Translate

05 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ สัตตรสกัณฑ์ สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๓ เรื่องอันเตวาสินีของพระเถรีภัททากาปิลานี

     [๔๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดีเขตพระนครสาวัตถี.
    ครั้งนั้น ภิกษุณีอันเตวาสินีของพระเถรีภัททากาปิลานี ทะเลาะกับภิกษุณีทั้งหลายแล้วหนีไปสกุลญาติในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง. พระเถรีภัททากาปิลานีไม่เห็นนาง
     จึงถามภิกษุณีทั้งหลายว่า ภิกษุณีมีชื่อนี้หายไปไหน?
    ภิกษุณีทั้งหลายตอบว่า เธอทะเลาะกับภิกษุณีทั้งหลาย แล้วก็หายไป เจ้าค่ะ.
    พระเถรีขอร้องว่า สกุลญาติของเธออยู่ที่ตำบลบ้านโน้น ขอแม่เจ้าช่วยโปรดไปสืบถามดูที่บ้านทันที.
    ภิกษุณีทั้งหลายไปที่บ้านนั้น พบเธอแล้วถามว่า แม่เจ้า ทำไมเธอจึงมาคนเดียวเล่า ไม่ถูกคนรังแกบ้างหรือ?
    ภิกษุณีนั้นตอบว่า ไม่ถูก เจ้าข้า.
    บรรดาภิกษุณีทั้งหลายที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าไฉนภิกษุณีจึงได้ไปในละแวกบ้านคนเดียวเล.
ทรงสอบถาม      พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีผู้เดียวไป ในละแวกบ้าน จริงหรือ?
 ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีผู้เดียวจึงได้ไปในละแวกบ้านเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
     ก็แลภิกษุณีตั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระบัญญัติ    ๑๑. ๓. อนึ่ง ภิกษุณีใด ผู้เดียวไปสู่ละแวกบ้าน ภิกษุณีแม้นี้ ก็ต้องธรรมคือสังฆาทิเสส ชื่อนิสสารณียะ มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ.
    ก็สิกขาบทนี้ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุณีทั้งหลายด้วยประการฉะนี้. เรื่องอันเตวาสินีของพระเถรีภัททากาปิลานี จบ.
รื่องภิกษุณีสองรูป
    [๔๑] สมัยต่อมา ภิกษุณีสองรูปเดินทางจากเมืองสาเกตไปพระนครสาวัตถี ในระหว่างทางต้องข้ามแม่น้ำ. จึงภิกษุณีสองรูปนั้นเข้าไปหาพวกคนพายเรือแล้ววิงวอนว่า ขอท่านได้โปรดสงเคราะห์ให้พวกข้าพเจ้าข้ามฟากสักหน่อย.
    พวกคนเรือกล่าวว่า แม่เจ้าทั้งหลาย พวกข้าพเจ้าไม่สามารถให้ข้ามแม่น้ำคราวเดียวสองรูปได้ คนเรือคนหนึ่ง ยังภิกษุณีรูปหนึ่งให้ข้ามฟาก. เขาข้ามถึงฝั่งแล้วได้ข่มขืนใจภิกษุณีรูปที่ข้ามฟาก. คนเรือที่ยังไม่ข้ามฟากมา ก็ ข่มขืนใจภิกษุณีรูปที่ยังไม่ข้ามฟากมา. เธอทั้งสองนั้นภายหลังพบกันแล้วถามกันขึ้นว่า เธอไม่ถูกรังแกดอกหรือ?
    รูปที่ถูกถามตอบว่า ดิฉันถูก เจ้าค่ะ ก็เธอไม่ถูกรังแกหรือ?
    อีกรูปหนึ่งตอบว่า ดิฉันก็ถูก เจ้าค่ะ.
    ครั้นภิกษุณีเหล่านั้นไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย.    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีรูปเดียว จึงไปฝั่งแม่น้ำแล้วแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
     พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีรูปเดียว ไปฝั่งแม่น้ำ จริงหรือ?.
    ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีรูปเดียว จึงได้ไปฝั่งแม่น้ำเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระอนุบัญญัติ ๑    ๑๑. ๓ ก. อนึ่ง ภิกษุณีใด ผู้เดียวไปสู่ละแวกบ้านก็ดี ผู้เดียวไปสู่ฝั่งแม่น้ำก็ดีภิกษุณีแม้นี้ก็ต้องธรรมคือสังฆาทิเสส ชื่อนิสสารณียะ มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ.
    ก็แลสิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องภิกษุณีสองรูป จบ
เรื่องภิกษุณีหลายรูป
    [๔๒] สมัยต่อมา ภิกษุณีหลายรูปได้พากันไปสู่พระนครสาวัตถีในโกศลชนบท เข้าถึงบ้านตำบลหนึ่งในเวลาเย็น. ในบรรดาภิกษุณีเหล่านั้น รูปหนึ่งทรงโฉมวิไล น่าพิศ พึงชม.
    บุรุษผู้หนึ่งพอได้สบนางก็มีจิตปฏิพัทธ์. จึงเมื่อเขาตกแต่งที่พักแรมถวายภิกษุณีเหล่านั้น ได้จัดที่พักแรมสำหรับภิกษุณีสวยนั้นไว้ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
    คราวนั้น นางกำหนดรู้ได้ทันทีว่า บุรุษผู้นี้ถูกราคะกลุ้มรุมแล้ว ถ้ากลางคืนเขาจักเข้าหา ความเสียหายจักมีแก่เรา แล้วไม่บอกลาภิกษุณีทั้งหลาย หนีไปพักแรมในสกุลอื่น.
    ครั้นเวลาราตรีบุรุษนั้นมาค้นหาภิกษุณีสวยนั้น ได้กระทบถึงภิกษุณีทั้งหลาย. ภิกษุณีทั้งหลายไม่เห็นภิกษุณีสวยนั้น จึงพูดกันอย่างนี้ว่า นางตามผู้ชายไปแล้วเป็นแน่.
    ครั้นราตรีนั้นผ่านไป ภิกษุณีสาวก็เข้าไปหาภิกษุณีทั้งหลาย. ภิกษุณีทั้งหลายถามนางว่าเธอเดินออกไปกับผู้ชายอื่นหรือ?
    นางปฏิเสธว่า ไม่ได้เดินกับผู้ชาย เจ้าค่ะ แล้วเล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย.
    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนในเวลาราตรีภิกษุณีจึงได้อยู่แต่ลำพังปราศจากพวกเล่า
ทรงสอบถาม
    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีผู้เดียวอยู่ปราศจากพวกในราตรี จริงหรือ?
 ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีผู้เดียว จึงได้อยู่ปราศจากพวกในราตรีเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 ก็แล ภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระอนุบัญญัติ ๒    ๑๑. ๓. ข. อนึ่ง ภิกษุณีใด ผู้เดียวไปสู่ละแวกบ้านก็ดี ผู้เดียวไปสู่ฝั่งแม่น้ำก็ดี ผู้เดียวอยู่ปราศจากพวกในราตรีก็ดี ภิกษุณีแม้นี้ก็ต้องธรรมคือสังฆาทิเสส ชื่อนิสสารณียะ มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ.
    ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ. 
เรื่องภิกษุณีหลายรูป
    [๔๓] สมัยต่อมา ภิกษุณีหลายรูปเดินทางไกลไปพระนครสาวัตถี ในโกศลชนบท. ภิกษุณีรูปหนึ่งในจำนวนนั้นปวดอุจจาระ จึงได้เดินล้าหลังไปแต่ผู้เดียว. พวกชาวบ้านพบนางแล้ว ได้ข่มขืนใจ. ต่อมานางเข้าไปหาภิกษุณีพวกนั้น ภิกษุณีพวกนั้นได้ถามว่า ทำไมเธอจึงเดินล้าหลังแต่ผู้เดียวเล่า ไม่ถูกคนรังแกดอกหรือ?
  นางตอบว่า ถูกรังแกมาแล้ว.
    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงเดินปลีกไปจากคณะแต่ผู้เดียวเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีเดินปลีกไปจากคณะแต่ผู้เดียวจริงหรือ? 
