Translate

30 กันยายน 2567

อรรถกถา เสขิยกัณฑ์ วรรคที่ ๖ สุรุสุรุวรรค พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

   บทว่า สุรุสุรุการกํได้แก่ ฉันทำเสียงดังอย่างนี้ คือซูดๆ.
   บทว่า ทโว คือ คำตลกคะนอง.
    อธิบายว่า ภิกษุไม่พึงเปล่งคำพูดตลกคะนองนั้น ปรารภพระรัตนตรัยโดยปริยายไรๆ โดยนัยเป็นต้นว่า พระพุทธหิน พระพุทธปลอม, พระธรรมอะไร? พระธรรมโค พระธรรมแพะ พระสงฆ์อะไร? หมู่เนื้อ หมู่ปศุสัตว์ เป็น.
    บทว่า หตฺถนิลฺเลหกํ คือ ฉันเลียมือๆ.
    จริงอยู่ ภิกษุผู้กำลังฉันจะเลียแม้เพียงนิ้วมือ ก็ไม่ควร. แต่ภิกษุจะเอานิ้วมือทั้งหลายหยิบยาคูแข้นน้ำอ้อยงบ และข้าวปายาสเป็นต้น แล้วสอดนิ้วมือเข้าในปากฉัน ควรอยู่. แม้ในการฉันขอดบาตรเลียริมฝีปากเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
    เพราะฉะนั้น ภิกษุไม่ควรเอานิ้วมือ แม้นิ้วเดียวขอดบาตร. แม้ริมฝีปากข้างหนึ่ง ก็ไม่ควรเอาลิ้นเลีย. แต่จะเอาเฉพาะเนื้อริมฝีปากทั้ง ๒ ข้างคาบแล้วขยับ ให้เข้าไปภายในปากควรอยู่.
    บทว่า โกกนุเท คือ ในปราสาทมีชื่ออย่างนี้. ดอกบัว เรียกกันว่าโกกนุท. ก็ปราสาทนั้นอันนายช่างทำให้มีสัณฐานคล้ายดอกบัว. ด้วยเหตุนั้น ชนทั้งหลายจึงตั้งชื่อให้ปราสาทนั้นว่า โกกนุท นั่นเทียว.
    คำว่า ไม่รับโอน้ำด้วยมือ ที่เปื้อนอามิส นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามด้วยอำนาจแห่งความน่าเกลียด. เพราะฉะนั้น สังข์ก็ดี ขันน้ำก็ดี ภาชนะก็ดี เป็นของสงฆ์ก็ตาม
    เป็นของบุคคลก็ตาม เป็นของคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นของส่วนตัวก็ตาม ไม่ควรเอามือเปื้อนอามิสจับทั้งนั้น. เมื่อจับ เป็นทุกกฏ. แต่ถ้าว่า บางส่วนของมือ ไม่ได้เปื้อนอามิส, จะจับโดยส่วนนั้น ควรอยู่.
    บทว่า อุทฺธริตฺวา วา ได้แก่ ซาวเมล็ดข้าวสุกขึ้นจากน้ำแล้วกองไว้ในที่แห่งหนึ่ง จึงเทน้ำทิ้ง.
    บทว่า ภินฺทิตฺวา วา ได้แก่ ขยี้เมล็ดข้าวสุกให้มีคติเหมือนน้ำแล้วเททิ้งไป.
    บทว่า ปฏิคฺคเห วา ได้แก่ เอากระโถนรับไว้ ทิ้งเมล็ดข้าวสุกนั้นลงกระโถน.
    บทว่า นีหริตฺวา ได้แก่ นำออกไปเทในภายนอก ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้เททิ้งอย่างนี้.
    บทว่า เสตจฺฉตฺตํ แปลว่า ร่มขาวที่หุ้มด้วยผ้า.
    บทว่า กิลญฺชจฺฉตฺตํ แปลว่า ร่มสานด้วยตอกไม้ไผ่.
    บทว่า ปณฺณจฺฉตฺตํ แปลว่า ร่มที่ทำด้วยใบไม้อย่างหนึ่งมีใบตาลเป็นต้น.
    ก็คำว่า มณฺฑลพทฺธํ สลากพทฺธํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้เพื่อทรงแสดงโครงร่มทั้ง ๓ ชนิด. ก็ร่มทั้ง ๓ ชนิดนั้น เป็นร่มที่เย็บเป็นวงกลมและผูกติดกับซี่. ถึงแม้ร่มใบไม้ใบเดียวอันเขาทำด้วยคันซึ่งเกิดที่ต้นตาลเป็นต้น
    ก็ชื่อว่าร่มเหมือนกัน. บรรดาร่มเหล่านี้ ร่มชนิดใดชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในมือของบุคคลนั้น เหตุนั้นบุคคลนั้น ชื่อว่ามีร่มในมือ. บุคคลนั้นกั้นร่มอยู่ก็ดี แบกไว้บนบ่าก็ดี วางไว้บนตักก็ดี ยังไม่ปล่อยมือตราบใด จะแสดงธรรมแก่เขาไม่ควรตราบนั้น เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้แสดง
    โดยนัยดังที่กล่าวแล้วนั่นแล. แต่ถ้าว่า ผู้อื่นกางร่มให้เขาหรือร่มนั้นตั้งอยู่บนที่รองร่ม พอแต่ร่มพ้นจากมือ ก็ไม่ชื่อว่าผู้มีร่มในมือ, จะแสดงธรรมแก่บุคคลนั้น ควรอยู่.
    ก็การกำหนดธรรมในสิกขาบทนี้ บัณฑิตพึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในปทโสธรรมสิกขาบทนั่นแล.
    ไม้พลองยาว ๔ ศอกของมัชฌิมบุรุษ ชื่อว่าไม้พลองในคำว่า ทณฺฑปาณิสฺส นี้. ก็บัณฑิตพึงทราบความ
    ที่บุคคลนั้นมีไม้พลองในมือ โดยนัยดังได้กล่าวแล้วในบุคคลผู้มีร่มในมือนั่นแล. แม้ในบุคคลผู้มีศัสตราในมือก็นัยนี้เหมือนกัน. เพราะว่า แม้บุคคลผู้ยืนผูกสอดดาบ ยังไม่ถึงการนับว่าเป็นผู้มีศัสตราในมือ.
