Translate

26 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 25 ไซอิ๋ว นวนิยาย

    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖    
     ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่   
ตอน ต้นไม้ทารก (ช่วงที่ 2)
(บทที่ ๒๕ )  หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นศิษย์มาพร้อมกันแล้วจึงถามว่า ใครไปลักผลไม้ยิ่นเซียมก๊วยของเขากินจงบอกมาตามจริง โป๊ยก่ายได้ฟังพระอาจารย์ถามดังนั้นจึงตอบว่า ข้าพเจ้าคนซื่อไม่รู้ไม่เห็น
   เชงฮองแลเห็นเห้งเจียยืนหัวเราะอยู่ จึงชี้ว่าคนที่ยืนหัวเราะนั้นแลตัวการ เห้งเจียตวาดว่า ข้าพเจ้าเกิดมาเป็นคนขี้หัวเราะ ทำไมเจ้าต้องห้ามข้าด้วยหรือ หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า เราทั้งหลายเป็นคนถือศีลอย่าพูดคำกลับกลอก อย่ากินของที่มืดมัว แม้ว่าได้กินของเขาแล้ว จงรับเขาโดยดีขอขมาโทษเสียจึงจะพ้นความผิด จะไปพูดทำยอกย้อนกันทำไม เห้งเจียเห็นพระอาจารย์พูดถูกต้องตามธรรมเนียม จึงรับตามจริงว่า ขอพระอาจารย์ได้ทราบ ข้าพเจ้ามิได้เกี่ยวข้องเลย เพราะโป๊ยก่ายบอกให้ข้าพเจ้าเก็บมาแบ่งกันคนละผล
   เม่งง้วยว่า ขโมยมาสี่ผลบอกว่าขโมยมาแต่สามผล คนถือศีลพูดเท็จหย่างนี้หรือ พิเคราะห์ดูก็เหมือนอ้ายโจรนั้นแหละ โป๊ยก่ายพูดว่าสี่ผลได้มาแต่สามผลยังอีกผลหนึ่งอยู่ที่ไหน โป๊ยก่ายพูดบ่นไม่หยุด
   เชงฮองเม่งง้วยถามได้ความจริงก็ยิ่งโกรธ ด่าว่าด้วยถ้อยคำอันหยาบช้าต่าง ๆ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธดังไฟกัลป์ ขยับเขี้ยวเคี้ยวฟันนัยน์ตาพอง คิดในใจว่าจำกูจะทำลายเสียอย่าให้มันกินอีกต่อไป คิดดังนั้นแล้วก็ถอนขนเพ็ชรออกเส้นหนึ่ง เสกเป็นรูปเห้งเจียปลอมให้ยืนอยู่กับโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง บังตัวเหลื่อมออกไปยังหลังสวน ถึงต้นยิ่นเซียมก๊วยปีนขึ้นบนต้นแล้ว ชักกระบองออกฟาดซ้ายฟาดขวา กิ่งก้านหักไปทั้งสิ้น แล้วแผลงฤทธิ์โค่นต้นล้มลงกับพื้นพสุธา เห้งเจียเที่ยวค้นหาผลยิ่นเซียมก๊วยแต่สักผลเดียวก็มิได้เห็นมีเลย ด้วยของสิ่งนี้แม้ถูกธาตุทองคำก็ย่อมฉิบหายไปสิ้น แลกระบองเหล็กของเห้งเจียสองข้างก็หุ้มทองคำ เพราะฉะนั้นของกายสิทธิ์นี้จึงฉิบหายละลายไปโดยธรรมดาธาตุที่แพ้กัน เมื่อเห้งเจียค้นหาผลไม้มิได้แล้วก็ร้องว่าดีแล้ว ๆ แล้วกลับมายังหน้าหอเรียกขนเพ็ชรเข้าตัวไปตามเดิม เข้าไปยืนอยู่มิได้มีผู้ใดรู้
   เชงฮองเม่งง้วยทั้งสองด่าว่าอยู่นานแล้ว เชงฮองพูดว่าคนเหล่านี้มีความโกรธด้วยเราด่าว่า แต่เขาก็รับแล้วว่าได้ลักมากินจริง หรือใบก้านกิ่งจะปิดบังอยู่เราจะดูไม่เห็น จึงพากันไปที่สวน แลไปเห็นต้นยิ่นเซียมก๊วย โค่นล้มลงอยู่กับพื้น รากเหง้าหลุดถอนไปหมด คนทั้งสองเห็นดังนั้นก็สิ้นสติล้มลงกับพื้น พูดจาพร่ำเผลอดุจคนเป็นใบ้บ้าจึงร้องบอกกันว่าจะทำอย่างไรดี มันทำลายยาวิเศษของพวกเราเสียหมดแล้ว ท่านอาจารย์เรากลับมาเราจะพูดแก่ท่านว่าอย่างไรเล่า
   เม่งง้วยว่าอย่าบ่นว่าอะไรเลย ซึ่งการนี้อ้ายหน้าขนนี่เองไม่ต้องสงสัย ถ้าจะโต้ตอบก็จะเกิดตีด่ากันขึ้น เราสองคนเขาถึงสี่คนจะสู้เขาไม่ได้ เราทำเป็นหลอกว่าพวกเรานับผลไม้ผิดไป เราทำใจดีเอาเครื่องแจเล็กน้อยให้กิน เวลาเธอเข้าไปนั่งกินเราปิดประตูชั้นนอกชั้นในใส่กุญแจเสียทุกประตูขังไว้ถ้าท่านอาจารย์เรามา ตามแต่ท่านจะว่ากระไร
   เชงฮองได้ฟังเม่งง้วยพูดดังนั้นจึงพูดว่า ท่านคิดอย่างนี้ดีแล้วจึงพากันกลับมายังสำนักขึ้นบนหอนั่ง เข้ามาเคารพหลวงจีนถังซัมจั๋ง แล้วพูดว่าข้าพเจ้าทั้งสองขอขมาโทษท่านอย่าได้ถือโกรธข้าพเจ้าเลย
   หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นคนทั้งสองเข้ามาพูดดังนั้น จึงถามว่าท่านทั้งสองว่ากระไรหรือ เชงฮองเม่งง้วยพูดว่า ผลยิ่นเซียมก๊วยนั้นมิได้หายดอก ข้าพเจ้ากลับไปดูก็อยู่ครบบริบูรณ์ดี เพราะใบก้านปิดบังไว้ข้าพเจ้าไม่ทันเห็น
   เห้งเจียยืนอยู่ที่นั่นได้ยินดังนั้นจึงนึกในใจว่า ต้นยิ่นเซียมก๊วยเราโค่นลงอยู่กับดินด้วยมือเรา ทำไมอ้ายสองคนนี้จึงมาพูดอย่างนี้หรือต้นไม้นั้นจะฟื้นขึ้นดอกกระมัง หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเม่งง้วยเชงฮองทั้งสองพูดดังนั้นก็ยุติ จึงเรียกสานุศิษย์ให้ยกเข้ามากินแล้วจะได้ออกเดินต่อไป
   โป๊ยก่ายจึงยกเข้ามาประเคนให้พระอาจารย์แล้ว เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็พร้อมกันนั่งกินแห่งเดียวกัน เชงฮองเม่งง้วยเห็นศิษย์อาจารย์กำลังกินก็รีบไปยกน้ำชาแลเครื่องแจมาถวาย แล้วก็ยืนเฝ้าปฏิบัติอยู่สองข้าง เชงฮองเม่งง้วยเห็นอาจารย์กับศิษย์นั่งกินเพลินก็วิ่งไปปิดประตูทุก ๆ ประตูแล้วเอากุญแจลั่นเสียทุกประตู
   โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า ผิดธรรมเนียมกินเข้าทำไมต้องปิดประตู เม่งง้วยพูดว่ากินแล้วจึงค่อยเปิด เชงฮองจึงพูดว่า อ้ายพวกโจรหัวโล้นยังไม่รู้สึกตัว ลักขโมยผลไม้กินแล้วมิหนำซ้ำทำลายขุดทั้งรากเหง้า ยังจะมีหน้าอ้าปากพูดอะไรอีกเล่า หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเชงฮองเม่งง้วยพูดดังนั้น ก็ทิ้งชามข้าวจับเอาก้อนหินตีเข้าที่น่าอก
   ฝ่ายเชงฮองเม่งง้วย ครั้นลั่นกุญแจทุกประตูแล้วก็ยืนอยู่นอกประตู ด่าว่าอยาบช้าจนเวลาบ่าย หลวงจีนถังซัมจั๋งคิดแค้นใจเห้งเจียจึงพูดว่า มึงไปถึงไหนมึงก็ทำแต่ความชั่วทุกหนทุกแห่งไปอย่างนี้ อยาก ลักผลไม้ของเขากินก็ให้เขาด่าว่าก็แล้วกัน เหตุไรจึงไปโค่นต้นของเขาลงอย่างนี้ หากว่าถึงฟ้องถึงร้องยังโรงศาลจะเอาอะไรมาแก้ตัวโต้ตอบกะเขาเล่า
   เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์อย่าร้อนใจ ให้มันไปนอนแล้วเราจึงคอยลอบหนีไปในเวลากลางคืนก็ได้ ซัวเจ๋งจึงถามว่ามันลั่นกุญแจไว้ทุกประตูแล้ว ทำอย่างไรจึงจะออกไปได้เล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ไม่ต้องเป็นธุระพี่จะทำโดยวิชาก็คงจะไปได้ดังประสงค์ โป๊ยก่ายถามว่าพี่เห้งเจียมีวิชาจะทำแต่ลำพังตัวเอง เปลี่ยนแปลงเป็นสัตว์ยุงริ้นบินลอดไปตามช่องน้อยก็ไปได้ ข้าพเจ้าทั้งหลายบินไม่ได้จะมิต้องทนทุกข์อยู่ในนี้หรือ
   หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ถ้าทำมิให้ออกพร้อมกันได้ อาตมาจะภาวนาให้มงคลรัดศรีษะ จะทนเจ็บปวดได้ก็ทนไป โป๊ยก่ายถามพระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้ายังไม่ทราบว่า คาถาอะไรที่ภาวนาแล้วจะให้พี่เห้งเจียปวดศรีษะจนทนไม่ได้
   เห้งเจียบอกว่าน้องยังไม่รู้เรื่องตลอด อันมงคลที่ใส่อยู่บนหัวพี่นั้น คือ เป็นของที่พระโพธิสัตว์กวนอิม ให้พระอาจารย์ใส่ศรีษะเรา ถ้าเราดื้อดึงดุร้ายว่าไม่ฟังแล้ว ให้ภาวนาเราก็ปวดศรีษะจนทนไม่ได้ มงคลนี้เรียกว่า (กิ๊มซือยี้จู)  สำหรับบังคับเรา ว่าแล้วเห้งเจียก็พิจารณาดูตามช่องฝา เห็นแสงเดือนขึ้นแล้ว ก็ชักกระบองออกจากหูร่ายพระเวทย์คาถาสะเดาะกุญแจออกทุกกญแจเปิดประตูได้แล้ว ก็เข้าไปนิมนต์พระอาจารย์ เรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งยกหาบจูงม้าออกเดินมาทางใหญ่หมายใจตรงไปยังปราจิณทิศ เห้งเจียจึงบอกแก่โป๊ยก่ายและซัวเจ๋งว่า เราจะกลับไปสะกดให้หนุ่มน้อยสองคนนั้นหลับอยู่ตั้งเดือน เจ้าจงนำพระอาจารย์เดินไปพลาง พูดดังนั้นแล้วเห้งเจียก็กลับไปยังสำนักนั้น เวลานั้นหนุ่มน้อยทั้งสองยังกำลังหลับอยู่ เห้งเจียก็เอายาโรยที่หน้าให้ยาเข้าจมูกคนทั้งสอง ๆ ก็หลับมิได้รู้สึกสมประดี
   ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งกับโป๊ยก่ายซัวเจ๋งตั้งหน้าเดินไปยันรุ่ง มิได้หยุดพักจนท้องฟ้าขาวใกล้สว่าง หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ชาติลิงแล้วคงหาเหตุให้เกิดขึ้นจนเราได้ความยากลำบากอย่างนี้ ส่วนมันกินสบายอร่อยคอมัน ส่วนเราได้ความเดือดร้อนสาหัส เห้งเจียจึงพูดว่าขอพระอาจารย์อย่าได้มีความโทมนัสบ่นว่าไปเลย รอพอให้สว่างแล้วจึงค่อยหยุดพักเอากำลังเถิด ครั้นสว่างขึ้นแล้วหลวงจีนถังซัมจั๋งก็ลงจากม้าแวะเข้าข้างทางใต้ร่มต้นไม้สน โป๊ยก่ายวางหาบลงแล้วก็ปัดกวาดจัดแจงปูลาดให้พระอาจารย์นอนพัก โป๊ยก่ายก็นอนอยู่ข้าง ๆ พระอาจารย์ ซัวเจ๋งพาม้าไปผูกไว้กับต้นไม้แล้วก็พักนอน
   ฝ่ายเห้งเจียเป็นนิสัยวานร ค่อนอยู่ข้างจะซุกซน ก็ปีนขึ้นไปนอนอยู่บนกิ่งไม้ อาจารย์และศิษย์ก็นอนหลับมิได้รู้สึกสมประดี
   ฝ่ายฤๅษีติ๋นหงวนต้ายเซียน ครั้นเลิกประชุมแล้วก็พาสานุศิษย์กลับลงมายังสำนัก ครั้นถึงเห็นประตูหอใหญ่ก็เปิดบนที่บูชาธูปเทียนก็ไม่มีทั้งคนก็เงียบสงัด ติ๋นหงวนต้ายเซียนเห็นดังนั้น ก็เดินเลยไปที่ห้องเชงฮองเม่งง้วย เห็นปิดประตูนอนกรนอยู่เรียกเท่าใดก็ไม่ฟื้น บรรดาสานุศิษย์ก็เข้าช่วยกันงัดบานประตูออก จึงแลเห็นสองคนนอนหลับไม่รู้ตัว พากันเข้าผลักปลุกก็ไม่ตื่น ติ๋นหงวนต้ายเซียนเห็นดังนั้นก็หัวเราะ แล้วจึงว่าความปฏิบัติในทางฤๅษีสำเร็จมูลภาควิญญาณจิตมิได้เคลิบเคลิ้มในการง่วงเหงาหาวนอน แต่คนทั้งสองนี้เหตุใดจึงอ่อนเปลี้ยไปไม่รู้สึกตัวอย่างนี้เล่า ชะรอยจะมีผู้ใดทำให้หลับใหลไปดอกกระมัง พูดดังนั้นแล้วจึงเรียกสานุศิษย์ให้ตักน้ำเย็นมาคนโทหนึ่ง
   ติ๋นหงวนต้ายเซียนจึงยกคนโทน้ำขึ้นเสกด้วยพระคาถา แล้วเอาน้ำมนต์พ่นหน้าเชงฮองเม่งง้วยก็หายหาวนอน ในเวลานั้นก็รู้สึกผวาตื่นลืมตา เห็นอาจารย์ใหญ่กับเซียนพี่ทั้งหลาย เชงฮองเม่งง้วยเห็นดังนั้นก็ลุกลงจากเตียงนอนมาคำนับอาจารย์ และเซียนทั้งหลายแล้วจึงพูดว่า ท่านอาจารย์สั่งว่า คนรู้จักอะไรที่ไหนที่ประเทศตะวันออกมา ดูพวกสงฆ์เหล่านี้ล้วนแต่หัวขโมยสิ้นทั้งนั้น ทั้งดุร้ายเหลือเกินด้วย
   ติ๋นหงวนต้ายเซียนถามว่าเป็นอย่างไรหรือ เชงฮองเม่งง้วยก็เล่าตั้งแต่ต้นจนจบปลาย ให้อาจารย์ฟังทุกประการแล้วก็ร้องไห้
   ติ๋นหงวนต้ายเซียนได้ฟังศิษย์เล่าให้ฟังแล้ว จึงบอกว่าเจ้าทั้งสองอย่าร้องไห้ไปเลย เจ้าไม่รู้เหตุของเห้งเจีย ๆ คนนี้คือดาวท้ายเป๊กแบ่งภาคจุติลงมามีฤทธิ์อานุภาพมาก เคยทำสงครามบนสวรรค์เมื่อครั้งก่อน บัดนี้มาทำลายโค่นล้มต้นไม้วิเศษของเราเสียสิ้น เจ้าจำตัวได้หรือไม่ เชงฮองเม่งง้วยบอกว่าจำได้ ติ๋นหงวนต้ายเซียนจึงบอกว่า ถ้ากระนั้นเจ้าทั้งสองจงตามข้าไป แล้วสั่งพวกสานุศิษย์ทั้งหลายให้จัดแจงเตรียมเชือกไว้ คอยเมื่อข้าจับตัวมาได้จะได้ลงโทษ
   ฝ่ายพวกสานุศิษย์ทั้งหลายรับคำสั่งของอาจารย์แล้ว ก็พร้อมกันเหาะขึ้นบนอากาศหมายทิศปราจิณ จะไปตามจับหลวงจีนถังซัมจั๋ง เหาะมาบัดเดี๋ยวใจประมาณทางได้พันโยชน์ ติ๋นหงวนต้ายเซียนแลไปข้างหน้าฝ่ายทิศตะวันตกก็ไม่เห็นหลวงจีนถังซัมจั๋ง กลับหันหน้ามาดูข้างทิศตะวันออก เชงฮองชี้บอกว่าหลวงจีนถังซัมจั๋งอยู่ใต้ต้นไม้โน่นแน่ ต้ายเซียนแลเห็นแล้วก็สำรวมกิริยาแปลงกายเป็นคนถือศีลเดินทาง แล้วก็ลดลงยังพื้นดินเข้ามาใกล้พระถังซัมจั๋งที่นั่งพักอยู่นั้น จึงยกมือคำนับหลวงจีนถังซัมจั๋งก็คำนับตอบ ติ๋นหงวนต้ายเซียนจึงถามว่าท่านอาจารย์มาจากไหน
   หลวงจีนถังซัมจั๋งตอบว่า อาตมภาพมาจากประเทศจีนจากทิศตะวันออก ได้รับคำสั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้ไปมัชฌิมประเทศ อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ติ๋นหงวนต้ายเซียนทำเป็นถามว่าท่านเดินมาได้แวะพักที่ภูเขาสำนักข้าพเจ้าหรือเปล่า
   หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่าสำนักของท่านอยู่ที่ไหนข้าพเจ้ายังไม่ทราบเรื่อง ติ๋นหงวนต้ายเซียนบอกว่าที่เขาบ้วนซีวซัวเหงาจึงกวนสำนักนั้นแหละ เป็นที่อยู่แห่งข้าพเจ้า