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีผู้เดียวจึงได้เดินปลีกไปจากคณะเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระอนุบัญญัติ    ๑๑. ๓. ค. อนึ่ง ภิกษุณีใด ผู้เดียวไปสู่ละแวกบ้านก็ดี ผู้เดียวไปสู่ฝั่งแม่น้ำก็ดี ผู้เดียวอยู่ปราศจากพวกในราตรีก็ดี ผู้เดียวเดินปลีกไปจากคณะก็ดี ภิกษุณีแม้นี้ก็ต้องธรรม คือ สังฆาทิเสส ชื่อนิสสารณียะ มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ. เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    [๔๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด &@ บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    บทว่า ผู้เดียวเดินไปสู่ละแวกบ้านก็ดี ความว่า บ้านที่มีเครื่องล้อม ย่างเท้าล่วงเข้าเขต ล้อมก้าวที่หนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ก้าวที่สอง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส. บ้านที่ไม่มีเครื่องล้อม ย่างเท้าล่วงอุปจารก้าวที่หนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ก้าวที่สองต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    บทว่า ผู้เดียวเดินไปสู่ฝั่งแม่น้ำก็ดี ความว่า สถานที่ที่นางภิกษุณีครองผ้าปกปิดมณฑลสาม เดินข้ามน้ำในที่ใดที่หนึ่ง ผ้าอันตรวาสกเปียก ชื่อว่าแม่น้ำ. ย่างเท้าข้ามก้าวที่หนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ย่างเท้าข้ามก้าวที่สอง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    บทว่า ผู้เดียวอยู่ปราศจากพวกในราตรีก็ดี ความว่า จวนจะละหัตถบาสเพื่อนภิกษุณีพร้อมกับอรุณขึ้น ต้องอาบัติถุลลัจจัย ละแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    บทว่า ผู้เดียวเดินปลีกไปจากคณะก็ดี ความว่า ในป่าไม่มีหมู่บ้าน จวนจะละอุปจารแห่งการมองเห็น หรือได้ยินเสียงเพื่อนภิกษุณี ต้องอาบัติถุลลัจจัย ละแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    [๔๕] บทว่า ภิกษุณีแม้นี้ พระผู้มีพระภาคตรัสเทียบเคียงภิกษุณีรูปก่อน.    บทว่า มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ ความว่า ต้องอาบัติพร้อมกับการล่วงวัตถุ โดยไม่ต้องสวดสมนุภาส.
    ที่ชื่อว่า นิสสารณียะ แปลว่า ถูกขับออกจากหมู่.
    บทว่า สังฆาทิเสส ความว่า สงฆ์เท่านั้นให้มานัต ... แม้เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่าสังฆาทิเสส.
อนาปัตติวาร    [๔๖] มีเพื่อนภิกษุณีไปตามด้วยก็ดี สึกแล้วก็ดี ถึงมรณภาพแล้วก็ดี ไปเข้ารีตเดียรถีย์ก็ดี ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓ จบ.
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์สัตตรสกัณฑ์ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓
นสิกขาบทที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
ว่าด้วยเขตย่างเท้าทำให้ภิกษุณีต้องอาบัติ
    ในคำว่า อติกฺกาเมนฺติยา นี้ มีวินิจฉัยว่า เมื่อภิกษุณียกเท้าข้างหนึ่งก้าวไป เป็นถุลลัจจัย, พอเมื่อก้าวเท้าที่ ๒ ล่วงไป เป็นสังฆาทิเสส.
    ในคำว่า อปริกฺขิตฺตสฺส คามสฺส อุปจารํ นี้ มีวินิจฉัยว่า ภิกษุณีเดินเลยที่ควรล้อมไปด้วยเท้าข้างหนึ่ง เป็นถุลลัจจัย, พอเมื่อก้าวเดินไปด้วยเท้าข้างที่ ๒ เป็นสังฆาทิเสส.
