Translate

15 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 4 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖      
      
ซิ่วแชองค์นี้ คือเทวดาดาวอายุยืน ท่านเป็นมิตรสหายกันกับฮกแชแลลกแช ซิวแชเธอสำเร็จภาคอย่างวิเศษอายุยืนชั่วกัลป์ เมื่อเห้งเจียทำลายโค่นต้นยิ่นเซียมก๊วย ท่านติ๋นหงวนต้ายเซียนให้เห้งเจียไปเที่ยวหายามาแก้ให้กลับฟื้นคืนเป็นมายังเดิม จึงได้สิ้นความโกรธเคืองกัน ครั้นพระโพธิสัตว์กวนอิม มาชุบต้นยิ่นเซียมก๊วยฟื้นแล้ว ซิ่วแชก็พร้อมด้วยท่านฮกแชแลลกแช พากันกลับไปยังสำนักเกาะพ้องโล้ยังเดิม
ปิศาจยักษ์ อึ่งเพ้าใต้อ๋องตนนี้ เดิมคือดาวกุยแช อยู่ในหมู่ดาว ๒๘ ดวงบนสวรรค์ เมื่อครั้งก่อนนั้นผูกสมัครรักใคร่กันกับนางฟ้าองค์หนึ่ง ซึ่งมีนามว่าเง็กหนึง นางเง็กหนึงจุติลงมาเอากำเนิดเปนพระราชธิดาของพระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊ก อึ่งเพ้าปิศาจยักษ์ก็จุติตามลงมาอาศัยที่เขาอั๊วจือซัว แลลักเอาราชบุตรีของเจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กไปเป็นภรรยา ภายหลังได้รบกันกับเห้งเจีย เง็กเซียงฮ่องเต้ให้หมู่ดาวยี่สิบแปดดวงลงมาตามตัวกลับขึ้นไปอยู่สวรรค์เปนดาวอยู่ตามเดิม
พระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กพระองค์นี้ พระองค์ครองราชสมบัติตามทางทศพิธราชธรรม ปกครองฝูงราษฎร์ในพระราชอาณาเขตของพระองค์ให้อยู่เย็นเป็นสุขทั่วหน้าประชาชน พระองค์มีพระราชบุตรีสามพระองค์ พระองค์ที่สามทรงพระนามว่าแปะฮวยเซียว ๆ นี้ถูกอึ่งเพ้าใต้อ๋องปิศาจยักษ์จับเอาไปเป็นเมียอยู่ในถ้ำสิบสามปี เกิดบุตรด้วยอึ่งเพ้าสองคน ขายหนึ่งหญิงหนึ่ง ภายหลังพบกับพระถังซัมจั๋งแลสานุศิษย์ทั้งสามคน ช่วยเป็นธุระแก้ไขรบพุ่งแก่ปิศาจอึ่งเพ้า นางจึงได้กลับไปยังสถานบ้านเมืองตามเดิม
นางเง็กนึ้งฮวยเซียวนี้เดิมเป็นนางฟ้า อยู่ในวิมานตำหนักทีเฮียง มีจิตปฏิพัทธ์ผูกรักกับดาวกุยแช นางจึงได้จุติลงมาเอากำเนิด เป็นราชธิดาแห่งพระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊ก เป็นพระราชบุตรีที่สามทรงพระนามว่า เง็กนึ้งกงจู๊ อึ่งเพ้าปิศาจยักษ์จึงได้ลักไปไว้เป็นภรรยา เกิดบุตรด้วยอึ่งเพ้าสองคนเป็นขายหนึ่งหญิงหนึ่ง เห้งเจียไปปราบอึ่งเพ้าได้จึงได้พานางเง็กนึ้งกงจู๊กลับไปบ้านเมือง อึ่งเพ้าก็กลับไปเป็นดาวกุยแชอยู่ตามเดิม
กิมกั๊กใต้อ๋อง เดิมเป็นสานุศิษย์ของท่านท้ายเสียงเล่ากุน กิมกั๊กเป็นผู้รักษาเบ้าทอง ที่ลักเอาของวิเศษของท้ายเสียงเล่ากุนไปหนีลงมาเกิดในมนุษย์โลก ตั้งตัวเป็นอ๋องอยู่ตำบลเขาเพ่งเต๊งซัวถ้ำเน่ยฮวยต๋อง สกัดจับพระถังซัมจั๋งไปขังไว้ในถ้ำเน่ยฮวยต๋อง เห้งเจียแผลงฤทธิ์ไปจับตัวได้ ท้ายเสียงเล่ากุนต้องลงมาตามขอโทษเห้งเจีย พากลับไปอยู่วิมานดุสิตตามเดิม
งึ้นกั๊กใต้อ๋องตนนี้ เดิมเป็นสานุศิษย์ของท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุน ร่วมคิดกันกับกิมกั๊กลักเอาของวิเศษของท้ายเสียงเล่ากุนพรหมไปจุติลงมาเกิด อาศัยตั้งตัวอยู่ในตำบลเขาเพ่งเต๊งซัวตั้งตัวเปนอ๋อง ทั้งสองคนนี้แผลงฤทธานุภาพ จับพระถังซัมจั๋งไปไว้ในถ้ำ เห้งเจียตามไปพบได้สู้รบกันโดยความสามารถ เห้งเจียจับได้ ท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุนลงมาขอโทษพาไปไว้ยังชั้นดุสิตตามเดิม
อาชิตใต้อ๋องตนนี้ กำเนิดเดิมเป็นเสือปลา ได้รักษาศีลภาวนาอยู่ที่เขาน่ำซัวช้านาน จึงได้สำเร็จภาคเนรมิตบิดเบีอนเปลี่ยนแปลงกายได้ต่าง ๆ กิมกั๊กงึ้นกั๊กใต้อ๋องทั้งสอง นับอาชิดใต้อ๋องว่าเป็นน้าชาย เมื่อกิมกั๊กงึ้นกั๊กใต้อ๋องทั้งสองรบกับเห้งเจียสู้เห้งเจียไม่ได้ กิมกั๊กงึ้นกั๊กทั้งสองจึงได้ไปเชิญอาชิดใต้อ๋องผู้น้าให้มาช่วย ถูกเห้งเจียโป๊ยก่ายสับด้วยคราดเหล็ก จึงได้ถึงแก่ความตาย
เจ้าเมืองโอเกยก๊กพระองค์นี้ ครองราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรม มีพระทัยเมตตาปราณีแก่ประชาราษฎร สมัยนั้นฝนแล้งบังเกิดการกันดารเข้าปลาอาหารแพง พระองค์จึงได้ตั้งพิธีฃอฝน มีปิศาจช่วนจินแปลงกายเป็นฤาษีวุ เต้าหยินมาช่วยเรียกฝนเรียกลม ครั้นฝนและลมมีมาดังประสงค์ ราษฎรได้ความสุข พระองค์จึงได้ทรงนับถือเต้าหยินเป็นมิตรสหาย ภายหลังช่วนจินผลักพระองค์ลงในสระ ช่วนจินชิงเอาสมบัติขึ้นครองเมือง พระถังซัมจั๋งมาถึงเมือง รู้เหตุจึงให้เห้งเจียช่วยพระองค์ได้กลับคืนครองราชสมบัติไปตามเดิม
ช่วนจินเต้าหยินผู้นี้ เดิมกำเนิดเป็นราชสีห์ของพระโพธิสัตว์บุญซู้ขี่พาหนะ เธอแปลงกายลงมาเป็นเต้าหยิน ผูกสมัครรักใคร่เป็นมิตรสหายกับพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กได้สองสามปี จึงคิดประทุษร้ายต่อพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก แปลงตัวปลอมเป็นพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กครองราชสมบัติมาได้ เมื่อเห้งเจียมาถึงเมืองจึงได้กำจัด พระโพธิสัตว์บุญซู้ก็เสด็จมาช่วยเห้งเจียจับ พาไปไว้ยังเดิม
(บทที่ ๔)
      หงอคงเหาะเร็วกว่าไทเป๊กกิมแช ครั้นถึงก็เข้าไปในประตูนำทีหมึง ท้าวจตุโลกบาล คือ เจงเซียนทีอ๋องหมึง กับนายทหารทั้งสาม คือ พั่งล้าวเซียน หนึ่ง เตงซึงเซียน หนึ่ง เตียวกอเซียน หนึ่ง ถืออาวุธกั้นหน้าหงอคงไว้ห้ามมิให้เข้าไป
      หงอคงจึงพูดว่า ไทเป๊กกิมแชนี้เห็นจะไปหลอกเรา แต่เดิม
ได้บอกแก่เราว่า เง็กเซียงมีหนังสือรับสั่งให้เชิญเราขึ้นมา เหตุไรเล่าจึงใช้ทหารถืออาวุธมากั้นกางห้ามมิให้เราเข้าไป หงอคงกำลังพูดอยู่ไม่ทันจะขาดคำลง ไทเป๊กกิมแชก็เหาะมาพอถึงเข้า หงอคงโกรธไทเป๊กกิมแชเป็นกำลัง จึงต่อว่าไทเป๊กกิมแชว่า ท่านบอกว่า เง็กเซียงฮ่องเต้ให้หา แล้วทำไมเล่าจึงให้พวกนี้ถืออาวุธมาคอยห้ามกั้นกางอยู่อย่างนี้
      ไทเป๊กกิมแชจึงตอบว่า ท่านไต้เซียนอย่าเพ่อโกรธขึ้ง
ข้าพเจ้าก่อน เพราะว่าตั้งแต่เดิมนั้นท่านยังไม่เคยขึ้นมา เพราะฉะนั้น ผู้เฝ้าประตูสวรรค์จึงยังไม่ปล่อยให้ท่านเข้าไป แม้ท่านได้รับตำแหน่งยศเข้าในหมู่เทวดาแล้ว ถึงจะไปจะมาก็ไม่มีใครขัดขวางได้เลย
      หงอคงได้ฟังไทเป๊กกิมแชชี้แจงดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าดังนั้น
ข้าพเจ้าจะยังไม่เข้าไป จะคอยอยู่ที่นี่ ไทเป๊กกิมแชว่า ท่านต้องเข้าไปพร้อมกับข้าพเจ้าจึงจะควร ไทเป๊กกิมแชจึงเรียกผู้เฝ้าประตูให้เปิดรับแล้วบอกว่า ท่านผู้นี้เป็นไต้เซียนอยู่ในใต้หล้า เง็กเซียงฮ่องเต้มีลายพระราชหัตถ์ให้เราไปเชิญขึ้นมาเฝ้า ท่านอย่าสงสัยเลย ผู้เฝ้าประตูก็เปิดประตูยอมให้เข้าไป ไทเป๊กกิมแชพาหงอคงค่อยเดินเข้าไป หงอคงเดินพลางพิศดูวิมานปราสาทราชมนเทียรของเง็กเซียงฮ่องเต้เรียงราย ล้วนแล้วแต่ด้วยแก้วอันมีสีต่าง ๆ ประดับประดา มีแสงอันสว่างรุ่งเรืองงดงามหาที่เปรียบมิได้
ไทเป๊กกิมแชพาหงอคงเข้ามาถึงวิมานเหลงเซียวเต้ย แล้วให้รอคอยฟังรับสั่งเง็กเซียงฮ่องเต้ ไทเป๊กกิมแชก็เดินตรงเข้าไปยังหน้าพระที่นั่งถวายบังคม แต่หงอคงยืนนิ่งอยู่ส่วนหนึ่ง มิได้ถวายคำนับ คอยเงี่ยแต่ หูฟังอยู่ว่าพระเป็นเจ้าจะตรัสประการใด ไทเป๊กกิมแชจึงกราบทูลว่า ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพระพุทธเจ้าไปว่ากล่าวแก่หงอคงให้ขึ้นมารับ ราชการนั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้ลงไปพูดจาชักชวนหงอคง บัดนี้ ได้พาตัวขึ้นมาเฝ้าพร้อมอยู่หน้าพระที่นั่งแล้ว ขอ พระองค์ได้ทรงทราบ
 เง็กเซียงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นหงอคง หงอคงจึงย่อตัวลงแล้วก็ทูลว่า ตัวข้าพเจ้าเองชื่อ ซึงหงอคงไต้อ๋อง ขณะนั้น หมู่เทพยดาทั้งหลายแลเซียนกำลังเฝ้าอยู่พร้อมกันได้ยินหงอคงกราบทูลดูเป็นอาการที่ถือตัว มีความกระด้างมาก ก็พากันหวาดหวั่นสะดุ้งใจ จึงพูดว่า ลิงไพรตัวนี้พูดจาจองหอง ไม่มีความเคารพคารวะอ่อนน้อม ยำเกรงเลย จะต้องถึงความตายเป็นเที่ยงแท้แล้ว ฝ่ายเง็กเซียงฮ่องเต้มีเทวบัญชาทรงโปรดอภัยว่า ท่านทั้งหลายอย่าถือเลย เพราะเขาอยู่ในมนุษย์ โลก ไม่รู้ขนบธรรมเนียมในเมืองสวรรค์ พึ่งจะได้สำเร็จใหม่ ๆ แม้จะมีความผิดพลั้งประการใด ๆ เรายกโทษให้ ไม่ทรงถือ
 หมู่เทพยดาแลเซียนทั้งหลายได้ฟังเง็กเซียงฮ่องเต้โปรดอภัยดังนั้นจึงพากันน้อมกายถวายคำนับขอบพระ คุณที่ทรงพระกรุณาเมตตาแก่สัตว์ทั่วหน้ากัน หงอคงได้ยินรับสั่งดังนั้นก็คุกเข่าถวายคำนับโดยความเคารพ เง็กเซียงฮ่องเต้จึงรับสั่งถามเทพยดาทั้งซ้ายแลขวาว่า ตำแหน่งหน้าที่ขาดแห่งใดบ้าง เราจะตั้ง หงอคงขึ้นให้เป็นเกียรติยศ
 ขณะนั้น ปุนเต๊กแชกุนได้ยินรับสั่งถามดังนั้น จึงคุกเข่าลงคำนับกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ ในสวรรค์ขุนนางทุกตำแหน่งมิได้ขาดหน้าที่ ยังขาดอยู่ก็แต่นายกองคนเลี้ยงม้าเท่านั้น ควรจะตั้งให้หงอคงมีหน้าที่ใน ตำแหน่งนี้ เง็กเซียงฮ่องเต้ก็ทรงตั้งให้หงอคงเป็นขุนนางตำแหน่งที่เป๊กเบ๊อุน หงอคงก็มีความยินดีถวายบังคมรับที่ตั้ง เสร็จแล้ว เง็กเซียงฮ่องเต้จึงรับสั่งให้ปักเต๊กแชกุนพาตัวหงอคงเป๊กเบ๊อุนไปยังที่โรงม้า จัดการมอบให้ดูแลรักษาการ ตามรับสั่ง
 ครั้นหงอคงมาถึงแล้ว ก็ดูแลรักษาการ ตรวจดูสิ่งของเครื่องใช้สอยแลม้า ลงบัญชีไว้เรียบร้อย แล้วมอบให้สมุห์บัญชีเก็บรักษาไว้ตามเดิม ตั้งแต่หงอคงมารับหน้าที่ตำแหน่งเป๊กเบ๊อุน ก็ตั้งใจคอยระวังดูแลการ งานทั้งกลางวันแลกลางคืน มิใคร่จะได้หลับนอน ม้าก็อ้วนพีบริบูรณ์ขึ้นทุก ๆ ตัว ตั้งแต่หงอคงเข้ามาจัดการในโรงม้า แลรักษาการก็เรียบร้อย คิดดูก็รู้สึกว่ากว่าครึ่งเดือนมาแล้ว
 อยู่มาวันหนึ่ง ว่าธุรการสำราญใจ บรรดานายรองที่รับใช้สอยของหงอคงพร้อมมูลกันยกสุราเครื่อง แกล้มมาเลี้ยงหงอคงเพื่อความสำราญแลหมายว่าพึ่งได้รับเกียรติยศที่ตั้งใหม่ ๆ หงอคงก็เข้านั่งรับ ประทานพร้อมกันตามความสบาย หงอคงจึงถามบรรดานายรองรองลงไปว่า อันที่เป๊กเบ๊อุนนี้จะเป็น ขุนนางตำแหน่งยศอะไร นายรองทั้งหลายจึงบอกว่า เป๊กเบ๊อุนเป็นที่นายเลี้ยงม้า หามีตำแหน่งยศ ขุนนางไม่ หงอคงจึงพูดว่า ถ้าไม่มีตำแหน่งขุนนาง คงจะเป็นที่ใหญ่ นายรองตอบว่า ไม่ใหญ่ไม่โตอะไรดอก คือนามเรียกว่ายัง ไม่มีตำแหน่ง หงอคงจึงว่า เหตุใดจึงว่าไม่มีตำแหน่ง นายรองบอกว่า ไม่มีตำแหน่งนั้นคือเป็นที่เล็กที่สุด เป็นแต่ผู้คุม คนเลี้ยงม้าเท่านั้นเอง เป็นที่นี้ ถ้าหากว่าเลี้ยงม้าอ้วน ม้าไม่เจ็บไม่ไข้ ก็ได้ชื่อว่า เลี้ยงม้าดี ไม่มียศศักดิ์อะไร แม้ว่า เลี้ยงม้าผอมไผ่หรือมีโรค ก็จะได้รับซึ่งความอัปยศแล้วก็จะมีโทษด้วย
 หงอคงได้ฟังนายรองทั้งหลายชี้แจงดังนั้นดุจไฟลุกขึ้นในหัวใจ ก็กัดฟันร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า มีความหมิ่นประมาทเราเหลือเกิน เราอยู่ที่เขาฮวยก๊วยซัวเป็นเจ้าเป็นนาย ไปเชิญเรามาย่ำยีให้เราเป็นคนเลี้ยงม้า มีความดูถูกเราอย่างนี้ เราไม่ทำราชการให้เสียเวลา เราจะกลับไปถิ่นที่เดิมของเรา หงอคงพูดดังนั้นแล้วจึงทุลแลถีบ โต๊ะฉีกบัญชีเสียทั้งสิ้น แล้วฉวยกระบองเหล็กกายสิทธิ์ออกจากหู ร่ายพระเวทคาถากวัดแกว่งให้ใหญ่ขึ้น แล้วก็ออก จากที่เลี้ยงม้าเดินตรงออกมาจากประตูสวรรค์นำทีหมึง หมู่เทวดาที่เฝ้าประตูเห็นเป๊กเบ๊อุนก็รู้ว่านายกองเลี้ยงม้า ก็หา ได้พูดจาขัดขวางประการใดไม่ ปล่อยให้ออกประตูไป
 หงอคงเหาะมาประเดี๋ยวก็ถึงเขาฮวยก๊วยซัว แลเห็นนายวานร ทั้งสี่แลพวกปิศาจยักษ์ทุกถ้ำมาประชุมพร้อมกันฝึกหัดเพลงอาวุธอยู่ หงอคงจึงเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ท่านทั้งหลาย เรามาแล้ว ขณะนั้น พวกบริวารวานรแลพวกปิศาจยักษ์ทั้งหลายก็กรูกันเข้ามาคำนับเชิญหงอคงเข้าถ้ำ หงอคง มาถึงก็ขึ้นนั่งบนแท่น แล้วบริวารทั้งหลายก็เข้ามานั่งเรียงรายกันตามหน้าที่ จึงพากันไต่ถามว่า ไต้อ๋องได้ขึ้นบน สวรรค์นั้นได้รับยศศักดิ์ประการใด ขึ้นไปอยู่ก็นานถึงสิบห้าปีมีสุขทุกข์ประการใดบ้าง
 หงอคงจึงบอกว่า ได้ไปอยู่ประมาณสักสิบห้าวันเท่านั้น ทำไมท่านทั้งหลายว่าเราไปอยู่ได้ถึงสิบห้าปี เล่า บริวารว่า ในมนุษย์ปีหนึ่งเป็นวันเดียวในสวรรค์ ท่านไต้อ๋องได้รับตำแหน่งที่อันใด หงอคงได้ยินบริวารถามซ้ำดังนั้นก็ยกมือขึ้นโบกบอกว่า อย่าถามเลย ไม่ควรพูด นึกขึ้นมาแล้วเรา แค้นใจนัก อายเขาเหลือที่จะอาย ด้วยเง็กเซียงฮ่องเต้ไม่รู้จักใช้คน ตั้งให้เราเป็นอะไรก็ไม่รู้เรียกว่า เป๊กเบ๊อุน เป็นที่ นายกองเลี้ยงม้า ไม่มีตำแหน่งเกียรติยศอะไร เดิมเราก็หาทราบไม่
 ครั้นมาวันหนึ่ง เราจึงรู้เหตุเพราะเราถามพวกที่อยู่ ด้วยกันนั้น เขาบอกว่า เป็นที่ขุนนางอย่างต่ำที่สุด เราจึงมีความแค้นใจนัก จึงได้ทำลายสิ่งของเสียสิ้นแล้วเราจึง กลับมา ที่ถ้ำนี้ของเราก็มีความสุขสบายหาที่เปรียบมิได้ บรรดาถ้ำใหญ่น้อยใกล้ไกลก็ยอมมาสามิภักดิ์เข้าด้วยทั้งสิ้น ไปอยู่ทำไมในสวรรค์เป็นที่นายกองเลี้ยงม้า ไม่สมเกียรติยศเลย ป่วยการเปล่า ๆ พวกนายทหารทั้งสี่นายสั่งบริวารทั้งหลายให้จัดสุรามาให้หงอคงไต้อ๋องรับประทานกับเครื่องกิน โอชารสต่าง ๆ
 ในขณะที่หงอคงนั่งรับประทานสุราอยู่นั้น บริวารวานรเข้ามาคำนับบอกว่า ข้างนอกมีต๊อกกั่กกุ๊ย อ๋องสองตนบอกว่า จะขอเข้ามาหาไต้อ๋อง หงอคงจึงให้วานรออกไปพาเข้ามาในถ้ำ ต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องเข้ามาถึงเห็น หงอคงนั่งอยู่ท่ามกลางบริวาร ต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องทั้งสองก็คุกเข่าลงคำนับแล้วจึงพูดว่า ข้าพเจ้าทั้งสองได้ทราบว่า ไต้อ๋องมีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่ผู้น้อยซึ่งมาสามิภักดิ์อยู่ในความปกครอง กับได้ยินข่าวว่า ไต้อ๋องได้รับเกียรติยศ ในสวรรค์แลกลับลงมา ข้าพเจ้ามีเสื้อแพรเหลืองตัวหนึ่งนำมาคำนับท่านเป็นบรรณาการ แลข้าพเจ้าทั้งสองขอ สวามิภักดิ์อยู่ด้วยท่าน ตามแต่ไต้อ๋องจะใช้สอย