   เห้งเจียนั่งอยู่ข้างนั้นได้ฟังดังนั้นก็ชิงบอกว่า ข้าพเจ้าเดินมาตามทางใหญ่มิได้แวะที่ตำบลนั้น ติ๋นหงวนได้เซียนได้ฟังเห้งเจียบอกว่ามิได้แวะดังนั้น จึงชี้หน้าเห้งเจียว่าอ้ายสัตว์วานร พวกมึงไม่แวะก็คือใครเล่าแวะเข้าไปอาศัย แล้วมิหนำซ้ำขโมยกินแล้วก็ทำลายหักโค่นต้นเสียด้วย แล้วแอบหนีมาในเวลากลางคืน ยังจะมีสำนวนเถียงเลี่ยงหลีกไปข้างไหนอีกเล่า เจ้าอย่าหนีไปจงทำให้ต้นยิ่นเซียมก๊วยของเราคืนเป็นขึ้นจึงจะไปได้
   เห้งเจียได้ฟังคำติ๋นหงวนต้ายเซียนพูดดังนั้น ก็โกรธดุจไฟกัลป์ ชักระบองตีติ๋นหงวนตายเซียน ติ๋นหงวนต้ายเซียนหลบทัน ก็เหาะขึ้นไปบนอากาศกลับเป็นรูปเดิม
   ฝ่ายเห้งเจียไล่ตามมาไม่รู้ผิดถูก ติ๋นหงวนต้ายเซียนเห็นได้ทีจึงเอาถุงวิเศษร่ายมนต์ขว้างไป ถุงก็ขยายออกกว้างแล้วรวบรัดเอาหลวงจีนถังซัมจั๋งเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเข้าไว้ในถุงได้ทั้งสี่คน ทั้งม้าและข้าวของก็เข้าอยู่ในถุงด้วยทั้งสิ้น ติ๋นหงวนต้ายเซียนก็เรียกถุงกลับมายังสำนัก ครั้นถึงก็ขึ้นบนหน้าหอเรียกศิษย์ทั้งหลายมาพร้อมกันสั่งให้เอาถุงไปเทให้คอยระวังจับตัวทั้งสี่คน มัดผูกไว้ที่โคนต้นไม้ต้นละคน จูงม้าเข้าไปผูกข้างในข้าวของหาบก็ยกมาเก็บข้างใน ติ๋นหงวนต้ายเซียนบอกให้เอาเชือกหนังมาเฆี่ยนทั้งสี่คนแก้แค้นต้นไม้ยิ่นเซียมก๊วย พวกศิษย์จึงเอาเชือกมาจะเฆี่ยน แล้วถามอาจารย์ว่าจะให้เฆี่ยนคนไหนก่อน
 ติ๋นหงวนต้ายเซียนจึงสั่งให้เฆี่ยนหลวงจีนถังซัมจั๋งก่อน เพราะเป็นอาจารย์ไม่สั่งสอนศิษย์ให้เรียบร้อย เห้งเจียได้ฟังว่าจะเฆี่ยนอาจารย์จึงร้องบอกว่า ท่านต้ายเซียนเฆี่ยนอาจารย์ข้าพเจ้าก่อนนั้นผิดไป ขโมยผลไม้กินและหักโค่นต้นไม้ลงมานั้นข้าพเจ้าทำทั้งสิ้น จะต้องเฆี่ยนข้าพเจ้าก่อนจึงจะถูก เพราะข้าพเจ้าเป็นต้นเหตุ
   ติ๋นหงวนต้ายเซียนได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า อ้ายลิงนี้มันมีคำพลิกแพลง ถ้ากระนั้นจงเฆี่ยนมันเสียก่อน พวกศิษย์ถามว่าจะเฆี่ยนมันสักเท่าใด ต้ายเซียนว่าให้เฆี่ยนตามกำหนดผลไม้สามสิบที เซียนน้อยจึงยกไม้เรียวหนังจะหวดลง เห้งเจียแขม่วท้องร่ายคาถาแปลงขนแปลงเป็นเหล็กสองแท่งรับที่ขา แล้วนิ่งให้เซียนน้อยเฆี่ยนกว่าจะครบสามสิบทีเวลานั้นก็จวนเย็น ต้ายเซียนจึงสั่งให้เฆี่ยนหลวงจีนถังซัมจั๋ง ข้อที่ไม่สั่งสอนสานุศิษย์ให้อยู่ในยุติธรรมจึงได้เกิดวุ่นวาย
เซียนน้อยก็ถือไม้เรียวหนังจะมาเฆี่ยนหลวงจีนถังซัมจั๋ง เห้งเจียจึงร้องบอกว่าท่านต้ายเซียนจะเฆี่ยนอาจารย์ ข้าพเจ้านั้นไม่ถูก ผลไม้นั้นข้าพเจ้ากินเอง อาจารย์ข้าพเจ้าไม่รู้เห็นด้วย ท่านจะให้เฆี่ยนอาจารย์ข้าพเจ้านั้นหา เป็นการยุติธรรมถูกต้องไม่ เหตุการณ์เหล่านี้พวกข้าพเจ้าพี่น้องทำเอง แม้จะเฆี่ยนอาจารย์ข้าพเจ้า ๆ เป็นสานุศิษย์จะต้องขอรับโทษแทนอาจารย์ ขอท่านจงเฆี่ยนข้าพเจ้าแทนอาจารย์เถิด
 ติ๋นหงวนต้ายเซียนจึงพูดว่าอ้ายลิงตัวนี้มันซุกซนก็จริง แต่มันมีความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ของมัน ถ้ากระนั้นก็ให้ เฆี่ยนมันอีกสามสิบที เซียนน้อยก็มาเฆี่ยนเห้งเจียอีกสามสิบที เห้งเจียก็ยืนนิ่งให้เฆี่ยน ๆ สักเท่าใดก็ไม่มี ความรู้สึกเจ็บปวดอะไร ดี๋นหงวนต้ายเซียนจึงสั่งให้เอาเชือกหนังแช่น้ำไว้พรุ่งนี้จึงจะเฆี่ยนใหม่ พวกศิษย์ทั้งหลายก็กลับไปยังห้องหลับนอน ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งมีความเสียใจโทมนัสคิดแค้นสานุศิษย์ทั้งสามไปก่อเหตุพาให้ต้องโทษทรมานอยู่อย่างนี้จะคิด ทำประการใด
 เห้งเจียได้ฟังพระอาจารย์บ่นว่าดังนั้นจึงพูดว่าขอพระอาจารย์อย่าได้ทุกข์โทมนัสเสียใจไปเลย เราคิดตรึกตรองหนี คงจะได้ พูดแล้วเห้งเจียก็ร่ายมนต์ให้ตัวเล็กลอดออกมาจากเชือกได้ แล้วเดินมาที่พระอาจารย์บอกว่าไปเถิด จึงแก้ มัดที่อาจารย์และโป๊ยก่ายซัวเจ๋งช่วยกันเก็บสิ่งของและม้าพากันออกจากสำนักแล้ว เห้งเจียบอกโป๊ยก่ายให้เอาไม้ สน ถากสี่ท่อน โป๊ยก่ายทำแล้วเห้งเจียจึงเอาไม้สนสี่ท่อนนั้นไปไว้ที่มัดวางแห่งละท่อน ๆ แล้วเสกคาถาให้เห็นเป็น รูปอาจารย์และเหงเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็รีบออกเดินมิได้พักจนสว่าง หลวงจีนถังซัมจั๋ง อยู่บนหลังม้าง่วงนอนสัปหงก
 เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงพูดว่าพระอาจารย์เหนื่อยอ่อนไม่เป็นปกติ จงหยุดพักสัก ประเดี๋ยวก่อนจึงค่อยไป พูดดังนั้นแล้วอาจารย์กับสานุศิษย์ก็พากันเข้านั่งพักอาศัยอยู่ข้างทาง ฝ่ายติ๋นหงวนต้ายเซียนครั้นรุ่งแจ้งแล้วก็ออกมาหน้าหอ เรียกศิษย์สั่งว่าวันนี้เอาไม้เรียวเฆี่ยนหลวงจีนกับศิษย์ พวกศิษย์ได้ฟังอาจารย์สั่งดังนั้น จึงเอาไม้เรียวมาแล้วบอกพระถังซัมจั๋งว่าเราจะเฆี่ยน ไม้รูปพระถังซัมจั๋งก็พูดว่าจะ เฆี่ยนหรือ เซียนน้อยก็หวดพักหนึ่งสามสิบทีแล้วตรงมาที่โป๊ยก่ายซัวเจ๋งบอกว่าจะเฆี่ยน ไม้รูปแปลงวาจะเฆี่ยนหรือ เซียนน้อยก็เอาไม้เรียวหวดสามสิบที แล้วตรงมาที่เห้งเจียจะเฆี่ยน
 เห้งเจียว่าวานนี้ก็เฆี่ยนเราแล้วทำไมวันนี้จะเฆี่ยน เราอีกเล่า รูปคนที่ท่านเฆี่ยนเป็นรูปไม้เราทำปลอมไว้ทั้งนั้น ว่าแล้วเห้งเจียก็คลายมนต์หนีไป รูปคนเหล่านั้นก็ กลายเป็นไม้ไปหมดทั้งสี่ท่อน เซียนน้อยเห็นดังนั้นก็โยนไม้เรียวเสีย วิ่งไปบอกแก่อาจารย์ว่าเมื่อตะกี้นี้ท่านให้เฆี่ยนนั้นเป็นไม้สน ทั้งสี่ท่อนมิใช่คนดอก ติ๋นหงวนใต้เซียนได้ฟังศิษย์พูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายลิงตัวนี้มันดีจริงทำกลรูปไม้ไว้ แทนแล้วตัวมันก็หนีไป เราจะไปตามจับมาให้จงได้ พูดแล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศตามไปข้างทิศตะวันตกเขม่นมอง ไปข้างหน้า ก็พอแลเห็นหลวงจีนถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามคนกำลังเดินไป
 ติ๋นหงวนใต้เซียนเห็นดังนั้น ก็รีบเหาะ เข้ามาใกล้แล้วก็ลงยังพื้นพสุธาร้องเรียกว่าเห้งเจีย เจ้าจะหนีไปข้างไหนเจ้าจงใช้ยิ่นเซียมก๊วยให้เราเสียก่อน โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่ามาพบกันเข้าอีกแล้ว เห้งเจียจึงพูดแก่พระอาจารย์ว่า ท่านจงประพฤติ ทางอันชอบธรรม ข้าพเจ้าจะต่อสู้แก่เขาเองเพื่อจะได้พ้นความอันตราย หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ให้กลัวจนตัวสั่นพูดไม่ออก เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งทั้งสามคน ออก ช่วยกันระดมตีติ้นหงวนต้ายเซียน
 ติ้นหงวนต้ายเซียนถือไม้แซ่ยุงปัดปัดป้องไปมาประมาณครึ่ง ชั่วโมง ติ้นหงวนต้ายเซียนจึงร่ายมนต์ปล่อยถุงให้กว้างออกล้อมจับอาจารย์กับศิษย์ทั้งสามคน รวบเข้าอยู่ในถุงทั้งม้าและข้าวของ ติ้นหงวนต้ายเซียนเรียกถุงมาแล้วก็รีบเหาะกลับมายังสำนัก ขึ้นบนหอหน้าร่ายมนต์แก้ปากถุงเอาหลวงจีนถังซัมจั๋งออกผูกมัดไว้ที่โคนต้นไม้ข้างริมหอหน้า โป๊ยก่ายซัวเจ๋งผูกไว้คนละข้าง เอาเห้งเจียมัดมือมัดเท้าทิ้งไว้ริมบันใด ติ้นหงวนต้ายเซียนสั่ง ศิษย์ให้เอาผ้าขาวมาสิบพับ เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงพูดแก่โป๊ยก่ายว่า ตาติ้นหงวนต้ายเซียนนี้เห็น จะคิดเอาผ้าขาวมาห่อเราเป็นแน่ พวกศิษย์ของติ้นหงวนต้ายเซียนก็ขนเอาผ้าขาวมากองไว้ตามสั่ง
 ต้ายเซียนจึงบอกให้เอาผ้าขาวพันหลวงจีนถังซัมจั๋งและโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งให้รอบตัวเหลือไว้แต่ศรีษะ เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงพูดว่า ติ้นหงวนต้ายเซียนวันนี้ทำตราสังใหญ่แล้ว ครั้นพวกศิษย์เอาผ้าขาวพัน เสร็จแล้ว ต้ายเซียนบอกให้เอาน้ำรักมาทาให้ตลอดตัวไว้แต่ศรีษะ ต้ายเซียนสั่งให้เอากะทะใหญ่มาตั้งเตาขึ้นแล้ว เอาน้ำมันมาใส่ลงในกะทะ ก่อไฟให้ติดต้มน้ำมันให้ร้อนเดือด ครั้นน้ำมันเดือดแล้ว เซียนน้อยจึงบอกแก่อาจารย์ ว่า น้ำมันเดือดแล้ว ติ้นหงวนต้ายเซียนสั่งให้เอาเห้งเจียใส่กะทะ เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็ยินดีอยู่ในใจว่า ตัวเราตั้งแต่มาก็ยังมิได้อาบน้ำเลย เนื้อตัวมีแต่เหงื่อไคล มาก วันนี้ต้ายเซียนมีแก่ใจจะเอาเราอาบน้ำ เรามีความขอบใจมาก ๆ
 เห้งเจียยังวิตกอยู่ว่า ต้ายเซียนจะทำวิชาใช้ น้ำมันเสกด้วยเวทย์มนต์คาถา คิดแล้วก็ขยับตัวใกล้บันใด เหลือบไปเห็นสิงโตหินอยู่บนแท่นตัวหนึ่ง เห้งเจียก็ร่าย คาถากัดปลายลิ้น เสกพ่นโลหิตเข้าไปที่ตัวสิงโตหินร้องเรียกให้สิงโตหินแปลงเป็นรูปเห้งเจียแทนตัว เห้งเจียก็ เหาะขึ้นไปอยู่บนอากาศ พวกศิษย์ของต้ายเซียนก็พากันมาสี่คนยกเห้งเจียปลอมก็ไม่ขึ้น เติมเข้า ช่วยกันอีกสี่คนยกก็ไม่ขึ้น รวมสิบสองคนแล้วก็ยกไม่ขึ้น
 พวกเซียนพูดว่า อ้ายลิงนี้มันกบดาน แล้วจึงยกไม่ขึ้น ต้ายเซียนเห็นดังนั้น จึงสั่งให้เข้าช่วยกันอีกยี่สิบคน ยกหามขึ้นทุ่มลงไปในกะทะ น้ำมันดังเสียงตูม น้ำมันกำลังเดือดก็กระเด็นขึ้นกระจายถูกหน้าพวกเซียนทั้งหลายเหล่านั้น แสบร้อนทุก ๆ คนไป แล้วแลเข้าไปเห็นที่ก้นเตาไฟ ก็ยิ่งลุกขึ้นออกฮือ โหมกะทะก็ทะลุก้น น้ำมันก็ไหลแห้งไปหมด เซียนทั้งหลายเดิมไม่รู้ว่าเป็นสิงโตหินหมายว่าเห้งเจีย ครั้นโยนลงไป ในกะทะก็กลายเป็นสิงโตศิลาไปแล้วทะลุก้นกระทะลงไปอยู่ในเตาไฟ
 ติ๋นหงวนต้ายเซียนเห็นดังนั้น ก็ยิ่งมีความโกรธจึงพูดว่า อ้ายลิงนี้ไม่มีดี หนีได้ก็ให้หนีไปยังมิหนำ ทำลายเตาไฟเสียด้วย ฤทธิ์เดชของมันมากราวกับจับลม จะต้องตั้งเตาใหม่ จับหลวงจีนถังซัมจั๋ง ใส่ต้มแก้แค้นแทนต้นยิ่นเซียมก๊วยที่ตายนั้น เห้งเจียอยู่บนเมฆได้ยินติ๋นหงวนต้ายเซียนพูดดังนั้นก็ลงมายังพื้นเดินขึ้นไปยังหอหน้า พนมมือคำนับต้ายเซียนแล้ว พูดว่า ขอท่านติ๋นหงวนต้ายเซียนอย่าจับอาจารย์ข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้ากลับมาแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าลงกะทะเถิด
 ติ๋นหงวนต้ายเซียนเห็นเห้งเจียมาพูดดังนั้นก็ด่าว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉาน ทำไมมึงจึงได้แผลงฤทธิ์ทำลายเตาของกูให้เสีย ไปอย่างนี้ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านถามแล้วก็ต้องบอก ด้วยเวลานั้นข้าพเจ้าจวนจะผายลม ครั้นว่าจะผายลม ในน้ำนั้นก็วิตกเกรงจะโสโครกแก่น้ำมันของท่านไป เพราะว่าบางทีจะได้เอาไว้ผัดผักฝักถั่วกินบ้างก็จะไม่บริสุทธิ์ บัดนี้ข้าพเจ้าไปอุจจาระเครื่องปฏิกูลออกแล้วจึงกลับมาจะขอลงกะทะ ขอท่านอย่าได้จับอาจารย์ข้าพเจ้าใส่ลงกระทะ เลย
 ติ๋นหงวนต้ายเซียนครั้นได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็หัวเราะ ผุดลุกจากเก้าอี้มาจับยึดเห้งเจียไว้
 (บทที่ ๒๖)
 ติ๋นหงวนต้ายเซียนจับเห้งเจียยึดไว้กับมือแล้วจึงพูดว่า ข้าพเจ้ารู้มูลเหตุเดิมของเจ้าทั้งสิ้นว่า จะหนีไปข้างไหนก็ไม่ รอดพ้นมือเรา เจ้าจงไปกับข้ายังทิศไซทีเฝ้าพระพุทธเจ้าของเจ้า พระองค์ใดทำปาฏิหารย์อย่างใดให้ต้นยิ่น เซียมก๊วยของเราฟื้นขึ้นเป็นตามเดิม แม้ไม่ดังนั้นเจ้าอย่าพึงนึกไปว่ามีฤทธิ์ อานุภาพประการใดจะหนีไปนั้นยากนัก เห้งเจียได้ยินต้ายเซียนพูดดังนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า เดิมท่านต้ายเซียนทำไมจึงไม่พูดอย่างนั้น ถ้าพูดเช่นนี้แล้ว จะต้องวุ่นวายอะไรมี ต้ายเซียนว่าข้าพเจ้าไม่ต้องวุ่นวายจะยอมอนุญาตให้
 เห้งเจียว่าขอท่านได้แก้มัดปล่อย อาจารย์ข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าจะทำให้ต้นยิ่นเซียมก๊วยของท่านเป็นอยู่ตามเดิม ต้ายเซียนพูดว่า แม้เจ้ากระทำให้ ต้นยิ่นเซียมก๊วยของข้าฟื้นขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าจะไหว้แปดทิศผูกมิตรเป็นสหายแก่ตัวเจ้าจนวันตาย เห้งเจียว่าท่าน อย่าเร่งรัดจงปล่อยพวกข้าพเจ้าออกแล้ว ต้นยิ่นเซียมก๊วยของท่านนั้น ข้าพเจ้าจะจัดแจงเอง ต้ายเซียนได้ฟังดัง นั้นก็คิดว่า คนเหล่านี้ก็จะไม่หนีไปข้างไหนพ้น จึงสั่งให้แก้มัดปล่อยคนทั้งสามออกเสียทันที
 หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า เห้งเจียจะไปหายาที่ไหนมาแก้ให้ต้นยิ่นเซียมก๊วยกลับคืนเป็นมา ดังเก่าได้ เห้งเจียตอบพระอาจารย์ว่าจะไปเที่ยวหาตามเกาะในทะเลใหญ่ตามละเมาะเกาะแก่งทั้งหลาย บางทีจะ ปะพบผู้สำเร็จภาคและว่านยาอันวิเศษบ้าง ได้มาแล้วจะได้รักษาต้นไม้ให้เป็นขึ้น ใช้ให้แก่ท่านต้ายเซียนเธอ บัดนี้ข้าพเจ้าจะข้ามทะเลไปทางทิศตะวันออก พระถังซัมจั๋งถามว่าจะไปสักกี่เวลาจึงจะได้กลับมา เห้งเจียว่าข้าพเจ้า ไปสามวันจะกลับมา
 เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็คำนับลาอาจารย์ออกจากสำนัก เหาะขึ้นกลางอากาศหมายทิศ บูรพา เหาะไปบัดเดี๋ยวก็ถึงละเมาะเกาะหนึ่ง นามเรียกว่า (แป๊ะฮู้น) หน้าถ้ำมีต้นสนออกสาขาร่มรื่น แลเห็นที่ ใต้ต้นพฤกษามีผู้เฒ่านั่งเล่นหมากรุกกันอยู่สามคน เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ลดลงเดินเข้าไป ก็แลเห็นซัมแชคือดาว ทั้งสาม ดาวซิวแซนั้นนั่งดูดาวฮกแช และดาวลกแชนั้นนั่งเดินหมากรุกกันอยู่ เห้งเจียเดินเข้าไปใกล้ร้องเรียกว่า ท่านน้องทั้งสามข้าพเจ้าคำนับ ซัมแชทั้งสามแลเห็นเห้งเจียก็ดีใจปล่อยหมากรุกทำคำนับตอบ แล้วถามว่าท่าน ไปข้างไหนมา เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าจะมาหาพวกท่านด้วยมีกิจธุระ
 ซิวแชถามว่าท่านเห้งเจียได้ยินว่าท่านติดตาม รักษาพระถังซัมจั๋ง จะไปอาราธนาพระไตรปิฎก เหตุใดจึงวางธุระมาเสียได้ เห้งเจียบอกว่าความจริงข้าพเจ้าไม่ปิด บังอะไรท่าน ข้าพเจ้าได้ติดตามพระถังซัมจั๋งไปประเทศไซทีจริง บัดนี้มามีเหตุขัดข้องขึ้นกลางทาง เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้ามาทั้งนี้เพื่อจะขอพึ่งท่านทั้งหลายให้ช่วยสงเคราะห์ด้วย แต่ยังไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่ ฮกแชจึงถามว่ามีความขัดข้องที่แห่งใด จึงบอกให้ข้าพเจ้าทราบ ถ้าช่วยได้จะช่วย
 เห้งเจียจึง บอกว่าที่เขาบ้วนซิ่วซัวสำนักเหงาจึงกวน ซัมแชเซียนจึงพูดว่าสำนักเหงาจึงกวนนั้นเป็นที่ของติ๋นหงวนต้ายเซียนอยู่ นี่เห็นเห้งเจียจะไปเอาผลยิ่นเซียมก๊วยกินดอกกระมัง เห้งเจียหัวเราะแล้วบอกว่า ได้ลักกินผลหนึ่งจะดีร้ายอย่างไรหรือ ซัมแชเซียนบอกว่า ตัว เป็นลิงไม่รู้จักของวิเศษ ผลไม้นี้เขาเรียกว่า (บ้วนซีวเช้าฮ่วนตัน) คือยาอายุยืน พวกข้าพเจ้าไม่เท่าเซียนจำ พวกนี้ ทางปฏิบัติของเธอง่ายกว่าพวกข้าพเจ้า อายุเธอเสมอฟ้า พวกข้าพเจ้าปฏิบัติรักษาไม่รู้ว่ามากน้อยเท่า ใด ความเพียรเท่าใด เห้งเจียทำไมจะถามร้ายดีอย่างไรใต้หล้านี้พันธุ์เผือกไม้กายสิทธิ์เป็นที่สุดวิเศษ
 เห้งเจียพูดว่าต้นผลไม้นี้วิเศษจริง ๆ ข้าพเจ้าทำลายโค่นล้มลงมาทั้งรากเหง้าเสียหมดแล้ว ซัมแชเซียนทั้งสามได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ถามว่าทำไมจึงได้ทำให้ล้มลงดังนั้นเล่า เห้งเจียจึงเล่าตาม เหตุที่ได้ลักผลไม้ยิ่นเซียมก๊วยกินให้ฟังทุกประการ แล้วว่าบัดนี้ติ๋นหงวนต้ายเซียนกักข้งไว้มิให้ไป เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าเที่ยวหายาเพื่อจะรักษาต้นยิ่นเซียมก๊วยให้คืนเป็นอย่างเดิม ท่านทั้งสามมียาอะไร ที่จะแก้ได้บ้าง ขอให้ข้าพเจ้าไปรักษาต้นไม้นั้นให้คืนเป็นดังเก่า จะได้ให้พระอาจารย์ออกพ้นจาก ที่ยากได้
 ซัมแชทั้งสามได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็นั่งนึกอยู่ในใจแล้วพูดว่า แม้ว่าท่านเห้งเจียตีสัตว์ ทั้งหลายตาย จะต้องการประสงค์ยาของข้าพเจ้าไปแก้ก็คงจะคืนเป็นได้ อันต้นยิ่นเซียมก๊วยของ เทวดาจะแก้ไม่ได้ เห็นสิ้นปัญญาข้าพเจ้าไม่มียาจะแก้ เห้งเจียเห็นว่าไม่มียาจะแก้ในใจก็ไม่สบาย ไม่มีความรื่นเริงหน้านิ่วคิ้วย่น
 ฮกแชพูดว่าที่นี่ไม่มีที่อื่นจะมีบ้างดอกกระมังท่านจะด่วนเสียใจทำไม เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าจะไปหาที่อื่นเห็นจะดี แต่ขัดด้วยท่านอาจารย์ถังซัมจั๋งยังตกอยู่ในบังคับแน่น หนานัก ไม่สิ้นห่วงที่จะให้มีโอกาศไปเที่ยวหาให้ทันในกำหนดสามวัน แม้สามวันไม่กลับไปท่านก็จะภาวนาพระ คาถาให้มงคลรัดศรีษะเจ็บปวดเหลือที่จะทนได้ ซิ่วแชได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นท่านเห้งเจียอย่าวิตกเลย ติ๋นหงวนต้ายเซียน เป็นใหญ่ก็จริง แต่คุ้นเคยชอบพอแก่ข้าพเจ้าทั้งสามคนนี้ ข้าพเจ้าทั้งสามจะไปพูดจาขอร้องให้ผ่อนผันทั้งจะให้ ท่านอาจารย์รู้ข่าวอย่าให้ท่านภาวนา ข้าพเจ้าไปถึงแล้วอย่าว่าแต่สามวันเลยห้าหกวันก็ได้ แต่จะต้องคอยถ้าเห้งเจียอยู่ก่อนกว่าจะกลับ ข้าพเจ้าทั้งสามจึงจะกลับมาที่อยู่
 เห้งเจียได้ฟังซัมแชพูดดังนั้นจึงพูดว่า ขอบใจท่านน้องทั้งสามมาก ๆ ขอเชิญท่านไปให้ข่าวด้วย เถิด ข้าพเจ้าจะไปเที่ยวค้นหายามาให้จงได้ พูดดังนั้นแล้วเห้งเจียก็คำนับซัมแชออกจากตำบลถ้ำแปะฮู้นเหาะไป ฝ่ายซัมแชเห็นเห้งเจียเหาะไปแล้ว ซัมแชก็พากันเหาะไปยังสำนักเหงาจึงกวน ที่สำนักเหงาจึง กวนในเวลานั้นกำลังพร้อมกันอยู่ ได้ยินเสียงบนอากาศเหมือนนกการเวกอยู่บนเวหา สานุศิษย์ในสำนักแลขึ้นไป เห็นก็รีบเข้าไปบอกแก่ติ๋นหงวนต้ายเซียนว่า บัดนี้ท่านซัมแชทั้งสามลงมาจากเวหา
 เวลานั้นต้ายเซียนกำลังนั่งอยู่ กับหลวงจีนถังซัมจั๋ง ได้ยินเซียนน้อยมาบอกดังนั้นก็ลุกจากเก้าอี้ เดินออกมายังหน้าหอร้องเชิญซัมแช โป๊ยก่ายเห็นซิ่วแชก็ตรงเข้ามาจับข้อมือหัวเราะแล้วพูดว่า อีตาหัวเนื้อนานแล้วมิได้พบปะกันเลย ทำไมจึงไม่สวมหมวก ดูคล้าย ๆ คนที่เป็นขี้ข้าเขาอย่างนี้ ตี๊กุนครั้นได้ฟังเห้งเจียเล่าบอกดังนั้น จึงพูดว่าข้าพเจ้ามียาวิเศษอยู่เม็ดหนึ่งเรียกว่า (เก๊าจ๊วนท้ายอิดฮ่วนตัน) คือยาวิเศษประกอบทำถึงเก้าหนจึงสำเร็จ หากว่ามนุษย์หรือสัตว์เดรัฉานแลต้นไม้ในใต้หล้าเป็นอันตราย ยานี้ ก็คงจะรักษาให้กลับฟื้นคืนมาได้ แต่ที่สำนักเหงาจึงเป็นที่เทวดาชั้นสูง แลภูเขาบ้วนซิ่วซัวนั้นก็เป็นที่ชัยภูมิของ พรหมแต่ต้นยิ่นเซียมก๊วยนั้น ก็เป็นของกายสิทธิ์ เกิดเมื่อเริ่มตั้งฟ้าตั้งดินมิใช่ของธรรมดาในใต้หล้านี้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าไม่มียาจะรักษา
 เห้งเจียพูดว่าถ้าท่านไม่มียาแก้ได้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะลาท่านไปหาที่อื่น พูดดังนั้นแล้วก็ลาตี๊กุนออก จากสำนักเหาะไป ถึงชายเกาะแห่งหนึ่งมีต้นไม้ร่มรื่น เห้งเจียแลไปที่ใต้ต้นไม้มีคนรูปร่างหนุ่มแต่ผมนั้นหงอกขาว นั่งเล่นหมากรุกแลกินสุราเป็นการรื่นเริงกันอยู่ เห้งเจียก็ลดลงเดินเข้าไปใกล้เห็นถนัดก็จำได้ คือ (กี๊วเล้า)
 เห้งเจียจึงร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ข้าพเจ้ารื่นเริงด้วยสักคนหนึ่ง ฝ่ายพวกเทวดาได้ยินเสียงร้องเรียกจึงหันหน้าดู ต่างคนลุกขึ้นเชิญรับเห้งเจีย ๆ จึงถามว่า พวก ท่านทั้งหลายมีความสุขอยู่ดอกหรือ กี๊วเล้าจึงตอบว่า แม้เมื่อก่อนท่านเห้งเจียไม่ทำให้เกิดเหตุวุ่นวายบนสวรรค์ แล้ว ท่านจะมีความสุขยิ่งกว่าข้าพเจ้าหลายเท่า เวลานี้ท่านปฏิบัติทางธรรมตามหลวงจีนถึงซัมจั๋งไปมัชฌิมประเทศ แล้ว เหตุใดจึงวางธุระมาถึงนี่เล่า เห้งเจียจึงเล่าเหตุผลต้นปลายให้กี๊วเล้าฟังทุกประการ กี๊วเล้าได้ฟังก็พากันตกใจ พูดว่าท่าน ทำไมจึงไปทำดังนั้นเล่า ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่มียาจะรักษาให้ฟื้นได้
 เห้งเจียได้ฟังกี๊วเล้าบอกว่าไม่มียา ก็ลากี๊วเล้า จะไปหาที่อื่น กี๊วเล้าจึงพูดว่าท่านได้มาถึงที่นี่แล้ว เชิญรับประทานของสักเล็กน้อยก่อนแล้วจึงค่อยไป เห้งเจียก็นั่ง กินสุราเซียนถ้วยหนึ่งกับของแกล้มคำหนึ่ง แล้วก็ลากี๊วเล้าออกจากที่นั้นไป บัดเดี๋ยวก็พ้นเกาะยันจิว หมายตรงทิศ บูรพาทะเลใหญ่ใกล้เขา (โละแก่ซัว) ครั้นถึงเห้งเจียก็ลดลงยังพื้นแล้วเดินเข้าไปในดงไผ่ จะเข้าไปหาพระ โพธิสัตว์กวนอิม
 ฝ่ายพระโพธิสัตว์กวนอิมเวลานั้นอยู่ในสำนัก กำลังเทศนาให้พรหมแลเทวดาแลฮุยไง้เล่งหนึงฟัง พระโพธิสัตว์กวนอิมรู้ว่าเห้งเจียมา จึงใช้ให้ต้ายสินออกไปรับ ต้ายสินคำนับแล้วออกจากดงไผ่ แลเห็นเห้งเจีย จึงร้องทักว่าหงอคงไปไหนมา เห้งเจียหันหน้ามาตวาดว่า เจ้าเป็นสัตว์ผีดำ ทำไมจึงมาเรียกเราว่าหงอคง ไม่มีความเกรงใจ เมื่อก่อนนั้นเราปล่อยเจ้ามิใช่หรือ เจ้าคือปิศาจ ผีที่เขาเฮกฮองซัว บัดนี้มาอยู่ด้วยพระโพธิสัตว์สมาทานอันชอบธรรม จะเรียกเราว่าท่านผู้ใหญ่ สักคำหนึ่งไม่ได้หรือ ทำไมจึงต้องเรียกว่าหงอคงเล่า ต้ายสินผู้นี้เดิมก็ได้พึ่งเห้งเจียมาก่อนจริง
 ครั้นได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่า คำโบราณท่านว่า อันเป็นมนุษย์ที่มีความรู้แล้วมิได้มีความ พยาบาท บัดนี้พระโพธิสัตว์ให้ข้าพเจ้ามารับเชิญท่านเข้าไปข้างใน เห้งเจียกับต้ายสินก็พากันเดิน เข้าไป ครั้นถึงเห้งเจียคำนับแล้วก็ยืนอยู่ข้างนั้น พระโพธิสัตว์จึงถามว่า เห้งเจียท่านมาด้วยเหตุ ธุระทุกข์ร้อนประการใดหรือ เห้งเจียพนมมือแล้วจึงเล่าเรื่องที่ตนทำ ต้นยิ่นเซียมก๊วยล้มโค่นตั้งแต่ ต้นจนปลาย บัดนี้จะมาขอยารักษาให้ต้นยิ่นเซียมก๊วยฟื้นขึ้น พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ทำไมเห้งเจียจึงไม่มาหาอาตมภาพก่อน เที่ยวค้นหาที่ไหนให้ช้า การเปล่า ๆ
 เห้งเจียได้ฟังพระโพธิสัตว์พูดดังนั้นก็นึกดีใจ จึงคลานเข้าไปใกล้อ้อนวอน พระโพธิ สัตว์พูดว่าขวดน้ำมนต์ของอาตมภาพนี้ อาจรักษาต้นไม้ของพวกเทวดาเซียนนั้นได้ เห้งเจียพนม มือแล้วถามว่า ได้เคยรักษามาแล้วหรือประการใด พระโพธิสัตว์บอกว่าพรหมท้ายเสียงเล่ากุนได้เคย ลอง อาตมภาพให้ท้ายเสียงเล่ากุน ถอนเอาต้นสนไปใส่ในเบ้าหุงยานั้นจนเกรียมแห้งแล้ว เอามา ส่งให้อาตมภาพ ๆ เอาน้ำมนต์ในขวดนี้ พรมลงไว้คืนหนึ่งกับวันหนึ่ง ต้นสนนั้นก็กลับเป็นขึ้น อย่างเดิมใบก้านออกงามยิ่งกว่าเก่า เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ต้นสนแห้งเกรียมแล้วยังกลับเป็นได้ อันต้นยิ่นเซียมก๊วยนี้ เป็นแต่เพียงล้มลงเท่านั้น ยังไม่สู้กระไรนักคงจะกลับคืนได้
 พระโพธิสัตว์จึงสั่งหมู่บริวารทั้งหลายให้ดูเฝ้าสำนัก อาตมภาพจะไปธุระ เสร็จแล้วจึงจะกลับมา พระโพธิสัตว์สั่งแล้ว มือหนึ่งถือขวดน้ำมนต์นกแก้วขาวบินนำหน้า เห้งเจียเดินตามหลังออกจากดงไผ่ปาฏิหารย์ตรงไปยังภูเขาบ้วนซิ่วซัว ฝ่ายติ๋นหงวนต้ายเซียนกับซัมเล่าเซียน กำลังสนทนากันอยู่แลไปเห็นเห้งเจียลงมาจากเมฆเดินเข้ามาบอกว่า พระ โพธิสัตว์มาแล้ว พวกเซียนทั้งหลายได้ฟังดังนั้น ต่างก็รีบออกมารับยังหน้หอ พระโพธิสัตว์เดินเข้ามาบนหอ ทักถาม ติ๋นหงวนต้ายเซียน ๆ คำนับเชิญเข้าไปนั่งที่อันสมควรแล้ว
 พวกเซียนทั้งหลายเหล่านั้น ก็มาคำนับพระโพธิสัตว์ ทุก ๆ คน เห้งเจียจึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งให้มาพบกับพระโพธิสัตว์ เห้งเจียเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมาคำนับพระโพธิสัตว์ แล้วเห้งเจียจึงบอกแก่ติ๋นหงวนต้ายเซียนว่า ท่านต้ายเซียนอย่าช้าจงรีบจัดแจง พระโพธิสัตว์จะรักษาต้นยิ่นเซียมก๊วย ให้เป็นขึ้นอย่างเดิม ติ๋นหงวนต้ายเซียนได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงสั่งสานุศิษย์ทั้งหลายให้ออกไปที่สวน จัดแจง ปัดกวาดแลตั้งโต๊ะบูชา พวกศิษย์ทั้งหลายก็ออกไปจัดแจงกระทำตามสั่งทุกประการ แล้วก็กลับเข้ามาบอกแก่ติ๋น หงวนต้ายเซียน
