูกรังเกียจโดยไม่มีมูล พึงปรับอาบัติตามปฏิญญา พึงทำปวารณากับบุคคลนั้นเถิด. 
จำแนกการเห็น 
[๑๑๑๘] คำว่า ท่านเห็นอะไร นั้น ถามถึงอะไร? คำว่า ท่านเห็นว่าอย่างไร นั้น ถามถึงอะไร? คำว่า ท่านเห็นเมื่อไร นั้น ถามถึงอะไร? คำว่า ท่านเห็นที่ไหน นั้น ถามถึงอะไร? [๑๑๑๙] คำว่า ท่านเห็นอะไร นั้น ถามถึงวัตถุ ถามถึงวิบัติ ถามถึงอาบัติ ถามถึงอัธยาจาร. ข้อว่า ถามถึงวัตถุ นั้น คือ ถามถึงวัตถุปาราชิก ๘ ถามถึงวัตถุสังฆาทิเสส ๒๓ ถามถึงวัตถุอนิยต ๒ ถามถึงวัตถุนิสสัคคิยะ ๔๒ ถามถึงวัตถุปาจิตตีย์ ๑๘๘ ถามถึงวัตถุปาฏิเทสนียะ ๑๒ ถามถึงวัตถุทุกกฏทั้งหลาย ถามถึงวัตถุทุพภาสิตทั้งหลาย. ข้อว่า ถามถึงวิบัติ นั้น คือ ถามถึงศีลวิบัติ ถามถึงอาจารวิบัติ ถามถึงทิฏฐิวิบัติถามถึงอาชีววิบัติ.
ข้อว่า ถามถึงอาบัติ นั้น คือ ถามถึงอาบัติปาราชิก
ถามถึงอาบัติสังฆาทิเสส ถามถึงอาบัติถุลลัจจัย ถามถึงอาบัติปาจิตตีย์
ถามถึงอาบัติปาฏิเทสนียะ ถามถึงอาบัติทุกกฏ ถามถึงอาบัติทุพภาสิต.
ข้อว่า ถามถึงอัธยาจาร นั้น คือ ถามถึงการร่วมกันเป็นคู่ๆ ฯ [๑๑๒๐] คำว่า ท่านเห็นว่าอย่างไร นั้น ได้แก่ถามถึงเพศ ถามถึงอิริยาบถ ถามถึงอาการ ถามถึงประการอันแปลก. ข้อว่า ถามถึงเพศ นั้น หมายถึงว่า สูงหรือต่ำ ดำหรือขาว. ข้อว่า ถามถึงอิริยาบถ นั้น หมายถึงว่า เดินหรือยืน นั่งหรือนอน. ข้อว่า ถามถึงอาการ นั้น หมายถึงเพศคฤหัสถ์ เพศเดียรถีย์ หรือเพศบรรพชิต. ข้อว่า ถามถึงประการอันแปลก นั้น หมายถึงเดินไปหรือยืนอยู่นั่งหรือนอน. [๑๑๒๑] ถามว่า ท่านเห็นเมื่อไร นั้น คือ ถามถึงกาล ถามถึงสมัยถามถึงวัน ถามถึงฤดู.