    ในคำว่า อาวุธปาณิสฺส นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า ที่ชื่อว่าอาวุธ ได้แก่ปืน เกาทัณฑ์ ดังนี้ แม้โดยแท้. ถึงอย่างนั้น ธนูแม้ทุกชนิด พร้อมด้วยลูกศรชนิดแปลกๆ ผู้ศึกษาก็พึงทราบว่า อาวุธ เพราะฉะนั้น ภิกษุจะแสดง
    ธรรมแก่บุคคลผู้ไม่เจ็บไข้ ซึ่งยืนหรือนั่งถือธนูกับลูกศรก็ดี ถือแต่ลูกศรล้วนก็ดี ถือแต่ธนูมีสายก็ดี ถือแต่ธนูไม่มีสายก็ดี ย่อมไม่สมควร. แต่ถ้าธนูสวมคล้องไว้แม้ที่คอของเขา, ภิกษุจะแสดงธรรมแก่เขา ตลอดเวลาที่เขายังไม่เอามือจับ (ธนู) ควรทีเดียวแล.
วรรคที่ ๖ จบ.

เสขิยกัณฑ์ วรรคที่ ๖ สุรุสุรุวรรค พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

สิกขาบทที่ ๑
    [๘๕๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตพระนครโกสัมพี.
    ครั้งนั้น พราหมณ์คนหนึ่งปรุงปานะน้ำนมถวายพระสงฆ์ ภิกษุทั้งหลายซดน้ำนมดังซูดๆ ภิกษุรูปหนึ่งเคยเป็นนักฟ้อนรำกล่าวขึ้นอย่างนี้ว่า ชะรอยพระสงฆ์ทั้งปวงนี้อันความเย็นรบกวนแล้ว.
    บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุจึงได้พูดปรารภพระสงฆ์เล่นเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุรูปนั้นว่า ดูกรภิกษุ ข่าวว่า เธอได้พูดปรารภพระสงฆ์เล่น จริงหรือ?
    ภิกษุรูปนั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึงได้พูดปรารภสงฆ์เล่นเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
    ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุทั้งหลายไม่พึงพูดปรารภพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์เล่น รูปใดฝ่าฝืน ต้องอาบัติทุกกฏ.
    ครั้นทรงติเตียนภิกษุนั้นโดยอเนกปริยายแล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ    ๑๙๖. ๕๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทำเสียงดังซูดๆ. 
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงฉันดังซูดๆ. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันอาหารทำเสียงดังซูดๆ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ. 
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๒
    [๘๕๒] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันอาหารเลียมือ พระบัญญัติ    ๑๙๗. ๕๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันเลียมือ. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงฉันเลียมือ ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันอาหารเลียมือ ต้องอาบัติทุกกฏ. อนาปัตติวาร    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๓
    [๘๕๓] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันอาหารขอดบาตร พระบัญญัติ    ๑๙๘. ๕๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันขอดบาตร. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงฉันขอดบาตร. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันอาหารขอดบาตร ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ ข้าวสุกเหลือน้อยกวาดขอดรวมกันเข้าแล้วฉัน ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๔
    [๘๕๔] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันอาหารเลียริมฝีปาก พระบัญญัติ    ๑๙๙. ๕๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันเลียริมฝีปาก. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงฉันเลียริมฝีปาก. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันอาหารเลียริมฝีปาก ต้องอาบัติทุกกฏ. อนาปัตติวาร    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๕
    [๘๕๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ที่สวนสัตว์เภสกฬาวัน เขตพระนครสุงสุมารคิระ แขวงภัคคะชนบท.
    ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายรับประเคนโอน้ำด้วยมือข้างที่ เปื้อนอามิส ในโกกนุทปราสาท.
      ชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้รับประเคนโอน้ำด้วยมือข้างที่เปื้อนอามิส เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า
  ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุทั้งหลายจึงได้รับประเคนโอน้ำด้วยมือข้างที่เปื้อนอามิสเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ทรงสอบถาม    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกภิกษุรับประเคนโอน้ำด้วยมือที่เปื้อนอามิส จริงหรือ?
    ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า.
 ทรงติเตียน
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกโมฆบุรุษเหล่านั้นจึงได้รับประเคนโอน้ำด้วยมือข้างที่เปื้อนอามิสเล่า การกระทำของพวกโมฆบุรุษเหล่านั้น
    นั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ    ๒๐๐. ๕๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่รับโอน้ำด้วยมือเปื้อนอามิส. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงรับประเคนโอน้ำ ด้วยมือข้างที่เปื้อนอามิส. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับประเคนโอน้ำด้วยมือข้างที่เปื้อนอามิส ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ รับประเคนด้วยหมายว่าจักล้างเอง หรือให้ผู้อื่นล้าง ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๖
    [๘๕๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ที่สวนสัตว์เภสกฬาวัน เขตพระนครสุงสุมารคิระ แขวงภัคคะชนบท.
    ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายเทน้ำล้างบาตรซึ่งมีเมล็ดข้าวลงในละแวกบ้าน ใกล้โกกนุทปราสาท. ชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้เทน้ำล้างบาตรซึ่งมีเมล็ดข้าวลงในละแวกบ้าน เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า
   ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุทั้งหลายจึงได้เทน้ำล้างบาตรซึ่งยังมีเมล็ดข้าวลงในละแวกบ้านเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกภิกษุเทน้ำล้างบาตรซึ่งมีเมล็ดข้าวลงในละแวกบ้าน จริงหรือ?
    ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกโมฆบุรุษเหล่านั้นจึงได้เทน้ำล้างบาตรซึ่งยังมีเมล็ดข้าวลงในละแวกบ้านเล่า การกระทำของพวกโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ    ๒๐๑. ๕๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เทน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวในละแวกบ้าน. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุไม่เทน้ำล้างบาตร ซึ่งยังมีเมล็ดข้าวลงในละแวกบ้าน. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เทน้ำล้างบาตรซึ่งยังมีเมล็ดข้าวลงในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ เก็บเมล็ดข้าวออกแล้วจึงเทน้ำล้างบาตรหรือขยี้เมล็ดข้าวให้ละลายแล้วเท หรือเทน้ำล้างบาตรลงในกระโถน แล้วนำไปเทข้างนอก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.
โภชนปฏิสังยุต ๓๐ สิกขาบท จบ.
ธรรมเทศนาปฏิสังยุต ๑๖ สิกขาบท
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๗
    [๘๕๗] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์แสดงธรรมแก่บุคคลผู้กั้นร่ม.    บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้แสดงธรรมแก่บุคคลผู้กั้นร่มเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนี้แก่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอแสดงธรรมแก่บุคคลผู้กั้นร่ม จริงหรือ?
   พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้แสดงธรรมแก่บุคคลผู้กั้นร่มเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ    ๒๐๒. ๕๗. ก. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลมีร่มในมือ.
    ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
    [๘๕๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายรังเกียจเพื่อจะแสดงธรรมแก่คนเป็นไข้มีร่มในมือ ชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงไม่แสดงธรรมแก่คนเป็นไข้ซึ่งมีร่มในมือเล่า
    ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. ทรงอนุญาตให้แสดงธรรมแก่คนไข้
    ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งแก่ภิกษุทั้งหลายว่า เราอนุญาตให้แสดงธรรมแก่คนเป็นไข้มีร่มในมือได้. 
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระอนุบัญญัติ    ๒๐๒. ๕๗. ข. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้ มีร่มในมือ.
สิกขาบทวิภังค์
    ที่ชื่อว่า ร่ม ได้แก่ร่ม ๓ ชนิด คือ ร่มผ้าขาว ๑ ร่มลำแพน ๑ ร่มใบไม้ ๑ ที่เย็บเป็นวงกลมผูกติดกับซี่.
    ที่ชื่อว่า ธรรม ได้แก่ ถ้อยคำที่อิงอรรถอิงธรรม เป็นพุทธภาษิต สาวกภาษิต อิสีภาษิต เทวตาภาษิต.
    บทว่า แสดง คือแสดงโดยบท ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ อักขระ. อันภิกษุไม่พึงแสดงธรรมแก่บุคคลไม่เป็นไข้ผู้กั้นร่ม ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้กั้นร่ม ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ. 
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๘
    [๘๕๙] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์แสดงธรรมแก่บุคคลผู้ถือไม้พลอง    พระอนุบัญญัติ    ๒๐๓. ๕๘. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้ มีไม้พลองในมือ.
สิกขาบทวิภังค์
    ที่ชื่อว่า ไม้พลอง ได้แก่ ไม้พลองยาวสี่ศอกของมัชฌิมบุรุษยาวกว่านั้นไม่ใช่ไม้พลองสั้นกว่านั้น ก็ไม่ใช่ไม้พลอง.
   อันภิกษุไม่พึงแสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้ถือไม้พลอง ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อแสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ ผู้ถือไม้พลอง ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๙
    [๘๖๐] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์แสดงธรรมแก่บุคคลผู้ถือศัสตรา พระอนุบัญญัติ    ๒๐๔. ๕๙. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้ มีศัสตราในมือ.
สิกขาบทวิภังค์
    ที่ชื่อว่า ศัสตรา ได้แก่ วัตถุเครื่องประหารมีคมข้างเดียว มีคมสองข้าง. อันภิกษุไม่พึงแสดงธรรม แก่บุคคลผู้ไม่เป็นไข้ผู้ถือศัสตรา ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้ไม่เป็นไข้ ผู้ถือศัสตรา ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
    [๘๖๑] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์แสดงธรรมแก่บุคคลผู้ถืออาวุธ พระอนุบัญญัติ    ๒๐๕. ๖๐. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้ มีอาวุธในมือ.
สิกขาบทวิภังค์
    ที่ชื่อว่า อาวุธ ได้แก่ ปืน เกาทัณฑ์.    อันภิกษุไม่พึงแสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ ผู้ถืออาวุธ ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อแสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ มีมือถืออาวุธ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ.
วรรคที่ ๖ จบ.

เสขิยกัณฑ์ วรรคที่ ๕ กพฬวรรค พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

สิกขาบทที่ ๑
    [๘๔๑] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เมื่อคำข้าวยังไม่นำมาถึง ย่อมอ้าช่องปากไว้ท่า  พระบัญญัติ    ๑๘๖. ๔๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อคำข้าวยังไม่นำมาถึง เราจักไม่อ้าช่องปาก.
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุผู้ฉันอาหาร เมื่อคำข้าวยังไม่ถึงปาก ไม่พึงอ้าช่องปากไว้ท่า ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เมื่อคำข้าวยังนำมาไม่ถึงปาก อ้าช่องปากไว้ท่า ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ. 
กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๒
    [๘๔๒] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์กำลังฉันอยู่ สอดนิ้วมือทั้งหมดเข้าไปในปาก พระบัญญัติ    ๑๘๗. ๔๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราฉันอยู่ จักไม่สอดมือทั้งนั้นเข้าในปาก. 
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุกำลังฉันอาหารอยู่ ไม่พึงสอดนิ้วมือทั้งหมดเข้าในปาก ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ กำลังฉันอยู่ สอดนิ้วมือทั้งหมดเข้าในปาก ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ. 
กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๓
    [๘๔๓] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เจรจาทั้งๆ ที่ในปากยังมีคำข้าว พระบัญญัติ    ๑๘๘. ๔๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า ปากยังมีคำข้าว เราจักไม่พูด. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงพูดด้วยทั้งปากยังมีคำข้าว ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ พูดด้วย ทั้งปากยังมีคำข้าว ต้องอาบัติทุกกฏ. 
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.
กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๔
    [๘๔๔] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันอาหารโยนคำข้าว พระบัญญัติ    ๑๘๙. ๔๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันเดาะคำข้าว. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงฉันเดาะคำข้าว ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันเดาะคำข้าว ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ ฉันอาหารที่แข้น ๑ ฉันผลไม้น้อยใหญ่ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.
 กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๕
    [๘๔๕] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันอาหารกัดคำข้าว พระบัญญัติ    ๑๙๐. ๔๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันกัดคำข้าว. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงฉันกัดคำข้าว ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันอาหารกัดคำข้าว ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ ฉันขนมที่แข้นแข็ง ๑ ฉันผลไม้น้อยใหญ่ ๑ ฉันกับแกง ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ. 
กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๖
    [๘๔๖] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันอาหารทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย พระบัญญัติ    ๑๙๑. ๔๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทำให้ตุ่ย. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุฉันอาหารไม่พึงฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันอาหาร ทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ยข้างเดียวก็ดี ทั้งสองข้างก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ ฉันผลไม้น้อยใหญ่ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.
กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๗
    [๘๔๗] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันอาหารสลัดมือ พระบัญญัติ    ๑๙๒. ๔๗. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันสลัดมือ. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงฉันสลัดมือ ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันอาหารสลัดมือ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ สลัดมือทิ้งเศษอาหาร ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.
กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๘
    [๘๔๘] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันอาหาร โปรยเมล็ดข้าว พระบัญญัติ    ๑๙๓. ๔๘. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทำเมล็ดข้าวตก. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงฉันทำเมล็ดข้าวตก ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันทำเมล็ดข้าวให้ร่วง ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ ทิ้งผงข้าวเมล็ดข้าวติดไปด้วย ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.
กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๙
    [๘๔๙] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันอาหารแลบลิ้น พระบัญญัติ    ๑๙๔. ๔๙. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันแลบลิ้น. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงแลบลิ้น ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันอาหารแลบลิ้น ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ
กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
    [๘๕๐] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันอาหารดังจับๆ พระบัญญัติ    ๑๙๕. ๕๐. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทำเสียงจับๆ. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุฉันอาหารไม่พึงฉันทำเสียงดังจับๆ ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันอาหารดังจับๆ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. กพฬวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ.
วรรคที่ ๕ จบ.
อรรถกถา เสขิยกัณฑ์ กพฬวรรคที่ ๕
บทว่า อนาหเฏ
คือ ยังนำมาไม่ถึง. ความว่า ยังไม่ทันถึงช่องปาก.
สองบทว่า สพฺพํ หตฺถํ ได้แก่ นิ้วมือทุกนิ้ว.
ในบทว่า สกวเฬน นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
    ภิกษุกำลังแสดงธรรมใส่สมอ หรือชะเอมเครือเข้าปาก แสดงธรรมไปพลาง, คำพูดจะไม่ขาดหายไป ด้วยชิ้นสมอเป็นต้นเท่าใด, เมื่อชิ้นสมอเป็นต้นเท่านั้นยังมีอยู่ในปาก จะพูดก็ควร.
   บทว่า ปิณฺฑุกฺเขปกํ คือ ฉันเดาะคำข้าวๆ.
   บทว่า กวฬาวจฺเฉทกํ คือ ฉันกัดคำข้าวๆ.
   บทว่า อวคณฺฑการกํ ได้แก่ ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ยดุจลิง.
   บทว่า หตฺถนิทฺธูนกํ คือ ฉันสลัดมือๆ.
   บทว่า สิตฺถาวการกํ คือ ฉันโปรยเม็ดข้าวๆ.
   บทว่า ชิวฺหานิจฺฉารกํ คือ ฉันแลบลิ้นๆ.
   บทว่า จปุจปุการกํ ได้แก่ ฉันทำเสียงดังอย่างนี้ คือจับๆ.

เสขิยกัณฑ์ วรรคที่ ๔ สักกัจจวรรค พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

สิกขาบทที่๑
    [๘๓๐] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันบิณฑบาตโดยไม่เอาใจใส่ ทำอาการ ดุจไม่ยากฉัน พระบัญญัติ    ๑๗๖. ๓๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตโดยเอื้อเฟื้อ. 
สิกขาบทวิภังค์   อันภิกษุพึงฉันบิณฑบาตโดยไม่รังเกียจ ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตโดยรังเกียจ ทำอาการดุจไม่อยากฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.
สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๒    [๘๓๑] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันบิณฑบาตพลางเหลียวแลไปในที่นั้นๆ เมื่อเขาเกลี่ยบิณฑบาตลงก็ดี เมื่อเกลี่ยเสร็จแล้วก็ดี หารู้สึกตัวไม่ พระบัญญัติ    ๑๗๗. ๓๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักจ้องดูอยู่ในบาตร ฉันบิณฑบาต.
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุผู้ฉันอาหารพึงแลดูในบาตร ฉันบิณฑบาต ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตพลางแลดูไปในที่นั้นๆ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.
สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๓    [๘๓๒] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันบิณฑบาตเจาะลงในที่นั้นๆ พระบัญญัติ    ๑๗๘. ๓๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตไม่แหว่ง. 
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุพึงฉันบิณฑบาตเกลี่ยให้เสมอ ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตเจาะลงในที่นั้นๆ ต้องอาบัติทุกกฏ.
 อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ ตักให้ภิกษุอื่น เว้าแหว่ง ๑ ตักเกลี่ยลงในภาชนะอื่นแหว่ง ๑ ตักสูปะแหว่งเว้า ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.
สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๔  
 [๘๓๓] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันบิณฑบาต ฉันแต่กับอย่างเดียวมาก พระบัญญัติ    ๑๗๙. ๓๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตมีสูปะเสมอกัน. สิกขาบทวิภังค์     ที่ชื่อว่า สูปะ มีสองชนิด คือ สูปะทำด้วยถั่วเขียว ๑ สูปะทำด้วยถั่วเหลือง ๑ ที่จับได้ด้วยมือ.