 ติ๋นหงวนต้ายเซียนจึงลุกมานิมนต์พระโพธิสัตว์ ๆ จึงได้ดำเนินไปยังสวน หมู่เซียนทั้งหลายก็เดิน ตามพระโพธิสัตว์ไปยังสวนด้วยกันทั้งสิ้น ครั้นพระโพธิสัตว์มาถึงสวนแล้ว จึงพิจารณาดูต้นยิ่นเซียมก๊วยเห็นล้ม นอนราบอยู่กับพื้นใบก้านก็ร่วงโรยแห้งเหี่ยวไปทั้งสิ้น พระโพธิสัตว์จึงเรียกเห้งเจียเข้าไปใกล้แล้วบอกเห้งเจียว่า ให้ยื่นมือซ้ายแล้วแบฝ่ามือออกให้พระโพธิสัตว์ ๆ จึงจับยอดกิ่งสนจุ่มน้ำมนต์ในขวด แล้วเขียนยันต์บนฝ่ามือเห้งเจีย เป็นยันต์รักษาต้นยิ่นเซียมก้วยให้เป็นขึ้น แล้วเอาน้ำมนต์พรมลงไปในฝ่ามือเห้งเจีย
 แล้วสั่งเห้งเจียให้เอาฝ่ามือตบ พรมที่รากต้นยิ่นเซียมก๊วย แลกำหนดน้ำที่รากนั้นมิให้ไหลออกมาก จึงค่อยตักพรมทั้งต้นต่อไป แลเมื่อมีขึ้นห้ามมิให้ เอาของทั้งห้าตัด คือธาตุห้าอย่างได้แก่ ทองหนึ่ง ไม้หนึ่ง น้ำหนึ่ง ไฟหนึ่ง ดินหนึ่ง เห้งเจียได้ฟังดังนั้น จึงประคอง มือซ้ายที่เขียนยันต์เดินมาที่รากต้นยิ่นเซียมก๊วยนั้น บัดเดี๋ยวใจที่รากก็มีน้ำเกิดขึ้นไหลออกโดยมาก ติ๋นหงวน ต้ายเซียนจึงให้เอาถ้วยหยกสามสิบสี่ถ้วย มาตักน้ำนั้นรดบนต้นยิ่นเซียมก๊วยจนตลอดทั้งต้น พระโพธิสัตว์จึงเรียกเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งทั้งสาม ให้ช่วยกันพะยุงยกต้นยิ่นเซียมก๊วยขึ้นตั้งตรง อย่างเดิมแล้ว
 พระโพธิสัตว์เดินเข้าไปใกล้ต้นยิ่นเซียมก๊วยเอาขวดน้ำมนต์รดบนต้นยิ่นเซียมก๊วย ภาวนาด้วย คาถา บัดเดี๋ยวต้นยิ่นเซียมก๊วยก็ฟื้นสดขึ้นอย่างเดิม ต้นใบก้านผลก็ออกบริบูรณ์อย่างเดิม ผลยิ่นเซียมก๊วยมียี่สิบ สาม ผล เชงฮองเม่งง้วยจึงพูดว่าประหลาดจริงๆ ผลนั้นยังเหลือยี่สิบสองผล ทำไมจึงมีขึ้นอีกหนึ่งผล เห้งเจีย ว่านานวันจึงจะเห็นความจริงของข้าพเจ้า เดิมข้าพเจ้าเก็บมาสามผล อีกผลหนึ่งหล่นถึงแผ่นดินแล้วมุดหายไปใต้ดิน โป๊ยก่ายยังมีความสงไสย ว่าข้าพเจ้าซ่อนไว้หนึ่งผล ฝ่ายติ๋นหงวนต้ายเซียน
 เมื่อได้เห็นต้นยิ่นเซียมก๊วยกลับคืนเป็นมาได้ดังนั้น ก็มีความยินดีรื่นเริงเป็น อันมาก จึงบอกให้สานุศิษย์เอาไม้ขอทองคำขึ้นสอยลงมาสิบผลแล้ว นิมนต์พระโพธิสัตว์กลับมายังสำนัก แลซัมแชเล่า เซียนกับด้วยบริวารทั้งหลายก็ตามพระโพธิสัตว์กลับมายังสำนัก ครั้นถึงติ๋นหงวนต้ายเซียน จึงนิมนต์พระโพธิสัตว์ ขึ้นนั่งที่อันสมควรแล้ว แลซัมแชก็เข้านั่งยังที่ประชุมพร้อมกันแล้ว พระโพธิสัตว์นั่งอยู่กลาง สองข้างซัมแชเล่าเซียน นั่ง
 ติ๋นหงวนต้ายเซียนจึงให้ศิษย์ยกผลยิ่นเซียมก๊วยมาถวายพระโพธิสัตว์หนึ่งผล หลวงจีนถังซัมจั๋งหนึ่งผล ซัม เล่าแชคนละหนึ่งผล เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งคนละหนึ่งผล ติ๋นหงวนต้ายเซียนหนึ่งผล สานุศิษย์หนึ่งผล เมื่อติ๋น หงวนต้ายเซียนเลี้ยงผลยิ่นเซียมก๊วยเสร็จแล้ว พระโพธิสัตว์จึงลาติ๋นหงวนต้ายเซียนกลับไปยังน่ำไฮ้ ซัมแชก็ลากลับ ไปยังสำนักเดิม
 ฝ่ายติ๋นหงวนต้ายเซียนส่งพระโพธิสัตว์ไปแล้ว ก็จัดเครื่องแจเลี้ยงเห้งเจียผูกไมตรีเป็นมิตสหายกัน ตั้งแต่นั้นหลวงจีนถังซัมจั๋งกับติ๋นหงวนต้ายเซียน กับสานุศิษย์ทั้งสองฝ่าย ก็ผูกรักเป็นสามัคคีกัน ทุก ๆ คน เวลานั้นก็จวนจะค่ำ ต่างคนไปหยุดพักหลับนอน ครั้นเวลารุ่งแจ้งหลวงจีนถังซัมจั๋งจะออกเดิน ติ๋นหงวนต้ายเซียนมีใจจงรักภักดี ยังหน่วงขอให้พัก อยู่ห้าหกเวลา พระถังซัมจั๋งก็พักอยู่ห้าหกเวลา จึงได้ลาติ๋นหงวนต้ายเซียนออกเดินต่อไป

[เล่ม 2] ตอนที่ 24 ไซอิ๋ว นวนิยาย

    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖    
     ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่   
ดาวน์โหลด
 ดาวน์โหลด PDF          คำนำ (เล่ม ๒)
เนื้อความตามลำดับเรื่องในไซอิ๋วเล่ม ๒ นี้ ดำเนินวจนะเบื้องต้นตั้งแต่โป๊ยก่ายหลงกลพระโพธิสัตว์ โดยเหตุโป๊ยก่ายเป็นผู้หนาแลหนักอยู่ในเรื่องกามคุณตามนิสัยของโป๊ยก่าย
      ที่สุดความในเล่ม ๒ นี้ไปหมดเพียงเห้งเจียรบแก่นางล่อซัว ซึ่งเป็นภรรยาของงู่ม่ออ๋อง ตามนิทานในท้องเรื่องของเล่ม ๒ นี้มีรูปภาพ ๒๔ รูป ประจำตามชุด เพื่อให้ท่านผู้อ่านผู้ฟัง เมื่อทราบเรื่องแล้วจะได้เห็นรูปด้วย แต่ลักษณะและกิริยาของรูปภาพ คงแสดงให้ผู้เห็นถือเอาความได้ว่า ผู้เรียงความเรื่องไซอิ๋วไว้แต่โบราณนั้นเป็นจีนแท้ เพราะฉะนั้น ที่สุดแต่ชั้นพระนามของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แลพระอรหันต์ หรือพระโพธิสัตว์ และชฎิลดาบส นักพรต นักบุญ จึงมีสำเนียงเป็นภาษาจีนไปทั้งสิ้น
 ที่สุดจนชั้นวัดวาอารามแม่น้ำภูเขาก็พลอยหมุนความมีกิริยาและชื่อเสียงเป็นภาษาจีนไปทั้งสิ้นด้วย จึงกระทำให้ผู้เรียงภาษาไทยในชั้นนี้ รู้สึกได้ในความจริงและความเท็จทุกประการ แต่จะอย่างไรก็ดี คงเกี่ยวหนักในเรื่องพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นถ้าเข้าที่ยากและขัดข้องในที่สำคัญด้วยประการใดๆ คราวไร เทพยดามารพรหมหรือใครๆ ที่มีอำนาจและบุญฤทธิ์ ก็ต้องช่วยเป็นธุระให้สำเร็จตลอดไปได้ทุกๆ ครั้ง โดยอำนาจที่พระถังซัมจั๋งและเห้งเจียกระทำการเพื่อประโยชน์จะแผ่พระพุทธศาสนาในทิศตะวันออก พาให้ท่านผู้มีปัญญาเกิดศรัทธาเลื่อมใสสูงขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
(บทที่ ๒๓ )
   เห้งเจียพูดว่ายังจะไตร่ตรองอะไรต่อไปอีกเล่า ข้างหลังบ้านได้นัดแนะพูดจากันไว้แล้วก็เป็นที่ตกลงกันแน่นอนแล้วนะซิ อาจารย์เป็นเจ้าสาวข้าพเจ้าเป็นเจ้าบ่าวให้ซัวเจ๋งเป็นเถ้าแก่ ไม่ต้องหาฤกษ์วันคืนอะไรแล้ว วันนี้ก็เป็นวันธงชัยได้ฤกษดีแล้ว ควรจะแต่งงานวิวาหะมงคลอยู่กินด้วยแล้ว โป๊ยก่ายไปไหว้อาจารย์แล้วจะได้ส่งตัวเข้าไป โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า อย่าทำเล่น ๆ ดังนั้นไม่สำเร็จเอาที่ไหนมา ยังไม่ทันไรก็จะเอาลงเป็นแน่นอนอย่างนี้ไม่ได้
   เห้งเจียจึงพูดว่าทำไมจะไม่สำเร็จเล่า เจ้ากับแม่หญิงได้ยินยอมตกลงกันแล้ว ทำไมจึงว่าไม่สำเร็จ เจ้าจงรีบเร็ว ๆ ไปด้วยนาง เห้งเจียพูดดังนั้นแล้ว ก็เข้ามาจับมือโป๊ยก่ายจูงมาให้นางแม่หญิงหม้ายแล้วพูดว่า คนนี้คือบุตรเขยท่าน ๆ จงพาไปจัดแจงแต่งเถิด
   ฝ่ายนางแม่หญิงหม้าย เห็นเห้งเจียมอบตัวโป๊ยก่ายมาให้แล้ว นางก็รับพาโป๊ยก่ายไป
   ฝ่ายโป๊ยก่ายเมื่อเห้งเจียมอบตัวให้ตามนางแม่หญิงหม้ายไปเวลานั้น ร่างกายให้ไหวติงไปทั้งตัวมีความยินดียิ่งนัก ก็เดินตามนางเข้าไปข้างใน นางหญิงหม้ายจึงเรียกเด็กคนใช้ให้เอาเครื่องแจน้ำร้อนน้ำชาไปเลี้ยงเห้งเจียกับซัวเจ๋งข้างนอก แล้วเรียกพวกทำเครื่องโต๊ะให้ตระเตรียมจัดแจงทำเครื่องโต๊ะในการวิวาหะมงคลในเวลาพรุ่งนี้ ครั้นนางสั่งการเสร็จแล้วก็พาโป๊ยก่ายเดินไป
   ฝ่ายพระอาจารย์กับศิษย์ทั้งสามนั่งอยู่ข้างนอก ครั้นเสร็จธุระแล้วก็พากันหลับนอนตามสบาย
   เมื่อโป๊ยก่ายเดินตามแม่หญิงเข้าไปนั้น เห็นหอห้องเป็นชั้นเรียบร้อยเรียงรายมากมาย จึงถามว่าท่านมารดา ในชั้นนี้เห็นเป็นห้องหอแลมีประตูเป็นชั้น ๆ นั้นจะเป็นห้องสำหรับใส่อะไรไว้หรือ
   นางบอกว่านี่ไว้สำหรับใส่ของกินแลเครื่องใช้ต่าง ๆ โป๊ยก่ายจึงชมว่า บ้านผู้ดีแท้ ๆ เดินไปอีกก็เลี้ยวมุมตึก ข้างนั้นมีทางเดินไป จึงมาถึงตึกใหญ่ แม่หญิงหม้ายพาโป๊ยก่ายเดินตรงขึ้นบนเต๊งสูง ครั้นถึงนางจึงบอกโป๊ยก่ายว่า เมื่อกี้นี้เห้งเจียพี่ของเจ้าบอกว่าวันนี้เป็นวันธงชัย ก็เป็นการด่วนจัดแจงไม่ทัน เจ้าจงไหว้พอเป็นกิริยาแล้วจึงได้เข้าร่วมห้อง
   โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นนึกดีใจก็ทำตาม จึงจุดธูปเทียนมาปักโต๊ะเทวดาและปู่ย่าตายาย แล้วคำนับไหว้ตามธรรมเนียม ครั้นเสร็จแล้วจึงมาไหว้แม่ยาย แล้วโป๊ยก่ายจึงถามว่า ท่านมารดาจะให้บุตรคนไหนเป็นภรรยาข้าพเจ้าเล่า
   นางจึงตอบว่า แม่นี้ยังมีความสงสัยอยู่ ด้วยคนทั้งสามนี้จะมีความเสียใจบ้างดอกกระมัง จะยกคนใหญ่ให้คนกลางคนเล็กจะเสียใจ จะยกคนกลางให้คนใหญ่คนเล็กจะเสียใจ จะยกคนเล็กให้คนใหญ่คนกลางจะเสียใจ เพราะฉนั้นจึงเป็นความลำบากอยู่ยังไม่แน่ลงไปได้
   โป๊ยก่ายว่า ถ้ากระนั้นท่านมารดาโปรดยกให้เสียทั้งสามคนก็แล้วกัน ไม่ต้องวุ่นวายอะไรเลย นางจึงพูดว่าทำอย่างนั้นจะมิเสียธรรมเนียมไปหรือ บุตรเขยคนหนึ่งจะเอาบุตรสาวสามคนนั้นไม่ได้ โป๊ยก่ายว่าท่านพูดดังนั้น ก็ที่ท่านเป็นขุนนางหรือผู้มีทรัพย์ บ้านเรือนใหญ่โต เขามีเมียมาก ๆ ก็มีอยู่ถมไปจะผิดชอบอะไรไป ตัวข้าพเจ้าตั้งแต่ยังเล็กเคยไปเรียนวิชาแปลงกายได้ ถึงจะมีภรรยาหลายคนก็จะผ่อนผันให้พอใจได้ทุก ๆ คน นางจึงพูดว่าทำอย่างนั้นก็ไม่ดี แม่มีผ้าแพรขาวผืนหนึ่ง เจ้าเอาปิดตาปิดหูเสียแล้ว เสี่ยงทายให้หญิงทั้งสามนั้นมายืนตรงหน้าเจ้าถ้าเจ้าจับถูกคนใดแม่จะยกคนนั้นให้เป็นภรรยา
 โป๊ยก่ายได้ฟังแม่ยายพูดดังนั้นก็นึกดีใจ จึงรับเอาผ้าแพรขาวมาแล้ว ก็คลุมหัวปิดตาปิดหูเสร็จแล้วก็ร้องบอกว่า ขอท่านมารดาได้บอกแม่น้องให้มายืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเถิด นางจึงร้องบอกบุตรสาวทั้งสามว่าเจ้าจงออกมาให้เขาเสี่ยงทายเถิด เมื่อเป็นบุญของใครแม่จะได้ยกให้มีผัว นางทั้งสามได้ฟังมารดาสั่งดังนั้น ต่างก็พร้อมกันออกมายืนอยู่ โป๊ยก่ายได้กลิ่นหอมมาเข้านาสิกก็รู้ว่านางทั้งสามออกมายืนอยู่แล้ว จึงเดินตรงเข้าไปใกล้คว้าซ้ายคว้าขวาไล่จับก็มิได้ถูกต้องนางคนใด จนหน้าตาโดนประตูแลน่าต่างฝาผนัง ตาหูปากคางฟกบวม จับใครก็ไม่ได้แต่สักคนเดียว จนไปโดนบานประตูหกล้มลงนั่งอยู่กับพื้น แล้วร้องบอกว่าบุตรสาวของท่านมารดาวิ่งเร็วนักจับไม่ได้จะทำอย่างไรดี
   นางแม่ยายเห็นดังนั้น จึงมาแก้ผ้าที่ผูกตาออกเสียแล้ว พูดว่าไม่ใช่นางน้องทั้งสามนั้นวิ่งเร็ว เพราะเขาเป็นผู้ดีจึงหลบหลีกไม่กล้าให้เจ้าจับตัวได้ เขาจะไม่ยอมเป็นภรรยาเจ้า โป๊ยก่ายจึงว่า ถ้านางทั้งสามเขาไม่ยอมเป็นภรรยาข้าพเจ้าแล้ว ท่านแม่ยอมก็ใช้ได้เหมือนกัน ท่านแม่ยายจึงพูดว่า ลูกเขยอะไรอย่างนี้จึงจะคิดเล่นแม่ยายเล่า เห็นไม่สมควรจะคิดเลย นางจึงพูดว่าบุตรสาวทั้งสามคนนี้มีฝีมือได้ปักเสื้อประดับด้วยพลอยต่าง ๆ สี งามที่สุดมีอยู่คนละตัว แม้ว่าเจ้าใส่ได้สมตัวเสื้อตัวใดแล้ว จะยกคนนั้นให้แก่เจ้า
   โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า ถ้ากระนั้นขอท่านแม่เอาเสื้อออกมาข้าพเจ้าจะลองใส่ดู แม่ยายจึงเดินเข้าไปข้างในหยิบเสื้อออกมาตัวหนึ่ง ส่งให้โป๊ยก่าย ๆ ก็รับเอาเสื้อมาแล้วก็เปลื้องเสื้อเดิมออกเสีย เอาเสื้อใหม่สวมตัวเข้าลองใส่ดู พอยกเสื้อสอดมือทั้งสองเข้าไปไนแขนเสื้อ ๆ กลายเป็นเชือกมัดผูกไว้ทั้งมือแลท้าว โป๊ยก่ายก็ล้มกลิ้งลงกับพื้น มีความเจ็บปวดเป็นอันมาก หญิงก็อันตรธานสูญหายไป
   ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งกับเห้งเจีย ซัวเจ๋งนอนอยู่ที่น่าหอนั่ง พอรุ่งสว่างตื่นขึ้นเหลียวซ้ายแลขวา ก็มิได้เห็นบ้านเรือนแลห้องหอ นอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงเรียกเห้งเจียกับซัวเจ๋งให้ตื่นขึ้น ซัวเจ๋งจึงถามเห้งเจียว่า พวกเราเห็นจะถูกปีศาจอสูรกายหลอกลวงดอกกระมัง จึงได้เป็นประหลาดอัศจรรย์ดังนี้ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็เข้าใจแน่ จึงหัวเราะแล้วพูดว่า ซึ่งบังเกิดมีป่าไม้อยู่อย่างนี้ ไม่รู้ว่าอ้ายสัตว์กินรำมันจะไปต้องโทษอยู่ที่ไหน
   หลวงจีนถังซัมจั๋งถามว่า โป๊ยก่ายจะต้องโทษด้วยเหตุอะไร เห้งเจียจึงพูดว่า เมื่อวานนี้มีห้องหอตึกบ้านและมีหญิงหม้ายหญิงสาวนั้น ไม่ทราบว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์ใด มาบันดาลแปลงกายพอครึ่งคืนก็อันตรธานไปเสีย ถ้ากระนั้นก็เห็นว่าโป๊ยก่ายคงจะต้องทรมานอยู่เป็นแน่แล้ว
   หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ยกมือนมัสการเนื่องไป บัดเดี๋ยวแลไปข้างริมต้นไม้สน เห็นกระดาษตกลงมายังพื้นดิน ซัวเจ๋งก็วิ่งไปเก็บมาอ่านดู ในกระดาษนั้นมีคำโคลงเขียนด้วยอักษรจีนอยู่แปดบท เป็นคำอรรถว่า (ลี่ซัวเล่าโป๊ปุ๊ดซือฮ้อม) แปลว่าเจ้าแม่เล่าโป๊ไม่ใช่รักทางโลก
   คำที่สองว่า น่ำไฮ้กวนอิมลงมาจากเขา แปลว่าพระโพธิสัตว์เสด็จมาจากเขาน่ำไฮ้
   คำที่สามว่า บุญซู้เทาเฮี้ยนกายสี้แปะ แปลว่าพระโพธิสัตว์ทั้งสองแปลงกายมา
   คำที่สี่ว่า ห่วยเซ้งมุ้ยนิ้งต้อลีมตัง แปลว่าพระโพธิสัตว์ทั้งสามแปลงเป็นนางรูปสวย
   คำที่ห้าว่า เซ้งเจงพ้ามเป๊าะเสี้ยนกีเตี้ย แปลว่าจะมาลองใจหลวงจีนถังซัมจั๋งว่าจะมั่นคงเพียงไร
   คำที่หกว่า โป๊ยก่ายทามเอิ้มเหลียกแส่ง้วน แปลว่า โป๊ยก่ายนั้นจิตมากด้วยความกำหนัด
   คำที่เจ็ดว่า ส่งจี๊เซ้ยซิมซูเก๊ยก่วย แปลว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปภายหลังให้ขมาโทษอย่าได้คิดต่อไป
   คำที่แปดว่า หยอดแซต๊ายมั่นโล่โต้ลั้น แปลว่า แม้มีความเกียจคร้านไปข้างหน้าจะมีความลำบากมาก
   เมื่อเวลาลูกศิษย์กับอาจารย์กำลังดูคำโคลงอยู่นั้น ได้ยินเสียงร้องเรียกว่า พระอาจารย์ช่วยข้าพเจ้าด้วยสักครั้งหนึ่งเถิด ต่อไปข้าพเจ้าไม่กล้ากระทำอีกแล้ว
   พระอาจารย์ถังซัมจั๋งจึงถามว่า เสียงที่ร้องเรียกนั้นเสียงโป๊ยก่ายมิใช่หรือ ซัวเจ๋งบอกว่าใช่ เห้งเจียบอกแก่ซัวเจ๋งว่า ช่างเขาอย่าเป็นธุระถึงเขาเลยพวกเราจัดแจงไปเถิด หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า แม้โป๊ยก่ายมีความโฉดเขลาดังนั้นก็จริงอยู่ แต่ต้องเห็นแก่พระโพธิสัตว์ ต้องช่วยแก้สักครั้งหนึ่งก่อน
(บทที่ ๒๔)
   ซัวเจ๋งยกหาบใส่บ่า เห้งเจียจูงม้านำหน้าพระอาจารย์เดินเข้าไปยังพุ่มไม้ในป่ารกค้นหาโป๊ยก่าย แหวกหญ้าบุกรกเข้าไปบัดเดี๋ยวก็แลเห็นโป๊ยก่ายถูกมัดอยู่บนต้นไม้ เสียงร้องครางไม่หยุด เห้งเจียเดินเข้าไปใกล้ทำแกล้งพูดเยาะว่า โป๊ยก่ายลูกเขยป่านนี้ยังไม่มาเคารพนบน้อมวงศ์เพื่อนฝูงทั้งหลาย แลทำไมจึงไม่มาบอกให้พระอาจารย์ยินดีบ้างเล่า ขึ้นไปนอนอยู่บนที่ตึกสูงตามสบายใจ ได้ดีแล้วก็ไม่ทักไม่ทายกันบ้างเลย จะลืมกันเสียทีเดียวหรือ โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดเยาะเย้ยดังนั้น ให้มีความละอายเป็นที่สุด สู้อุตส่าห์กัดฟันไม่ร้องคราง
   ฝ่ายซัวเจ๋งยืนอยู่ข้างนั้น เห็นโป๊ยก่ายถูกมัดมีความเจ็บปวดครางอยู่ดังนั้น ก็นึกสงสารจึงขึ้นไปแก้มัดให้โป๊ยก่ายแล้วก็พากันลงมา จึงมีคำกลางว่ารูปศรีอันงาม ดุจอาวุธอันบุคคลไว้สำหรับฆ่าตัวเอง ความกำหนัดโลภหลง จะต้องด้วยภัยอันใหญ่ หญิงแรกรุ่นกำดัด ดุจยักษ์และปีศาจรากษสอันร้ายแรงฉะนั้น
   โป๊ยก่ายครั้นซัวเจ๋งแก้มัดให้ลงมาถึงแผ่นดินได้แล้ว ก็จุดธูปนมัสการขมาโทษ เห้งเจียถามว่ารู้ว่าโพธิสัตว์องค์ใดแกล้งแปลงมาหรือไม่ โป๊ยก่ายบอกว่า ข้าพเจ้าต้องมัดเจ็บปวดมืดมัวหารู้ว่าองค์ใดไม่ เห้งเจียจึงหยิบกระดาษที่เก็บได้นั้นมาส่งให้โป๊ยก่ายดู
   โป๊ยก่ายรับกระดาษมาดูก็รู้ชัดว่าพระโพธิสัตว์แปลงกายมา ยิ่งมีความอดสูแก่ใจหาที่เปรียบมิได้ ซัวเจ๋งหัวเราะแล้วพูดว่านี่โป๊ยก่ายมีนิสัยอันใหญ่ ได้ร่วมญาติกันกับพระโพธิสัตว์ทั้งสี่องค์ โป๊ยก่ายจึงพูดว่า ตั้งแต่นี่ไปน้องอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป ต้องตั้งจิตหาบหามตามพระอาจารย์ไปกว่าจะสำเร็จการเถิด หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงพูดว่าถ้าดังนั้นก็สมควรแล้ว
   เห้งเจียเห็นการเรียบร้อยแล้ว จึงเดินนำหน้าพากันออกเดินมายังทางใหญ่ หมายระยะทางตรงไปยังทิศปราจิณ ครั้นเดินตามระยะทางตามแนวป่าเช้าค่ำก็พักนอน วันหนึ่งเดินมาตามทางแลไปข้างน่าเห็นภูเขาใหญ่มีต้นไม้ขึ้นเป็นช่อชั้นงาม บนยอดเขามีเมฆห้อมล้อมมีรัศมีต่าง ๆ อาจารย์กับศิษย์เดินพลางชมพลาง หลวงจีนถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าเห็นดังนั้นก็มีความรื่นเริง จึงพูดว่าเราข้ามเขาข้ามน้ำมาก็มากแล้ว ยังไม่เห็นเหมือนภูเขานี้ พิเคราะห์ดูชัยภูมิงดงามยิ่งกว่าทุกเขา เห็นจะใกล้เขตวัดลุ่ยอิมยี่ดอกกระมัง เราทั้งหลายจงตั้งจิตสำรวมกิริยาให้เรียบร้อย จะได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์
   เห้งเจียได้ฟังพระอาจารย์พูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า จะเร็วดังนั้นทีเดียวหรือ ซัวเจ๋งจึงถามเห้งเจียว่าวัดลุ่ยอิมยี่นั้นหากพวกเราจะไปนั้น หนทางจะไกลใกล้ประมาณสักเท่าใด เห้งเจียตอบว่าหนทางนั้นหมื่นแปดพันโยชน์สิบส่วนเรามายังไม่ได้หนึ่งส่วน โป๊ยก่ายถามว่าหากจะไปนั้นสักกี่ปีจึงจะถึง เห้งเจียตอบว่าถ้าน้องทั้งสองไปสิบวันจึงจะถึง ถ้าพี่จะไปวันหนึ่งไปมา ห้าสิบรอบก็ยังเห็นแสงตะวันไม่ค่ำ ถ้าเปรียบพระอาจารย์ไปเมื่อไรจะถึงอย่าเพิ่งคิดเลย
 หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า ถ้าเห้งเจียพูดดังนั้นก็เมื่อไรจึงจะถึงเล่า เห้งเจียตอบว่าเปรียบพระอาจารย์ไปนั้นตั้งแต่เล็กจนแก่อย่างนี้พันหนก็ยังไม่ถึง หากพระ อาจารย์ มีมูลสันดานผ่องไสยบริสุทธิ์ ชั่วระลึกหยุดก็ถึงที่เขาเล่งซัวนั้นเอง ซัวเจ๋งจึงถามว่าแม้ตำบลนี้มิใช่วัดลุ่ยอิมยี่พิจารณาดูในแห่งนี้ก็จะเป็นสถานที่ของผู้วิเศษจะอาศัยอยู่ดอกกระมัง เห้งเจียว่าน้องเห็นความดังนั้นก็จะเป็นได้บ้างเห็นเกือบจะถูกต้อง สมควรจะเป็นสำนักของผู้วิเศษจริงไม่กระนั้น ก็จะเป็นสำนักเซียน และ อิสีดาบสอยู่เป็นแน่ พวกเราค่อย ๆ เดินพิศดูเล่น
ตอน ต้นไม้ทารก (ช่วงที่ 1) 
จะกล่าวมูลเหตุของภูเขานี้ มีนามเรียกว่าเขาบ้วนซี่วซัวบนเขานั้นมีสำนักเรียกว่า เหงาจึงกวนสำนัก ๆ นี้มีเซียน ฤๅษีองค์หนึ่งนามเรียกว่า ติ๋นหงวนจื้อในภูมิที่นั้น เกิดของวิเศษอยู่สิ่งหนึ่ง ของสิ่งนี้คือตั้งแต่เริ่มตั้งโลกยังไม่ปันฟ้าปันดิน ก็บังเกิดมีของกายสิทธิ์อย่างนี้ คือในใต้หล้านี้ทั้งสี่ทวีปมีแต่ อุดรทวีปนั้นแรกมี ต่อมามีชมพูทวีปต่อทีหลัง นามของวิเศษนั้นเรียกว่า เช้าฮ่วนตันคือยาวิเศษแลเรียกยีน เซียมก๊วน คือมีต้นเกิดผลเป็นรูปคล้ายคน จะเรียกมักกะลีผลก็ได้ สามพันปีจึงจะออกดอกอีกสามพันปีจงจะตั้งผล อีกสามพันปีจึงจะสุก
 รวมหมื่นปีจึงบริบูรณ์ กำหนดมีเฉพาะสามสิบผล ผลนั้นคล้ายเด็กทารกพึ่งจะออกจากครรภ์มารดา สามวันผลนั้นเป็นเบญจะสาขาบริบูรณ์ แม้ผู้ใดมีนิสัยได้ดมกลิ่นทีหนึ่งอายุยืนสามร้อยหกสิบปี แม้ได้กินผลหนึ่งอายุยืนสี่หมื่นเจ็ดพันปี แต่เมื่อเวลาวันนั้น ติ๋นหงวนต้ายเซียนฤๅษีอาจารย์ใหญ่มีกิจธุระด้วยหงวนซุ้ยเทียนจุนพรหมใหญ่ เชิญไปฟังธรรม บนวิมาน สวรรค์ ติ๋นหงวนต้ายเซียนนั้นสั่งสอนสานุศิษย์แพร่หลายเหลือที่จะคะเนนับ ในเวลานั้นยังมีอยู่สี่สิบ แปดคน ๆ นี้ ได้สำเร็จมรรคของเซียนโดยเชี่ยวชาญ
 ในเวลานั้นติ๋นหงวนอาจาริย์ใหญ่พาสานุศิษย์สี่สิบแปดคน นั้นไปยังสวรรค์ เมื่อจะไปนั้นให้ศิษย์สองคนอยู่เฝ้าสำนัก ชื่อเชงฮองคนหนึ่งชื่อเม่งง้วยคนหนึ่ง เชงฮองอายุได้ พันสามร้อยยี่สิบปี เม้งง้วยอายุได้พันสองร้อยปี ใต้เซียนติ๋นหงวนใกล้จะไปได้สั่งสอนสานุศิษย์เชงฮองเม่งง้วย ไว้ว่า วันมะรืนนี้คนชอบแก่ข้าพเจ้าจะมาทางนี้คือเป็นสมณะสงฆ์อยู่ประเทศจีนเมืองใต้ถัง นามเรียกว่า ถังซัมจั๋ง เธอรับคำสั่งของพระเจ้าแผ่นดินถังไทจงฮ่องเต้ให้ไปมัชฌิมประเทศ เพื่ออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม เมื่อเธอมา ถึงนี่ตัวทั้งสองอย่าได้เกียจคร้าน จงเชื้อเชิญให้หยุดพักแล้วไปเก็บผลยิ่นเซียมบนต้นลงมาถวายให้เธอฉันสองผล
 เชงฮองเม่งง้วยทั้งสองจึงพูดว่า คำโบราณท่านกล่าวไว้ว่าความปฏิบัติไม่เหมือนกันอย่าได้ ร่วมคิด ก็นี่เธอเป็นสมณะจะมาเป็นสมัครพรรคพวกได้หรือ ติ๋นหงวนผู้อาจารย์ได้ฟังเชงฮองเม่งง้วยพูดดังนั้น จึงพูดว่าท่านทั้งสองไม่รู้เหตุผลด้วยเดิมพระถัง ซัมจั๋งนั้น เมื่อครั้งพระพุทธองค์ประชุมเลี้ยงมหาสังฆทานนั้น ตั้งแต่นั้นมาจนบัดนี้นับได้ห้าร้อย ปีแล้ว เมื่อครั้งเธอเป็นโพธิสัตว์ บัดนี้เธอกลับชาติมาเป็นสมณะสงฆ์ แม้เธอมาถึงเอาผลยิ่นเซียม ถวายให้เธอ จงระวังระไวอย่าให้สานุศิษย์ของเธอรู้เหตุการณ์
 เชงฮองเม่งง้วยได้ฟังอาจารย์สั่งดังนั้นก็เคารพรับคำสั่ง แล้วใต้เซียนติ๋นหงวนก็พาสานุศิษย์สี่สิบแปดคนเหาะขึ้นบนสวรรค์ ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งเดินมากับด้วยสานุศิษย์ทั้งสามคน พิจารณาดูเพิงผาโขดเขาคีรีบัดเดี๋ยวก็เห็นมีต้นไม้สน ที่พื้นลานดูร่มรื่นเป็นที่ชัยภูมิ สงัดเงียบสำหรับระงับใจให้มีความสุขเย็นใจดุจผู้ปฏิบัติ หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดัง นั้นจึงลงจากม้า แลไปเห็นมีแผ่นศิลาจารึกอักษรใหญ่สิบตัว คือ (บ่วนซี่วซัวฮกตี้เหงาจึงกวนต๋องเทียน) แปล ว่าเขาบ้วนซิ่วที่ชัยภูมิสำนักเหงาจึงกวนถ้ำฟ้า หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นจึงบอกแก่ศิษย์ว่า ที่นี้เป็นที่สำนักงดงามพวกเราเดินเข้าไปดูเล่น
 เห้งเจียพูดว่าเห็น จะดีแล้วศิษย์กับอาจารย์ก็พากันเดินเข้าไปยังประตู มองขึ้นไปดูที่สองข้างประตูมีหนังสือเหลียนเขียนไว้ข้างละ เจ็ดตัว คำหนึ่งว่าเชียงแซปุ๊ดเหลาสินเซียนฮู้ คำสองว่าอื่อเทียนตั้งซิวเต๋ายิ้นแก ยืนนานเสมอฟ้าหรือสี่มรรค เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงพูดว่า พวกฤาษีเหล่านี้พูดอวดตัวมากนัก ข้าพเจ้าเบื่อหูเมื่อข้าพเจ้าอยู่บน สวรรค์ที่มหาพรหมท้ายเสียงเล่ากุนก็ยังไม่เคยฟังพูดอวดใหญ่โตอย่างนี้
 พูดดังนั้นแล้วก็พากันเดินเข้าไปข้าง ในประตู มองเข้าไปเห็นมีหนุ่มน้อยสองคนเดินออกมา พิเคราะห์ดูรูปร่างงามแปลกประหลาดกว่าคนธรรมดา ทั้งหลาย หนุ่มน้อยนั้นคือเชงฮองเม่งง้วย เธอทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ยกมือขึ้นคำนับพูดว่า ขอนิมนต์ท่านอาจาริย์ เข้ามาพักข้างใน หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็มีความยินดีพากันเดินตามหนุ่มน้อยทั้งสองเข้าไปยังสำนัก ครั้นถึงเชงฮองเม่งง้วยจึงเชิญหลวงจีนถังซัมจั๋งให้นั่งที่อันสมควร แล้วยกน้ำร้อนน้ำชามาถวาย
 หลวงจีนถังซัมจั๋งแลขึ้นไปบนที่บูชา เห็นมีอักษร ใหญ่สองตัวคือ (เทียนตี้) แปลว่าฟ้า ดิน และมีเครื่องตั้งประดับประดาเป็นชั้น ๆ หลวงจีนถังซัมจั๋ง จึงลุกเดินเข้ามาจุดธูปบูชา แล้วกลับมานั่งจึงถามเชง ฮองเม่งง้วยว่า ที่สำนักนี้เป็นสุขุมระงับเย็นดุจที่เมืองพระพุทธเจ้าอยู่ ทำไมไม่เห็นบูชาพรหมซัมเชงและเทพยดา ดาวทั้งหลาย บูชาแต่อักษรสองตัว ฟ้ากับดินเท่านั้นเอง
 เชงฮองเม่งง้วยได้ฟังหลวงจีนถังซัมจั๋งถามดังนั้น หัวเราะแล้วจึงตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ปิดบังท่าน อาจารย์ อาจารย์ของข้าพเจ้าท่านบูชาอักขระฟ้าดินสองตัวนี้ เป็นที่สุดยอดแล้ว พรหม และเทพยดา เทพารักษ์หรือดาวทั้งหลาย ไม่อาจรับการบูชาของอาจารย์ข้าพเจ้าได้ เพราะอาจารย์ของข้าพเจ้าออกจากที่อันฉลาด เฉลียวแล้ว
 หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า อันฉลาดเฉลียวนั้นเป็นใจความอย่างไร
 เชงฮองเม่งง้วย ตอบว่า พรหม ซัมเซงเป็นเพื่อนของพระอาจารย์ข้าพเจ้า เทวดาเทพารักษ์ เจ้าและดาวทั้งหลาย เป็นที่ชอบกับอาจารย์ ของข้าพเจ้า เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจรับเครื่องสักการะบูชาของอาจารย์ข้าพเจ้า
 เห้งเจียยืนอยู่ข้างนั้น ได้ยืนเชงฮองเม่งง้วยพูดดังนั้นก็หัวเราะออกงอๆ แล้วจึงพูดว่า ข้าพเจ้า เข้าใจกำจัดซึ่งภูตผีปีศาจทั้งหลาย ฟังดูหนุ่มน้อยเด็กทั้งสองคนนี้เข้าใจพูดอ้อมค้อม หลวงจีนถัง ซัมจั๋งจึงถามว่า บัดนี้อาจารย์ของท่านทั้งสองไปข้างไหน เชงฮองเม่งง้วยตอบว่า พระอาจารย์ของข้าพเจ้านั้น ท่านพรหมง่วนซุ้ยเทียนอุนเชิญขึ้นไปบนสวรรค์ ยังวิมานหมี่หลอฟังวิสัชนาธรรม
 เห้งเจียได้ฟังเชงฮ่องเม่งง้วยบอกดังนั้นก็หัวเราะใหญ่
 หลวงจีน ถังซัมจั๋งเห็นดังนั้น จึงบอกสานุศิษย์ให้ออกไปหาเตาจะได้หุงต้ม เห้งเจียโป๊ยก่ายได้ฟังอาจารย์ สั่งดังนั้น ก็พากันออกมาที่หอกลางไปข้างห้องหออาศัย ที่โรงครัวจัดแจงหุงต้ม ฝ่ายเชงฮองเม่งง้วย จึงถามว่าท่านอาจารย์คือเป็นพระที่อยู่เมืองจีน ชื่อถังซัมจั๋งจะไปอาราธนาพระไตรปิฎกใช่ หรือไม่ หลวงจีนถังซัมจั๋งบอกว่า อาตมภาพนี้แล คือพระถังซัมจั๋ง เหตุใดท่านทั้งสองจึงรู้จักชื่ออาตมภาพเล่า
 เชงฮองเม่งง้วยจึงบอกว่า อาจารย์ของข้าพเจ้า เมื่อท่านจะไปได้สั่งไว้ว่า ท่านอาจารย์จะมาถึงที่นี่ สั่งให้ข้าพเจ้า ทั้งสองนิมนต์ท่านพักก่อน ขอท่านอาจารย์ได้นั่งคอย ข้าพเจ้าจะไปเก็บผลไม้เล็กน้อยมาถวาย เชงฮองเม่งง้วย ก็คำนับลาเข้าไปในห้อง หยิบไม้ขอทองเอาแพรปูรองถาด ครั้นแล้วคนทั้งสองก็พากันออกจากห้อง เดินตรงไป ยังสวนดอกไม้ ข้ามพ้นสวนดอกไม้ไปบัดเดี๋ยวก็มาถึงที่ต้น (ยิ่นเซี่ยมก๊วย) เชงฮองก็ปีนขึ้นไปบนต้น เอาไม้ ตะกร้อทองเกี่ยวผลยิ่นเซียมสองผลขยับสั่น ผล (ยิ่นเซียมก้วย) ก็หล่นลงมาในตะกร้อ เม่งง้วยเอาถาดรองรับ ไว้ในถาด แล้วคนทั้งสองก็พากันเดินกลับมายังสำนัก จึงนำถวายหลวงจีนถังซัมจั๋ง แล้วพูดว่าที่สำนักนี้ไม่มีสิ่ง ใดจะถวาย มีแต่ผลไม้เล็กน้อยอย่างนี้ นิมนต์ท่านฉันพอเป็นยาปฏิชีวนะ
 หลวงจีนถังซัมจั๋งแลไปในถาด จิตใจให้ไหวสั่นถอยหลังออกมาสามก้าวแล้วพูดว่า ปีนี้ไร่นา ข้าวปลาก็บริบูรณ์ ทำไมตำบลนี้แห้งแล้งหรือ จึงเอาเด็กพึ่งคลอดได้สามวันมาให้อาตมาฉัน จะควรหรือ เชง ฮองได้ฟังหลวงจีนถึงซัมจั๋งพูดดังนั้น แลทั้งมีกิริยาสะดุ้งหวาดไม่รู้จักของวิเศษ เม่งง้วยเห็นดังนั้น ก็เดินเข้ามา ใกล้บอกว่าท่านอาจารย์ยังไม่ทราบ ผลไม้นี้นามเรียกว่า ยิ่นเซียมก้วยผลนั้นเกิดอยู่บนต้น
 หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ท่านทั้งสองทำไมจึงพูดไพร่เผลอดังนั้นเล่า ต้นไม้จะมาเกิดเป็นคน มีหรือ จงเอาไปเสียเถิดอาตมฉันไม่ได้ เชงฮองเม่งง้วย ฟังหลวงจีนพูดดังนั้น ก็ไม่รู้ที่จะทำประการใด จึงยกถาด ผลไม้กลับเข้าไปในห้อง เชงฮองเม่งง้วยจึงพูดว่า ผลไม้นี้จะไว้ช้าไม่ได้จะเสีย กินไม่ได้ เราทั้งสองแบ่งกันคนละ ผล พูดแล้วก็ต่างคนกินคนละผล
 เชงฮองเม่งง้วยนั่งกินผลไม้อยู่ในห้อง ฝาห้องติดกับโรงครัว
 โป๊ยก่ายกำลังหุง ต้มอยู่ในครัวได้ยินเชงฮองเม่งง้วย กระซิบพูดกันเมื่อตะกี้ เอาไม้ขอแลถาดไปใส่อะไรที่ไหน แลได้ยินว่าพระถัง ซัมจั๋งไม่กล้ากินผลยิ่นเซียมก้วย คนทั้งสองเอากลับไปในห้องแบ่งกันกินเสีย โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นน้ำลายไหลโดย ความที่อยากกิน ทำไมเราจะได้สักผลหนึ่งมากินแก้อยาก ตัวเองก็ยังกังวลหุงต้มอยู่ไม่รู้ที่ว่าจะทำประการใด จึง นั่งคอยเห้งเจียมาจะได้ปรึกษากัน บัดเดี๋ยวเห้งเจียก็จูงม้ามาผูกที่โคนต้นไม้ แล้วก็เดินเลยไปข้างหลังสำนัก
 โป๊ย ก่ายแลเห็นเห้งเจียเดินไปจึงกวักมือร้องเรียกว่า พี่เห้งเจียกลับมานี่ก่อน ๆ เห้งเจียหันหน้ากลับมายังโรงครัว จึงถามว่าอ้ายกินรำมึงเรียกทำไม โป๊ยก่ายว่าที่สำนักนี้มีของวิเศษแกจะรู้อะไร เห้งเจียถามว่าของวิเศษอะไรที่ไหน โป๊ยก่ายบอกว่าคือผลยิ่นเซียมก้วยแกเคยเห็นบ้างหรือ เห้งเจียได้ยินก็ตกใจแต่ที่จริงไม่เคยได้เห็น เป็นแต่เคยได้ฟังเขาเล่าให้ฟังว่าผลยิ่นเซียมก้วยนี้ เขาเรียกว่า (เช้าฮ่วนตัน) คือยาวิเศษถ้าได้กินแล้วอายุยืนนานเดี๋ยวนี้ที่ไหนจะมี เป็นของ หายากนัก โป๊ยก่ายบอกว่าในที่สำนักนี้มี หนุ่มน้อยทั้งสองนั้นเอามาสองผลถวายพระอาจารย์ ๆ พูดว่า เด็กทารกพึ่งออกได้สามวันพระอาจารย์ไม่กล้ากิน
 เขาทั้งสองพูดอ้อนวอนให้กินพระอาจารย์ก็ ไม่รับประทานแล้วท่านก็ไม่บอกได้เรารู้ด้วย หนุ่มน้อยสองคนเอาไปซ่อนกินไม่ให้พวกเรารู้ เรา ทำอย่างไรจะได้กินบ้างสักผลหนึ่ง ข้าคิดว่าเราไปเที่ยวค้นดู ถ้าพบแล้วเก็บเอามากินสักสอง สามผลจะเป็นอย่างไรบ้างก็จะได้รู้กัน เห้งเจียพูดว่าถ้าดังนั้นก็ไม่สู้ยากอะไรนัก เป็นธุระพี่จะไปเที่ยวค้นดู ถ้าพบแล้วพี่เอามากินเล่น พูดแล้วก็เดินออกไป โป๊ยก่ายยึดไว้ว่าอย่าเพิ่งก่อนข้าพเจ้าได้ยินมันพูดกันว่า เอาอะไรเป็นไม้ตะกร้อในห้องไปสอย เห็นจะต้องเอาสิ่งนั้นไปเก็บจึงจะได้ดอกกระมัง พี่จงแอบเข้าไปดูก่อน เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงพูดว่าพี่เข้าใจได้
 เห้งเจียจึงร่ายมนต์บังตามิให้เห็นตัว แล้วก็เดิน เข้าไปในห้อง เวลานั้นเชงฮองเม่งง้วยมิได้อยู่ในห้อง เห้งเจียสอดตามองรอบห้องแลเห็นไม้ขอทองที่บนประตูห้อง แขวนอยู่ ยาวประมาณสองแขนเศษ ข้างหนึ่งใหญ่ข้างหนึ่งเล็ก ผ้าแพรสีต่าง ๆ พันคันขอ เห้งเจียเห็นแล้วก็คิด ว่าเห็นจะเป็นไม้อันนี้เอง จึงเดินเข้าไปหยิบเอามาเดินดูไปในสวนจนข้ามสวนดอกไม้ไปถึงสวนต้นไม้ใหญ่ ดูกิ่งก้าน ออกเขียวรื่นไปทั้งหมู่ ผลแลดอกออกฉ้อดูงดงามยิ่งนัก เห้งเจียก็เดินมาใกล้ต้นยิ่นเซียมก้วยยืนอยู่ที่โคนต้น แลขึ้น ไปดูบนต้นเห็นข้างทิศอาคเนย์นั้นมีกิ่งมีผลห้อยอยู่ พิจารณาดูดังทารกแดง ๆ ผลนั้นติดอยู่ปลายกิ่งห้อยแกว่ง กวัดตามลม 
 เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความยินดีหาที่เปรียบมิได้ ก็ปีนขึ้นบนต้นไม้นั้นจนถึงยอดเอาไม้ตะกร้อสอย ลูกหนึ่งพอบิดผลยิ่นเซียมก้วยก็หล่นตกลงมายังพื้นดิน เห้งเจียก็กระโดดตามลงมาค้นหาดูรอบในที่นั้นก็ ไม่เห็น แหวกหญ้าดูก็ไม่มีร่องรอยอะไรเลย เห้งเจียนึกว่าผลไม้นี้มีตีนเห็นจะเดินหนีได้โดยจะหนีไปก็ไม่พ้น ประหลาดจริง ๆ ทำไมจึงหาไม่เห็น จึงคิดว่าชะรอยพวกพระภูมิเจ้าที่ ๆ รักษาในสวนนี้ จะไม่ยอมให้เราลักผลยิ่น เซียมก้วยจึงเก็บเอาไปซ่อนเสีย พูดแล้วก็อ่านคาถาเรียกพระภูมิเจ้าที่ในเขตนั้น บัดเดี๋ยวพระภูมิก็มาพร้อมกัน คำนับแล้วถามว่า ท่านใต้เซียเรียกพวกข้าพเจ้ามานี้มีกิจธุระจะสั่งเสียอะไรหรือ
 เห้งเจียพูดว่าท่านทั้งหลายไม่รู้ ข้าพเจ้าลือรอบจักรวาล คือเป็นหัวขโมยใหญ่ บนสวรรค์นั้น ลักชมพู่ ลักสุราของเง็กเซียงฮ่องเต้และลักยาวิเศษ ของท้ายเสียงเล่ากุน ผู้ใดก็ไม่กล้าจะขัดขวางอะไร บัดนี้ ข้าพเจ้าขโมยเก็บผลไม้ผลหนึ่ง ทำไมพวกท่านเอาของเราไปซ่อนเสียที่ไหน ผลไม้ก็เป็นของอยู่กลางอากาศเกิดขึ้น ควรจะแบ่งให้เรากินสักผลหนึ่ง จะเสียหายสักเท่าใด เราพึ่งสอยลงมาผลหนึ่งเท่านั้นทำไมจึงเก็บเอาไปซ่อนเสีย ที่ไหน
 พระภูมิเจ้าที่ทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงบอกว่า ท่านใต้เซียเห็นผิดเสียแล้ว พวกข้าพเจ้า เป็นแต่เจ้าผีซึ่งสิ่งผลไม้วิเศษอย่างนี้พวกเทวดาเซียนเขาอาจทำได้ พวกข้าพเจ้าจะเอาไปที่ไหนได้แต่จะดมกลิ่นก็ ไม่ได้ดม เห้งเจียถามว่าถ้าพวกท่านไม่ได้เอา เราสอยตกลงมาแล้วจะหายไปข้างไหนเล่า พระภูมิเจ้าที่ บอกว่าใต้เซียทราบแต่ของวิเศษไม่ทราบที่พื้นนี้ขัดแก่เบ็ญจธาตุเหงาเฮ้งอยู่ เห้งเจียถามว่าเหตุใดจึงมีขัดข้อง พระภูมิเจ้าที่จึงตอบว่าผลไม้นี้ถูกธาตุทองก็หล่นถูกธาตุไม้ก็เหี่ยวถูกน้ำก็แปรสูญ ถูกธาตุไฟก็เผาละเอียดถูกธาตุดิน ก็มุดสูญไป เวลาจะเก็บก็ต้องเอาทองทำไม้สอยหล่นแล้วก็ต้องเอาถาดและเอาแพรและสำลีรองรับผลไม้ไว้ ผลไม้จึงจะมิได้แปรปรวน ถ้าผลไม้เหี่ยวแห้งกินอายุก็ไม่ยืนนาน
 ท่านใต้เซียไม่ทราบเพราะฉะนั้นสอยตกถูกดินจึง ได้อันตรธานหายไป เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงเอากระบองเหล็กกะทุ้งดินงัดขึ้นดูก็ไม่เห็นจึงพูดว่าเห็นจะเป็นจริงดังท่านพูด ข้าพเจ้าผิดเอง ท่านทั้งหลายจงกลับไปเถิด พวกพระภูมิเจ้าที่ก็พากันกลับไป เห้งเจียจึงปีนขึ้น ไปบนต้นไม้มือหนึ่งจับขอสอย มือหนึ่งเอาผ้าผูกคอทำเป็นถุงรับ สอยลงมาได้สามผลแล้วก็กระโดด กลับลงมา ไปยังที่ห้องครัวแก้ห่อออกมาให้โป๊ยก่ายดู แล้วพูดว่าผลไม้นี้จะต้องแบ่งให้เท่ากัน โป๊ยก่ายจงเรียกกันมาให้พร้อมกันดูเล่นเป็นขวัญตา โป๊ยก่ายจึงออกไปจากห้องเรียกซัวเจ๋งมา
              ครั้นพร้อมเห้งเจียจึงขยายห่อออกถามว่า ผลไม้อย่างนี้พี่น้องเคยเห็นที่ไหนมีบ้างหรือ ซัวเจ๋งบอกว่าข้าพเจ้าเคยเห็นแต่ไม่เคยได้กิน ครั้งก่อนเมื่อข้าพเจ้าอยู่บนสวรรค์ เคยเห็นเทพยดา ตามป่าหิมพานต์นำมาถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ เมื่อเวลาแซยิดนั้นก็ได้เคยเห็นทุกครั้ง ซัวเจ๋งจึงพูดว่าถ้ากระนั้นพี่ให้ ฉันสักผลหนึ่ง เห้งเจียว่าน้องไม่ต้องขอจะต้องแบ่งกันคนละผล เห้งเจียหยิบผลยิ่นเซียมก๊วยให้โป๊ยก่ายและ ซัวเจ๋งคนละผลต่างคนต่างกิน
 โป๊ยก่ายปากกว้างเอาผลไม้ใส่ปากแล้วกลืนเข้าไปในท้องแล้วถามคนทั้งสองว่า กลิ่น รสชาติเป็นประการใดบ้าง เห้งเจียว่าตัวกินเข้าไปแล้วจะมาถามใครอีกเล่า ลิ้นตัวไม่มีดอกหรือจึงไม่รู้สึกว่ารสชาติเป็น ประการใด โป๊ยก่ายบอกว่ากลืนเข้าไปเร็วนักไม่ทันจะรู้ว่ามีเมล็ดหรือไม่มีก็ไม่ทราบ อยากจะให้พี่ไปเอามาอีกสัก ผลหนึ่ง ค่อย ๆ กินจึงจะได้รู้รสว่าเป็นประการใด เห้งเจียพูดว่าน้องทำไมจึงไม่รู้จักพอ ที่พี่น้องเราได้กินคนละผล ก็พอเป็นนิสัยปัจจัยอันใหญ่ยิ่งมิใช่การเล็กน้อย เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็มิได้ไปเก็บผลไม้อีก
 ฝ่ายโป๊ยก่ายยังบ่นไม่หยุดปาก พูดแต่เรื่องกินผลยิ่นเซียมก๊วยบังเอิญเชงฮองเม่งง้วยกลับมาใน ห้องนั่งอยู่ ได้ยินเสียงโป๊ยก่ายบ่นว่า ทำไมหนอจะได้กินผลยิ่นเซียมก๊วยอีกสักผลหนึ่ง ให้อร่อยลิ้นจึงจะดี
 เชง ฮองได้ยินดังนั้น ก็มีความสงสัยจึงพูดแก่เม่งง้วยว่า อ้ายปากหมูมันพูดอะไรว่า อยากจะกินยิ่นเซียมก๊วยอีก สักผลหนึ่ง เมื่อท่านอาจารย์จะไปนั้นก็ได้สั่งไว้ว่า ให้ระวังสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋งมันมักซุกซน นี่เห็น มันจะขโมยเก็บผลยิ่นเซียมก๊วยมากินเข้าไปแล้วดอกกระมัง เม่งง้วยจึงหันหน้าไปดูไม้ขอทองเห็นตกอยู่กับพื้นจึง ร้องบอกแก่เชงฮองว่าเห็นจะไม่เป็นการแล้ว ไม้ตะกร้อทำไมจึงพลัดตกลงมาอยู่กับพื้น เราพากันไปดูที่สวน จะ มีเหตุการณ์อะไรบ้าง พูดกันแล้วเชงฮองกับเม่งง้วยก็พากันออกจากห้องไปยังสวน
 ครั้นถึงจึงแลขึ้นไปดูบนต้นไม้ ตลอดมา เห็นยังเหลืออยู่ยี่สิบสองผล เม่งง้วยพูดว่า ผลไม้มีอยู่สามสิบผล ท่านอาจารย์เก็บกินสองผล เรา เก็บถวายพระถังซัมจั๋งสองผล ก็ยังเหลืออยู่ยี่สิบหกผลจึงจะถูก นี่ทำไมจึงยังเหลืออยู่แต่ยี่สิบสองผลเล่า จะมี ขาดหายไปเสียสี่ผลหรือ ไม่ต้องสงสัยเลยอ้ายพวกศิษย์พระนั้นเองคงจะขโมยกินเป็นแน่ จำเราจะไปต่อว่าแก่ หลวงจีนผู้อาจารย์จึงจะชอบ ว่าแล้วก็พากันเดินกลับมายังสำนักหอหน้า ครั้นถึงก็เดินขึ้นบนหอแล้วชี้หน้าหลวงจีนถังซัมจั๋งว่า พวกอ้ายโล้นหน้าโล้นหลังสกปรกไม่มีดี เชงฮองเม่งง้วยทั้งด่าทั้งว่าด้วยถ้อยคำอันอยาบช้า
 หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นคนทั้งสอง มาชี้หน้าว่ากล่าวหยาบหยามอย่างนั้น ก็มิได้รู้ว่าเหตุผลต้นปลาย เป็นประการใด จึงถามเชงฮองเม่งง้วยว่าท่านทั้งสองมีความร้อนใจอะไรหรือ เชงฮองพูดว่ายังจะทำหูหนวกไปอีก หรือ ขโมยผลไม้ยิ่นเซียมก๊วยไปกินเสียสี่ผลแล้วจะไม่ให้เราพูดจะได้หรือ หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า ผลยิ่นเซียมก๊วยนั้นรูปร่างเป็นอย่างไรเรายังหารู้จักแลเข้าใจไม่ เม่ง ง้วยบอกว่าเมื่อตะกี้นี้เอามาให้ท่านกินท่านว่าเด็กทารกพึ่งเกิดนั้นมิใช่หรือ
 หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า อนิจจัง อนิจจา เมื่อตะกี้นี้ข้าพเจ้ากลัวมิอาจเข้าใกล้ เหตุใดจึงจะไปลักกินเข้าไปได้เล่า ท่านพูดดังนี้จะมิผิดไปหรือ เชงฮองจึงพูดว่า ท่านไม่กินก็พวกสานุศิษย์ของท่านขโมยเอาไปกิน หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงว่า ถ้ากระนั้นเห็นจะจริงท่านจงคอย อาตมภาพจะเรียกมาถามดู ถ้าได้ขโมยจริงดังท่านว่าก็มีความผิด ว่าแล้วหลวง จีนถังซัมจั๋งก็เรียกศิษย์ทั้งสาม ซัวเจ๋งได้ยินพระอาจารย์เรียกก็ตกใจ จึงพูดว่าเห็นจะไม่ชอบกลเสียแล้วคงจะเกิด ความด้วยเรื่องผลไม้นี้เอง
 เห้งเจียพูดว่า โทษขโมยของกินมีความผิดมากกว่าฆ่าคนตาย เขาจะลือว่าพวกเราขโมยกินตาย ถึงหนักหนาอย่างไรพวกเราอย่ารับ โป๊ยก่ายว่าถ้าอย่างนั้น เราพร้อมใจกันอย่ารับก็แล้วกัน พูดปรึกษากัน ตกลงแล้ว เห้งเจียโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งก็พร้อมกันขึ้นไปบนหอนั่ง

25 พฤษภาคม 2568

[จบ.เล่ม 1] ตอนที่ 23 ไซอิ๋ว นวนิยาย

    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖    
     ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่   
(บทที่ ๒๓)   ตรงไปตามแนวป่าต้นผลไม้มีดอกออกช่อดกอุดม เดินพลางชมพลางเวลานั้นก็จวนจะเย็น หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามเห้งเจียว่า เวลานี้ก็จวนจะค่ำแล้ว เราจะหาที่พักอาศัยแห่งใดดีเล่า เห้งเจียว่าพระอาจารย์จะถามทำไมแก่ที่อาศัย เราเป็นสมณะเพศแล้ว ตามแต่จะเป็นไปจะกำหนดว่านอนแห่งนั้นแห่งนี้หามิได้ โป๊ยก่ายพูดว่าพี่เดินตัวเปล่าจะรู้ว่าหนักเบาอย่างไร บางวันความทุกข์ความหนักก็อยู่แก่โป๊ยก่าย ๆ ต้องหาบทุกวันไป ใครเหมือนพี่เดินตามเป็นสานุศิษย์จัดให้ข้าพเจ้าเป็นหัวแรง ข้าพเจ้าทราบว่าพี่เห้งเจียมีจิตโอ่โถงไม่ชอบหาบหาม แต่ม้านั้นรูปร่างก็ใหญ่โตมีกำลังรับรองให้พะอาจารย์ขี่แต่องค์เดียวก็ไม่สู้หนักสักเท่าได ถ้าเอาสิ่งของในหาบนี้แบ่งให้บรรทุกสักสองสามสิ่งเห็นจะดี
   เห้งเจียได้ยินโป๊ยก่ายบ่นว่าดังนั้นจึงพูดว่า นี่เจ้าเห็นว่าม้ามันเป็นม้าจริง ๆ หรือ เธอเป็นบุตรที่สามของพระยาเล่งอ๋อง เพราะทำผิดมีโทษบนสวรรค์ เง็กเซียงฮ่องเต้สั่งให้ประหารชีวิต พระโพธิสัตว์กวนอิมขอไว้จึงได้รอดชีวิต จึงให้แปลงเป็นม้าไว้สำหรับขี่ไปประเทศไซทีเอาคุณลบล้างโทษ โป๊ยก่ายอย่าไปเกี่ยวข้องถึงเธอเลย
   ซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงถามว่านี่มังกรแปลงเป็นม้าจริงหรือ เห้งเจียตอบว่าจริงดังนั้น
   โป๊ยก่ายถามว่า ข้าพเจ้าได้ยินเขาพูดกันว่ามังกรนั้นมี่ฤทธาอานุภาพทำเมฆฝนแลทำอำนาจแผลงฤทธิ์ให้น้ำในท้องมหาสมุทหวั่นไหวไปทุกประการก็มี นี่ทำไมจึงเดินหงอย ๆ ไม่แข็งแรง
   เห้งเจียพูดว่า พี่จะบอกให้มังกรออกฤทธิ์ให้ดู ว่าแล้วเห้งเจียก็จับไม้กระบองขึ้นแกว่งกวัดมีรัศมีออกต่าง ๆ ม้ามังกรก็ตกใจคิดว่าเห้งเจียจะตีเอาก็ออกแรงเผ่นห้อไปเร็วดุจสายฟ้าแลบ พระอาจารย์นั่งอยู่บนหลังจับบังเหียนรั้งยอก็ไม่หยุด วิ่งไปชั่วแล่นข้ามพ้นพื้นเขาตลอดไปทางใหญ่จึงหยุด หลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งอยู่บนหลังออกหอบ แลไปข้างหลังเห็นศิษย์ทั้งสามวิ่งตามมาทัน หลวงจีนถังซัมจั๋ง เงยหน้าแลไปข้างหน้า เห็นมีหมู่ไม้สนร่มรื่นสง่างามมีบ้านเรือนอยู่หลายหลังจึงบอกแก่ศิษย์ว่า ข้างหน้านั้นมีหมู่บ้าน จำเราจะไปขออาศัยพักสักคืนหนึ่ง
   เห้งเจียแลไปก็เห็นเป็นเมฆต่าง ๆ สีปกคลุ้มก็รู้ได้ว่าเป็นสำนักของผู้สำเร็จบันดาลขึ้น เห้งเจียก็นิ่งอยู่แต่ในใจ จึงพูดแก่พระอาจารย์ว่าที่ตรงนี้ดีควรจะพักได้ หลวงจีนถังซัมจั๋งก็ลงจากม้าพากันเดินเข้าไปยังประตูนอก พิจารณาดูบนห้องหอล้วนสลักเสลาศิลาเป็นรูปต่าง ๆ แลปิดทองประดับซับซ้อนเป็นลวดรายระบายสีต่าง ๆ
 โป๊ยก่ายพูดว่า ชะรอยว่าจะเป็นบ้านของคนที่มั่งมีใหญ่โตจึงได้ทำอย่างนี้ เห้งเจียจะใคร่เข้าไปหลวงจีนถังซัมจั๋งห้ามว่า อย่าเข้าไปเลย พวกเราเป็นคนถือศีลกินเพล ต้องมีความเกรงใจเจ้าของบ้านจะติฉินได้ คอยให้มีคนเดินออกมา เราจึงค่อยพูดขออาศัรสักคืนหนึ่ง พูดกันดังนั้นแล้วก็นั่งคอยอยู่ที่ข้างแท่นริมประตูสักครู่หนึ่ง เห้งเจียใจร้อนเห็นไม่มีคนเดินออกมาก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปข้างในประตูเหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นหอตึกหลังหนึ่งสามห้อง จึงเดินเข้าไปใกล้ก้าวขึ้นบนตึก พิจารณาดูเห็นห้องหอกลางมีฉากหนังสือจีนสี่ตัวแต่มีเครื่องโต๊ะตั้งเป็นลำดับ และที่บนเสามีเหรียญสลักเป็นตัวหนังสือทองแขวนสองข้างฝาผนัง มีฉากเขียนสี่ฤดูแขวนทั้งสองข้าง ยิ่งพิจารณาดูก็ยิ่งงดงามนัยน์ตา บัดเดี๋ยวได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินข้างในออกมา เป็นผู้หญิงอายุกลางคนถามว่า ผู้ใดเข้ามาในบ้านข้าพเจ้าหญิงหม้ายทำไมเล่า
   เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงตอบว่าข้าพเจ้าคือคนอยู่ ณ ประเทศตะวันออก คือเมืองจีนพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้หลวงจีนถังซัมจั้งไปยังประเทศไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บัดนี้ข้าพเจ้าศิษย์กับอาจารย์สี่คนมาถึงที่นี้ ก็จวนเวลาค่ำจะขออาศัยพักสักคืนหนึ่ง ขอท่านได้กรุณา พรุ่งนี้เช้าก็จะลาท่านไป
   หญิงหม้ายได้ยินเห้งเจียเล่าบอกชี้แจงให้ฟังดังนั้น ก็มีความศรัทธา จึงถามว่า บัดนี้ท่านทั้งสามนั้นอยู่ที่ไหนเล่า ขอเชิญท่านเข้ามาข้างในนี้เถิด เห้งเจียจึงได้ร้องนิมนต์ด้วยเสียงอันดังว่า เชิญพระอาจารย์เข้ามาในนี้เถิด
   หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ยินเห้งเจียรองนิมนต์ดังนั้น ก็พร้อมด้วยโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งยกหาบจูงม้าเข้าไปข้างใน ครั้นถึงหลวงจีนถังซัมจั๋ง จึงเดินขึ้นไปบนหอนั่ง หญิงหม้ายก็ออกมาเชิญเข้าไปข้างใน
   โป๊ยก่ายตามหลังอาจารย์ขึ้นไป ตาเขม่นดูหญิงหม้ายคนนั้นเห็นสวยงามดุจหญิงพึ่งแรกรุ่น หลวงจีนถังซัมจั๋ง ครั้นขึ้นมาบนหอนั่งหญิงหม้ายก็เชิญให้นั่งที่อันสมควร สักประเดี๋ยวมีเด็กสาวน้อยยกถาดน้ำชาออกมาวางบนโต๊ะ หญิงเจ้าของบ้านจึงนิมนต์ให้หลวงจีนถังซัมจั๋งฉันน้ำชาและสานุศิษย์ทั้งสามก็นั่งเก้าอี้รับประทานน้ำชา
   หลวงจีนถังซัมจั๋งถามว่า ท่านสีกาโยมนั้นแซ่อะไรชื่อใดตำบลนี้มีนามอย่างไร
 หญิงเจ้าของบ้านบอกว่าตำบลนี้คือทิศปราจิณ ประเทศนี้เป็นประเทศทิศตะวันออกนามเรียกว่าตั๋งอิ้น ข้าพเจ้าแซ่โก๊สามีข้าพเจ้าแซ่ป๊อดบิดามารดาล่วงไปแล้ว ข้าพเจ้าสามีภรรยาปกครองรักษาทรัพย์สมบัติไร่นาก็มีมาก ข้าพเจ้าไม่มีบุตรผู้ชายมีแต่บุตรผู้หญิงสามคน สามีข้าพเจ้าถึงแก่กรรมตัวข้าพเจ้าเป็นหม้าย เลี้ยงบุตรอยู่จนทุกวันนี้ ทรัพย์สินก็บริบูรณ์มั่งคั่ง วงศาคณาญาติหามีไม่ ข้าพเจ้าต้องเป็นธุระรักษาไป บุตรสาวทั้งสามคนคิดจะใคร่ให้ออกเรือนไปมีสามีดูก็ยากนัก บัดนี้ท่านมาถึงนี่ก็ดีแล้ว รวมทั้งถูกศิษย์อาจารย์ก็เป็นสี่คน ข้าพเจ้าแม่ลูกรวมสี่คน ใจข้าพเจ้าอยากจะใคร่ขอให้ท่านเป็นสามีเห็นจะดีหรือไม่ ใจท่านจะเห็นเป็นประการใด ข้าพเจ้าก็ยังไม่ทราบในใจท่าน
   หลวงจีนถังซัมจั๋ง ได้ฟังนางพูดดังนั้นก็มิได้พูดโต้ตอบว่ากระไร ดุจคนใบ้หูหนวกหลับตาระงับจิตนั่งนิ่งอยู่
   หญิงนั้นเห็นหลวงจีนทำกิริยาอย่างนั้น จึงพูดต่อไปอีกว่าอันมรดกที่มีนั้น คือ นากว่าสามร้อยไร่ นาป่าก็กว่าสามร้อยไร่ เรือกสวนก็กว่าสามร้อยขนัด ผลไม้มีสารพัด โคกระบือตั้งฝูงใหญ่ หมู่แพะแกะเป็ดไก่นับไม่ถ้วน เครื่องภาชนะใช้สอยแพรผ้าสีต่าง ๆ เข้าปลาตั้งยุ้งฉาง เครื่องเพ็ชรนิลจินดา แก้วแหวน เงิน ทองมีมากหลาย หากว่าจะใช้สอยกินอยู่นุ่งห่มสักสามชั่วคนก็ไม่หมด ส่วนท่านอาจารย์กับศิษย์สามคน แม้ว่าจะเห็นแก่ข้าพเจ้าแม่ลูกปลงใจอยู่ด้วยข้าพเจ้า ก็จะมีความเจริญสุขสถาพร หากจะดีกว่าที่จะไปไซทีให้ลำบากเปล่า ๆ
   หลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งนิ่งไม่โต้ตอบว่ากระไร หญิงนั้นก็พูดต่อไปว่า ข้าพเจ้าปีกุน ปีนี้ได้สี่สิบห้าแล้ว บุตรสาวคนใหญ่อายุได้ยี่สิบชื่อว่านางจินๆ บุตรคนที่สองอายุได้สิบเก้าปีชื่ออ๋ายๆ บุตรคนสุดท้องนั้นอายุได้สิบหกปีแล้วชื่อนางหลินๆ บุตรทั้งสามนี้ก็ยังไม่มีสามี ตัวข้าพเจ้านี้หากว่าไม่สวยไม่งาม ก็แต่บุตรทั้งสามนั้นรูปร่างสวยงามผิวพรรณผุดผ่อง การเย็บทอปักชำนาญทำได้ทุกอย่าง เพราะไม่มีบุตรชายตั้งแต่ยังเยาว์ สามีข้าพเจ้าให้เรียนหนังสือ จัดแต่งเป็นกลอนเป็นโคลงเป็นฉันท์ก็ทำได้ ถึงอยู่ประเทศบ้านนอกอย่างนี้ก็จริง แต่ความรู้วิชาและการกิริยามารยาทก็พอคล้ายคลึงแก่ชาวพระนคร ท่านทั้งสี่แม้ว่าสมัครรักใคร่กับด้วยข้าพเจ้าแม่ลูกแล้ว ก็จะมีความสุขกายสุขใจอยากนุ่งก็มีนุ่งอยากกินก็มีกินเป็นที่ถาวรวัฒนาการที่สุด จะมาคิดเห็นดีอะไรแก่หม้อบาตรเหล็กนุ่งห่มผ้าย้อมกรักอย่างนั้น จะวิเศษด้วยข้ออะไรมี
   หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังหญิงหม้ายพูดพรรณนาดังนั้น สีหน้าสลดให้ตกใจหวาดเสียวสะดุ้ง ดุจทารกได้ยินเสียงฟ้าร้องไห้งม ๆ เซอะ ๆ หวั่นไหวกายสั่นระรั้วนั่งนิ่งสะกดใจสำรวมอยู่มิได้พูดจาว่ากระไร
   โป๊ยก่ายนั่งอยู่บนเก้าอี้ ได้ฟังหญิงหม้ายพูดอวดความมั่งมี รูปศรีสวยๆ งามดังนั้น จิตใจให้คันเหลือจะทนได้ นั่งไม่เป็นสุขเหลียวซ้ายแลขวา มือเท้าให้ไหวติงไปทั้งกายอดอยู่ไม่ได้ ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินมาสะกิดพระอาจารย์ว่า นางหญิงหม้ายทำซึ่งความดีมาจะใคร่ผูกสมัครทำไมตรี ทำไมอาจารย์จึงนิ่งทำเฉยไม่พอใจอย่างนั้นเล่า
   หลวงจีนถังซัมจั๋ง ได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงหันหน้ามาตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายสัตว์เดรัจฉานทำสู่รู้ ไม่รู้จักอะไร อาตมาเป็นสมณะรักษาเพศบรรพชิต ประพฤติพรตพรหมจรรย์ จะเอาความมั่งมีมาทำให้จิตเศร้าหมองควรอยู่หรือ จะเอารูป รส กลิ่น เสียง มามัดผูกเราได้หรือ เขาพูดว่ากระไรก็ช่างเขาเป็นไร ใยเขามิพูดไปช่างเขาเถิด
 ฝ่ายนางหญิงหม้ายได้ยินพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น จึงหัวเราะแล้วพูดว่า คิดดูก็น่าสงสารคนที่บวชนั้นจะมีความดีอะไรที่ไหน
 หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า ก็ท่านสีกาโยมอยู่กับบ้านนั้นจะมีความดีอะไรเล่า หญิงหม้ายตอบว่าขอมิมนต์ท่านนั่งฟังไว้ ข้าพเจ้าจะชี้แจงให้ท่านฟังก็ทำไมจึงจะทราบได้ จำจะต้องทำคำโคลงเป็นคำหนึ่งที่ท่านกล่าวไว้ว่า (ชุนจ๊ายฮองเสงเตี๊ยดซิมล้อ) แปลว่าฤดูเดือนสามเดือนสี่เดือนห้าสวมแพรโล่
   คำที่สองว่า (ที้อ้วยกิมแซเสียงเล็กฮ้อ) แปลว่าฤดูเดือนหกเดือนเจ็ดเดือนแปดใส่แพรบางกินน้ำแช่ใบยาเย็น
   คำที่สามว่า (ชิวอิ๊วชินโซเฮียงจุดจี๊ว) แปลว่าฤดูเดือนเก้าเดือนสิบเดือนสิบเอ็ด ใส่เสื้อแพรจินเจาดอกกินเล่าข้าวเหนียวหอมโอชารส
   คำที่สี่ว่า (ตังไล้น่วนก๊อกจุ๋ยงั่นท้อ) แปลว่าฤดูเดือนสิบสองเดือนอ้ายเดือนยี่ เข้านอนในหออุ่นเมาเพลิน
   คำที่ห้าว่า (สี่ซี้ซิวเอ่งปัน ๆ อิ๊ว) แปลว่าสี่ฤดูประสงค์ของมีพร้อม
   คำที่หกว่า (โป๊ยเจียดเตียนซูเกี๋ยเกี๋ยโต) แปลว่าแปดหน้าของบริโภคมีรสมีทุกสิ่ง
   คำที่เจ็ดว่า (ชิมกิมโพหลินฮวยเจ็กแม้) แปลว่าเครื่องใส่แพรสีมีต่าง ๆ กลางคืนมีไฟตามตั้งสีสว่างไสว
   คำที่แปดว่า (เขี่ยงยู่เห้งเกียดเหลยมิท้อ) แปลว่าดียิ่งกว่าที่คนไปไหว้พระพุทธมิท้อ