ข้อว่า ถามถึงกาล นั้น หมายถึงเวลาเช้า เวลาเที่ยง หรือเวลาเย็น. ข้อว่า ถามถึงสมัย นั้น หมายถึงสมัยเช้า สมัยเที่ยง หรือสมัยเย็น. ข้อว่า ถามถึงวัน นั้น หมายถึงก่อนอาหาร หรือหลังอาหาร กลางคืน
หรือกลางวันข้างแรมหรือข้างขึ้น. ข้อว่า ถามถึงฤดู นั้น หมายถึงฤดูหนาว ฤดูร้อน หรือฤดูฝน. [๑๑๒๒] คำว่า ท่านเห็นที่ไหน นั้น คือ ถามถึงสถานที่ ถามถึงพื้นที่
ถามถึงโอกาส ถามถึงประเทศ. ข้อว่า ถามถึงสถานที่ นั้น หมายถึงพื้นที่หรือแผ่นดิน ธรณี หรือทางเดิน. ข้อว่า ถามถึงพื้นที่ นั้น หมายถึงแผ่นดินหรือภูเขา หินหรือปราสาท. ข้อว่า ถามถึงโอกาส นั้น หมายถึงในโอกาสด้านตะวันออก หรือโอกาส
ด้านตะวันตก โอกาสด้านเหนือ หรือโอกาสด้านใต้. ข้อว่า ถามถึงประเทศ นั้น หมายถึงในประเทศด้านตะวันออก หรือประเทศ
ด้านตะวันตก ในประเทศด้านเหนือ หรือประเทศด้านใต้. มหาสงคราม จบ หัวข้อประจำเรื่อง
[๑๑๒๓] วัตถุ นิทาน อาการ คำต้น คำหลัง สิ่งที่ทำแล้ว สิ่งที่ยังไม่ได้
ทำกรรม อธิกรณ์ และสมถะ และลำเอียง เพราะชอบ เพราะชัง เพราะหลง
และเพราะกลัวให้เข้าใจและพินิจ เพ่งเล็ง เลื่อมใส มีพรรคพวกมีสุตะ
แก่กว่า เรื่องที่ยังไม่มาถึง เรื่องที่มาถึงแล้ว โดยธรรม โดยวินัย
และแม้โดยสัตถุศาสน์ ชื่อว่า มหาสงคราม แล.
หัวข้อประจำเรื่อง จบ.
ปีที่ฉาย : เสียง : พากย์ไทย 0  ชั่วโมง 50 นาที 6.3/10 İMDb
  HD Cassandra (2025) คาสซานดร้า‧ Television series ‧ 2568 BE ‧ 1 season
| Overview   ตัวอย่าง Clips   Reviews  นักแสดง
เป็นเรื่องราวของ บ้านอัจฉริยะที่เก่าแก่ที่สุดของเยอรมนีตั้งอยู่ว่างเปล่า นับตั้งแต่เจ้าของเสียชีวิตในสถานการณ์ลึกลับเมื่อกว่า 50 ปีก่อน เมื่อครอบครัวหนึ่งย้ายเข้ามาในที่สุด AI คาสซานดร้า ก็ตื่นจาก การหลับใหล โดยตั้งใจที่จะใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีเพื่อให้แน่ใจว่าเธอ จะไม่มีวันอยู่คนเดียวอีกต่อไป เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป

08 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร อรรถกถา ปริวาร จูฬสงคราม ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้เข้าสงครามเป็นต้น จูฬสังคามวัณณนา


   อรรถกถา ปริวาร จูฬสงคราม ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้เข้าสงครามเป็นต้น
จูฬสังคามวัณณนา
วินิจฉัยในจูฬสงคราม พึงทราบดังนี้ :-
   ประชุมสงฆ์เพื่อประโยชน์แก่การวินิจฉัยอธิกรณ์ เรียกว่าสงคราม ในคำว่า ภิกษุผู้เข้าสงคราม. 
   จริงอยู่ ภิกษุทั้งหลายซึ่งเป็นข้าศึกแก่ตนและเป็นข้าศึกต่อพระศาสนา ย่อมประชุมกัน แสดงสัตถุศาสนานอกธรรมนอกวินัย ในที่ประชุมสงฆ์นั้น เหมือนอย่างภิกษุวัชชีบุตรชาวเมืองไพศาลีฉะนั้น. 
   ภิกษุใด ย่ำยีลัทธิของภิกษุผู้เป็นข้าศึกเหล่านั้นเสีย เข้าในที่ประชุมสงฆ์นั้น เพื่อประโยชน์แก่การแสดงวาทะของตน วางอำนาจยังการวินิจฉัยให้เป็นไป, ผู้นั้นชื่อว่าผู้เข้าสงคราม ประหนึ่งพระยสเถระฉะนั้น. ภิกษุผู้เข้าสงครามนั้น เมื่อเข้าหาสงฆ์ พึงเป็นผู้มีจิตยำเกรงเข้าหาสงฆ์. 
