ตอน ต้นไม้ทารก (ช่วงที่ 2)
(บทที่ ๒๕ ) หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นศิษย์มาพร้อมกันแล้วจึงถามว่า ใครไปลักผลไม้ยิ่นเซียมก๊วยของเขากินจงบอกมาตามจริง โป๊ยก่ายได้ฟังพระอาจารย์ถามดังนั้นจึงตอบว่า ข้าพเจ้าคนซื่อไม่รู้ไม่เห็น
เชงฮองแลเห็นเห้งเจียยืนหัวเราะอยู่ จึงชี้ว่าคนที่ยืนหัวเราะนั้นแลตัวการ เห้งเจียตวาดว่า ข้าพเจ้าเกิดมาเป็นคนขี้หัวเราะ ทำไมเจ้าต้องห้ามข้าด้วยหรือ หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า เราทั้งหลายเป็นคนถือศีลอย่าพูดคำกลับกลอก อย่ากินของที่มืดมัว แม้ว่าได้กินของเขาแล้ว จงรับเขาโดยดีขอขมาโทษเสียจึงจะพ้นความผิด จะไปพูดทำยอกย้อนกันทำไม เห้งเจียเห็นพระอาจารย์พูดถูกต้องตามธรรมเนียม จึงรับตามจริงว่า ขอพระอาจารย์ได้ทราบ ข้าพเจ้ามิได้เกี่ยวข้องเลย เพราะโป๊ยก่ายบอกให้ข้าพเจ้าเก็บมาแบ่งกันคนละผล
เม่งง้วยว่า ขโมยมาสี่ผลบอกว่าขโมยมาแต่สามผล คนถือศีลพูดเท็จหย่างนี้หรือ พิเคราะห์ดูก็เหมือนอ้ายโจรนั้นแหละ โป๊ยก่ายพูดว่าสี่ผลได้มาแต่สามผลยังอีกผลหนึ่งอยู่ที่ไหน โป๊ยก่ายพูดบ่นไม่หยุด
เชงฮองเม่งง้วยถามได้ความจริงก็ยิ่งโกรธ ด่าว่าด้วยถ้อยคำอันหยาบช้าต่าง ๆ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธดังไฟกัลป์ ขยับเขี้ยวเคี้ยวฟันนัยน์ตาพอง คิดในใจว่าจำกูจะทำลายเสียอย่าให้มันกินอีกต่อไป คิดดังนั้นแล้วก็ถอนขนเพ็ชรออกเส้นหนึ่ง เสกเป็นรูปเห้งเจียปลอมให้ยืนอยู่กับโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง บังตัวเหลื่อมออกไปยังหลังสวน ถึงต้นยิ่นเซียมก๊วยปีนขึ้นบนต้นแล้ว ชักกระบองออกฟาดซ้ายฟาดขวา กิ่งก้านหักไปทั้งสิ้น แล้วแผลงฤทธิ์โค่นต้นล้มลงกับพื้นพสุธา เห้งเจียเที่ยวค้นหาผลยิ่นเซียมก๊วยแต่สักผลเดียวก็มิได้เห็นมีเลย ด้วยของสิ่งนี้แม้ถูกธาตุทองคำก็ย่อมฉิบหายไปสิ้น แลกระบองเหล็กของเห้งเจียสองข้างก็หุ้มทองคำ เพราะฉะนั้นของกายสิทธิ์นี้จึงฉิบหายละลายไปโดยธรรมดาธาตุที่แพ้กัน เมื่อเห้งเจียค้นหาผลไม้มิได้แล้วก็ร้องว่าดีแล้ว ๆ แล้วกลับมายังหน้าหอเรียกขนเพ็ชรเข้าตัวไปตามเดิม เข้าไปยืนอยู่มิได้มีผู้ใดรู้
เชงฮองเม่งง้วยทั้งสองด่าว่าอยู่นานแล้ว เชงฮองพูดว่าคนเหล่านี้มีความโกรธด้วยเราด่าว่า แต่เขาก็รับแล้วว่าได้ลักมากินจริง หรือใบก้านกิ่งจะปิดบังอยู่เราจะดูไม่เห็น จึงพากันไปที่สวน แลไปเห็นต้นยิ่นเซียมก๊วย โค่นล้มลงอยู่กับพื้น รากเหง้าหลุดถอนไปหมด คนทั้งสองเห็นดังนั้นก็สิ้นสติล้มลงกับพื้น พูดจาพร่ำเผลอดุจคนเป็นใบ้บ้าจึงร้องบอกกันว่าจะทำอย่างไรดี มันทำลายยาวิเศษของพวกเราเสียหมดแล้ว ท่านอาจารย์เรากลับมาเราจะพูดแก่ท่านว่าอย่างไรเล่า
เม่งง้วยว่าอย่าบ่นว่าอะไรเลย ซึ่งการนี้อ้ายหน้าขนนี่เองไม่ต้องสงสัย ถ้าจะโต้ตอบก็จะเกิดตีด่ากันขึ้น เราสองคนเขาถึงสี่คนจะสู้เขาไม่ได้ เราทำเป็นหลอกว่าพวกเรานับผลไม้ผิดไป เราทำใจดีเอาเครื่องแจเล็กน้อยให้กิน เวลาเธอเข้าไปนั่งกินเราปิดประตูชั้นนอกชั้นในใส่กุญแจเสียทุกประตูขังไว้ถ้าท่านอาจารย์เรามา ตามแต่ท่านจะว่ากระไร
เชงฮองได้ฟังเม่งง้วยพูดดังนั้นจึงพูดว่า ท่านคิดอย่างนี้ดีแล้วจึงพากันกลับมายังสำนักขึ้นบนหอนั่ง เข้ามาเคารพหลวงจีนถังซัมจั๋ง แล้วพูดว่าข้าพเจ้าทั้งสองขอขมาโทษท่านอย่าได้ถือโกรธข้าพเจ้าเลย
หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นคนทั้งสองเข้ามาพูดดังนั้น จึงถามว่าท่านทั้งสองว่ากระไรหรือ เชงฮองเม่งง้วยพูดว่า ผลยิ่นเซียมก๊วยนั้นมิได้หายดอก ข้าพเจ้ากลับไปดูก็อยู่ครบบริบูรณ์ดี เพราะใบก้านปิดบังไว้ข้าพเจ้าไม่ทันเห็น
เห้งเจียยืนอยู่ที่นั่นได้ยินดังนั้นจึงนึกในใจว่า ต้นยิ่นเซียมก๊วยเราโค่นลงอยู่กับดินด้วยมือเรา ทำไมอ้ายสองคนนี้จึงมาพูดอย่างนี้หรือต้นไม้นั้นจะฟื้นขึ้นดอกกระมัง หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเม่งง้วยเชงฮองทั้งสองพูดดังนั้นก็ยุติ จึงเรียกสานุศิษย์ให้ยกเข้ามากินแล้วจะได้ออกเดินต่อไป
โป๊ยก่ายจึงยกเข้ามาประเคนให้พระอาจารย์แล้ว เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็พร้อมกันนั่งกินแห่งเดียวกัน เชงฮองเม่งง้วยเห็นศิษย์อาจารย์กำลังกินก็รีบไปยกน้ำชาแลเครื่องแจมาถวาย แล้วก็ยืนเฝ้าปฏิบัติอยู่สองข้าง เชงฮองเม่งง้วยเห็นอาจารย์กับศิษย์นั่งกินเพลินก็วิ่งไปปิดประตูทุก ๆ ประตูแล้วเอากุญแจลั่นเสียทุกประตู
โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า ผิดธรรมเนียมกินเข้าทำไมต้องปิดประตู เม่งง้วยพูดว่ากินแล้วจึงค่อยเปิด เชงฮองจึงพูดว่า อ้ายพวกโจรหัวโล้นยังไม่รู้สึกตัว ลักขโมยผลไม้กินแล้วมิหนำซ้ำทำลายขุดทั้งรากเหง้า ยังจะมีหน้าอ้าปากพูดอะไรอีกเล่า หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเชงฮองเม่งง้วยพูดดังนั้น ก็ทิ้งชามข้าวจับเอาก้อนหินตีเข้าที่น่าอก