    อีกนัยหนึ่ง ในคำว่า ปริกฺเขปํ อติกฺกาเมนฺติยา เป็นต้นนี้ บัณฑิตพึงทราบคำพิสดารว่า ภิกษุณีออกจากบ้านของตนไป ไม่เป็นอาบัติ เพราะละแวกบ้านเป็นปัจจัย. แต่ครั้นออกไปแล้วไปยังละแวกบ้าน (อื่น) เป็นทุกกฏทุกๆ ย่างเท้า.
     แต่เมื่อล่วงเลยเครื่องล้อม หรืออุปจารของบ้านอีกบ้านหนึ่ง ไปด้วยเท้าข้างหนึ่ง เป็นถุลลัจจัย, พอก้าวเลยไปด้วยเท้าที่ ๒ เป็นสังฆาทิเสส. แม้ภิกษุณีผู้ออกจากละแวกบ้านนั้นไปแล้วกลับเข้ามายังบ้านของตน ก็นัยนี้เหมือนกัน.
    แต่ถ้าภิกษุณีอาจจะเข้าไปยังฟื้นที่ของวัดนั่นแลได้ทางกำแพงพัง หรือทางช่องรั้ว, เมื่อเข้าไปอย่างนี้ จัดว่าเป็นผู้เข้าไปยังกัปปิยภูมิ เพราะเหตุนั้นจึงสมควร. ถ้าแม้นว่า ภิกษุณีจะเข้าไปด้วยพาหนะมีหลังช้างเป็นต้น
    หรือ ด้วยฤทธิ์ ก็ควรเหมือนกัน. เพราะว่า การเดินไปด้วยเท้าเท่านั้น ท่านประสงค์เอาในสิกขาบทนี้. ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า ปฐมํ ปาทํ อติกฺกาเมนฺติยา เป็นต้น.
    บ้าน ๒ บ้านมีรั้วติดกันกับวัดของภิกษุณี. วัดของภิกษุณีอยู่ใกล้บ้านใด ภิกษุณีจะเที่ยวไปบิณฑบาตในบ้านนั้นแล้ว กลับเข้าสู่วัด เดินไปตามทางของอีกบ้านหนึ่ง ซึ่งถ้ามีทางผ่านท่ามกลางวัดไป ก็ควร. แต่ควรจะกลับมาจากบ้านนั้นโดยทางนั้นเหมือนกัน. ถ้าภิกษุณีออกมาทางประตูบ้าน. พึงทราบชนิดแห่งอาบัติโดยนัยก่อนนั่นแหละ.
    เมื่อภิกษุณีออกจากบ้านของตน พร้อมกับพวกภิกษุณี ด้วยกรณียะบางอย่าง ในเวลากลับเข้ามา ช้างหลุดมาก็ดี มีการขับไล่ให้หลีกไปก็ดี พวกภิกษุณีนอกนี้รีบเข้าไปยังบ้าน, พึงยืนคอยนอกประตูจนกว่าภิกษุณีอื่นจะมา. ถ้ายังไม่มา, ภิกษุณีผู้เป็นเพื่อนชื่อว่าหลีกไปแล้ว, จะเข้าไป ก็ควร.
    เมื่อก่อนบ้านเป็นบ้านใหญ่ซึ่งมีวัดภิกษุณีอยู่ท่ามกลาง. ภายหลังคน ๔ คนได้ (ครอบครอง) บ้านนั้นแล้วแบ่งกันใช้สอย กั้นรั้วล้อมไว้เป็นสัดส่วน. ภิกษุณีจะไปยังบ้านใดบ้านหนึ่ง จากวัด ควรอยู่. จะเข้าไปยังบ้าน
    อีกบ้านหนึ่งจากบ้านที่ไปแล้วนั้น ทางประตูบ้านหรือทางช่องรั้ว ไม่ควร. ควรย้อนกลับมายังวัดก่อน. เพราะเหตุไร? เพราะวัดเป็นที่สาธารณะแก่บ้านทั้ง ๔.