 หงอคงได้ฟังต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องพูดดังนั้นก็พิศดู เห็นต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องทั้งสองหน้าตาดุร้าย มีเขาอยู่ที่ ศีรษะคนละเขา ดูเขานั้นคล้ายแก่เขากระบือ หงอคงเห็นดังนั้นแล้วก็มีความยินดี จึงรับเอาเสื้อแพรสีเหลืองไว้ แล้วก็ ตั้งให้ต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องทั้งสองเป็นที่จงต๊กเซียนฮอง คือ แม่ทัพหน้า ต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องรับที่แม่ทัพหน้าแล้วจึงคำนับถาม ว่า ไต้อ๋องได้รับยศตำแหน่งที่อะไรในสวรรค์ หงอคงตอบว่า เง็กเซียงฮ่องเต้มีความดูถูกเรามากนัก ตั้งให้เราเป็นที่เป๊กเบ๊อุน คือ นายกองเลี้ยงม้า
 ต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องเซียนฮองจึงพูดว่า ไต้อ๋องมีฤทธิ์อานุภาพไม่มีผู้ใดจะต่อต้าน ธุระอะไรมาต้องยอม เป็นที่นายกองเลี้ยงม้า ข้าพเจ้าเห็นว่า ฤทธิ์เดชของไต้อ๋องสมควรจะเป็นซีเทียนไต้เซีย คือ เป็น ใหญ่เสมอฟ้า จึงจะสมควร หงอคงได้ฟังต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องก็มีความยินดี จึงตอบว่า ถ้าท่านเห็นสมควรแล้ว เราก็ยอมตามใจท่าน ทั้งหลาย พูดแล้วก็สั่งวานรผู้ใหญ่ให้ออกไปตั้งเสาธงชักธงยี่ห้อขึ้นให้เขียนอักษรสี่ตัว คือ ซีเทียน ไต้เซีย ตั้งแต่นี้ต่อไปให้เรียกเราอย่างนี้ อย่าให้เรียกไต้อ๋องต่อไป แล้วประกาศให้รู้ทั่วกันทุก ๆ ถ้ำบรรดาที่อยู่ในความปกครอง นายทหารทั้งปวงก็ทำตามคำสั่งทุกประการ
 ฝ่ายเง็กเซียงฮ่องเต้เสด็จออกทิพยบัลลงก์ เทพยดาเฝ้าพร้อมกัน เวลานั้น เตียวเทียนซือเทวบุตรพานายรองเลี้ยงม้า ของเป๊กเบ๊อุนเข้ามาเฝ้าทูลว่า ขอพระเป็นเจ้าได้โปรด ด้วยเป๊กเบ๊อุนนั้นโกรธว่า ได้เป็นที่เล็กน้อย ไม่พอใจ เมื่อจะ หนีกลับไป ได้ทุบต่อยแลฉีกบัญชี ในขณะเมื่อเตียวเทียนซือกราบทูลอยู่นั้น ท้าวจตุโลกบาลเจงเปียงทีอ๋องนำพวก วิษณุกรรมมาเฝ้าถวายบังคมกราบทูลว่า เป๊กเบ๊อุนไม่ทราบว่าอย่างไร เห็นออกไปจากประตูนำทีหมึงแล้ว เมื่อเง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังเทพบุตรทั้งหลายกราบทูลดังนั้น จึงรับสั่งว่า ท่านทั้งสองจงกลับไป ที่อยู่เถิด เราจะจัดเทพบุตรให้ลงไปจับตัวเป๊กเบ๊อุนให้จงได้
 ถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียผู้บุตรทั้งสองมากราบทูลว่า ข้า พระองค์ทั้งสองจะขอรับอาญาสิทธิ์ของพระองค์ลงไปปราบปรามปิศาจวานรให้ราบคาบ ถักทะลีทีอ๋องนี้ คือ หลีเจง แลโลเฉียไทจือ ซึ่งแต่ก่อนมีชื่ออยู่ในห้องสิน พ่อลูกได้มาเป็นเทพบุตร อยู่ในดาวดึงส์
 เมื่อเง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังเทพบุตรรับอาสาดังนั้น จึงรับสั่งให้ถักทะลีทีอ๋องเทพบุตรเป็นแม่ทัพ ให้จัดเทพบุตรเป็นหมวดเป็นกองลงไปยังเขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมจ๋อง จับตัวเป๊กเบ๊อุนมาให้จงได้ ถักทะลีทีอ๋องแลโลเฉียทั้งสองได้รับสั่งดังนั้นแล้วก็ถวายบังคมลาออกไปยังที่ประชุม จึงให้กือเล่งสิน เทวดาเป็นเซียนฮองแม่ทัพหน้า ถักทะลีทีอ๋องจัดเสร็จแล้วพร้อมกันออกประตูนำทีหมึง รับขับพลเทวดาเหาะมายัง เขาฮวยก๊วยซัว ครั้นถึงแล้วก็ตั้งค่ายมั่นลงในที่สมรภูมิชัย
 ถักทะลีทีอ๋องจึงสั่งให้กือเล่งสินเข้าไปท้าชวนรบ กือเล่งสินได้ฟังแม่ทัพสั่งดังนั้นก็ลามาจัดแจงแต่งตัว มือถือขวานเป็นอาวุธออกมาจากค่าย ตรงมา ยังปากถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง กือเล่งสินแลไปเห็นพวกวานรแลพวกปิศาจยักษ์เป็นอันมาก ล้วนเพศพันธุ์รูปกายหน้าตา ต่าง ๆ มือถืออาวุธฝึกหัดซ้อมกันอยู่ กือเล่งสินเห็นดังนั้นจึงร้องตวาดไปด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายพวกปิศาจทั้งหลาย เหล่านี้ เอ็งจงรีบไปบอกเป๊กเบ๊อุนนายของเอ็งว่า เราคือทหารเอกซึ่งอยู่ในดาวดึงส์ รับสั่งพระเป็นเจ้าจอมโลกาเง็ก เซียงฮ่องเต้ให้ลงมาปราบปรามพวกเอ็งให้ราบคาบ เอ็งเร่งไปบอกนายเอ็งให้มาอ่อนน้อมยอมสามิภักดิ์เสียโดยดี แม้ขัดขืนดื้อดึง พวกเอ็งจะถึงแก่ความตายทั้งสิ้น
 ฝ่ายพวกวานรแลอสุระยักษ์ผีปิศาจทั้งหลายเมื่อได้ฟังถ้อยคำกือเล่งสินดังนั้น ก็เข้าไปในถ้ำบอกแก่ ซีเทียนไต้เซียว่า บัดนี้ มีกองทัพยกมาแต่สวรรค์ ตัวแม่ทัพหน้ามาร้องท้าชวนรบบอกว่า เป็นขุนนางผู้ใหญ่ของเง็ก เซียงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้ลงมากำจัดพวกวานรแลปิศาจอสุระยักษ์เสียให้สิ้น แล้วบอกแก่ข้าพเจ้าให้เข้ามาบอกแก่ไต้ เซียนให้รีบออกไปยอมสามิภักดิ์เสียโดยเร็ว ถ้าขัดขืนจะทำลายถ้ำเสียให้ราบเป็นหน้ากลองไป ซีเทียนไต้เซียได้ฟังดังนั้นจึงให้วานรเอาเครื่องแต่งตังมาแต่ง เสร็จแล้วมือก็ถือกระบอกเหล็กกายสิทธิ์ พาพวกบริวารเดินออกจากถ้ำ ทั้งสี่วานรนายทหารใหญ่ก็คุมพวกพลวานรแลปิศาจอสุรกายตั้งเป็นกระบวนทัพตาม พิชัยสงคราม คอยระวังคิดจะต่อสู้อยู่โดยสามารถ
 ฝ่ายกือเล่งสินแลเห็นจึงร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายชาติวานรชั่วร้าย เอ็งจำเราได้หรือไม่ ซีเทียนไต้เซียได้ยินดังนั้นจึงร้องตอบไปว่า เราหารู้จักว่าตัวเจ้าเป็นชาติอะไรไม่ เจ้าจงรีบบอกชื่อแล แซ่มาให้รู้จักไว้ก่อน กือเล่งสินจึงตอบว่า ตัวเป็นชาติวานรจึงไม่รู้จักเรา เจ้าจำเราไม่ได้หรือ ตัวเราคือเทวดา เป็นเซียน ฮองแม่ทัพหน้าของถักทะลีทีอ๋อง ถักทะลีทีอ๋องถือรับสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ลงมาปราบปรามตัวเจ้า แม้ว่ารู้สึกตัว กลัวความตายแล้ว ให้รีบอ่อนน้อมแก่เราเสียโดยดี เราจะช่วยเบี่ยงบ่ายแก้ไขขอโทษที่เจ้าได้กระทำหยาบช้าแก่ เทวดาแลมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าขัดขืนดื้อดึงถือดีว่ามีกำลังฤทธิ์เดช ก็จะถึงแก่ความตายด้วยฝีมือเราเป็นเที่ยงแท้
 ซีเทียนไต้เซียได้ฟังดังนั้นจึงร้องตอบไปว่า เจ้าอย่าอวดอ้างวางโตให้มากเกินไป จะถูกด้วย กระบองเหล็กสักที เดี๋ยวก็จะบี้แบนป่นเป็นจุณไป เพราะฉะนั้น เราจะไว้ชีวิตก่อน ให้เจ้ากลับไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่า พระองค์หารู้จักใช้คนไม่ เรามีฤทธาศักดานุภาพดีทุกสิ่งทุกอย่าง อาจจะปราบภูตผีปิศาจแลยักษ์มารแลคนพาลชั่ว ร้ายในโลกได้ เหตุใดจึงตั้งให้เราเป็นนายกองเลี้ยงม้าโดยความดูถูกเราเหลือเกินนัก ตัวจงดูเสาที่เราปักธงขึ้น ไว้นั้น ถ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ตั้งเราเป็นขุนนางตามอักษรสี่ตัวนี้แล้ว เราก็จะเลิกการรบพุ่งไม่ชิงชัย ถ้าไม่ตามใจเรา อย่างนี้ เราก็จะตีกระหนาบขึ้นไปยังดาวดึงส์ให้ถึงปราสาทเหลงเซียวเต้ย มิให้เง็กเซียงฮ่องเต้มีความสุขอยู่ได้
 กือเล่งสินเทพบุตรได้ยินถ้อยคำของซีเทียนไต้เซียดังนั้น จึงเหลือบขึ้นไปดูบนเสาธง เห็นมีอักษรอยู่ สี่ตัว คือ ซีเทียนไต้เซีย เห็นแล้วก็หัวเราะ พูดว่า อ้ายเดรัจฉานมิได้รู้จักหนักแลเบาว่าฟ้าต่ำดินสูง อยากจะเป็น ซีเทียนไต้เซีย จงมาลองดูคมขวานของเราเสียก่อนว่าจะคมตัดคอเอ็งขาดได้หรือไม่ ว่าดังนั้นแล้ว กือเล่งสินขยับ ยกขวานฟันลงตรงศีรษะซีเทียนไต้เซีย ซีเทียนไต้เซียยกกระบองเหล็กกายสิทธิ์ขึ้นรับ ขวานก็สะท้อนมือกือเล่งสิน แทบจะหลุด ง่ามมือกือเล่งสินฉีกโลหิตไหล
 กือเล่งสินทานกำลังซีเทียนไต้เซียมิได้ จวนจะหนีอยู่แล้ว ซีเทียนไต้เซียยกกระบองขึ้นตี กือเล่งสินยกขวานขึ้นรับ ด้ามขวานหักออกไปเป็นสองท่อน กือเล่งสิน กระโดดถอยหนีรีบกลับไปยังค่ายโดยเร็ว ซีเทียนไต้เซียเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายกระเป๋าหนังแขวนก้น กูไว้ชีวิตมึง ให้รีบกลับไป บอกนายมึงโดยเร็วเถิด ฝ่ายกือเล่งสินหนีกลับเข้าค่ายได้แล้วก็มาคำนับบอกถักทะลีทีอ๋องแม่ทัพว่า เป๊กเบ๊อุนมีฤทธาศักดา นุภาพมากนัก จะเอาชัยชนะเห็นจะไม่ได้ ขอท่านได้โปรดยกโทษให้ข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่ง
 ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธ แล้วพูดว่า ท่านไประกทพให้ข้าศึกศัตรูมันมีใจกำเริบ แลเสื่อม เสียเกียรติยศของเง็กเซียงฮ่องเต้ อ้ายลิงจะมีใจกำเริบดูถูกได้ จึงเรียกเพชฌฆาตให้เอาตัวกือเล่งสินไปประหารชีวิตเสีย ฝ่ายโลเฉียจึงคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า ซึ่งโทษของกือเล่งสินนั้น ข้าพเจ้าของดไว้ก่อน ข้าพเจ้าจะ อาสาออกไปลองฝีมือแก่ซีเทียนไต้เซียดูว่าจะเป็นประการใด ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังโลเฉียว่าดังนั้น จึงยกโทษกือเล่งสินให้แก่โลเฉีย กือเล่งสินพ้นโทษได้แล้ว ก็คำนับลาแม่ทัพกลับไปยังที่อยู่ โลเฉียก็จัดแจงแต่งตัวใส่เกราะเสร็จแล้ว มือถืออาวุธออกมาจากค่าย ตรงไปยัง หน้าถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง
 เวลานั้น ซีเทียนไต้เซียจวนจะพาพลพวกวานรกลับอยู่แล้ว พอเห็นโลเฉียรีบมาโดยกำลังเร็ว ซีเทียนไต้เซียจึงร้องถามไปว่า ชายหนุ่มน้อยคนนี้อยู่ที่ตำบลใดจึงเดินมาที่ปากถ้ำของเราได้ ท่านจะมีกิจธุระอย่างไรหรือ โลเฉียได้ยินหงอคงถามดังนั้นจึงตอบว่า อ้ายวานรเดรัจฉานชาติชั่ว มึงไม่รู้จักกูหรือ เราเป็นบุตรที่ สามของถักทะลีทีอ๋องท้าวเทวราชผู้เป็นใหญ่ได้อาญาสิทธิ์จากเง็กเซียงฮ่องเต้ใช้ให้ลงมาจับตัวเจ้าเอง ยังไม่รู้สึกดอกหรือ
 ซีเทียนไต้เซียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ตัวเจ้าเป็นเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ทำไมจึง สามารถบังอาจพูดจาโอหัง เราจะยกชีวิตไว้ให้กลับไปเพราะยังเป็นเด็กอยู่ เจ้าจงดูบนเสาธงเป็นยี่ห้ออะไร จงจำไป ทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ตั้งเราตามยี่ห้อที่เราจารึกไว้ในธงนั้นเป็นขุนนางตำแหน่งนี้ เราจึงจะงดไม่รบพุ่งต่อสู้ และ จะยอมนอบน้อมต่อเง็กเซียงฮ่องเต้ ถ้าไม่ตั้งให้พอใจเรา เราก็ยกทัพขึ้นไปให้กระทั่งถึงปราสาทเหลงเซียวเต้ยให้จงได้ โลเฉียได้ฟังดังนั้นจึงแลขึ้นไปดูบนเสาธง เห็นมีอักษรสี่ตัวว่า ซีเทียนไต้เซีย โลเฉียจึงพูดว่า เอ็ง เป็นเดรัจฉานมาใช้ยี่ห้ออย่างนี้ มิได้รู้จักความตายความฉิบหายว่าจะมีมาถึงตัว เอ็งจงก้มคอมารับคมอาวุธเกี้ยมสักที หนึ่งก่อน จะได้รู้สึกดีแลชั่ว
 ซีเทียนไต้เซียก็มิได้มีความหวาดหวั่น จึงร้องบอกแก่โลเฉียว่า เจ้าอยากฟันก็จงเข้ามาฟันลองดูสัก สองสามทีก็ได้ เพราเห็นว่าเจ้ายังเป็นเด็ก จึงจะยอมให้ลองฟันดูเล่นก่อน โลเฉียได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงตวาดด้วยเสียงอันดังสำแดงเป็นสามเศียรหกมือกุมอาวุธหกอย่าง คือ เกี้ยมสำหรับฆ่าปิศาจยักษ์ หนึ่ง มีดหมอ หนึ่ง เชือกมัดยักษ์ หนึ่ง กระบองเหล็กใหญ่ หนึ่ง จักรไฟ หนึ่ง ตะกร้อ หนึ่ง คือ เหมือนลูกทุเรียน
 ครั้นจับอาวุธครบทั้งหกมือแล้วก็วิ่งเข้ามาจะตีซีเทียนไต้เซีย ซีเทียนไต้เซีย เห็นดังนั้นจึงร้องด่าว่า อ้ายเด็กทารกแกล้งทำกิริยาอาการแปรปรวนไปต่าง ๆ เอ็งเข้าใจว่าของเอ็งดีที่สุด แล้วหรือ เรายังมีความรู้ดีวิเศษกว่าเจ้ามากนัก ว่าแล้วก็ตวาดด้วยเสียงอันดัง แปลงกายเป็นสามเศียรหกกรให้ เหมือนกับโลเฉีย มีมือถือกระบองทั้งหกมือเข้ารบกับโลเฉียเป็นสามารถ ขณะเมื่อโลเฉียกับซีเทียนไต้เซียเข้ารบกันนั้น พื้นพสุธาก็หวั่นไหว เขาไม้ห้วยธารก็สะเทือนไปทั้งสิ้น ต่างคนต่างมีฤทธาศักดานุภาพแคล่วคล่องว่องไว ขับเคี่ยวกันได้สามร้อยสามสิบเพลง โลเฉียสำแดง อาวุธหกอย่างให้เป็นพันเป็นหมื่นออกไปมากกว่ามาก
 ซีเทียนไต้เซียก็สำแดงกระบองออกเป็นพัน เป็นหมื่นเหมือนกัน ยังหาทันแพ้ชนะกันไม่ ซีเทียนไต้เซียจึงถอนขนเพชรออกหนึ่งเส้นร่ายพระเวทเป็น รูปซีเทียนไต้เซียขึ้นอีกรูปหนึ่งถืออาวุธเหมือนกันยืนล่อรบประจัญบานกับโลเฉียอยู่ ตัวซีเทียนไต้เซีย แอบเข้าข้างโลเฉียตีด้วยกระบองเหล็กกายสิทธิ์ โลเฉียหลบไม่ทัน ถูกที่ท้ายทอยเจ็บปวดยิ่งนัก ก็ ล่าหนีกลับเข้าค่าย
 ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องแลเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงออกปากพูดว่า หงอคงนี้มีฤทธาศักดานุภาพมากนัก เราจะทำอย่างไร จึง จะเอาชัยชนะมันได้ โลเฉียจึงบอกกับถักทะลีทีอ๋องว่า ที่ปากถ้ำนั้นมันตั้งเสาธงไว้เขียนอักษรสี่ตัวในธงว่า ซีเทียนไต้เซีย แลมันได้บอกข้าพเจ้าว่า ถ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ตั้งให้มันรับยี่ห้อสี่ตัวนั้นแล้ว ก็จะอ่อนน้อมยอมอยู่ในบังคับแลให้สงบ การรบพุ่งจลาจล ถ้าไม่ตั้งให้แก่มันตามอักษรสี่ตัวนั้นแล้ว มันจะบุกบั่นรบพุ่งให้กระทั่งถึงปราสาทเหลงเซียวเต้ย ถักทะลีทีอ๋องจึงพูดว่า ถ้าดังนั้น ไม่ต้องต่อสู้รบพุ่งอะไรกัน เรากลับขึ้นไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ขอเอา พลเทพบุตรที่เข้มแข็งยกมาล้อมจับให้จงได้
 ถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียปรึกษากันตกลงแล้วก็รีบขับพลเหาะกลับขึ้นไปยังดาวดึงส์โดยเร็ว ฝ่ายซีเทียนไต้เซียเมื่อมีชัยชนะแก่เทพยดาแล้ว ก็พาพวกบริวารกลับเข้าถ้ำที่อยู่ พวกปิศาจยักษ์ ทั้งเจ็ดสิบสองถ้ำแลมิตรสหายทั้งหกก็มาพร้อมกันคำนับ แลเชยชมฝีมือ แลสรรเสริญต่าง ๆ ซีเทียนไต้เซียจึงให้จัด ของเลี้ยงมาเลี้ยงกันเป็นที่รื่นเริงสำราญ ซีเทียนไต้เซียจึงพูดแก่มิตรสหายทั้งปวงว่า ท่านทั้งหลายยกเราขึ้นเป็นซีเทียนไต้เซียแล้ว ท่านทั้งหลาย ก็จะต้องเป็นไต้เซียเหมือนเรา