ฝ่ายเชงฮองเม่งง้วย ครั้นลั่นกุญแจทุกประตูแล้วก็ยืนอยู่นอกประตู ด่าว่าอยาบช้าจนเวลาบ่าย หลวงจีนถังซัมจั๋งคิดแค้นใจเห้งเจียจึงพูดว่า มึงไปถึงไหนมึงก็ทำแต่ความชั่วทุกหนทุกแห่งไปอย่างนี้ อยาก ลักผลไม้ของเขากินก็ให้เขาด่าว่าก็แล้วกัน เหตุไรจึงไปโค่นต้นของเขาลงอย่างนี้ หากว่าถึงฟ้องถึงร้องยังโรงศาลจะเอาอะไรมาแก้ตัวโต้ตอบกะเขาเล่า
เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์อย่าร้อนใจ ให้มันไปนอนแล้วเราจึงคอยลอบหนีไปในเวลากลางคืนก็ได้ ซัวเจ๋งจึงถามว่ามันลั่นกุญแจไว้ทุกประตูแล้ว ทำอย่างไรจึงจะออกไปได้เล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ไม่ต้องเป็นธุระพี่จะทำโดยวิชาก็คงจะไปได้ดังประสงค์ โป๊ยก่ายถามว่าพี่เห้งเจียมีวิชาจะทำแต่ลำพังตัวเอง เปลี่ยนแปลงเป็นสัตว์ยุงริ้นบินลอดไปตามช่องน้อยก็ไปได้ ข้าพเจ้าทั้งหลายบินไม่ได้จะมิต้องทนทุกข์อยู่ในนี้หรือ
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ถ้าทำมิให้ออกพร้อมกันได้ อาตมาจะภาวนาให้มงคลรัดศรีษะ จะทนเจ็บปวดได้ก็ทนไป โป๊ยก่ายถามพระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้ายังไม่ทราบว่า คาถาอะไรที่ภาวนาแล้วจะให้พี่เห้งเจียปวดศรีษะจนทนไม่ได้
เห้งเจียบอกว่าน้องยังไม่รู้เรื่องตลอด อันมงคลที่ใส่อยู่บนหัวพี่นั้น คือ เป็นของที่พระโพธิสัตว์กวนอิม ให้พระอาจารย์ใส่ศรีษะเรา ถ้าเราดื้อดึงดุร้ายว่าไม่ฟังแล้ว ให้ภาวนาเราก็ปวดศรีษะจนทนไม่ได้ มงคลนี้เรียกว่า (กิ๊มซือยี้จู) สำหรับบังคับเรา ว่าแล้วเห้งเจียก็พิจารณาดูตามช่องฝา เห็นแสงเดือนขึ้นแล้ว ก็ชักกระบองออกจากหูร่ายพระเวทย์คาถาสะเดาะกุญแจออกทุกกญแจเปิดประตูได้แล้ว ก็เข้าไปนิมนต์พระอาจารย์ เรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งยกหาบจูงม้าออกเดินมาทางใหญ่หมายใจตรงไปยังปราจิณทิศ เห้งเจียจึงบอกแก่โป๊ยก่ายและซัวเจ๋งว่า เราจะกลับไปสะกดให้หนุ่มน้อยสองคนนั้นหลับอยู่ตั้งเดือน เจ้าจงนำพระอาจารย์เดินไปพลาง พูดดังนั้นแล้วเห้งเจียก็กลับไปยังสำนักนั้น เวลานั้นหนุ่มน้อยทั้งสองยังกำลังหลับอยู่ เห้งเจียก็เอายาโรยที่หน้าให้ยาเข้าจมูกคนทั้งสอง ๆ ก็หลับมิได้รู้สึกสมประดี
ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งกับโป๊ยก่ายซัวเจ๋งตั้งหน้าเดินไปยันรุ่ง มิได้หยุดพักจนท้องฟ้าขาวใกล้สว่าง หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ชาติลิงแล้วคงหาเหตุให้เกิดขึ้นจนเราได้ความยากลำบากอย่างนี้ ส่วนมันกินสบายอร่อยคอมัน ส่วนเราได้ความเดือดร้อนสาหัส เห้งเจียจึงพูดว่าขอพระอาจารย์อย่าได้มีความโทมนัสบ่นว่าไปเลย รอพอให้สว่างแล้วจึงค่อยหยุดพักเอากำลังเถิด ครั้นสว่างขึ้นแล้วหลวงจีนถังซัมจั๋งก็ลงจากม้าแวะเข้าข้างทางใต้ร่มต้นไม้สน โป๊ยก่ายวางหาบลงแล้วก็ปัดกวาดจัดแจงปูลาดให้พระอาจารย์นอนพัก โป๊ยก่ายก็นอนอยู่ข้าง ๆ พระอาจารย์ ซัวเจ๋งพาม้าไปผูกไว้กับต้นไม้แล้วก็พักนอน
ฝ่ายเห้งเจียเป็นนิสัยวานร ค่อนอยู่ข้างจะซุกซน ก็ปีนขึ้นไปนอนอยู่บนกิ่งไม้ อาจารย์และศิษย์ก็นอนหลับมิได้รู้สึกสมประดี
ฝ่ายฤๅษีติ๋นหงวนต้ายเซียน ครั้นเลิกประชุมแล้วก็พาสานุศิษย์กลับลงมายังสำนัก ครั้นถึงเห็นประตูหอใหญ่ก็เปิดบนที่บูชาธูปเทียนก็ไม่มีทั้งคนก็เงียบสงัด ติ๋นหงวนต้ายเซียนเห็นดังนั้น ก็เดินเลยไปที่ห้องเชงฮองเม่งง้วย เห็นปิดประตูนอนกรนอยู่เรียกเท่าใดก็ไม่ฟื้น บรรดาสานุศิษย์ก็เข้าช่วยกันงัดบานประตูออก จึงแลเห็นสองคนนอนหลับไม่รู้ตัว พากันเข้าผลักปลุกก็ไม่ตื่น ติ๋นหงวนต้ายเซียนเห็นดังนั้นก็หัวเราะ แล้วจึงว่าความปฏิบัติในทางฤๅษีสำเร็จมูลภาควิญญาณจิตมิได้เคลิบเคลิ้มในการง่วงเหงาหาวนอน แต่คนทั้งสองนี้เหตุใดจึงอ่อนเปลี้ยไปไม่รู้สึกตัวอย่างนี้เล่า ชะรอยจะมีผู้ใดทำให้หลับใหลไปดอกกระมัง พูดดังนั้นแล้วจึงเรียกสานุศิษย์ให้ตักน้ำเย็นมาคนโทหนึ่ง
ติ๋นหงวนต้ายเซียนจึงยกคนโทน้ำขึ้นเสกด้วยพระคาถา แล้วเอาน้ำมนต์พ่นหน้าเชงฮองเม่งง้วยก็หายหาวนอน ในเวลานั้นก็รู้สึกผวาตื่นลืมตา เห็นอาจารย์ใหญ่กับเซียนพี่ทั้งหลาย เชงฮองเม่งง้วยเห็นดังนั้นก็ลุกลงจากเตียงนอนมาคำนับอาจารย์ และเซียนทั้งหลายแล้วจึงพูดว่า ท่านอาจารย์สั่งว่า คนรู้จักอะไรที่ไหนที่ประเทศตะวันออกมา ดูพวกสงฆ์เหล่านี้ล้วนแต่หัวขโมยสิ้นทั้งนั้น ทั้งดุร้ายเหลือเกินด้วย
ติ๋นหงวนต้ายเซียนถามว่าเป็นอย่างไรหรือ เชงฮองเม่งง้วยก็เล่าตั้งแต่ต้นจนจบปลาย ให้อาจารย์ฟังทุกประการแล้วก็ร้องไห้