ว่าด้วยลักษณะแม่น้ำและภิกษุณีผู้ไปยังฝั่งแม่น้ำ
    สองบทว่า อนฺตรวาสโก เตมียติ มีความว่า สถานที่ซึ่งภิกษุณีครองผ้าโดยอาการปิดมณฑล ๓ ลุยข้ามไป ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ทางท่าหรือมิใช่ท่าในหน้าฝน อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) เปียกแม้เพียงนิ้วหรือ ๒ นิ้ว (ชื่อว่าแม่น้ำ). ลักษณะแห่งแม่น้ำที่เหลือ จักมีแจ้งในนทีนิมิตตกถา.
    ในเวลาที่ภิกษุณีลุยข้ามแม่น้ำมีรูปเห็นปานนี้ ทางท่าของแม่น้ำ หรือมิใช่ท่า เมื่อยกเท้าที่ ๑ ขึ้นวางบนฝั่ง เป็นถุลลัจจัย ในการยกเท้าที่ ๒ เป็นสังฆาทิเสส.
    เดินไปตามสะพาน ไม่เป็นอาบัติ. ในเวลาลุยข้ามด้วยเท้า ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุณีผู้เหนี่ยวสะพานข้ามไป. แต่ในเวลาข้ามไปทางสะพาน เมื่อเดินไป เป็นอาบัติเหมือนกัน.
    แม้ในการไปทางยาน ทางเรือ และทางอากาศเป็นต้นก็มีนัยนี้นั่นแล. เมื่อภิกษุณี (กระโดด) จากฝั่งนี้เหยียบฝั่งโน้นเลย ไม่เป็นอาบัติ.
     พวกภิกษุณีไปเพื่อทำการย้อมจีวร ๒-๓ รูปเที่ยวไปแทบฝั่งทั้งสอง ด้วยกิจมีการรวบรวมฟืนมาเป็นต้น ควรอยู่. แต่ถ้าว่า บรรดาภิกษุณีเหล่านี้ บางรูปก่อการทะเลาะกันแล้ว
    ไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เป็นอาบัติสองรูปข้ามน้ำไปด้วยกัน, รูปหนึ่งทำการทะเลาะกัน ในกลางแม่น้ำ กลับมาสู่ฝั่งนี้อีก ก็เป็นอาบัติ. แต่ภิกษุณีรูปนี้เป็นผู้ตั้งอยู่ในฐานแห่งภิกษุณีมีเพื่อนหลีกไปของภิกษุณีอีกรูปหนึ่ง
    เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุณีผู้ไปสู่ฝั่งโน้น. ภิกษุณีผู้ลงสู่แม่น้ำเพื่ออาบ หรือเพื่อดื่มน้ำ แล้วกลับขึ้นสู่ฝั่งเดิมนั่นแหละ ไม่เป็นอาบัติ.
ในคำว่า สห อรุณุคฺคมนา นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
     ถ้าภิกษุณีทำการสาธยายก็ดี ความเพียรก็ดี กรรมอะไรๆ อย่างอื่นก็ดี ทำความคำนึงว่า เราจักไปยังสำนักแห่งเพื่อนภิกษุณี ก่อนอรุณขึ้นนั่นแล. แต่เมื่อเธอยังไม่ทันรู้นั่นแล
    อรุณขึ้นเสียก่อน, ไม่เป็นอาบัติ. แต่ถ้าว่าเธอพักอยู่ในเอกเทศแห่งวิหารโดยความคำนึง หรือโดยมิได้คำนึงว่า เราจักอยู่ในที่นี้แลจนถึงอรุณขึ้น. เธอไม่ย่างลงสู่หัตถบาสแห่งเพื่อนภิกษุณีในเวลาอรุณขึ้น เป็นสังฆาทิเสส.