   บทว่า นีจจิตฺเตน ได้แก่ ผู้ลดธงคือมานะลงเสีย มีจิตมีมานะอันกำจัดเสียแล้ว. 
   บทว่า รโชหรณสเมน ได้แก่ มีจิตเสมอด้วยผ้าเช็ดเท้า. อธิบายว่า เมื่อเท้าเปื้อนหรือไม่เปื้อนอันบุคคลเช็ดอยู่ ความยินดีความยินร้าย ย่อมไม่มีแก่ผ้าเช็ดเท้าฉันใด, พึงเป็นผู้มีจิตไม่ยินดีไม่ยินร้ายในอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ฉันนั้น. 
   สองบทว่า ยถาปฏิรูเป อาสเน มีความว่า พึงรู้อาสนะตามที่สมควรนั่งในที่ซึ่งถึงแก่ตน ไม่หันหลังให้ภิกษุทั้งหลายผู้เถระ. 
   บทว่า อนานากถิเกน ได้แก่ ไม่กล่าวถ้อยคำที่ไม่มีประโยชน์นั้นๆ ซึ่งมีประการต่างๆ. 
   บทว่า อติรจฺฉานกถิเกน ได้แก่ ไม่กล่าวติรัจฉานกถา มีเรื่องพระราชาเป็นต้น ที่ได้เห็นก็ดี ได้ฟังก็ดี ได้ทราบก็ดี. 
   หลายบทว่า สามํ วา ธมฺโม ภาสิตพฺโพ มีความว่า ถ้อยคำที่อิงเรื่องที่ควรและไม่ควร หรือที่อิงรูปารูปปริเฉท และลำดับแห่งสมถะ ลำดับแห่งวิปัสสนา วัตรในการยืนและนั่งเป็นต้น ในที่ประชุมสงฆ์ ชื่อว่าธรรม. ธรรมเห็นปานนี้ พึงกล่าวเองก็ได้ เชิญภิกษุอื่นกล่าวก็ได้. ภิกษุใด สามารถเพื่อกล่าวถ้อยคำเห็นปานนั้น ภิกษุนั้น อันตนพึงเชิญว่า ผู้มีอายุ ปัญหาเกิดขึ้นแล้วในท่ามกลางสงฆ์ ท่านพึงกล่าว. 
   หลายบทว่า อริโย วา ตุณฺหีภาโว นาติมญฺญิตพฺโพ มีความว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายเมื่อนั่งนิ่ง หาได้นั่งอย่างพาลปุถุชนไม่ ย่อมฉวยกัมมัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่งนั่ง, พระอริยเจ้าผู้มีการนิ่งเป็นปกติ ด้วยอำนาจทำกัมมัฏฐานไว้ในใจอย่างนี้ ชื่อว่ามีความนิ่งเป็นปกติ. พระอริยเจ้านั้น อันภิกษุผู้เข้าสงครามไม่พึงดูถูกว่า มีประโยชน์อะไรด้วยการร่ำเพียรในกัมมัฏฐาน. อธิบายว่า ตนพึงฉวยกัมมัฏฐานที่เหมาะแก่ตนนั่ง. 
   สองบทว่า น อุปชฺฌาโย ปุจฺฉิตพฺโพ มีความว่า ไม่ควรถามว่า อุปัชฌาย์ของท่านชื่อไร?. ในบททั้งปวง ก็นัยนี้แล. 
   บทว่า น ชาติ มีความว่า ไม่ควรถามถึงชาติอย่างนี้ว่า ท่านเป็นชาติกษัตริย์หรือ? ท่านเป็นชาติพราหมณ์หรือ? 
   บทว่า น อาคโม มีความว่า ไม่ควรถามถึงปริยัติที่เรียน อย่างนี้ว่า ท่านกล่าวทีฆนิกายหรือ? ท่านกล่าวมัชฌิมนิกายหรือ? 
   สกุลและประเทศ พึงทราบด้วยอำนาจสกุลกษัตริย์เป็นต้น. 