   นางหญิงม่ายอ่านคำโคลงชี้แจงให้หลวงจีนถังซัมจั๋งฟังดังนั้นแล้ว หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่าท่านสีกาโยมพูดดังนั้นก็ดีแต่อยู่กับบ้าน เป็นฆาราวาสรับซึ่งความสวยงามบริโภคกามคุณสุขกายสุขตา จะนุ่งห่มก็บริบูรณ์จะกินก็เครื่องคาวหวานโอชารสอิ่มเอิบ บุตรสาวก็พรักพร้อมบริบูรณ์ดังนั้นเอาเป็นจริง แต่ท่านหาได้ทราบในความดีของสมณะกิจผู้ระงับบาปไม่ แม้ว่าพูดกันทำไมจะรู้ได้ ต้องเอาโคลงเป็นพยานจึงจะรู้กันได้ ดังเราจะนำมากล่าวให้ท่านฟังบ้าง
   คำที่หนึ่งว่า (ชุดเกียหลิบจี่ปุ่นเพียเซี้ยง) แปลว่าเข้าอุปสมบทบวชนั้นตั้งความเพียรไม่เหมือนอย่างโลก
   คำที่สองว่า (ซีเก่าช่งเจ๊ยอินอั่ยต๋อง) แปลว่าสละความรักใคร่และเย้าเรือนเคหา
   คำที่สามว่า (วั่วม้วยปุ๊ดแชเอ่ยเก้าจี๊) แปลว่าของนอกไม่เอาเป็นอารมณ์ตามปากลิ้น
   คำที่สี่ว่า (ซิมตังจู้อิ๊วเอี๊ยง) แปลว่ากายตัวก็มีความสุขด้วยอากาศ 
   คำที่ห้าว่า (กังฮวนเห้งมั้วเซียวกิมก่วย) แปลว่าสำเร็จความเพียรเข้าที่ระงับ
   คำที่หกว่า (เม่งซิมกี๊แส่พั่งกู๊เฮียว) แปลว่าจิตสว่างเห็นสันดานเข้าบ้านเดิม
   คำที่เจ็ดว่า (เส่งเจ้อต้อแกทัมฮวยซิด) แปลว่าดีกว่าอยู่กับบ้านกินเลือดเนื้อ
   คำที่แปดว่า (เหลาล้ายจุ๊ยโล๊ะเฉ่าภ่วยลั้น) แปลว่าความชราก็ตกลงในถุงเน่า
   หลวงจีนถังซัมจั๋งพรรณนาความตามในโคลงนั้น ให้นางหญิงหม้ายฟังดังนั้น หญิงนั้นมีความโกรธยิ่งนักจึงพูดว่า สงฆ์ที่เขาทิ้งพูดจาไม่มีสัมมาคารวะ ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าท่านมาจากเมืองใต้ถัง จะไล่ออกไปให้พ้นจากที่ ข้าพเจ้ามีจิตจริงใจเอาเย้าเรือนทรัพย์สมบัติเงินทองมาผูกพันธ์สมัครจะใคร่เป็นที่อาศัยซึ่งกันและกัน นี่ท่านเอาคำอยาบคายพูดให้ข้าพเจ้าเจ็บใจ แม้ว่าท่านเป็นผู้รักษาศีลอุปสมบทตั้งมั่นอยู่ในทางสมณกิจสึกไมใด้ ก็ศิษย์มีเป็นสามคน จะอนุญาตให้อยู่สักคนหนึ่งก็เป็นไร นี่ท่านมาตั้งมั่นทำเอาแต่ใจของท่านผู้เดียวไม่ผ่อนผัน เอาแต่ธรรมเนียมของท่านฝ่ายเดียว
   หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นนางโกรธดังนั้นก็ทำเป็นเกรง ๆ กลัว ๆ จึงร้องเรียกว่าเห้งเจียจะให้อยู่ที่นี่จะรับหรือไม่ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยธุระการบ้านเรือน ขอพระอาจารย์ให้โป๊ยก่ายอยู่เถิด โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นจึงพูดว่าพี่เห้งเจียไม่ควรจะปลูกคนอย่างนั้น สารพัดการต้องผู้ใหญ่ก่อนจึงถูกต้องตามธรรมเนียม หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ถ้าเห้งเจียโป๊ยก่ายไม่ยอมก็ให้ซัวเจ๋งอยู่เถิด ซัวเจ๋งพูดว่าขอพระอาจารย์ได้ทราบ ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งของพระโพธิสัตว์กวนอิมชักนำสั่งสอน แลข้าพเจ้าได้รับสมาทานศีลแล้ว แลสั่งให้ข้าพเจ้าติดตามพระอาจารย์ไป ที่ไหนจะมาหลงรักความมั่งมีนั้นได้ ถ้าโดยที่สุดตายเสียก็จะดีกว่า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าขอตั้งจิตตรงไปได้ถึงประเทศไซที อันการมีจิตประมาทอย่างนี้ข้าพเจ้ารับอยู่ไม่ได้เป็นอันขาด
   หญิงหม้ายเห็นอาจารย์กับศิษย์ทั้งสี่คนนั้นไม่มีใครยอมอยู่เป็นเขยทุกคน นางมีความโกรธผุดลุกจากเก้าอี้เดินเข้าในชั้นในแล้วปิดประตู ทิ้งศิษย์กับอาจารย์ไว้ให้อยู่ข้างนอก น้ำร้อนน้ำชาไม่หาให้กินทั้งสิ้นเงียบสงัดไม่มีผู้คนออกมา
โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นจิตใจให้เศร้าหมอง คิดแค้นพระอาจารย์พูดว่า พระอาจารย์ไม่เข้าการเลย เอาการอะไรมา กล่าวให้ล้างความดีของเราเสีย แม้เขาจะพูดจาว่ากระไรก็ตามแต่ใจเขา เราคอยพูดยกยอผ่อนผันพอได้อิ่มสักมื้อ หนึ่ง พอรุ่งเช้าเราก็จะลาไป
 อันการนั้นมันก็สุดแต่เราพูดให้เสียการอย่างนี้พากันอดอยากเปล่า ๆ ซัวเจ๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นพี่โป๊ยก่ายอยู่รับเป็นลูกเขยก่อนจะสำเร็จการทั้งสิ้น โป๊ยก่ายว่าน้องอย่าพูดปลูกคนอย่างนั้นไม่ดีเลย ซึ่งการทั้งปวงต้องให้ผู้ใหญ่คิดผู้ใหญ่พูดจึง จะดี เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงพูดว่า จะต้องคิดอะไรกับใคร เมื่อกี้นี้เจ้าบอกแก่พระอาจารย์ให้รับเป็นสามี เขา ตัวก็ต้องรับเป็นลูกเขย จะต้องคิดอะไรอีกเล่า แลบ้านนี้ก็มีทรัพย์สินเงินทองมั่งคั่งบริบูรณ์ ทั้งเครื่อง ภาชนะใช้สอย แม้จะแต่งงานทำขันหมากก็พอใช้ จะเลี้ยงดูข้าวของก็บริบูรณ์ตามแต่พวกเราจะรับซึ่งความสุขแล้ว ตัวสึกออกไปเป็นฆราวาสอยู่นั้น ก็เปนสุขอย่างนี้จะมิดีกว่าพวกเราทั้งสองหรือ
 โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงตอบว่า อันความที่พี่พูดก็จริงดังนั้น ข้าพเจ้าสละแล้วจะกลับเป็น ฆราวาสอีกดูกระไรอยู่ สละลูกเมียแล้วแลจะกลับไปหาเมียอีกเล่า ซัวเจ๋งถามว่าพี่เคยมีภรรยาแล้วหรือ เห้งเจียพูดว่าซัวเจ๋งยังไม่รู้ โป๊ยก่ายนี้เดิมอยู่ที่เมืองโอซือก๊ก ดูเป็นลูกเขยของเกาท้ายก๋ง เพราะพี่ปราบปรามจับตัวได้เธอรับศีล เพราะฉะนั้นจึงได้สละภรรยา ตามพระอาจารย์มาจะไปไซที เพื่อนมัสการพระพุทธเจ้า เธอจากเมียมานานแล้ว บัดนี้มา พบปะอาหารเช่นที่เคยอย่างนี้ จึงคิดถึงความหลัง จิตใจก็ประหวัดหวั่นไหว
 เห้งเจียพูดดังนั้นแล้ว จึงเรียกโป๊ยก่ายมาบอกว่า เจ้าจงเป็นลูกเขยเขาเถิด แลเจ้าจงรู้จักคุณของเห้งเจียให้มาก ๆ เถิด จงมาคำนับข้าเสียข้าจึงจะไม่ขัดฅอเจ้า โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่า เอาความอะไรมากล่าวเลอะเทอะอย่างนี้ แม้ถึงตัวพี่ใจ อย่างนั้นก็พอใจเหมือนกัน จะเอาความชั่วมาใส่ให้แต่ข้าพเจ้าคนเดียวอย่างไร
 คำโบราณท่านเปรียบว่าสมณะ นั้นรูปศรีดุจปีศาจ แต่ผู้ใดเล่าจะไม่มีความปราถนา เหตุฉะนี้ ผู้ใดใคร ๆ ก็พูดเอาแต่ที่ดีเอาตัวรอด อ้างความสำเร็จ จนไม่มีน้ำร้อนน้ำชาจะกิน ทั้งข้าวปลาอาหารก็ไม่มีจะกิน ใต้ไฟก็ไม่มีจะจุด จนถึงความอดอยากก็ไม่สู้กระไรนัก มาวิตกด้วยม้าไม่มีหญ้าจะกิน พรุ่งนี้จะต้องรับให้พระอาจารย์ขี่เดินทาง จะเอากำลังที่ไหนพาเดินทางได้ จะ มิต้องถึงลอกหนังม้าดอกกระมัง
 พูดดังนั้นแล้วจึงพูดว่า พี่น้องจงอยู่ที่นี่ไว้ธุระข้าพเจ้าจะไปปล่อยม้าให้ไปเที่ยวกิน หญ้า โป๊ยก่ายก็ลงจากหอไปแก้ม้าจูงเดินไป เห้งเจียจึงบอกแก่ซัวเจ๋งว่า น้องจงอยู่ที่นี่ เป็นเพื่อนพระอาจารย์ พี่ จะไปดูโป๊ยก่ายจะไปข้างไหน เห้งเจียก็ออกจากหอแปลงเป็นแมลงวันบินแอบตัวโป๊ยก่ายไปมิได้รู้สึก ฝ่ายโป๊ยก่ายจูงม้ามาถึงที่มีหญ้า ก็ไม่ปล่อยม้าให้กินหญ้า จูงม้าเลยไปทางประตูหลังบ้านของ หญิงนั้น โดยความตั้งใจจะใคร่พบแก่แม่หญิงหม้าย
 ฝ่ายแม่หญิงหม้ายเวลานั้น กำลังพาบุตรสาวทั้งสามคนไปชมดอกไม้อยู่หลังบ้าน พอแลเห็น โป๊ยก่ายมา บุตรสาวทั้งสามคนก็เดินหลบเข้าไปในประตู แม่หญิงยืนอยู่ที่ประตูจึงถามว่าท่านจะ ไปไหน โป๊ยก่ายตะลีตาลานปล่อยม้าเดินมาพนมมือแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าพาม้ามาจะให้กินหญ้า ขอท่านแม่ได้ทราบ แม่หญิงหม้ายพูดแก่โป๊ยก่ายว่า ท่านหลวงจีนถังซัมจั๋งมัทยัธละเอียดนัก อยู่ที่นี่เป็นบุตรเขย ของข้าพเจ้า จะไม่ดีกว่าที่ไปประเทศไซทีหรือ ไม่ต้องหอบหิ้วให้ลำบากกายลำบากใจ
 โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า อันที่พระอาจารย์นั้น เพราะรับ ๆ สั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ เธอหาอาจอยู่ได้ไม่ เมื่อกี้นี้ก็จะให้ข้าพเจ้าอยู่ด้วยท่านแม่คิดกันแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังเกรงอยู่ กลัวท่านแม่จะติว่าข้าพเจ้าปากยาวหูยาว เพราะฉะนั้นจึงยังเห็นว่าขัดข้องอยู่ แม่หญิงหม้ายได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ติเตียนอะไรดอก เพราะจะใคร่ได้บุตรเขยไว้ใน บ้านสักคนหนึ่ง แต่วิตกว่าบุตรสาวจะมีความเลือกอย่างไรก็ยังทราบไม่ได้ ข้าพเจ้าจะไปลองบอกดูก่อน
 โป๊ยก่ายพูดว่า ขอท่านแม่โปรดบอกแก่แม่น้องด้วยเถิดว่า อย่าเลือกรูปร่างเลย แม้ว่าตัว ข้าพเจ้าหยาบคายก็จริงอยู่ แต่มีวิชาหลายประการนัก จะจัดการบ้านเรือนนั้นเป็นได้หลายอย่าง แม่หญิงหม้ายจึงถามโป๊ยก่ายว่า เจ้ามีวิชาการอย่างไรบอกให้ข้าพเจ้ารู้บ้าง โป๊ยก่ายพูด ว่า ถึงตัวข้าพเจ้ารูปร่างหยาบคายก็จริง แต่ธุระกิจการในบ้านนั้นหมั่นอุตสาหะ แม้ไร่นาก็ไม่ต้องใช้วัวควาย ไถคราด คราดเหล็กของข้าพเจ้ามีอันเดียวก็กระทำให้สำเร็จได้ทั้งสิ้น คราวไม่มีฝนจะทำให้ฝนตกก็ได้ หากไม่มีลม จะทำให้ลมพัดก็ได้ ถ้าตึกบ้านห้องหอต่ำแคบจะทำให้ใหญ่โตสูงกว้างก็ได้ สาระพัดการก็สำเร็จได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
 แม่หญิงจึงพูดว่า ถ้ามีความเพียรและมีวิชาความรู้อย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่ต้องกลับไปตรึกตรอง ปรึกษาหารือกับท่านอาจารย์เสียก่อน ถ้าตกลงเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะรับท่านเป็นบุตรเขย โป๊ยก่ายจึงพูดว่า ไม่ต้องตรึกตรองอะไร แม้พระอาจารย์เล่าก็มิใช่บิดามารดาบังเกิดเกล้า ซึ่ง ธุระนั้นสุดแต่ ใจข้าพเจ้าทั้งสิ้นไม่ต้องไปปฤกษาพาฤๅแก่ผู้ใดอีกต่อไปแล้ว สุดแล้วแต่ใจข้าพเจ้าผู้เดียว
 แม่หญิงได้ฟังโป๊ยก่ายดังนั้น จึงพูดว่าถ้ากระนั้นก็ดีแล้ว ข้าพเจ้าจะบอกให้บุตรเขารู้ตัวเสียก่อน แล้วจึงจะค่อยจัดแจงแต่งงาน พูดดังนั้นแล้วก็เดินเข้าไปข้างในงับประตูหลังบ้าน โป๊ยก่ายก็ไม่พาม้าไปให้กิน หญ้า กลับจูงมาข้างหน้าหอ โป๊ยก่ายหาได้รู้สึกว่าเห้งเจียตามไปฟังความรู้หมดสิ้นทุกประการแล้วไม่ เห้งเจียเมื่อตามไปฟังทราบความตลอดแล้ว ก็กลับมาแจ้งความแก่หลวงจีนถังซัมจั๋งว่า โป๊ยก่ายจูงม้ากลับมา แล้ว หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามโป๊ยก่ายว่า เอาม้าไปปล่อยให้กินหญ้าแล้วหรือ โป๊ยก่ายตอบว่า ไม่มีหญ้างามที่จะให้ม้ากิน
 เห้งเจียจึงพูดขึ้น ไม่มีที่จะให้ม้ากิน แต่มีที่จูงม้าไปเที่ยวได้ โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดกระทบดังนั้นก็คิดว่าการลับของเราคงมีผู้รู้แล้ว ให้คิดระอายแก่ใจยิ่งนักนั่งก้มหน้านิ่ง อยู่ สักครู่หนึ่งก็ได้ยินประตูข้างเปิด แลไปก็เห็นนางหญิงหม้ายพาบุตรสาวเดินออกมามีคนถือโคมนำหน้าออก มา หอมกลิ่นระรื่น ครั้นเดินมาถึงที่น่าหอนั่ง
 แม่หญิงหม้ายจึงบอกบุตรสาวทั้งสามว่า ให้ไหว้คำนับหลวงจีนถัง ซัมจั๋งและเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง บุตรสาวทั้งสามคนได้ยินมารดาบอกดังนั้นก็ยืนรายกันทั้งสามคนคำนับไหว้ พิจารณาลักษณะรูปร่างนางทั้งสามคนนั้น ดุจดังว่านางฟ้าลงมาดิน ยากที่จะหานางใดในมนุษย์โลกนี้มา เปรียบเทียบได้ ฝ่ายอาจารย์สานุศิษย์ทั้งสามสี่คนนั้น ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเมินหน้าไปเสียทางอื่น มิได้รับรอง โต้ตอบประการใด แต่โป๊ยก่ายเมื่อแลเห็นนางทั้งสามคน มีสิริรูปโสภาผ่องใสงดงามดังนั้น
 ในดวงจิตก็ ประวัติ มีความกำหนัดในรูปเกิดขึ้น จิตใจก็ให้งวยงงร่างกายก็กำเริบหวั่นไหว จึงเอื้อนโอฐออกสุนทร วาจาเสียงเบา ๆ ว่า ลำบากแก่ท่านมารดาต้องพานางฟ้าลงมาดิน ขอเชิญให้แม่น้องผู้รูปงามทั้งสามกลับเข้า ไปเถิด นางทั้งสามเมื่อได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นแล้ว ก็คำนับกลับเข้าไปข้างใน เอาโคมเต็งลั้งไว้คู่หนึ่ง ฝ่ายแม่หญิงหม้ายจึงถามว่า ท่านผู้ใดจะพอใจเป็นบุตรเขยข้าพเจ้า ขอเชิญเถิด ซัวเจ๋งได้ยินนางถามดังนั้นจึงตอบว่า ได้จัดเรียบร้อยแล้วคือแซ่ตือชื่อโป๊ยก่ายนั้นแล จะให้เป็นบุตรเขย โป๊ยก่ายได้ยินซัวเจ๋งพูดดังนั้นจึงพูดว่า พี่น้องอย่าเหมาให้เราดังนั้นจะต้อง คิดไตร่ตรองกันก่อนจึงจะชอบ
• • • • • • • • •
จบ.เล่ม ๑ ไซอิ๋ว