    จริงอยู่ หัตถบาสเท่านั้น เป็นประมาณในสิกขาบทนี้. ในการล่วงเลยหัตถบาสไป แม้ห้องเดียวกัน ก็คุ้มอาบัติไม่ได้. &@ ในคำว่า อคามเก อรญฺเญ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
    ที่ชื่อว่าป่า เฉพาะที่มีลักษณะดังที่ตรัสไว้อย่างนี้ว่า นอกเสาอินทขีลออกไป ที่ทั้งหมดนี้ ชื่อว่าป่า. ก็ป่านี้นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อคามกํ เพราะไม่มีบ้านอย่างเดียว, ไม่ใช่เพราะเป็นเช่นกับป่าดงดิบ.   เมื่อภิกษุณียังเข้าป่าเช่นนั้น ละอุปจารแห่งการมองเห็นไปแล้ว ถ้าแม้อุปจารแห่งการได้ยิน ยังมีอยู่ ก็เป็นอาบัติ. ด้วยเหตุนั้น
    ในอรรถกถา ท่านจึงกล่าวว่า เมื่อพวกภิกษุณีเข้าไปสู่ลานมหาโพธิ์ ภิกษุณีรูปหนึ่งยืนอยู่ข้างนอก เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุณีรูปนั้น. ในพวกภิกษุณีผู้เข้าไปยังโลหปราสาทก็ดี ผู้เข้าไปยังบริเวณก็ดี ก็นัยนี้เหมือนกัน.
    ในการไหว้พระมหาเจดีย์เป็นต้น ภิกษุณีรูปหนึ่ง ออกไปทางประตูด้านเหนือ เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุณีรูปนั้น. บรรดาภิกษุณีผู้เข้าไปยังถูปาราม รูปหนึ่งยืนอยู่ข้างนอก, แม้รูปนั้นก็เป็นอาบัติ. ก็บรรดาอุปจารแห่งการมองเห็นและอุปจารแห่งการได้ยินนี้ เพื่อนภิกษุณีเห็นภิกษุณีผู้ยืนอยู่ในที่ใด ที่นั้นชื่อว่า อุปจารแห่งการมองเห็น
    แต่ถ้ามีแม้ม่านกั้นระหว่างอยู่ ภิกษุณี ชื่อว่าละอุปจารแห่งการมองเห็น. สถานที่ซึ่งเพื่อนภิกษุณียืนอยู่ ได้ยินเสียงของภิกษุณีผู้เปล่งเสียงว่า อยฺเย ด้วยเสียงดุจเสียงกู่แห่งคนหลงทาง และด้วยเสียงดุจเสียงร้องบอกให้ฟังธรรม
    ชื่อว่าอุปจารแห่งการได้ยิน ในโอกาสกลางแจ้ง ถึงไกล ก็จัดเป็นทัสสนูปจารได้. ทัสสนูปจารนั้น คุ้มไม่ได้ ในเมื่อภิกษุณีละสวนูปจารเห็นปานนั้นไป. พอละสวนูปจารเท่านั้น ก็ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    ภิกษุณีรูปหนึ่ง เดินทางล้าหลังเพื่อน, ถ้ายังเป็นผู้มีความอุตสาหะเดินติดตามไปด้วยตั้งใจว่า เราจักตามให้ทันเดี๋ยวนี้ ไม่เป็นอาบัติ. ถ้าหากภิกษุณีพวกข้างหน้าไปเสียทางอื่น จัดว่าเป็นผู้มีเพื่อนภิกษุณีหลีกไป ไม่เป็นอาบัติเหมือนกัน.
    บรรดาภิกษุณี ๒ รูปเดินทางไปด้วยกัน รูปหนึ่งไม่อาจตามทัน เดินล้าหลังด้วยคิดว่า เชิญแม่นี้ไปเถิด แม้อีกรูปหนึ่งก็เดินไปด้วยคิดว่า เชิญแม่นี้ล้าหลังอยู่เถิด เป็นอาบัติทั้งสองรูป.
    แต่ถ้าว่า ในภิกษุณี ๒ รูป ผู้กำลังเดินทาง รูปเดินหน้ายึดเอาทางสายหนึ่งก็ดี รูปเดินหลังยึดเอาทางสายหนึ่งก็ดี, รูปหนึ่งตั้งอยู่ในฐานแห่งผู้มีเพื่อนหลีกไปของอีกรูปหนึ่ง จึงไม่เป็นอาบัติแม้ทั้งสองรูป.
    บทว่า ปกฺขสงฺกนฺตา วา ได้แก่ ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
    สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิก เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.

ไม่มีความคิดเห็น: