Translate

20 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๗ สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ เรื่องสมณุทเทสกัณฑกะ มิจฉาทิฏฐิ [ว่าด้วย สมณุทเทสชื่อกัณฑกะ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๖๗๓]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
    ครั้งนั้น สมณุทเทสชื่อกัณฑกะ มีทิฏฐิทรามเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่าธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ 
ภิกษุหลายรูปได้ทราบข่าวว่า สมณุทเทสชื่อกัณฑกะมีทิฏฐิทรามเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ ภิกษุเหล่านั้นเข้าไปหาสมณุทเทสชื่อกัณฑกะถึงสำนักแล้ว 
    ถามว่า อาวุโส กัณฑกะ ข่าวว่า เธอมีทิฏฐิทรามเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เรารู้ถึงทั่วธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่าธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ ดังนี้ จริงหรือ? 
    ก. จริงอย่างว่านั้นแล ขอรับ ผมรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว ที่โดยประการ ตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ ดังนี้ จริงหรือ? 
    ภิ. อาวุโส กัณฑกะ เธออย่าได้ว่าอย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีแน่ พระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนั้นเลย ธรรมอันทำอันตราย พระผู้มีพระภาคตรัสไว้โดยบรรยายเป็นอันมาก ก็แลธรรมเหล่านั้นอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง 
    สมณุทเทสกัณฑกะ อันภิกษุเหล่านั้นว่ากล่าวอยู่เช่นนี้ ยังยึดถือทิฏฐิทรามนั้น ด้วยความยึดมั่นอย่างเดิม ซ้ำยังกล่าวยืนยันว่า ผมกล่าวอย่างนั้นจริง ขอรับ ผมรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตรายธรรมเหล่านั้น หาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ ดังนี้. 
    เมื่อภิกษุเหล่านั้นไม่อาจเปลื้องสมณุทเทสกัณฑกะจากทิฏฐิอันทรามนั้นได้ จึงพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ. 
ประชุมสงฆ์โปรดให้นานนะ
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้นในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามสมณุทเทสกัณฑกะว่า 
    ดูกรกัณฑกะ ข่าวว่า เธอมีทิฏฐิอันทรามเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ ดังนี้จริงหรือ? 
    สมณุทเทสกัณฑกะทูลรับว่า ข้าพระพุทธเจ้ากล่าวอย่างนั้นจริง พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่. 
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโมฆบุรุษ เพราะเหตุใด เจ้าจึงเข้าใจธรรมที่เราแสดงแล้วเช่นนั้นเล่า ธรรมอันทำอันตรายเรากล่าวไว้โดยบรรยายเป็นอันมากมิใช่หรือ? และธรรมเหล่านั้นอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง กามทั้งหลายเรากล่าวว่ามีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก 
    กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนร่างกระดูก 
    กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ 
    กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนคบหญ้า 
    กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง 
    กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนความฝัน 
     กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนของยืม 
    กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนผลไม้ 
    กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนเขียงสำหรับสับเนื้อ
    กามทั้งหลายเรากล่าวว่า เปรียบเหมือนแหลนหลาว 
    กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนศีรษะงู มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก 
     ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยทิฏฐิที่ตนยึดถือไว้ผิด ชื่อว่าทำลายตนเอง และชื่อว่าประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ข้อนั้นแหละจักเป็นไปเพื่อผลไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล
     เพื่อผลเป็นทุกข์แก่เจ้า ตลอดกาลนาน การกระทำของเจ้านั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเจ้านั่น 
    ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชุมชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแลสงฆ์จงนาสนะสมณุทเทสกัณฑกะ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงนาสนะอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
    เจ้ากัณฑกะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าอย่าอ้างพระผู้มีพระภาคนั้นว่าเป็นศาสดาของเจ้าและสมณุทเทสอื่นๆ ย่อมได้การนอนด้วยกันเพียง ๒-๓ คืนกับภิกษุทั้งหลายอันใด แม้กิริยาที่ได้การนอนร่วมนั้นไม่มีแก่เจ้า เจ้าคนเสีย เจ้าจงไป เจ้าจงฉิบหายเสีย. 
    ครั้งนั้น สงฆ์ได้นาสนะสมณุทเทสกัณฑกะแล้ว. 
   เกลี้ยกล่อมสมณุทเทส
    [๖๗๔] ต่อมา พระฉัพพัคคีย์รู้อยู่ เกลี้ยกล่อมสมณุทเทสกัณฑกะ ผู้ถูกสงฆ์นาสนะอย่างนั้นแล้ว ให้อุปัฏฐากบ้าง กินร่วมบ้าง สำเร็จการนอนด้วยกันบ้าง. 
  บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์รู้อยู่ จึงได้เกลี้ยกล่อมสมณุทเทสกัณฑกะ ผู้ถูกสงฆ์นาสนะอย่างนั้นแล้ว ให้อุปัฏฐากบ้าง กินร่วมบ้าง สำเร็จการนอนด้วยกันบ้างเล่า 
ทรงสอบถาม    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอรู้อยู่เกลี้ยกล่อมสมณุทเทสกัณฑกะ ผู้ถูกสงฆ์นาสนะอย่างนั้นแล้ว ให้อุปัฏฐากบ้าง กินร่วมบ้างสำเร็จการนอนด้วยกันบ้าง จริงหรือ? 
    พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอรู้อยู่ จึงได้เกลี้ยกล่อมสมณุทเทสกัณฑกะผู้ถูกสงฆ์นาสนะอย่างนั้นแล้วให้อุปัฏฐากบ้าง กินร่วมบ้าง สำเร็จการนอนร่วมกันบ้างเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
 พระบัญญัติ
    ๑๑๙. ๑๐. ถ้าแม้สมณุทเทสกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่าเป็นธรรมทำอันตรายได้อย่างไร ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ สมณุทเทสนั้น
     อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส สมณุทเทส เธออย่าได้พูดอย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีดอก พระผู้มีพระภาคไม่ได้ตรัสอย่างนั้นเลย. อาวุโส สมณุทเทส พระผู้มีพระภาคตรัสธรรมทำอันตรายไว้โดยบรรยายเป็นอันมาก 
     ก็แลธรรมเหล่านั้นอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง และสมณุทเทสนั้น อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนั้น ขืนถืออยู่อย่างนั้นเทียว สมณุทเทสนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะอาวุโส สมณุทเทส เธออย่าอ้างพระผู้มีพระภาคนั้นว่าเป็นพระศาสดาของเธอ 
     ตั้งแต่วันนี้ไป และพวกสมณุทเทสอื่นย่อมได้การนอนร่วมเพียง ๒-๓ คืน กับภิกษุทั้งหลายอันใด แม้กิริยาที่ได้การนอนร่วมนั้นไม่มีแก่เธอ เจ้าคนเสีย เจ้าจงไป เจ้าจงฉิบหายเสีย.
 อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ เกลี้ยกล่อมสมณุทเทสผู้ถูกให้ฉิบหายเสียอย่างนั้นแล้วให้อุปัฏฐากก็ดี กินร่วมก็ดี สำเร็จการนอนร่วมก็ดี เป็นปาจิตตีย์. เรื่องสมณุทเทสกัณฑกะ มิจฉาทิฏฐิ จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
    [๖๗๕] ที่ชื่อว่า สมณุทเทส ได้แก่บุคคลที่เรียกกันว่าสามเณร คำว่า กล่าวอย่างนี้คือกล่าวว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่าเป็นธรรม ทำอันตรายได้อย่างไร ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่. 
 [๖๗๖] คำว่า สมณุทเทสนั้น ได้แก่สมณุทเทสผู้ที่กล่าวอย่างนั้น. 
 บทว่า อันภิกษุทั้งหลาย ได้แก่ ภิกษุพวกอื่น คือ พวกภิกษุผู้ได้เห็น ผู้ได้ยินพึงว่ากล่าวว่า อาวุโส สมณุทเทส เธออย่าได้พูดอย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค 
  การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีแน่ 
  พระผู้มีพระภาคไม่ได้ตรัสอย่างนั้นเลย อาวุโส สมณุทเทสพระผู้มีพระภาคตรัสธรรมทำอันตรายไว้โดยบรรยายเป็นอันมาก ก็แลธรรมเหล่านั้นอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สอง พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สาม ถ้าเธอสละได้ การสละได้ดังนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่สละ สมณุทเทสนั้น 
 อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสสมณุทเทส เธออย่าอ้างพระผู้มีพระภาคนั้นว่า เป็นพระศาสดาของเธอตั้งแต่วันนี้ไป และพวกสมณุทเทสอื่น ย่อมได้การนอนร่วมเพียง ๒-๓ คืน กับภิกษุทั้งหลายอันใด แม้กิริยาที่ได้การนอนร่วมนั้นไม่มีแก่เธอ เจ้าคนเสีย เจ้าจงไป เจ้าจงฉิบหายเสีย ดังนี้. 
    [๖๗๗] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด &@ บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
    ที่ชื่อว่า รู้อยู่ คือ รู้เอง หรือผู้อื่นบอกแก่เธอ หรือเจ้าตัวบอก. 
    บทว่า ผู้ถูกให้ฉิบหายเสียอย่างนั้นแล้ว คือ ผู้ถูกสงฆ์นาสนะอย่างนั้นแล้ว. 
    ที่ชื่อว่า สมณุทเทส ได้แก่บุคคลที่เรียกกันว่าสามเณร. 
    บทว่า เกลี้ยกล่อมก็ดี คือ เกลี้ยกล่อมว่า เราจักให้บาตร จีวร อุเทศ หรือปริปุจฉา แก่เธอ ดังนี้, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    บทว่า ให้อุปัฏฐากก็ดี คือ ยินดี จุรณ ดินเหนียว ไม่ชำระฟัน หรือน้ำบ้วนปากของเธอ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    บทว่า กินร่วมก็ดี อธิบายว่า ที่ชื่อว่ากินร่วม หมายถึงการคบหา มี ๒ อย่างคือคบหากันในทางอามิส ๑ คบหากันในทางธรรม ๑ 
    ที่ชื่อว่า คบหากันในทางอามิส คือ ให้อามิสก็ดี รับอามิสก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์ 
    ที่ชื่อว่า คบหากันในทางธรรม คือ บอกธรรมให้ หรือขอเรียนธรรม 
    ภิกษุบอกธรรมให้ หรือขอเรียนธรรม โดยบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ บท 
    ภิกษุบอกธรรมให้ หรือขอเรียนธรรม โดยอักขระ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ อักขระ. 
    คำว่า สำเร็จการนอนร่วมก็ดี อธิบายว่า ในที่มุงที่บังอันเดียวกัน เมื่อสมณุทเทสผู้ถูกสงฆ์นาสนะนอนแล้ว ภิกษุจึงนอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เมื่อภิกษุนอนแล้ว สมณุทเทสผู้ถูกสงฆ์นาสนะจึงนอน ภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือนอนทั้ง ๒ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ลุกขึ้นแล้วนอนต่อไปอีก ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
บทภาชนีย์
    [๖๗๘] สมณุทเทสผู้ถูกสงฆ์นาสนะแล้ว ภิกษุสำคัญว่าถูกสงฆ์นาสนะแล้ว เกลี้ยกล่อมก็ดี ให้อุปัฏฐากก็ดี กินร่วมก็ดี สำเร็จการนอนร่วมก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    สมณุทเทสผู้ถูกสงฆ์นาสนะแล้ว ภิกษุมีความสงสัย เกลี้ยกล่อมก็ดี ให้อุปัฏฐากก็ดี กินร่วมกันก็ดี สำเร็จการนอนร่วมกันก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    สมณุทเทสผู้ถูกสงฆ์นาสนะแล้ว ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่ผู้ถูกสงฆ์นาสนะ เกลี้ยกล่อมก็ดี ให้อุปัฏฐากก็ดี กินร่วมก็ดี สำเร็จการนอนร่วมก็ดี ไม่ต้องอาบัติ. 
    สมณุทเทสไม่ใช่ผู้ถูกสงฆ์นาสนะ ภิกษุสำคัญว่าผู้ถูกสงฆ์นาสนะ ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    สมณุทเทสไม่ใช่ผู้ถูกสงฆ์นาสนะ ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    สมณุทเทสไม่ใช่ผู้ถูกสงฆ์นาสนะ ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่ผู้ถูกสงฆ์นาสนะ ... ไม่ต้องอาบัติ. 
อนาปัตติวาร    [๖๗๙] ภิกษุรู้อยู่ว่า สมณุทเทสไม่ใช่ผู้ถูกสงฆ์นาสนะ ๑ ภิกษุรู้อยู่ว่า สมณุทเทสยอมสละทิฏฐินั้นแล้ว ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ.
                 ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๗ จบ.
หัวข้อประจำเรื่อง
    ๑. สัญจิจจปาณสิกขาบท ว่าด้วยแกล้งฆ่าสัตว์ 
    ๒. สัปปาณกสิกขาบท ว่าด้วยบริโภคน้ำมีตัวสัตว์ 
    ๓. อุกโกฏนสิกขาบท ว่าด้วยฟื้นอธิกรณ์ 
    ๔. ทุฏฐุลลสิกขาบท ว่าด้วยปิดอาบัติชั่วหยาบ 
    ๕. อูนวีสติวัสสสิกขาบท ว่าด้วยอุปสมบทกุลบุตรมีอายุ หย่อน ๒๐ ปี 
    ๖. เถยยสัตถสิกขาบท ว่าด้วยเดินทางร่วมกับพ่อค้าผู้เป็นโจร 
    ๗. สังวิธานสิกขาบท ว่าด้วยชักชวนมาตุคามเดินทางสายเดียวกัน 
    ๘. อริฏฐสิกขาบท ว่าด้วยพระอริฏฐะ 
    ๙. อุกขิตตสัมโภคสิกขาบท ว่าด้วยการคบหากับภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร 
    ๑๐. กัณฑกสิกขาบท ว่าด้วยสมณุทเทสชื่อกัณฑกะ
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ สัปปาณก
วรรคที่ ๗ สิกขาบทที่ ๑๐    สัปปาณกวรรค กัณฑก 
     ในสิกขาบทที่ ๑๐           มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
 [แก้อรรถบางปาฐะในสิกขาบทที่ ๑๐] 
     สองบทว่า ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ คือ สมณุทเทสแม้นี้ เมื่อถลำลงไปโดยไม่แยบคาย ก็เกิดความเห็นผิดขึ้นมา เหมือนอริฏฐภิกษุฉะนั้น. 
    นาสนะที่ตรัสไว้ในคำว่า นาเสตุ นี้มี ๓ อย่างคือ สังวาสนาสนะ ๑ ลิงคนาสนะ ๑ ทัณฑกรรมนาสนะ ๑. 
     บรรดานาสนะ ๓ อย่างนั้น การยกวัตรในเพราะไม่เห็นอาบัติเป็นต้น ชื่อว่าสังวาสนาสนะ. นาสนะนี้ว่า สามเณรผู้ประทุษร้าย (นางภิกษุณี) สงฆ์พึงให้นาสนะเสีย, 
 เธอทั้งหลายพึงให้นาสนะ เมตติยาภิกษุณีเสีย ชื่อว่าลิงคนาสนะ. นาสนะนี้ว่า แน่ะอาวุโส สมณุทเทส! เธออย่าอ้างพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นว่า เป็นพระศาสดาของเธอตั้งแต่วันนี้ไป ชื่อว่าทัณฑกรรมนาสนะ. 
     ทัณฑกรรมนาสนะนี้ ทรงประสงค์เอาในสิกขาบทนี้. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสว่า เอวญฺจ ภิกฺขเว นาเสตพฺโพ ฯเปฯ จร ปิเร วินสฺส เป็นต้น. 
     บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จร แปลว่า เธอจงหลีกไปเสีย. 
    บทว่า ปิเร แปลว่า แน่ะเจ้าคนอื่น คือเจ้าผู้มิใช่พวกเรา. 
    บทว่า วินสฺส ความว่า เจ้าจงฉิบหายเสีย คือจงไปในที่ซึ่งพวกเราจะไม่เห็นเจ้า. 
     บทว่า อุปลาปฺเปยฺย แปลว่า พึงสงเคราะห์. 
     บทว่า อุปฏฺฐาเปยฺย คือ พึงให้สมณุทเทสนั้นทำการบำรุงตน. 
     บทที่เหลือพร้อมทั้งสมุฏฐานเป็นต้น พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในอริฏฐสิกขาบทนั้นนั่นแล. 
                    กัณฑกสิกขาบทที่ ๑๐ จบ
  สัปปาณวรรคที่ ๗ จบบริบูรณ์  ตามวรรณนานุกรม.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๗ สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๙ เรื่องพระฉัพพัคคีย์ [ว่าด้วย การคบหากับภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๖๖๙]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
   ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์รู้อยู่ กินร่วมบ้าง อยู่ร่วมบ้าง สำเร็จการนอนด้วยกันบ้าง กับพระอริฏฐะผู้กล่าวอย่างนั้น ผู้ยังไม่ได้ทำกรรมอันสมควร ยังไม่ได้สละทิฏฐินั้น 
    บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์รู้อยู่จึงได้กินร่วมบ้าง อยู่ร่วมบ้าง สำเร็จการนอนด้วยกันบ้าง กับพระอริฏฐะผู้กล่าวอย่างนั้น ผู้ยังไม่ได้ทำกรรมอันสมควร ผู้ยังไม่ได้สละทิฏฐินั้นเล่า ...
ทรงสอบถาม
   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอรู้อยู่กินร่วมบ้าง อยู่ร่วมบ้าง สำเร็จการนอนด้วยกันบ้าง กับอริฏฐะผู้กล่าวอย่างนั้น ผู้ยังไม่ได้ทำกรรมอันสมควร ผู้ยังไม่ได้สละทิฏฐินั้น จริงหรือ? 
   พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอรู้อยู่ จึงได้กินร่วมบ้างอยู่ร่วมบ้าง สำเร็จการนอนด้วยกันบ้าง กับอริฏฐกะผู้กล่าวอย่างนั้น ผู้ยังไม่ได้ทำกรรมอันสมควรผู้ยังไม่ได้สละทิฏฐินั้นเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน ที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ
   ๑๑๘. ๙. อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ กินร่วมก็ดี อยู่ร่วมก็ดี สำเร็จการนอนด้วยกันก็ดี กับภิกษุผู้กล่าวอย่างนั้น ยังไม่ได้ทำกรรมอันสมควร ยังไม่ได้สละทิฏฐินั้นเป็นปาจิตตีย์. 
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
   [๖๗๐] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... 
   บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
   ที่ชื่อว่า รู้อยู่ คือรู้เอง หรือคนอื่นบอกแก่เธอ หรือเจ้าตัวบอก. 
   บทว่า ผู้กล่าวอย่างนั้น คือ ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่า เป็นธรรมทำอันตรายอย่างไร ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่. 
   ที่ชื่อว่า ยังไม่ได้ทำกรรมอันสมควร คือ เป็นผู้ถูกสงฆ์ยกวัตรแล้ว สงฆ์ยังไม่ได้เรียกเข้าหมู่ 
   คำว่า กับ ... ยังไม่ได้สละทิฏฐินั้น คือ กับ ... ยังไม่สละทิฏฐิที่ถือนั้น. 
   บทว่า กินร่วมก็ดี อธิบายว่า ที่ชื่อว่ากินร่วม หมายถึงการคบหา มี ๒ อย่าง คบหากันในทางอามิส ๑ คบหากันในทางธรรม ๑ 
   ที่ชื่อว่า คบหากันในทางอามิส คือ ให้อามิสก็ดี รับอามิสก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
   ที่ชื่อว่า คบหากันในทางธรรม คือ บอกธรรมให้ หรือขอเรียนธรรม. 
   ภิกษุบอกธรรมให้ หรือขอเรียนธรรมโดยบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ บท. 
   ภิกษุบอกธรรมให้ หรือขอเรียนธรรมโดยอักขระ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ อักขระ. 
   บทว่า อยู่ร่วมก็ดี ความว่า ทำอุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ร่วมกับภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตรแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
   คำว่า สำเร็จการนอนด้วยกันก็ดี อธิบายว่า ในที่มีหลังคาเดียวกัน เมื่อภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตรนอนแล้ว ภิกษุจึงนอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เมื่อภิกษุนอนแล้ว ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตรจึงนอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือนอนทั้ง ๒ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ลุกขึ้นแล้วนอนซ้ำอีก ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
บทภาชนีย์
   [๖๗๑] ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตรแล้ว ภิกษุสำคัญว่าถูกสงฆ์ยกวัตรแล้ว กินร่วมก็ดี อยู่ร่วมก็ดี สำเร็จการนอนด้วยกันก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
   ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตรแล้ว ภิกษุยังสงสัยอยู่ กินร่วมก็ดี อยู่ร่วมก็ดี สำเร็จการนอนด้วยกันก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ. 
   ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตรแล้ว ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร กินร่วมก็ดี อยู่ร่วมก็ดีสำเร็จการนอนด้วยกันก็ดี ไม่ต้องอาบัติ. 
   ไม่ใช่ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร ภิกษุสำคัญว่าถูกสงฆ์ยกวัตรแล้ว ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
   ไม่ใช่ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร ภิกษุยังสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
   ไม่ใช่ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร ... ไม่ต้องอาบัติ. 
อนาปัตติวาร
   [๖๗๒] ภิกษุรู้ว่าไม่ใช่ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร ๑ ภิกษุรู้ว่าภิกษุถูกสงฆ์ยกวัตร แต่สงฆ์เรียกเข้าหมู่แล้ว ๑ ภิกษุรู้ว่าภิกษุถูกสงฆ์ยกวัตรแล้ว แต่สละทิฏฐินั้นแล้ว ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ. 
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ สัปปาณก 
วรรคที่ ๗ สิกขาบทที่ ๙   สัปปาณกวรรค อุกขิตตสัมโภค
   ในสิกขาบทที่ ๙ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
 [แก้อรรถบางปาฐะในสิกขาบทที่ ๙] 
    บทว่า อกฏานุธมฺเมน มีความว่า โอสารณา (การเรียกเข้าหมู่) ที่สงฆ์เห็นวัตรอันสมควรกระทำแล้วแก่ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร ในเพราะไม่เห็นอาบัติก็ดี ในเพราะไม่กระทำคืนอาบัติก็ดี
   ในเพราะไม่สละทิฏฐิลามกก็ดี โดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสน์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า ตามธรรม. ตามธรรมกล่าว คือ โอสารณานั้นสงฆ์ไม่ได้ทำแก่ภิกษุใด,
        ภิกษุนี้ชื่อว่า ผู้อันสงฆ์มิได้กระทำตามธรรม. ความว่า (ยังไม่ได้ทำ) กับด้วยภิกษุเช่นนั้น. 
    ด้วยเหตุนั้นแล ในบทภาชนะแห่งบทว่า อกฏานุธมฺเมน นั้น จึงตรัสว่า ที่ชื่อว่า ยังไม่ได้ทำตามธรรม คือเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกวัตรแล้ว สงฆ์ยังไม่ได้เรียกเข้าหมู่. 
    สองบทว่า เทติ วา ปฏิคฺคณฺหาติ วา มีความว่า ภิกษุให้ก็ดี รับก็ดี ซึ่งอามิส แม้เป็นอันมาก โดยประโยคเดียว เป็นปาจิตตีย์ตัวเดียว. เมื่อให้และรับขาดตอน เป็นปาจิตตีย์มากตัว โดยนับประโยค. 
    บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น. 
    สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.

19 กันยายน 2567

อรรถกถา ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๗ สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๘ เรื่องพระอริฏฐะ มิจฉาทิฏฐิ [ว่าด้วย พระอริฏฐะ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

         อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ สัปปาณก วรรคที่
สิกขาบทที่ ๘           สัปปาณกวรรค อริฏ
ในสิกขาบทที่ ๘              มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
    พวกชนที่ชื่อว่า พรานแร้ง เพราะอรรถว่า ได้ฆ่าแร้งทั้งหลาย. 
   พระอริฏฐะชื่อว่า ผู้เคยเป็นพรานแร้งเพราะอรรถว่า ท่านมีบรรพบุรุษเป็นพรานแร้ง. ได้ความว่า เป็นบุตรของตระกูลเคยเป็นพรานแร้ง คือเกิดจากตระกูลพรานแร้งนั้น.
 [ว่าด้วยธรรมกระทำอันตรายแก่ผู้เสพ] 
    ธรรมเหล่าใด ย่อมทำอันตรายแก่สวรรค์และนิพพาน เพราะเหตุนั้น ธรรมเหล่านั้น 
   ชื่อว่า อันตรายิกธรรม. อันตรายิกธรรมเหล่านั้นมี ๕ อย่าง ด้วยอำนาจกรรม กิเลส วิบาก อุปวาทและอาณาวีติกกมะ. 
    บรรดาอันตรายิกธรรมมีกรรมเป็นต้นนั้น ธรรมคืออนันตริยกรรม ๕ อย่าง 
   ชื่อว่าอันตรายิกธรรม คือกรรม. ภิกขุนีทูสกกรรม ก็อย่างนั้น. แต่ภิกขุนีทูสกกรรมนั้น ย่อมทำอันตรายแก่พระนิพพานเท่านั้น หาทำอันตรายแก่สวรรค์ไม่. ธรรมคือนิยตมิจฉาทิฏฐิ 
   ชื่อว่าอันตรายิกธรรมคือกิเลส. ธรรมคือปฏิสนธิของพวกบัณเฑาะก์ ดิรัจฉานและอุภโตพยัญชนก 
   ชื่อว่าอันตรายิกธรรมคือวิบาก. การเข้าไปว่าร้ายพระอริยเจ้า 
   ชื่อว่าอันตรายิกธรรมคืออุปวาทะ. แต่อุปวาทันตรายิกธรรมเหล่านั้น เป็นอันตรายตลอดเวลาที่ยังไม่ให้พระอริยเจ้าทั้งหลายอดโทษเท่านั้น, หลังจากให้ท่านอดโทษไป หาเป็นอันตรายไม่. 
   อาบัติที่แกล้งต้อง ชื่อว่าอันตรายิกธรรมคืออาณาวีติกกมะ. 
   อาบัติแม้เหล่านั้น ก็เป็นอันตรายตลอดเวลาที่ภิกษุผู้ต้องยังปฏิญญาความเป็นภิกษุหรือยังไม่ออก หรือยังไม่แสดงเท่านั้น ต่อจากทำคืนตามกรณีนั้นๆ แล้วหาเป็นอันตรายไม่. 
   บรรดาอันตรายิกธรรมตามที่กล่าวแล้วนั้น ภิกษุนี้เป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก รู้จักอันตรายิกธรรมที่เหลือได้ แต่เพราะไม่ฉลาดในพระวินัย จึงไม่รู้อันตรายิกธรรม คือ การล่วงละเมิด
พระบัญญัติ. 
   เพราะฉะนั้น เธอไปอยู่ในที่ลับได้คิดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ครองเรือนเหล่านี้ยังบริโภคกามคุณ ๕ เป็นพระโสดาบันก็มี เป็นพระสกทาคามีก็มี เป็นพระอนาคามีก็มี แม้ภิกษุทั้งหลายก็เห็นรูปที่ชอบใจ พึงรู้ได้ทางจักษุ ฯลฯ ย่อมถูกต้องโผฏฐัพพะอันน่าชอบใจ พึงรู้ได้ทางกาย 
   บริโภคเครื่องลาดและเครื่องนุ่งห่มเป็นต้นแม้อันอ่อนนุ่ม ข้อุนั้นควรทุกอย่าง เพราะเหตุไร รูปสตรีทั้งหลาย ฯลฯ โผฏฐัพพะ คือสตรีทั้งหลายจึงไม่ควรอย่างนี้เล่า? แม้สตรีเป็นต้นเหล่านี้ ก็ควร. 
    เธอเทียบเคียงรสกับรสอย่างนี้แล้ว ทำการบริโภคกามคุณที่เป็นไปกับด้วยฉันทราคะ กับการบริโภคกามคุณที่ไม่มีฉันทราคะ ให้เป็นอันเดียวกัน ยังทิฏฐิอันลามกให้เกิดขึ้น 
   ดุจบุคคลต่อด้ายละเอียดยิ่งกับเส้นปออันหยาบ ดุจเอาเขาสิเนรุเทียบกับเมล็ดผักกาด ฉะนั้น จึงขัดแย้งกับสรรเพชุดาญาณว่า ไฉน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติปฐมปาราชิกด้วยความอุตสาหะมาก ดุจทรงกั้นมหาสมุทร 
   โทษในกามเหล่านี้ ไม่มี ดังนี้ ตัดความหวังของพวกภัพบุคคล ได้ให้การประหารในอาณาจักรแห่งพระชินเจ้า. เพราะเหตุนั้น อริฏฐภิกษุจึงกล่าวว่า ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ เป็นอาทิ. 
    ในคำว่า อฏฺฐิกงฺกลูปมา เป็นต้น มีวินิฉัยว่า &@ กามทั้งหลายเปรียบเหมือนโครงกระดูก ด้วยอรรถว่า มีรสอร่อยน้อย (มีความยินดีน้อย). 
   เปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ ด้วยอรรถว่า เป็นกายทั่วไปแก่สัตว์มาก. 
   เปรียบเหมือนคบหญ้า ด้วยอรรถว่าตามเผาลน. เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง ด้วยอรรถว่าเร่าร้อนยิ่งนัก. 
   เปรียบเหมือนความฝันด้วยอรรถว่า ปรากฏชั่วเวลานิดหน่อย. 
   เปรียบเหมือนของขอยืมด้วยอรรถว่า เป็นไปชั่วคราว. &@ เปรียบเหมือนผลไม้ ด้วยอรรถว่าบั่นทอนอวัยวะน้อยใหญ่ทั้งปวง. 
   เปรียบเหมือนเขียงสำหรับสับเนื้อ ด้วยอรรถว่า เป็นที่รองรับการสับโขก. 
   เปรียบเหมือนแหลนหลาว ด้วยอรรถว่าทิ่มแทง. เปรียบเหมือนศีรษะงู ด้วยอรรถว่า น่าระแวงและมีภัยจำเพาะหน้าแล. 
   นี้ความย่อในสิกขาบทนี้. ส่วนความพิสดารบัณฑิต พึงค้นเอาในอรรถกถามัชฌิมนิกาย ชื่อปปัญจสูทนี. 
    นิบาตสมุหะว่า เอวํ พฺยา โข แปลว่า เหมือนอย่างที่ทรงแสดงอย่างนี้แล. 
    บทที่เหลือในนิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวแล้วในเบื้องต้น. 
    สิกขาบทนี้มีการสวดสมนุภาสน์เป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางกายวาจาและจิต เป็นอกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกข์เวทนา ดังนี้แล. 
 อริฏฐสิกขาบทที่ ๘ จบ.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๗ สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๘ เรื่องพระอริฏฐะ มิจฉาทิฏฐิ [ว่าด้วย พระอริฏฐะ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๖๖๒]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
   ครั้งนั้น พระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง มีทิฏฐิทรามเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ 
   ภิกษุหลายรูปได้ทราบข่าวว่า พระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง มีทิฏฐิทรามเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่าเรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ แล้วพากันเข้าไปหาพระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง 
    ถามว่า อาวุโส อริฏฐะ ข่าวว่า ท่านมีทิฏฐิทรามเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่าธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ ดังนี้ จริงหรือ? 
   อ. จริงอย่างว่านั้นแล อาวุโสทั้งหลาย ผมรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วโดยประการที่ตรัสว่าเป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่. 
   ภิ. อาวุโส อริฏฐะ ท่านอย่าได้ว่าอย่างนั้น ท่านอย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีแน่ พระผู้มีพระภาคไม่ได้ตรัสอย่างนั้นเลย ธรรมอันทำอันตรายพระผู้มีพระภาคตรัสไว้โดยบรรยายเป็นอันมาก ก็แลธรรมเหล่านั้นอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง 
   โทษในกามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก. 
   พระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง แม้อันภิกษุเหล่านั้นว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ก็ยังยึดถือทิฏฐิเห็นปานนั้นอยู่ ด้วยความยึดมั่นอย่างเดิม ซ้ำยังกล่าวยืนยันว่า ผมกล่าวอย่างนั้นจริงอาวุโสทั้งหลาย ผมรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่าธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตรายธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ ดังนี้. 
   เมื่อภิกษุเหล่านั้น ไม่อาจเปลื้องพระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้งจากทิฏฐิอันทรามนั้นได้ จึงพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ. 
ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสิกขาบท
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้งว่า 
 ดูกรอริฏฐะ 
    ข่าวว่า เธอมีทิฏฐิทรามเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วโดยประการที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ จริงหรือ? 
   พระอริฏฐะทูลรับว่า เป็นจริงดังรับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่า เป็นธรรมทำอันตรายได้อย่างไร ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่. 
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโมฆบุรุษ เพราะเหตุไร เธอจึงเข้าใจธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างนั้นเล่า ธรรมอันทำอันตราย เรากล่าวไว้โดยบรรยายเป็นอันมากมิใช่หรือ? และธรรมเหล่านั้นอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง 
    กามทั้งหลายเรากล่าวว่ามีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก 
    กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนร่างกระดูก 
   กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ 
   กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนคบหญ้า 
   กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง 
   กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนความฝัน 
   กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนของยืม 
   กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนผลไม้ 
   กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนเขียงสำหรับสับเนื้อ 
   กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนแหลนหลาว 
    กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนศีรษะงู 
        มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยทิฏฐิที่ตนยึดถือไว้ผิด ชื่อว่าทำลายตนเอง และชื่อว่าประสบบาปมิใช่บุญเป็นอย่างมาก เพราะข้อนั้นแหละ จักเป็นไปเพื่อผลไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล 
    เพื่อผลเป็นทุกข์แก่เธอตลอดกาลนาน การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใสหรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
 พระบัญญัติ
     ๑๑๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด กล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่าเป็นธรรมทำอันตรายได้อย่างไร ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ ภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่าท่านอย่าได้พูดอย่างนั้น ท่านอย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ดีดอก พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสอย่างนั้นเลย แน่ะเธอ 
  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมทำอันตรายไว้โดยบรรยายเป็นอันมาก ก็แลธรรมเหล่านั้น อาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง และภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนั้น ขืนถืออยู่อย่างนั้นแล 
    ภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงสวดประกาศห้ามจนหนที่ ๓ เพื่อสละการนั้นเสีย ถ้าเธอถูกสวดประกาศห้ามอยู่จนหนที่ ๓ สละการนั้นเสียได้ การสละได้ดั่งนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่สละ เป็นปาจิตตีย์.
 เรื่องพระอริฏฐะ มิจฉาทิฏฐิ จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
    [๖๖๓] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... 
    บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
    บทว่า กล่าวอย่างนี้ ความว่า พูดอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่าเป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ ผู้เสพได้จริงไม่. 
    [๖๖๔] บทว่า ภิกษุนั้น ได้แก่ ภิกษุผู้ที่พูดอย่างนี้. 
    บทว่า อันภิกษุทั้งหลาย ได้แก่ ภิกษุพวกอื่น คือ ภิกษุพวกที่ได้เห็น ที่ได้ยินเหล่านั้น พึงว่ากล่าวว่า ท่านอย่าได้พูดอย่างนั้น ท่านอย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีแน่ พระผู้มีพระภาคไม่ได้ตรัสอย่างนั้นเลย แน่ะเธอ 
    พระผู้มีพระภาคตรัสธรรมอันทำอันตรายไว้โดยบรรยายเป็นอันมากก็แลธรรมเหล่านั้นอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สอง พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สาม ถ้าเธอสละได้ การสละได้ดังนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าเธอสละไม่ได้ ต้องอาบัติทุกกฏ 
 ภิกษุทั้งหลายทราบเรื่องแล้ว ไม่ว่ากล่าว ต้องอาบัติทุกกฏภิกษุทั้งหลายพึงคุมตัวภิกษุนั้นมา ณ ที่ท่ามกลางสงฆ์ แล้วพึงว่ากล่าวว่า ท่านอย่าได้พูดอย่างนั้นท่านอย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีแน่ 
 พระผู้มีพระภาคไม่ได้ตรัสอย่างนั้นเลย แน่ะเธอ พระผู้มีพระภาคตรัสธรรมอันทำอันตรายไว้โดยบรรยายเป็นอันมากก็แลธรรมเหล่านั้น อาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สอง พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สาม ถ้าเธอสละได้ การสละได้ดังนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่สละ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    [๖๖๕] ภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงสวดประกาศห้าม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพึงสวดประกาศห้ามอย่างนี้:- 
    ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:- 
กรรมวาจาสมนุภาส
    ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ทิฏฐิอันเป็นบาปมีอย่างนี้เป็นรูป บังเกิดแก่ภิกษุมีชื่อนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่าเป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านี้หาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ ภิกษุนั้นไม่สละทิฏฐินั้น ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสวดประกาศห้ามภิกษุมีชื่อนี้เพื่อละทิฏฐินั้น นี่เป็นญัตติ. 
    ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ทิฏฐิอันเป็นบาปมีอย่างนี้เป็นรูป บังเกิดแก่ภิกษุมีชื่อนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่าเป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ เธอไม่ละทิฏฐินั้น 
 สงฆ์สวดประกาศห้ามภิกษุมีชื่อนี้ เพื่อสละทิฏฐินั้น การสวดประกาศห้ามภิกษุมีชื่อนี้ เพื่อสละทิฏฐินั้น ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด. 
     ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สอง ... 
     ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สาม ... 
     ภิกษุมีชื่อนี้ อันสงฆ์สวดประกาศห้ามแล้ว เพื่อสละทิฏฐินั้น ชอบแก่สงฆ์เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้. 
บทภาชนีย์
     [๖๖๖] จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ จบกรรมวาจา ๒ ครั้ง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัวจบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ติกะปาจิตตีย์    [๖๖๗] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ไม่ยอมสละ ต้องอาบัติปาจิตตีย์           กรรมเป็นธรรม ภิกษุสงสัย ไม่ยอมสละ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.     กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่ยอมสละ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
 ติกะทุกกฏ    กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ไม่ยอมสละ ต้องอาบัติทุกกฏ.    กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสงสัย ไม่ยอมสละ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
อนาปัตติวาร
    [๖๖๘] ภิกษุผู้ไม่ถูกสวดประกาศห้าม ๑ ภิกษุผู้ยอมสละ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
 สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๗ สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๗ เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง [ว่าด้วย ชักชวนมาตุคามเดินทางสายเดียวกัน] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๖๕๘]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
      ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งกำลังเดินทางไปสู่พระนครสาวัตถี ในโกศลชนบท เดินทางไปทางประตูบ้านแห่งหนึ่ง. สตรีผู้หนึ่งทะเลาะกับสามีแล้วเดินออกจากบ้านไป พบภิกษุรูปนั้นแล้วได้ถามว่า 
      พระคุณเจ้าจักไปไหน เจ้าข้า? 
     ภิกษุนั้นตอบว่า ฉันจักไปสู่พระนครสาวัตถี จ้ะ. 
     สตรีนั้นขอร้องว่า ดิฉันจักไปกับพระคุณเจ้าด้วย. 
     ภิกษุนั้นกล่าวรับรองว่า ไปเถิด จ้ะ. 
     ขณะนั้น สามีของสตรีนั้นออกจากบ้านแล้ว ถามคนทั้งหลายว่า พวกท่านเห็นสตรีมีรูปร่างอย่างนี้บ้างไหม? 
     คนทั้งหลายตอบว่า สตรีมีรูปร่างเช่นว่านั้นเดินไปกับพระ. 
     ในทันที เขาได้ติดตามไปจับภิกษุนั้นทุบตีแล้วปล่อยไป ภิกษุนั้นนั่งพ้อตนเองอยู่ ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง. 
     จึงสตรีนั้นได้กล่าวกะบุรุษผู้สามีว่า นาย พระรูปนั้นมิได้พาดิฉันไป ดิฉันต่างหากไปกับท่าน พระรูปนั้นไม่ใช่เป็นตัวการ นายจงไปขอขมาโทษท่านเสีย. 
     บุรุษนั้นได้ขอขมาโทษภิกษุนั้น ในทันใดนั้นแล. 
     ครั้นภิกษุนั้นไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุจึงได้ชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกันกับมาตุคามเล่า 
ทรงสอบถาม
     พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุรูปนั้นว่า ดูกรภิกษุ ข่าวว่า เธอชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกับมาตุคาม จริงหรือ? 
     ภิกษุรูปนั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึงได้ชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกับมาตุคามเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
           ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ     ๑๑๖. ๗. อนึ่ง ภิกษุใด ชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียวกันกับมาตุคามโดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
    [๖๕๙] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
      บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
     ที่ชื่อว่า มาตุคาม ได้แก่หญิงมนุษย์ มิใช่หญิงยักษ์ มิใช่หญิงเปรต มิใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย เป็นสตรีผู้รู้เดียงสา สามารถทราบซึ้งถึงถ้อยคำเป็นสุภาษิต ทุพภาษิต วาจาชั่วหยาบและสุภาพ. 
     บทว่า กับ คือร่วมกัน. 
     บทว่า ชักชวนแล้ว คือ ชักชวนว่า เราไปกันเถิดจ้ะ เราไปกันเถิดค่ะ เราไปกันเถิดพระคุณเจ้า เราไปกันเถิดน้องหญิง เราไปกันวันนี้ ไปกันพรุ่งนี้ หรือไปกันมะรืนนี้ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ. 
     บทว่า โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ความว่า ในตำบลบ้าน กำหนดชั่วไก่บินถึง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ ระยะบ้าน. ในป่าหาบ้านมิได้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ ระยะกึ่งโยชน์. 
บทภาชนีย์
ติกะปาจิตตีย์     [๖๖๐] มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามาตุคาม ชักชวนกันแล้วเดินทางไกลสายเดียวกัน โดย ที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
     มาตุคาม ภิกษุสงสัย ชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียวกัน โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
     มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่มาตุคาม ชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียวกัน โดยที่สุด แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
จตุกกะทุกกฏ
     ภิกษุชักชวน มาตุคามมิได้ชักชวน ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    ภิกษุชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกันกับหญิงยักษ์ หญิงเปรต บัณเฑาะก์ หรือ สัตว์ดิรัจฉานตัวเมียมีกายคล้ายมนุษย์ โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ. 
 ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามาตุคาม ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
 ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
 ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่มาตุคาม ... ไม่ต้องอาบัติ. 
อนาปัตติวาร
     [๖๖๑] ภิกษุไม่ได้ชักชวนกันไป ๑ มาตุคามชักชวน ภิกษุไม่ได้ชักชวน ๑ ภิกษุไปผิดวันผิดเวลา ๑ มีอันตราย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ. 
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ สัปปาณก 
วรรคที่ ๗ สิกขาบทที่ ๗  สัปปาณกวรรค สังวิธาน 
      ในสิกขาบทที่ ๗ มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
       สองบทว่า ปธูเปนฺโต นิสีทิ มีความว่า ภิกษุนั้นนั่งพ้อ หรือตำหนิตนเองอยู่. 
       ข้อว่า นายฺโย โส ภิกฺขุ มํ นิปฺปาเทสิ มีความว่า แน่ะนาย! ภิกษุนี้มิได้ให้ฉันออกไป คือมิได้พาฉันไป. 
       คำที่เหลือในสิกขาบทนี้พร้อมกับสมุฏฐานเป็นต้น บัณฑิตพึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในสิกขาบทว่าด้วยการชักชวนเดินทางร่วมกันกับนางภิกษุณีนั่นแล.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๗ สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๖ เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง [ว่าด้วย เดินทางร่วมกับพ่อค้าผู้เป็นโจร] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๖๕๔]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี 
            ครั้งนั้น พวกพ่อค้าเกวียนต่างหมู่หนึ่งประสงค์จะเดินทางจากพระนครราชคฤห์ ไปสู่ชนบททางทิศตะวันตก ภิกษุรูปหนึ่งได้กล่าวกะพ่อค้าพวกนั้นว่าแม้อาตมาจักขอเดินทางไปร่วมกับพวกท่าน. 
          พวกพ่อค้าเกวียนต่างกล่าวว่า พวกกระผมจักหลบหนีภาษีขอรับ. 
     ภิกษุนั้นพูดว่า ท่านทั้งหลายจงรู้กันเองเถิด. 
     เจ้าพนักงานศุลกากรทั้งหลายได้ทราบข่าวว่า พวกพ่อค้าเกวียนต่างจักหลบหนีภาษี จึงคอยซุ่มอยู่ที่หนทาง 
      ครั้นพวกเจ้าพนักงานเหล่านั้นจับพ่อค้าเกวียนต่างหมู่นั้น ริบของต้องห้ามไว้ได้แล้ว ได้กล่าวกะภิกษุพวกนั้นว่า พระคุณเจ้ารู้อยู่เหตุไรจึงได้เดินทางร่วมกับพ่อค้าเกวียนต่างผู้ลักซ่อนของต้องห้ามเล่า? 
           เจ้าหน้าที่ไต่สวนแล้วปล่อยภิกษุนั้นไป 
        ครั้นภิกษุรูปนั้นไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุรู้อยู่ จึงได้ชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกันกับพวกพ่อค้าผู้เป็นโจรเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
ทรงสอบถามพระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุรูปนั้นว่า ดูกรภิกษุ ข่าวว่า เธอรู้อยู่ชักชวนแล้วเดินทางสายเดียวกันกับพวกเกวียน พวกต่างผู้เป็นโจร จริงหรือ? 
         ภิกษุรูปนั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
     พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธอรู้อยู่จึงได้ชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกันกับพวกเกวียน พวกต่างผู้เป็นโจรเล่า? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ     ๑๑๕. ๖. อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ ชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียวกัน กับพวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
[๖๕๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
        ที่ชื่อว่า รู้อยู่ คือ รู้เอง หรือคนอื่นบอกแก่เธอ หรือเจ้าตัวบอก. 
      ที่ชื่อว่า พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ได้แก่พวกโจรผู้ทำโจรกรรมมาก็ดี ไม่ได้ทำ มาก็ดี ผู้ที่ลักของหลวงก็ดี ผู้ที่หลบซ่อนของเสียภาษีก็ดี. 
              บทว่า กับ คือร่วมกัน. 
         บทว่า ชักชวนแล้ว ความว่า ชักชวนกันว่า ท่านทั้งหลาย พวกเราไปกันเถิด ไปซิขอรับ จงไปกันเถิดขอรับ ไปซิ ท่านทั้งหลาย พวกเราไปกันวันนี้ ไปกันพรุ่งนี้ หรือไปกันมะรืนนี้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ. 
     บทว่า โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ความว่า ในตำบลบ้านกำหนดชั่วไก่บินถึง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ ระยะบ้าน ในป่าหาบ้านมิได้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ ระยะกึ่งโยชน์. 
บทภาชนีย์
     [๖๕๖] พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ภิกษุสำคัญว่าพวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกัน โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
     พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ภิกษุมีความสงสัย ชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกันโดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ. 
     พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ภิกษุสำคัญว่ามิใช่พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกัน โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ไม่ต้องอาบัติ. 
     ภิกษุชักชวน คนทั้งหลายมิได้ชักชวน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
     มิใช่พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ภิกษุสำคัญว่า พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ... ต้อง อาบัติทุกกฏ. 
     มิใช่พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ภิกษุมีความสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
     มิใช่พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ภิกษุสำคัญว่ามิใช่พวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ... ไม่ต้องอาบัติ. 
อนาปัตติวาร
     [๖๕๗] ภิกษุไม่ได้ชักชวนกันไป ๑ คนทั้งหลายชักชวน ภิกษุมิได้ชักชวน ๑ ไปผิดวันผิดเวลา ๑ มีอันตราย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ. 
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ สัปปาณก
 วรรคที่ ๗ สิกขาบทที่ ๖  สัปปาณกวรรค เถยยสัตตถ 
      ในสิกขาบทที่ ๖         มีวินิจฉัยดังนี้ :-
 [ว่าด้วยการเดินทางร่วมพวกพ่อค้าเกวียนผู้เป็นขโมย] 
    บทว่า ปฏิยาโลกํ ความว่า ตรงหน้าแสงอาทิตย์ คือทิศตะวันตก. 
       บทว่า กมฺมิกา ได้แก่ เจ้าพนักงานที่ด่านศุลกากร. 
       ข้อว่า ราชานํ วา เถยฺยํ คจฺฉนฺติ มีความว่า พวกโจรขโมยของหลวง คือหลอกลวงลักเอาของหลวงบางอย่างไปด้วยตั้งใจว่า คราวนี้เราจักไม่ถวายหลวง. 
       บทว่า วิสงฺเกเตน มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไปผิดเวลานัดหมาย และผิดวันนัดหมาย. แต่ไปผิดทางที่นัดหมาย หรือผิดดังที่นัดหมาย เป็นอาบัติเหมือนกัน. 
       คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวแล้วในภิกขุนีวรรค. 
       สิกขาบทนี้มีพวกพ่อค้าเกวียนพ่อค้าต่างผู้เป็นโจรเป็นสมุฏฐานเกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.

18 กันยายน 2567

อรรถกถา ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๗ สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๕ เรื่องเด็กชายอุบาลี [ว่าด้วย อุปสมบทกุลบุตรมีอายุ หย่อน ๒๐ ปี] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ สัปปาณก 
วรรคที่ ๗ สิกขาบทที่ ๕ สัปปาณกวรรค อูนวีสติวัสส
     ในสิกขาบทที่ ๕        มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
 [แก้อรรถบางปาฐะในปฐมบัญญัติ] 
     ข้อว่า องฺคุลิโย ทุกฺขา ภวิสฺสนฺติ มีความว่า มารดาบิดาของเด็กชายอุบาลีคิดว่า เมื่อเจ้าอุบาลีเขียนหนังสือ นิ้วมือจักระบม. 
     สองบทว่า อุรสฺส ทุกฺโข มีความว่า มารดาบิดาของอุบาลีสำคัญว่า เมื่ออุบาลีเรียนวิชาคำนวณจำจะต้องคิดแม้มาก เพราะเหตุนั้น เขาจักหนักอก. 
     สองบทว่า อกฺขีนิสฺส ทุกฺขานิ มีความว่า มารดาบิดาของอุบาลีสำคัญว่า อุบาลีเมื่อเรียนตำราดูรูปภาพ จำต้องพลิกไปพลิกมาดูเหรียญกษาปณ์ เพราะเหตุนั้น นัยน์ตาทั้ง ๒ ของเขาจักชอกช้ำ. 
     ในบทว่า ฑังสะ เป็นต้น จำพวกแมลงสีเหลือง ชื่อว่าฑังสะ (เหลือบ). 
     บทว่า ทุกฺขานํ แปลว่า ทนได้ยาก. 
     บทว่า ติพฺพานํ แปลว่า กล้า. 
     บทว่า ขรานํ แปลว่า แข็ง. 
     บทว่า กฏุกานํ แปลว่า เผ็ดร้อน. 
     อนึ่ง ความว่า เป็นเช่นกับรสเผ็ดร้อน เพราะไม่เป็นที่เจริญใจ. 
     บทว่า อสาตานํ แปลว่า ไม่เป็นที่ยินดี. 
     บทว่า ปาณหรานํ แปลว่า อาจผลาญชีวิตได้. 
     สองบทว่า สีมํ สมฺมนฺนติ ได้แก่ ผูกสีมาใหม่. แต่ในกุรุนที ท่านปรับเป็นทุกกฏแม้ในการกำหนดวักน้ำสาด. 
     บทว่า ปริปุณฺณวีสติวสฺโส ได้แก่ ผู้มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์นับแต่ถือปฏิสนธิมา. 
 [ว่าด้วยบุคคลผู้มีอายุหย่อนและครบ ๒๐ ปี] 
  ความจริง แม้ผู้มีอายุครบ ๒๐ ปี ทั้งอยู่ในครรภ์ ก็ถึงการนับว่าผู้มีอายุครบ ๒๐ ปีเหมือนกัน. เหมือนอย่างที่พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวไว้ 
  ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระกุมารกัสสป เป็นผู้มีอายุครบ ๒๐ ปี ทั้งอยู่ในครรภ์ จึงอุปสมบท ครั้งนั้นแล ท่านพระกุมารกัสสปได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติว่า บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ก็เรามีอายุครบ ๒๐ ปี ทั้งอยู่ในครรภ์ จึงได้อุปสมบท, เราจะเป็นอุปสัมบันหรือไม่เป็นอุปสัมบันหนอ. 
 พวกภิกษุได้กราบทูลเรื่องนั่นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. 
     พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตดวงแรกใดเกิดแล้วในท้องของมารดา, วิญญาณดวงแรกปรากฏแล้ว, อาศัยจิตดวงแรกวิญญาณ ดวงแรกนั้นนั่นแหละ เป็นความบังเกิดของสัตว์นั้น, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อุปสมบทกุลบุตรมีอายุครบ ๒๐ ปีทั้งอยู่ในครรภ์. 
     ในคำว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว คพฺภวีสํอุปสมฺปาเทตุํ นั้น บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- 
     ผู้ใดอยู่ในท้องของมารดาถึง ๑๒ เดือนเกิด (คลอด) ในวันมหาปวารณา, ตั้งแต่วันมหาปวารณานั้นไปจนถึงวันมหาปวารณาในปีที่ ๑๙ พึงให้ผู้นั้นอุปสมบทในวันปาฏิบท (แรมค่ำ ๑) เลยวันมหาปวารณานั้นไป. พึงทราบการลดลงและเพิ่มขึ้นโดยอุบายนั่น. 
     แต่พวกพระเถระครั้งก่อนให้สามเณรอายุ ๑๙ ปีอุปสมบทในวันปาฏิบท (วันแรมค่ำ ๑) เลยวันเพ็ญเดือน ๙ ไป. 
     ถามว่า การอุปสมบทนั้นมีได้ เพราะเหตุไร? 
     ข้าพเจ้าจะกล่าวเฉลย :- 
     ในปีหนึ่ง มีจาตุทสีอุโบสถ (อุโบสถวัน ๑๔ ค่ำ) ๖ วัน, เพราะฉะนั้น ใน ๒๐ ปีจะมีเดือนขาดไป ๔ เดือน, เจ้าผู้ครองบ้านเมืองจะเลื่อนกาลฝนออกไปทุกๆ ๓ ปี (เพิ่มอธิกมาสทุกๆ ๓ปี), ฉะนั้น ใน ๑๘ ปี จะเพิ่มเดือนขึ้น ๖ เดือน (เพิ่มอธิกมาส ๖ เดือน). นำ ๔ เดือนที่ขาดไปด้วยอำนาจอุโบสถออกไป 
    จาก ๖ เดือนที่เพิ่มเข้ามาใน ๑๘ ปีนั้น ยังคงเหลือ ๒ เดือน. เอา ๒ เดือนนั้นมาเพิ่มเข้า จึงเป็น ๒๐ ปีบริบูรณ์ด้วยประการอย่างนี้ พระเถระทั้งหลายจึงหมดความสงสัยอุปสมบทให้ (สามเณรอายุ ๑๙ ปี) ในวันปาฏิบทเลยวันเพ็ญเดือน ๙ ไป. 
     ก็ในคำว่า สามเณรมีอายุ ๑๙ ปี เป็นต้นนี้ ท่านกล่าวคำว่ามีอายุ ๑๙ ปี หมายเอาสามเณรผู้ซึ่งปวารณาแล้ว จักมีอายุครบ ๒๐ ปี. เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยู่ในท้องมารดาถึง ๑๒ เดือน จะเป็นผู้มีอายุครบ ๒๑ ปี. ผู้ซึ่งอยู่ (ในท้องมารดา) ๗ เดือน จะเป็นผู้มีอายุ ๒๐ ปี กับ ๗ เดือน. แต่ผู้ (อยู่ในท้องมารดา) ๖ เดือนคลอด จะไม่รอด. 
     ในคำว่า อนาปตฺติ อูนวีสติวสฺสํ ปุคฺคลํ ปริปุณฺณสญฺญี นี้ มีวินิจฉัยว่า ไม่เป็นอาบัติแก่อุปัชฌายะผู้ให้อุปสมบทแม้โดยแท้. ถึงอย่างนั้น บุคคลก็ไม่เป็นอันอุปสมบทเลย. แต่ถ้าบุคคลนั้น ให้ผู้อื่นอุปสมบทโดยล่วงไป ๑๐ พรรษา, 
    หากว่า เว้นบุคคลนั้นเสียคณะครบ, บุคคลผู้นั้นเป็นอันอุปสมบทดีแล้ว. และแม้บุคคลผู้ไม่ใช่อุปสัมบันนั้น ยังไม่รู้เพียงใด ยังไม่เป็นอันตรายต่อสวรรค์ ไม่เป็นอันตรายต่อพระนิพพานของเขาเพียงนั้น. แต่ครั้นรู้แล้ว พึงอุปสมบทใหม่. 
  บทที่เหลือ ตื้นทั้งนั้นแล. 
  สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล. 
 อูนวีสติวัสสสิกขาบทที่ ๕ จบ.