   หลายบทว่า อาตฺรสฺส เปมํ วา โทโส วา มีความว่า ความรักหรือความชังในบุคคลนั้น พึงมีด้วยอำนาจแห่งเหตุเหล่านั่นอย่างใดอย่างหนึ่ง. 
   สองบทว่า โน ปริสกปฺปิเยน มีความว่า ไม่พึงเป็นผู้เห็นแก่บริษัท คือคล้อยตามบริษัท. อธิบายว่า สิ่งใดชอบใจบริษัท สิ่งนั้นแลไม่พึงจงใจ คือหมายใจกล่าว. 
   สองบทว่า น หตฺถมุทฺธา ทสฺเสตพฺพา มีความว่า ไม่พึงทำวิการแห่งมือ เพื่อหมายรู้ในข้อที่ควรกล่าวและไม่ควรกล่าว. 
   สองบทว่า อตฺถํ อนุวิธิยนฺเตน มีความว่า พึงคอยกำหนดให้รู้ตลอดซึ่งกาลวินิจฉัยเท่านั้น คือพึงนั่งพิจารณาโดยรอบคอบอย่างนี้ว่า สูตรนี้อ้างได้ เราจักกล่าวสูตรนี้ ในวินิจฉัยนี้. 
   หลายบทว่า น จ อาสนา วุฏฺฐาตพฺพํ มีความว่า ไม่พึงลุกจากที่นั่งเที่ยวไปในบริเวณที่ชุมนุม. เพราะว่า เมื่อพระวินัยธรลุก บริษัททั้งปวงย่อมลุก. 
   บทว่า น วีติหาตพฺพํ มีความว่า ไม่พึงให้วินิจฉัยบกพร่อง. 
   สองบทว่า น กุมฺมคฺโค เสวิตพฺโพ มีความว่า ไม่พึงชี้อาบัติ. 
   สองบทว่า อสาหสิเกน ภวิตพฺพํ มีความว่า ไม่พึงเป็นผู้ทำโดยผลุนผลัน. อธิบายว่า ไม่พึงกล่าวถ้อยคำให้ผิดพลาดโดยความผลุนผลัน.
   บทว่า วจนกฺขเมน มีความว่า พึงเป็นผู้มีปกติอดได้ซึ่งถ้อยคำที่หยาบคาย. 
   บทว่า หิตปริสกฺกินา มีความว่า พึงเป็นผู้แสวงหาประโยชน์ คือขวนขวายเพื่อประโยชน์. ในบททั้ง ๒ มีอธิบายดังนี้ ว่า กรุณาและธรรมเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งกรุณา อันภิกษุผู้เข้าสงครามพึงให้เข้าไปตั้งไว้. 
   บทว่า อนุรุตฺเตน ได้แก่ ไม่พึงเป็นผู้กล่าวถ้อยคำหยาบคาย. อธิบายว่า ถ้อยคำที่ไม่ดี กล่าวคือถ้อยคำชวนวิวาท เรียกว่าถ้อยคำที่หยาบคาย, คำหยาบคายนั้น อันภิกษุผู้เข้าสงครามไม่ควรกล่าว. 
   สองบทว่า อตฺตา ปริคฺคเหตพฺโพ มีความว่า พึงตรวจดูตนอย่างนี้ว่า เราสามารถจะวินิจฉัย คือระงับอธิกรณ์หรือไม่หนอ? อธิบายว่าพึงรู้ประมาณตน. 
   สองบทว่า ปโร ปริคฺคเหตพฺโพ มีความว่า พึงตรวจดูผู้อื่นอย่างนี้ว่า บริษัทนี้ เป็นลัชชีหรือหนอ? อันเราอาจจะให้ยินยอมหรือไม่? 
   สองบทว่า โจทโก ปริคฺคเหตพฺโพ มีความว่า พึงตรวจดูโจทก์อย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นโจทก์โดยธรรมหรือไม่หนอ? 
   สองบทว่า จุทิตโก ปริคฺคเหตพฺโพ มีความว่า พึงตรวจดูจำเลยอย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นจำเลยโดยธรรมหรือไม่? 