 ขณะนั้น หงู้หม้ออ๋องได้ยินซีเทียนไต้เซียพูดดังนั้นจึงคำนับแล้วพูดว่า ท่านพูดดังนั้นก็สมควรอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะตั้งนามของข้าพเจ้าให้เรียกว่า เพงเทียนไต้เซีย เกาหม้ออ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะตั้งนามว่า หงอทัยไต้เซีย พังหม้ออ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะตั้งนามว่า หุ้นเทียนไต้เซีย ไซท้ออ๋องพูดว่า ข้าพเจ้า จะตั้งนามว่า อีซัวไต้เซีย มีเกาอ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะตั้งนามว่า ทงฮวงไต้เซีย โง่ซุดอ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะตั้งนามว่า คูสินไต้เซีย
 ในเวลานั้น ไต้เซียทั้งเจ็ดตั้งตัวโดยลำพังตนเองแล้วก็เป็นที่สนุกสนาน รื่นเริงสำราญใจ ครั้นเลี้ยงดูกันเสร็จแล้ว ไต้เซียทั้งหกก็คำนับลา ซีเทียนไต้เซียพากันกลับไปอยู่ตาม ภูมิลำเนาของตน ๆ ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียกลับมาถึงดาวดึงส์แล้วก็ตรงเข้าไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ จึงกราบทูลพระเป็นเจ้าว่า ข้าพเจ้ารับ อาญาสิทธิ์ลงไปรบแก่หงอคง หงอคงมีฤทธานุภาพกล้าแข็งนัก เหลือสติกำลังที่จะต่อสู้เอาชัยชนะได้ ขอพระองค์ ได้โปรดให้เทพบุตรเพิ่มเติมไปช่วยอีก ข้าพเจ้าจะยกลงไปแก้มือดูอีกสักครั้งหนึ่ง
 เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังถักทะลีทีอ๋องทูลดังนั้นจึงตรัสถามว่า ปิศาจวานรตัวเดียวเท่านั้น เป็นเหตุ อย่างไรจึงต้องมาขอพลเพิ่มเติมอีก โลเฉียจึงกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ หงอคงวานรตัวนี้มีกระบองเหล็กกายสิทธิ์ตีกือ ล่งสินด้วยกำลังทีเดียวด้ามขวานเหล็กหักออกไปเป็นสองท่อนต้องหนีกลับเข้าค่าย ข้าพเจ้าออกรบต่อสู้ มันตีถูก ท้ายทอยเจ็บปวดเหลือกำลังจะทนทานได้ ข้าพระองค์หนีมาโดยเร็วจึงได้รอดพ้นความตาย ขอพระองค์ได้ทรงทราบ โทษานุโทษแห่งข้าพเจ้าแล้วแต่จะโปรด
 อีกประการหนึ่ง หงอคงมันมีฤทธาอานุภาพมิใช่น้อย ที่ปากถ้ำตั้งเสาธงเขียนอักษรยี่ห้อสี่ตัวว่า ซีเทียนไต้เซีย มันบอกว่า ถ้าแม้นพระองค์ไม่ยอมตั้งยี่ห้อให้มันเหมือนดังอักษรสี่ตัวแล้วตามประสงค์ มันจะตีบุกรุก ขึ้นมาในดาวดึงส์ให้ถึงพระที่นั่งเหลงเซียวเต้ยให้จงได้ เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ตกพระทัยเป็นอันมาก ตรัสว่า ทำไมมันจึงมีความสามารถถึงเพียงนี้ ถ้าดังนั้น ต้องจัดพลเทพบุตรที่เข้มแข็งเพิ่มเติมลงไปปราบมันเสียให้ราบคาบ จะได้สิ้นความยุคเข็ญให้จงได้
 เมื่อกำลังเง็กเซียงฮ่องเต้ตรัสอยู่นั้น ไทเป๊กกิมแชเทวดาองค์หนึ่งกราบทูลขึ้นว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ ปิศาจวานรตัวนี้อยากมียศถาบรรดาศักดิ์โดยความหลง เพราะกำเริบฤทธา แลเชี่ยวชาญด้วยวิทยาอาคมขลัง ซึ่งพระองค์จะเกณฑ์พลเทพบุตรลงไปรบพุ่งแก่มันในคราวเดียวให้ได้ชัยชนะนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า จะไม่สำเร็จ กลับ จะพาให้เป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศแลอำนาจไปเสียอีก ขอให้พระองค์ทรงตั้งอยู่ในความกรุณา มีพระราชหัตถ เลขาไปเกลี้ยกล่อมตั้งให้มันมียศตามความประสงค์แห่งมัน เป็นซีเทียนไต้เซียตำแหน่งเปล่า ๆ กระนั้น มิได้บังคับ บัญชาสิ่งใด ก็จะไม่ร้อนใจแห่งเทพยเจ้าทั้งหลาย
 เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังไทเป๊กกิมแชทูลดังนั้นจึงย้อนตรัสถามว่า อย่างไรจึงเรียกว่า มีที่ตั้ง แต่ไม่มีการทำ ไทเป๊กกิมแชจึงกราบทูลว่า เป็นซีเทียนไต้เซีย แต่ไม่มีหน้าที่ว่าการแลไม่มีที่ได้ที่เสียอะไรสักอย่างเดียว ขอพระองค์ได้ทรงทราบ กักตัวเอาไว้บนสวรรค์ให้กลับใจดีได้ อย่าให้เป็นพาลมิจฉาทิฐิต่อไป ฟ้าแลดินก็จะเป็นปรกติ
 เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงเห็นด้วย จึงตรัสว่า ถ้าดังนั้นก็ตามที่ท่านว่านี้สมควรแล้ว จึงรับสั่งแก่บุนเต๊กแช กุน ให้แต่งพระอักษรมอบให้ไทเป๊กกิมแชลงไปเกลี้ยกล่อมในวันนี้ ฝ่ายบุนเต๊กแชกุนก็แต่งพระอักษร เสร็จแล้วนำมาถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ เง็กเซียงฮ่องเต้ก็พระราชทาน ให้แก่ไทเป๊กกิมแช ไทเป๊กกิมแชก็ถวายบังคมลาออกจากประตูนำทีหมึง แล้วก็สำแดงฤทธิ์เหาะตรงลงมายังเขาฮวย ก๊วยซัว
 ครั้นถึง ไทเป๊กกิมแชก็เดินมายังประตูถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง พิศดูไปก็เห็นผิดตากว่าแต่ก่อน บัดนี้ มีค่ายคูประตูหอ รบ แลพลทหารก็เข้มแข็งรักษาหน้าที่ประจำอยู่พร้อมเพรียง ทั้งเครื่องศัสตราวุธก็เรียบเรียงไว้เรียบร้อยเหมือนจะ คอยสู้รบ ปิศาจ ยักษ์ แลฝูงลิงก็มีเป็นอันมาก ฝึกหัดเพลงอาวุธแลโลดเต้นคะนองเหี้ยมฮึก ไทเป๊กกิมแชเดินมาถึง ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเข้าทันที
 พวกพลวานรทั้งหลายเหล่านั้นเห็นไทเป๊กกิมแชมาก็กรูกันมาจะทำอันตราย ไทเป๊กกิมแชจึง ร้องบอกว่า พวกเจ้าอย่าวุ่นวาย พวกเจ้ารีบไปบอกนายเจ้าว่า เราถือรับสั่งเชิญลายพระหัตถ์ของเง็กเซียงฮ่องเต้เป็น ราชทูตลงมาเชิญนายท่านขึ้นไปเฝ้าบนสวรรค์ เป็นการดีแก่นายเจ้า พวกวานรทั้งหลายได้ฟังไทเป๊กกิมแชบอกดังนั้น ก็พากันรีบเข้าไปแจ้งความแก่ซีเทียนไต้เซียตาม ถ้อยคำของเทวดาที่มาบอกเล่า
 ซีเทียนไต้เซียได้ฟังพวกวานรเข้ามาบอกเล่าดังนั้น จึงพูดว่า คราวนี้เห็นจะมาดี เราเห็นว่า ครั้งก่อน นั้น ไทเป๊กกิมแชลงมาเชิญเราไปตั้งเป็นขุนนางในตำแหน่งที่ไม่สมควร เราจึงหนีกลับลงมาเสียเป็นครั้งที่หนึ่ง ครั้งนี้ ไทเป๊กกิมแชลงมาอีก คงจะมีความดีเป็นแน่ ว่าแล้วจึงสั่งให้วานรทั้งหลายถือธง ตีกลอง ตั้งแถวยืนเป็นลำดับ ออกไป แล้วซีเทียนไต้เซียตกแต่งกาย คลุมหมวก สวมเสื้อ สอดเกราะ เสร็จแล้วก็พร้อมด้วยฝูงวานรห้อมล้อมออกไป รับไทเป๊กกิมแช
 ครั้นถึงปากถ้ำเห็นไทเป๊กกิมแช ซีเทียนไต้เซียก็ย่อกายลงคำนับแล้วจึงพูดว่า ท่านผู้เฒ่าไทเป๊กกิมแช ข้าพเจ้าขอเชิญท่านไปในถ้ำเถิด แล้วต่างคนก็ต่างทำคำนับกันตามธรรมเนียม แล้วพากันเข้าในถ้ำ เชิญให้ไทเป๊กกิม แชนั่งที่อันสมควร ไทเป๊กกิมแชจึงพูดว่า ครั้งก่อน ไต้เซียมีความน้อยใจว่า ที่ขุนนางเล็กน้อยไม่สมเกียรติยศ การอันนี้ย่อมเป็นธรรมเนียมอยู่ ท่านไม่เข้าใจหรือ อันวิสัยแลธรรมดาข้าราชการก็ต้องรับตำแหน่งหน้าที่เป็น ผู้น้อยไปก่อน เมื่อมีความชอบความดีก็ค่อยเลื่อนยศขึ้นไปทุกที ไม่ควรไต้เซียจะโทมนัสน้อยใจ
 วันก่อน ถักทะลีทีอ๋อง กับโลเฉียรับอาสามารบแก่ท่าน แล้วกลับขึ้นไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่า ท่านตั้งเสาธงใช้ยี่ห้อว่า ซีเทียนไต้เซีย บรรดา ขุนนางเทพบุตรในดาวดึงส์ฝ่ายทหารขออาสายกพลโยธาเทพบุตรลงมารบแก่ท่านอีก แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย จึงได้ กราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ทัดทานขัดขวางแลขอโทษท่าน แลได้กราบทูลชี้แจงว่า ซึ่งจะยกพลทหารลงมาต่อสู้ชิงชัย แก่ท่าน คงเป็นความยกความลำบากเดือดร้อนทั่วไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ข้าพเจ้าทูลขอให้ตั้งท่านเป็นขุนนางตามความ ประสงค์ของท่าน การรบพุ่งก็จะสงบเรียบร้อยไม่ร้อนรนแก่เทพยดาแลมนุษย์ต่อไป
 เง็กเซียงฮ่องเต้ทรงเห็นชอบด้วย จึงรับสั่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นเทวราชทูตลงมาพูดจาชี้แจงแก่ท่าน ถ้าท่านเห็นชอบด้วยมีความยินดีสวามิภักดิ์ต่อพระเป็น เจ้าแล้ว ขอเชิญท่านขึ้นไปเฝ้าพร้อมกับข้าพเจ้าทีเดียว ซีเทียนไต้เซียได้ฟังไทเป๊กกิมแชชี้แจงดังนั้นก็มีความยินดีแล้วหัวเราะว่า ครั้งก่อนก็มีความลำบาก แก่ท่านหนหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ก็มีความลำบากแก่ท่านอีก ข้าพเจ้าขอบพระคุณท่านเป็นที่สุด แต่ไม่ทราบว่า บนสวรรค์ นั้นจะมีตำแหน่งขุนนางไต้เซียหรือไม่มีประการใด
 ไทเป๊กกิมแชจึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้กราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้แล้ว จึงได้อาสาลงมาเชิญท่านไต้เซียขึ้นไป รับที่ตั้ง ท่านอย่าได้มีความสงสัยเลย ซีเทียนไต้เซียได้ฟังไทเป๊กกิมแชดังนั้นมีความยินดีเป็นที่สุด จึงสั่งเสียกิจการทั้งปวงแก่วานรนาย ทหารแลพลเรือนให้รักษาถ้ำที่อยู่แลควบคุมแลบังคับบัญชากันอยู่ตามเคย แล้วก็ชวนไทเป๊กกิมแชออกมาจากถ้ำ ต่างสำรวมจิตร่ายพระเวทคาถาขึ้นเหยียบเมฆเหาะลอยขึ้นไปยังประตูสวรรค์นำทีหมึง ก็แลเห็นนายทหาร แล เทพบุตร แลพระวิษณุกรรม พากันยกมือขึ้นคำนับพร้อมกัน
 ไทเป๊กกิมแชนำซีเทียนไต้เซียเข้าในปราสาทเหลงเซียว เต้ยตรงเข้าไปหน้าพระที่นั่ง ไทเป๊กกิมแชจึงถวายบังคมกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ ซึ่งมีเทวบัญชารับสั่งใช้ ให้ข้าพเจ้าลงไปเชิญ หงอคงเป๊กเบ๊อุนก็ขึ้นมาแล้ว แล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เง็กเซียนฮ่องเต้จึงมีเทวโองการแก่หงอคงว่า ตั้งแต่นี้ไป เราตั้งให้เป็นซีเทียนไต้เซีย ตำแหน่ง สูงที่สุด ถ้าได้รับที่ตั้งเป็นขุนนางแล้ว อย่าได้ประพฤติการอันมิควร จงประพฤติแต่การที่ควรอันจะเป็นประโยชน์แก่โลก ทั้งหลาย ตรัสแล้วก็ทรงเซ็นลายพระหัตถ์ให้แก่หงอคง
 ฝ่ายหงอคงเมื่อได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางแล้ว แลได้ฟังเง็กเซียนฮ่องเต้ทรงกำชับสั่งสอนทั้งนั้น จึง ถวายบังคมกราบทูลขอบพระคุณ แล้วก็ถอยออกมายืนเฝ้าอยู่ตามตำแหน่ง เง็กเซียนฮ่องเต้รับสั่งให้เทพบุตรจัดทำเป็นหอขึ้นที่ริมมุมต้นชมพู่ข้างด้านเหนือ ปลูกเป็นสูงหอ ข้างซ้ายเป็นที่อยู่ระงับใจ ข้างขวาเป็นที่รักษาอารมณ์ สั่งให้เทพบุตรเซียนถองอยู่คอยรับใช้สอยทั้งสองแห่ง แล้ว รับสั่งให้เง้าเต๊กแชกุนนำซีเทียนไต้เซียไปยังที่อยู่ แลประทานสุราที่เซียนเคยบริโภคสองคนโทกับดอกไม้ทองคำสิบกิ่ง ได้เป็นที่ระงับจิตเพื่อมิให้ทำความชั่วต่อไป

14 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 3 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖      
      
เล่าช้วน ๆ คนนี้เป็นคนพลเรือนอยู่ในเมืองเชียงอาน เวลาวันหนึ่งเล่าช้วนไม่อยู่มีพระสงฆ์มาเรี่ยรายหล่อพระพุทธรูป ภรรยาเอากำไลทองคำที่ใส่ข้อมือถวายพระสงฆ์ไป เล่าช้วนโกรธพูดอยาบคาย ภรรยามีความเสียใจผูกคอตาย เล่าช้วนคิดถึงภรรยาร้องไห้ทุกวันทุกคืน เวลานั้นพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้กลับจากเมืองนรกมีประกาศว่า ผู้ใดรับอาสาเอาแตงโมไปเมืองนรก จะมีบำเหน็จรางวัลให้ เล่าช้วนคิดถึงภรรยาจึงเข้ารับอาสาไป ภายหลังได้พบกับภรรยาแลกลับมายังมนุษโลกย์ตามเดิม
ท่านสมภารฮวดเม้งอยู่วัดกิมซัวยี่ เป็นที่พระราชาคณะใหญ่ บรรดาวัดที่อยู่ในหัวเมืองกังจิวต้องมาขึ้นและเคารพทั้งสิ้น โดยเหตุท่านเป็นผู้มัธยัดถือสิกขาวินัยเคร่งครัด ทั้งเป็นผู้สำเร็จในทางฌานเชี่ยวชาญมาก เมื่อพระถังซัมจั๋งยังเป็นทารกมารดาปล่อยลอยมาในน้ำ ท่านเก็บได้เลี้ยงไว้จนได้บวชเรียน คือท่านเป็นอาจารย์ของพระถังซัมจั๋ง
พระยานาคเล่งอ๋องนี้เป็นผู้รักษาการณ์อยู่ในแม่น้ำเกียฮ้อ มีฤทธิ์อานุภาพแปลงตัวมาหาหมอดู จีนแสอวนซิ้วเซ้งก็ดูให้ดังตาเห็น แต่เล่งอ๋องแกล้งทำให้ฝนตกเคลื่อนคลาดเวลาไป เง็กเซียงฮ่องเต้จึงได้ลงโทษให้งุยเต็งเอาไปประหารชีวิตรเสียในกลางอากาศ
เล่าฮองผู้นี้เป็นคนแจวเรือจ้าง อาศัยอยู่ในแม่น้ำฮองกังคอยรับคนโดยสารข้ามฟาก ถ้าเห็นผู้โดยสารมีทรัพย์สิ่งของควรจะเอาได้ ก็ฆ่าเจ้าของทรัพย์เก็บเอาทรัพย์สิ่งของนั้น ๆ ทำอยู่อย่างนี้เนือง ๆ มาเวลานั้นตั๊นกองหยีจอหงวน ลงโดยสารมาในเรือเล่าฮองก็นำเรือไปที่ลับจับบ่าวไพร่ฆ่าเสียหมด แล้วจับตัวตั๊นกองหยีจอหงวนตีจนตายผลักลงในน้ำ ยังแต่นางอุนเกี๋ยวไม่ฆ่า พาไปเลี้ยงเป็นภรรยา นำท้องตราขึ้นไปกินเมืองกังจิว ต่อภายหลังงุยเต็งยกกองทัพไปจับตัวเล่าฮองฆ่าเอาศพเส้นตั๊นกองหยีที่แม่น้ำฮองกัง
เฮ๊กฮองใต้อ๋อง เดิมกำเนิดเป็นหมีดำ ได้ปฏิบัติบวชสำเร็จแบ่งภาคเปลี่ยนแปลงเป็นมนุษย์ได้ มีฤทธิ์เดชศักดากล้าหาญ อาศัยอยู่ที่เขาเฮ๊กฮองซัวถ้ำเฮ๊กฮองต๋องใกล้วัดกวนอิมเซียนยี่ เมื่อเวลาพระถังซัมจั๋งมาถึงวัดก็เข้าพักอาศัยนอน เฮ๊กฮองใต้อ๋องลักเอาผ้ากาสาวพัสตร์ของพระถังซัมจั๋งไป ถูกเห้งเจียกำจัดจับได้ พระโพธิสัตว์กวนอิมเอาตัวไปเลี้ยงที่น่ำไฮ้
อึ้งฮองใต้อ๋อง กำเนิดเป็นหนูขนเหลือง มีฤทธิ์เดชมาก ลมปากเป่าออกมาถูกผู้ใดเข้าก็ไปไกลหมื่นโยชน์ อาศัยอยู่ที่เขาอึงฮองซัว ในถ้ำอึงฮองต๋อง เมื่อเวลาพระถังซัมจั๋งมาถึงก็ออกสกัดจับพระถังซัมจั๋ง เห้งเจียไปเชิญพระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดมาจับตัวอึ้งฮองไปถวายพระพุทธเจ้า
ติ๋นหงวนต้ายเซียน คือฤาษีใหญ่องค์หนึ่ง อยู่ที่เขาบ้วนซิ่วซัว ในที่สำนักเหงาจึงกวน ติ๋นหงวนฤาษีองค์นี้สำเร็จภาคด้วยยาวิเศษ ยานั้นเรียกว่าเช้าฮวนตัน คือยิ่นเซียมก๊วย หรือเรียกว่ามรรคลีผลก็ได้ ฤๅษีติ๋นหงวนองค์นี้ เธอได้กินผลยิ่นเซียมก๊วย จึงมีกำลังเชี่ยวชาญทั้งความปฏิบัติก็แก่กล้า มีฤทธานุภาพกว้างใหญ่เหาะเหินเดินอากาศได้ แลสามารถเปลี่ยนแปลงกายได้ต่าง ๆ เป็นเซียนวิเศษ ภายหลังได้พบกับพระถังซัมจั๋ง แลสานุศิษย์ทั้งสามได้รบพุ่งกัน แล้วภายหลังกลับทำไมตรีกัน
ท่านฮกแชองค์นี้ เป็นเทวดาดาวบุญ อยู่ที่เกาะแปะฮุ้นเป็นมิตรสหายแก่ท่านลกแชซิวแช เธอมีอภิหารย์บารมีแก่กล้าอย่างอุกฤษ บุญภาคก็เชี่ยวชาญ เมื่อเห้งเจียตามพระถังซัมจั๋งไปอาราธนาพระธรรมมาถึงตำบลเขาบ้วนซิ่วซัว สำนักเหงาจึงกวน เห้งเจียได้ไปเชิญมาประชุมที่สำนักเหงาจึงกวน การธุระของเห้งเจียจึงได้สำเร็จตลอดไปได้
ท่านลกแชองค์นี้ เธอเป็นเทวดาดาวโภคา แปลว่ามีทรัพย์สมบัติมากบริบูรณ์ ท่านอยู่ที่เกาะแปะฮุ้นสำนัก ท่านเป็นมิตรสหายกับดาวฮกแชซิวแช เมื่อพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามมาถึงที่สำนักเหงาจึงกวน เธอก็มาพบกับพระถังซัมจั๋ง แลสานุศิษย์ทั้งสามแลติ๋นหงวนต้ายเซียนด้วย ได้ช่วยชักโยงให้ดีกัน ครั้นพระโพธิสัตว์กวนอิม มาช่วยชุบต้นยิ่นเซียมก๊วยเป็นขึ้นมาอย่างเดิมแล้ว ท่านจึงได้ลากลับไปยังที่เดิม
(บทที่ ๓)
      ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง หงอคงตรึกตรองเห็นว่า ตั้งแต่ไปปราบ
ปรามหุนซีหม้อกุนอ๋องเอาอาวุธมาได้ดังนี้ ควรจะฝึกหัดใช้อาวุธซักซ้อมฝีมือไว้ให้ชำนาญจึงจะชอบ จึงสั่งวานรทั้งหลายให้ไปเที่ยวหาไม้มาทำอาวุธ คือ กระบอง พลองสั้นสองมือ แลพลองยาวสี่ศอก แลหาไม้รวกมาทำหลาว แหลน เครื่องทิ่มแทง แลให้ทำธงสีต่าง ๆ หัดตั้งค่าย ขุดสนามเพลาะ กระทำสนามรบ หัดรำเพลงอาวุธต่าง ๆ ให้ชำนิชำนาญมาหลายเวลาแล้ว
      ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง หงอคงนั่งตริตรองคิดขึ้นมาได้จึงบอก
แก่พวกบริวารทั้งหลายว่า เราอยู่ที่นี่ ฝึกหัดซ้อมเพลงอาวุธกันอย่างนี้ เราวิตกอยู่ว่า นานไปจะเป็นการเล่าลือทั่วไปในประเทศบ้านเมืองทั้งหลาย หากรู้ว่าเรามั่วสุมกันอยู่ที่นี่มาก ก็คงจะยกทัพใหญ่มารบกวนพวกเรา คงจะเกิดรบสู้ฆ่าฟันกันขึ้น เราจะเอาอาวุธที่ไหนมาต่อสู้แก่ศัตรูของเราได้ เพราะฉะนั้น เราจะต้องเตรียมหาเครื่องศัสตราวุธที่เป็นเหล็กไว้สำหรับพวกเราให้พร้อมมือกันจึงจะควร เราคิดเห็นอย่างนี้ แต่ยังไม่รู้ที่ว่าจะไปเอาอาวุธที่ไหนได้
      ในเวลานั้น มีหัวหน้าวานรอยู่สี่ตน เป็นลิงเสนสองตน
เป็นลิงชะนีสองตน ได้ยินหงอคงปรารภดังนั้น จึงลุกยืนขึ้นแล้วคำนับหงอคงพูดว่า ไต้อ๋องจะต้องการเครื่องอาวุธเหล็กอันมีคมดูจะไม่สู้ยากนัก เพราะข้าพเจ้าทราบมาว่า มีเมืองหนึ่งชื่อว่า เมืองเง่าล่ายก๊ก ในเมืองนั้นบริบูรณ์ประกอบไปด้วยสมบัติผู้คนมาก ย่อมบริบูรณ์ด้วยเครื่องศัสตราวุธต่าง ๆ แต่หนทางที่จะไปเมืองนั้นต้องข้ามทะเลไปทางทิศตะวันออกไกลประมาณสองร้อยโยชน์จึงจะถึงเมืองนั้น ถ้าไต้อ๋องไปเมืองนี้เห็นจะสำเร็จเป็นแน่ อีกประการหนึ่ง ธรรมเนียมบ้านเมืองต้องมีเครื่องรักษาอาณาเขตจึงจะมั่นคง
      หงอคงได้ฟังสี่วานรชี้แจงให้ทราบแล้วก็มีความยินดีเป็น
ที่สุด จึงพูดว่า ถ้าดังนั้น ท่านทั้งหลายจงพร้อมกันคอยเราอยู่ในสถานที่นี้ สั่งแล้วหงอคงก็ร่ายพระเวทคาถาสำรวมกิริยาเหาะขึ้นบนอากาศ ข้ามทะเลใหญ่ไปประมาณสองร้อยโยชน์ก็แลเห็นชัยภูมิเมืองเง่าล่ายก๊ก ในเมืองนั้นมีเรือนร้านตลาดผู้คนไปมาค้าขายสินค้าสิ่งของเครื่องบริโภคแลเครื่องใช้สอยต่าง ๆ พิเคราะห์ดูมีความสนุกสนานมาก หงอคงค่อยพิจารณาดูจึงมาคิดในใจว่า ชะรอยในกำแพงเมืองคงจะมีเครื่องศัสตราวุธรักษาเมืองเป็นแน่ ถ้าเราลงไปถามซื้อคงจะขัดข้อง เพราะตัวเราเป็นต่างชาติต่างภาษากัน คงจะไม่สำเร็จ จำจะต้องคิดเอาโดยลับเห็นจะดีกว่า
               เมื่อคิดดังนั้นแล้ว จึงร่ายพระเวทวิทยามนต์เป็นลมพายุใหญ่มืดฟ้ามัวฝนพัดเป็นทรายหินศิลาส่งเข้าไปในเมือง ผู้คนตามบ้านร้านตลาดตกใจตื่นวุ่นวาย ก็ปิดประตูหน้าต่างทุกบ้านทุดเรือน ตามถนนไม่มีใครเดิน ไปมา หงอคงเห็นได้การ จึงอ่านคาถาผ่อนกายลงยังพื้นดิน ตรงเข้าไปจนถึงประตูคลังที่ไว้อาวุธต่าง ๆ สิบแปดอย่าง ก็ถีบประตูคลังทำลายลง เห็นเครื่องอาวุธเรียงรายกันอยู่ ก็มีความยินดี
   จึงคิดว่า ถ้าเราจะเอาคนเดียว ก็จะ เอาไปไม่ได้เท่าใด คิดดังนั้นแล้วก็อ่านคาถากระชากขนในตัวใส่ปากภาวนาพ่นออกมาเป็นวานรประมาณพันตัว จึง สั่งวานรเหล่านั้นให้เข้าเก็บขนเอาอาวุธต่าง ๆ วานรกายสิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นก็พร้อมกันเข้าแบกขนเครื่องอาวุธมัด หอบเอาเต็มกำลังทั้งพันตัว ได้แล้วหงอคงก็เหาะนำหน้าขึ้นอากาศ ลิงกายสิทธิ์ทั้งหลายก็เหาะตามหงอคงตรงมายัง สำนัก หงอคงก็อ่านพระเวทคาถา วานรทั้งหลายก็สูญหายไปกลับเป็นขนเข้ากายไปตามเดิม เครื่องอาวุธต่าง ๆ ที่ ลิงกายสิทธิ์ขนมากองวางอยู่เป็นอันมาก
   หงอคงจึงเรียกวานรทั้งหลายมาแล้วสั่งว่า พวกเจ้าจงเลือกเอาอาวุธไว้สำหรับ มือทุก ๆ ตน วานรทั้งหลายได้ยินหงอคงสั่งดังนั้น ต่างตัวต่างก็วิ่งมาพร้อมกัน เห็นอาวุธวางกองอยู่ก็มีความยินดี บ้างหยิบเอาหอก บ้างหยิบเอาดาบแลอาวุธต่าง ๆ ไว้สำหรับตัวทุก ๆ ตน ครั้นรุ่งขึ้น หงอคงก็ฝึกหัดให้วานรทั้งหลาย ใช้อาวุธฟันแทงยิงแลปัดป้องให้ว่องไว แลตั้งกระบวนค่ายมั่น แลเดินกระบวน แลทำทีจะเข้าประจญประจัญบาน ให้รู้ ในทางหนีทีไล่จนชำนิชำนาญ รวบรวมพวกวานรได้สี่หมื่นเก้าพันเศษ ตั้งแต่นั้นมาก็เล่าลือทั่วไปตามปิศาจแลยักษ์ที่อยู่ ในถ้ำแลเขาเจ็ดสิบสองแห่ง ได้ทราบกิตติศัพท์ก็ตกใจหวั่นไหวไปทุกตำบล ทุกถ้ำ แลทุกเขา
   พวกปิศาจยักษ์เหล่านั้น ก็พากันเข้ามาสามิภักดิ์เข้าด้วยหงอคง ก็นำเอาเครื่องบรรณาการมาเคารพหงอคงมิได้ขาด ตั้งแต่นั้นมา ก็ฝึกหัดแล ซักซ้อมพลทหารวานรทั้งหลายให้แคล่วคล่องว่องไว จัดกันเป็นหมวดเป็นกองเรียบร้อย ก็สะสมเสบียงอาหารผลไม้สด แห้ง ไว้พรักพร้อมบริบูรณ์ ตั้งมั่นอยู่เขตเขาฮวยก๊วยซัว เพราะเขาฮวยก๊วยซัวเป็นที่คับขันมั่นคงรอบคอบดุจกำแพงเหล็ก หงอคงไต้อ๋องกับบริวารมีความสุขสำราญปราศจากภัยอันตรายต่าง ๆ หงอคงจึงพูดแก่บริวารว่า พวกเจ้ามีอาวุธครบมือ กันบริบูรณ์แล้ว แต่ตัวเรายังหามีอาวุธสำหรับมือให้พอแก่กำลังของเราไม่ ง้าวที่ได้มาจากหม้ออ๋องก็ดูเกะกะไม่เป็นที่ พอใจเรา
ในขณะนั้น มีวานรใหญ่ตนหนึ่งซึ่งเป็นทหารจึงบอกแก่หงอคงว่า ท่านก็เป็นเซียน คือ เทวดา มี อานุภาพแล้ว เครื่องอาวุธเหล่านี้ที่ได้มาไม่ควรใช้ ไต้อ๋องจะไปในน้ำได้หรือไม่ หงอคงตอบว่า เราตั้งแต่เรียนวิชาสำเร็จแล้ว พระอาจารย์บอกคาบกิริยาที่จะเหาะเหินเดินอากาศ ดำ น้ำ แลลุยไฟ หรือล่องหนกำบังกาย หรือจะนฤมิตบิดเบือนเปลี่ยนแปลงกายได้ถึงเจ็ดสิบสองอย่างโดย ชำนิชำนาญ ย่อมสำเร็จได้ทุกสิ่งทุกประการ ทำไมเราจึงจะเดินน้ำแลดำน้ำไม่ได้เล่า วานรตนนั้นจึงพูดว่า ถ้าไต้อ๋องมีวิชาอันวิเศษเช่นนั้น
   ในถ้ำนี้ใต้สะพานเหล็กลงไปมีลำธารทะลุตลอด ไปถึงเมืองบาดาลอันเป็นสถานที่อยู่ของพระยาเล่งอ๋อง คือ พระยานาคในฝ่ายทิศบูรพาตะวันออก มหาสมุทรใหญ่ ไต้อ๋องลงไปค้นดูที่เมืองพระยานาค คงจะมีอาวุธวิเศษที่พอใจสักอย่างหนึ่งเป็นแน่ หงอคงได้ฟังบริวารบอกเล่าดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดแก่วานรทั้งหลายว่า ถ้าดังนั้น เราจะลงไปยัง เมืองพระยานาคสืบถามดูให้รู้แน่ ว่าดังนั้นแล้วหงอคงก็ออกมาที่สะพานเหล็ก จึงโอมอ่านพระเวท คาถาแหวกน้ำ แล้วก็กระโดดลงไปในน้ำดุจดังว่าเดินอยู่ที่บนบกฉะนั้น หงอคงเดินตัดกระแสชลไปยัง เมืองพระยานาค
   ฝ่ายพวกพลตระเวนนาคในเมืองบาดาลที่เดินรักษาท้องที่กระแสชลอยู่ในที่นั้น ครั้นมาพบหงอคงเข้า จึงร้องถามหงอคงว่า ที่เดินมานั้นเป็นทหารหรือเป็นเทพารักษ์เป็นเจ้าในเขตแขวงประเทศทิศใด ขอจงบอกให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง เพื่อจะได้เชื้อ เชิญตามสมควร หงอคงจึงบอกแก่พลตระเวนผู้รักษาด่านทางว่า เราอยู่ที่เขาฮวยก๊วยซัว ฟ้าแลดินให้ตัวเราบังเกิด นามเราชื่อว่า หงอคง แซ่ซึง เราเป็นผู้ที่ชอบพอกันแก่พระยาเล่งอ๋อง ทำไมพวกท่านไม่รู้จักเราหรือ พวกพลตระเวนได้ฟังหงอคงบอกดังนั้น ก็พากันกลับเข้าไปบอกพระยานาคว่า มิไต้อ๋องผู้หนึ่งมา บอกว่า อยู่เขาฮวยก๊วยซัว ชื่อซึงหงอคง แลพูดว่า รู้จักคุ้นเคยแก่พระองค์จะเข้ามาหา
   ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ออกมาจากปราสาทจุ๊ยเจีย ต้อนรับหงอคงเชิญเข้าไปใน ปราสาทนั่งที่อันสมควร แล้วจึงถามว่า ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนบรรลุมรรคผลแล้วหรือ ได้เรียนรู้วิชาอันวิเศษสิ่งใดบ้าง หงอคงจึงตอบพระยานาคว่า ตัวข้าพเจ้าได้พยายามบวชแลศึกษาเล่าเรียนรู้วิชาแสวงหาผู้ วิเศษเพื่อรู้ธรรมที่ไม่เกิดไม่แก่ไม่ตาย มาบัดนี้ ข้าพเจ้าได้ฝึกซ้อมทหารวานรไว้เพื่อได้รักษาอาณาเขตเขาแลถ้ำซึ่ง เป็นที่อยู่อาศัย บัดนี้ ขัดด้วยเครื่องศัสตราวุธอย่างดีสำหรับมือยังหามีไม่ แม้ว่าที่มีอยู่แล้วก็หาพอแก่กำลังของข้าพเจ้า ไม่
   ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวว่า ท่านมีความสุขสบายสำราญอยู่ในเมืองบาดาลนี้ช้านานมาแล้ว คงจะมีอาวุธกายสิทธิ์ วิเศษที่เหลือใช้อยู่บ้างเป็นแน่ เพราะฉะนั้น จึงอุตสาหะมาเพื่อจะขออาวุธท่านสักสิ่งหนึ่งไว้ถือสำหรับมือ ขณะนั้น พระยานาคราชเล่งอ๋องได้ฟังหงอคงพูดว่า จะขออาวุธวิเศษสักอย่างหนึ่ง ก็ไม่สามารถจะขัด ได้ จึงรับสั่งแก่ขุนนางเจ้าพนักงานปลาซึ่งเป็นผู้รักษาเครื่องอาวุธให้แบกง้าวอย่างใหญ่ออกมาให้หงอคง หงอคงเห็น แล้วจึงบอกแก่พระยานาคว่า ง้าวเล่มนี้เบาไปไม่พอแก่กำลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอคืน พระยานาคจึงสั่งขุนนางให้ไปนำเอาเหล็กแหลมอันใหญ่สำหรับมือมาให้หงอคงดู หงอคงลงจากแท่น เดินมาจับยกขยับดู แล้วบอกพระยานาคว่า เบาไม่ ไม่ควรแก่กำลังเรา พระยานาคหัวเราะแล้วพูดว่า เหล็กแหลมอันนี้หนักถึงสามพันหกร้อยชั่ง
   หงอคงจึงบอกว่า ถึงหนักเท่านั้นก็จริง แต่ยังหาพอแก่กำลังของเราที่จะจับถือรบสู้แก่ข้าศึกไม่ พระยานาคได้ฟังดังนั้นก็หวาดหวั่นอยู่ในใจ จึงเรียกอุปราชแลขุนนางนายทหารทั้งสองให้ พล ทหารหามทวนเล่มใหญ่ออกมา ทวนเล่มนั้นมีน้ำหนักถึงเจ็ดพันสองร้อยชั่ง หงอคงรับทวนใหญ่มายกขยับดูแล้วก็ร้องว่า เบา ไม่พอแก่มือเราเลย พระยาเล่งอ๋องได้เห็นดังนั้นก็ สะดุ้งตกใจประหม่าหน้าซีดสลดลงทันที จึงพูดแก่หงอคงว่า ข้าพเจ้ามีของสำหรับบ้านเมืองอยู่แต่สามสิ่ง นี่แลเป็นอาวุธ วิเศษแล้ว นอกจากนี้ ก็ไม่มีอาวุธอันใดจะให้สมประสงค์ของท่านได้แล้ว 
   หงอคงได้ฟังพระยานาคบอกว่า อาวุธวิเศษสำหรับบ้านเมืองมีอยู่แต่สามอย่างเท่านั้น ไม่มีอาวุธที่จะ ดีกว่านี้ต่อไปแล้ว จึงทำเป็นหัวเราะแล้วพูดว่า นี่แน่ะ ท่านพระยาเล่งอ๋อง เราได้ฟังคำโบราณท่านกล่าวปรากฏว่า ใน เมืองบาดาลมีของดี ๆ มาก ตัวท่านเล่าก็เป็นพระยานาคอันประเสริฐ จะไม่มีของวิเศษกายสิทธิ์บ้างเทียวหรือ ข้าพเจ้า ยังมีความสงสัยอยู่ ท่านจะลวงเราดอกกระมัง เรายังหาเชื่อท่านไม่ ท่านจงกลับเข้าไปค้นดูเอง บางทีจะมีอาวุธวิเศษ อยู่อีกกระมัง ขอท่านอย่าอำพราง ได้เห็นแก่ไมตรีของเราเถิด ถ้าได้สมความปรารถนาแล้วจะมีความขอบคุณท่านเป็น อันมาก แลจะคิดราคาให้แก่ท่านจงสมควร
   พระยาเล่งอ๋องบอกว่า ข้าพเจ้ามิได้ล่อลวงท่านเลย พูดตามความสัจจริงทุกประการ เพราะสิ่งของที่ อย่างดีนั้นไม่มีแล้ว เมื่อขณะพระยานาคพูดอยู่แก่หงอคง มเหสีแห่งพระยานาคอยู่ข้างในครั้นได้ยินจึงพยักหน้าให้พระ ยานาคเข้าไปข้างในเพื่อจะบอกความลับ พระยานาคก็เดินเข้าไปที่มเหสี ภรรยากับบุตรีจึงบอกว่า การที่หงอคงมา ครั้งนี้ไม่ใช่การเล็กน้อย ย่อมเป็นการสำคัญมากอยู่ ข้าพเจ้าทราบว่า ในเขตท้องทะเลของเรานี้ยังมีแท่งเหล็กใหญ่ กายสิทธิ์จมอยู่ในกลางพระมหาสมุทรแห่งหนึ่ง แลเมื่อสามสี่วันก่อนนี้มีแสงสว่างพลุ่งขึ้นดูรัศมีโชติช่วงเห็นเป็นอัศจรรย์ มากนัก คงเป็นเหตุประกอบกันแก่หงอคงไต้อ๋องนี้เป็นแน่ ข้าพเจ้าเห็นดังนี้ ท่าจะเห็นประการใด
   ขณะนั้น พระยาเล่งอ๋องก็นึกขึ้นมาได้ จึงพูดว่า เหล็กแท่งนี้เมื่อครั้งไต้บู๊ตี๋ได้สะกดจมน้ำไว้จริง เรา จะไปเอามาให้เขาได้หรือ แลอีกประการหนึ่ง ก็เป็นของกายสิทธิ์ ผู้ใดจะเอามาใช้ก็เห็นจะไม่ได้ ฮูหยินของพระยา นาคจึงพูดว่า ท่านจะขัดเขาทำไม ตามใจเขา เมื่อเขาจะเอาใช้ได้หรือไม่ได้นั้นก็สุดแล้วแต่เขา ช่างเขาเป็นไร เราปัดส่ง เสียแต่พอให้พ้นเราไปเท่านั้น จะไม่ดีหรือ ตามที่ข้าพเจ้าคิดเห็นนี้ย่อมเป็นประโยชน์ทั้งสองอย่าง คือ หนึ่ง ถ้าหงอคงไปเอาแท่งเหล็กได้ ก็ จะขอบคุณท่านว่าไม่ปิดบัง สอง ถ้าหงอคงไปเอาแท่งเหล็กนี้ไม่ได้ โดยเหตุฤทธาหงอคงไม่พอแก่ เหล็ก ก็จะมีความอายเลยหลบหน้าไปทีเดียว ไม่ต้องกลับมารบกวนเราอีกเป็นแน่ ข้าพเจ้าเห็นการ เช่นนี้ ขอท่านได้ดำริดูจงดีเถิด
   พระยาเล่งอ๋องได้ฟังภรรยากับบุตรพูดชี้แจงให้สติดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงกลับออกมาพูดแก่หงอคง ว่า ยังมีแท่งเหล็กใหญ่อยู่อีกแท่งหนึ่งสะกดจมอยู่กลางใจทะเล แม้ท่านจะต้องการ ก็ขอเชิญท่าน ไปเอาเถิด หงอคงว่า ขอท่านช่วยสงเคราะห์ให้ใครไปนำมาให้ด้วยเถิด จะขอบใจท่านเป็นอันมาก พระยานาคตอบว่า ของกายสิทธิ์สิ่งนี้มีน้ำหนักมานัก ไม่มีใครแบกหามไหว เมื่อท่านจะต้องการ แล้ว ขอเชิญท่านไปดูเอาเองเถิด
