Translate

05 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ สัตตรสกัณฑ์ สิกขาบทที่ ๔ เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี

     [๔๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
    ครั้งนั้น ภิกษุณีจัณฑกาลีเป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์. เมื่อสงฆ์จะลงทัณฑกรรมแก่นางแต่ภิกษุณีถุลลนันทาค้านไว้.
    ครั้งนั้น ภิกษุณีถุลลนันทาได้ไปสู่ตำบลบ้านหนึ่งด้วยกิจจำเป็นบางอย่าง. ครั้นภิกษุณีสงฆ์ทราบว่าภิกษุณีถุลลนันทาหลีกไปแล้ว จึงยกภิกษุณีจัณฑกาลีเสียจากหมู่เพราะไม่เห็นอาบัติ. ภิกษุณีถุลลนันทาเสร็จกรณียะนั้นในบ้านแล้ว กลับมาสู่พระนครสาวัตถีตามเดิม.
    เมื่อนางมาถึง ภิกษุณีจัณฑกาลีไม่ปูอาสนะ ไม่เข้าไปจัดตั้งน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้า ไม่ลุกรับบาตรจีวร ไม่ต้อนรับด้วยน้ำดื่ม. นางจึงถามภิกษุณีจัณฑกาลีว่า เหตุไฉนเมื่อเรามาถึงเธอจึงไม่ปูอาสนะ ไม่จัดตั้งน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้า ไม่ลุกรับบาตรจีวร ไม่ต้อนรับด้วยน้ำดื่มเล่า?
    ภิกษุณีจัณฑกาลีตอบว่า การที่เป็นเช่นนั้นนั่น เพราะดิฉันเป็นภิกษุณีไม่มีที่พึ่ง เจ้าค่ะ.
    ภิกษุณีถุลลนันทาถามว่า เหตุไฉนเล่า เธอจึงเป็นคนไม่มีที่พึ่ง?     ภิกษุณีจัณฑกาลีชี้แจงว่า เพราะภิกษุณีเหล่านี้คงเข้าใจดิฉันว่า นางนี้เป็นคนไม่มีที่พึ่ง ไม่มีใครรู้จัก กิจอันเป็นหน้าที่ของนางคนนี้ก็ไม่มีสักอย่าง จึงได้ยกดิฉันเสียจากหมู่ เพราะไม่เห็นอาบัติ เจ้าค่ะ.
    ภิกษุณีถุลลนันทากล่าวว่า ภิกษุณีเหล่านั้นเป็นพาล ไม่ฉลาด ไม่รู้จักกรรมหรือโทษของกรรม กรรมวิบัติ หรือกรรมสมบัติ เราเท่านั้นจึงจะรู้จักกรรม โทษของกรรม กรรมวิบัติ และ
    กรรมสมบัติ เราจะพึงทำกรรมที่เราไม่ได้ร่วมทำ หรือจะพึงยังกรรมที่เขาทำแล้วให้กำเริบ แล้วให้ประชุมภิกษุณีสงฆ์ด่วน เรียกภิกษุณีจัณฑกาลีให้เข้าหมู่.
    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาไม่บอกกล่าวการกสงฆ์ ไม่รู้ฉันทะของคณะ จึงได้เรียกภิกษุณีผู้ซึ่งสงฆ์พร้อมเพรียงกันยกเสียจากหมู่ตามธรรม ตามวินัย ตามสัตถุศาสน์แล้วให้เข้าหมู่เล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทาไม่บอกกล่าวการกสงฆ์ ไม่รู้ฉันทะของคณะ เรียกภิกษุณีผู้ซึ่งสงฆ์พร้อมเพรียงกันยกเสียจากหมู่ตามธรรม ตามวินัย อันเป็นสัตถุศาสน์แล้วให้เข้าหมู่ จริงหรือ?
    ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทา ไม่บอกกล่าวการกสงฆ์ ไม่รู้ฉันทะของคณะ จึงได้เรียกภิกษุณีผู้ซึ่งสงฆ์พร้อมเพรียงกันยกเสียจากหมู่ ตามธรรม ตามวินัย อันเป็นสัตถุศาสน์แล้วให้เข้าหมู่เล่า
    การกระทำของนางนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
    ๑๒. ๔. อนึ่ง ภิกษุณีใด ไม่บอกกล่าวการกสงฆ์ ไม่รู้ฉันทะของคณะ เรียกภิกษุณีผู้ซึ่งสงฆ์พร้อมเพรียงกันยกเสียจากหมู่
ตามธรรม ตามวินัย อันเป็นสัตถุศาสน์แล้วให้เข้าหมู่ ภิกษุณีแม้นี้ก็ต้องธรรมคือสังฆาทิเสส ชื่อนิสสารณียะ มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ. เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
     [๔๘] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด &@ บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้. ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    สงฆ์ที่ชื่อว่า พร้อมเพรียงกัน คือ มีสังวาสเสมอกัน อยู่ในสีมาเดียวกัน.    ที่ชื่อว่า ยกเสียจากหมู่ คือ ถูกยกเสียจากหมู่ เพราะไม่เห็นอาบัติ หรือเพราะไม่ทำคืนอาบัติ หรือเพราะไม่สละคืนทิฏฐิบาป.
    บทว่า ตามธรรม ตามวินัย คือตามธรรมใด ตามวินัยใด.
    บทว่า อันเป็นสัตถุศาสน์ ได้แก่ ธรรมนั้น วินัยนั้นเป็นคำสั่งสอนของพระชินะ คือ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    บทว่า ไม่บอกกล่าวการกสงฆ์ คือ ไม่บอกเล่าการกสงฆ์ผู้ทำกรรมให้ทราบ.
     บทว่า ไม่รู้ฉันทะของคณะ คือ ไม่รู้ความพอใจของคณะ.
    ภิกษุณีประสงค์จะเรียกเข้าหมู่ แสวงหาคณะก็ดี สมมติสีมาก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ     จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    [๔๙] บทว่า ภิกษุณีแม้นี้ พระผู้มีพระภาคตรัสเทียบเคียงภิกษุณีรูปก่อนๆ.
    บทว่า มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ ความว่า ต้องอาบัติพร้อมกับการล่วงวัตถุ โดยไม่ต้องสวดสมนุภาส.
    ที่ชื่อว่า นิสสารณีย ได้แก่ ถูกขับออกจากหมู่สงฆ์.
    บทว่า สังฆาทิเสส ความว่า สงฆ์เท่านั้นให้มานัต แม้เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่าสังฆาทิเสส. บทภาชนีย์ ติกะสังฆาทิเสส
    [๕๐] กรรมเป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่า กรรมเป็นธรรม เรียกเข้าหมู่ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
    กรรมเป็นธรรม ภิกษุณีสงสัย เรียกเข้าหมู่ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.    กรรมเป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่า กรรมไม่เป็นธรรม เรียกเข้าหมู่ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
ติดะทุกกฏ    กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ.    กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.    กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่า กรรมไม่เป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
     [๕๑] บอกกล่าวการกสงฆ์ผู้ทำกรรม แล้วเรียกเข้าหมู่ ๑ รู้ฉันทะของคณะ แล้วเรียกเข้าหมู่ ๑ เรียกภิกษุณีผู้ประพฤติชอบแล้วเข้าหมู่ ๑ เรียกเข้าหมู่ในเมื่อการกสงฆ์ผู้ทำกรรมไม่มี ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๔ จบ.

อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์
สัตตรสกัณฑ์ สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๔
 วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๔ พึงทราบดังนี้ :-  ที่วางเท้าที่ล้างแล้ว ชื่อว่า ตั่งรองเท้า.
ที่สำหรับรองเท้าที่ยังไม่ได้ล้าง ชื่อว่า กระเบื้องเช็ดเท้า. 
 ข้อว่า อนญฺญาย คณสฺส ฉนฺทํ
ได้แก่ ไม่รู้ฉันทะของคณะผู้กระทำนั้นนั่นแล.
สองบทว่า วตฺเต วตฺตนฺตึ ได้แก่ ผู้ประพฤติชอบในเนตถารวัตร (วัตรเป็นเหตุสลัดออก) ๔๓ ประเภท.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
    สิกขาบทนี้มีการทอดธุระเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางกายวาจากับจิต เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ สัตตรสกัณฑ์ สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๓ เรื่องอันเตวาสินีของพระเถรีภัททากาปิลานี

     [๔๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดีเขตพระนครสาวัตถี.
    ครั้งนั้น ภิกษุณีอันเตวาสินีของพระเถรีภัททากาปิลานี ทะเลาะกับภิกษุณีทั้งหลายแล้วหนีไปสกุลญาติในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง. พระเถรีภัททากาปิลานีไม่เห็นนาง
     จึงถามภิกษุณีทั้งหลายว่า ภิกษุณีมีชื่อนี้หายไปไหน?
    ภิกษุณีทั้งหลายตอบว่า เธอทะเลาะกับภิกษุณีทั้งหลาย แล้วก็หายไป เจ้าค่ะ.
    พระเถรีขอร้องว่า สกุลญาติของเธออยู่ที่ตำบลบ้านโน้น ขอแม่เจ้าช่วยโปรดไปสืบถามดูที่บ้านทันที.
    ภิกษุณีทั้งหลายไปที่บ้านนั้น พบเธอแล้วถามว่า แม่เจ้า ทำไมเธอจึงมาคนเดียวเล่า ไม่ถูกคนรังแกบ้างหรือ?
    ภิกษุณีนั้นตอบว่า ไม่ถูก เจ้าข้า.
    บรรดาภิกษุณีทั้งหลายที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าไฉนภิกษุณีจึงได้ไปในละแวกบ้านคนเดียวเล.
ทรงสอบถาม      พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีผู้เดียวไป ในละแวกบ้าน จริงหรือ?
 ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีผู้เดียวจึงได้ไปในละแวกบ้านเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
     ก็แลภิกษุณีตั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระบัญญัติ    ๑๑. ๓. อนึ่ง ภิกษุณีใด ผู้เดียวไปสู่ละแวกบ้าน ภิกษุณีแม้นี้ ก็ต้องธรรมคือสังฆาทิเสส ชื่อนิสสารณียะ มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ.
    ก็สิกขาบทนี้ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุณีทั้งหลายด้วยประการฉะนี้. เรื่องอันเตวาสินีของพระเถรีภัททากาปิลานี จบ.
รื่องภิกษุณีสองรูป
    [๔๑] สมัยต่อมา ภิกษุณีสองรูปเดินทางจากเมืองสาเกตไปพระนครสาวัตถี ในระหว่างทางต้องข้ามแม่น้ำ. จึงภิกษุณีสองรูปนั้นเข้าไปหาพวกคนพายเรือแล้ววิงวอนว่า ขอท่านได้โปรดสงเคราะห์ให้พวกข้าพเจ้าข้ามฟากสักหน่อย.
    พวกคนเรือกล่าวว่า แม่เจ้าทั้งหลาย พวกข้าพเจ้าไม่สามารถให้ข้ามแม่น้ำคราวเดียวสองรูปได้ คนเรือคนหนึ่ง ยังภิกษุณีรูปหนึ่งให้ข้ามฟาก. เขาข้ามถึงฝั่งแล้วได้ข่มขืนใจภิกษุณีรูปที่ข้ามฟาก. คนเรือที่ยังไม่ข้ามฟากมา ก็ ข่มขืนใจภิกษุณีรูปที่ยังไม่ข้ามฟากมา. เธอทั้งสองนั้นภายหลังพบกันแล้วถามกันขึ้นว่า เธอไม่ถูกรังแกดอกหรือ?
    รูปที่ถูกถามตอบว่า ดิฉันถูก เจ้าค่ะ ก็เธอไม่ถูกรังแกหรือ?
    อีกรูปหนึ่งตอบว่า ดิฉันก็ถูก เจ้าค่ะ.
    ครั้นภิกษุณีเหล่านั้นไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย.    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีรูปเดียว จึงไปฝั่งแม่น้ำแล้วแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
     พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีรูปเดียว ไปฝั่งแม่น้ำ จริงหรือ?.
    ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีรูปเดียว จึงได้ไปฝั่งแม่น้ำเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระอนุบัญญัติ ๑    ๑๑. ๓ ก. อนึ่ง ภิกษุณีใด ผู้เดียวไปสู่ละแวกบ้านก็ดี ผู้เดียวไปสู่ฝั่งแม่น้ำก็ดีภิกษุณีแม้นี้ก็ต้องธรรมคือสังฆาทิเสส ชื่อนิสสารณียะ มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ.
    ก็แลสิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องภิกษุณีสองรูป จบ
เรื่องภิกษุณีหลายรูป
    [๔๒] สมัยต่อมา ภิกษุณีหลายรูปได้พากันไปสู่พระนครสาวัตถีในโกศลชนบท เข้าถึงบ้านตำบลหนึ่งในเวลาเย็น. ในบรรดาภิกษุณีเหล่านั้น รูปหนึ่งทรงโฉมวิไล น่าพิศ พึงชม.
    บุรุษผู้หนึ่งพอได้สบนางก็มีจิตปฏิพัทธ์. จึงเมื่อเขาตกแต่งที่พักแรมถวายภิกษุณีเหล่านั้น ได้จัดที่พักแรมสำหรับภิกษุณีสวยนั้นไว้ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
    คราวนั้น นางกำหนดรู้ได้ทันทีว่า บุรุษผู้นี้ถูกราคะกลุ้มรุมแล้ว ถ้ากลางคืนเขาจักเข้าหา ความเสียหายจักมีแก่เรา แล้วไม่บอกลาภิกษุณีทั้งหลาย หนีไปพักแรมในสกุลอื่น.
    ครั้นเวลาราตรีบุรุษนั้นมาค้นหาภิกษุณีสวยนั้น ได้กระทบถึงภิกษุณีทั้งหลาย. ภิกษุณีทั้งหลายไม่เห็นภิกษุณีสวยนั้น จึงพูดกันอย่างนี้ว่า นางตามผู้ชายไปแล้วเป็นแน่.
    ครั้นราตรีนั้นผ่านไป ภิกษุณีสาวก็เข้าไปหาภิกษุณีทั้งหลาย. ภิกษุณีทั้งหลายถามนางว่าเธอเดินออกไปกับผู้ชายอื่นหรือ?
    นางปฏิเสธว่า ไม่ได้เดินกับผู้ชาย เจ้าค่ะ แล้วเล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย.
    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนในเวลาราตรีภิกษุณีจึงได้อยู่แต่ลำพังปราศจากพวกเล่า
ทรงสอบถาม
    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีผู้เดียวอยู่ปราศจากพวกในราตรี จริงหรือ?
 ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีผู้เดียว จึงได้อยู่ปราศจากพวกในราตรีเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 ก็แล ภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระอนุบัญญัติ ๒    ๑๑. ๓. ข. อนึ่ง ภิกษุณีใด ผู้เดียวไปสู่ละแวกบ้านก็ดี ผู้เดียวไปสู่ฝั่งแม่น้ำก็ดี ผู้เดียวอยู่ปราศจากพวกในราตรีก็ดี ภิกษุณีแม้นี้ก็ต้องธรรมคือสังฆาทิเสส ชื่อนิสสารณียะ มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ.
    ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ. 
เรื่องภิกษุณีหลายรูป
    [๔๓] สมัยต่อมา ภิกษุณีหลายรูปเดินทางไกลไปพระนครสาวัตถี ในโกศลชนบท. ภิกษุณีรูปหนึ่งในจำนวนนั้นปวดอุจจาระ จึงได้เดินล้าหลังไปแต่ผู้เดียว. พวกชาวบ้านพบนางแล้ว ได้ข่มขืนใจ. ต่อมานางเข้าไปหาภิกษุณีพวกนั้น ภิกษุณีพวกนั้นได้ถามว่า ทำไมเธอจึงเดินล้าหลังแต่ผู้เดียวเล่า ไม่ถูกคนรังแกดอกหรือ?
  นางตอบว่า ถูกรังแกมาแล้ว.
    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงเดินปลีกไปจากคณะแต่ผู้เดียวเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีเดินปลีกไปจากคณะแต่ผู้เดียวจริงหรือ? 
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีผู้เดียวจึงได้เดินปลีกไปจากคณะเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระอนุบัญญัติ    ๑๑. ๓. ค. อนึ่ง ภิกษุณีใด ผู้เดียวไปสู่ละแวกบ้านก็ดี ผู้เดียวไปสู่ฝั่งแม่น้ำก็ดี ผู้เดียวอยู่ปราศจากพวกในราตรีก็ดี ผู้เดียวเดินปลีกไปจากคณะก็ดี ภิกษุณีแม้นี้ก็ต้องธรรม คือ สังฆาทิเสส ชื่อนิสสารณียะ มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ. เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    [๔๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด &@ บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    บทว่า ผู้เดียวเดินไปสู่ละแวกบ้านก็ดี ความว่า บ้านที่มีเครื่องล้อม ย่างเท้าล่วงเข้าเขต ล้อมก้าวที่หนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ก้าวที่สอง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส. บ้านที่ไม่มีเครื่องล้อม ย่างเท้าล่วงอุปจารก้าวที่หนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ก้าวที่สองต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    บทว่า ผู้เดียวเดินไปสู่ฝั่งแม่น้ำก็ดี ความว่า สถานที่ที่นางภิกษุณีครองผ้าปกปิดมณฑลสาม เดินข้ามน้ำในที่ใดที่หนึ่ง ผ้าอันตรวาสกเปียก ชื่อว่าแม่น้ำ. ย่างเท้าข้ามก้าวที่หนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ย่างเท้าข้ามก้าวที่สอง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    บทว่า ผู้เดียวอยู่ปราศจากพวกในราตรีก็ดี ความว่า จวนจะละหัตถบาสเพื่อนภิกษุณีพร้อมกับอรุณขึ้น ต้องอาบัติถุลลัจจัย ละแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    บทว่า ผู้เดียวเดินปลีกไปจากคณะก็ดี ความว่า ในป่าไม่มีหมู่บ้าน จวนจะละอุปจารแห่งการมองเห็น หรือได้ยินเสียงเพื่อนภิกษุณี ต้องอาบัติถุลลัจจัย ละแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    [๔๕] บทว่า ภิกษุณีแม้นี้ พระผู้มีพระภาคตรัสเทียบเคียงภิกษุณีรูปก่อน.    บทว่า มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ ความว่า ต้องอาบัติพร้อมกับการล่วงวัตถุ โดยไม่ต้องสวดสมนุภาส.
    ที่ชื่อว่า นิสสารณียะ แปลว่า ถูกขับออกจากหมู่.
    บทว่า สังฆาทิเสส ความว่า สงฆ์เท่านั้นให้มานัต ... แม้เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่าสังฆาทิเสส.
อนาปัตติวาร    [๔๖] มีเพื่อนภิกษุณีไปตามด้วยก็ดี สึกแล้วก็ดี ถึงมรณภาพแล้วก็ดี ไปเข้ารีตเดียรถีย์ก็ดี ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓ จบ.
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์สัตตรสกัณฑ์ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓
นสิกขาบทที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
ว่าด้วยเขตย่างเท้าทำให้ภิกษุณีต้องอาบัติ
    ในคำว่า อติกฺกาเมนฺติยา นี้ มีวินิจฉัยว่า เมื่อภิกษุณียกเท้าข้างหนึ่งก้าวไป เป็นถุลลัจจัย, พอเมื่อก้าวเท้าที่ ๒ ล่วงไป เป็นสังฆาทิเสส.
    ในคำว่า อปริกฺขิตฺตสฺส คามสฺส อุปจารํ นี้ มีวินิจฉัยว่า ภิกษุณีเดินเลยที่ควรล้อมไปด้วยเท้าข้างหนึ่ง เป็นถุลลัจจัย, พอเมื่อก้าวเดินไปด้วยเท้าข้างที่ ๒ เป็นสังฆาทิเสส.
    อีกนัยหนึ่ง ในคำว่า ปริกฺเขปํ อติกฺกาเมนฺติยา เป็นต้นนี้ บัณฑิตพึงทราบคำพิสดารว่า ภิกษุณีออกจากบ้านของตนไป ไม่เป็นอาบัติ เพราะละแวกบ้านเป็นปัจจัย. แต่ครั้นออกไปแล้วไปยังละแวกบ้าน (อื่น) เป็นทุกกฏทุกๆ ย่างเท้า.
     แต่เมื่อล่วงเลยเครื่องล้อม หรืออุปจารของบ้านอีกบ้านหนึ่ง ไปด้วยเท้าข้างหนึ่ง เป็นถุลลัจจัย, พอก้าวเลยไปด้วยเท้าที่ ๒ เป็นสังฆาทิเสส. แม้ภิกษุณีผู้ออกจากละแวกบ้านนั้นไปแล้วกลับเข้ามายังบ้านของตน ก็นัยนี้เหมือนกัน.
    แต่ถ้าภิกษุณีอาจจะเข้าไปยังฟื้นที่ของวัดนั่นแลได้ทางกำแพงพัง หรือทางช่องรั้ว, เมื่อเข้าไปอย่างนี้ จัดว่าเป็นผู้เข้าไปยังกัปปิยภูมิ เพราะเหตุนั้นจึงสมควร. ถ้าแม้นว่า ภิกษุณีจะเข้าไปด้วยพาหนะมีหลังช้างเป็นต้น
    หรือ ด้วยฤทธิ์ ก็ควรเหมือนกัน. เพราะว่า การเดินไปด้วยเท้าเท่านั้น ท่านประสงค์เอาในสิกขาบทนี้. ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า ปฐมํ ปาทํ อติกฺกาเมนฺติยา เป็นต้น.
    บ้าน ๒ บ้านมีรั้วติดกันกับวัดของภิกษุณี. วัดของภิกษุณีอยู่ใกล้บ้านใด ภิกษุณีจะเที่ยวไปบิณฑบาตในบ้านนั้นแล้ว กลับเข้าสู่วัด เดินไปตามทางของอีกบ้านหนึ่ง ซึ่งถ้ามีทางผ่านท่ามกลางวัดไป ก็ควร. แต่ควรจะกลับมาจากบ้านนั้นโดยทางนั้นเหมือนกัน. ถ้าภิกษุณีออกมาทางประตูบ้าน. พึงทราบชนิดแห่งอาบัติโดยนัยก่อนนั่นแหละ.
    เมื่อภิกษุณีออกจากบ้านของตน พร้อมกับพวกภิกษุณี ด้วยกรณียะบางอย่าง ในเวลากลับเข้ามา ช้างหลุดมาก็ดี มีการขับไล่ให้หลีกไปก็ดี พวกภิกษุณีนอกนี้รีบเข้าไปยังบ้าน, พึงยืนคอยนอกประตูจนกว่าภิกษุณีอื่นจะมา. ถ้ายังไม่มา, ภิกษุณีผู้เป็นเพื่อนชื่อว่าหลีกไปแล้ว, จะเข้าไป ก็ควร.
    เมื่อก่อนบ้านเป็นบ้านใหญ่ซึ่งมีวัดภิกษุณีอยู่ท่ามกลาง. ภายหลังคน ๔ คนได้ (ครอบครอง) บ้านนั้นแล้วแบ่งกันใช้สอย กั้นรั้วล้อมไว้เป็นสัดส่วน. ภิกษุณีจะไปยังบ้านใดบ้านหนึ่ง จากวัด ควรอยู่. จะเข้าไปยังบ้าน
    อีกบ้านหนึ่งจากบ้านที่ไปแล้วนั้น ทางประตูบ้านหรือทางช่องรั้ว ไม่ควร. ควรย้อนกลับมายังวัดก่อน. เพราะเหตุไร? เพราะวัดเป็นที่สาธารณะแก่บ้านทั้ง ๔.
ว่าด้วยลักษณะแม่น้ำและภิกษุณีผู้ไปยังฝั่งแม่น้ำ
    สองบทว่า อนฺตรวาสโก เตมียติ มีความว่า สถานที่ซึ่งภิกษุณีครองผ้าโดยอาการปิดมณฑล ๓ ลุยข้ามไป ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ทางท่าหรือมิใช่ท่าในหน้าฝน อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) เปียกแม้เพียงนิ้วหรือ ๒ นิ้ว (ชื่อว่าแม่น้ำ). ลักษณะแห่งแม่น้ำที่เหลือ จักมีแจ้งในนทีนิมิตตกถา.
    ในเวลาที่ภิกษุณีลุยข้ามแม่น้ำมีรูปเห็นปานนี้ ทางท่าของแม่น้ำ หรือมิใช่ท่า เมื่อยกเท้าที่ ๑ ขึ้นวางบนฝั่ง เป็นถุลลัจจัย ในการยกเท้าที่ ๒ เป็นสังฆาทิเสส.
    เดินไปตามสะพาน ไม่เป็นอาบัติ. ในเวลาลุยข้ามด้วยเท้า ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุณีผู้เหนี่ยวสะพานข้ามไป. แต่ในเวลาข้ามไปทางสะพาน เมื่อเดินไป เป็นอาบัติเหมือนกัน.
    แม้ในการไปทางยาน ทางเรือ และทางอากาศเป็นต้นก็มีนัยนี้นั่นแล. เมื่อภิกษุณี (กระโดด) จากฝั่งนี้เหยียบฝั่งโน้นเลย ไม่เป็นอาบัติ.
     พวกภิกษุณีไปเพื่อทำการย้อมจีวร ๒-๓ รูปเที่ยวไปแทบฝั่งทั้งสอง ด้วยกิจมีการรวบรวมฟืนมาเป็นต้น ควรอยู่. แต่ถ้าว่า บรรดาภิกษุณีเหล่านี้ บางรูปก่อการทะเลาะกันแล้ว
    ไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เป็นอาบัติสองรูปข้ามน้ำไปด้วยกัน, รูปหนึ่งทำการทะเลาะกัน ในกลางแม่น้ำ กลับมาสู่ฝั่งนี้อีก ก็เป็นอาบัติ. แต่ภิกษุณีรูปนี้เป็นผู้ตั้งอยู่ในฐานแห่งภิกษุณีมีเพื่อนหลีกไปของภิกษุณีอีกรูปหนึ่ง
    เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุณีผู้ไปสู่ฝั่งโน้น. ภิกษุณีผู้ลงสู่แม่น้ำเพื่ออาบ หรือเพื่อดื่มน้ำ แล้วกลับขึ้นสู่ฝั่งเดิมนั่นแหละ ไม่เป็นอาบัติ.
ในคำว่า สห อรุณุคฺคมนา นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
     ถ้าภิกษุณีทำการสาธยายก็ดี ความเพียรก็ดี กรรมอะไรๆ อย่างอื่นก็ดี ทำความคำนึงว่า เราจักไปยังสำนักแห่งเพื่อนภิกษุณี ก่อนอรุณขึ้นนั่นแล. แต่เมื่อเธอยังไม่ทันรู้นั่นแล
    อรุณขึ้นเสียก่อน, ไม่เป็นอาบัติ. แต่ถ้าว่าเธอพักอยู่ในเอกเทศแห่งวิหารโดยความคำนึง หรือโดยมิได้คำนึงว่า เราจักอยู่ในที่นี้แลจนถึงอรุณขึ้น. เธอไม่ย่างลงสู่หัตถบาสแห่งเพื่อนภิกษุณีในเวลาอรุณขึ้น เป็นสังฆาทิเสส.
    จริงอยู่ หัตถบาสเท่านั้น เป็นประมาณในสิกขาบทนี้. ในการล่วงเลยหัตถบาสไป แม้ห้องเดียวกัน ก็คุ้มอาบัติไม่ได้. &@ ในคำว่า อคามเก อรญฺเญ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
    ที่ชื่อว่าป่า เฉพาะที่มีลักษณะดังที่ตรัสไว้อย่างนี้ว่า นอกเสาอินทขีลออกไป ที่ทั้งหมดนี้ ชื่อว่าป่า. ก็ป่านี้นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อคามกํ เพราะไม่มีบ้านอย่างเดียว, ไม่ใช่เพราะเป็นเช่นกับป่าดงดิบ.   เมื่อภิกษุณียังเข้าป่าเช่นนั้น ละอุปจารแห่งการมองเห็นไปแล้ว ถ้าแม้อุปจารแห่งการได้ยิน ยังมีอยู่ ก็เป็นอาบัติ. ด้วยเหตุนั้น
    ในอรรถกถา ท่านจึงกล่าวว่า เมื่อพวกภิกษุณีเข้าไปสู่ลานมหาโพธิ์ ภิกษุณีรูปหนึ่งยืนอยู่ข้างนอก เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุณีรูปนั้น. ในพวกภิกษุณีผู้เข้าไปยังโลหปราสาทก็ดี ผู้เข้าไปยังบริเวณก็ดี ก็นัยนี้เหมือนกัน.
    ในการไหว้พระมหาเจดีย์เป็นต้น ภิกษุณีรูปหนึ่ง ออกไปทางประตูด้านเหนือ เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุณีรูปนั้น. บรรดาภิกษุณีผู้เข้าไปยังถูปาราม รูปหนึ่งยืนอยู่ข้างนอก, แม้รูปนั้นก็เป็นอาบัติ. ก็บรรดาอุปจารแห่งการมองเห็นและอุปจารแห่งการได้ยินนี้ เพื่อนภิกษุณีเห็นภิกษุณีผู้ยืนอยู่ในที่ใด ที่นั้นชื่อว่า อุปจารแห่งการมองเห็น
    แต่ถ้ามีแม้ม่านกั้นระหว่างอยู่ ภิกษุณี ชื่อว่าละอุปจารแห่งการมองเห็น. สถานที่ซึ่งเพื่อนภิกษุณียืนอยู่ ได้ยินเสียงของภิกษุณีผู้เปล่งเสียงว่า อยฺเย ด้วยเสียงดุจเสียงกู่แห่งคนหลงทาง และด้วยเสียงดุจเสียงร้องบอกให้ฟังธรรม
    ชื่อว่าอุปจารแห่งการได้ยิน ในโอกาสกลางแจ้ง ถึงไกล ก็จัดเป็นทัสสนูปจารได้. ทัสสนูปจารนั้น คุ้มไม่ได้ ในเมื่อภิกษุณีละสวนูปจารเห็นปานนั้นไป. พอละสวนูปจารเท่านั้น ก็ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    ภิกษุณีรูปหนึ่ง เดินทางล้าหลังเพื่อน, ถ้ายังเป็นผู้มีความอุตสาหะเดินติดตามไปด้วยตั้งใจว่า เราจักตามให้ทันเดี๋ยวนี้ ไม่เป็นอาบัติ. ถ้าหากภิกษุณีพวกข้างหน้าไปเสียทางอื่น จัดว่าเป็นผู้มีเพื่อนภิกษุณีหลีกไป ไม่เป็นอาบัติเหมือนกัน.
    บรรดาภิกษุณี ๒ รูปเดินทางไปด้วยกัน รูปหนึ่งไม่อาจตามทัน เดินล้าหลังด้วยคิดว่า เชิญแม่นี้ไปเถิด แม้อีกรูปหนึ่งก็เดินไปด้วยคิดว่า เชิญแม่นี้ล้าหลังอยู่เถิด เป็นอาบัติทั้งสองรูป.
    แต่ถ้าว่า ในภิกษุณี ๒ รูป ผู้กำลังเดินทาง รูปเดินหน้ายึดเอาทางสายหนึ่งก็ดี รูปเดินหลังยึดเอาทางสายหนึ่งก็ดี, รูปหนึ่งตั้งอยู่ในฐานแห่งผู้มีเพื่อนหลีกไปของอีกรูปหนึ่ง จึงไม่เป็นอาบัติแม้ทั้งสองรูป.
    บทว่า ปกฺขสงฺกนฺตา วา ได้แก่ ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
    สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิก เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.

04 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ สัตตรสกัณฑ์ สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๒ เรื่องชายาเจ้าลิจฉวีกับภิกษุณีถุลลนันทา

     [๓๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
    ครั้งนั้น ชายาของเจ้าลิจฉวีองค์หนึ่งในพระนครเวสาลีประพฤตินอกใจ. จึงเจ้าลิจฉวีองค์นั้นรับสั่งกะนางว่าเจ้างดเว้นได้เป็นการดี เราจักทำความพินาศให้แก่เจ้า. แม้นางถูกว่ากล่าวอย่างนี้ก็ไม่เชื่อฟัง.
    ก็สมัยนั้นแล คณะเจ้าลิจฉวีแห่งพระนครเวสาลีกำลังประชุมกันด้วยกรณียะบางอย่าง. จึงเจ้าลิจฉวีองค์นั้นได้กล่าวกะเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นว่า ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ขอจงโปรดอนุญาตสตรีผู้หนึ่งให้แก่ข้าพเจ้า.
คณะถามว่า สตรีผู้นั้นคือใคร?
    เจ้าชายสามีของนางตอบว่า คือ ภรรยาของข้าพเจ้า ประพฤตินอกใจ ข้าพเจ้าจักฆ่านาง.
คณะกล่าวว่า จงเข้าใจเอาเอง รู้เอาเองเถิด.
    สตรีผู้นั้นทราบข่าวว่า สามีใคร่จักฆ่าเรา จึงเก็บสิ่งของที่ดีๆ หนีไปยังพระนครสาวัตถี เข้าหาเหล่าเดียรถีย์ขอบวช พวกเดียรถีย์ไม่ปรารถนาจะให้นางบวช นางจึงเข้าไป
    หาภิกษุณี ขอบวช แม้ภิกษุณีทั้งหลายก็ไม่ปรารถนาจะให้นางบวช จึงเข้าไปหาภิกษุณีถุลลนันทา แสดงห่อของแล้วขอบวช ภิกษุณีถุลลนันทารับห่อของ แล้วให้นางบวช.
     ครั้นเจ้าลิจฉวีนั้นทรงสืบหาสตรีนั้นไปถึงพระนครสาวัตถี พบนางบวชอยู่ในสำนักภิกษุณีจึงเข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า ขอเดชะ ชายาของหม่อมฉันลักของมีค่ามาสู่พระนครสาวัตถี ขอพระองค์จงทรงอนุญาตชายาของหม่อมฉันผู้นั้นเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
  พระราชารับสั่งว่า พนาย ถ้าเช่นนั้น เชิญท่านค้นหา พบแล้วมาบอก.
    เจ้าลิจฉวีกราบทูลว่า หม่อมฉันเห็นนางบวชอยู่ในสำนักภิกษุณี พระพุทธเจ้าข้า.
    พระราชาตรัสว่า ถ้านางบวชอยู่ในสำนักภิกษุณี เราก็ทำอะไรนางไม่ได้ เพราะพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ขอนางจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
    จึงเจ้าลิจฉวีนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนเหล่าภิกษุณีจึงได้ให้หญิงโจรบวชเล่า.
    ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินเจ้าลิจฉวีนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้ให้หญิงโจรบวชเล่า แล้วแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
ทรงสอบถาม    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีถุลลนันทาให้หญิงโจรบวชหรือ จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทา จึงได้ให้หญิงโจรบวชเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ก็แลภิกษุณีทั้งหลาย จงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระบัญญัติ     ๑๐. ๒. อนึ่ง ภิกษุณีใด รู้อยู่ว่าหญิงเป็นโจร ผู้ปรากฏ เป็นนักโทษประหาร ไม่บอกกล่าวพระราชา หมู่ คณะ นายหมวดหรือนายกอง รับให้บวช เว้นแต่บวชมาแล้ว ภิกษุณีแม้นี้ก็ต้องธรรมคือสังฆาทิเสส ชื่อนิสสารณียะ มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ. เรื่องชายาเจ้าลิจฉวีกับภิกษุณีถุลลนันทา จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    [๓๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้. ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    ที่ชื่อว่า รู้ คือ รู้เองก็ตาม คนอื่นบอกแก่นางก็ตาม เจ้าตัวบอกก็ตาม.
    ที่ชื่อว่า โจร ความว่า สตรีใดถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้ อันเป็นส่วนขโมย ได้ราคาห้ามาสกก็ดี เกินกว่าห้ามาสกก็ดี สตรีนั้นชื่อว่าเป็นโจร.
      ที่ชื่อว่า ถูกประหาร ได้แก่ ผู้ทำกรรมถึงถูกฆ่า.
   ที่ชื่อว่า ผู้ปรากฏ คือ ผู้ที่คนอื่นรู้กันแล้วว่า นางนี้จะต้องถูกประหาร.
    บทว่า ไม่บอกกล่าว คือ ไม่ขออนุญาต.
    ที่ชื่อว่า พระราชา ความว่า พระราชาทรงปกครองในถิ่นใด ต้องขอพระบรมราชานุญาตในถิ่นนั้น.
    ที่ชื่อว่า หมู่ ตรัสหมายหมู่ภิกษุณี ต้องบอกหมู่ภิกษุณี.
     ที่ชื่อว่า คณะ ความว่า คณะปกครองในถิ่นใด ต้องบอกคณะในถิ่นนั้น.
     ที่ชื่อว่า นายหมวด ความว่า นายหมวดปกครองในถิ่นใด ต้องบอกนายหมวดในถิ่นนั้น.
     ที่ชื่อว่า นายกอง ความว่า นายกองปกครองในถิ่นใด ต้องบอกนายกองในถิ่นนั้น.
     บทว่า เว้นแต่บวชมาแล้ว ความว่า เว้นสตรีที่บวชมาแล้ว.
    ที่ชื่อว่า บวชมาแล้ว มีสอง คือ บวชมาแล้วในสำนักเดียรถีย์ ๑ บวชมาแล้วในสำนัก ภิกษุณีเหล่าอื่น ๑.
    เว้นแต่สตรีที่บวชมาแล้ว ภิกษุณีรับว่าจักให้บวช แล้วแสวงหาคณะก็ดี อาจารินีก็ดี บาตรก็ดี จีวรก็ดี หรือสมมติสีมา ต้องอาบัติทุกกฏ จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย จบกรรมวาจาครั้งสุด อุปัชฌายา ต้องอาบัติสังฆาทิเสส คณะและอาจารินี ต้องอาบัติทุกกฏ.
    [๓๗] บทว่า ภิกษุณีแม้นี้ พระผู้มีพระภาคตรัสเทียบเคียงภิกษุณีรูปก่อนๆ
    บทว่า มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ คือ ต้องอาบัติพร้อมกับล่วงวัตถุโดยไม่ต้องสวด สมนุภาส.
     ที่ชื่อว่า นิสสารณียะ ได้แก่ ขับออกจากหมู่.
     บทว่า สังฆาทิเสส ความว่า สังฆ์เท่านั้น ให้มานัตเพื่ออาบัตินั้น ... แม้เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส. บทภาชนีย์
    [๓๘] หญิงโจร ภิกษุณีสำคัญว่าหญิงโจร รับให้บวช เว้นแต่บวชมาแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    หญิงโจร ภิกษุณีสงสัย รับให้บวช เว้นแต่บวชมาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
     หญิงโจร ภิกษุณีสำคัญว่าไม่ใช่หญิงโจร รับให้บวช เว้นแต่บวชมาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
     ไม่ใช่หญิงโจร ภิกษุณีสำคัญว่าหญิงโจร รับให้บวช เว้นแต่บวชมาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
     ไม่ใช่หญิงโจร ภิกษุณีสงสัย รับให้บวช เว้นแต่บวชมาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
    ไม่ใช่หญิงโจร ภิกษุณีสำคัญว่าไม่ใช่หญิงโจร รับให้บวช เว้นแต่บวชมาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
    [๓๙] ไม่รู้ รับให้บวช ๑ ขออนุญาตแล้ว รับให้บวช ๑ บวชมาในฝ่ายอื่นแล้ว รับให้อยู่ในสำนัก ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๒ จบ.
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์ สัตตรสกัณฑ์ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๒
 ในสิกขาบทที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- 
              แก้อรรถบางปาฐะ เรื่องภิกษุณีให้บวชหญิงโจร
     บทว่า วรภณฺฑํ ได้แก่ ภัณฑะที่มีค่ามาก เช่น แก้วมุกดา แก้วมณีและแก้วไพฑูรย์เป็นต้น.
บทว่า อปโลเกตฺวา แปลว่า ไม่บอกกล่าว.
     บทว่า คณํ วา ได้แก่ คณะ มีมัลลคณะและภัททปุตตคณะ๑- เป็นต้น.
บทว่า ปูคํ ได้แก่ ธรรมคณะ.๒-
     บทว่า เสนึ ได้แก่ หมู่ชนผู้เป็นช่างทำของหอมและหมู่ชนผู้เป็นช่างหูกเป็นต้น.
    จริงอยู่ พระราชาทั้งหลายย่อมพระราชทานมอบบ้านและนิคมแก่หมู่ชนมีคณะเป็นต้น ในสถานที่ใดๆ ว่า พวกท่านเท่านั้นจงปกครองในบ้านและนิคมนี้. ชนพวกนั้นนั่นแหละย่อมเป็นใหญ่ในบ้านและนิคมนั้นๆ.
เพราะเหตุนั้น คำว่า คณํ วา เป็นต้นนี้ ตรัสหมายเอาชนพวกนั้น.
    ก็บรรดาอิสรชนมีพระราชาเป็นต้นนี้ ภิกษุณีแม้ทูลขอพระบรมราชานุญาต หรือบอกกล่าวพวกชนมีคณะเป็นต้นแล้ว ต้องบอกกล่าวภิกษุณีสงฆ์ด้วย.
     สองบทว่า ฐเปตฺวา กปฺปํ มีความว่า เว้นหญิงผู้ได้ข้ออ้างเคยบวชแล้วในหมู่เดียรถีย์ หรือในหมู่ภิกษุณีอื่น.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
    สิกขาบทนี้มีการให้หญิงโจรบวชเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางวาจากับจิต สำหรับภิกษุณีผู้เมื่อพวกภิกษุณีหลีกไปด้วยกรณียะบางอย่าง ไม่ไปยังขัณฑสีมา ให้หญิงโจรบวชกับบริษัทผู้เป็นนิสิตของตน ในสถานที่ตามที่ตนนั่งอยู่นั่นแล เกิดขึ้น
    ทางกายวาจากับจิต สำหรับภิกษุณีผู้ไปยังขัณฑสีมา หรือแม่น้ำแล้วให้บวช เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยาด้วยอำนาจการไม่บอกกล่าวการให้บวชเป็นสัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล. 
๑- สารตฺถทีปนี ๓/๔๐๑ ให้อรรถาธิบายว่า คณะผู้บำเพ็ญบุญกรรม มีจัดตั้งน้ำดื่มและขุดสระน้ำเป็นต้น ไว้ในที่นั้นๆ ซึ่งเป็นผู้มีความภักดี (นับถือ) พระนารายณ์ ชื่อว่า มัลลคณะ. คณะผู้มีความภักดี (นับถือ) พระกุมาร (พระบุตร) ชื่อว่า ภัททิปุตตคณะ. ๒- คณะผู้บำเพ็ญบุญกรรมมีประการต่างๆ ซึ่งมีความภักดีต่อพระศาสนา เรียกว่า ธรรมคณะ.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ สัตตรสกัณฑ์ สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑ เรื่องอุบาสกกับภิกษุณีถุลลนันทา

     แม่เจ้าทั้งหลาย ก็ธรรมคือสังฆาทิเสส ๑๗
   สิกขาบทนี้แลมาสู่อุเทศ.
    [๓๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
    ครั้งนั้น อุบาสกคนหนึ่งถวายโรงเก็บของแก่ภิกษุณีสงฆ์แล้วถึงอนิจกรรม. เขามีบุตรอยู่ ๒ คน คนหนึ่งเป็นคนไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส อีกคนหนึ่งเป็นคนมี ศรัทธา เลื่อมใส.
    บุตรทั้งสองนั้นแบ่งสมบัติของบิดาแล้ว ต่อมาบุตรคนที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส จึงได้พูดกับบุตรคนที่มีศรัทธาเลื่อมใสว่า โรงเก็บของของเรายังมีอยู่ เรามาแบ่งกันเถิด. เมื่อเขาพูดอย่างนั้นแล้ว บุตรคนที่มีศรัทธาเลื่อมใสพูดห้ามว่า เจ้าอย่าได้พูดอย่างนี้ โรงเก็บของนั้น บิดาของเราได้ถวายภิกษุณีสงฆ์แล้ว.
    แม้ครั้งที่สอง บุตรคนที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ก็พูดว่า โรงเก็บของของเรา เราจะแบ่งกัน.
    ครั้งนั้นแล บุตรคนที่มีศรัทธาเลื่อมใสก็พูดห้ามว่า เจ้าอย่าได้พูดอย่างนี้ โรงเก็บของนั้น บิดาของเราได้ถวายแก่ภิกษุณีสงฆ์แล้ว.
    แม้ครั้งที่สาม บุตรคนที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ก็พูดว่า โรงเก็บของของเรา เราจะแบ่งกัน.
    ครั้งนั้นแล บุตรคนที่มีศรัทธาเลื่อมใสจึงคิดว่า ถ้าโรงเก็บของนั้นจักเป็นของเรา เราก็จักถวายแก่ภิกษุณีสงฆ์ แล้วกล่าวว่า เราจงแบ่งกันเถิด. บังเอิญโรงเก็บของที่เขาทั้งสองแบ่งกันนั้น ได้ตกแก่บุตรคนที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส.
     ครั้งนั้นแล จึงบุตรคนที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ได้เข้าไปหาภิกษุณีทั้งหลาย แล้วบอกว่าเชิญแม่เจ้าทั้งหลายออกไปเถิด เจ้าข้า เพราะโรงเก็บของเป็นของข้าพเจ้า.
     เมื่อเขาบอกอย่างนั้นแล้ว ภิกษุณีถุลลนันทาได้พูดว่า นายอย่าพูดอย่างนี้ บิดาของพวกนายได้ถวายแก่ภิกษุณีสงฆ์แล้ว.
    ต่างเถียงกันอยู่ว่า ถวายแล้ว ไม่ได้ถวาย แล้วฟ้องมหาอำมาตย์ผู้พิพาษา.
    มหาอำมาตย์ ถามว่า แม่เจ้า ใครเล่าจะทราบว่าได้ถวายแล้วแก่ภิกษุณีสงฆ์?
    เมื่อเขาถามอย่างนั้นแล้ว ภิกษุณีถุลลนันทาย้อนถามพวกมหาอำมาตย์เหล่านั้นว่า พวกท่านได้เห็นหรือได้ยินบ้างไหมว่า ทานที่เขาถวายกันต้องตั้งพยานด้วย?
    จึงมหาอำมาตย์เหล่านั้นพูดว่า แม่เจ้าพูดจริงแท้ แล้วได้ตัดสินโรงเก็บของนั้นให้แก่ภิกษุณีสงฆ์.
    ครั้นบุรุษนั้นแพ้คดีแล้ว จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ภิกษุณีโล้นเหล่านี้ไม่เป็นสมณะ เป็นหญิงฉ้อโกง ไฉนจึงได้ให้ผู้พิพากษาริบโรงเก็บของของเราเสียเล่า.
    ภิกษุณีถุลลนันทาได้แจ้งความเรื่องนั้นแก่มหาอำมาตย์. มหาอำมาตย์ได้ให้ปรับไหมบุรุษนั้น.
     ครั้นบุรุษนั้นถูกปรับไหมแล้ว ได้ให้สร้างที่พักอาชีวกไว้ใกล้ๆ สำนักภิกษุณี แล้วส่งพวกอาชีวกไปอยู่ด้วยสั่งว่า จงช่วยกันกล่าวล่วงเกินภิกษุณีพวกนั้น.
    ภิกษุณีถุลลนันทาได้แจ้งความนั้นแก่มหาอำมาตย์. มหาอำมาตย์ได้ให้จองจำเขาแล้ว.
     พวกชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ครั้งแรกพวกภิกษุณีได้ให้เจ้าหน้าที่ริบโรงเก็บของ ครั้งที่สองให้ปรับไหม ครั้งที่สามให้จองจำ คราวนี้เห็นทีจะให้ประหารชีวิต.
     พวกภิกษุณีได้ยินชาวบ้านพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่.     บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้ชอบเป็นคนกล่าวหาเรื่องเล่า แล้วแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทาชอบกล่าวหาเรื่อง จริงหรือ?
 ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทา จึงได้ชอบกล่าวหาเรื่องเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แลภิกษุณีทั้งหลาย จงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระบัญญัติ    ๙.๑. อนึ่ง ภิกษุณีใด ชอบกล่าวหาเรื่องกับคหบดีก็ดี บุตรคหบดีก็ดี ทาสก็ดี กรรมกรก็ดี โดยที่สุด แม้สมณะปริพาชก ภิกษุณีนี้ต้องธรรมคือสังฆาทิเสส ชื่อนิสสารณียะ มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ. เรื่องอุบาสกกับภิกษุณีถุลลนันทา จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    [๓๒] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า กล่าวหาเรื่อง ได้แก่ ที่เขาเรียกว่าผู้ก่อคดี.
ที่ชื่อว่า คหบดี ได้แก่ บุรุษผู้ครอบครองเรือนคนใดคนหนึ่ง.
ที่ชื่อว่า บุตรคหบดี ได้แก่ บุตรหรือพี่น้องชายคนใดคนหนึ่ง. 
ที่ชื่อว่า ทาส ได้แก่ ทาสที่เกิดในเรือนเบี้ย ทาสสินไถ่ ทาสเชลย.
ที่ชื่อว่า กรรมกร ได้แก่ คนรับจ้าง คนที่ถูกเกณฑ์มา.
ที่ชื่อว่า สมณะปริพาชก ได้แก่บุรุษคนใดคนหนึ่งผู้เข้าบวชเป็นปริพาชก เว้นภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร และสามเณรี.
    ภิกษุณีแสวงหาเพื่อนก็ดี เดินไปก็ดี ด้วยตั้งใจว่า จักก่อคดี ต้องอาบัติทุกกฏ บอกแจ้งเรื่องของคนหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ แจ้งเรื่องของคนที่สอง ต้องอาบัติถุลลัจจัย คดีถึงที่สุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
     [๓๓] บทว่า มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ ความว่า ต้องอาบัติพร้อมกับล่วงวัตถุ โดยไม่ต้องสวดสมนุภาส.
    ที่ชื่อว่า นิสสารณียะ ได้แก่ ขับออกจากหมู่.
    บทว่า สังฆาทิเสส ความว่า สงฆ์เท่านั้น ให้มานัตเพื่ออาบัตินั้น ชักเข้าหาอาบัติเดิม เรียกเข้าหมู่ ไม่ใช่คณะมากรูปด้วยกัน ไม่ใช่ภิกษุณีรูปเดียว เพราะฉะนั้น จึงตรัสเรียกว่าสังฆาทิเสส คำว่า สังฆาทิเสส เป็นการขนานนาม คือเป็นชื่อของอาบัตินิกายนั้นแล แม้เพราะเหตุนั้นจึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส.
อนาปัตติวาร    [๓๔] ภิกษุณีถูกมนุษย์เกาะตัวไป ๑ ขออารักขา ๑ บอกไม่เจาะตัว ๑ วิกลจริต ๑ ภิกษุณีอาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ จบ.
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์สัตตรสกัณฑ์ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑
    บัดนี้ จักมีการพรรณนาอรรถที่ยังไม่กระจ่าง แห่งสังฆาทิเสสกัณฑ์ อันเป็นลำดับถัดจาก ปาราชิกมา ดังต่อไปนี้.
สัตตรสสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑
   ว่าด้วยเรื่องภิกษุณีเป็นโจทก์ฟ้องคดีในโรงศาล 
    บทว่า อุทฺโทสิตํ แปลว่า โรงเก็บของ.
    คำว่า มายฺโย เอวํ อวจ แปลว่า นาย! อย่าได้พูดอย่างนั้น.
    บทว่า อปินฺวยฺยา ตัดบทเป็น อปิ นุ อยฺยา แปลว่าพ่อคุณ บ้างไหม?     บทว่า อุจฺจาวทถ แปลว่า พวกท่านจงกล่าวล่วงเกิน มีคำอธิบายว่า จงด่า.
    บทว่า อุสูยวาทิกา ได้แก่ เป็นผู้ชอบกล่าวหาเรื่องด้วยอำนาจความริษยา เพราะมานะ ด้วยอำนาจความริษยา เพราะความโกรธ. แต่เพราะถุลลนันทาภิกษุณีนั้น เป็นผู้ชอบก่อคดีโดยสภาพ ฉะนั้น จึงได้ตรัสไว้ในบทภาชนะว่า ที่ชื่อว่าชอบกล่าวหาเรื่อง ได้แก่ ที่ท่านเรียกว่า ชอบก่อคดี.
    ก็ในคำว่า อฏฺฏการิกา นี้ การวินิจฉัยของพวกตุลาการ ท่านเรียกว่า คดี ซึ่งทางฝ่ายบรรพชิตเรียกว่า อธิกรณ์ บ้างก็มี.
     สองบทว่า ทุติยํ วา ปริเยสติ มีความว่า ภิกษุณีผู้ก่อคดีแสวงหาพยาน หรือเพื่อน เป็นทุกกฏ.
    บทว่า คจฺฉติ วา มีความว่า จะเป็นสำนัก หรือทางเที่ยวภิกษาจารก็ตามที ภิกษุณีเดินไปยังสำนักงานของพวกตุลาการจากที่ที่ตนยืนอยู่ แล้วเกิดความคิดขึ้นว่า เราจักดำเนินคดี เป็นทุกกฏทุกๆ ย่างเท้า.
     สองบทว่า เอกสฺส อาโรเจติ มีความว่า บรรดาชน ๒ คน คนใดคนหนึ่งแจ้งถ้อยคำของคนใดคนหนึ่ง คือของอีกฝ่ายหนึ่ง แก่พวกตุลาการ แม้ในคำว่า ทุติยสฺส อาโรเจติ นี้ ก็นัยนี้นั่นแล.
ส่วนวิตถารกถา เพื่อประโยชน์แก่ความไม่ฟั่นเฝือ
ในคำว่า เอกสฺส อาโรเจติ นี้ ดังต่อไปนี้ :-
     ภิกษุณีเห็นพวกตุลาการ ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง โดยที่สุด แม้ผู้มาสู่สำนักแห่งภิกษุณีแล้วให้การถ้อยคำของตน เป็นทุกกฏแก่ภิกษุณี. อุบาสกให้การถ้อยคำของตน เป็นถุลลัจจัยแก่ภิกษุณี. อุบาสกให้การถ้อยคำของตนก่อน เป็นทุกกฏแก่ภิกษุณี. ถ้าภิกษุณีนั้นให้การถ้อยคำของตน ภิกษุณีเป็นถุลลัจจัย.
    ภิกษุณีพูดกะอุบาสกว่า ท่านนั่นแหละจงแถลงถ้อยคำ (จงให้การปากคำ) ของฉันและของท่าน. อุบาสกนั้นให้การถ้อยคำของตนก่อน หรือจงให้ถ้อยคำของภิกษุณีก่อนก็ตามที เป็นทุกกฏในเพราะให้
    การครั้งแรก เป็นถุลลัจจัยในเพราะให้การครั้งที่ ๒. แม้ในคำว่า อุบาสกพูดกะภิกษุณีว่า ท่านนั่นแหละจงให้การถ้อยคำของผมและของท่าน นี้ก็นัยนี้เหมือนกัน.
    ภิกษุณีใช้กัปปิยการกให้แถลง. บรรดากัปปิยการกและอุบาสกนั้น กัปปิยการกจงให้การถ้อยคำของภิกษุณีก่อนก็ตาม อุบาสกนอกนี้ให้การถ้อยคำของตนก่อนก็ตาม กัปปิยการกจงให้การถ้อยคำของคนทั้ง ๒
    ก็ตาม อุบาสกนอกนี้จงให้การถ้อยคำแม้ของคนทั้ง ๒ ก็ตามที เมื่อชนทั้ง ๒ แถลงบอกอยู่โดยประการใดประการหนึ่ง เป็นทุกกฏแก่ภิกษุณีผู้แถลงให้การครั้งแรก เป็นถุลลัจจัยในการแถลงให้การครั้งที่ ๒.
    แต่เมื่อพวกตุลาการฟังถ้อยแถลงของคนทั้ง ๒ ฝ่ายที่แถลงให้การไปโดยประการอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำการตัดสินแล้ว คดีเป็นอันถึงที่สุด. ในคดีที่ถึงที่สุดนั้น ภิกษุณีจะชนะคดีก็ตาม แพ้ก็ตาม เป็นสังฆาทิเสส.
    แต่ถ้าว่า อธิกรณ์ที่ดำเนินเป็นคดีกันแล้ว เป็นเรื่องที่พวกตุลาการเคยได้ทราบมาก่อน ถ้าพวกตุลาการเหล่านั้น พอเห็นภิกษุณีและผู้ก่อคดี จึงกล่าวว่า ไม่มีกิจที่จะต้องสอบสวนพวกท่าน พวกเรารู้เรื่องนี้ แล้วจึงตัดสินให้เสียเองทีเดียว. แม้ในคดีถึงที่สุดเห็นปานนี้ก็ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุณี.
    สังฆาทิเสสนี้มีการต้องแต่แรกทำ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ปฐมาปัตติกะ. ความว่า พึงต้องในขณะที่ล่วงละเมิดนั่นเอง. ซึ่งสังฆาทิเสสนั้นมีอันอาบัติขณะแรกทำ. แต่ในบทภาชนะเพื่อแสดงแต่เพียงความประสงค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ต้องอาบัติพร้อมกับการล่วงวัตถุ โดยไม่ต้องสวดสมนุภาส.
ก็ในคำนี้ มีใจความดังต่อไปนี้ :-
    ภิกษุณีต้องอาบัติพร้อมกับการล่วงละเมิดวัตถุ ไม่ใช่ในเวลาสวดสมนุภาสครั้งที่ ๓ สังฆาทิเสสนี้ชื่อว่า ปฐมาปัตติกะ เพราะจะพึงต้องพร้อมกับการล่วงละเมิดวัตถุ ตั้งแต่แรกทีเดียวแล.
    สังฆาทิเสสนี้ ชื่อว่านิสสารณียะ เพราะอรรถว่า ขับออกจากหมู่ภิกษุณี. ซึ่งสังฆาทิเสสมีการขับออกจากหมู่นั้น. แต่ในบทภาชนะ เพื่อแสดงแต่เพียงความประสงค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สงฺฆมฺหา นิสฺสารียติ.
    ในบทว่า นิสฺสารณียํ นั้น บัณฑิตพึงเห็นใจความอย่างนี้ว่า ภิกษุณีต้องสังฆาทิเสสใด ถูกขับไล่ออกจากหมู่ สังฆาทิเสสนั้นชื่อว่า นิสสารณียะ.
    จริงอยู่ ธรรมคืออาบัตินั้นใครจะขับออกจากหมู่ไม่ได้เลย แต่ภิกษุณีถูกธรรมนั้นขับออกไป เพราะฉะนั้น ธรรมนั้นจึงชื่อว่า นิสสารณียะ ด้วยอรรถว่า ขับออก.
    สองบทว่า อากฑฺฒียมานา คจฺฉติ มีความว่า ภิกษุณีถูกพวกชาวบ้านผู้ก่อคดีมาด้วยตนเองหรือส่งทูตมา เรียกตัวไปยังสำนักงานของพวกตุลาการ. ต่อจากนั้นผู้ก่อคดีจะแถลงถ้อยคำของตนก่อน หรือถ้อยคำของภิกษุณีก่อนก็ตามที
    ในการแถลงครั้งแรก ก็ไม่เป็นทุกกฏเลย ในการแถลงให้การครั้งที่ ๒ ก็ไม่เป็นถุลลัจจัย. แม้ในคดีที่พวกอำมาตย์ทำการวินิจฉัยถึงที่สุดลงแล้ว ก็ไม่เป็นอาบัติเช่นกัน.
    ถ้าแม้ว่า ผู้ก่อคดีกล่าวกะภิกษุณีว่า ขอให้ท่านนั่นแหละจงแถลงถ้อยคำของผมและของท่าน. ถึงแม้เมื่อภิกษุณีแถลง พวกอำมาตย์ได้ฟังถ้อยคำแล้ว ทำคดีให้ถึงที่สุด ก็ไม่เป็นอาบัติเหมือนกัน.
ว่าด้วยการขออารักขาจากทางบ้านเมือง
    สองบทว่า อารกฺขํ ยาจติ ได้แก่ ขออารักขาอันเป็นธรรมไม่เป็นอาบัติ. บัดนี้ เพื่อแสดงวิธีขออารักขาที่เป็นธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า บอกไม่เจาะตัว.
 ในคำว่า อนุทฺทิสฺส อาจิกฺขติ นั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
    ปรารภอดีต บอกเจาะตัวก็มี บอกไม่เจาะตัวก็มี แม้ปรารภอนาคตบอกเจาะตัวก็มี บอกไม่เจาะตัวก็มี.
    ปรารภอดีตบอกเจาะตัวเป็นอย่างไร? คือ ที่สำนักของภิกษุณี พวกเด็กชาวบ้าน หรือคนอันธพาลมีนักเลงเป็นต้น พวกใดพวกหนึ่งประพฤติอนาจารก็ดี ตัดต้นไม้ก็ดี ขโมยผลไม้น้อยใหญ่ก็ดี แย่งชิงเอาบริขารก็ดี.
    ภิกษุณีเข้าไปหาพวกเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายบอกว่า ที่สำนักของพวกเราถูกทำประทุษกรรมชื่อนี้ เมื่อเขาถามว่า ใครทำ บอกว่า คนโน้นและคนโน้น ด้วยอาการอย่างนี้ จัดเป็นการบอกเจาะตัวปรารภอดีต. การบอกเจาะตัวนั้น ไม่ควร.
    ถ้าพวกเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายเหล่านั้น ฟังคำนั้นแล้วทำการปรับไหมแก่ชนเหล่านั้น ทรัพย์ทั้งหมดที่ถูกปรับไหม เป็นสินใช้แก่ภิกษุณี. แม้เมื่อมีความประสงค์ว่า เราจักรับเอาสินไหม ก็เป็นสินใช้เหมือนกัน. แต่ถ้าภิกษุณีกล่าวว่า ขอให้ท่านปรับไหมผู้นั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ปรับเอาสินไหมประมาณ ๕ มาสก เป็นปาราชิก (แก่ภิกษุณี).
    แต่เมื่อเขาถามว่า ใครทำ ภิกษุณีควรกล่าวว่า การที่จะพูดว่า คนชื่อโน้น ไม่สมควรแก่เรา ท่านรู้เอาเองเถิด เพราะพวกเราเพียงแต่ขออารักขาอย่างเดียว ท่านโปรดให้อารักขานั้นแก่พวกเรา และให้นำของที่ถูกลักไปกลับคืนมา. การขออารักขาไม่เจาะตัวย่อมเป็นอย่างนี้. การขออารักขาไม่เจาะตัวนั้น ควรอยู่.
    เมื่อภิกษุณีกล่าวอย่างนั้นแล้ว ถ้าแม้พวกเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายเหล่านั้น สืบสวนหาตัวผู้ทำแล้ว ทำการปรับไหมแก่คนผู้ทำเหล่านั้น. แม้สมบัติทุกอย่างที่ถูกเจ้าหน้าที่ปรับไหม ไม่เป็นสินใช้ทั้งไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุณีเลย. แม้เห็นพวกขโมยลักบริขารไปจะกล่าวว่า ขโมยๆ เพราะต้องการความพินาศแก่ขโมยเหล่านั้นก็ไม่ควร.
จริงอยู่ แม้เมื่อภิกษุณีกล่าวอย่างนั้น
    ทรัพย์สมบัติที่เจ้าหน้าที่ทำการปรับไหมแก่ขโมยเหล่านั้น แม้ทั้งหมด เป็นสินใช้แก่ภิกษุณี. แต่จะกล่าวกะผู้เชื่อฟังคำของตนว่า ผู้นี้ลักเอาบริขารของเราไป จงให้นำบริขารนั้นกลับคืนมา และอย่าลงโทษเขา ดังนี้ ควรอยู่.
    พวกภิกษุณีทำการฟ้องร้องคดี เพื่อประโยชน์แก่ทาสชาย ทาสหญิงและหนองบึงเป็นต้น. คดีนี้ ชื่อว่า อกัปปิยคดี ไม่สมควร.
    การบอกเจาะตัวปรารภอนาคตเป็นอย่างไร? คือ เมื่อชนเหล่าอื่นทำอนาจารเป็นต้น โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ ภิกษุณีพูดกะพวกเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายอย่างนี้ว่า พวกชาวบ้านทำกรรมนี้และกรรมนี้ ในสำนัก
.  ของพวกเรา ขอจงให้อารักขาแก่พวกเราเพื่อต้องการไม่ให้ทำต่อไป เมื่อเขาถามว่า ใครทำอย่างนี้ บอกว่า คนโน้นและคนโน้น อย่างนี้ จัดเป็นการบอกเจาะตัว
    ปรารภอนาคต. แม้การบอกเจาะตัวนั้น ก็ไม่ควร. เพราะเมื่อเจ้าหน้าที่ผู้ที่รักษากฎหมายทำการปรับไหมแก่ชนเหล่านั้น ทรัพย์ที่ถูกปรับทั้งหมดเป็นสินใช้แก่ภิกษุณี โดยนัยก่อนเหมือนกัน.
คำที่เหลือเป็นเช่นกับคำก่อนๆ นั่นแล.
    แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย ให้ตีกลองป่าวประกาศว่า จะทำโทษชื่อนี้ แก่พวกคนผู้ทำอนาจารเห็นปานนี้ ในสำนักของภิกษุณี แล้วสืบเสาะหาผู้ไม่ตั้งอยู่
    ในข้อบังคับ มาลงโทษ ไม่เป็นสินใช้ ทั้งไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุณีเลย. และแม้พวกภิกษุณี ก็มีแนวดำเนินการ ดังแนวดำเนินการที่กล่าวไว้สำหรับพวกภิกษุณีนี้เหมือนกัน.
    จริงอยู่ การบอกเจาะตัว ไม่สมควรแม้แก่ภิกษุ. เมื่อภิกษุบอกเจาะตัวอย่างนั้น ทรัพย์ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทำการปรับไหม เป็นภาคหลวงทั้งหมด เป็นสินใช้ (แก่ภิกษุ). เป็นปาราชิกแก่ภิกษุผู้ให้เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายปรับสินไหม
    โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ฝ่ายภิกษุใด บอกไม่เจาะตัวทั้งที่รู้อยู่ว่า เจ้าหน้าที่เขาจะทำโทษ. และเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายเหล่านั้น สืบหาตัวมาลงโทษจนได้. ไม่มีโทษแก่ภิกษุนั้น.
    การที่ภิกษุจะเอามีดและขวานเป็นต้นของพวกชาวบ้านผู้ลอบตัดต้นไม้เป็นต้น ในเขตแดนวัดมาแล้ว เอาก้อนหินทุบ ไม่ควร. ถ้าคมบิ่นไป ภิกษุพึงให้ซ่อมแล้ว
    คืนให้. พวกภิกษุวิ่งเข้ามายึดเอาบริขารของคนเหล่านั้นไว้. แม้การยึดเอาบริขารนั้นไว้ ก็ไม่ควรทำ. เพราะจิตเป็นธรรมชาติกลับกลอกเร็ว เมื่อเกิดไถยจิตขึ้น จะพึงถึงความเป็นผู้ขาดมูลก็ได้.
บทที่เหลือ ตื้นทั้งนั้น.
    สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจกฐินสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.