Translate

12 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร เสทโมจนคาถา

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
[๑๒๙๖] บุคคลไม่มีสังวาสกับภิกษุและภิกษุณี การสมโภคบางอย่าง อันภิกษุและภิกษุณีย่อมไม่ได้ในบุคคลนั้น ไม่ต้องอาบัติ เพราะไม่อยู่ปราศ ปัญหาข้อนี้ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๒๙๗] ครุภัณฑ์ ๕ อย่าง อันพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ตรัสว่า ไม่เป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้จำหน่าย ผู้ใช้สอย ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๒๙๘] ข้าพเจ้าไม่กล่าวถึง บุคคล ๑๐ จำพวก เว้นบุคคล ๑๑ จำพวกเสีย ภิกษุไหว้ผู้แก่กว่า ต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๒๙๙] ภิกษุไม่ใช่ผู้ถูกยกวัตร ไม่ใช่ผู้อยู่ปริวาส ไม่ใช่ผู้ทำลายสงฆ์ และไม่ใช่ผู้หลีกไปเข้ารีด ตั้งอยู่ในภูมิของภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกัน ไฉนจึงไม่ทั่วไปแก่สิกขา ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๐] บุคคลเข้าถึงธรรม ไต่ถามกุศลที่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่ผู้เป็นอยู่ ไม่ใช่ผู้ตาย ไม่ใช่ผู้นิพพาน ท่านผู้รู้ทั้งหลายเรียกบุคคลนั้นว่าอย่างไร? ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๑] ไม่พูดถึงอวัยวะเหนือรากขวัญขึ้นไป เว้นอวัยวะใต้สะดือลงมา ภิกษุพึงต้องอาบัติปาราชิกเพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัยได้อย่างไร? ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๒] ภิกษุทำกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง ไม่ได้ให้สงฆ์แสดงพื้นที่ เกินประมาณ มีผู้จองไว้หาชานรอบมิได้ ไม่ต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๓] ภิกษุทำกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง ให้สงฆ์แสดงพื้นที่แล้วได้ประมาณ ไม่มีผู้จอง มีชานรอบ แต่ต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๔] ไม่ประพฤติประโยคอะไรทางกาย และไม่พูดกะคนอื่นๆ ด้วยวาจา แต่ต้องอาบัติหนัก ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความขาด ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๕] สัตบุรุษ ไม่ทำความชั่วอะไรทางกายและทางวาจา แม้ทางใจผู้นั้นถูกสงฆ์นาสนะแล้ว ชื่อว่าถูกนาสนะด้วยดี เพราะเหตุไร? ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๖] ภิกษุไม่เจรจากับมนุษย์ไรๆ ด้วยวาจา และไม่กล่าวถ้อยคำกะผู้อื่น แต่ต้องอาบัติทางวาจา มิใช่ทางกาย ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๗] สิกขาบท อันพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐพรรณนาไว้แล้ว สังฆาทิเสส ๔ สิกขาบท ภิกษุณีต้องทั้งหมด ด้วยประโยคเดียวกัน ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๘] ภิกษุณี ๒ รูป อุปสมบทแต่สงฆ์ฝ่ายเดียว ภิกษุรับจีวรแต่มือของภิกษุณี ๒ รูป ต้องอาบัติต่างกัน ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๙] ภิกษุ ๔ รูปชวนกันไปลักครุภัณฑ์ ๓ รูป เป็นปาราชิก รูป ๑ ไม่เป็นปาราชิก ปัญหาข้อนี้ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๐] สตรีอยู่ข้างใน ภิกษุอยู่ข้างนอก ช่องไม่มีในเรือนนั้น ภิกษุจะพึงต้องอาบัติปาราชิกเพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัยได้อย่างไร? ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้วฯ
   [๑๓๑๑] ภิกษุรับประเคนน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และเนยใสด้วยตนเองแล้วเก็บไว้ เมื่อยังไม่ล่วงสัปดาห์ เมื่อปัจจัยมีอยู่ฉัน ต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๒] อาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ อาบัติสุทธิกปาจิตตีย์ ภิกษุต้องพร้อมกัน ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๓] ภิกษุ ๒๐ รูป มาประชุมกันสำคัญว่าพร้อมเพรียงจึงทำกรรม ภิกษุอยู่ในที่ ๑๒ โยชน์พึงยังกรรมนั้นให้เสียได้เพราะปัจจัยคือเป็นวรรค ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๔] ภิกษุต้องครุกาบัติล้วน ๖๔ ที่ทำคืนได้ ด้วยอาการเพียงย่างเท้า และด้วยกล่าววาจาคราวเดียวกัน ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๕] ภิกษุนุ่งผ้าอันตรวาสก ห่มผ้าสังฆาฏิ ๒ ชั้น ผ้าทั้งหมดนั้นเป็นนิสสัคคีย์ ปัญหาข้อนี้ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๖] ญัตติก็ไม่ใช่ กรรมวาจาก็ไม่เชิง และพระชินเจ้า ก็ไม่ได้ตรัสว่า เอหิภิกขุแม้สรณคมน์ก็ไม่มีแก่เธอ แต่อุปสัมปทาของเธอไม่เสีย ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๗] บุคคลผู้โฉดเขลา ฆ่าสตรีซึ่งมิใช่มารดา และฆ่าบุรุษซึ่งมิใช่บิดา ฆ่าบุคคลผู้มิใช่อริยะแต่ต้องอนันตริยกรรมเพราะเหตุนั้น  ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๘] บุคคลผู้โฉดเขลา ฆ่าสตรีผู้เป็นมารดา ฆ่าบุรุษผู้เป็นบิดา ครั้นฆ่าบิดามารดาแล้วแต่ไม่ต้องอนันตริยกรรมเพราะโทษนั้น  ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๙] ภิกษุไม่โจท ไม่สอบสวน แล้วทำกรรมแก่บุคคลผู้อยู่ลับหลัง และกรรมที่ทำแล้วเป็นอันทำชอบแล้ว ทั้งการกสงฆ์ไม่ต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๐] ภิกษุโจท สอบสวนแล้ว ทำกรรมแก่บุคคลผู้อยู่ต่อหน้า และกรรมที่ทำแล้วไม่เป็นอันทำทั้งการกสงฆ์ก็ต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๑] ภิกษุตัด ต้องอาบัติก็มี ไม่ต้องอาบัติก็มี ภิกษุปิดต้องอาบัติก็มี ไม่ต้องอาบัติก็มีปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๒] ภิกษุพูดจริง ต้องอาบัติหนัก พูดเท็จต้องอาบัติเบา พูดเท็จต้องอาบัติหนัก และพูดจริงต้องอาบัติเบา ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๓] ภิกษุบริโภคจีวรที่อธิษฐานแล้ว ย้อมด้วยน้ำย้อมแล้ว แม้กัปปะก็ทำแล้วยังต้องอาบัติปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๔] เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว ภิกษุฉันเนื้อ เธอไม่ใช่ผู้วิกลจริต ไม่ใช่ผู้มีจิตฟุ้งซ่านและไม่ใช่ผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา แต่เธอไม่ต้องอาบัติ ก็ธรรมข้อนั้น พระสุคตทรงแสดงแล้ว ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๕] เธอไม่ใช่ผู้มีจิตกำหนัด และไม่ใช่ผู้มีไถยจิต และแม้ผู้อื่นเธอก็ไม่ได้คิดจะฆ่า ความขาดย่อมมีแก่เธอผู้ให้จับสลาก เป็นอาบัติถุลลัจจัยแก่ภิกษุผู้จับ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๖] ไม่ใช่เสนาสนะป่าที่รู้กันว่ามีความรังเกียจ และไม่ใช่สงฆ์ให้สมมติ ทั้งกฐินเธอไม่ได้กราน เธอเก็บจีวรไว้ ณ ที่นั้นเอง แล้วไปตั้งกึ่งโยชน์เมื่ออรุณขึ้น เธอนั่นแหละไม่ต้องอาบัติปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๗] อาบัติทั้งมวลที่เป็นไปทางกาย มิใช่ทางวาจา ต่างวัตถุกัน ภิกษุต้องในขณะเดียวกัน ไม่ก่อน ไม่หลัง ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๘] อาบัติทั้งมวลที่เป็นไปทางวาจา มิใช่ทางกายต่างวัตถุกัน ภิกษุต้องในขณะเดียวกัน ไม่ก่อน ไม่หลัง ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๙] ไม่เสพเมถุนนั้นในสตรี ๓ จำพวก บุรุษ ๓ จำพวก คนไม่ประเสริฐ ๓ จำพวก และบัณเทาะก์ ๓ จำพวก และไม่ประพฤติเมถุนในอวัยวะที่ปรากฏ แต่ความขาดย่อมมีเพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัย ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๐] ขอจีวรกะมารดา และไม่ได้น้อมลาภไปเพื่อสงฆ์ เพราะเหตุไร ภิกษุนั้นจึงต้องอาบัติแต่ไม่ต้องอาบัติเพราะบุคคลผู้เป็นญาติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๑] ผู้โกรธ ย่อมให้สงฆ์ยินดี ผู้โกรธ ย่อมถูกสงฆ์ติเตียน ก็ธรรมที่เป็นเหตุให้สงฆ์สรรเสริญผู้โกรธนั้น ชื่ออะไร? ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๒] ผู้แช่มชื่น ย่อมให้สงฆ์ยินดี ผู้แช่มชื่น ย่อมถูกสงฆ์ติเตียน ก็ธรรมที่เป็นเหตุให้สงฆ์ติเตียนผู้แช่มชื่นนั้นชื่ออะไร? ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๓] ภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ และทุกกฏ ในขณะเดียวกัน ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๔] ทั้งสองมีอายุครบ ๒๐ ปี ทั้งสองมีอุปัชฌาย์คนเดียวกัน มีอาจารย์คนเดียวกัน มีกรรมวาจาอันเดียวกัน รูปหนึ่งเป็นอุปสัมบัน รูปหนึ่งเป็นอนุปสัมบัน ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๕] ผ้าที่ไม่ได้ทำกัปปะ และไม่ได้ย้อมด้วยน้ำย้อม ภิกษุปรารถนา พึงแสวงหามานุ่งห่มและเธอไม่ต้องอาบัติ ก็ธรรมอันนั้น พระสุคตทรงแสดงแล้ว ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๖] ภิกษุณีไม่ให้ ไม่รับ การรับไม่มีด้วยเหตุนั้น แต่ต้องอาบัติหนัก มิใช่อาบัติเบาและการต้องนั้น เพราะการบริโภคเป็นปัจจัย ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๗] ภิกษุณีไม่ให้ ไม่รับ การรับไม่มีด้วยเหตุนั้น แต่ต้องอาบัติเบา ไม่ใช่อาบัติหนักและการต้องนั้น เพราะการบริโภคเป็นปัจจัย ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๘] ภิกษุณีต้องอาบัติหนักมีส่วนเหลือ ปกปิดไว้ เพราะอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ไม่ใช่ภิกษุณีก็ไม่ต้องโทษ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.     เสทโมจนคาถา จบ.