   หงอคงจึงว่า ถ้าดังนั้น ขอท่านได้นำชี้ที่ให้ด้วยเถิด เล่งอ๋องก็นำหงอคงไปยังสะดือทะเล แล้วชี้แจงให้หงอคงเข้าใจ แล้วก็กลับมายังบาดาล ฝ่ายหงอคงก็ดำลงไปคลำสังเกตดูก็รู้ได้ว่า เหล็กกายสิทธิ์นั้นยาวประมาณสองวาเศษ หงอคงจึงจับโดยมั่นคง แล้ว ก็โยกไปโยกมา ปากก็บริกรรมว่า สั้นเข้าแลเล็กลง ๆ เหล็กกายสิทธิ์นั้นก็สั้นเข้าแลเล็กลงทุกทีจนได้ขนาด พอดีที่จะถือเป็นอาวุธ คือ คทาธร หงอคงมีความยินดีที่สุด จึงจับเอามาพิจารณาดู ด้วยเดิมเหล็กแท่งนี้เป็นท่อน เหล็กเลี่ยมทองสองข้าง มีอักษรจารึกไว้แถวหนึ่งห้าอักษร คือ ยู่อี่กิมซือเป๊ง มีน้ำหนักหมื่นสามพันห้าร้อยชั่ง
   หงอคงมีความยินดีหาที่เปรียบมิได้ จึงคิดว่า ของกายสิทธิ์สิ่งนี้ถูกแก่ใจเรา หงอคงก็แผลงอิทธิ ฤทธิ์มายังเมืองพระยานาค พระยานาคเห็นดังนั้นอกใจเต้นสั่นระรัวแข็งใจเดินออกมารับหงอคง หมู่นาคบริวารแล ปลาทั้งหลายก็พากันกลัวเกรงอำนาจพระยาวานรเผือก ฝ่ายพระยาวานรก็เดินตรงเข้าไปนั่งในท่ามกลางนาคทั้งหลาย จึงมีสุนทรวาจาแก่พระยานาคว่า ขอบใจท่านที่ได้ช่วยแนะนำจนได้อาวุธวิเศษสำหรับมือสมความมุ่งหมาย บัดนี้ ยังขาดแต่เครื่องประดับสำหรับ ยุทธ ของท่านมีข้าพเจ้าขอท่านสักเครื่องหนึ่ง
   พระยานาคบอกว่า เครื่องแต่งตัวจะให้สมควรแก่ท่านนั้น ของ ข้าพเจ้าหามีไม่ หงอคงจึงว่าแก่พระยาเล่งอ๋องว่า ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เครื่องแต่งตัวแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไม่ไปจากปราสาทท่าน พระยาเล่งอ๋องพูดอ้อนวอนว่า ขอท่านไต้อ๋องได้เที่ยวค้นดูตามทะเลอื่น ๆ บางทีจะได้บ้างดอกกระมัง หงอคงจึงตอบว่า ถึงจะไปเที่ยวหาให้หลายแห่งหลายคน ก็คงจะสู้ที่นี่ไม่ได้ ขอร้อยขอพันท่านก็คงช่วยขอให้ ได้ พระยาเล่งอ๋องก็ยืนคำอยู่ว่า ไม่ได้ ไม่มีจริง ๆ หงอคงว่า ถ้าไม่ได้จริง ๆ แล้ว เราจะเอากระบองเหล็กอันนี้ลองศีรษะท่าน พระยานาคได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ กลัว จึงอ้อนวอนหงอคงว่า ท่านอย่าเพ่อวุ่นวาย คอยข้าพเจ้าจะถามน้องดูก่อน ถ้ามีแล้วจะขอให้ท่านเครื่องหนึ่งจงได้
   หงอคงถามว่า น้องท่านอยู่ที่ไหน ใกล้หรือไกล เมื่อไรจะรู้กัน เล่งอ๋องตอบว่า อยู่ทิศทักษิณมหาสมุทรผู้หนึ่งชื่อ เง่าคำเล่งอ๋อง อยู่ทิศอุดรผู้หนึ่งชื่อ เง่าสุนเล่งอ๋อง อยู่ทิศประจิมผู้หนึ่งชื่อ เง่าหยุนเล่งอ๋อง อยู่ทิศบูรพาคือตัวข้าพเจ้า รวมเป็นสี่คนด้วยกันเป็นผู้รักษาอาณาเขตในทะเล ทั้งสี่ทิศ หงอคงจึงพูดแก่เง่าก๊วงเล่งอ๋องว่า ถ้าดังนั้น ท่านจงช่วยสงเคราะห์ไปถามดู บางทีจะได้บ้าง ข้าพเจ้าจะคอย ถ้าได้ จะขอบใจท่านเป็นอันมาก
   พระยานาคตอบว่า ไม่ต้องไปก็ได้ เพราะข้าพเจ้ามีหอกลองเหล็กหอระฆังทองเป็นเครื่องสัญญา ถ้า จะมีทุกข์สุขประการใดอย่างไรแล้วก็ขึ้นบนหอตีกลองตีระฆังขึ้นสามลาตาม บรรดาน้องทั้งหลายนั้นก็มาโดยทันที หงอคงจึงว่า ถ้ากระนั้น ท่านจงตีระฆังขึ้นโดยเร็วเถิด พระยาเล่งอ๋องก็ขึ้นหอตีระฆังตีกลองขึ้นสามลา บรรดาน้องชายทั้งสามรู้แล้วรีบตกแต่งกายมายัง ปราสาท เล่งอ๋องผู้น้องทั้งสามคนครั้นถึงจึงถามว่า พี่มีกิจธุระทุกข์ร้อนประการใดหรือ จึงได้ตีกลองแลระฆังสัญญา เง่าก๊วงเล่งอ๋องจึงพูดว่า ภัยมาถึงตัวเราแล้ว คือ เหตุมีขึ้นที่เขาฮวยก๊วยซัว ฟ้าดินประกอบกันให้ บังเกิดวานรขึ้นตัวหนึ่ง
   ชื่อ ซึงหงอคง เป็นผู้สำเร็จประกอบด้วยวิทยา มีฤทธิ์เดชานุภาพมาก มาทำเป็นว่าสหายเข้ากับ เรา แล้วอ้อนวอนขอเครื่องอาวุธง้าวทวนอันวิเศษล้วนแต่ไม่มีผู้ใดจะถือได้มีน้ำหนักเกินประมาณ ทุก ๆ สิ่งเราเอามา ให้ก็ไม่ชอบใจ เพราะฉะนั้น พี่จึงชี้ให้ไปเอาแท่งเหล็กกายสิทธิ์ที่จมอยู่ในกลางใจทะเลนั้น เธอก็ไปเอามาได้สมประสงค์ ตกลงว่า เป็นได้เครื่องอาวุธพอใจแล้ว ยังขอเครื่องประดับแต่งตัวต่อไปอีก เช่นนี้ พี่จึงบอกว่าไม่มี เธอก็ไม่ยอม จะ เร่งเอาให้จงได้ ถ้าไม่ได้ก็คงจะทำอันตรายพี่ ได้ชื่อว่า พี่ตกอยู่ในที่คับแค้นแล้ว จึงได้ตีกลองตีระฆังเรียกน้องทั้งสาม มาเพื่อจะได้ปรึกษาหารือกันว่า เจ้ามีเครื่องแต่งตัวอะไรบ้าง จะได้ให้เธอ เธอจะได้ไปเสียรู้แล้วไป หาไม่ก็จะมารบกวน อยู่มิรู้แล้ว เง่าคำเล่งอ๋องผู้น้องจึงพูดว่า เราสี่คนพี่น้องช่วยกันล้อมจับหงอคงให้ได้มิดีหรือ จะมาปล่อยให้ข่มขี่ อยู่ทำไม
   เง่าก๊วงเล่งอ๋องผู้พี่จึงห้ามว่า เจ้าอย่าพูดเช่นนั้นเลย พวกเราหมดทั้งสี่คนสี่เมืองก็หาสู้กำลังเขาได้ไม่ แต่โดยน้ำหนักของแท่งเหล็กกายสิทธิ์นั้น เขามาต้องตีรันอะไร เขาจะเอาวาทับเราลงทั้งสี่คน พวกเราก็จักเหลวแหลก ละเอียดไปไม่ถึงแก่จะรบรอต่อการ เง่าหยุนเล่งอ๋องจึงพูดว่า เขามีศักดานุภาพเช่นนั้นก็อย่าวุ่นวายแก่เขาเลย สู้เราหาเครื่องประดับ สำหรับตัวให้เขาจะดีกว่า ภายหลังเราทั้งสี่คิดทำฎีกาขึ้นไปถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ เง็กเซียงฮ่องเต้คงจะลงโทษเขาโดย สาหัส
   เง่าสุนเล่งอ๋องว่า ส่วนตัวข้าพเจ้ามีรองเท้าทำด้วยใยบัวหนึ่งคู่ใส่แล้วก็เหาะได้ เง่าหยุนเล่งอ๋องว่า ข้าพเจ้ามีเกราะทองคำเกราะหนึ่งสามารถจะป้องกันอาวุธได้ เง่าคำเล่งอ๋องว่า ข้าพเจ้ามีหมวกทองคำปีกหงส์หนึ่ง หมวกสวมศีรษะแล้วก็แคล้วคลาด เง่าก๊วงเล่งอ๋องผู้พี่พูดว่า ถ้าดังนั้น เป็นการดีแล้ว ก็พากันเอาหมวก แลเกราะ แล รองเท้ามาให้หงอคง หงอคงก็สวมใส่หมวก แลเกราะ แลรองเท้าแล้วมีความยินดี มือถือกระบองเหล็กยืนพูดแก่พระยา นาค ทั้งสี่ตนว่า ข้าพเจ้าขอบใจท่านทั้งสี่พี่น้องเป็นอย่างยิ่ง เราจะขอลาท่านกลับไปแล้ว
   พระยานาคทั้งสี่ก็กระทำคำนับ หงอคงก็ออกจากเมืองบาดาล พระยานาคทั้งสี่ก็ตรึกตรองการที่จะฎีกาถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ต่อไป หงอคงออกจากเมืองนาคแล้วก็ลงตามกระแสน้ำกลับมา ครั้นถึงสะพานเหล็กก็โดดขึ้นบนสะพาน บรรดาวานรทั้งหลายที่คอยรังหงอคงอยู่ริมสะพานทั้งซ้ายขวาเห็นหงอคงกลับมา บริวารทั้งหลายต่างตนก็คำนับต้อนรับ อยู่พร้อมกัน หงอคงขึ้นนั่งอยู่บนแท่นท่ามกลางลิงบริวาร จึงเอากระบองเหล็กวางไว้ข้างตัว เหล่าวานรทั้งหลาย เห็นกระบองเหล็กก็เข้าไปลูบคลำดู บ้างก็ลองผลักดู ก็มิได้ไหวสะเทือนเลย ทุก ๆ วานรเห็นดังนั้นก็ให้มีใจหวั่น หวาดกลัวเกรงยิ่งนัก แล้วจึงถามหงอคงว่า ไต้อ๋องได้กระบองเหล็กนี้ในที่ใด
   หงอคงลุกยืนขึ้นจับกระบองชูให้ดู แล้วบอกพวกวานรว่า สิ่งของนี้เดิมมีเจ้าของเขาเอามาสะกดจม น้ำไว้กลางทะเล แลในปีนี้มีรัศมีเกิดพลุ่งขึ้นมา พระยานาคนำไปชี้ให้แก่เรา แล้วพระยานาคบอกว่า ตัวเขาและบริวาร นาคทั้งสิ้นจะยกหรือจับก็ไม่ไหวเขยื้อนเลย เพราะเป็นเหล็กกายสิทธิ์น้ำหนักถึงหมื่นสามพันห้าร้อยชั่ง ถ้าเราจะบอก กระบองให้ใหญ่ออกไปก็ได้ จะบอกให้เล็กเข้ามาก็ได้ตามความประสงค์ แต่น้ำหนักก็คงอยู่เท่านั้น แล้วหงอคง ก็สั่งให้ใหญ่ให้เล็กให้พวกบริวารทั้งหลายเห็นทั่วกัน จนที่สุดให้เล็กเท่าเข็มเอาขึ้นทัดหูก็ได้ แล้วหงอคงเดินออกมา นอกถ้ำ ก็ทำแผลงอิทธิฤทธิ์ให้พวกวานรดูต่าง ๆ กระทำให้กายสูงเท่าพระสุเมรุก็ได้ รูปร่างน่ากลัว นัยน์ตาดุจสาย ฟ้าแลบ ปากกว้างดังบ่อ เขี้ยวแลฟันคมเหมือนหอกดาบ มือทั้งสองข้างยกขึ้นสูงสิบสองชั้นฟ้า
   เมื่อหงอคงทำแผลง ฤทธิ์ครั้งนั้นก็บันลือสะเทือนไปถึงพระยาปิศาจยักษ์ทุก ๆ ถ้ำทั้งเจ็ดสิบสองถ้ำ มีความกลัวเกรงหงอคง ก็ก้มศีรษะยกมือ คำนับ ในอกใจให้สั่นไปทุก ๆ คน แล้วหงอคงก็กลายกลับเท่ารูปเดิม แต่กระบองเหล็กนั้นให้เล็กเท่าเข็มเหน็บซ่อน ไว้ในหู แล้วก็กลับเข้ามาในถ้ำขึ้นบนแท่น พวกปิศาจยักษ์ทั้งหลายก็เข้ามาคำนับพร้อมกัน หงอคงจึงสั่งให้พลทหาร วานรทั้งหลายยกธงอาญาสิทธิ์ แลตีกลองฝึกหัดทหารซักซ้อมให้พร้อมเพรียงในกระบวนศึกทุก ประการ แล้วหงอคงก็จัดตั้งวานรให้เป็นนายทหารใหญ่สี่วานร คือ ลิงเสนสองตัวนั้นให้เป็นที่หลิว เบ๊แม่ทัพ ชะนีสองตัวนั้นตั้งให้เป็นนายทหารเอกคือปั่งป้าเจียงกุ๋น
   หงอคงจึงมอบการฝึกหัดแลการ รับผิดชอบให้นายทหารวานรทั้งสี่จัดแจงดูแลแทนตัว เสร็จแล้วหงอคงก็เที่ยวเหาะไปรอบจักรวาลคบ เพื่อนมิตรสหายแต่ที่มีฤทธาศักดานุภาพแข็งแรง คือ พระยาหงู้หม้ออ๋อง ชาติกระบือ หนึ่ง พระยา เกาหม้ออ๋อง ชาตินาคา หนึ่ง พระยาพังหม้ออ๋อง ชาตินกอินทรี หนึ่ง พระยาไซท่ออ๋อง ชาติสิงโต หนึ่ง พระยามีเกาอ๋อง ชาติค่าง หนึ่ง พระยาโง่ซุดอ๋อง ชาติหมี หนึ่ง รวมทั้งหงอคงไต้อ๋องเป็น เจ็ดพระยาด้วยกัน ชวนกันมาประชุมฝึกหัดซักซ้อมกำลังแลฝีมือกันเล่นเสมอ ๆ เป็นที่รื่นเริงสำราญ มาช้านาน อยู่มาวันหนึ่ง หงอคงให้จัดอาหารเลี้ยงเชิญสหายทั้งหกคนมาเสพสุราเป็นที่รื่นเริงสำราญใจ
   ครั้นเลี้ยงดูกันเสร็จแล้ว สหายทั้งหกพระยาก็ลาหงอคง หงอคงก็ออกมาส่งสหายทั้งหกคน แต่เมื่อจะกลับเข้าถ้ำ หงอคงเมาสุรามาก ยืนพิง ต้นไม้หลับไป ให้เกิดนิมิตฝันว่า มีบุรุษสองคนเดินตรงเข้ามามีมือถือป้ายหนังสือ ในป้ายจารึกอักษรสามตัวว่า ซึงหงอ คง ครั้นเข้ามาใกล้แล้ว บุรุษสองคนนั้นก็เอาเชือกมัดมือหงอคงฉุดลากไปจนถึงกำแพงแห่งหนึ่ง ในขณะเวลาฝันนั้น หงอคงพอสร่างเหล้า จึงแหงนหน้าขึ้นดูบนหน้าประตูกำแพง มีป้ายเหล็กแผ่นหนึ่งมีหนังสืออักษรใหญ่สามตัวว่า อู เบงก่าย คือ ต้นอาณาเขตเมืองนรก
   หงอคงเห็นดังนั้นก็ได้สติ พูดว่า ที่นี่อูเบงก่าย ทำไมเราจึงมาที่นี่ได้เล่า บุรุษทั้ง สองได้ยินหงอคงถามดังนั้นจึงบอกว่า ในมนุษยโลกอายุของท่านสิ้นแล้ว เราทั้งสองได้รับคำสั่งของเงี่ยมฬ่ออ๋อง คือ พระยามัจจุราช ให้จับตัวท่านมา หงอคงได้ฟังดังนั้นจึงพูดแก่คนทั้งสองว่า เราออกจากสามภพแล้ว ไม่ได้อยู่ในธาตุทั้งสี่ แลมิได้อยู่ ในบังคับของผู้ใด เหตุใดจึงบังอาจไปจับเรามาทำไม จะพาเราไปข้างไหน คนทั้งสองก็ไม่ฟัง เข้าฉุดคร่าจะพาเอาตัว หงอคงไปให้ได้ หงอคงเกิดโทโสขึ้น มือจับกระบองเหล็กกายสิทธิ์ตีถูกคนทั้งสองป่นละเอียดไป
   แล้วหงอคงก็ควง กระบองเหล็กตีกระหนาบเข้าไปในกำแพงเมือง พวกยมบาลหน้าม้าหน้ากระบือพากันวิ่งหลบหนีไปสิ้น บ้างก็วิ่งเข้าไป แจ้งความแก่พระยามัจจุราชว่า ภัยจะมาถึงท่านใดเดี๋ยวนี้แล้ว ข้างนอกนั้นสัตว์อะไรข้าพเจ้าก็ไม่รู้จัก เหมือนรามสูร หน้ามีขนรุงรัง ตีกระหนาบเข้ามา จวนจะถึงท่านอยู่แล้ว เงี่ยมฬ่ออ๋องทั้งสิบคนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ รีบจัดแจงแต่งกาย เสร็จแล้วก็เดินออกไปดู เห็น วานรตัวหนึ่งทำกิริยาดุร้ายยิ่งนัก จึงร้องว่า ท่านไต้เซียนจงหยุดก่อน ท่านชื่อไร เหตุไรจึงได้ทำบังอาจล่วงเกินดังนี้ หงอคงตอบว่า ท่านไม่รู้จักชื่อเราหรือ ทำไมท่านอาจสามารถใช้ให้คนของท่านไปจับเรามาทำไม ซึ่งท่านมาถามเรา เราจะบอกให้ เราอยู่เขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง ฟ้ามาบังเกิดคือตัวเรา แซ่ซึง ชื่อหงอคง ตัวท่านเป็นขุนนางตำแหน่งอะไร รีบบอกเรามาโดยเร็ว
   เงี่ยมฬ่ออ๋องทั้งสิบคนจึงบอกแก่หงอคงว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายเหล่านี้ที่หนึ่งชื่อ ซินกวั้งอ๋อง ที่สองชื่อ โซ้กังอ๋อง ที่สามชื่อ ซังตี๋อ๋อง ที่สี่ชื่อ เหงากัวอ๋อง ที่ห้าชื่อ เงี่ยมฬ่ออ๋อง ที่หกชื่อ เบี่ยนเส้งอ๋อง ที่เจ็ดชื่อ ทั้ยซั้นอ๋อง ที่แปดชื่อ เพ็งเต็งอ๋อง ที่เก้าชื่อ เตาฉีอ๋อง ที่สิบชื่อ จ๊วนลุ้นอ๋อง ข้าพเจ้าทั้งสิบนี้คือเป็นพระยามัจจุราช ได้ดูการ งานในที่อันนี้
 หงอคงได้ฟังพระยาเงี่ยมฬ่ออ๋องบอกชื่อแลตำแหน่งดังนั้นแล้ว จึงว่า ท่านทั้งหลายก็มีเกียรติ ยศ ยุติธรรมแลเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดจึงไม่รู้การดีแลชั่ว ตัวเราก็ได้บวชรักษาศีลเจริญกุศลภาวนาได้สำเร็จบรรลุธรรม วิเศษข้ามพ้นจากภพทั้งสามแล้ว อายุเราก็ยืนเสมอเท่าฟ้าแลดินปราศจากธาตุทั้งสี่ดินน้ำลมไฟแล้ว ทำไมท่านจึง ใช้ให้คนไปจับเรามา ท่านจะทำอะไรแก่เราหรือ เงี่ยมฬ่ออ๋องทั้งสิบจึงว่า ขอท่านได้ระงับความโกรธเสียก่อน เราจะว่าให้ท่านฟัง ด้วยในใต้หล้า นี้ชื่อเดียวแซ่เดียวกันหรือพ้องกันก็มีโดยชุกชุม ซึ่งคนทั้งสองไปจับท่านมานั้นบางทีจะจับผิดไป
   หงอคงตอบว่า ท่าน ทั้งหลายพูดไม่เป็นยุติธรรม ถ้าเจ้าใช้แลนายใช้ จะผิดอะไรแก่คนไปจับ ท่านจงรีบไปเอาสารบบมาให้เราดูเดี๋ยวนี้ เงี่ยมฬ่ออ๋องจึงเชิญหงอคงขึ้นไปนั่งบนที่นั่งซันหลอ คือ ที่พระยามัจจุราชรับแขก หงอคงก็ขึ้นไปนั่งอยู่ท่ามกลาง พระยามัจจุราช พระยามัจจุราชจึงให้ขุนนางนำสมุดสารบัญชีชื่อสัตว์เกิดตายมาให้หงอคงไต้อ๋องดู หงอคงก็หยิบ สารบบคลี่เปิดพลิกไปดูตลอด ๆ ทุกสัตว์ที่มีปีกมีขนจนถึงวานรลักษณะคล้ายคนแต่ไม่มีชื่อแลแซ่เหมือนมนุษย์ ไม่อยู่ในบังคับสัตว์ทั้งหลาย
  หงอคงหยิบสารบบเล่มอื่นมาตรวจดูอีกจนถึงชื่อหงอคงว่า อากาศประมวลศิลาเกิด มีกำหนดอายุ ยืนสามร้อยยี่สิบสองปีจึงจะสิ้นอายุ หงอคงตรวจดูเห็นดังนั้นแล้ว จึงหยิบพู่กันจุ้มน้ำหมึกเข้า แล้วก็ตรวจดูอีก ถ้าเห็น ที่ไหนมีชื่อวานรก็ขีดกาลบเสียทั้งสิ้น แล้วจึงพูดว่า ตั้งแต่นี้ไปเราไม่ต้องอยู่ในบังคับผู้ใดทั้งสิ้นในโลกนี้ ครั้นลบบัญชี เสร็จแล้ว หงอคงก็จับกระบองควงเดินออกมา เงี่ยมฬ่ออ๋องทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่อาจเข้าใกล้หงอคง ครั้นหงอคงไป แล้ว เงี่ยมฬ่ออ๋องทั้งสิบคนก็ชวนกันทำฎีกาจะถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ แต่ยังมิได้ถวาย
   ฝ่ายหงอคงในขณะเมื่อฝันว่าออกมาจากนรกแล้วเดินไปสะดุดเถาวัลย์เข้าเกือบจะล้ม ก็ได้สติตกใจ ตื่นขึ้น รู้สึกตัวว่าเป็นความฝัน บิดกาย แล้วก็ลืมตาขึ้นทันที พอได้ยินเสียงวานรทั้งสี่ซึ่งเป็นทหารเอกพูดว่า ไต้อ๋องเสพ สุราเห็นจะเมามากไปกระมัง เมื่อคืนนี้ยืนหลับทั้งคืนไม่ตื่นเลย หงอคงบอกว่า เมื่อคนนี้ เราหลับไปหน่อยหนึ่งก็ฝันว่า มีคนสองคนมาจับตัวเราไปจนถึงเมืองพระ ยามัจจุราช จึงได้สร้างเมาได้สติมา เมื่อในฝันว่า เราได้ไปในปราสาทเงี่ยมฬ่ออ๋องทั้งสิบ แลได้พูดโต้ตอบกัน แก่พระยามัจจุราช
   พระยามัจจุราชจึงเอาสารบบบัญชีซึ่งกำหนดเกิดตายของสัตว์ทั้งหลายมาให้เราดู เราดูแล้วแลเห็นชื่อ เรา แลชื่อท่านทั้งหลาย เราจึงเอาพู่กันจุ้มน้ำหมึกลบเสียสิ้นแล้ว เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไป พวกเราไม่ต้องอยู่ใน บังคับผู้ใดทั้งสิ้น พวกวานรทั้งหลายเมื่อได้ฟังหงอคงเล่าให้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี พากันกราบไหว้สรรเสริญหงอคง แลขอบพระคุณขึ้นพร้อมกันทั้งสิ้น เพราะอาศัยเหตุนี้ วานรทั้งหลายจึงมีอายุยืนมาก หงอคงอยู่ในถ้ำกับด้วยฝูงบริวาร เป็นสุขสำราญมาช้านาน ฝ่ายเง็กเซียงฮ่องเต้วันหนึ่งเสด็จออกพระที่นั่งวิมานเหลงเซียวโป๊เต้ย แวดล้อมไปด้วยหมู่เทพยดาทั้งหลาย เฝ้าพร้อมหน้ากัน
   ในขณะนั้น มีเทพบุตรดูฮ้วงเจ๋องค์หนึ่งกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ ข้างนอกมีพระยาเง่าก๊วง เล่งอ๋องอันอยู่สำนักยังมหาสมุทรทิศฝ่ายบูรพาจะมาเฝ้าถวายฎีกาด้วยเรื่องอันใดไม่ทราบ บัดนี้ อยู่ข้างนอก เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงทราบดังนั้นจึงมีรับสั่งให้นำพระยานาคเข้ามาเฝ้า พระยานาคก็ถวายฎีกาแก่ เง็กเซียงฮ่องเต้ เทพบุตรเซียงกง พนักงานรับฎีกา ก็อ่านฎีกาถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ ในฎีกามีใจความ ว่า
 ข้าพระพุทธเจ้า เง่าก๊วง ซึ่งเป็นผู้รักษาเขตมหาสมุทรใหญ่ในทิศบูรพา ขอพระราชทานกราบ ทูลทรงทราบ ด้วยที่เขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง มีปิศาจลิงชื่อ ซึงหงอคง มีความหมิ่นประมาท ดูถูกพระบารมีของพระองค์ ลงไปที่บาดาล บังคับขอเครื่องอาวุธแลเครื่องแต่งตัว
 ข้าพระองค์ก็ให้แท่ง เหล็กกายสิทธิ์ที่สะกดจมอยู่กลางใจทะเล แลหมวกปีกหงส์ทองคำหมวกหนึ่ง เกราะทองคำสำรับ หนึ่ง รองเท้าใยบัวคู่หนึ่ง รวมสี่สิ่งแล้ว หงอคงยังทำอิทธิฤทธิ์กดขี่ข่มเหง
 ข้าพระพุทธเจ้าไม่สามารถจะต่อต้านสู้รบได้ ขอพระองค์ได้โปรดมีเทวบัญชาให้เทพยดาองค์ใดไป ปราบปรามจับตัวหงอคงมาลงโทษให้เข็ดหลาบ
 ข้าพระพุทธเจ้าจะได้รักษาอาณาเขตในท้องทะเลให้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป เมื่อเง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงทราบความฎีกาของพระยานาคแล้ว จึงรับสั่งว่า ท่านจงกลับไปรักษามหาสมุทรตามเดิม การต่อไปเราจะคิดอ่านปราบปราม
  ขณะนั้น มีกัดเซียงกงเทพยดาองค์หนึ่งกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ขึ้นว่า ขอพระองค์จงทราบ บัดนี้ มีพระยามัจจุราชจะเข้ามาถวายฎีกา แลมีชื่อพระตี้จองอ๋องในฎีกาด้วย แล้วส่งฎีกาให้เทพบุตรเจ้าหน้าที่นำฎีกา ถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ ใจความในฎีกามีว่าในเมืองนรก อาณาเขตฟ้าแลดิน ก็มีเจ้า แลมีวนเวียน กลับไปกลับมา คือ เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วกลับเกิด แลย่อมมีสภาพลิงคเพศพันธุ์เป็นหญิงแลชาย เป็นไปตามกำหนดแห่งยถากรรมของสัตว์ที่ประกอบกรรมดีแลกรรมชั่วอันจะให้เป็นวิบากผล ตกแต่งสัตว์ แต่บัดนี้ ที่เขาฮวยก๊วยซัว
   ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง มีศิลาก้อนหนึ่งต้องแสงพระอาทิตย์พระ จันทร์ แลดินฟ้าอากาศธาตุ ฤดูร้อนแลเย็น บังเกิดเป็นลิงปิศาจตัวหนึ่งขึ้นชื่อ ซึงหงอคง ทำ อำนาจดุร้าย ดื้อดึง ไม่ยอมอยู่ในบังคับบัญชาของผู้ใด แผลงฤทธาศักดานุภาพรุกไล่ตีตลอดไป ถึงเมืองนรก รบกวนรุกรานไปกระทั่งปราสาทที่อยู่ของพระยามัจจุราช บังคับให้ข้าพระพุทธเจ้านำเอา สารบบบัญชีชื่อจำนวนพวกวานรมาลบเสียหมดว่าไม่อยู่ในบังคับของความเกิดดับ ฉะนี้ ขอพระเป็น เจ้า เป็นประธานแห่งเทวโลกได้โปรดปราบปรามเสียให้ราบคาบ สวรรค์แลนรกจึงจะเป็นไปตามนิยม แห่งยถากรรมของสัตว์ได้
   ฝ่ายพระผู้เป็นเจ้าแห่งโลกจึงมีเทวบัญชาให้พระยามัจจุราชกลับไปยังที่อยู่ก่อน แล้วพระองค์จึงจะจัดการต่อไป เง็กเซียงฮ่องเต้จึงมีรับสั่งถามเทพบุตรทั้งหลายว่า สัตว์เดรัจฉานวานรตัวนี้เกิดเมื่อไร ถือความปาฏิหาริย์อย่างไร จึงได้วิชาอันเชี่ยวชาญอย่างนี้ เทพยดาทั้งหลายก็พากันนิ่งอยู่ ไม่มีเทพบุตรพระองค์ใดกราบทูลประการใด มีเทพยดาสองพระองค์มีนามว่า เชยหลีงั้น พระองค์หนึ่ง นามว่า ซุ่นฮองฮี้ พระองค์หนึ่ง เทพบุตรทั้งสองนี้กราบทูลขึ้นว่า วานรนี้เมื่อสามร้อยปีก่อนประกอบอากาศธาตุฟ้าดินบังเกิด แล้วต่อมาไม่ทราบว่า จะไปบวชเรียนแห่งหนตำบลใดจึงได้วิชาอันเชี่ยวชาญ บรรดายักษ์ แลปิศาจ แลสัตว์ทั้งหลายย่อมอยู่ในอำนาจลิง ตัวนี้
   เง็กเซียงฮ่องเต้จึงตรัสว่า ถ้าดังนั้น ต้องให้เทพยดาที่มีมหิสรเดชาลงไปปราบเสียงโดยเร็ว จึง จะได้ ในขณะนั้น ไทเป๊กกิมแช เทพยดาผู้ใหญ่ จึงกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่า ในไตรโลกธาตุอันนี้มี ทวารทั้งเก้าแลมีความประพฤติดีแล้วบวชเรียนก็คงสำเร็จได้ดังประสงค์ วานรตัวนี้ประกอบด้วยกำลังอากาศธาตุ ฤดูฟ้าดิน บังเกิดมีลักษณะรูปคล้ายมนุษย์ จึงไปบวชเล่าเรียนรู้วิชาเชี่ยวชาญเหมือนมนุษย์ไม่ผิดกัน
   ขอพระองค์ได้ทรง พระเมตตาโปรดอย่าให้เสียเกียรติยศแห่งเซียนทั้งหลายเลย ข้าพระองค์จะขออาสาไปเกลี้ยกล่อมขึ้นมาตั้งเป็นขุน นางแต่เล็กน้อยเพื่อให้อยู่ในอำนาจของพระองค์ ถ้าประพฤติดีมีความชอบอยู่ในเทวบัญชา ก็แล้วแต่จะโปรด ประทานบำเหน็จรางวัลตามความชอบ ถ้ามิอยู่ในบังคับบัญชา จึงค่อยจับตัวลงโทษเมื่อภายหลัง เพราะเขาก็ได้เล่า เรียนแลบวชเป็นนักพรต คงมีภูมิแลนิสัยในมรรคผลหนทางอันดีอยู่แล้ว จึงตั้งตัวมีอำนาจอันดีได้ฉะนี้
   เมื่อเง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็มีพระทัยยินดีเห็นชอบด้วย จึงรับสั่งแก่ปุนเต็กแชกุน สมุห์บัญชี ใหญ่ ให้แต่งพระอักษรพระราชทานให้แก่ไทเป๊กกิมแชลงไปเกลี้ยกล่อมหงอคง ครั้นพนักงานแต่งพระอักษรเสร็จแล้ว ไทเป๊กกิมแชก็ถวายเทวราชทูตลงมาเชิญไต้อ๋องนายพวกเจ้า ให้ขึ้นไปเฝ้าเดี๋ยวนี้ พลวานรที่เฝ้าประตูชั้นนอกได้ฟังดังนั้นจึงบอกกันต่อ ๆ ไปเป็นชั้น ๆ จนถึงวานรที่เป็นนายใหญ่ก็ นำความแจ้งแก่หงอคงไต้อ๋องตามถ้อยคำของเทพยดา
   ซึงหงอคงได้ฟังวานรบอกดังนั้นก็มีความยินดีเป็นที่สุด แล้วจึงว่า เมื่อสองวันก่อนนั้น เราก็คิดอยู่แล้ว ว่า จะไปเฝ้าพระอิศวรผู้เป็นเจ้าจอมพิภพ มาวันนี้ บังเอิญมีเทวราชทูตลงมาเชิญตัวเรา เรามีความยินดียิ่งนัก ว่า แล้วก็จัดแจงแต่งกายออกไปรับเทวราชทูต ครั้นออกมาถึง เห็นไทเป๊กกิมแช ก็เชิญให้เข้าไปในถ้ำ ให้นั่งที่อันสมควร แล้วยกน้ำชามาเลี้ยงดู กันตามธรรมเนียม ไทเป๊กกิมแชแจ้งความแก่หงอคงไต้อ๋องว่า บัดนี้ เง็กเซียงฮ่องเต้มีเทวบัญชาให้ข้าพเจ้ามา เชิญท่านไต้อ๋องขึ้นไปเฝ้า จะพระราชทานตำแหน่งยศ ให้ท่านมีอำนาจในเทวสถานด้วย หงอคงได้ฟังไทเป๊กกิมแชบอกดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดว่า ขอบพระคุณของพระผู้เป็นประธานโลก วันนี้ท่านได้มาถึงสถานที่อยู่แห่งข้าพเจ้าแล้ว ขอเชิญท่านผู้เป็นเทพยดาใหญ่รับประทานอาหารด้วยข้าพเจ้าสัก มื้อหนึ่ง
   ไทเป๊กกิมแชตอบว่า ขอบใจท่านแล้ว แต่จะอยู่ช้ามิได้ ด้วยมีรับสั่งให้กลับโดยเร็ว พระเป็นเจ้ายัง คอยท่านอยู่ ขอเชิญท่านไต้เซียนขึ้นไปเฝ้าโดยเร็วเถิด
หงอคงจึงเรียกวานรซึ่งเป็นนายใหญ่ ทหารเอกทั้งสี่นายมามอบหมายกิจการทั้งปวงให้รับผิดแลชอบ ดูแลรักษาอาณาเขตเขาฮวยก๊วยซัวเสร็จแล้ว ก็พร้อมกับไทเป๊กกิมแชออกจากถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องสำรวมจิตร่ายพระเวท ให้กายเบาเหาะลอยขึ้นไปยังชั้นดาวดึงส์พิภพ

[เล่ม 1] ตอนที่ 2 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖      
      ยี่หนึงจินกุนเดิมอยู่ลำแม่น้ำก๊วนจิวที่ปากน้ำ เป็นหลานของเง็กเซียงฮ่องเต้ เวลาเมื่อเห้งเจียทำสงครามกับเทพบุตร ๆ สู้เห้งเจียไม่ได้เง็กเซียงฮ่องเต้รับสั่งให้มาช่วยกำจัดจับตัวเห้งเจียได้ ยี่หนึงจินกุนมีฤทธิ์อานุภาพมากแปลงตัวได้หลายประการ จึงสามารถจับเห้งเจียได้ ครั้นกำจัดเห้งเจียแล้ว มีความชอบได้รับรางวัลของเง็กเซียงฮ่องเต้
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ คือหลีซิบิ๋นเป็นพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง พระองค์เป็นสมเด็จพระราชโอรสของพระเจ้าถังโกโจ๊คือถังตงหลีเอี๋ยน พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ครองราชสมบัติมาได้สิบสามปี ก็ประชวรสวรรคตได้สามวันแล้วกลับฟื้น เมื่อพระองค์นิ่งแน่ไปสามวันนั้น พระองค์ลงไปยังเมืองนรก ได้เห็นสัตว์นรกทนทุกเวทนาแสนสาหัส ครั้นพระองค์กลับฟื้นคืนมา ก็มีพระทัยศรัทธาเชื่อกรรมเชื่อผล ทรงสละพระราชทรัพย์แจกจ่ายไชยทาน กระทำการพระราชกุศลต่าง ๆ ครั้นมาวันหนึ่งพระโพธิสัตว์กวนอิม แปลงกายเป็นเถรมาแนะนำให้พระองค์คิดไปอาราธนาพระไตรปิฎก มาตั้งพิธีสวดอุทิศให้พวกที่สู่กรรมนั้นได้พ้นโทษ พระองค์รับจึงสั่งให้พระถังซัมจั๋งไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม
งุยเต็ง เป็นขุนนางผู้ใหญ่ของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ เป็นผู้สำเร็จราชการ งุยเต็งถอดดวงจิตได้ทำราชการอยู่ในเมืองมนุษย์ แต่ถอดดวงจิตไปเป็นเพชรฆาตของเง็กเซียงฮ่องเต้ในสวรรค์ เมื่อพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงพระสุบินว่า มีพระยานาค มาขอให้พระองค์ช่วยชีวิต พระองค์ได้รับคำกับพระยานาคแล้ว จึงให้งุยเต็งเข้ามาในพระราชวังทรงเล่นหมากรุก มิได้ทรงทราบว่างุยเต็งถอดดวงจิตได้ เมื่อเวลากำลังเดินหมากรุกอยู่งุยเต็งง่วงหลับไปทีหนึ่ง ก็ไปฆ่าพระยาเล่งอ๋องที่กลางอากาศ งุยเต็งมีบุตรหญิงคนหนึ่งยกให้ตั๊นกองหยีจอหงวนเป็นภรรยา
ตั๊นกองหยีจอหงวนเข้าสอบไล่วิชาหนังสือได้ชั้นที่หนึ่ง เป็นขุนนางของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ชำนาญในการหนังสือยิ่งกว่าขุนนางทั้งปวงในเวลานั้น ได้บุตรสาวงุยเต็งชื่อนางอุนเกี๋ยวเป็นภรรยา มีบุตรชายคือถังซัมจั๋ง มารดาคือนางเตียวสีมีรับสั่งให้ไปกินเมืองกังจิว เมื่อลงเรือจ้างเล่าฮองเจ้าของเรือคิดร้าย จับตั๊นกองหยีมัดผลักลงน้ำ พระยานาครับไปเลี้ยงไว้มาจนพระถังซัมจั๋งบวชแล้ว จึงได้กลับมาเมืองมนุษย์ได้
นางอุนเกี๋ยวเป็นบุตรงุยเต็งขุนนางผู้ใหญ่ ได้สามีคือตั๊นกองหยีจอหงวน มีบุตรชายคือพระถังซัมจั๋ง เมื่อนางตั๋นกองหยีจอหงวนจะไปเมืองกังจิว มากลางทางถูกโจรจับสามีทิ้งน้ำ เก็บเอาตรากับหนังสือสำคัญพานางไปเมืองกังจิว เวลานั้นนางกำลังมีครรภ์จำเป็นต้องตามใจเล่าฮ่องไปจนคลอดบุตรแล้ว ต่อพระถังซัมจั๋งได้บวชแล้ว นางจึงได้กลับเมือง
นางเตียวสีเป็นมารดาของตั๊นกองหยีจอหงวน เป็นย่าของพระถังซัมจั๋ง เมื่อตั๊นกองหยีได้เป็นขุนนางจะออกไปกินเมืองกังจิวก็รับมารดาไปด้วย แต่มากลางทางบังเอิญมารดาเป็นไข้ไปไม่ได้ ตั๊นกองหยีมีราชการร้อน ก็เช่าที่พักให้มารดาอยู่รักษาตัว ครั้นตั๊นกองหยีไปถูกโจรกระทำร้าย ตั้งแต่นั้นมาก็มิได้ข่าวเลย นางเตียวสีตั้งตาคอยบุตรร้องไห้จนตามัวมืดเป็นฝ้าแลไม่เห็นสิ่งใด มาจนพระถังซัมจั๋งได้บวชแล้วมาตามหา เลียตาให้ตาจึงได้สว่าง ต่อภายหลังมารดากับบุตรแลวงศ์ญาติจึงได้พร้อมกัน
จีนแสอวนซิ้วเซ้งเป็นบุตรอวนทีกังขุนนางฝ่ายโหร จีนแสอวนซิ้วเซ้งเป็นหมอดูทายดุจตาเห็น วิเศษกว่าหมอดูทั้งปวง พระยาเล่งอ๋องในมหาสมุดเกียฮ้อแปลงตัวมาทดรองความรู้ จีนแสทายดังตาเห็นเธอตั้งโต๊ะดูอยู่ที่ประตูเมืองข้างทิศตะวันตกในเมืองเชียงอาน
(บทที่ ๒)
มุ้ยเกาอ๋องได้ชื่อที่พระอาจารย์ตั้งให้แล้ว ก็ชื่นชมยินดีเป็นที่สุดพระอาจารย์จึงสั่งศิษย์ทั้งหลายให้นำหงอคงออกไปที่ลานวัด กวาดล้างสิ่งโสโครกให้หมดสะอาด เพื่อรู้จักขนบทำเนียมที่ทางซึ่งจะไปมาให้รอบคอบ หงอคงกราบลาพระอาจารย์ สานุสิษย์ทั้งหลายก็พาหงอคงออกมาจัดที่หลับที่นอนข้างระเบียงนั้น ครั้นเวลาเช้า ๆ ทุกวันหงอคงก็เล่าเรียนหนังสือแลหัดเขียนหัดอ่าน แลทำการกิจวัตรต่าง ๆ บ้าง บางเวลาว่างการเล่าเรียนแล้วก็ปลูกต้นไม้ตักน้ำรดต้นไม้ในสวนแลขุดดินดายหญ้าในสวนตามเวลาการ
      ครั้นอยู่ประมาณได้หกเจ็ดปีแล้ว มาวันหนึ่งพระอาจารย์
ประชุมสานุศิษย์ทั้งหลายพร้อมกัน พระอาจารย์ก็ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์​แสดงในพระไตรลักษณ์ญาณ แลพระไตรสรณาคม แลพระไตรปิฎกธรรม แลญาณสามกิจสิบหกในอริยะสัจสี่ซึ่งเป็นพระพุทธศาสนาแท้ แลถ้อยคำของพระอิสีดาบถ แลคำของนักปราชญ์ทั้งหลายมีขงจู๊เป็นต้น แต่ในพระพุทธศาสนาคำที่เรียกว่า ภาษิตนั้นมีอยู่สี่ประการ คือหนึ่งพุทธภาษิต สองสาวกภาษิต สามอิสีภาษิต สี่เทวดาภาษิต รวมคำภาษิตเป็นความแสดงธรรมคำสอนเพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงลงเป็นหนึ่งในดวงจิตเป็นใจความดังนี้ ธรรมที่ไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายนั้น คือ (อมัตตะธัม) อันท่านจัดเป็นอะสังขะตะธรรม ได้แก่พระนฤพาน ให้ผู้ปฏิบัติกระทำความเพ่งธรรมนั้นอยู่เป็นอารมณ์เสมอ
      เมื่อขณะกำลังพระอาจารย์แสดงธรรมอยู่นั้น ซึงหงอคงฟัง
คำแสดงธรรมเกิดปีติยิ่งนัก ก็เกาหูแลเกาคางกระทำกิริยาหน้าเลิกรื่นเริง แลกระโดดโลดเต้นตบมือตามวิสัยเดิมของตนที่เป็นชาติวานร ฝ่ายพระอาจารย์โผเถโจ๊ซือเหลือบมาเห็นเข้า จึงถามซึงหงอคงว่า กำลังในที่ประชุมสดับธรรมเทศนาอยู่พร้อมกัน ทำไมตัวจึงไม่รักษากิริยาสำรวมกายวาจา ทำเป็นบ้าหลังตบมือโลดเต้นอย่างนั้นเล่า
      ซึงหงอคงจึงตอบว่า ข้าพเจ้าตั้งใจฟังพระอาจารย์แสดง
ธรรมไพเราะเพราะหูจับใจเกิดปีติโสมนัสศรัทธาหาที่เปรียบมิได้ ก็เผลอสติไปโดยอำนาจปีติ จึงบังเกิดความไหวติงไปทั่วกายแลใจ ขอพระอาจารย์เจ้าได้กรุณายกโทษให้แก่ข้าพเจ้า ​พระอาจารย์จึงถามว่า ตัวฟังเพราะหูนั้นยังจะรู้สึกหรือไม่ว่าตนมาอยู่ในถ้ำนี้ได้กี่ปีแล้ว
      หงอคงจึงตอบว่ามากแลน้อยเท่าใดตามเวลากาลนั้น
ข้าพเจ้าไม่สามารถจะทราบได้ แต่ข้าพเจ้าจำได้ว่าเคยไปเก็บฟืนข้างเขานั้น เห็นต้นชมพู่งามที่ข้าพเจ้าเคยเก็บกินอิ่มเจ็ดครั้งแล้ว พระอาจารย์จึงพูดว่า ที่หลังเขานั้นเรียกชื่อว่า (ลันท้อซัว) ตัวเคยเก็บลูกชมพู่กินเจ็ดครั้งนั้นคือ กำหนดไว้เจ็ดปี ตัวมาอยู่กับเราประสงค์จะเรียนรู้ธรรมเพื่อมรรคผลในที่สุดอย่างไรหรือ จงชี้แจงความประสงค์ในใจเจ้า
      หงอคงตอบว่า ขอพระอาจารย์ได้โปรดแล้วแต่จะเมตา     ให้เรียนธรรมอันใด ที่ควรแก่มรรคผลจะพึงได้แลถึง ข้าพเจ้าก็จะปฏิบัติตามทุกประการกว่าจะสำเร็จได้
   พระอาจารย์จึงชี้แจงว่า ในพระคำภีร์มีสามร้อยหกสิบคำภีร์ ทุก ๆ คำภีร์ย่อมประกอบเป็นทางมรรคผลได้ เราไม่รู้ว่าตัวเจ้าจะพอใจเรียนคำภีร์ใด ซึงหงอคงจึงตอบว่าขอพระอาจารย์โปรดใคร่ครวญดูว่า คำภีร์ใดจะควรแก่นิสัยสันดานแห่งข้าพเจ้า
 (๑) พระอาจารย์จึงว่า เราจะให้เจ้าเรียนพระคำภีร์ (ซุดหมึ้ง) คือเวทย์เจ้าจะชอบหรือไม่ ​ซึงหงอคงถามว่า คำภีร์ (ซุดหมึ้ง) อธิบายว่าอย่างไร ขอพระอาจารย์ได้โปรดแสดงให้ข้าพเจ้าทราบด้วย พระอาจารย์จึงว่า (ซุดหมึ้ง) นั้น คือเชิญเจ้าเข้าทรงแลเชิญเทพารักษ์เรียกปิศาจต่าง ๆ ได้ทำกิริยาเหล่านี้ เป็นอารมณ์ หงอคงถามอาจารย์ว่า ถ้าเรียนกิจเหล่านี้เสร็จแล้ว ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายหรือ อาจารย์ตอบว่าไม่พ้น หงอคงว่า ถ้าอย่างนั้นข้าพเจ้าของดไว้ก่อนยังไม่เรียน
 (๒) พระอาจารย์บอกว่าถ้าดังนั้นจะให้เรียน (หลิวหมึ้ง) จะพอใจหรือไม่ หงอคงถามว่าคำภีร์ (หลิวหมึ้ง) มีความว่ากระไร ขอพระอาจารย์ได้โปรดอธิบายให้ข้าพเจ้าเข้าใจ พระอาจารย์บอกว่า (หลิวหมึ้ง) นั้น คือจับยามดูฤกษ์คูณหารพระเคราะห์ร้ายดี แลแพทย์ยาอันจะรักษา โรคต่าง ๆ หมอดูภูมิศาสตร์แผนที่ดีร้าย กะหมายยึดเหล่านี้เป็นอารมณ์ หงอคงถามว่า เรียนคำภีร์เหล่านี้อายุจะยืนไม่ตายหรือไม่ ขอพระอาจารย์ได้โปรดชี้แจง พระอาจารย์จึงพูดว่า แม้ท่านอยากจะเรียนทางอายุยืนนั้น ต้องเหมือนเสาตั้งอยู่กลางเรือน หงอคงถามว่า เสาตั้งอยู่กลางเรือนนั้นอย่างไร ข้าพเจ้าคนโง่ยังหาเข้าใจไม่ ขอท่านได้กรุณาโปรดอธิบาย ​พระอาจารย์จึงพูดว่า เปรียบเหมือนคนทั้งหลาย เมื่อจะปลูกเรือน ก็หวังใจจะให้มั่นคงยืนยาว จึงยก เสาขึ้นตั้งค้ำอยู่กลางเรือน ย่อมไม่ซุดไม่เซเรือนจึงตั้งอยู่นานได้ หงอคงว่าถ้าเช่นนั้น กิริยาที่ทำเพียงเท่านั้น ข้าพเจ้ายังไม่เห็นว่าจะยั่งยืนดำรงถาวรไปได้สักเท่าใด ข้าพเจ้า ของดก่อนยังไม่เรียน
 (๓) พระอาจารย์ว่า ถ้าดังนั้นเราจะสอนให้เจ้าเรียนทาง (เจ่งหมึ้ง) คือระงับเจ้าจะพอใจหรือไม่ หงอคงถามพระอาจารย์ว่า (เจ่งหมึ้ง) นั้นคือมีความประการใด พระอาจารย์ตอบว่า อดอาหารทำในใจให้หมดความกระสับกระส่าย เข้าที่หลับตาถือศีลห้ามเจรจาต่าง ๆ นั่งขัดสมาธินิ่งอยู่กับที่ไมไหวติง หงอคงถามว่า ถ้าทำกิจเหล่านี้สำเร็จแล้ว ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายอายุยืนหรือ อาจารย์ว่าดุจอิฐบนหัวตึก หงอคงหัวเราะแล้วถามว่า ทำไมจึงเปรียบเหมือนอิฐบนหัวตึก มีความอธิบายว่าอย่างไร พระอาจารย์ตอบว่า เหมือนอิฐบนหัวตึกนั้น คือเมื่อคนทั้งหลายจะคิดก่อตึกย่อมไปขุดเอาดินมาปั้นเป็นรูป อิฐ แล้ววางอยู่ หาได้เอาเข้าไฟเผาให้สุกไม่ ครั้นมีฝนตกลงมาถูกอิฐนั้น ก็ละลายไปกับน้ำฝนฉะนั้น หงอคงพูดว่าอย่างนี้ไม่มั่นคงยืนยาวอะไร ข้าพเจ้าไม่อยากเรียน
​(๔) พระอาจารย์จึงว่า จะให้เรียนคำภีร์ (ต่องหมึ้ง) ตัวจะพอใจหรือไม่
   หงอคงจึงถามพระอาจารย์ว่า จะให้เรียนคำภีร์ (ต่องหมึ้ง) นั้น เป็นประการใด พระอาจารย์ตอบว่า คำภีร์ (ต่องหมึ้ง) นั้นประกอบการภายนอก คือประกอบน้ำให้เป็นไฟ ประกอบไฟ ให้เป็นน้ำ จับศรยิงหน้าไม้เล่นแร่แปรธาตุ กิริยาเหล่านี้คือคำภีร์ (ต่องหมึ้ง)   หงอคงถามว่า กิริยาเหล่านี้จะให้อายุยืนไม่ตายนั้นจะได้หรือไม่ พระอาจารย์ตอบว่า คำภีร์นี้จะยืนยาวเหมือน กับดวงจันทร์ในน้ำ คือเป็นแต่เงาเท่านั้น หงอคงจึงถามว่า เหตุใดจึงเหมือนแก่ดวงเดือนในน้ำเล่า พระอาจารย์ตอบว่า ดวงเดือนอยู่กลางอากาศแต่เงาอยู่ในน้ำ ถึงอยู่ในน้ำก็จริงแต่จะหยิบหรือจะจับก็จะไม่ถูก ครั้นถึงที่แล้วก็เปล่าไปไม่มีรูปแลลักษณะ แลไม่มั่นคงไม่เป็นแก่นสารอะไร ย่อมเป็นอะนัตตาทั้งสิ้นมิใช่ตัวตน 
   หงอคงจึงพูดว่า แม้มิใช่ตัวตนแลมิใช่แก่นสารอะไรไม่ควรจะเรียน ท่านอาจารย์โผเถโจ๊ซือได้ยินหงอคงว่าไม่เรียน ท่านก็ลงมาจากธรรมาสน์ เดินตรงเข้ามาถึงหงอคง จึงถามว่า ตัวเป็นเช่นวานร เหตุไรสอนอย่างนี้ก็ไม่เรียนสอนอย่างโน้นก็ไม่เรียน พระอาจารย์​ฉวยได้ไม้บันทัดตีลง ตรงศีศะหงอคงสามทีแล้ว พระอาจารย์ก็หันหลังกลับเข้ากุฎิปิดบานประตูเสีย
   เวลานั้นเป็นในที่ประชุมพร้อมกันเห็นว่า พระอาจารย์มีความโกรธหงอคง ต่างก็มีความตกใจ ทุก ๆ คน พากันเห็นไปว่าพระอาจารย์มีความโกรธหงอคงเป็นอันมาก เพราะหงอคงพูดโต้ตอบกวนใจพระอาจารย์ พากันบ่นว่าหงอคงต่างๆ ขณะนั้นหงอคงมิได้มีความวิตกทุกข์ร้อนอะไรเลย ยิ่งมีความชื่นชมยินดีเป็นอันมาก ด้วยหงอคงคิด เห็นเป็นปัญหาของพระอาจารย์ก็นิ่งตรึกตรองอยู่ในใจว่า คือที่พระอาจารย์ตีศีษะเราสามทีนั้น ได้แก่เวลาสามยาม พระอาจารย์คงจะบอกธรรมอันวิเศษให้แก่เราเป็นแน่
   ครั้นเวลาค่ำลงในคืนวันนั้น หงอคงก็ทำเป็นนอนด้วยสานุศิษย์ ทั้งหลายตามเดิม หงอคงตั้งใจรอคอยเวลากว่าจะถึงกำหนด ครั้นถึงเวลาสามยามเข้าแล้ว หงอคงก็ค่อยย่องเบา ๆ จัดแจงนุ่งห่มเสร็จแล้ว ก็ออกจากห้องเดิน ไปทางหลังกุฎิพระอาจารย์ เห็นประตูเปิดอยู่ก็ดีใจ หงอคงจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้อง เห็นพระอาจารย์กำลังหลับ อยู่ จึงนั่งคอยอยู่ที่น่าเตียงประมาณสักครู่หนึ่ง พระอาจารย์ก็รู้สึกตัวเหยียดสองเท้า ปากก็ร้องคำเป็นสัมมาทิฐิมรรค ว่า ยากนักยากหนายากจริง ๆ อยากให้ธรรมอันวิเศษง่าย ๆ แต่ไม่พบคนที่มีศรัทธาความเชื่อจริง ๆ จึงไม่ควรให้ ธรรมอันวิเศษ แม้จะบอกให้ก็จะเสียธรรม ถึงจะสอนก็จะป่วยการเสียเวลา
   หงอคงได้ยินพระอาจาริย์พูดดังนั้น จึงร้องบอกพระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าสานุศิษย์ผู้จะศึกษาธรรม อยู่นี่แล้ว ขอท่านได้กรุณาให้ทานธรรมแก่ข้าพเจ้าเถิด ฝ่ายพระอาจารย์เมื่อได้ยินเสียงหงอคง แล้วก็ลุกขึ้นห่มผ้านั่งอยู่บนเตียง ทำตวาดหงอคงว่า ท่าไม เองไม่อยู่ข้างนอกล่วงเลยเข้ามาในนี้ทำไม ข้าหลับนอนอยู่เองไม่รู้หรืออย่างไร หงอคงจึงตอบว่า เมื่อเวลาวานนี้พระอาจารย์ทำปริศนาให้ข้าพเจ้า ๆ คิดเห็นว่า พระอาจารย์คง จะสอนธรรมวิเศษให้แก่ข้าพเจ้า เพราะฉะนั้นพอเวลาได้สามยามข้าพเจ้าจึงได้เข้ามา เห็นพระอาจารย์ยังหลับอยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจะเข้ามาใกล้ได้ จึงได้คอยอยู่จนพระอาจารย์ตื่น แลกล่าวถ้อยคำเป็นสัมมาทิฐิมรรคขึ้นแล้วจึง สามารถเข้ามาใกล้ได้ดังนี้ ฝ่ายพระอาจารย์โผเถโจ๊ซือ
   เมื่อได้ฟังหงอคงพูดดังนั้นก็นิ่งนึกตรึกตรองอยู่ จึงเห็นว่าชะรอย เทพยดาฟ้าและดินให้หงอคงเกิดมา จึงสามารถอาจตีความของเราออกได้ฉะนี้ หงอคงเห็นเป็นโอกาสก็พูดต่อไปว่า ในที่นี้ไม่มีคน ขอพระอาจารย์ได้เมตาชี้ธรรมอันไม่ตายให้แก่ ข้าพเจ้าเถิด พระอาจารย์จึงพูดแก่หงอคงว่า ตัวเจ้ามีนิสัยในทางธรรมแล้ว เราจะชี้แจงอธิบายในมูลธรรมให้ เจ้าขยับเข้ามาให้ใกล้จงระงับใจสงบ​กายวาจาคอยเงี่ยโสตสดับ เราจะบอกซึ่งธรรมอันวิเศษปราศจากความเศร้า หมองแลอายุก็ยืนยาว หงอคงคำนับกราบลงแล้ว ก็ค่อย ๆ คลานขยับเข้าไปใกล้แล้วก็นั่งคุกเข่าพนมมือสำรวมจิตและ รักษาอิริยาบถเป็นอันดี ตั้งใจฟังธรรมที่พระอาจารย์จะบอกทางให้
   ฝ่ายพระอาจารย์โผเถโจ๊ซือ จึงแสดงหัวใจธรรม การลึกล้ำวิเศษให้แจ่มแจ้งแนบเนียนรอบคอบ ปลอดโปร่งโดยละเอียดอาศัยความปฏิบัติไม่พูดแก่ใคร สำรวมทั้งสิ้นมูลภาคของกำลังจึงสำเร็จได้ คือรักษาธรรมที่ ได้แจ้งแก่ใจแล้วนั้น อย่าให้หวั่นไหวรั่วไหลล้นออกไปได้ อุตสาหะทำจิตให้บริบูรณ์ตามธรรมควรแก่ธรรม ก็จะสำ เร็จมรรคผลพ้นมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ไม่สามารถจะมาเบียดเบียนได้ ในเวลานั้นพระอาจารย์ได้แสดง ธรรมแก่ซึงหงอคงให้เห็นซึ่งมูล รากของธรรมแล้ว หงอคงมีจิตอันสว่างใสบริสุทธิ์บริบูรณ์ เต็มไปด้วยกุศลธรรมที่ ตน ได้สดับ สว่างแจ้งในการสังวัธยายขึ้นสู่วาจาขึ้นใจแล้วก็นมัสการพระบารมีคุณแห่งธรรมแล้วก็กราบลา
    พระอาจารย์กลับมาที่อยู่ของตน ตั้งใจสำรวมกิจอยู่ในธรรมได้สามปีเศษ วันหนึ่งพระอาจารย์ขึ้นธรรมาสน์ ประชุมสานุศิษย์ทั้งหลายแสดงธรรม พระอาจารย์จึงถามศิษย์ ทั้งหลายว่าหงอคงไปไหน หงอคงได้ยินเสียงพระอาจารย์ก็เข้ามาใกล้บอกว่าข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ พระอาจารย์จึงถามว่า ตัวปฏิบัติบวชเรียนเป็นอย่างไรบ้าง
   หงอคงตอบพระอาจารย์ว่า มูลแห่งธรรมค่อยแจ่มแจ้งในสันดานมั่นคงบ้างแล้ว อาจารย์จึงพูดว่า ตัวลุมูลสันดานเข้าในมูลรากสดับเข้าในภาคนั้นแล้ว จงตั้งใจระวังภัยสามประการ อันร้ายแรง หงอคงได้ยินพระอาจารย์พูดแนะดังนั้นก็นิ่งคิดอยู่เป็นนาน แล้วจึงถามพระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าเคย ได้ฟังว่า บารมีมรรคผลก็แรงยืนยงคงเสมอฟ้า ไฟ น้ำ ประกอบกัน ร้อยอสงไขยก็ไม่เกิดได้ เหตุใด จะยังมีภัยสามอย่างอันร้ายแรงอีกเล่า พระอาจารย์จึงตอบว่า ซึ่งภัยทั้งสามมีการธรรมดา เพราะของก่อสร้างซึ่งเกิดแต่ดินน้ำลมไฟเบียดสูญ จันทร์ซึ่งกันแลกัน ก็จะสำเร็จต่อภายหลัง ถ้าตั้งสติสดับก็มีราศีเพิ่มอายุ
    แต่ต่อไปห้าร้อยปีข้างหน้า ฟ้าจะผ่าลงมา ไฟฟ้าจะฟาดตัวเจ้าจงเร่งระวังตัวทำให้แจ่มแจ้งบริสุทธิ์เห็นมูลสันดานแล้ว จงเร่งหลีกหลบหนีให้พ้นอายุก็จะยืน เสมอฟ้า ถ้าหลีกไม่พ้นตัวเจ้าก็จะสิ้นชีวิต แล้วต่อไปข้างหน้าอีกห้าร้อยปี ไฟกรดจะมาไหม้เจ้า ไฟที่จะเผาเจ้านั้นไม่ ใช่ไฟฟ้าไม่ใช่ไฟในมนุษย์ ไฟนั้นเรียกนามว่าขันธ์อัคคี คือไฟในกายของตัวเจ้า เกิดขึ้นเองจะเผาผลาญร่างกาย ที่มีอาการสามสิบสองก็จะย่อยยับดับไปสิ้น ความรักษาได้สักพันปี ทุกข์ทรมานหนเดียวก็จะสิ้นไป แล้วไปข้างหน้า อีกห้าร้อยปี ฟ้าจะให้ลมคือไฟลมอันมิใช่ลมสี่ทิศ เป็นลมที่หน้าผากของเจ้าเป่าเข้า ภายในท้องแซกทวารทั้งเก้า กระดูกแลเนื้อก็จะป่นละเอียดร่างกายก็จะหลุดร่วงแยก​แตกกันไปหมดสิ้น เพราะฉะนั้นไฟร้ายแรงเหล่านี้ตัว เร่ง หลีกหลบให้พ้นได้แล้ว อายุก็จะยืนได้นานเท่าฟ้าและดิน
   หงอคงได้ฟังอาจารย์พูดดังนั้น ให้บังเกิดขนพองสยองเกล้า จึงคำนับกราบพระอาจารย์แล้ววิงวอน ว่า ขอท่านได้กรุณาสอนธรรมที่จะหลีกหนีให้พ้นภัยทั้งสามนั้นให้ต่อไป พระอาจารย์จึงพูดว่า ซึ่งภัยสามอย่างนั้นก็ยังมีทางที่จะหลีกหนีได้อยู่ ไม่ยากอะไร โดยมีกิริยาคาบ ฟ้าคาบดินสองอย่าง คาบฟ้านั้นคือกิริยา (เทียนกัง) สามสิบหก คาบดินนั้นคือ (ตี้ซัว) มีกิริยาเจ็ดสิบสองคาบ ตามแต่จะเรียนอย่างไหน ถ้าผู้ใดเรียนได้สำเร็จตลอดแล้วก็จะหนีพ้นภัยทั้งสามนั้นได้
   หงอคงจึงบอกแก่ท่านอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าจะขอเรียนกิริยา (ตี้ซัว) คาบดิน ขอพระอาจารย์ได้โปรดบอก คาบดินให้แก่ข้าพเจ้าเถิด พระอาจารย์จึงว่าแก่หงอคงว่า ถ้าตัวอยากเรียนกิริยาคาบดินก็จงขยับเข้ามาให้ใกล้ พระอาจารย์ ก็กระซิบบอกอุปเท่ห์ให้แก่หงอคงด้วยอุบายแลวิธีลัทธิต่าง ๆ หงอคงก็ได้ลุแก่คาบที่พระอาจารย์ประสิทธิ์ให้ โปร่งปรุทุกสิ่งทุกอย่างยิ่งขึ้นไปทุกวัน ๆ หงอคงก็ค่อยหัดค่อยฝึก จนถึงเนรมิตบิดเบือนแปลงกายได้ถึงเจ็ดสิบสองอย่าง แลทรงกำลัง พลังมีฤทธากล้าหาญ อยู่มาวันหนึ่งพระอาจารย์โผเถโจ๊ซือ กับสานุศิษย์ทั้งหลายนั่งอยู่น่าลานวัด ​พร้อมกัน
   พระอาจาริย์จึงถามหงอคงว่าตัวเรียนวุฒิวิทยา ได้กระทำให้สำเร็จมะโนรศแล้วดังปราถนา หรือ หงอคงจึงตอบพระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าได้อุตสาหะพยายามประกอบกิจการบำเพ็ญเพียรภาวนาสำรวม เวท ได้บันลุธรรมวิเศษส่วนอิทธิฤทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว พระอาจารย์จึงว่า ถ้าเจ้าร่ำเรียนทำให้สำเร็จได้จริงดังนั้นแล้ว เจ้าจงสำแดงวิทยาให้เราดู ให้เห็น ปรากฎแก่ชนทั้งหลายซึ่งอยู่พร้อมกันในสถานที่นี้ หงอคงจึงสำรวมจิตบริกรรมกระทำอิทธิปาฏิหาร ย์ก้าวเดินจากพื้นดินได้ห้าก้าวลอยขึ้นไปบนอากาศ หายลับไป ประมาณเคี้ยวหมากจืดแล้วก็กลับมา ประมาณเหาะไปได้สักสามโยชน์คือพันสองร้อยเส้น หงอคงก็ลงมา ต่อหน้าพระอาจารย์แล้วยกมือขึ้นคำนับ กล่าววาจาว่าข้าพเจ้าเหาะได้อย่างนี้
   พระอาจาริย์จึงว่าที่เหาะได้อย่างนี้เรียก ว่าอาศัยเมฆไม่ใช่ดั้นเมฆ โบราณเขาดั้นเมฆเหาะไปได้รอบจักรวาลจึงเรียกว่าดั้นเมฆ หงอคงอ้อนวอนพระอาจารย์ว่า ขอท่านได้กรุณาโปรดสอนให้ข้าพเจ้าเรียนวิชาดั้นเมฆได้ด้วยเถิด พระอาจารย์ก็แนะนำสั่งสอนให้หงอคงท่องบ่นสังวัธยายจนขึ้นใจ จำได้แลประกอบบริกรรมทำทดลองก็สำเร็จได้ดัง ประสงค์ทุกสิ่งทุกประการ พวกสานุศิษย์ทั้งหลายจึงถามหงอคงว่า พระอาจารย์สั่งสอนให้ท่านเหาะเหินเดินอากาศได้ ทุก​สิ่งทุกอย่าง ท่านได้เรียนทำสำเร็จดังประสงค์แล้วทุกประการหรือ
   หงอคงตอบว่าข้าพเจ้าได้เรียนรู้แลทำได้ ทุกประการแล้ว พวกเพื่อนศิษย์ทั้งหลายจึงว่า ถ้ากระนั้นท่านจงทำให้ข้าพเจ้าชมเห็นประจักษ์แก่ตาบ้างจะได้หรือไม่ หงอคงจึงว่าท่านทั้งหลายจะให้ข้าพเจ้าทำประการใด ขอให้ท่านบอกมาข้าพเจ้าจะทำให้ท่านดู ทุกประการ พวกเพื่อนศิษย์จึงขอให้เนรมิตเป็นต้นพฤกษาใหญ่ หงอคงก็ร่ายพระเวทสำรวมจิตบริกรรมภาวนา ร่างกายก็สูญหายกลายเป็นต้นพฤกษาใหญ่สูงเทียมเมฆ พวกสานุศิษย์ก็ตบมือหัวเราะกันเป็นอันดังออกแซ่ไป
   ฝ่ายพระอาจารย์โผเถโจ๊ซืออยู่ในกุฎิได้ยินเสียงคนร้องดังนั้นก็ตกใจ จึงจับไม้เท้าเดินออกมาถาม ว่าใครอยู่ข้างนอกทำอะไรกันเสียงอึกกระทึก พวกสานุศิษย์ทั้งหลายนั่งอยู่พร้อมกัน ตอบว่ามิได้อึกกระทึก เป็นแต่หงอคง สำแดงฤทธิ์เนรมิตตน เป็นต้นไม้ใหญ่สูงเทียมเมฆ พวกข้าพเจ้าเห็นเป็นอัศจรรย์พากันพิศวงยินดี ในวิชาของหงอคงที่ทำฤทธิ์ได้เช่นนั้น พระอาจารย์จึงตวาดว่า เมื่อตะกี้เราได้ยินเสียงออกแซ่ดูดังมิใช่คนบวชเรียน ทำการฟุ้งซ่าน เช่นนี้ จะเป็นอันบวชเรียนอะไรได้ พวกศิษย์ทั้งหลายจึงบอกว่า เมื่อตะกี้พวกข้าพเจ้านั่งอยู่พร้อมกันได้ขอให้หงอคงสำแดงวิชาที่เขา ได้จากพระอาจารย์ให้ดูเขาจึงได้ทำให้ดู
   ​ฝ่ายพระอาจารย์เมื่อได้ฟังศิษย์ทั้งหลายบอกดังนั้น จึงว่าพวกเจ้าหลีกไปเสียให้พ้น แลไปบอก หงอคงให้เข้ามานี่ พวกศิษย์ทั้งหลายก็พากันหลีกไปแลบอกหงอคงว่า พระอาจารย์ให้หาตัว หงอคงก็เข้ามาหมอบ กราบและเคารพอยู่ตรงหน้าพระอาจารย์ ๆ จึงถามหงอคงว่า ตัวแผลงฤทธิ์เดชอวดดีต่อหน้าคนเป็นอันมากอย่าง นั้นให้เขาเห็น ถ้าเขาจะขอให้ตัวสอนเขา ถ้าตัวจะไม่สอนให้เขาก็จะเกิดภัยอันตรายขึ้นแก่ตัว เราจะป้องกันตัวเจ้ามิได้ หงอคงได้ยินพระอาจารย์พูดดังนั้น ก็กราบลงแล้วขอโทษพระอาจารย์ ๆ จึงว่าเราไม่เอาโทษเจ้า ดอก แต่ตัวเจ้าจะอยู่ในที่นี้ต่อไปไม่ได้
   หงอคงได้ยินพระอาจารย์พูดดังนั้น มีความเสียใจเป็นที่สุด จึงเรียนถามพระอาจารย์ว่า เมื่อเป็น ดังนี้แล้วพระอาจารย์จะให้ข้าพเจ้าไปอยู่ที่ไหนเล่า พระอาจารย์จึงบอกว่าเจ้ามาจากที่ใด ก็จงกลับไปอยู่ในสถานที่นั้นเถิด หงอคงได้ฟังพระอาจารย์ว่าดังนั้น ก็นิ่งนึกอยู่ในใจเป็นนานจึงนึกขึ้นมาได้ว่า เดิมเรามาจากทิศบูรพา เมืองเง่าล่ายก๊ก เขาฮวยก๊วยซัวจุ๊ยเลียมต๋อง ครั้นนึกขึ้นได้แล้วก็นิ่งอยู่ พระอาจารย์จึงบอกแก่หงอคงว่า ตัวจงรีบไปให้พ้นจากที่นี้ ช้าไปตัวจะไม่รอดพ้นจากความตาย 
   หงอคงรับคำอาจารย์แล้วก็นมัสการลาพระอาจารย์และเพื่อนศิษย์ทั้งหลาย แล้วพระอาจารย์จึงว่า หงอคงว่า ตัวกลับไปคงจะมีเหตุ ถ้ามีเหตุประการใดตัวจะแผลงฤทธิ์แผลงเดชด้วยประการใด ๆ ถ้าใครจะถาม ว่าได้เล่าเรียนมาจากไหนใครเป็นครูบาอาจารย์ เจ้าอย่าได้บอกออกชื่อเราว่าเป็นครูบาอาจารย์แห่งเจ้าเลย เป็นอันขาด ถ้าเจ้าบอกเล่าใครว่าเจ้าเป็นสานุศิษย์แห่งเราแลออกชื่อเรา เรารู้แล้วจะจับตัวเจ้ามาถลกหนังหัวเสีย แลสับกระดูกเจ้าให้ป่นละเลียดแลกดวิญญาณของเจ้า ให้ลงไปตกอยู่ในนรกใต้เถรเทวะทัตอยู่ชั่วกัลปชั่วกัลป์ มิให้ตัวกลับมาได้อีกต่อไป
   หงอคงเมื่อได้ฟังพระอาจาริย์กำชับสั่งเสียดังนั้นแล้ว หงอคงก็คำนับกราบลาพระอาจารย์ออก จากถ้ำ จึงสำรวมจิตบริกรรมพระเวทคาถากายาก็ลอยขึ้นดั้นเมฆข้ามมหาสมุทรใหญ่ บัดเดี๋ยวใจก็แลเห็นเขาฮวยก๊วยซัวจุ๊ยเลียมต๋อง จึงนึกในใจว่าเมื่อไปกระดูกก็หนักกายก็หนัก ครั้นรู้วิชาเล่าเรียนสำเร็จ กระดูกก็เบาตัวก็เบาไปทั้งสิ้น คนในโลกนี้ไม่มีความเพียร ถ้าใครมีความเพียรเหมือนแก่เรา ก็สามารถจะรู้ได้ดีจนสว่างไสวเช่นเราฉะนี้ หงอคงจึงสกดเมฆให้ลดลงถึงพื้นแล้ว ก็เดินตรงเข้าไปยังเขาฮวยก๊วยซัว ก็ได้ยินเสียงนกหกร่ำร้องออกแซ่ไป เหมือนหนึ่งจะแสดงความยินดีต้อนรับฉะนั้น
   โดยเหตุที่เห็นหงอคงกลับมา หงอคงครั้นกลับมาถึงสำนักถ้ำแล้ว ก็ร้องเรียกบริวารลิงทั้งหลายและบอกว่าเรามาถึงแล้ว ฝ่ายบริวารลิงทั้งหลายที่อยู่ตามภูเขาแลอยู่พุ่มไม้ เมื่อได้ยินเสียงมุ้ยเก้าอ๋อง ก็พรั่งพรูกันมาห้อมล้อม มุ้ยเก้าอ๋อง แล้วคุกเข่าลงคำนับ จึงถามมุ้ยเก้าอ๋องว่า ไต้อ๋องตั้งแต่ไปจากข้าพเจ้าทำไมจึงนานนัก ข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจคอยท่านดุจว่าเวลาหิวคอยจะกินอาหารฉะนั้น อยู่ภายหลังถูกอ้ายปิศาจร้ายชื่อ ว่า หุนซีหม้อกุน มาแย่งชิงที่ถ้ำ พวกข้าพเจ้าสู้รบไม่คิดแก่ชีวิต แต่สู้มันมิได้ มันจับเอาพวกบริวาร แลลูกหลานไปเป็นอันมากแล้ว เป็นบุญนักหนาที่ไต้อ๋องได้กลับมาเวลานี้ ถ้าแม้ไต้อ๋องยังไม่กลับมา พวกข้าพเจ้าออกสู้รับ มันคงจะจับไปได้หมดทั้งสิ้น
   หงอคงได้ยินพวกบริวารเล่าให้ฟังดังนั้นก็มีความ โกรธยิ่งนัก ตบมือ กระทืบเท้า แหงนหน้า นัยน์ตากลอก ออกปากว่า อ้ายยักษ์ผีดิบมันบังอาจ สามารถมาข่มเหงบริวารของเราอย่างนี้ เราจะไปตามแก้แค้นมันให้จงได้ พวกบริวารจึงบอกว่า อ้ายพวกปิศาจนั้นมันอยู่ข้างทิศอุดร หงอคงถามว่า ใกล้หรือไกล ประมาณทางสักเท่าไร พวก บริวารบอกว่า เมื่อมันมาก็มีพายุ เมื่อมันไปก็เป็นหมอกมืดคลุ้ม ไม่รู้ว่าหนทางไปมาจะใกล้ไกลสักเท่าใด หงอคงจึงพูดว่า ถ้าดังนั้น เราจะไปสืบดูก่อน ว่าแล้วหงอคงก็บริกรรมร่ายพระเวทคาถาเหาะลอยขึ้น ไปบนอากาศไปทางทิศอุดร พิเคราะห์ดูเห็นภูเขาหนึ่งยอดเยี่ยมตระหง่านสูงเทียมเมฆ มีลำธารแลห้วยเหวลึกลงไป ถึงภูมิภาค มีกระแสชลประกอบเป็นธาตุน้ำ สักประเดี๋ยวได้ยินเสียงพูดกัน
   หงอคงจึงเหาะลงค้นดูที่คูข้างเพิงหน้า เขา มีถ้ำชื่อว่า จุ๊ยจ่างต๋อง ข้างหน้ามีถ้ำบริวารปิศาจน้อยกระโดดโลดเต้นเข้ามาใกล้ แต่พวกปิศาจหาได้เห็นหงอคง ไม่ เพราะกำลังเล่นเพลินอยู่ หงอคงก็กระโดดเข้ามาใกล้ร้องว่า พวกเอ็งอย่าวิ่งหนี ตัวเราอยู่เขาฮวยก๊วยซัว จุ๊ยเลียม ต๋อง เจ้าของถ้ำข้างทิศพายัพ นายพวกเจ้าชื่อ หุนซีหม้อกุน เหตุใดจึงสามารถไปกระทำย่ำยีข่มเหงบริวารพวกลิงของ เราหลายครั้งแล้ว ตัวเราจะมาลองฝีมือดูให้เห็นฤทธิ์แลกำลัง พวกเอ็งจงเร่งไปบอกนายเอ็งให้รีบมารบกันโดยเร็ว พวกบริวารปิศาจเหล่านั้น
   เมื่อได้ฟังหงอคงว่าดังนั้น ก็พากันวิ่งตรงเข้าถ้ำบอกแก่นายว่า ภัยจะมา ถึงแล้ว ข้างนอกมีอ้ายลิงเผือกตัวหนึ่งมาท้าทายชวนรบ มันบอกว่า มันอยู่ที่เขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง ว่าท่าน ไปข่มเหงบริวารลูกหลานของเขา เขาจึงมา จะต่อรบแก่ท่าน หุนซีหม้อไต้กุนได้ยินบริวารบอกมาดังนั้นจึงหัวเราะแล้ว พูดว่า เราได้ยินลิงปิศาจน้อยบอกว่า มีนายลิงตัวหนึ่งตั้งตัวเป็นไต้อ๋องไปบวชเรียนเสียแล้ว บัดนี้ เห็นมันจะกลับมา พวกเอ็งเห็นมันมานั้นมันถือเครื่องศัสตราวุธอันใดมาด้วยหรือเปล่า พวกบริวารเหล่านั้นบอกว่า ไม่เห็นมันถือเครื่อง ศัสตราวุธสิ่งไรเลย เห็นแต่แต่งตัวสวมเสื้อแดง คาดพุงผ้าสีเหลือง สอดรองเท้าดำ ดูท่วงทีกิริยาสุภาพ แต่ทำท่าทาง แข็งแรง คอยอยู่ที่นอกประตูถ้ำ
   หม้ออ๋องได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นสวมเกราะ มือจับง้าว เรียกพวกบริวารเดินตามหลังออกมาที่หน้าถ้ำ จึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า ใครหวาเป็นเจ้าของถ้ำฮวยก๊วยซัวจุ๊ยเลียมต๋อง หงอคงได้ยินเสียงก็เหลือบไปดู เห็นหุนซีหม้อกุนที่ศีรษะมีหมวกทองคำ ตัวสวมเสื้อดำ สอดเกราะ เหล็ก เท้าสอดรองเท้าดำทำด้วยหนัง บั้นเอวโตประมาณสิบกำ ตัวสูงประมาณสามวา มือถือง้าวเป็นอาวุธ หงอคงจึงร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายปิศาจ เอ็งไม่รู้จักเราหรือ
   หม้ออ๋องเห็นหงอคงแล้วจึงหัวเราะพูดว่า ตัวเอ็งก็ต่ำเตี้ยไม่ถึงสี่ศอก อายุก็ยังไม่ถึงสามสิบปี ใน มือก็ไม่มีอาวุธ ทำไมจึงอาจสามารถมาทำใจโตอวดดี จะมาหาที่ตายหรืออย่างไร หงอคงว่า กูไม่มีอาวุธ มีแต่สองมือก็จะให้มึงเห็นกำลังได้ ว่าแล้วหงอคงก็กระโดดเข้าชกคางหม้อ อ๋อง หม้ออ๋องเอามือรับไว้ จึงพูดว่า ตัวของเจ้าทั้งเตี้ยทั้งเล็ก ตัวเราทั้งสูงทั้งใหญ่ ถ้าเราจะถืออาวุธรบแก่เจ้า บริวารทั้งหลายจะหัวเราะแลดูถูกเราได้ ว่าแล้วหม้ออ๋องก็ทิ้งอาวุธเสีย ตั้งท่ามวยเข้าชกหงอคง หงอคงก็แข็งข้อรับ ชกกันชุลมุน
   หม้ออ๋องมือยาวชกข้ามศีรษะหงอคง หงอคงคอยหลบ ชกได้ถนัด ก็ถูกทุกที หม้ออ๋องเห็นหงอคงว่องไว ด้วยเป็นชาติลิง แต่แข็งใจเข้าสู้เป็นหลายยก ถูกชกเป็นหลายที จึงฉวยเอาอาวุธฟันลงไปที่ศีรษะหงอคง หงอคงก็ ตลบได้ ไม่ถูกต้อง หงอคงกระโดออกไปห่าง จึงร่ายมนต์พระคาถาถอนขนใส่ปากภาวนาแล้วพ่นออกไปเป็นลิง บริวารสามร้อยตัวเข้ากลุ้มรุมกันล้อมหม้ออ๋องไว้รอบตัว อันหงอคงนั้นเมื่อเดิมไปเรียนวิชาสำเร็จมีขนอยู่แปดหมื่นสี่พันเส้น ทุก ๆ ขนย่อมผันแปรได้ ต่าง ๆ พวกลิงน้อยกายสิทธิ์เหล่านั้นโลดโผนว่องไวก็กรูกันเข้าล้อมหม้ออ๋องทั้งสายขวา บ้างก็เข้าฉุดคร่าแล รวบรัดจนอาวุธหลุดจากมือ
    หงอคงก็กระโจมเข้าชิงอาวุธหม้ออ๋องมาได้ ก็เอาอาวุธฟันถูกหม้ออ๋องตัวขาดเป็นสอง ท่อน แล้วก็ไล่ประหารบริวารเข้าไปในถ้ำฆ่าพวกผีดิบบริวารหม้ออ๋องล้มตายลงไปสิ้น แล้วอ่านคาถาเรียกขนกลับ เข้าในตัวตามเดิม แต่บริวารลิงน้อย ๆ ที่หุนซีหม้อกุนอ๋องจับมาขังไว้ในถ้ำนั้นหงอคงก็เรียกออกมาจากถ้ำประมาณสี่ ห้าสิบลิง แล้วหงอคงเอาไฟเผาถ้ำจุ๊ยจ่างต๋องไหม้เป็นจุณไปหมดสิ้น แล้วเรียกบริวารลิงเหล่านั้นมาสั่งว่า พวกเจ้า ทั้งหลายจงหลับตาเสียทุก ๆ ตัว พวกลิงเหล่านั้นก็กระทำตามคำนายสั่ง หงอคงก็ร่ายพระเวทกระทำให้เป็นลมพัด หอบเอาบริวารลิงเหล่านั้นไปจนถึงที่ถ้ำเก่าตามเดิม
    แล้วหงอคงก็ร้องบอกว่า พวกเอ็งจงลืมตาดูเถิด พวกลิง น้อย ๆ เหล่านั้นก็พากันลืมตาขึ้นดู เห็นที่อยู่เดิมของตนแน่แล้วก็จำได้ จึงพากันกระโดดวิ่งเข้าในถ้ำ ฝ่ายพวกบริวารลิงทั้งหลายใหญ่น้อยก็เรียงรายกันเข้ามาประชุมพร้อมกันคำนับหงอคงกล่าวถ้อยคำ สรรเสริญหงอคงต่าง ๆ แล้วไต่ถามว่า ตั้งแต่ไต้อ๋องไปเรียนวิชาก็ช้านานประมาณกว่าสิบปี ท่านได้ไปถึงไหน จึง ได้วิชาอันประเสริฐสมความปรารถนามาดังนี้ หงอคงจึงตอบว่า ตั้งแต่ปีออกจากถ้ำไปได้รับความลำบากยากกายเหลือเกิน ต้องข้ามมหา สมุทรใหญ่ จึงได้ไปถึงเขตชมพูทวีป แล้วก็เที่ยวไป พบปะมนุษย์ จึงได้เรียนหัดกิริยาท่าทางรู้จักนุ่ม
   แล้วใช่แต่ เท่านั้น ยังระเหระหนเที่ยวไปอีกประมาณแปดเก้าปีเพื่อจะค้นหาผู้วิเศษจะได้เรียนวิชาต่าง ๆ ก็ยังไม่พบเห็นเป็นช้า นาน มาวันหนึ่งคิดข้ามมหาสมุทรไปทางทิศประจิม ขึ้นฝั่งแล้วเที่ยวสืบดู ก็ได้พบพระอาจารย์ผู้สอนธรรมอันวิเศษอายุ ยืนเท่าฟ้าแลดิน พวกวานรพากันสรรเสริญว่า วิชาอย่างนี้ประเสริฐหาที่สุดมิได้แล้ว หงอคงจึงแจ้งความแก่บริวารว่า พวกเจ้าทั้งหลายจงทราบว่า พระอาจารย์ท่านได้ให้ชื่อแลแซ่เรา แล้ว คือ แซ่ซึง ชื่อหงอคง
   พวกบริวารทั้งหลายได้ยินหงอคงบอกว่า แซ่ซึง ชื่อหงอคง ก็พากันตบมือร้องว่า ดีแล้ว ๆ พวกข้าพเจ้าทั้งหลายก็จะถือเอาแซ่ซึงด้วยกันทุก ๆ ตนเหมือนตัวท่าน มีคำเทียบว่า ก๊วนทงเจ๊กแส่ซินกวยปิ๋ง แปลว่า ตลอดกันแซ่เดียวทั้งสิ้น จี๋ต่ายหยงเทียนเซียนเล็ก เมี้ย แปลว่า ต้องคอยเทวดาเลือกชื่ออันงาม

13 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 1 ไซอิ๋ว นวนิยาย

👉หน้าต่อไป 📖   
     คำนำ (เล่ม ๑)
      เรื่องไซอิ๋วนี้ เป็นเรื่องที่แตกออกจากพงศาวดารซุยถังใน
แผ่นดินของพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้กษัตริย์ที่สองในวงศ์ถัง นักปราชญ์ฝ่ายจีนได้เรียบเรียงไว้ ผู้แปล ๆ ตามต้นฉบับเดิมในภาษาจีน นายเล็กเจ้าของโรงพิมพ์โสภณพิพัฒน์ธนากร เห็นว่าเป็นเรื่องน่าอ่านน่าฟัง จึงจ้างนายดินแปลออกจากภาษาจีนเป็นภาษาไทยแล้ว แต่ถ้อยคำยังไม่ชัดเจน จึงมาว่าจ้างนายวรรณเอดิเตอร์ดุลย์วิภาค พจน์กิจ ให้เรียบเรียงอีกชั้นหนึ่ง ข้อความคงตามเดิม แก้แต่ถ้อยคำขัดเขินแลไม่ชัดให้ชัดขึ้นเท่านั้น
      ในเรื่องไซอิ๋วนี้ มีคำและความเป็นสุภาษิตบ่อย ๆ ทั้งเนื้อ
เรื่อง ก็น่าอ่านน่าฟัง สนุกมากยืดยาวไม่ต่ำกว่าร้อยชุด เจ้าของจึงได้จ้างช่างแกะ ๆ รูปภาพตามเรื่องพิมพ์ไว้ ให้ท่านผู้อ่านเห็นรูปของคนโบราณด้วยตามชุดและเรื่องนั้นๆ ในเล่มหนึ่งนี้มีความยี่สิบสองชุด ในชุดที่หนึ่งมีคำอธิบายพระนามพระพุทธเจ้า และมีรูปพระพุทธเจ้าดังต่อไปนี้
แจ้งความ (เล่ม ๑)
      แจ้งความหนังสือไซอิ๋วที่ข้าพเจ้าพิมพ์ขึ้นใหม่ในคราวนี้ 
ข้าพเจ้าพิมพ์ขึ้นไม่สู้มากนักเพราะประสงค์จะให้แล้วเร็ว ด้วยได้ทราบว่าหนังสือเรื่องนี้มีผู้ประสงค์จะต้องการอ่านฟังมากด้วยกัน บัดนี้เกรงว่าจะพิมพ์ขึ้นน้อยเกินไปสักหน่อย เมื่อจำหน่ายหมดแล้วจึงจะพิมพ์เพิ่มเติมขึ้นอีก เพราะฉะนั้นท่านผู้หนึ่งผู้ใดจะต้องการหนังสือเรื่องนี้อ่านเร็วๆ ก็ขอให้รีบมาซื้อไปเสีย แล้วข้าพเจ้าจะได้พิมพ์เล่ม ๒ ต่อไป เพราะกว่าที่ข้าพเจ้าจะได้จัดพิมพ์เพิ่มเติมขึ้นอีก ในครั้งหลังต่อไปให้แล้วบริบูรณ์ได้ ก็ยังจะเป็นเวลาที่ต้องคอยนานอยู่
      หรือถ้าท่านผู้ใดจะประสงค์ให้ทำปกงาม ๆ สำหรับจัดขึ้น
ตู้ ห้องสมุดให้โอ่โถง หรือจะพิมพ์แบบฟอมต่างๆ และใบเสร็จก็ได้ ข้าพเจ้าจะรับทำให้ท่านได้ตามความประสงค์ทุกอย่าง โดยคิดราคาก็ไม่สู้แพงนักแต่พอสมควรเท่านั้น
      โรงพิมพ์โสภณพิพัฒน์ธนากร ตำบลถนนราชบพิธ กรุงเทพ ฯ วันที่ ๑ ธันวาคม ร.ศ. ๑๒๕ นายเล็ก
• • • • • • • • •