ติ๋นหงวนต้ายเซียนได้ฟังศิษย์เล่าให้ฟังแล้ว จึงบอกว่าเจ้าทั้งสองอย่าร้องไห้ไปเลย เจ้าไม่รู้เหตุของเห้งเจีย ๆ คนนี้คือดาวท้ายเป๊กแบ่งภาคจุติลงมามีฤทธิ์อานุภาพมาก เคยทำสงครามบนสวรรค์เมื่อครั้งก่อน บัดนี้มาทำลายโค่นล้มต้นไม้วิเศษของเราเสียสิ้น เจ้าจำตัวได้หรือไม่ เชงฮองเม่งง้วยบอกว่าจำได้ ติ๋นหงวนต้ายเซียนจึงบอกว่า ถ้ากระนั้นเจ้าทั้งสองจงตามข้าไป แล้วสั่งพวกสานุศิษย์ทั้งหลายให้จัดแจงเตรียมเชือกไว้ คอยเมื่อข้าจับตัวมาได้จะได้ลงโทษ
ฝ่ายพวกสานุศิษย์ทั้งหลายรับคำสั่งของอาจารย์แล้ว ก็พร้อมกันเหาะขึ้นบนอากาศหมายทิศปราจิณ จะไปตามจับหลวงจีนถังซัมจั๋ง เหาะมาบัดเดี๋ยวใจประมาณทางได้พันโยชน์ ติ๋นหงวนต้ายเซียนแลไปข้างหน้าฝ่ายทิศตะวันตกก็ไม่เห็นหลวงจีนถังซัมจั๋ง กลับหันหน้ามาดูข้างทิศตะวันออก เชงฮองชี้บอกว่าหลวงจีนถังซัมจั๋งอยู่ใต้ต้นไม้โน่นแน่ ต้ายเซียนแลเห็นแล้วก็สำรวมกิริยาแปลงกายเป็นคนถือศีลเดินทาง แล้วก็ลดลงยังพื้นดินเข้ามาใกล้พระถังซัมจั๋งที่นั่งพักอยู่นั้น จึงยกมือคำนับหลวงจีนถังซัมจั๋งก็คำนับตอบ ติ๋นหงวนต้ายเซียนจึงถามว่าท่านอาจารย์มาจากไหน
หลวงจีนถังซัมจั๋งตอบว่า อาตมภาพมาจากประเทศจีนจากทิศตะวันออก ได้รับคำสั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้ไปมัชฌิมประเทศ อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ติ๋นหงวนต้ายเซียนทำเป็นถามว่าท่านเดินมาได้แวะพักที่ภูเขาสำนักข้าพเจ้าหรือเปล่า
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่าสำนักของท่านอยู่ที่ไหนข้าพเจ้ายังไม่ทราบเรื่อง ติ๋นหงวนต้ายเซียนบอกว่าที่เขาบ้วนซีวซัวเหงาจึงกวนสำนักนั้นแหละ เป็นที่อยู่แห่งข้าพเจ้า
เห้งเจียนั่งอยู่ข้างนั้นได้ฟังดังนั้นก็ชิงบอกว่า ข้าพเจ้าเดินมาตามทางใหญ่มิได้แวะที่ตำบลนั้น ติ๋นหงวนได้เซียนได้ฟังเห้งเจียบอกว่ามิได้แวะดังนั้น จึงชี้หน้าเห้งเจียว่าอ้ายสัตว์วานร พวกมึงไม่แวะก็คือใครเล่าแวะเข้าไปอาศัย แล้วมิหนำซ้ำขโมยกินแล้วก็ทำลายหักโค่นต้นเสียด้วย แล้วแอบหนีมาในเวลากลางคืน ยังจะมีสำนวนเถียงเลี่ยงหลีกไปข้างไหนอีกเล่า เจ้าอย่าหนีไปจงทำให้ต้นยิ่นเซียมก๊วยของเราคืนเป็นขึ้นจึงจะไปได้
เห้งเจียได้ฟังคำติ๋นหงวนต้ายเซียนพูดดังนั้น ก็โกรธดุจไฟกัลป์ ชักระบองตีติ๋นหงวนตายเซียน ติ๋นหงวนต้ายเซียนหลบทัน ก็เหาะขึ้นไปบนอากาศกลับเป็นรูปเดิม
ฝ่ายเห้งเจียไล่ตามมาไม่รู้ผิดถูก ติ๋นหงวนต้ายเซียนเห็นได้ทีจึงเอาถุงวิเศษร่ายมนต์ขว้างไป ถุงก็ขยายออกกว้างแล้วรวบรัดเอาหลวงจีนถังซัมจั๋งเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเข้าไว้ในถุงได้ทั้งสี่คน ทั้งม้าและข้าวของก็เข้าอยู่ในถุงด้วยทั้งสิ้น ติ๋นหงวนต้ายเซียนก็เรียกถุงกลับมายังสำนัก ครั้นถึงก็ขึ้นบนหน้าหอเรียกศิษย์ทั้งหลายมาพร้อมกันสั่งให้เอาถุงไปเทให้คอยระวังจับตัวทั้งสี่คน มัดผูกไว้ที่โคนต้นไม้ต้นละคน จูงม้าเข้าไปผูกข้างในข้าวของหาบก็ยกมาเก็บข้างใน ติ๋นหงวนต้ายเซียนบอกให้เอาเชือกหนังมาเฆี่ยนทั้งสี่คนแก้แค้นต้นไม้ยิ่นเซียมก๊วย พวกศิษย์จึงเอาเชือกมาจะเฆี่ยน แล้วถามอาจารย์ว่าจะให้เฆี่ยนคนไหนก่อน
ติ๋นหงวนต้ายเซียนจึงสั่งให้เฆี่ยนหลวงจีนถังซัมจั๋งก่อน เพราะเป็นอาจารย์ไม่สั่งสอนศิษย์ให้เรียบร้อย เห้งเจียได้ฟังว่าจะเฆี่ยนอาจารย์จึงร้องบอกว่า ท่านต้ายเซียนเฆี่ยนอาจารย์ข้าพเจ้าก่อนนั้นผิดไป ขโมยผลไม้กินและหักโค่นต้นไม้ลงมานั้นข้าพเจ้าทำทั้งสิ้น จะต้องเฆี่ยนข้าพเจ้าก่อนจึงจะถูก เพราะข้าพเจ้าเป็นต้นเหตุ
ติ๋นหงวนต้ายเซียนได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า อ้ายลิงนี้มันมีคำพลิกแพลง ถ้ากระนั้นจงเฆี่ยนมันเสียก่อน พวกศิษย์ถามว่าจะเฆี่ยนมันสักเท่าใด ต้ายเซียนว่าให้เฆี่ยนตามกำหนดผลไม้สามสิบที เซียนน้อยจึงยกไม้เรียวหนังจะหวดลง เห้งเจียแขม่วท้องร่ายคาถาแปลงขนแปลงเป็นเหล็กสองแท่งรับที่ขา แล้วนิ่งให้เซียนน้อยเฆี่ยนกว่าจะครบสามสิบทีเวลานั้นก็จวนเย็น ต้ายเซียนจึงสั่งให้เฆี่ยนหลวงจีนถังซัมจั๋ง ข้อที่ไม่สั่งสอนสานุศิษย์ให้อยู่ในยุติธรรมจึงได้เกิดวุ่นวาย
เซียนน้อยก็ถือไม้เรียวหนังจะมาเฆี่ยนหลวงจีนถังซัมจั๋ง เห้งเจียจึงร้องบอกว่าท่านต้ายเซียนจะเฆี่ยนอาจารย์
ข้าพเจ้านั้นไม่ถูก ผลไม้นั้นข้าพเจ้ากินเอง อาจารย์ข้าพเจ้าไม่รู้เห็นด้วย ท่านจะให้เฆี่ยนอาจารย์ข้าพเจ้านั้นหา
เป็นการยุติธรรมถูกต้องไม่ เหตุการณ์เหล่านี้พวกข้าพเจ้าพี่น้องทำเอง แม้จะเฆี่ยนอาจารย์ข้าพเจ้า ๆ เป็นสานุศิษย์จะต้องขอรับโทษแทนอาจารย์ ขอท่านจงเฆี่ยนข้าพเจ้าแทนอาจารย์เถิด
ติ๋นหงวนต้ายเซียนจึงพูดว่าอ้ายลิงตัวนี้มันซุกซนก็จริง แต่มันมีความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ของมัน ถ้ากระนั้นก็ให้
เฆี่ยนมันอีกสามสิบที เซียนน้อยก็มาเฆี่ยนเห้งเจียอีกสามสิบที เห้งเจียก็ยืนนิ่งให้เฆี่ยน ๆ สักเท่าใดก็ไม่มี
ความรู้สึกเจ็บปวดอะไร
ดี๋นหงวนต้ายเซียนจึงสั่งให้เอาเชือกหนังแช่น้ำไว้พรุ่งนี้จึงจะเฆี่ยนใหม่ พวกศิษย์ทั้งหลายก็กลับไปยังห้องหลับนอน
ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งมีความเสียใจโทมนัสคิดแค้นสานุศิษย์ทั้งสามไปก่อเหตุพาให้ต้องโทษทรมานอยู่อย่างนี้จะคิด
ทำประการใด
เห้งเจียได้ฟังพระอาจารย์บ่นว่าดังนั้นจึงพูดว่าขอพระอาจารย์อย่าได้ทุกข์โทมนัสเสียใจไปเลย เราคิดตรึกตรองหนี
คงจะได้ พูดแล้วเห้งเจียก็ร่ายมนต์ให้ตัวเล็กลอดออกมาจากเชือกได้ แล้วเดินมาที่พระอาจารย์บอกว่าไปเถิด จึงแก้
มัดที่อาจารย์และโป๊ยก่ายซัวเจ๋งช่วยกันเก็บสิ่งของและม้าพากันออกจากสำนักแล้ว เห้งเจียบอกโป๊ยก่ายให้เอาไม้
สน ถากสี่ท่อน โป๊ยก่ายทำแล้วเห้งเจียจึงเอาไม้สนสี่ท่อนนั้นไปไว้ที่มัดวางแห่งละท่อน ๆ แล้วเสกคาถาให้เห็นเป็น
รูปอาจารย์และเหงเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็รีบออกเดินมิได้พักจนสว่าง หลวงจีนถังซัมจั๋ง
อยู่บนหลังม้าง่วงนอนสัปหงก
เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงพูดว่าพระอาจารย์เหนื่อยอ่อนไม่เป็นปกติ จงหยุดพักสัก
ประเดี๋ยวก่อนจึงค่อยไป พูดดังนั้นแล้วอาจารย์กับสานุศิษย์ก็พากันเข้านั่งพักอาศัยอยู่ข้างทาง
ฝ่ายติ๋นหงวนต้ายเซียนครั้นรุ่งแจ้งแล้วก็ออกมาหน้าหอ เรียกศิษย์สั่งว่าวันนี้เอาไม้เรียวเฆี่ยนหลวงจีนกับศิษย์
พวกศิษย์ได้ฟังอาจารย์สั่งดังนั้น จึงเอาไม้เรียวมาแล้วบอกพระถังซัมจั๋งว่าเราจะเฆี่ยน ไม้รูปพระถังซัมจั๋งก็พูดว่าจะ
เฆี่ยนหรือ เซียนน้อยก็หวดพักหนึ่งสามสิบทีแล้วตรงมาที่โป๊ยก่ายซัวเจ๋งบอกว่าจะเฆี่ยน ไม้รูปแปลงวาจะเฆี่ยนหรือ
เซียนน้อยก็เอาไม้เรียวหวดสามสิบที แล้วตรงมาที่เห้งเจียจะเฆี่ยน
เห้งเจียว่าวานนี้ก็เฆี่ยนเราแล้วทำไมวันนี้จะเฆี่ยน
เราอีกเล่า รูปคนที่ท่านเฆี่ยนเป็นรูปไม้เราทำปลอมไว้ทั้งนั้น ว่าแล้วเห้งเจียก็คลายมนต์หนีไป รูปคนเหล่านั้นก็
กลายเป็นไม้ไปหมดทั้งสี่ท่อน
เซียนน้อยเห็นดังนั้นก็โยนไม้เรียวเสีย วิ่งไปบอกแก่อาจารย์ว่าเมื่อตะกี้นี้ท่านให้เฆี่ยนนั้นเป็นไม้สน
ทั้งสี่ท่อนมิใช่คนดอก ติ๋นหงวนใต้เซียนได้ฟังศิษย์พูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายลิงตัวนี้มันดีจริงทำกลรูปไม้ไว้
แทนแล้วตัวมันก็หนีไป เราจะไปตามจับมาให้จงได้ พูดแล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศตามไปข้างทิศตะวันตกเขม่นมอง
ไปข้างหน้า ก็พอแลเห็นหลวงจีนถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามคนกำลังเดินไป
ติ๋นหงวนใต้เซียนเห็นดังนั้น ก็รีบเหาะ
เข้ามาใกล้แล้วก็ลงยังพื้นพสุธาร้องเรียกว่าเห้งเจีย เจ้าจะหนีไปข้างไหนเจ้าจงใช้ยิ่นเซียมก๊วยให้เราเสียก่อน
โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่ามาพบกันเข้าอีกแล้ว เห้งเจียจึงพูดแก่พระอาจารย์ว่า ท่านจงประพฤติ
ทางอันชอบธรรม ข้าพเจ้าจะต่อสู้แก่เขาเองเพื่อจะได้พ้นความอันตราย
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ให้กลัวจนตัวสั่นพูดไม่ออก เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งทั้งสามคน ออก
ช่วยกันระดมตีติ้นหงวนต้ายเซียน
ติ้นหงวนต้ายเซียนถือไม้แซ่ยุงปัดปัดป้องไปมาประมาณครึ่ง
ชั่วโมง ติ้นหงวนต้ายเซียนจึงร่ายมนต์ปล่อยถุงให้กว้างออกล้อมจับอาจารย์กับศิษย์ทั้งสามคน
รวบเข้าอยู่ในถุงทั้งม้าและข้าวของ ติ้นหงวนต้ายเซียนเรียกถุงมาแล้วก็รีบเหาะกลับมายังสำนัก
ขึ้นบนหอหน้าร่ายมนต์แก้ปากถุงเอาหลวงจีนถังซัมจั๋งออกผูกมัดไว้ที่โคนต้นไม้ข้างริมหอหน้า
โป๊ยก่ายซัวเจ๋งผูกไว้คนละข้าง เอาเห้งเจียมัดมือมัดเท้าทิ้งไว้ริมบันใด ติ้นหงวนต้ายเซียนสั่ง
ศิษย์ให้เอาผ้าขาวมาสิบพับ เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงพูดแก่โป๊ยก่ายว่า ตาติ้นหงวนต้ายเซียนนี้เห็น
จะคิดเอาผ้าขาวมาห่อเราเป็นแน่ พวกศิษย์ของติ้นหงวนต้ายเซียนก็ขนเอาผ้าขาวมากองไว้ตามสั่ง
ต้ายเซียนจึงบอกให้เอาผ้าขาวพันหลวงจีนถังซัมจั๋งและโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งให้รอบตัวเหลือไว้แต่ศรีษะ
เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงพูดว่า ติ้นหงวนต้ายเซียนวันนี้ทำตราสังใหญ่แล้ว ครั้นพวกศิษย์เอาผ้าขาวพัน
เสร็จแล้ว ต้ายเซียนบอกให้เอาน้ำรักมาทาให้ตลอดตัวไว้แต่ศรีษะ ต้ายเซียนสั่งให้เอากะทะใหญ่มาตั้งเตาขึ้นแล้ว
เอาน้ำมันมาใส่ลงในกะทะ ก่อไฟให้ติดต้มน้ำมันให้ร้อนเดือด ครั้นน้ำมันเดือดแล้ว เซียนน้อยจึงบอกแก่อาจารย์
ว่า น้ำมันเดือดแล้ว ติ้นหงวนต้ายเซียนสั่งให้เอาเห้งเจียใส่กะทะ
เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็ยินดีอยู่ในใจว่า ตัวเราตั้งแต่มาก็ยังมิได้อาบน้ำเลย เนื้อตัวมีแต่เหงื่อไคล
มาก วันนี้ต้ายเซียนมีแก่ใจจะเอาเราอาบน้ำ เรามีความขอบใจมาก ๆ
เห้งเจียยังวิตกอยู่ว่า ต้ายเซียนจะทำวิชาใช้
น้ำมันเสกด้วยเวทย์มนต์คาถา คิดแล้วก็ขยับตัวใกล้บันใด เหลือบไปเห็นสิงโตหินอยู่บนแท่นตัวหนึ่ง เห้งเจียก็ร่าย
คาถากัดปลายลิ้น เสกพ่นโลหิตเข้าไปที่ตัวสิงโตหินร้องเรียกให้สิงโตหินแปลงเป็นรูปเห้งเจียแทนตัว เห้งเจียก็
เหาะขึ้นไปอยู่บนอากาศ พวกศิษย์ของต้ายเซียนก็พากันมาสี่คนยกเห้งเจียปลอมก็ไม่ขึ้น เติมเข้า
ช่วยกันอีกสี่คนยกก็ไม่ขึ้น รวมสิบสองคนแล้วก็ยกไม่ขึ้น
พวกเซียนพูดว่า อ้ายลิงนี้มันกบดาน
แล้วจึงยกไม่ขึ้น ต้ายเซียนเห็นดังนั้น จึงสั่งให้เข้าช่วยกันอีกยี่สิบคน ยกหามขึ้นทุ่มลงไปในกะทะ
น้ำมันดังเสียงตูม น้ำมันกำลังเดือดก็กระเด็นขึ้นกระจายถูกหน้าพวกเซียนทั้งหลายเหล่านั้น
แสบร้อนทุก ๆ คนไป แล้วแลเข้าไปเห็นที่ก้นเตาไฟ ก็ยิ่งลุกขึ้นออกฮือ โหมกะทะก็ทะลุก้น
น้ำมันก็ไหลแห้งไปหมด เซียนทั้งหลายเดิมไม่รู้ว่าเป็นสิงโตหินหมายว่าเห้งเจีย ครั้นโยนลงไป
ในกะทะก็กลายเป็นสิงโตศิลาไปแล้วทะลุก้นกระทะลงไปอยู่ในเตาไฟ
ติ๋นหงวนต้ายเซียนเห็นดังนั้น ก็ยิ่งมีความโกรธจึงพูดว่า อ้ายลิงนี้ไม่มีดี หนีได้ก็ให้หนีไปยังมิหนำ
ทำลายเตาไฟเสียด้วย ฤทธิ์เดชของมันมากราวกับจับลม จะต้องตั้งเตาใหม่ จับหลวงจีนถังซัมจั๋ง
ใส่ต้มแก้แค้นแทนต้นยิ่นเซียมก๊วยที่ตายนั้น
เห้งเจียอยู่บนเมฆได้ยินติ๋นหงวนต้ายเซียนพูดดังนั้นก็ลงมายังพื้นเดินขึ้นไปยังหอหน้า พนมมือคำนับต้ายเซียนแล้ว
พูดว่า ขอท่านติ๋นหงวนต้ายเซียนอย่าจับอาจารย์ข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้ากลับมาแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าลงกะทะเถิด
ติ๋นหงวนต้ายเซียนเห็นเห้งเจียมาพูดดังนั้นก็ด่าว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉาน ทำไมมึงจึงได้แผลงฤทธิ์ทำลายเตาของกูให้เสีย
ไปอย่างนี้ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านถามแล้วก็ต้องบอก ด้วยเวลานั้นข้าพเจ้าจวนจะผายลม ครั้นว่าจะผายลม
ในน้ำนั้นก็วิตกเกรงจะโสโครกแก่น้ำมันของท่านไป เพราะว่าบางทีจะได้เอาไว้ผัดผักฝักถั่วกินบ้างก็จะไม่บริสุทธิ์
บัดนี้ข้าพเจ้าไปอุจจาระเครื่องปฏิกูลออกแล้วจึงกลับมาจะขอลงกะทะ ขอท่านอย่าได้จับอาจารย์ข้าพเจ้าใส่ลงกระทะ
เลย
ติ๋นหงวนต้ายเซียนครั้นได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็หัวเราะ ผุดลุกจากเก้าอี้มาจับยึดเห้งเจียไว้
(บทที่ ๒๖)
ติ๋นหงวนต้ายเซียนจับเห้งเจียยึดไว้กับมือแล้วจึงพูดว่า ข้าพเจ้ารู้มูลเหตุเดิมของเจ้าทั้งสิ้นว่า จะหนีไปข้างไหนก็ไม่
รอดพ้นมือเรา เจ้าจงไปกับข้ายังทิศไซทีเฝ้าพระพุทธเจ้าของเจ้า พระองค์ใดทำปาฏิหารย์อย่างใดให้ต้นยิ่น
เซียมก๊วยของเราฟื้นขึ้นเป็นตามเดิม แม้ไม่ดังนั้นเจ้าอย่าพึงนึกไปว่ามีฤทธิ์ อานุภาพประการใดจะหนีไปนั้นยากนัก
เห้งเจียได้ยินต้ายเซียนพูดดังนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า เดิมท่านต้ายเซียนทำไมจึงไม่พูดอย่างนั้น ถ้าพูดเช่นนี้แล้ว
จะต้องวุ่นวายอะไรมี ต้ายเซียนว่าข้าพเจ้าไม่ต้องวุ่นวายจะยอมอนุญาตให้
เห้งเจียว่าขอท่านได้แก้มัดปล่อย
อาจารย์ข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าจะทำให้ต้นยิ่นเซียมก๊วยของท่านเป็นอยู่ตามเดิม ต้ายเซียนพูดว่า แม้เจ้ากระทำให้
ต้นยิ่นเซียมก๊วยของข้าฟื้นขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าจะไหว้แปดทิศผูกมิตรเป็นสหายแก่ตัวเจ้าจนวันตาย เห้งเจียว่าท่าน
อย่าเร่งรัดจงปล่อยพวกข้าพเจ้าออกแล้ว ต้นยิ่นเซียมก๊วยของท่านนั้น ข้าพเจ้าจะจัดแจงเอง ต้ายเซียนได้ฟังดัง
นั้นก็คิดว่า คนเหล่านี้ก็จะไม่หนีไปข้างไหนพ้น จึงสั่งให้แก้มัดปล่อยคนทั้งสามออกเสียทันที
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า เห้งเจียจะไปหายาที่ไหนมาแก้ให้ต้นยิ่นเซียมก๊วยกลับคืนเป็นมา
ดังเก่าได้ เห้งเจียตอบพระอาจารย์ว่าจะไปเที่ยวหาตามเกาะในทะเลใหญ่ตามละเมาะเกาะแก่งทั้งหลาย บางทีจะ
ปะพบผู้สำเร็จภาคและว่านยาอันวิเศษบ้าง ได้มาแล้วจะได้รักษาต้นไม้ให้เป็นขึ้น ใช้ให้แก่ท่านต้ายเซียนเธอ
บัดนี้ข้าพเจ้าจะข้ามทะเลไปทางทิศตะวันออก พระถังซัมจั๋งถามว่าจะไปสักกี่เวลาจึงจะได้กลับมา เห้งเจียว่าข้าพเจ้า
ไปสามวันจะกลับมา
เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็คำนับลาอาจารย์ออกจากสำนัก เหาะขึ้นกลางอากาศหมายทิศ
บูรพา เหาะไปบัดเดี๋ยวก็ถึงละเมาะเกาะหนึ่ง นามเรียกว่า (แป๊ะฮู้น) หน้าถ้ำมีต้นสนออกสาขาร่มรื่น แลเห็นที่
ใต้ต้นพฤกษามีผู้เฒ่านั่งเล่นหมากรุกกันอยู่สามคน เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ลดลงเดินเข้าไป ก็แลเห็นซัมแชคือดาว
ทั้งสาม ดาวซิวแซนั้นนั่งดูดาวฮกแช และดาวลกแชนั้นนั่งเดินหมากรุกกันอยู่ เห้งเจียเดินเข้าไปใกล้ร้องเรียกว่า
ท่านน้องทั้งสามข้าพเจ้าคำนับ ซัมแชทั้งสามแลเห็นเห้งเจียก็ดีใจปล่อยหมากรุกทำคำนับตอบ แล้วถามว่าท่าน
ไปข้างไหนมา เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าจะมาหาพวกท่านด้วยมีกิจธุระ
ซิวแชถามว่าท่านเห้งเจียได้ยินว่าท่านติดตาม
รักษาพระถังซัมจั๋ง จะไปอาราธนาพระไตรปิฎก เหตุใดจึงวางธุระมาเสียได้ เห้งเจียบอกว่าความจริงข้าพเจ้าไม่ปิด
บังอะไรท่าน ข้าพเจ้าได้ติดตามพระถังซัมจั๋งไปประเทศไซทีจริง บัดนี้มามีเหตุขัดข้องขึ้นกลางทาง เพราะฉะนั้น
ข้าพเจ้ามาทั้งนี้เพื่อจะขอพึ่งท่านทั้งหลายให้ช่วยสงเคราะห์ด้วย แต่ยังไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่
ฮกแชจึงถามว่ามีความขัดข้องที่แห่งใด จึงบอกให้ข้าพเจ้าทราบ ถ้าช่วยได้จะช่วย
เห้งเจียจึง
บอกว่าที่เขาบ้วนซิ่วซัวสำนักเหงาจึงกวน ซัมแชเซียนจึงพูดว่าสำนักเหงาจึงกวนนั้นเป็นที่ของติ๋นหงวนต้ายเซียนอยู่
นี่เห็นเห้งเจียจะไปเอาผลยิ่นเซียมก๊วยกินดอกกระมัง
เห้งเจียหัวเราะแล้วบอกว่า ได้ลักกินผลหนึ่งจะดีร้ายอย่างไรหรือ ซัมแชเซียนบอกว่า ตัว
เป็นลิงไม่รู้จักของวิเศษ ผลไม้นี้เขาเรียกว่า (บ้วนซีวเช้าฮ่วนตัน) คือยาอายุยืน พวกข้าพเจ้าไม่เท่าเซียนจำ
พวกนี้ ทางปฏิบัติของเธอง่ายกว่าพวกข้าพเจ้า อายุเธอเสมอฟ้า พวกข้าพเจ้าปฏิบัติรักษาไม่รู้ว่ามากน้อยเท่า
ใด ความเพียรเท่าใด เห้งเจียทำไมจะถามร้ายดีอย่างไรใต้หล้านี้พันธุ์เผือกไม้กายสิทธิ์เป็นที่สุดวิเศษ
เห้งเจียพูดว่าต้นผลไม้นี้วิเศษจริง ๆ ข้าพเจ้าทำลายโค่นล้มลงมาทั้งรากเหง้าเสียหมดแล้ว
ซัมแชเซียนทั้งสามได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ถามว่าทำไมจึงได้ทำให้ล้มลงดังนั้นเล่า เห้งเจียจึงเล่าตาม
เหตุที่ได้ลักผลไม้ยิ่นเซียมก๊วยกินให้ฟังทุกประการ แล้วว่าบัดนี้ติ๋นหงวนต้ายเซียนกักข้งไว้มิให้ไป
เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าเที่ยวหายาเพื่อจะรักษาต้นยิ่นเซียมก๊วยให้คืนเป็นอย่างเดิม ท่านทั้งสามมียาอะไร
ที่จะแก้ได้บ้าง ขอให้ข้าพเจ้าไปรักษาต้นไม้นั้นให้คืนเป็นดังเก่า จะได้ให้พระอาจารย์ออกพ้นจาก
ที่ยากได้
ซัมแชทั้งสามได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็นั่งนึกอยู่ในใจแล้วพูดว่า แม้ว่าท่านเห้งเจียตีสัตว์
ทั้งหลายตาย จะต้องการประสงค์ยาของข้าพเจ้าไปแก้ก็คงจะคืนเป็นได้ อันต้นยิ่นเซียมก๊วยของ
เทวดาจะแก้ไม่ได้ เห็นสิ้นปัญญาข้าพเจ้าไม่มียาจะแก้ เห้งเจียเห็นว่าไม่มียาจะแก้ในใจก็ไม่สบาย
ไม่มีความรื่นเริงหน้านิ่วคิ้วย่น
ฮกแชพูดว่าที่นี่ไม่มีที่อื่นจะมีบ้างดอกกระมังท่านจะด่วนเสียใจทำไม
เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าจะไปหาที่อื่นเห็นจะดี แต่ขัดด้วยท่านอาจารย์ถังซัมจั๋งยังตกอยู่ในบังคับแน่น
หนานัก ไม่สิ้นห่วงที่จะให้มีโอกาศไปเที่ยวหาให้ทันในกำหนดสามวัน แม้สามวันไม่กลับไปท่านก็จะภาวนาพระ
คาถาให้มงคลรัดศรีษะเจ็บปวดเหลือที่จะทนได้
ซิ่วแชได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นท่านเห้งเจียอย่าวิตกเลย ติ๋นหงวนต้ายเซียน
เป็นใหญ่ก็จริง แต่คุ้นเคยชอบพอแก่ข้าพเจ้าทั้งสามคนนี้ ข้าพเจ้าทั้งสามจะไปพูดจาขอร้องให้ผ่อนผันทั้งจะให้
ท่านอาจารย์รู้ข่าวอย่าให้ท่านภาวนา ข้าพเจ้าไปถึงแล้วอย่าว่าแต่สามวันเลยห้าหกวันก็ได้ แต่จะต้องคอยถ้าเห้งเจียอยู่ก่อนกว่าจะกลับ ข้าพเจ้าทั้งสามจึงจะกลับมาที่อยู่
เห้งเจียได้ฟังซัมแชพูดดังนั้นจึงพูดว่า ขอบใจท่านน้องทั้งสามมาก ๆ ขอเชิญท่านไปให้ข่าวด้วย
เถิด ข้าพเจ้าจะไปเที่ยวค้นหายามาให้จงได้ พูดดังนั้นแล้วเห้งเจียก็คำนับซัมแชออกจากตำบลถ้ำแปะฮู้นเหาะไป
ฝ่ายซัมแชเห็นเห้งเจียเหาะไปแล้ว ซัมแชก็พากันเหาะไปยังสำนักเหงาจึงกวน ที่สำนักเหงาจึง
กวนในเวลานั้นกำลังพร้อมกันอยู่ ได้ยินเสียงบนอากาศเหมือนนกการเวกอยู่บนเวหา สานุศิษย์ในสำนักแลขึ้นไป
เห็นก็รีบเข้าไปบอกแก่ติ๋นหงวนต้ายเซียนว่า บัดนี้ท่านซัมแชทั้งสามลงมาจากเวหา
เวลานั้นต้ายเซียนกำลังนั่งอยู่
กับหลวงจีนถังซัมจั๋ง ได้ยินเซียนน้อยมาบอกดังนั้นก็ลุกจากเก้าอี้ เดินออกมายังหน้าหอร้องเชิญซัมแช
โป๊ยก่ายเห็นซิ่วแชก็ตรงเข้ามาจับข้อมือหัวเราะแล้วพูดว่า อีตาหัวเนื้อนานแล้วมิได้พบปะกันเลย
ทำไมจึงไม่สวมหมวก ดูคล้าย ๆ คนที่เป็นขี้ข้าเขาอย่างนี้
ตี๊กุนครั้นได้ฟังเห้งเจียเล่าบอกดังนั้น จึงพูดว่าข้าพเจ้ามียาวิเศษอยู่เม็ดหนึ่งเรียกว่า (เก๊าจ๊วนท้ายอิดฮ่วนตัน)
คือยาวิเศษประกอบทำถึงเก้าหนจึงสำเร็จ หากว่ามนุษย์หรือสัตว์เดรัฉานแลต้นไม้ในใต้หล้าเป็นอันตราย ยานี้
ก็คงจะรักษาให้กลับฟื้นคืนมาได้ แต่ที่สำนักเหงาจึงเป็นที่เทวดาชั้นสูง แลภูเขาบ้วนซิ่วซัวนั้นก็เป็นที่ชัยภูมิของ
พรหมแต่ต้นยิ่นเซียมก๊วยนั้น ก็เป็นของกายสิทธิ์ เกิดเมื่อเริ่มตั้งฟ้าตั้งดินมิใช่ของธรรมดาในใต้หล้านี้ เพราะฉะนั้น
ข้าพเจ้าไม่มียาจะรักษา
เห้งเจียพูดว่าถ้าท่านไม่มียาแก้ได้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะลาท่านไปหาที่อื่น พูดดังนั้นแล้วก็ลาตี๊กุนออก
จากสำนักเหาะไป ถึงชายเกาะแห่งหนึ่งมีต้นไม้ร่มรื่น เห้งเจียแลไปที่ใต้ต้นไม้มีคนรูปร่างหนุ่มแต่ผมนั้นหงอกขาว
นั่งเล่นหมากรุกแลกินสุราเป็นการรื่นเริงกันอยู่ เห้งเจียก็ลดลงเดินเข้าไปใกล้เห็นถนัดก็จำได้ คือ (กี๊วเล้า)
เห้งเจียจึงร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ข้าพเจ้ารื่นเริงด้วยสักคนหนึ่ง
ฝ่ายพวกเทวดาได้ยินเสียงร้องเรียกจึงหันหน้าดู ต่างคนลุกขึ้นเชิญรับเห้งเจีย ๆ จึงถามว่า พวก
ท่านทั้งหลายมีความสุขอยู่ดอกหรือ กี๊วเล้าจึงตอบว่า แม้เมื่อก่อนท่านเห้งเจียไม่ทำให้เกิดเหตุวุ่นวายบนสวรรค์
แล้ว ท่านจะมีความสุขยิ่งกว่าข้าพเจ้าหลายเท่า เวลานี้ท่านปฏิบัติทางธรรมตามหลวงจีนถึงซัมจั๋งไปมัชฌิมประเทศ
แล้ว เหตุใดจึงวางธุระมาถึงนี่เล่า
เห้งเจียจึงเล่าเหตุผลต้นปลายให้กี๊วเล้าฟังทุกประการ กี๊วเล้าได้ฟังก็พากันตกใจ พูดว่าท่าน
ทำไมจึงไปทำดังนั้นเล่า ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่มียาจะรักษาให้ฟื้นได้
เห้งเจียได้ฟังกี๊วเล้าบอกว่าไม่มียา ก็ลากี๊วเล้า
จะไปหาที่อื่น กี๊วเล้าจึงพูดว่าท่านได้มาถึงที่นี่แล้ว เชิญรับประทานของสักเล็กน้อยก่อนแล้วจึงค่อยไป เห้งเจียก็นั่ง
กินสุราเซียนถ้วยหนึ่งกับของแกล้มคำหนึ่ง แล้วก็ลากี๊วเล้าออกจากที่นั้นไป บัดเดี๋ยวก็พ้นเกาะยันจิว หมายตรงทิศ
บูรพาทะเลใหญ่ใกล้เขา (โละแก่ซัว) ครั้นถึงเห้งเจียก็ลดลงยังพื้นแล้วเดินเข้าไปในดงไผ่ จะเข้าไปหาพระ
โพธิสัตว์กวนอิม
ฝ่ายพระโพธิสัตว์กวนอิมเวลานั้นอยู่ในสำนัก กำลังเทศนาให้พรหมแลเทวดาแลฮุยไง้เล่งหนึงฟัง
พระโพธิสัตว์กวนอิมรู้ว่าเห้งเจียมา จึงใช้ให้ต้ายสินออกไปรับ ต้ายสินคำนับแล้วออกจากดงไผ่
แลเห็นเห้งเจีย จึงร้องทักว่าหงอคงไปไหนมา เห้งเจียหันหน้ามาตวาดว่า เจ้าเป็นสัตว์ผีดำ
ทำไมจึงมาเรียกเราว่าหงอคง ไม่มีความเกรงใจ เมื่อก่อนนั้นเราปล่อยเจ้ามิใช่หรือ เจ้าคือปิศาจ
ผีที่เขาเฮกฮองซัว บัดนี้มาอยู่ด้วยพระโพธิสัตว์สมาทานอันชอบธรรม จะเรียกเราว่าท่านผู้ใหญ่
สักคำหนึ่งไม่ได้หรือ ทำไมจึงต้องเรียกว่าหงอคงเล่า ต้ายสินผู้นี้เดิมก็ได้พึ่งเห้งเจียมาก่อนจริง
ครั้นได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่า คำโบราณท่านว่า อันเป็นมนุษย์ที่มีความรู้แล้วมิได้มีความ
พยาบาท บัดนี้พระโพธิสัตว์ให้ข้าพเจ้ามารับเชิญท่านเข้าไปข้างใน เห้งเจียกับต้ายสินก็พากันเดิน
เข้าไป ครั้นถึงเห้งเจียคำนับแล้วก็ยืนอยู่ข้างนั้น พระโพธิสัตว์จึงถามว่า เห้งเจียท่านมาด้วยเหตุ
ธุระทุกข์ร้อนประการใดหรือ เห้งเจียพนมมือแล้วจึงเล่าเรื่องที่ตนทำ ต้นยิ่นเซียมก๊วยล้มโค่นตั้งแต่
ต้นจนปลาย บัดนี้จะมาขอยารักษาให้ต้นยิ่นเซียมก๊วยฟื้นขึ้น
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ทำไมเห้งเจียจึงไม่มาหาอาตมภาพก่อน เที่ยวค้นหาที่ไหนให้ช้า
การเปล่า ๆ
เห้งเจียได้ฟังพระโพธิสัตว์พูดดังนั้นก็นึกดีใจ จึงคลานเข้าไปใกล้อ้อนวอน พระโพธิ
สัตว์พูดว่าขวดน้ำมนต์ของอาตมภาพนี้ อาจรักษาต้นไม้ของพวกเทวดาเซียนนั้นได้ เห้งเจียพนม
มือแล้วถามว่า ได้เคยรักษามาแล้วหรือประการใด พระโพธิสัตว์บอกว่าพรหมท้ายเสียงเล่ากุนได้เคย
ลอง อาตมภาพให้ท้ายเสียงเล่ากุน ถอนเอาต้นสนไปใส่ในเบ้าหุงยานั้นจนเกรียมแห้งแล้ว เอามา
ส่งให้อาตมภาพ ๆ เอาน้ำมนต์ในขวดนี้ พรมลงไว้คืนหนึ่งกับวันหนึ่ง ต้นสนนั้นก็กลับเป็นขึ้น
อย่างเดิมใบก้านออกงามยิ่งกว่าเก่า
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ต้นสนแห้งเกรียมแล้วยังกลับเป็นได้ อันต้นยิ่นเซียมก๊วยนี้
เป็นแต่เพียงล้มลงเท่านั้น ยังไม่สู้กระไรนักคงจะกลับคืนได้
พระโพธิสัตว์จึงสั่งหมู่บริวารทั้งหลายให้ดูเฝ้าสำนัก อาตมภาพจะไปธุระ เสร็จแล้วจึงจะกลับมา พระโพธิสัตว์สั่งแล้ว
มือหนึ่งถือขวดน้ำมนต์นกแก้วขาวบินนำหน้า เห้งเจียเดินตามหลังออกจากดงไผ่ปาฏิหารย์ตรงไปยังภูเขาบ้วนซิ่วซัว
ฝ่ายติ๋นหงวนต้ายเซียนกับซัมเล่าเซียน กำลังสนทนากันอยู่แลไปเห็นเห้งเจียลงมาจากเมฆเดินเข้ามาบอกว่า พระ
โพธิสัตว์มาแล้ว พวกเซียนทั้งหลายได้ฟังดังนั้น ต่างก็รีบออกมารับยังหน้หอ พระโพธิสัตว์เดินเข้ามาบนหอ ทักถาม
ติ๋นหงวนต้ายเซียน ๆ คำนับเชิญเข้าไปนั่งที่อันสมควรแล้ว
พวกเซียนทั้งหลายเหล่านั้น ก็มาคำนับพระโพธิสัตว์
ทุก ๆ คน เห้งเจียจึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งให้มาพบกับพระโพธิสัตว์ เห้งเจียเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมาคำนับพระโพธิสัตว์
แล้วเห้งเจียจึงบอกแก่ติ๋นหงวนต้ายเซียนว่า ท่านต้ายเซียนอย่าช้าจงรีบจัดแจง พระโพธิสัตว์จะรักษาต้นยิ่นเซียมก๊วย
ให้เป็นขึ้นอย่างเดิม ติ๋นหงวนต้ายเซียนได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงสั่งสานุศิษย์ทั้งหลายให้ออกไปที่สวน จัดแจง
ปัดกวาดแลตั้งโต๊ะบูชา พวกศิษย์ทั้งหลายก็ออกไปจัดแจงกระทำตามสั่งทุกประการ แล้วก็กลับเข้ามาบอกแก่ติ๋น
หงวนต้ายเซียน
ติ๋นหงวนต้ายเซียนจึงลุกมานิมนต์พระโพธิสัตว์ ๆ จึงได้ดำเนินไปยังสวน หมู่เซียนทั้งหลายก็เดิน
ตามพระโพธิสัตว์ไปยังสวนด้วยกันทั้งสิ้น ครั้นพระโพธิสัตว์มาถึงสวนแล้ว จึงพิจารณาดูต้นยิ่นเซียมก๊วยเห็นล้ม
นอนราบอยู่กับพื้นใบก้านก็ร่วงโรยแห้งเหี่ยวไปทั้งสิ้น พระโพธิสัตว์จึงเรียกเห้งเจียเข้าไปใกล้แล้วบอกเห้งเจียว่า
ให้ยื่นมือซ้ายแล้วแบฝ่ามือออกให้พระโพธิสัตว์ ๆ จึงจับยอดกิ่งสนจุ่มน้ำมนต์ในขวด แล้วเขียนยันต์บนฝ่ามือเห้งเจีย
เป็นยันต์รักษาต้นยิ่นเซียมก้วยให้เป็นขึ้น แล้วเอาน้ำมนต์พรมลงไปในฝ่ามือเห้งเจีย
แล้วสั่งเห้งเจียให้เอาฝ่ามือตบ
พรมที่รากต้นยิ่นเซียมก๊วย แลกำหนดน้ำที่รากนั้นมิให้ไหลออกมาก จึงค่อยตักพรมทั้งต้นต่อไป แลเมื่อมีขึ้นห้ามมิให้
เอาของทั้งห้าตัด คือธาตุห้าอย่างได้แก่ ทองหนึ่ง ไม้หนึ่ง น้ำหนึ่ง ไฟหนึ่ง ดินหนึ่ง เห้งเจียได้ฟังดังนั้น จึงประคอง
มือซ้ายที่เขียนยันต์เดินมาที่รากต้นยิ่นเซียมก๊วยนั้น บัดเดี๋ยวใจที่รากก็มีน้ำเกิดขึ้นไหลออกโดยมาก ติ๋นหงวน
ต้ายเซียนจึงให้เอาถ้วยหยกสามสิบสี่ถ้วย มาตักน้ำนั้นรดบนต้นยิ่นเซียมก๊วยจนตลอดทั้งต้น
พระโพธิสัตว์จึงเรียกเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งทั้งสาม ให้ช่วยกันพะยุงยกต้นยิ่นเซียมก๊วยขึ้นตั้งตรง
อย่างเดิมแล้ว
พระโพธิสัตว์เดินเข้าไปใกล้ต้นยิ่นเซียมก๊วยเอาขวดน้ำมนต์รดบนต้นยิ่นเซียมก๊วย ภาวนาด้วย
คาถา บัดเดี๋ยวต้นยิ่นเซียมก๊วยก็ฟื้นสดขึ้นอย่างเดิม ต้นใบก้านผลก็ออกบริบูรณ์อย่างเดิม ผลยิ่นเซียมก๊วยมียี่สิบ
สาม ผล เชงฮองเม่งง้วยจึงพูดว่าประหลาดจริงๆ ผลนั้นยังเหลือยี่สิบสองผล ทำไมจึงมีขึ้นอีกหนึ่งผล เห้งเจีย
ว่านานวันจึงจะเห็นความจริงของข้าพเจ้า เดิมข้าพเจ้าเก็บมาสามผล อีกผลหนึ่งหล่นถึงแผ่นดินแล้วมุดหายไปใต้ดิน
โป๊ยก่ายยังมีความสงไสย ว่าข้าพเจ้าซ่อนไว้หนึ่งผล
ฝ่ายติ๋นหงวนต้ายเซียน
เมื่อได้เห็นต้นยิ่นเซียมก๊วยกลับคืนเป็นมาได้ดังนั้น ก็มีความยินดีรื่นเริงเป็น
อันมาก จึงบอกให้สานุศิษย์เอาไม้ขอทองคำขึ้นสอยลงมาสิบผลแล้ว นิมนต์พระโพธิสัตว์กลับมายังสำนัก แลซัมแชเล่า
เซียนกับด้วยบริวารทั้งหลายก็ตามพระโพธิสัตว์กลับมายังสำนัก ครั้นถึงติ๋นหงวนต้ายเซียน จึงนิมนต์พระโพธิสัตว์
ขึ้นนั่งที่อันสมควรแล้ว แลซัมแชก็เข้านั่งยังที่ประชุมพร้อมกันแล้ว พระโพธิสัตว์นั่งอยู่กลาง สองข้างซัมแชเล่าเซียน
นั่ง
ติ๋นหงวนต้ายเซียนจึงให้ศิษย์ยกผลยิ่นเซียมก๊วยมาถวายพระโพธิสัตว์หนึ่งผล หลวงจีนถังซัมจั๋งหนึ่งผล ซัม
เล่าแชคนละหนึ่งผล เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งคนละหนึ่งผล ติ๋นหงวนต้ายเซียนหนึ่งผล สานุศิษย์หนึ่งผล เมื่อติ๋น
หงวนต้ายเซียนเลี้ยงผลยิ่นเซียมก๊วยเสร็จแล้ว พระโพธิสัตว์จึงลาติ๋นหงวนต้ายเซียนกลับไปยังน่ำไฮ้ ซัมแชก็ลากลับ
ไปยังสำนักเดิม
ฝ่ายติ๋นหงวนต้ายเซียนส่งพระโพธิสัตว์ไปแล้ว ก็จัดเครื่องแจเลี้ยงเห้งเจียผูกไมตรีเป็นมิตสหายกัน
ตั้งแต่นั้นหลวงจีนถังซัมจั๋งกับติ๋นหงวนต้ายเซียน กับสานุศิษย์ทั้งสองฝ่าย ก็ผูกรักเป็นสามัคคีกัน
ทุก ๆ คน เวลานั้นก็จวนจะค่ำ ต่างคนไปหยุดพักหลับนอน
ครั้นเวลารุ่งแจ้งหลวงจีนถังซัมจั๋งจะออกเดิน ติ๋นหงวนต้ายเซียนมีใจจงรักภักดี ยังหน่วงขอให้พัก
อยู่ห้าหกเวลา พระถังซัมจั๋งก็พักอยู่ห้าหกเวลา จึงได้ลาติ๋นหงวนต้ายเซียนออกเดินต่อไป