   สองบทว่า อธมฺมโจทโก ปริคฺคเหตพฺโพ มีความว่า พึงรู้ประมาณโจทก์นั้น. แม้ในบทที่เหลือ ก็นัยนี้แล. 
   สองบทว่า วุตฺตํ อหาเปนฺเตน มีความว่า ไม่พึงยังถ้อยคำอันโจทก์และจำเลยกล่าวให้ตกหล่น. 
   สองบทว่า อวุตฺตํ อปฺปกาเสนฺเตน มีความว่า ไม่พึงแซมข้อความซึ่งมิได้เข้าประเด็น. 
   สองบทว่า เวโป ปหาเสตพฺโพ มีความว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้อ่อน คือเป็นผู้โง่เขลา พึงช่วยเหลือ คือพึงปลุกใจให้อาจหาญว่า ท่านเป็นบุตรของสกุลมิใช่หรือ? แล้วชี้แจงธรรมเนียมในการซักถามแล้ว จับการซักถามแก่ผู้โง่เขลานั้น. 
   สองบทว่า ภิรุ อสฺสาเสตพฺโพ มีความว่า โจทก์หรือจำเลยใด เกิดความสะทกสะท้านขึ้น เพราะไม่เคยเข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์หรือท่ามกลางคณะ, ภิกษุเช่นนั้น อันภิกษุผู้ว่าอรรถคดีพึงพูดปลอบว่า ท่านอย่ากลัวเลย จงวางใจให้การเถิด, พวกเราจักเป็นผู้สนับสนุนท่าน ดังนี้ก็ได้ แล้วชี้แจงธรรมเนียมในการซักถาม. 
   สองบทว่า จณฺโฑ นิเสเธตพฺโพ มีความว่า เป็นผู้ดุร้ายพึงรุกรานเสีย คือพึงกำหราบเสีย. 
   สองบทว่า อสุจิ วิภาเวตพฺโพ มีความว่า เป็นอลัชชี พึงประกาศแล้วให้แสดงอาบัติเสีย. 
   สองบทว่า อุชุ มทฺทเวน มีความว่า ภิกษุใดเป็นผู้ตรง มีศีล เว้นจากความโกงทางกายเป็นต้น, ภิกษุนั้น อันผู้ว่าอรรถคดีพึงประพฤติต่อด้วยความอ่อนโยนเท่านั้น. 
   ในคำว่า ธมฺเมสุ จ ปุคฺคเลสุ จ นี้ ภิกษุใด เป็นผู้หนักในธรรม มิได้เป็นผู้หนักในบุคคล, ภิกษุนี้แลพึงทราบว่า ผู้วางตนเป็นกลางทั้งในธรรมทั้งในบุคคล.

[ว่าด้วยประโยชน์แห่งสูตรเป็นอาทิ]
               วินิจฉัยในคำว่า สุตฺตํ สํสนฺทนตฺถาย เป็นต้น พึงทราบดังนี้ :-
   ก็แต่ว่า ภิกษุผู้ว่าอรรถคดี ซึ่งเป็นที่รักที่ชอบใจที่เคารพและที่นับถือของเพื่อนพรหมจารีอย่างนี้นั้น พึงทราบว่า ในบรรดาสูตรเป็นต้น ที่อ้างมาสูตรเพื่อประโยชน์แก่การเทียบเคียง คือเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนอาบัติและอนาบัติ. 
   สองบทว่า โอปมฺมํ นิทสฺสนตฺถาย มีความว่า ข้ออุปมาเพื่อประโยชน์แก่การชี้เนื้อความ. 
   สองบทว่า อตฺโถ วิญฺญาปนตฺถาย มีความว่า เนื้อความเพื่อประโยชน์แก่การที่จะให้เข้าใจ. 
   สองบทว่า ปฏิปุจฺฉา ฐปนตฺถาย มีความว่า การย้อนถามเพื่อประโยชน์แก่ความมั่นคงของบุคคล. 
   สองบทว่า โอกาสกมฺมํ โจทนตฺถาย มีความว่า (การขอโอกาส) เพื่อประโยชน์แก่การโจทด้วยวัตถุหรือด้วยอาบัติ. 
   สองบทว่า โจทนา สารณตฺถาย มีความว่า (การโจท) เพื่อประโยชน์แก่การที่จะให้จำเลยระลึกถึงโทษน้อยใหญ่. 
   สองบทว่า สารณา สวจนียตฺถาย มีความว่า การที่ให้จำเลยระลึกถึงโทษน้อยโทษใหญ่ เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นผู้มีถ้อยคำอันตนจะพึงให้การ.
   สองบทว่า สวจนียํ ปลิโพธตฺถาย มีความว่า ความเป็นผู้มีถ้อยคำอันตนจะพึงให้การ เพื่อประโยชน์แก่การกักไว้อย่างนี้ว่า ท่านอย่าก้าวออกไปแม้ก้าวเดียวจากอาวาสนี้. 
   สองบทว่า ปลิโพโธ วินิจฺฉยตฺถาย มีความว่า (การกักไว้) เพื่อประโยชน์แก่การให้ตั้งวินิจฉัย. 
   สองบทว่า วินิจฺฉโย สนฺตีรณตฺถาย มีความว่า การวินิจฉัยเพื่อประโยชน์แก่การไตร่ตรอง คือ พิจารณาโทษและมิใช่โทษ. 
   การไตร่ตรอง เพื่อประโยชน์ที่จะหยั่งฐานะและอฐานะ คือเพื่อประโยชน์ที่จะรู้อาบัติ อนาบัติ ครุกาบัติ ลหุกาบัติ. 
   สองบทว่า สงฺโฆ สมฺปริคฺคหสมฺปฏิจฺฉนตฺถาย มีความว่า สงฆ์เพื่อประโยชน์แก่การรับรองวินิจฉัย และเพื่อประโยชน์ที่จะรู้ว่าอธิกรณ์นั้นอัน ผู้ว่าอรรถคดี วินิจฉัยชอบหรือไม่ชอบ. 
   สองบทว่า ปจฺเจกฏฺฐายิโน อวิสํวาทกฏฺฐายิโน มีความว่า บุคคลเหล่านั้น ซึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งผู้เป็นใหญ่ โดยความเป็นอิสริยาธิบดี และในฐานะแห่งผู้ไม่แกล้งกล่าวให้ผิด อันสงฆ์ไม่พึงรุกราน.

[ว่าด้วยประโยชน์แห่งวินัยเป็นอาทิ]
         บัดนี้ พระอุบาลีเถระกล่าวคำว่า วินัยเพื่อประโยชน์แก่สังวร เป็นต้น เพื่อแสดงเนื้อความ เพื่อปิดโอกาสแห่งถ้อยคำของชนทั้งหลายผู้มีปัญญาอ่อน ซึ่งจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ชื่อว่าวินัยจะมีประโยชน์อะไร. 
         บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า วินโย สํวรตฺถาย มีความว่า วินัยบัญญัติแม้ทั้งสิ้น เพื่อประโยชน์แก่ความสำรวมกายทวารและวจีทวาร คือเป็นอุปนิสัย. อธิบายว่า เป็นปัจจัยแก่ศีล มีอาชีวปาริสุทธิศีลเป็นที่สุด. ในบททั้งปวงก็นัยนี้แล. 
         อีกอย่างหนึ่ง ในธรรมทั้งหลายมีความไม่เดือดร้อนเป็นต้นนี้ มีคำอธิบายว่า ความไม่มีความเดือดร้อนแห่งจิต ด้วยอำนาจแห่งบุญที่ได้กระทำไว้ และบาปที่มิได้กระทำไว้ ชื่อว่า ความไม่เดือดร้อน. 
   ปีติอย่างอ่อน ไม่รุนแรง ชื่อว่าปราโมทย์. 
   ปีติอย่างแรง มีกำลัง ชื่อว่าปีติ. 
   ความระงับความกระวนกระวายในกายและจิต ชื่อว่าปัสสัทธิ. 
   สุขทางกายทางจิต ชื่อว่าสุข. 
   จริงอยู่ สุขทั้ง ๒ อย่างนั้น ย่อมเป็นอุปนิสัยปัจจัยแห่งสมาธิ. 
   ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ชื่อว่าสมาธิ. 
 วิปัสสนาอย่างอ่อน ชื่อว่ายถาภูตญาณทัสสนะ. ยถาภูตญาณทัสสนะนี้ เป็นชื่อของญาณที่รู้ความเกิดและความเสื่อม. 
   จริงอยู่ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ย่อมเป็นอุปนิสัยปัจจัยแห่งวิปัสสนาอย่างอ่อน. 
 วิปัสสนาอย่างแรง ซึ่งจัดเป็นชั้นยอด เป็นเหตุให้ถึงความปลีกตัวเสีย ชื่อว่านิพพิทา. 
         อริยมรรค ชื่อว่าวิราคะ 
         อรหัตผล ชื่อว่าวิมุตติ. 
         จริงอยู่ อริยมรรคแม้ทั้ง ๔ อย่าง ย่อมเป็นอุปนิสัยปัจจัยแห่งอรหัต. 
   ปัจจเวกขณญาณ ชื่อว่าวิมุตติญาณทัสสนะ. 
   สองบทว่า วิมุตฺติญาณทสฺสนํ อนุปาทาปรินิพฺพานตฺถาย มีความว่า วิมุตติญาณทัสสนะ เพื่อประโยชน์แก่ความดับสนิทหาปัจจัยมิได้. จริงอยู่ วิมุตติญาณทัสสนะนั้น ชื่อว่าเป็นปัจจัยแก่ความดับสนิทหาปัจจัยมิได้ เพราะเมื่อวิมุตติญาณทัสสนะอันโยคาพจรบรรลุโดยลำดับแล้ว กิเลสและกองทุกข์พึงดับสนิทแน่แท้ ฉะนี้แล. 
   สองบทว่า เอตทตฺถา กถา มีความว่า ธรรมดาว่าวินัยกถานี้ มีอนุปาทาปรินิพพานนั้นเป็นประโยชน์. ความพิจารณาวินัยนั่นแล ชื่อว่ามันตนา. 
   บทว่า อุปนิสา มีความว่า แม้ความเป็นธรรมเป็นปัจจัยสืบต่อกันไป เป็นต้นว่า วินัยเพื่อประโยชน์แก่สังวร นี้ ก็เพื่อประโยชน์แก่อนุปาทาปรินิพพานนั้น. ความเงี่ยโสตลงฟังถ้อยคำที่เป็นปัจจัยสืบต่อกันไปนี้ ชื่อว่าความเงี่ยโสตสดับ. ญาณใดเกิดขึ้นเพราะได้ฟังเนื้อความนี้ ญาณแม้นั้นก็เพื่อประโยชน์แก่อนุปาทาปรินิพพานนั้น. 
   หลายบทว่า ยทิทํ อนุปาทา จิตฺตสฺส วิโมกฺโข มีความว่า ความพ้นพิเศษแห่งจิต เพราะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ๔ กล่าวคืออรหัตผลนี้ใด, ความพ้นพิเศษแห่งจิตแม้นั้น ก็เพื่อประโยชน์นี้ คือเพื่อประโยชน์แก่อปัจจัยปรินิพพานนั่นแล.

[อนุโยควัตตคาถา]
         บรรดาอนุโยควัตตคาถาทั้งหลาย คาถาต้นมีเนื้อความดังกล่าวแล้วนั่นแล. 
         ในคำว่า วตฺถุํ วิปตฺตึ อาปตฺตึ นิทานํ อาการอโกวิโท ปุพฺพาปรํ น ชานาติ พึงทำการเชื่อมบทว่า วตฺถุ เป็นต้น ด้วยบทว่า น ชานาติ. พึงทำการเชื่อมบทว่า อโกวิโท ด้วยบทว่า ส เวตาทิสโก นี้.
         เพราะเหตุนั้น พึงทราบวาจาเครื่องประกอบในคำว่า วตฺถุํ เป็นต้นนี้ ดังต่อไปนี้ :- 
         ภิกษุใด ไม่รู้จักวัตถุแห่งวิติกกมะมีปาราชิกเป็นต้น, ไม่รู้วิบัติ ๔ อย่าง, ไม่รู้อาบัติ ๗ อย่าง, ไม่รู้นิทานอย่างนี้ว่า สิกขาบทนี้ ทรงบัญญัติแล้ว ในนครชื่อโน้น, ไม่รู้จักเบื้องต้นและเบื้องปลายว่า นี้เป็นคำต้น นี้เป็นคำหลัง, ไม่รู้จักกรรมที่ทำแล้วหรือยังไม่ได้ทำว่า นี้ทำแล้ว นี้ยังมิได้ทำ. 
         ในบทว่า สเมน จ มีคำอธิบายว่า ไม่รู้จักกรรมที่ทำแล้วหรือยังมิได้ทำ ด้วยความไม่รู้เสมอ ของภิกษุไม่รู้เบื้องต้นและเบื้องปลายนั้นนั่นเอง. พึงทราบการเชื่อมกับบทว่า น ชานาติ อย่างนี้ก่อน. 
         ก็แลวินิจฉัยในคำว่า อาการอโกวิโท ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ พึงทราบดังนี้ :- 
         บทว่า อาการอโกวิโท ได้แก่ ผู้ไม่เข้าใจเหตุและมิใช่เหตุ. ภิกษุนี้ใด ไม่รู้วัตถุเป็นต้น และไม่เข้าใจอาการ, ภิกษุผู้เช่นนั้นๆ แล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้ไม่ควรเลือก ด้วยประการฉะนี้. 
         พึงทำการเชื่อมบทแม้เหล่านี้ว่า กมฺมญฺจ อธิกรณญฺจ ด้วยบทว่า น ชานาติ นั่นแล. 
         ก็แลวาจาสำหรับประกอบ ในคำว่า กมฺมญฺจ เป็นต้นนั้น ดังต่อไปนี้ :- 
         ภิกษุนี้ใด ไม่รู้จักกรรม และไม่รู้จักอธิกรณ์ เหมือนอย่างนั้นแล, ทั้งไม่เข้าใจสมถะ ๗ ประการด้วย. 
         อนึ่ง ผู้กำหนัดแล้ว ขัดเคืองแล้ว และหลงแล้ว เพราะกิเลสมีราคะเป็นต้น ย่อมลำเอียงเพราะกลัวด้วยความกลัว ย่อมลำเอียงเพราะเขลา ด้วยความงมงาย. 
   อนึ่ง เพราะเหตุที่ตนเป็นผู้กำหนัดและเพราะเหตุที่ตนเป็นผู้ขัดเคือง จึงลำเอียงเพราะความชอบ เพราะความชัง. 
   อนึ่ง หาเป็นผู้ฉลาดในบัญญัติไม่ เพราะไม่เป็นผู้สามารถที่จะยังผู้อื่นให้ยินยอม. 
   อนึ่ง ไม่ฉลาดในการชี้ขาด เพราะเป็นผู้ไม่สามารถในการชี้เหตุและมิใช่เหตุ. 
   ชื่อว่าผู้ได้พรรคพวก เพราะได้บริษัทที่แม้นกับตน, ชื่อว่าผู้ไม่มีความละอาย เพราะเป็นผู้ห่างจากหิริ, ชื่อว่าผู้มีกรรมดำ เพราะเป็นผู้พร้อม เพรียงด้วยกรรมดำทั้งหลาย, ชื่อว่าผู้ไม่เอื้อเฟื้อ เพราะไม่มีความเอื้อเฟื้อในธรรมและความเอื้อเฟื้อในบุคคล. ภิกษุเช่นนั้นๆ แล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้ไม่ควรเลือก.
   คือ อันสงฆ์ไม่ควรพิจารณาได้แก่ ไม่ควรแลดู. อธิบายว่า ไม่ควรสมมติตั้งไว้ในตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่ โดยความเป็นอิสริยาธิบดี. 
   โยชนานัย แม้แห่งคาถาฝ่ายขาว ก็พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
               จูฬสังคามวัณณนา จบ.