หัวข้อประจำเรื่อง   [๑๓๓๙] ไม่มีสังวาส ไม่จำหน่าย บุคคล ๑๐ ไม่ใช่ผู้ถูกยกวัตร เข้าถึงธรรมอวัยวะเหนือรากขวัญ ต่อนั้น ทำกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง ๒ สิกขาบท ไม่ประพฤติประโยคทางกาย แต่ต้องอาบัติหนัก ไม่ทำความชั่วทางกายแต่ถูกสงฆ์นาสนะชอบแล้ว ไม่เจรจา สิกขาบท ชน ๒ คน และชน ๔ คน สตรี น้ำมัน นิสสัคคีย์
ภิกษุ ย่างเท้าเดิน นุ่งผ้า ไม่ใช่ญัตติ ฆ่าสตรีมิใช่มารดา ฆ่าบุรุษมิใช่บิดา ไม่โจท โจท ตัด พูดจริง ผ้าที่อธิษฐาน  พระอาทิตย์อัสดงแล้ว ไม่กำหนัด มิใช่เสนาสนะป่า อาบัติทางกาย ทางวาจา สตรี ๓ พวก มารดาโกรธให้ยินดี แช่มชื่น ต้องสังฆาทิเสส สองคน ผ้าไม่ได้ทำกัปปะ ไม่ให้ต้องอาบัติหนัก คาถาที่คิดจนเหงื่อไหล เป็นปัญหาที่ท่านผู้รู้ให้แจ่มแจ้งแล้วแล.
หัวข้อประจำเรื่อง จบ.
เสทโมจนคาถาวัณณนา วินิจฉัยในเสทโมจนคาถา พึงทราบดังนี้ :-
             บทว่า อสํวาโส มีความว่า ผู้ไม่มีสังวาส ด้วยสังวาส มีอุโบสถและปวารณาเป็นต้น. 
               หลายบทว่า สมฺโภโค เอกจฺโจ ตหึ น ลพฺภติ มีความว่า การสมโภคที่ไม่สมควร อันภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย ย่อมไม่ได้ในบุคคลนั้น แต่บุคคลนั้น อันภิกษุณีผู้มารดาเท่านั้น ย่อมได้เพื่อทำการเลี้ยงดูด้วยอาการให้อาบน้ำและให้บริโภคเป็นต้น. 
               สองบทว่า อวิปฺปวาเสน อนาปตฺติ มีความว่า ไม่เป็นอาบัติ เพราะนอนร่วมเรือน (แก่ภิกษุณี). 
               หลายบทว่า ปญฺหา เมสา กุสเลหิ จินฺติตา มีความว่า ปัญหาข้อนี้ อันผู้ฉลาดคือบัณฑิตทั้งหลาย คิดกันแล้ว. 
               คำตอบปัญหานั้น พึงทราบด้วยภิกษุณีผู้เป็นมารดาของทารก. 
               จริงอยู่ คำตอบนั้น ตรัสหมายถึงบุตรของภิกษุณีนั้น. 
               คาถาว่าด้วยของไม่ควรจำหน่าย ตรัสหมายถึงครุภัณฑ์. ก็เนื้อความแห่งคาถานั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวเสร็จแล้ว ในวาระที่วินิจฉัยด้วยภัณฑ์. 
               หลายบทว่า ทส ปุคฺคเล น วทามิ มีความว่า ข้าพเจ้าไม่กล่าวถึงบุคคล ๑๐ จำพวก ที่กล่าวแล้วในเสนาสนขันธกะ. 
               หลายบทว่า เอกาทส วิวชฺชิย มีความว่า มิได้กล่าวถึงบุคคลควรเว้น ๑๑ จำพวก ที่ได้กล่าวแล้วในมหาขันธกะ. ปัญหานี้ตรัสหมายถึงภิกษุผู้เปลือยกาย. 
               ปัญหาที่ว่า กถํ นุ สิกฺขาย อสาธารโณ นี้ ตรัสหมายถึงภิกษุผู้เคยเป็นช่างโกนผม. 
               จริงอยู่ ภิกษุผู้เคยเป็นช่างโกนผมนี้ ไม่ได้เพื่อรักษามีดโกนไว้. แต่ภิกษุเหล่าอื่น ย่อมได้: เพราะเหตุนั้นภิกษุผู้เคยเป็นช่างโกนผม จึงชื่อว่าผู้ไม่ทั่วไปเฉพาะสิกขา. 
               ปัญหาที่ว่า ตํ ปุคฺคลํ กตมํ วทนฺติ พุทฺธา นี้ ตรัสหมายถึงพระพุทธนิรมิต. 
               สองบทว่า อโธนาภึ วิวชฺชิย มีความว่า เว้นภายใต้สะดือเสีย. 
               ปัญหานี้ตรัสหมายถึงตัวกพันธะ๑- ไม่มีศีรษะ ที่มีตาและปากอยู่ที่อก.
๑- ตัวกะพันธะ เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งจัดเข้าในพวกอมนุษย์ ท่านว่าเป็นสัตว์ อยู่คงกระพันฟันไม่เข้ายิงไม่ออก. ทำนองเดียวกับตัวเวตาลกระมัง คำว่าอยู่คงกระพัน ก็ออกมาจากคำนี้. 
               ปัญหาที่ว่า ภิกฺขุ สญฺญาจิกาย กุฏี นี้ ตรัสหมายถึงกุฎีมีหญ้าเป็นเครื่องมุง. 
               ปัญหาที่ ๒ กล่าวหมายถึงกุฎีที่แล้วด้วยดินล้วน. 
               ปัญหาที่ว่า อาปชฺเชยฺย ครุกํ เฉชฺชวตฺถุํ นี้ ตรัสหมายถึงภิกษุณีผู้ปิดโทษ. 
               ปัญหาที่ ๒ ตรัสหมายถึงอภัพบุคคล มีบัณเฑาะก์เป็นต้น. 
               จริงอยู่ อภัพบุคคลเหล่านั่น ทั้ง ๑๑ จำพวก ต้องปาราชิกในเพศคฤหัสถ์แล้วแท้. 
               บทว่า วาจา ได้แก่ ไม่บอกวาจา. 
               หลายบทว่า คิรํ โน จ ปเร ภเณยฺย มีความว่า ภิกษุไม่พึงเปล่งแม้ซึ่งสำเนียงด่าบุคคลเหล่าอื่น ด้วยหมายว่า ชนเหล่านี้ จักฟังอย่างนี้ ปัญหานี้ ตรัสหมายถึงมุสาวาทนี้ว่า ภิกษุใด ไม่พึงเปิดเผยอาบัติซึ่งมีอยู่ สัมปชานมุสาวาททุกกฏ ย่อมมีแก่ภิกษุนั้น. 
               จริงอยู่ ธรรมดาอาบัติในมโนทวาร ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้นั่งนิ่งด้วยปฏิญญาไม่เป็นธรรม แต่เพราะเหตุที่ไม่เปิดเผยอาบัติ ซึ่งควรเปิดเผย อาบัตินี้ พึงทราบว่า เกิดแต่การไม่กระทำในวจีทวารของภิกษุนั้น. 
               ปัญหาที่ว่า สงฺฆาทิเสสา จตุโร นี้ ตรัสหมายถึงภิกษุณีผู้ก้าวลงสู่ฝั่งแม่น้ำ ที่นับเนื่องในละแวกบ้าน ในเวลาอรุณขึ้น. จริงอยู่ ภิกษุณีนั้น แต่พอออกจากบ้านของตน ในเวลาใกล้รุ่ง ก้าวลงสู่ฝั่งแม่น้ำ ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้ว ในเวลาอรุณขึ้น ย่อมต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๔ ตัว ซึ่งกำหนดด้วยการอยู่ปราศจากเพื่อนตลอดราตรี ไปสู่ละแวกบ้านตามลำพัง ไปสู่ฝั่งแม่น้ำตามลำพัง ล้าหลังพวกไปคนเดียว พร้อมกันทีเดียว. 
               ปัญหาที่ว่า สิยา อาปตฺติโย นานา นี้ ตรัสหมายถึงภิกษุณี ๒ รูป ผู้อุปสมบท แต่สงฆ์ฝ่ายเดียว. จริงอยู่ ในภิกษุณี ๒ รูปนั้นเป็นปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับ (จีวร) จากมือภิกษุณี ผู้อุปสมบท ในสำนักภิกษุทั้งหลายฝ่ายเดียว. เป็นทุกกฏ แก่ภิกษุผู้รับจากมือภิกษุณี ผู้อุปสมบท ในสำนักภิกษุณีทั้งหลายฝ่ายเดียว. 
               หลายบทว่า จตุโร ชนา สํวิธาย มีความว่า อาจารย์ ๑ และอันเตวาสิก ๓ ลักภัณฑะ ๖ มาสก. คือ ของอาจารย์ ลักด้วยมือของตนเอง ๓ มาสก สั่งให้ลักอีก ๓ มาสก เพราะฉะนั้น อาจารย์ต้องถุลลัจจัย. ฝ่ายของพวกอันเตวาสิก ลักด้วยมือของตนเองรูปละ ๑ มาสก สั่งให้ลักรูปละ ๕ มาสก เพราะเหตุฉะนี้นั้น อันเตวาสิกทั้ง ๓ จึงต้องปาราชิกด้วยประการอย่างนี้. ความย่อในคาถานี้เท่านี้. ส่วนความพิสดาร ได้กล่าวไว้แล้ว ในสังวิธาวหารวัณณนา ในอทินนาทานปาราชิก. 
               ปัญหาที่ว่า ฉิทฺทํ ตสฺมึ ฆเร นตฺถิ นี้ ตรัสหมายถึงกุฎีที่บังด้วยผ้าเป็นต้น และวัตถุที่กำหนดเป็นเครื่องลาดได้. 
               คาถาว่า เตลํ มธุํ ผาณิตํ ตรัสหมายถึงความกลับเพศ. 
               คาถาว่า นิสฺสคฺคิเยน ตรัสหมายถึงการน้อมลาภสงฆ์. 
               จริงอยู่ ภิกษุใด น้อมจีวร ๒ ผืน จากลาภที่เขาน้อมไปแล้วเพื่อสงฆ์ คือ จีวรผืน ๑ เพื่อตน ผืน ๑ เพื่อภิกษุอื่น ด้วยประโยคอันเดียวว่า ท่านจงให้แก่ข้าพเจ้าผืน ๑ แก่ภิกษุนั้นผืน ๑. ภิกษุนั้นต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ และสุทธิกปาจิตตีย์พร้อมกัน. 
               ปัญหาที่ว่า กมฺมญฺจ ตํ กุปฺเปยฺย วคฺคปจฺจยา นี้ ตรัสหมายถึงคามสีมา ในนครทั้งหลาย มีกรุงพาราณสีเป็นต้น ซึ่งมีประมาณ ๑๒ โยชน์. 
               คาถาว่า ปทวีติหารมตฺเตน ตรัสหมายเอาการชักสื่อ. ก็เนื้อความแห่งคาถานั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วในวัณณนาแห่งสัญจริตสิกขาบทนั่นแล. 
               ปัญหาที่ว่า สพฺพานิ ตานิ นิสฺสคฺคิยานิ นี้ ตรัสหมายถึงการใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติให้ซัก. จริงอยู่ แม้ถ้าว่า ภิกษุณีถือเอามุมไตรจีวร ซึ่งกาขี้รดเปื้อนโคลนซักด้วยน้ำ ไตรจีวรที่อยู่ในกายของภิกษุนั่นแล เป็นนิสสัคคีย์. 
               หลายบทว่า สรณคมนมฺปิ น จ ตสฺส อตฺถิ มีความว่า แม้การอุปสมบทด้วยสรณคมน์ ก็ไม่มี. ปัญหานี้ ตรัสหมายถึงการอุปสมบทของพระนางมหาปชาบดี. 
               บาทคาถาว่า หเนยฺย อนริยํ มนฺโท มีความว่า คนเขลาพึงฆ่าบุคคลแม้นั้น เป็นหญิงก็ตาม เป็นชายก็ตาม ซึ่งไม่ใช่พระอริยบุคคล. ปัญหานี้ ตรัสหมายถึงบิดาซึ่งกลายเป็นหญิง และมารดาซึ่งกลายเป็นชายเพราะเพศกลับ. 
               ปัญหาที่ว่า น เตนานนฺตรํ ผุเส นี้ ตรัสหมายถึงมารดาบิดาเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ดั่งมารดาของมิคสิงคดาบส และบิดาของสีหกุมารเป็นต้น. 
               คาถาว่า อโจทยิตฺวา ตรัสหมายถึงการอุปสมบทด้วยทูต. 
               คาถาว่า โจทยิตฺวา ตรัสหมายถึงการอุปสมบทของอภัพบุคคล มีบัณเฑาะก์เป็นต้น. 
               แต่คำที่มาในกุรุนทีว่า คาถาที่ ๑ ตรัสหมายถึงกรรมไม่พร้อมหน้า ๘ อย่าง ที่ ๒ ตรัสหมายถึงกรรมของภิกษุผู้ไม่มีอาบัติ. 
               สองบทว่า ฉินฺทนฺตสฺส อนาปตฺติ ได้แก่ เป็นปาราชิก แก่ภิกษุผู้ตัดหญ้าและเถาวัลย์ เป็นถุลลัจจัย แก่ภิกษุผู้ตัดองคชาต. 
               สองบทว่า ฉินฺทนฺตสฺส อนาปตฺติ คือ ไม่เป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้ปลงผมและตัดเล็บ. 
               บทว่า ฉาเทนฺตสฺส คือ เป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้ปิดอาบัติ. 
               บทว่า อนาปตฺติ คือ ไม่เป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้มุงเรือนเป็นต้น. 
               วินิจฉัยในคาถาว่า สจฺจํ ภณนฺโต พึงทราบดังนี้ :- 
               ภิกษุพูดคำจริง กะสตรีผู้มีหงอน และคนกะเทยว่า เธอมีหงอน เธอมี ๒ เพศ ดังนี้ ย่อมต้องครุกาบัติ. แต่เป็นลหุกาบัติ แก่ภิกษุผู้กล่าวเท็จ เพราะสัมปชานมุสาวาท. เมื่อกล่าวเท็จ เพราะอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีจริง ต้องครุกาบัติ. เป็นลหุกาบัติ แก่ภิกษุผู้พูดจริง เพราะอวดอุตริมนุสธรรมที่มีจริง. 
               คาถาว่า อธิฏฺฐิตํ ตรัสหมายถึงภิกษุผู้ไม่สละก่อน บริโภคจีวรที่เป็นนิสสัคคีย์. 
               คาถาว่า อตฺถงฺคเต สุริเย ตรัสหมายถึงภิกษุผู้มักอ้วก. 
               คาถาว่า น รตฺตจิตฺโต มีเนื้อความดังต่อไปนี้ :- 
               ภิกษุมีจิตกำหนัด ต้องเมถุนธรรมปาราชิก มีเถยยจิต ต้องอทินนาทานปาราชิก ยังผู้อื่นให้จงใจเพื่อตาย ต้องมนุสสวิคคหปาราชิก. แต่ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ มิใช่ผู้มีจิตกำหนัดและมิใช่ผู้มีเถยยจิต ทั้งเธอหาได้ชักชวนผู้อื่น เพื่อตายไม่เลย. แต่ความขาดย่อมมี คือเป็นปาราชิก แก่เธอผู้ให้สลาก. เป็นถุลลัจจัยแก่ภิกษุผู้รับสลาก คือ ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์. 
               ปัญหาที่ว่า คจฺเฉยฺย อฑฺฒโยชนํ นี้ ตรัสหมายถึงโคนต้นไม้ของสกุลหนึ่ง เช่นต้นไทรที่งามสล้าง. 
               คาถาว่า กายิกานิ ตรัสหมายถึงภิกษุผู้จับรวบเส้นผมหรือนิ้วมือของหญิงมากคนด้วยกัน. 
               คาถาว่า วาจสิกานิ นี้ ตรัสหมายถึงภิกษุผู้กล่าวคำชั่วหยาบโดยนัยเป็นต้นว่า เธอทุกคนมีหงอน. 
               หลายบทว่า ติสฺสิตฺถิโย เมถุนํ ตํ น เสเว มีความว่า ไม่ได้เสพเมถุนแม้ในหญิง ๓ จำพวกที่ตรัสไว้. 
               สองบทว่า ตโย ปุริเส มีความว่า จะได้เข้าหาชายทั้ง ๓ จำพวก แล้วเสพเมถุน ก็หาไม่. 
               สองบทว่า ตโย จ อนริยปณฺฑเก มีความว่า จะได้เข้าหาชน ๖ จำพวกแม้เหล่านี้ คือ คนไม่ประเสริฐ ๓ จำพวก กล่าวคืออุภโตพยัญชนกและบัณเฑาะก์ ๓ จำพวก แล้วเสพเมถุน ก็หาไม่. 
               สองบทว่า น จาจเร เมถุนํ พฺยญฺชนสฺมึ มีความว่า ประพฤติเมถุนแม้ด้วยอำนาจอนุโลมปาราชิก ก็หาไม่. 
               ข้อว่า พึงมีความขาดเพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัย ได้แก่ พึงเป็นปาราชิก เพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัย ปัญหาดังว่ามานี้ตรัสหมายถึงอัฏฐวัตถุกปาราชิก (ของภิกษุณี). จริงอยู่ ย่อมมีความขาดเพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัยแก่ภิกษุณีนั้น ผู้พยายามอยู่ เพื่อถึงความเคล้าคลึงด้วยกายอันเป็นบุพภาคแห่งเมถุนธรรม. 
               คาถาว่า มาตรํ จีวรํ นี้ ตรัสหมายถึงการเตือนให้เกิดสติเพื่อได้ผ้าวัสสิกสาฏิก ในเวลาหลังสมัย. 
               ก็แลวินิจฉัยแห่งคาถานั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว ในวัณณนาแห่งวัสสิกสาฏิกสิกขาบทนั่นแล. 
               คาถาว่า กุทฺโธ อาราธโก โหติ ตรัสหมายถึงวัตรของเดียรถีย์. ความพิสดารแห่งคำนั้น ตรัสแล้วในติตถิยวัตรนั่นเองว่า อัญเดียรถีย์ผู้บำเพ็ญวัตร เมื่อคุณของพวกเดียรถีย์ อันชนอื่นสรรเสริญอยู่ โกรธแล้ว ย่อมเป็นผู้ยังภิกษุทั้งหลายให้ยินดี. เมื่อคุณแห่งรัตนตรัยอันชนอื่นสรรเสริญอยู่ โกรธแล้ว ย่อมเป็นผู้อันภิกษุทั้งหลายพึงติเตียน. 
               แม้คาถาที่ ๓ ก็ตรัสหมายถึงติตถิยวัตรนั้นแล. 
               คาถาว่า สงฺฆาทิเสสํ เป็นต้น ตรัสหมายถึงภิกษุณี ผู้กำหนัดรับบิณฑบาต จากมือของบุรุษผู้กำหนัดแล้ว คลุกกับเนื้อมนุษย์ กระเทียม โภชนะประณีตและอกัปปิยมังสะที่เหลือ แล้วกลืนกิน. 
               คาถาว่า เอโก อนุปสมฺปนฺโน เอโก อุปสมฺปนฺโน เป็นต้น ตรัสหมายถึงสามเณรผู้ไปในอากาศ. ก็ถ้าว่า ในสามเณร ๒ รูปๆ หนึ่งเป็นผู้นั่งพ้นแผ่นดิน แม้เพียงปลายเส้นผมเดียว ด้วยฤทธิ์. สามเณรนั้นย่อมเป็นอนุปสัมบันแท้. แม้สงฆ์นั่งในอากาศ ก็ไม่พึงทำกรรมแก่อนุปสัมบันผู้อยู่บนพื้นดิน. ถ้าทำ, กรรมย่อมกำเริบ. 
               คาถาว่า อกปฺปกตํ ตรัสหมายถึงภิกษุผู้มีจีวรอันโจรชิงไป. ก็แม้วินิจฉัยแห่งคาถานั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว โดยพิสดารในสิกขาบทนั้นแล. 
               หลายบทว่า น เทติ นปฺปฏิคฺคณฺหาติ มีความว่า แม้ภิกษุณีผู้ใช้ก็มิได้ให้, ภิกษุณีผู้รับใช้ก็มิได้รับจากมือของภิกษุณีผู้ใช้. 
               หลายบทว่า ปฏิคฺคโห เตน น วิชฺชติ มีความว่า ด้วยเหตุนั้นแล ภิกษุณีผู้ใช้ก็หาได้มีการรับจากมือของภิกษุณีผู้ใช้ไม่. 
               สองบทว่า อาปชฺชติ ครุกํ มีความว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้นภิกษุณีผู้ใช้ ย่อมต้องอาบัติสังฆาทิเสส เพราะเหตุที่ภิกษุณีผู้ที่ตนใช้ไปรับบิณฑบาตจากมือบุรุษผู้กำหนัด. 
               สองบทว่า ตญฺจ ปริโภคปจฺจยา มีความว่า ก็แลภิกษุณีผู้ใช้ เมื่อจะต้องอาบัตินั้น ย่อมต้องเพราะการบริโภคของภิกษุณีผู้รับใช้นั้นเป็นปัจจัย. จริงอยู่ ย่อมเป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุณีผู้ใช้ ในขณะเสร็จการฉันของภิกษุณีผู้รับใช้นั้น. 
               คาถาที่ ๒ ท่านกล่าวหมายถึงการใช้ไปในการรับน้ำและไม้สีฟันของภิกษุณีผู้ใช้นั้นเอง. 
               หลายบทว่า น ภิกฺขุนี โน จ ผุเสยฺย วชฺชํ มีความว่า จริงอยู่ ภิกษุณีต้องสังฆาทิเสสตัวใดตัวหนึ่ง ใน ๑๗ ตัวแล้ว แม้ปิดไว้ด้วยไม่เอื้อเฟื้อ ก็ไม่ต้องโทษ คือไม่ต้องอาบัติใหม่อื่น เพราะการปิดเป็นปัจจัย. เธอย่อมได้ปักขมานัตต์เท่านั้น เพื่ออาบัติที่ปิดไว้ก็ตาม ไม่ปิดไว้ก็ตาม. ก็แลบุคคลนี้ แม้จะไม่ใช่ภิกษุณี, แต่ต้องครุกาบัติ มีส่วนเหลือแล้วปิดไว้ ก็ไม่ต้องโทษ. 
               ได้ยินว่า ปัญหาที่ว่า ปญฺหา เมสา กุสเลหิ จินฺติตา นี้ ท่านกล่าวหมายถึงภิกษุผู้อันสงฆ์ยกวัตร. จริงอยู่ (สงฆ์) ไม่มีวินัยกรรมกับภิกษุนั้น, เพราะเหตุนั้น เธอต้องสังฆาทิเสสแล้ว แม้ปิดไว้ก็ไม่ต้องโทษ ฉะนี้แล
  เสทโมจนคาถาวัณณนา จบ.

11 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร อรรถกถา ปริวาร ทุติยคาถาสังคณิกะ อาบัติทางกายเป็นต้น อปรทุติยคาถาสังคณิกวัณณนา


   อรรถกถา ปริวาร ทุติยคาถาสังคณิกะ อาบัติทางกายเป็นต้น 
อปรทุติยคาถาสังคณิกวัณณนา
               วินิจฉัยในวิสัชนาคาถาว่า กตาปตฺติโย กายิกา เป็นอาทิ พึงทราบดังนี้ :-
[อาบัติทางกายเป็นต้น]
   บาทคาถาว่า ฉ อาปตฺติโย กายิกา มีความว่า อาบัติทั้งหลายที่ท่านกล่าวไว้ในอันตรเปยยาล โดยนัยมีคำว่า ภิกษุต้องอาบัติ ๖ ด้วยอาปัตติสมุฏฐานที่ ๔ คือ ภิกษุเสพเมถุนธรรมต้องปาราชิก เป็นต้น. จริงอยู่ อาบัติเหล่านั้นตรัสว่า เนื่องด้วยกาย เพราะเกิดขึ้นในกายทวาร. 
   สองบทว่า ฉ วาจสิกา มีความว่า อาบัติทั้งหลาย ที่ตรัสไว้ในอันตรเปยยาลนั้นแล โดยนัยมีคำว่า ภิกษุต้องอาบัติ ๖ ด้วยอาปัตติสมุฏฐานที่ ๕ คือ ภิกษุผู้มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาลามกครอบงำแล้ว ดังนี้เป็นต้น. 
   สองบทว่า ฉาเทนฺตสฺส ติสฺโส มีความว่า เป็นปาราชิกแก่ภิกษุณีผู้ปกปิดโทษ, เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุ เพราะปกปิดอาบัติสังฆาทิเสส, เป็นทุกกฏ เพราะปกปิดอาบัติชั่วหยาบของตน. 
   สองบทว่า ปญฺจ สํสคฺคปจฺจยา มีความว่า อาบัติ ๕ มีการเคล้าคลึงด้วยกายเป็นปัจจัยเหล่านี้ คือ เพราะเคล้าคลึงด้วยกาย เป็นปาราชิกแก่ภิกษุณี, เป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุ, เพราะกายกับของเนื่องด้วยกายถูกกัน เป็นถุลลัจจัย, เพราะของที่ซัดไปกับของเนื่องด้วยกายถูกกัน เป็นทุกกฏ, เพราะจี้ด้วยนิ้วมือ เป็นปาจิตตีย์.
[อาบัติเพราะอรุณขึ้นเป็นต้น]
   สองบทว่า อรุณุคฺเค ติสฺโส มีความว่า เพราะอรุณขึ้น ภิกษุย่อมต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ด้วยอำนาจก้าวล่วง ๑ ราตรี ๖ ราตรี ๗ วัน ๑๐ วัน และ ๑ เดือน, เป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุณี เพราะอยู่ปราศ (จากเพื่อน) ตลอดราตรี, ภิกษุปิดอาบัติไว้ตลอดยามที่ ๑ ก็ดี ปิดไว้ ตลอดยามที่ ๒ ก็ดี ตลอดยามที่ ๓ ก็ดี อาบัติเป็นอันเธอปิดเมื่ออรุณขึ้นแล้ว เธอชื่อว่าย่อมปิดอาบัติไว้ พึงให้เธอแสดงอาบัติทุกกฏ. 
   สองบทว่า เทฺว ยาวตติยกา มีความว่า อาบัติชื่อยาวตติยกา มี ๑๑ แต่แบ่งเป็น ๒ ด้วยอำนาจพระบัญญัติ คือ ยาวตติยกาบัติ ของภิกษุ ยาวตติยกาบัติ ของภิกษุณี. 
   สองบทว่า เอเกตฺถ อฏฺฐวตฺถุกา มีความว่า อาบัติอย่างหนึ่งของภิกษุณีทั้งหลายเท่านั้น ชื่อว่าอัฏฐวัตถุกา ในศาสนานี้นี่. 
   สองบทว่า เอเกน สพฺพสงฺคโห มีความว่า สงเคราะห์สิกขาบททั้งมวล และปาฏิโมกขุทเทสทั้งมวล เข้าด้วยนิทานุทเทสอันเดียวนี้ว่า ภิกษุใด มีอาบัติอยู่, ภิกษุนั้น พึงเปิดเผยเสีย.
#- ที่ถูก ๑๒ คือภิกษุ ๔ ภิกษุณี ๘.
[มูลแห่งวินัยเป็นต้น]
   หลายบทว่า วินยสฺส เทฺว มูลานิ มีความว่า (มูลแห่งวินัยมี ๒ คือ) กาย ๑ วาจา ๑. 
   หลายบทว่า ครุกา เทฺว วุตฺตา มีความว่า (อาบัติหนักท่านกล่าวไว้ ๒ คือ) ปาราชิกและสังฆาทิเสส. 
   สองบทว่า เทฺว ทุฏฺฐุลฺลจฺฉาทนา มีความว่า ขึ้นชื่อว่าอาบัติ เพราะปิดโทษชั่วหยาบ มี ๒ เหล่านี้ คือเป็นปาราชิกแก่ภิกษุณีผู้ปิดโทษ (คือปาราชิกของภิกษุณีอื่น) เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ปิดสังฆาทิเสส (ของภิกษุอื่น).
[อาบัติในละแวกบ้านเป็นต้น]
   สองบทว่า คามนฺตเร จตสฺโส มีความว่า อาบัติ ๔ อย่าง ด้วยอำนาจทุกกฏ ปาจิตตีย์ ถุลลัจจัย และสังฆาทิเสส เพราะละแวกบ้านเหล่านี้ คือ ภิกษุกับภิกษุณีชวนกัน ต้องทุกกฏ. เข้าอุปจารบ้านอื่น ต้องปาจิตตีย์, เมื่อภิกษุณี ไปสู่ละแวกบ้าน ในบ้านที่ล้อมเป็นถุลลัจจัย ในย่างเท้าที่ ๑, เป็นสังฆาทิเสส
ในย่างเท้าที่ ๒, เป็นถุลลัจจัย ในย่างเท้าที่ ๑ ที่ก้าวเข้าอุปจารแห่งบ้านไม่ได้ล้อม, เป็นสังฆาทิเสส ในย่างเท้าที่ ๒. 
   สองบทว่า จตสฺโส นทีปารปจฺจยา มีความว่า อาบัติ ๔ อย่างเหล่านี้ คือภิกษุกับภิกษุณีชวนกัน ต้องทุกกฏ, ลงเรือ ต้องปาจิตตีย์, เมื่อภิกษุณี (รูปเดียว) ไปสู่ฝั่งแม่น้ำ ในเวลาข้าม เป็นถุลลัจจัย ในย่างเท้าที่ ๑, เป็นสังฆาทิเสส ในย่างเท้าที่ ๒. 
   สองบทว่า เอกมํเส ถุลฺลจฺจยํ มีความว่า (ภิกษุย่อมต้องถุลลัจจัย) เพราะเนื้อแห่งมนุษย์.
   สองบทว่า นวมํเสสุ ทุกฺกฏํ มีความว่า (ภิกษุย่อมต้องทุกกฏ) ในเพราะอกัปปิยมังสะที่เหลือ.
[อาบัติทางวาจาในราตรีเป็นต้น]
   หลายบทว่า เทฺว วาจสิกา รตฺตึ มีความว่า ภิกษุณียืนพูดในหัตถบาสกับบุรุษ ในเวลามืดๆ ค่ำๆ ไม่มีแสงไฟ ต้องปาจิตตีย์, เว้นหัตถบาส ยืนพูด ต้องทุกกฏ. 
   หลายบทว่า เทฺว วาจสิกา ทิวา มีความว่า ภิกษุณียืนพูดในหัตถบาสกับบุรุษ ในโอกาสที่ปิดบัง ในกลางวัน ต้องปาจิตตีย์, เว้นหัตถบาส ยืนพูด ต้องทุกกฏ. 
   สองบทว่า ททมานสฺส ติสฺโส มีความว่า เป็นอาบัติ ๓ อย่างแก่ภิกษุผู้ให้อย่างนี้ คือมีประสงค์จะให้ตาย ให้ยาพิษแก่มนุษย์ ถ้าว่า เขาตาย ด้วยยาพิษนั้น ภิกษุต้องปาราชิก, ให้แก่ยักษ์และเปรต ถ้าว่า ยักษ์และเปรตนั้นตาย ภิกษุต้องถุลลัจจัย, ให้แก่สัตว์ดิรัจฉาน ถ้าว่า มันตาย ภิกษุต้องปาจิตตีย์, แม้เพราะให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ก็ต้องปาจิตตีย์. 
   สองบทว่า จตฺตาโร จ ปฏิคฺคเห มีความว่า เป็นสังฆาทิเสส เพราะจับมือและจับช้องผม, ต้องปาราชิก เพราะอมองคชาตด้วยปาก, ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เพราะรับจีวรของภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ, ต้องถุลลัจจัยแก่ภิกษุณีผู้กำหนัด รับของเคี้ยว ของบริโภค จากมือบุรุษผู้กำหนัด, กองอาบัติ ๔ ย่อมมีในเพราะรับ ด้วยประการอย่างนี้.
[อาบัติเป็นเทสนาคามินีเป็นต้น]
   สองบทว่า ปญฺจ เทสนาคามินิโย ได้แก่ ลหุกาบัติ ๕ กอง. 
   สองบทว่า ฉ สปฺปฏิกมฺมา มีความว่า เว้นปาราชิกเสียแล้ว อาบัติที่เหลือ (มีทางจะทำคืนได้). 
   สองบทว่า เอเกตฺถ อปฺปฏิกมฺมา มีความว่า (อาบัติที่ทำคืนไม่ได้ในศาสนานี้ มีอย่างเดียว คือ) อาบัติปาราชิก. 
   หลายบทว่า วินยครุกา เทฺว วุตฺตา ได้แก่ ปาราชิกและสังฆาทิเสส. 
   บทว่า กายวาจสิกานิ จ มีความว่า สิกขาบททั้งมวลทีเดียว เป็นไปในทางกายและวาจา. ไม่มีแม้เพียงสิกขาบทเดียว ที่ทรงบัญญัติในมโนทวาร. 
   หลายบทว่า เอโก วิกาเล ธญฺญรโส ได้แก่ ยาดองด้วยเกลือ. จริงอยู่ รสแห่งธัญชาติชนิดหนึ่งนี้แล ควรในวิกาล. 
   หลายบทว่า เอกา ฐตฺติจตุตฺเถน สมฺมติ ได้แก่ สมมติภิกษุผู้สอนภิกษุณี. จริงอยู่ สมมติด้วยญัตติจตุตถกรรมอันเดียวนี้เท่านั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว.
[ปาราชิกทางกายเป็นต้น]
   หลายบทว่า ปาราชิกา กายิกา เทฺว ได้แก่ เมถุนธรรมปาราชิกของภิกษุ และกายสังสัคคปาราชิกของภิกษุณี. 
   สองบทว่า เทฺว สํวาสกภูมิโย มีความว่า ภิกษุทำตนให้เป็นสมานสังวาสก์ด้วยตนเอง, หรือสงฆ์ผู้พร้อมเพรียง ประกาศถอนภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตรนั้นเสีย. 
   แต่ในกุรุนที กล่าวสังวาสกภูมิไว้ ๒ อย่างๆ นี้ คือ ภูมิแห่งสมานสังวาสก์ ๑ ภูมิแห่งนานาสังวาสก์ ๑. 
   สองบทว่า ทฺวินฺนญฺจ รตฺติจฺเฉโท ได้แก่ รัตติจเฉทของภิกษุผู้อยู่ปริวาส ๑ ของภิกษุผู้ประพฤติมานัตต์ ๑. 
   หลายบทว่า ปญฺญตฺตา ทฺวงฺคุลา ทุเว ได้แก่ พระบัญญัติว่าด้วยสองนิ้ว ๒ อย่าง คือ พระบัญญัติที่ว่า (ภิกษุณีเมื่อถือเอาให้สะอาดด้วยน้ำ) พึงถือเอาเพียง ๒ ข้อแห่งนิ้วมือเป็นอย่างยิ่งนี้ ๑ พระบัญญัติที่ว่า ภิกษุไว้ผม ๒ นิ้วหรือ ๒ เดือน นี้ ๑.
[อาบัติเพราะทำร้ายตัวเองเป็นต้น]
   หลายบทว่า เทฺว อตฺตานํ วธิตฺวาน มีความว่า ภิกษุณีทำร้ายตัวเอง ต้องอาบัติ ๒ อย่าง คือ ทำร้าย ร้องไห้ ต้องปาจิตตีย์, ทำร้ายไม่ร้องไห้ ต้องทุกกฏ. 
   หลายบทว่า ทฺวีหิ สงฺโฆ ภิชฺชติ มีความว่า (สงฆ์ย่อมแตกกัน ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ) ด้วยกรรม ๑ ด้วยจับสลาก ๑.
 สองบทว่า เทฺวตฺถ ปฐมาปตฺติกา มีความว่าในวินัยแม้ทั้งสิ้นนี้ มีอาบัติต้องแต่แรกทำ ๒ อย่าง เนื่องด้วยพระบัญญัติแห่งภิกษุและภิกษุณีทั้ง๒ ฝ่าย. แต่โดยประการนอกนี้ ปฐมาปัตติกาบัตินั้น ย่อมมี ๑๘ คือ ของภิกษุ ๙ ของภิกษุณี ๙. 
 หลายบทว่า ญตฺติยา กรณา ทุเว มีความว่า ญัตติกิจมี ๒ คือญัตติที่เป็นกรรมเอง ๑ ญัตติที่เป็นบาทแห่งกรรม ๑, ญัตติกิจย่อมเป็นกรรมเอง ใน ๙ สถาน, ตั้งอยู่โดยความเป็นบาทแห่งกรรมใน ๒ สถาน.
[อาบัติเพราะปาณาติบาตเป็นต้น]
 สองบทว่า ปาณาติปาเต ติสฺโส มีความว่า (ในเพราะปาณาติบาต) ย่อมมีอาบัติ ๓ เหล่านี้ คือ ภิกษุขุดหลุมพรางไว้ ไม่เจาะจง (ผู้ใด), ถ้ามนุษย์ตาย ต้องปาราชิก; ต้องถุลลัจจัย เพราะยักษ์และเปรตตาย, ต้องปาจิตตีย์ เพราะสัตว์ดิรัจฉานตาย. 
 หลายบทว่า วาจา ปาราชิกา ตโย มีความว่า (อาบัติปาราชิก เนื่องด้วยวาจา ๓ คือ) ปาราชิกในวัชชปฏิจฉาทิกาสิกขาบท ๑ ในอุกขิตตานุวัตติกาสิกขาบท ๑ ในอัฏฐวัตถุกาสิกขาบท ๑. 
 แต่ในกุรุนที ท่านกล่าวไว้ ๓ อย่างนี้ คือ ปาราชิกเพราะอทินนาทานและฆ่ามนุษย์ โดยสั่งบังคับ และเพราะอวดอุตริมนุสธรรม. 
 สองบทว่า โอภาสนา ตโย ได้แก่ สังฆาทิเสสเพราะพูดสรรเสริญและติพาดพิงทวารหนักทวารเบา, ถุลลัจจัย เพราะพูดสรรเสริญและติพาดพิงอวัยวะใต้รากขวัญลงมา เหนือช่วงเข่าขึ้นไป เว้นทวารหนักทวารเบาเสีย, ทุกกฏ เพราะพูดสรรเสริญและติพาดพิงอวัยวะเหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้ช่วงเข่าลงมา. 
 สองบทว่า สญฺจริตฺเตน วา ตโย มีความว่า อาบัติ ๓ กองมีเพราะการชักสื่อเป็นเหตุ เหล่านี้ คือ ภิกษุรับคำ พูดชักสื่อ กลับมาบอก ต้องสังฆาทิเสส, รับคำ พูดชักสื่อ ไม่กลับมาบอก ต้องถุลลัจจัย, รับคำ ไม่พูด ชักสื่อ ไม่กลับมาบอก ต้องทุกกฏ.
[บุคคลที่ไม่ควรให้อุปสมบทเป็นต้น]
 หลายบทว่า ตโย ปุคฺคลา น อุปสมฺปาเทตพฺพา มีความว่า (บุคคลอันสงฆ์ไม่พึงให้อุปสมบท ๓ จำพวก คือ) บุคคลผู้มีกาล คือ อายุไม่ครบ ๑ ผู้มีอวัยวะบกพร่อง ๑ ผู้วิบัติโดยวัตถุ ๑. เหตุที่ทำบุคคล ๓ จำพวกนั้นให้ต่างกัน ได้กล่าวแล้ว. 
 อีกประการหนึ่ง ในบุคคล ๓ จำพวกนี้ บุคคลใด ไม่บริบูรณ์ด้วยบาตรและจีวร และบุคคลใด บริบูรณ์แต่ไม่ขอ, บุคคลเหล่านี้แล ท่านสงเคราะห์ ด้วยบุคคลผู้มีอวัยวะบกพร่องโดยเฉพาะ. ฝ่ายบุคคลผู้มีความกระทำเลวทราม มีผู้ฆ่ามารดาเป็นต้น พึงทราบว่าสงเคราะห์ ด้วยบุคคลผู้วิบัติโดยวัตถุโดยเฉพาะ
กล่าวคือ บัณเฑาะก์อุภโตพยัญชนก และสัตว์ดิรัจฉาน.
จริงอยู่ นัยนี้ ท่านกล่าวไว้ในกุรุนที. 
 หลายบทว่า ตโย กมฺมานํ สงฺคหา ได้แก่ (กรรมสังคหะ ๓ อย่างคือ) วาจากำหนดญัตติ คำประธานที่ทำค้าง คำระบุกรรมที่เสร็จไปแล้ว. 
 ในกรรมสังคหะ ๓ นั้น กรรมทั้งหลายอันท่านสงเคราะห์ด้วยลักษณะ ๓ เหล่านี้ คือ วาจาที่สวดต่างโดยคำว่า ทเทยฺย กเรยฺย เป็นอาทิ ชื่อว่าวาจากำหนดญัตติ. คำสวดประกาศต่างโดยคำว่า เทติ กโรติ เป็นอาทิ ชื่อว่าคำประธานที่ทำค้าง, คำสวดประกาศต่างโดยคำว่า ทินฺนํ กตํ เป็นอาทิ ชื่อว่าคำระบุกรรมที่เสร็จไปแล้ว. 
 กรรมทั้งหลายอันท่านสงเคราะห์ด้วยลักษณะ ๓ แม้อื่นอีก คือ ด้วยวัตถุ ญัตติ อนุสาวนา. จริงอยู่ กรรมที่พร้อมด้วยวัตถุ พร้อมด้วยญัตติและพร้อมด้วยอนุสาวนา จึงจัดเป็นกรรมแท้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า กรรมสังคหะมี ๓. 
 ขึ้นชื่อว่า บุคคลที่สงฆ์นาสนะเสีย ท่านกล่าวไว้ ๓ จำพวก ได้แก่ บุคคล ๓ จำพวกที่สงฆ์ให้นาสนะเสีย ด้วยอำนาจลิงคนาสนา สังวาสนาสนาและทัณฑกรรมนาสนา พึงทราบ (โดยบาลี) อย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย จงนาสนะเมตติยาภิกษุณีเสีย, บุคคลผู้ประทุษร้าย สงฆ์พึงให้นาสนะเสีย, สามเณรประกอบด้วยองค์ ๑๐ ภิกษุพึงให้นาสนะเสีย, ท่านทั้งหลายจงให้นาสนะกัณกฏสามเณรเสีย. 
 สองบทว่า ติณฺณนฺนํ เอกวาจิกา มีความว่า อนุสาวนาอันเดียวควรแก่ชน ๓ มีอุปัชฌาย์เดียวกัน ต่างอาจารย์กัน โดยพระบาลีว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเพื่อทำบุคคล ๒-๓ คน ในอนุสาวนาเดียวกัน.
[อาบัติเพราะอทินนาทานเป็นต้น]
 สองบทว่า อทินฺนาทาเน ติสฺโส มีความว่า ในเพราะ (อทินนาทาน) บาทหนึ่ง หรือเกินกว่าบาท เป็นปาราชิก, เกินกว่า ๑ มาสก ต่ำกว่า ๕ มาสก เป็นถุลลัจจัย, ๑ มาสก หรือหย่อนมาสก เป็นทุกกฏ. 
 สองบทว่า จตสฺโส เมถุนปจฺจยา มีความว่า ภิกษุเสพเมถุนในทวารที่สัตว์ยังไม่กัด ต้องปาราชิก. ในทวารที่สัตว์กัดแล้วโดยมาก ต้องถุลลัจจัย, สอดองคชาตเข้าไปในปากที่อ้ามิให้กระทบ ต้องทุกกฏ, ภิกษุณีต้องปาจิตตีย์ เพราะขุนเพ็ดทำด้วยยาง. 
 สองบทว่า ฉินฺทนฺตสฺส ติสฺโส มีความว่า เป็นปาราชิกแก่ภิกษุผู้ (ลัก) ตัดต้นไม้ใหญ่, เป็นปาจิตตีย์ แก่ผู้ตัดภูตคาม, เป็นถุลลัจจัย แก่ผู้ตัดองคชาต. 
 สองบทว่า ปญฺจ ฉฑฺฑิตปจฺจยา มีความว่า ภิกษุทิ้งยาพิษ ไม่เจาะจง ถ้ามนุษย์ตายเพราะยาพิษนั้น ต้องปาราชิก, เมื่อยักษ์และเปรตตาย ต้องถุลลัจจัย, เมื่อสัตว์ดิรัจฉานตาย ต้องปาจิตตีย์. เพราะทิ้ง คือปล่อยสุกกะ เป็นสังฆาทิเสส, เพราะถ่ายอุจจาระและปัสสาวะในของเขียว ต้องทุกกฏ ในเสขิยวัตร, อาบัติ ๕ กองนี้ย่อมมี เพราะวัตถุที่ทิ้งเป็นปัจจัย.
[ปรับอาบัติควบกันเป็นต้น]
   หลายบทว่า ปาจิตฺติเยน ทุกฺกฏา กตา มีความว่า ท่านปรับทุกกฏควบกับปาจิตตีย์ด้วย ในสิกขาบททั้ง ๑๐ ในภิกขุโนวาทกวัคค์. 
   หลายบทว่า จตุเรตฺถ นวกา วุตฺตา มีความว่า ในสิกขาบทที่ ๑ นั่นแล ท่านกล่าวหมวด ๙ ไว้ ๔ หมวดอย่างนี้ คือในกรรมไม่เป็นธรรม ๒ หมวด ในกรรมเป็นธรรม ๒ หมวด. 
   สองบทว่า ทฺวินฺนํปิ จีวเรน จ มีความว่า เพราะจีวรเป็นต้นเหตุ ย่อมเป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้ให้จีวร แก่ภิกษุณี ๒ พวก อย่างนี้ คือ เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ให้จีวรแก่ภิกษุณี ผู้อุปสมบทในสำนักภิกษุทั้งหลาย, เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ให้จีวรแก่ภิกษุณี ผู้อุปสมบทในสำนักภิกษุณีทั้งหลาย.
 ปาฏิเทสนียะ ๘ มาแล้วในบาลีแล.
 หลายบทว่า ภุชนฺตามกธญฺเญน ปาจิตฺติเยน ทุกฺกฏา กตา มีความว่า ท่านปรับทุกกฏควบกับปาจิตตีย์ด้วย แก่ภิกษุณีผู้ออกปากขอข้าวเปลือกฉัน.
[อาบัติเพราะเดินเป็นต้น]
   สองบทว่า คจฺฉนฺตสฺส จตสฺโส มีความว่า เป็นอาบัติ ๔ กองนี้แก่ผู้ไป คือ เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ชวนกันเดินทาง กับภิกษุณี หรือมาตุคาม, เป็นปาจิตตีย์ เมื่อเข้าอุปจารบ้าน, ภิกษุณีใด ไปสู่ละแวกบ้านรูปเดียว เมื่อภิกษุณีนั้น เข้าอุปจารบ้าน เป็นถุลลัจจัย ในย่างเท้าที่ ๑, เป็นสังฆาทิเสสในย่างเท้าที่ ๒. 
   สองบทว่า ฐิตสฺส วาปิ ตตฺตกา มีความว่า อาบัติ ๔ กองนั่นแล ย่อมมีแม้แก่ผู้ยืนอยู่, อย่างไร? อย่างนี้ คือ ภิกษุณี ยืนในหัตถบาสของบุรุษด้วยอำนาจมิตตสันถวะ ในที่มืด หรือในโอกาสกำบัง ต้องปาจิตตีย์, ยืนเว้นหัตถบาส ต้องทุกกฏ. ในเวลาอรุณขึ้น ยืนเว้นหัตถบาสของภิกษุณีซึ่งเป็นเพื่อน ต้องถุลลัจจัย, เว้นหัตถบาสยืน ต้องสังฆาทิเสส. 
   หลายบทว่า นิสินฺนสฺส จตสฺโส อาปตฺติโย นิปนฺนสฺสาปิ ตตฺตกา มีความว่า ก็แม้ถ้าว่า ภิกษุณีนั้น นั่งก็ตาม นอนก็ตาม เธอย่อมต้องอาบัติ ๔ กองนั้นนั่นแล.
[อาบัติมากต้องในเขตเดียวกัน]
   สองบทว่า ปญฺจ ปาจิตฺติยานิ มีความว่า เภสัช ๕ ที่ภิกษุรับประเคนแล้วไม่ปนกัน ใส่ไว้ในภาชนะต่างกันก็ตาม ในภาชนะเดียวกันก็ตาม. เพราะล่วง ๗ วัน ภิกษุนั้น ย่อมต้องปาจิตตีย์หมดทั้ง ๕ ตัว ต่างวัตถุกันในขณะเดียวกัน. ไม่พึงกล่าวว่า ต้องอาบัตินี้ก่อน อาบัตินี้ภายหลัง. 
   สองบทว่า นว ปาจิตฺติยานิ มีความว่า ภิกษุใด ออกปากขอโภชนะประณีต ๙ อย่าง เคล้าคำข้าวคำหนึ่ง รวมกันกับโภชนะประณีตเหล่านั่นเทียว เปิบเข้าปาก ให้ล่วงลำคอเข้าไป, ภิกษุนี้ ย่อมต้องปาจิตตีย์ หมดทั้ง ๙ ตัว ต่างวัตถุกัน ในขณะเดียวกัน. ไม่พึงกล่าวว่า ต้องอาบัตินี้ก่อน อาบัตินี้ภายหลัง.
[วิธีแสดงอาบัติ]
   สองบทว่า เอกวาจาย เทเสยฺย มีความว่า ภิกษุพึงแสดงด้วยวาจาอันเดียว อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้ารับประเคนเภสัช ๕ ให้ล่วง ๗ วันไป ต้องอาบัติ ๕ จึงแสดงคืนอาบัติเหล่านั้นในสำนักท่าน อาบัติเหล่านั้น เป็นอันเธอแสดงแล้วแท้ ; ไม่มีกิจที่จะต้องทำด้วยวาจา ๒-๓ ครั้ง. แม้ในวิสัชนาที่ ๒
ก็พึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าออกปากขอโภชนะประณีต ๙ อย่างฉัน ต้องอาบัติ ๙ จึงแสดงคืนอาบัติเหล่านั้น ในสำนักท่าน. 
   หลายบทว่า วตฺถุํ กิตฺเตตฺวา เทเสยฺย มีความว่า พึงแสดงระบุวัตถุ อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้ารับประเคนเภสัช ๕ ให้ล่วง ๗ วันไป, ข้าพเจ้าแสดงอาบัติเหล่านั้นตามวัตถุ ในสำนักท่าน. อาบัติทั้งหลาย เป็นอันภิกษุนั้นแสดงแล้วแท้. ไม่มีกิจที่จะต้องระบุชื่ออาบัติ. แม้ในวิสัชนาที่ ๒ ก็พึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าออกปากขอโภชนะประณีต ๙ อย่าง ฉันแล้ว, ข้าพเจ้าแสดงคืนอาบัติเหล่านั้น ตามวัตถุ ในสำนักท่าน.
[ยาวตติยกาบัติเป็นต้น]
   สองบทว่า ยาวตติยเก ติสฺโส มีความว่า อาบัติ ๓ กองในยาวตติยกะเหล่านี้ คือ เป็นปาราชิกแก่ภิกษุณีผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร, เป็นสังฆาทิเสส แก่ภิกษุทั้งหลาย มีพระโกกาลิกะเป็นต้น ผู้ประพฤติตามพระเทวทัตต์ผู้ทำลายสงฆ์ และเป็นปาจิตตีย์แก่นางจัณฑกาฬีภิกษุณี เพราะไม่สละทิฏฐิลามก. 
   สองบทว่า ฉ โวหารปจฺจยา มีความว่า ภิกษุย่อมต้องอาบัติ ๖ มีวาจาที่ตนประกอบเป็นปัจจัย. อย่างไร? อย่างนี้ คือ เพราะอาชีวะเป็นเหตุ เพราะอาชีวะเป็นการณ์ ภิกษุมีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาลามกครอบงำแล้ว อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มี ไม่จริง ต้องปาราชิก, เพราะอาชีวะเป็นเหตุ
เพราะอาชีวะเป็นการณ์ ภิกษุถึงความชักสื่อ ต้องสังฆาทิเสส, เพราะอาชีวะเป็นเหตุ เพราะอาชีวะเป็นการณ์ (อวดโดยปริยายว่า) ภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่าน ฯลฯ ต้องถุลลัจจัย, เพราะอาชีวะเป็นเหตุ เพราะอาชีวะเป็นการณ์ ภิกษุออกปากขอโภชนะประณีต เพื่อประโยชน์แก่ตนฉัน ต้องปาจิตตีย์, เพราะอาชีวะ
เป็นเหตุ เพราะอาชีวะเป็นการณ์ ภิกษุณีออกปากขอโภชนะประณีต เพื่อประโยชน์แก่ตนฉัน ต้องปาฏิเทสนียะ,
เพราะอาชีวะเป็นเหตุ เพราะอาชีวะเป็นการณ์ ภิกษุไม่อาพาธ ออกปากขอแกงหรือข้าวสุก
เพื่อประโยชน์แก่ตนฉัน ต้องทุกกฏ. 
   สองบทว่า ขาทนฺตสฺส ติสฺโส มีความว่า ภิกษุต้องถุลลัจจัย เพราะเนื้อมนุษย์, ต้องทุกกฏ
เพราะอกัปปิยมังสะที่เหลือ, เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุณี เพราะกระเทียม. 
   สองบทว่า ปญฺจ โภชนปจฺจยา มีความว่า ภิกษุณีผู้กำหนัดรับโภชนะจากมือของบุคคลคือบุรุษผู้กำหนัด
เติมเคล้าให้ระคนกันกลืนเข้าไป, อนึ่ง ถือเอาเนื้อมนุษย์ กระเทียม โภชนะประณีตที่ตนออกปากขอ
เพื่อประโยชน์แก่ตน และอกัปปิยมังสะที่เหลือ เติมเคล้าให้ระคนกันกลืนเข้าไป, ย่อมต้องอาบัติ ๕
มีโภชนะเป็นปัจจัย เหล่านี้ คือ สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ.
                            [ฐานะ ๕ แห่งยาวตติยกาบัติเป็นต้น]
   สองบทว่า ปญฺจ ฐานานิ มีความว่า ยาวตติยกาบัติทั้งปวง ย่อมถึงฐานะ ๕ อย่างนี้ คือ สำหรับภิกษุณี
ผู้ประพฤติตามภิกษุอันสงฆ์ยกวัตร ไม่ยอมสละ ด้วยวาจาประกาศเพียงครั้งที่ ๓ เพราะญัตติ ต้องทุกกฏ,
เพราะกรรมวาจา ๒ ต้องถุลลัจจัย, ในที่สุดแห่งกรรมวาจา ต้องปาราชิก, [สำหรับภิกษุ] เพราะบากบั่น
เพื่อทำลายสงฆ์เป็นต้น เป็นสังฆาทิเสส และเพราะไม่ยอมสละทิฏฐิลามกเป็นปาจิตตีย์.
   สองบทว่า ปญฺจนฺนญฺเจว อาปตฺติ มีความว่า ขึ้นชื่อว่าอาบัติย่อมมีแก่สหธรรมิกทั้ง ๕. ในสหธรรมิกทั้ง ๕
นั้น โดยนิปปริยาย อาบัติย่อมมีแก่ภิกษุและภิกษุณี ๒ พวกเท่านั้น. แต่สำหรับนางสิกขมานาสามเณร
และสามเณรี อาบัติย่อมมีโดยปริยายนี้ว่า ความเป็นของไม่ควร ย่อมไม่ควร. สหธรรมิก ๓ นั้น ภิกษุไม่พึง
ให้แสดงอาบัติ, แต่พึงลงทัณฑกรรมแก่พวกเธอ.
   สองบทว่า ปญฺจนฺนํ อธิกรเณน จ มีความว่า ก็แลอธิกรณ์ย่อมมีแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ เหมือนกัน.
   จริงอยู่ วินิจฉัยโวหาร เพื่อประโยชน์แก่บริขารมีบาตรและจีวรเป็นต้น ของสหธรรมิกทั้ง ๕ นั่นแล
เรียกว่าอธิกรณ์ ส่วนวินิจฉัยโวหาร ของคฤหัสถ์ ย่อมจัดเป็นอัฏฏกรรม (คือการว่าคดี).
   หลายบทว่า ปญฺจนฺนํ วินิจฺฉโย โหติ มีความว่า ขึ้นชื่อว่าวินิจฉัยของสหธรรมิกทั้ง ๕ เหล่านั่นเอง ก็มีอยู่.
   สองบทว่า ปญฺจนฺนํ วูปสเมน จ มีความว่า อธิกรณ์ของสหธรรมิกทั้ง ๕ เหล่านั่นแล ที่ได้วินิจฉัยแล้ว
ชื่อว่าเป็นอันระงับไป.
   สองบทว่า ปญฺจนฺนญฺเจว อนาปตฺติ มีความว่า ขึ้นชื่อว่าอนาบัติ ย่อมมีแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ เหล่านั่นแล.
   หลายบทว่า ตีหิ ฐาเนหิ โสภติ มีความว่า ภิกษุย่อมงามโดยเหตุ ๓ มีสงฆ์เป็นต้น.
   จริงอยู่ บุคคลผู้กระทำความละเมิดแล้วกระทำคืนอาบัติที่ยังทำคืนได้ ในท่ามกลางสงฆ์ หรือในท่ามกลาง
คณะหรือในสำนักบุคคล ย่อมเป็นผู้มีศีลใหม่เอี่ยม กลับตั้งอยู่ตามเดิม. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ย่อมงามโดยสถาน ๓.
                            [อาบัติทางกายในราตรีเป็นต้น]
   หลายบทว่า เทฺว กายิกา รตฺตึ มีความว่า ภิกษุณี ต้องอาบัติทางกายทวารเป็นแดนเกิด ๒ อย่าง
ในราตรี คือ เมื่อสำเร็จการยืนนั่งและนอน ในหัตถบาสของบุรุษ ในเวลามืดๆ ค่ำๆ ต้องปาจิตตีย์;
เมื่อสำเร็จการยืนเป็นอาทิ ละหัตถบาส ต้องทุกกฏ.
   หลายบทว่า เทฺว กายิกา ทิวา มีความว่า ภิกษุณี ต้องอาบัติ ๒ กอง ในโอกาสที่กำบัง ในเวลากลางวัน
โดยอุบายนั้นแล.
   หลายบทว่า นิชฺฌนฺตสฺส เอกา อาปตฺติ มีความว่า อาบัติกองเดียวนี้ ย่อมมีแก่ภิกษุผู้เพ่งดู [โดยบาลี]
ว่า ภิกษุทั้งหลาย ก็แลอันภิกษุผู้กำหนัดแล้ว ไม่พึงเพ่งดูองค์กำเนิดแห่งมาตุคาม ภิกษุใดพึงเพ่งดู ภิกษุนั้นต้องทุกกฏ.
   สองบทว่า เอกา ปิณฺฑปาตปจฺจยา ได้แก่ อาบัติทุกกฏที่ตรัสในบาลีนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ก็แลอันภิกษุไม่พึง
แลดูหน้า ของทายิกาผู้ถวายภิกษา. จริงอยู่ โดยที่สุด แลดูหน้าแม้ของสามเณรผู้ถวายข้าวต้มหรือกับข้าว
ก็เป็นทุกกฏเหมือนกัน.
   แต่ในกุรุนทีกล่าวว่า คำว่า อาบัติกองเดียว เพราะบิณฑบาตเป็นปัจจัย
   ได้แก่ เป็นปาจิตตีย์ แก่ภิกษุฉันบิณฑบาตซึ่งภิกษุณีแนะนำให้ถวาย.
                           [ภิกษุที่สงฆ์ยกวัตรเป็นต้น]
   สองบทว่า อฏฺฐานิสํเส สมฺปสฺสํ ได้แก่ อานิสงส์ที่ตรัสไว้ในโกสัมพิกขันธกะ.
   หลายบทว่า อุกฺขิตฺตกา ตโย วุตฺตา ได้แก่ (ภิกษุที่สงฆ์ยกวัตร ๓ พวก เพราะเหตุ ๓ ประการ คือ)
เพราะไม่เห็นอาบัติ ๑ เพราะไม่ทำคืน ๑ เพราะไม่ยอมสละทิฏฐิลามก ๑.
   สองบทว่า เตจตฺตาฬีส สมฺมาวตฺตนา ได้แก่ ความประพฤติชอบ ในวัตรทั้งหลาย มีประมาณเท่านั้น
ของภิกษุที่ถูกสงฆ์ยกวัตรเหล่านั้นนั่นแล.
   สองบทว่า ปญฺจฏฺฐาเน มุสาวาโท มีความว่า มุสาวาท ย่อมถึงฐานะ ๕ กล่าวคือ ปาราชิก สังฆาทิเสส
ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์และทุกกฏ.
   หลายบทว่า จุทฺทส ปรมนฺติ วุจฺจติ ได้แก่ สิกขาบทที่กล่าวแล้วในหนหลัง โดยนัยมี ๑๐ วันอย่างยิ่ง เป็นอาทิ.
   สองบทว่า ทฺวาทส ปาฏิเทสนียา ได้แก่ ปาฏิเทสนียะของภิกษุ ๔ ของภิกษุณี ๘.
   สองบทว่า จตุนฺนํ เทสนาย จ มีความว่า การแสดงโทษล่วงเกินของบุคคล ๔ จำพวก.
   ถามว่า ก็การแสดงโทษล่วงเกิน ๔ อย่างนั้น คือข้อไหนบ้าง? คือ ชื่อว่า การแสดงโทษล่วงเกินของบุคคล
๔ จำพวกนี้ คือการแสดงโทษล่วงเกินของนายขมังธนูผู้มุ่งไปฆ่า ซึ่งพระเทวทัตต์จัดส่งไป การแสดงโทษล่วงเกิน
   แห่งอุปัฏฐายิกาของพระอนุรุทธเถระ การแสดงโทษล่วงเกินของวัฑฒลิจฉวี การแสดงโทษล่วงเกินของ
ภิกษุทั้งหลาย ผู้กระทำอุกเขปนียกรรมแก่พระวาสภคามิยัตเถระแล้วกลับมา.
                            [มุสาวาทมีองค์ ๘ เป็นต้น]
   สองบทว่า อฏฐงฺคิโก มุสาวาโท มีความว่า มุสาวาทที่ประกอบด้วยองค์ ๘ ตั้งต้นแต่องค์ที่ว่า ก่อนแต่พูด ผู้นั้น
   มีความคิดว่า เราจักพูดปด ดังนี้ มีองค์ว่า ยันความจำ เป็นที่สุดจัดว่ามุสาวาท ประกอบด้วยองค์ ๘.
   แม้องค์อุโบสถ ๘ ก็ได้กล่าวแล้ว โดยนัยมีคำว่า ไม่พึงฆ่าสัตว์ เป็นอาทิ.
   สองบทว่า อฏฺฐ ทูเตยฺยงฺคานิ ได้แก่ (องค์เกื้อกูลแก่ความเป็นทูต ๘ ประการ) อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้ในสังฆเภทกขันธกะ โดยนัยมีคำว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้ฟังเอง
และให้ผู้อื่นฟังเป็นอาทิ.
                            ติตถิยวัตร ๘ ได้กล่าวแล้วในมหาขันธกะ.
   คำว่า อุปสัมปทา มีวาจา ๘ ท่านกล่าวหมายถึงอุปสมบทของภิกษุณีทั้งหลาย.
   สองบทว่า อฏฺฐนฺนํ ปจฺจุฏฺฐาตพฺพํ มีความว่า ภิกษุณีทั้งหลายนอกนี้ พึงลุกขึ้นให้อาสนะแก่ภิกษุณี ๘ รูป ในหอฉัน.
   สองบทว่า ภิกฺขุโนวาทโก อฏฺฐหิ มีความว่า ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ อันสงฆ์พึงสมมติให้เป็นผู้สอนภิกษุณี.
  วินิจฉัยในคาถาว่า เอกสฺส เฉชฺชํ พึงทราบดังนี้ :- 
   ในชน ๙ ภิกษุใด ให้จับสลากทำลายสงฆ์ ความขาด ย่อมมีแก่ภิกษุนั้นแล คือ ย่อมต้องปาราชิกเหมือนอย่าง
พระเทวทัตต์. เป็นถุลลัจจัย แก่บุคคล ๔ คน ผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ เหมือนภิกษุทั้งหลายมี
พระโกกาลิกะเป็นต้น. ไม่เป็นอาบัติแก่บุคคล ๔ คน ผู้เป็นธรรมวาที. ก็อาบัติและอนาบัติเหล่านี้
ของคนทั้งปวง มีวัตถุอันเดียวกัน คือ มีสังฆเภทเป็นวัตถุเท่านั้น.
                            [กรรมเนื่องด้วยญัตติเป็นต้น]
  วินิจฉัยในคาถาว่า นว อาฆาตวตฺถูนิ พึงทราบดังนี้ :-
   บทว่า นวหิ มีความว่า สงฆ์ย่อมแตกกัน เพราะภิกษุ ๙ รูป.
   หลายบทว่า ญตฺติยา การณา นว มีความว่า กรรมที่สงฆ์พึงทำด้วยญัตติ มี ๙ อย่าง.
  คำที่เหลือ ตื้นทั้งนั้น.
   หลายบทว่า ทส ปุคฺคลา นาภิวาเทตพฺพา ได้แก่ ชน (ที่ไม่ควรไหว้) ๑๐ จำพวก ที่ตรัสไว้ ในเสนาสนขันธกะ.
   สองบทว่า อญฺชลิสามิเจน จ มีความว่า อัญชลีกรรมพร้อมทั้งสามีจิกรรม อันภิกษุไม่พึงทำแก่ชน
๑๐ จำพวกนั้น. อธิบายว่า วัตรในขันธกะมีถามถึงน้ำดื่มและฉวยพัดใบตาลเป็นต้น อันภิกษุไม่พึงแสดงแก่ชน
๑๐ จำพวกนั้น อัญชลีก็ไม่พึงประคอง.
   สองบทว่า ทสนฺนํ ทุกกฏํ มีความว่า เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ทำอย่างนั้น แก่คน ๑๐ จำพวกนั้นแล.
   สองบทว่า ทส จีวรธารณา มีความว่า อนุญาตให้ทรงอติเรกจีวรไว้ ๑๐ วัน.
   หลายบทว่า ปญฺจนฺนํ วสฺสํ วุตฺถานํ ทาตพฺพํ อิธ จีวรํ ได้แก่ พึงให้ต่อหน้าสหธรรมิกทั้ง ๕ ทีเดียว.
   สองบทว่า สตฺตนฺนํ สนฺเต มีความว่า เมื่อมีผู้รับแทนที่สมควร พึงให้ลับหลังก็ได้ แก่ชน ๗ จำพวกนี้
คือ ภิกษุผู้หลีกไปต่างทิศ ภิกษุบ้า ภิกษุผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ภิกษุผู้ถูกเวทนาครอบงำ และภิกษุสงฆ์ยกวัตร ๓ พวก.
   สองบทว่า โสฬสนฺนํ น ทาตพฺพํ มีความว่า ไม่ควรให้แก่ชนที่เหลือ ๑๖ จำพวกมีบัณเฑาะก์เป็นต้น
ที่ตรัสไว้ ในจีวรขันธกะ. 
   หลายบทว่า กติสตํ รตฺติสตํ อาปตฺตึ ฉาทยิตฺวาน มีความว่า ภิกษุปิดอาบัติกี่ร้อย ไว้ร้อยราตรี. 
   หลายบทว่า ทสสตํ รตฺติสตํ อาปตฺตึ ฉาทยิตฺวาน มีความว่า ภิกษุปิดอาบัติ ๑ พัน ไว้ร้อยราตรี. 
               ก็ความสังเขปในคำนี้ ดังต่อไปนี้ :- 
   ภิกษุใด ต้องอาบัติสังฆาทิเสสวันละร้อย ปิดไว้ร้อยละ ๑๐ วัน. อาบัติ ๑ พัน ย่อมเป็นอันภิกษุนั้น
ปิดไว้ร้อยราตรี. ภิกษุนั้น พึงขอปริวาสว่า อาบัติเหล่านั้นทั้งหมดเทียว ข้าพเจ้าปิดไว้ ๑๐ วัน แล้วเป็น
ปาริวาสิกะ อยู่ปริวาส ๑๐ ราตรี พึงพ้นได้.
                            [ว่าด้วยกรรมโทษเป็นอาทิ]
   หลายบทว่า ทฺวาทส กมฺมโทสา วุตฺตา มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกรรมโทษ ๑๒ นับกรรมละ ๓ๆ
ในกรรม ๑ๆ อย่างนี้คือ อปโลกนกรรม เป็นวรรคโดยอธรรม พร้อมเพรียงโดยอธรรม เป็นวรรคโดยธรรม;
แม้ญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม ญัตติจตุตถกรรม ก็เหมือนกัน. 
   สองบทว่า จตสฺโส กมฺมสมฺปตฺติโย มีความว่า กรรมสมบัติที่ตรัสไว้ ๔ ประการ อย่างนี้ คือ อปโลกนกรรม
พร้อมเพรียงโดยธรรม แม้กรรมที่เหลือ ก็เหมือนกัน. 
   สองบทว่า ฉ กมฺมานิ มีความว่า กรรม ๖ อย่าง ที่ตรัสไว้อย่างนี้ คือ กรรมไม่เป็นธรรม กรรมเป็นวรรค
กรรมพร้อมเพรียง กรรมเป็นวรรค โดยอาการเทียมธรรม กรรมพร้อมเพรียงโดยอาการเทียมธรรม
กรรมพร้อมเพรียง โดยธรรม. 
   หลายบทว่า เอเกตฺถ ธมฺมิกา กตา มีความว่า ในกรรม ๖ อย่างนี้ กรรมพร้อมเพรียงโดยธรรม
อย่างเดียวเท่านั้น ตรัสเป็นกรรมที่ชอบธรรม. 
   แม้ในคำตอบในคาถาที่ ๒ กรรมพร้อมเพรียงกันโดยธรรมนั่นแล ก็เป็นกรรมชอบธรรม (เหมือนกัน).
                            [ว่าด้วยอาบัติระงับและไม่ระงับ]
   สองบทว่า ยํ เทสิตํ มีความว่า กองอาบัติเหล่าใด อันพระอนันตชินเจ้าทรงแสดงแล้วตรัสแล้ว คือประกาศแล้ว. 
   วินิจฉัยในคำว่า อนนฺตชิเนน เป็นต้น พึงทราบดังนี้ :- 
   นิพพานเรียกว่า อนันตะ เพราะเว้นจากความเป็นธรรมมีที่สุดรอบที่บัณฑิตจะกำหนดได้.
   นิพพานนั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปราบปรามกองกิเลส ชำนะแล้ว ชำนะเด็ดขาดแล้ว คือบรรลุแล้ว
ถึงพร้อมแล้ว เปรียบเหมือนราชสมบัติอันพระราชาทรงปราบปรามหมู่ข้าศึกได้แล้วฉะนั้น.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า บัณฑิตจึงขนานพระนามว่า อนันตชินะ. 
   พระอนันตชินะนั้นแล ชื่อว่าผู้คงที่ เพราะเป็นผู้ไม่มีวิการ ในเพราะอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์.
พระองค์ทรงเห็นวิเวก ๔ กล่าวคือตทังควิเวก วิกขัมภนวิเวก สมุจเฉทวิเวก ปฏิปัสสัทธิวิเวก และนิสสรณวิเวก
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าผู้เห็นวิเวก. กองอาบัติเหล่าใด อันพระอนันตชินะ ผู้คงที่ผู้เห็นวิเวกนั้นทรงแสดงแล้ว. 
   ในคำว่า เอเกตฺถ สมฺมติ วินา สมเถหิ นี้ มีบทสัมพันธ์ดังนี้ :- 
   กองอาบัติ ๗ เหล่าใด อันพระศาสดาทรงแสดงแล้ว ในกองอาบัติ ๗ นั้น อาบัติแม้กองหนึ่ง เว้นจาก
สมถะทั้งหลายเสีย หาระงับไม่. โดยที่แท้ ธรรมเหล่านี้แม้ทั้งหมด คือ สมถะ ๖ อธิกรณ์ ๔ ย่อมระงับ
คือย่อมถึงความประกอบโดยชอบ ด้วยสัมมุขาวินัย. แต่ในธรรมเหล่านี้ สัมมุขาวินัยอย่างเดียวแล เว้นสมถะ
ทั้งหลายเสียย่อมระงับ คือ ย่อมถึงความเป็นสมถะได้. จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่าความเว้นจากสมถะอื่นเสีย สำเร็จไม่ได้
แห่งสัมมุขาวินัยนั้น หามีไม่ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ในอาบัติ ๗ กองนี้ อาบัติกองหนึ่ง เว้นสมถะเสียก็
ระงับได้. เนื้อความนี้ ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายโดยอธิบายนี้ก่อน. แต่ข้าพเจ้าถือเอาเนื้อความ
เพียงปฏิเสธแห่งนิบาต คือวินา ชอบใจเนื้อความนี้ที่ว่า
      ข้อว่า เอเกตฺถ สมฺมติ วินา สมเถหิ
      มีความว่า ในอาบัติ ๗ กองนั่น กองอาบัติปาราชิกกองเดียว เว้นสมถะเสีย ก็ระงับได้
      คือ ย่อมระงับด้วยสมถะทั้งหลายหามิได้. จริงอยู่ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสคำนี้ว่า อาบัติใด
ไม่มีส่วนเหลือ อาบัตินั้น ย่อมระงับด้วยอธิกรณ์ไหน หามิได้ ย่อมระงับในสถานไหน หามิได้
ย่อมระงับด้วยสมถะไหน หามิได้.
                            [ผู้ทำลายสงฆ์ไปสู่อบาย]
   บทว่า ฉอูนทิยฑฺฒสตา มีความว่า พึงทราบบุคคลผู้ทำลายสงฆ์ ต้องไปสู่อบาย ๑๔๔ พวก ด้วยอำนาจ
หมวดแปด ๑๘ หมวดเนื่องด้วยเภทกรวัตถุ ๑๘ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในสังฆเภทขันธกะอย่างนี้ว่า อุบาลี
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีความเห็นในประเภทแห่งอธัมมทิฏฐินั้น ว่า ไม่เป็นธรรม มีความเห็นในประเภทแห่ง
อธัมมทิฏฐินั้น ว่า เป็นธรรม มีความสงสัยในประเภทแห่งอธัมมทิฏฐินั้น มีความเห็นในประเภทแห่งธัมมทิฏฐิ
นั้นว่า เป็นอธรรม มีความสงสัยในประเภทแห่งธัมมทิฏฐินั้น มีความเห็นในประเภทแห่งผู้มีความสงสัยนั้น
ว่า เป็นอธรรม มีความเห็นในประเภท แห่งผู้มีความสงสัยนั้น ว่า เป็นธรรม มีความสงสัยในประเภทแห่ง
ผู้มีความสงสัยนั้น ย่อมแสดงอธรรม ว่าเป็นธรรม. 
   สองบทว่า อฏฺฐารส นาปายิกา ได้แก่ ชน ๑๘ พวก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ในที่สุดแห่งสังฆเภทขันธกะ
นับหมวดละพวกอย่างนี้ว่า อุบาลี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีความเห็นในประเภทแห่งธัมมทิฏฐินั้น ว่า เป็นธรรม
ไม่ยืนยันความเห็น ไม่อิงความพอใจ ไม่อิงความชอบใจ ย่อมแสดงธรรม ว่า เป็นธรรม ย่อมสวดประกาศ
ให้จับสลาก ด้วยคำว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นสัตถุศาสนา ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้ จงชอบใจสลากนี้
อุบาลี ภิกษุแม้นี้แลเป็นผู้ทำลายสงฆ์ แต่หาไปสู่อบายไม่ หาไปสู่นรกไม่ หาตั้งอยู่ตลอดกัลป์ไม่ มิใช่ผู้เยียวยาไม่ได้. 
               หมวดแปด ๑๘ หมวด ได้กล่าวเสร็จแล้วในคำวิสัชนาด้วยบุคคลผู้ทำลายสงฆ์ ๑๔๔ พวก. 
               วิสัชนาคาถาทั้งปวง มีว่า กติ กมฺมานิ เป็นต้น ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล.
               อปรทุติยคาถาสังคณิกวัณณนา จบ.