    อันภิกษุพึงฉันบิณฑบาตมีสูปะพอดีกัน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันแต่สูปะอย่างเดียว ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ ฉันกับข้าวอย่างอื่นๆ ๑ ฉันของญาติ ๑ ฉันของคนปวารณา ๑ ฉันเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุอื่น ๑ จ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ
สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๕
    [๘๓๔] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันบิณฑบาตขยุ้มลงแต่ยอด พระบัญญัติ    ๑๘๐. ๓๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ขยุ้มลงแต่ยอด ฉันบิณฑบาต. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุไม่พึงขยุ้มลงแต่ยอดฉันบิณฑบาต ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ขยุ้มลงแต่ยอดฉันบิณฑบาต ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ กวาดตะล่อมข้าวที่เหลือเล็กน้อยรวมเป็นคำแล้วเปิบฉัน ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ. 
สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๖
    [๘๓๕] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์อาศัยความอยากได้มาก กลบแกงบ้าง กับข้าวบ้าง ด้วยข้าวสุก พระบัญญัติ    ๑๘๑. ๓๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่กลบแกงก็ดี กับข้าวก็ดี ด้วยข้าวสุก อาศัยความอยากได้มาก.
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงกลบแกง หรือกับข้าว ด้วยข้าวสุกเพราะอยากจะได้มาก ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ กลบแกงหรือกับข้าวด้วยข้าวสุก เพราะอยากจะได้มาก ต้องอาบัติทุกกฏ. 
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ เจ้าของกลบถวาย ๑ ไม่ได้มุ่งอยากได้มาก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.
สักกัจจวรรค สิกขาบทที่๗ 
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ขอข้าวแกงฉัน
    [๘๓๖] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ขอกับข้าวบ้าง ข้าวสุกบ้าง เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน ชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ขอกับข้าวบ้าง ข้าวสุกบ้าง เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉันเล่า กับข้าวหรือข้าวสุกที่ดี ใครจะไม่พอใจ ของที่มีรสอร่อยใครจะไม่ชอบใจ
    ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้ขอกับข้าวบ้าง ข้าวสุกบ้าง เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉันเล่า ... แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
 ทรงสอบถาม
    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอขอกับข้าวบ้าง ข้าวสุกบ้าง เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน จริงหรือ?
    พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้ขอกับข้าวบ้าง ข้าวสุกบ้าง เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉันเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ    ๑๘๒. ๓๗. ก. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ขอสูปะก็ดี ข้าวสุกก็ดี เพื่อประโยชน์แก่ตน ฉัน.    ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ขอข้าวแกงฉัน จบ.
เรื่องพระอาพาธ
    [๘๓๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายอาพาธ พวกภิกษุผู้พยาบาลได้ถามภิกษุทั้งหลายผู้อาพาธว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านยังพอทนได้หรือ ยังพอให้อัตภาพเป็นไปได้หรือ
    ภิกษุอาพาธทั้งหลายตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย เมื่อก่อนพวกผมขอสูปะบ้าง ข้าวสุกบ้างเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉันได้ พวกผมมีความผาสุก เพราะเหตุนั้น แต่บัดนี้พวกผมรังเกียจอยู่ว่าพระผู้มีพระภาคทรงห้ามแล้ว จึงไม่ขอ เพราะเหตุนั้น พวกผมจึงไม่มีความผาสุก.
ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงอนุญาตให้ภิกษุอาพาธขอได้
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้อาพาธ ขอสูปะก็ดี ข้าวสุกก็ดี เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉันได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ
    ๑๘๒. ๓๗. ข. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราไม่อาพาธ จักไม่ขอสูปะก็ดี ข้าวสุกก็ดี เพื่อประโยชน์แก่ตน ฉัน. เรื่องพระอาพาธ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุไม่อาพาธ ไม่พึงขอสูปะ หรือข้าวสุก เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ มิใช่ผู้อาพาธ ขอสูปะก็ดี ข้าวสุกก็ดี เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ ขอต่อญาติ ๑ ขอต่อคนปวารณา ๑ ขอเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุอื่น ๑ จ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.
สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๘
    [๘๓๘] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์มีความมุ่งหมายจะเพ่งโทษ แลดูบาตร ของภิกษุเหล่าอื่น  พระบัญญัติ    ๑๘๓. ๓๘. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เพ่งโพนทะนา แลดูบาตรของผู้อื่น.
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุไม่พึงมุ่งหมายจะเพ่งโทษ แลดูบาตรของภิกษุอื่น ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ มีความมุ่งหมายจะเพ่งโทษ แลดูบาตรของภิกษุพวกอื่น ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ แลดูด้วยคิดว่าจักเติมของฉันให้ หรือจักสั่งให้เขาเติมถวาย ๑ มิได้มีความมุ่งหมายจะเพ่งโทษ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.
สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๙
    [๘๓๙] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ทำคำข้าวใหญ่ พระบัญญัติ    ๑๘๔. ๓๙. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่นัก. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ทำคำข้าวให้ใหญ่ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ ฉันของเคี้ยว ๑ ฉันผลไม้น้อยใหญ่ ๑ ฉันกับแกง ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.
สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
    [๘๔๐] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันข้าวทำคำข้าวยาว พระบัญญัติ    ๑๘๕. ๔๐. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักทำคำข้าวให้กลมกล่อม. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุผู้ฉันอาหารพึงทำคำข้าวให้กลมกล่อม ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ทำคำข้าวยาว ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ ฉันของเคี้ยว ๑ ฉันผลไม้น้อยใหญ่ ๑ ฉันกับแกง ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สักกัจจวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ.
 วรรคที่ ๔ จบ.
อรรถกถา เสขิยกัณฑ์ สักกัจจวรรคที่ ๔
  แม้ในคำว่า สกฺกจฺจํ นี้
    ก็เป็นอาบัติ เพราะรับโดยไม่ได้เอื้อเฟื้อเหมือนกัน. แต่ของที่รับไว้เป็นอันรับประเคนแล้วแล.
บทว่า สกฺกจฺจํ และบทว่า ปตฺตสญฺญี
    ทั้ง ๒ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ.
บทว่า สปทานํ
    ได้แก่ ตามลำดับไม่ทำให้ลักลั่นในบิณฑบาตนั้นๆ. คำที่ควรจะกล่าวในบิณฑบาตมีสูปะเสมอกัน มีนัยดังกล่าวแล้วเหมือนกัน.
 บทว่า ถูปโต คือ แต่ยอด.
 ความว่า แต่ท่ามกลาง.
สองบทว่า ปฏิจฺฉาเทตฺวา เทนฺติ
    มีความว่า พวกเจ้าของหมกกับข้าวไว้ถวายในสมัยห้ามฆ่าสัตว์เป็นต้น. ในเรื่องวิญญัตติไม่มีคำที่จะพึงกล่าว. แม้ในอุชฌานสัญญีสิกขาบทนี้ ภิกษุอาพาธก็ไม่พ้น.
สองบทว่า นาติมหนฺโต กวโฬ
    มีความว่า ฟองไข่นกยูงใหญ่เกินไป ฟองไข่ไก่ก็เล็กเกินไป, คำข้าวมีประมาณขนาดกลางระหว่างฟองไข่นกยูงและไข่ไก่นั้น (ชื่อว่าคำข้าวไม่ใหญ่เกินไป).
    บัณฑิตพึงถือเอาขาทนียะทุกอย่างมีมูลขาทนียะเป็นต้น
ในคำว่า ขชฺชเก นี้.

29 กันยายน 2567

เสขิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ขัมภกตวรรค พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

สิกขาบทที่ ๑
    [๘๒๐] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินค้ำกายไปในละแวกบ้าน พระบัญญัติ    ๑๖๖. ๒๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ทำความค้ำ ไปในละแวกบ้าน. สิกขาบทวิภังค์   อันภิกษุไม่พึงเดินค้ำกายไปในละแวกบ้าน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินค้ำกายข้างเดียวก็ตาม ทั้งสองข้างก็ตาม ไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.
ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๒
    [๘๒๑] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์นั่งค้ำกายในละแวกบ้าน พระบัญญัติ    ๑๖๗. ๒๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ทำความค้ำ นั่งในละแวกบ้าน. สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุไม่พึงนั่งค้ำกายไปในละแวกบ้าน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งค้ำกายข้างเดียวก็ตาม ทั้งสองข้างก็ตาม ไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
  ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ อยู่ในที่พัก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.
ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๓
    [๘๒๒] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินคลุมศีรษะไปในละแวกบ้าน พระบัญญัติ    ๑๖๘. ๒๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่คลุมศีรษะไปในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุไม่พึงคลุมศีรษะเดินไปในละแวกบ้าน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินคลุมศีรษะไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ. อนาปัตติวาร    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.
ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๔
    [๘๒๓] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์นั่งคลุมศีรษะนั่งในละแวกบ้าน พระบัญญัติ    ๑๖๙. ๒๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่คลุมศีรษะนั่งในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
   อันภิกษุไม่พึงคลุมศีรษะนั่งในละแวกบ้าน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ คลุมศีรษะนั่งในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ อยู่ในที่พัก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.
 ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๕
    [๘๒๔] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์กระหย่งเท้าเดินไปในละแวกบ้าน พระบัญญัติ    ๑๗๐. ๒๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ไปในละแวกบ้าน ด้วยทั้งความกระหย่ง. 
สิกขาบทวิภังค์
 อันภิกษุไม่พึงมีการกระหย่งเท้าเดินไปในละแวกบ้าน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อเดินกระหย่งเท้าไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ. อนาปัตติวาร    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ อยู่ในที่พัก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.
ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๖
    [๘๒๕] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์รัดเข่านั่งในละแวกบ้าน พระบัญญัติ    ๑๗๑. ๒๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่นั่งในละแวกบ้านด้วยทั้งความรัด.
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุไม่พึงมีการรัดเข่านั่งในละแวกบ้าน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อนั่งรัดเข่าด้วยมือก็ดี รัดเข่าด้วยผ้าก็ดี ในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ อยู่ในที่พัก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรคสิกขาบทที่ ๖ จบ.
สารูป ๒๖สิกขาบท จบ.
โภชนปฏิสังยุต ๓๐ สิกขาบท
ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๗
    [๘๒๖] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์รับบิณฑบาต โดยไม่เอาใจใส่ ทำ อาการดุจทิ้งเสีย พระบัญญัติ    ๑๗๒. ๒๗. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเอื้อเฟื้อ. 
สิกขาบทวิภังค์     อันภิกษุพึงรับบิณฑบาตโดยเคารพ ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตโดยไม่เคารพ ทำอาการดุจทิ้งเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.
ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๘
    [๘๒๗] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์รับบิณฑบาต พลางแลไปในที่นั้นๆ เมื่อเขากำลังเกลี่ยบิณฑบาตลงก็ดี เมื่อเกลี่ยเสร็จแล้วก็ดี หารู้สึกตัวไม่ พระบัญญัติ    ๑๗๓. ๒๘. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักจ้องในบาตรรับบิณฑบาต. 
สิกขาบทวิภังค์    อันภิกษุพึงแลดูบาตรรับบิณฑบาต ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตพลางเหลียวแลไปในที่นั้นๆ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
อนาปัตติวาร
&@ ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.
ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๙
    [๘๒๘] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์รับบิณฑบาต รับแต่สูปะเป็นส่วนมาก พระบัญญัติ    ๑๗๔. ๒๙. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตมีสูปะเสมอกัน.
 สิกขาบทวิภังค์
    ที่ชื่อว่า สูปะ มีสองชนิด คือ สูปะทำด้วยถั่วเขียว ๑ สูปะทำด้วยถั่วเหลือง ๑ ที่จับได้ด้วยมือ.
    อันภิกษุพึงรับบิณฑบาตมีสูปะพอสมกัน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับแต่สูปะอย่างเดียวเป็นส่วนมาก ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ รับกับข้าวต่างอย่าง ๑ รับของญาติ ๑ รับของผู้ปวารณา ๑ รับเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุอื่น ๑ จ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ. 
ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
    [๘๒๙] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์รับบิณฑบาตถึงล้นบาตร พระบัญญัติ    ๑๗๕. ๓๐. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตจดเสมอขอบบาตร.
สิกขาบทวิภังค์ 
    อันภิกษุพึงรับบิณฑบาตเสมอขอบปากบาตร ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตจนล้น ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ขัมภกตวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
จบ. วรรคที่ ๓ จบ. 
อรรถกถา เสขิยกัณฑ์ ขัมภกตวรรคที่ ๓
    การยกมือวางบนสะเอวทำความค้ำ ชื่อว่า ทำความค้ำ. 
    บทว่าโอคุณฺฐิโต 
     แปลว่า คลุมศีรษะ.
    กิริยาที่ภิกษุยกส้นเท้าทั้ง ๒ จดพื้นดินด้วยเพียงปลายเท้าทั้ง ๒ หรือเขย่งปลายเท้าทั้ง ๒ จดพื้นดินด้วยเพียงส้นเท้าทั้ง ๒ เดินไป พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เดินเขย่งเท้า
ในคำว่า อุกฺกุฏิกาย นี้ ก็ตติยาวิภัตติ 
ในคำว่า อุกฺกุฏิกาย นี้ มีลักษณะดังกล่าวแล้วนั่นแหละ.
  แม้การรัดเข่าด้วยสายโยก ก็ชื่อว่าการรัดเข่าด้วยผ้าเหมือนกัน ในคำว่า ทุสฺสปลฺลตฺถิกาย นี้.
  บทว่า อากีรนฺเตปิ 
คือ แม้เมื่อเขากำลังถวายบิณฑบาต.
  บทว่า สกฺกจฺจํคือ ตั้งสติไว้.
 บทว่า ปตฺตสญฺญี
 คือ กระทำความสำคัญในบาตร. บิณฑบาตซึ่งมีกับข้าวประมาณเท่าส่วนที่ ๔ แห่งข้าวสวย ชื่อว่าบิณฑบาตมีสูปะเสมอกัน.    และในมหาปัจจรีท่านกล่าวไว้ว่า แม้แกงที่ปรุงด้วยถั่วพูเป็นต้น ก็ถึงการสงเคราะห์เข้า
ในคำว่า มุคฺคสูโป มาสสูโป 
      นี้. กับข้าวมีรสชวนให้ยินดี๑- แกงผักดอง รสปลาและรสเนื้อเป็นต้นที่เหลือ เว้นกับข้าว ๒ อย่างเสีย พึงทราบว่ารสรส (กับข้าวต่างอย่าง) ในคำว่า รสรเส นี้. ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้รับกับข้าวต่างอย่างนั้นแม้มาก.
    บทว่า สมติตฺติกํ 
                 แปลว่า เต็มเสมอ คือเพียบเสมอ.
    ในคำว่า ถูปีกตํ ปิณฺฑปาตํปฏิคฺคณฺหาติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส
นี้ ความว่า บิณฑบาตที่ภิกษุทำให้ล้นรอยขอบภายในปากบาตรขึ้นมา ชื่อว่าทำให้พูนล้นบาตร คือเพิ่มเติม แต่งเสริมให้เต็มแปล้ในบาตร. ภิกษุไม่รับบิณฑบาตที่ทำอย่างนั้น พึงรับพอประมาณเสมอรอยภายในขอบปากบาตร.
   ในคำว่า ถูปีกตํ
   นั้น พระอภัยเถระกล่าวว่า ที่ชื่อว่าทำให้ล้นบาตร ได้แก่ทำ (ให้ล้นบาตร) ด้วยโภชนะทั้ง ๕. แต่พระจูฬนาคเถระผู้ทรงไตรปิฏกกล่าวสูตรนี้ว่า ยาคูก็ดี ภัตก็ดี ขาทนียะก็ดี ก้อนแป้งก็ดี ไม้ชำระฟันก็ดี ด้ายชายผ้าก็ดี ชื่อว่าบิณฑบาต แล้วกล่าวว่า แม้ด้ายชายผ้าทำให้พูนเป็นยอดดุจสถูป ก็ไม่ควร.
 พวกภิกษุฟังคำของพระเถระเหล่านั้นแล้ว ไปยงโรหณชนบทเรียน ถามพระจูฬสุมนเถระว่า ท่านขอรับ! บิณฑบาตล้นบาตร กำหนดด้วยอะไร? และได้เรียนบอกให้ทราบวาทะของพระเถระเหล่านั้น.
    พระเถระได้ฟังแล้วกล่าวว่า จบละ! พระจูฬนาค ได้พลาดจากศาสนา, โอ! พระจูฬนาคนั้น ได้ให้ช่องทางแก่ภิกษุเป็นอันมาก, เราสอนวินัยให้แก่พระจูฬนาคนี้ถึง ๗ ครั้ง ก็ไม่ได้กล่าวอย่างนี้สักครั้ง, พระจูฬนาคนี้ได้มาจากไหน จึงกล่าวอย่างนี้.
    พวกภิกษุขอร้องพระเถระว่า โปรดบอกในบัดนี้เถิด ขอรับ! (บิณฑบาตล้นบาตร) กำหนดด้วยอะไร? พระเถระกล่าวว่า กำหนดด้วยยาวกาลิก ผู้มีอายุ! เพราะฉะนั้น ยาคูก็ดี ภัตก็ดี ผลาผลก็ดี ที่เป็นอามิสอย่างใดอย่างหนึ่ง ภิกษุพึงรับเสมอ (ขอบบาตร) เท่านั้น.
    ก็แลยาคูและภัต หรือผลาผลนั้น พึงรับเสมอ (ขอบบาตร) ด้วยบาตรที่ควรอธิษฐาน, แต่ด้วยบาตรนอกนี้รับให้ล้นขึ้นมาแม้เป็นเหมือนยอดสถูปก็ควร.
    ส่วนยามกาลิก สัตตาหกาลิก และยาวชีวิก รับให้ล้นเหมือนยอดสถูปแม้ด้วยบาตรควรอธิษฐานก็ได้. ภิกษุรับภัตตาหารด้วยบาตร ๒ ใบ บรรจุให้เต็มใบหนึ่งแล้วส่งไปยังวิหาร ควรอยู่. 
  แต่ในมหาปัจจรีกล่าวว่า ของกินมีขนม ลำอ้อย ผลไม้น้อยใหญ่เป็นต้นที่เขาบรรจุลงในบาตรพร่องอยู่แต่ข้างล่าง ไม่ชื่อว่าทำให้ล้นบาตร.
    พวกชาวบ้านถวายบิณฑบาต วางกระทงขนมไว้ (ข้างบน) จัดว่ารับล้นบาตรเหมือนกัน. แต่พวงดอกไม้และพวงผลกระวานผลเผ็ดร้อน (พริก) เป็นต้น ที่เขาถวายวางไว้ (ข้างบน) ไม่จัดว่ารับล้นบาตร. ภิกษุรับเต็มแล้ววางถาด หรือใบไม้ข้างบนข้าวสวย ไม่ชื่อว่ารับล้นบาตร.
    แม้ในกุรุนทีก็กล่าวไว้ว่า พวกทายกใส่ข้าวสวยลงบนถาดหรือบนใบไม้แล้ว วางถวายถาดหรือใบไม้แล้ว วางถวายถาดหรือใบไม้นั้นบนที่สุดบาตร (บนฝาบาตร), ภาชนะแยกกันควรอยู่. 
    ภิกษุอาพาธไม่มีมาในอนาปัตติวารในสิกขาบทนี้.
  เพราะฉะนั้น โภชนะที่ทำให้เป็นยอดดุจสถูป (ที่รับล้นบาตร) ไม่ควรแม้แก่ภิกษุอาพาธ. จะรับประเคนพร่ำเพรื่อในภาชนะทั่วไป ก็ไม่ควร. แต่โภชนะที่รับประเคนไว้แล้ว จะรับประเคนใหม่ให้เรียบร้อยก่อนแล้วจึงฉัน ควรอยู่ฉะนี้แล.
๑- สารัตถทีปนี ๓/๓๘๖ แก้ว่า โอโลณีติ เอกาพฺยญฺชนวิกติ โย โกจิ สุทฺโธ กญฺชิกตกฺ กาทิรโสติ เกจิ.
แปลว่า กับข้าวชนิดหนึ่งชื่อว่าโอโลณี. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ได้แก่ รสน้ำข้าวและเปรียงเป็นต้นล้วนๆ ชนิดใดชนิดหนึ่ง. วิมติ : แก้เหมือนกันว่า โอโลณีติ เอกาพฺยญฺชนวิกติ. กญฺชิกตกุกาทิรโสติ เกจิ. อตฺถโยชนา
๒/๑๒๔ แก้ว่า อวลิยติ สาทิยตีติ โอโลณํ ลิ สาทเน ณปฺปจฺจโย
แปลว่า กับข้าวที่ชื่อว่า โอโลณะ ด้วยอรรถว่า น่าอร่อย น่ายินดี ลิธาตุ ลงในอรรถว่า น่ายินดีลง ณ ปัจจัย. -ผู้ชำระ.

เสขิยกัณฑ์ วรรคที่ ๒ อุชชัคฆิกวรรค พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

สิกขาบทที่ ๑ 
    [๘๑๐] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินหัวเราะลั่นไปในละแวกบ้าน พระบัญญัติ ๑๕๖. ๑๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ไปในละแวกบ้าน ด้วยทั้งความหัวเราะลั่น. 
สิกขาบทวิภังค์ 
    อันภิกษุไม่พึงเดินหัวเราะลั่นไปในละแวกบ้าน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินหัวเราะไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑- ๑ ทำอาการเพียงยิ้มแย้มในเมื่อมีเรื่องที่น่าขัน ๑ มีอันตราย ๒- ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๒
    [๘๑๑] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์นั่งหัวเราะลั่นอยู่ในละแวกบ้าน พระบัญญัติ ๑๕๗. ๑๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่นั่งในละแวกบ้าน. ด้วยทั้งความหัวเราะลั่น. 
๑. ๒. บาลี ๒ บทนี้ ควรพิจารณา เพราะคนไข้ไม่ต้องการหัวเราะ และในคราวมีอันตราย
ก็ไม่จำเป็นหัวเราะ.
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุไม่พึงนั่งหัวเราะลั่นในละแวกบ้าน. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งในละแวกบ้านหัวเราะลั่น ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑- ๑ ทำอาการเพียงยิ้มแย้มในเมื่อมีเรื่องที่น่าขัน ๑ มีอันตราย ๒- ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.
 อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๓
    [๘๑๒] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินส่งเสียงตะเบ็ง เสียงตะโกนไปในละแวกบ้าน พระบัญญัติ    ๑๕๘. ๑๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักมีเสียงน้อยไปในละแวกบ้าน. 
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุพึงมีเสียงเบาเดินไปในละแวกบ้าน. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินส่งเสียงตะเบ็ง เสียงตะโกนไปในละแวกบ้าน. ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ. 
๑. ๒. แม้บาลี ๒บทนี้ ก็ควรพิจารณา
โดยนัยดังกล่าวแล้ว.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๔
     [๘๑๓] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์นั่งส่งเสียงตะเบ็ง เสียงตะโกนลั่นอยู่ในละแวกบ้าน พระบัญญัติ&@ ๑๕๙. ๑๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักมีเสียงน้อย นั่งในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุพึงมีเสียงเบา นั่งในละแวกบ้าน. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ส่งเสียงตะเบ็ง เสียงตะโกน นั่งในละแวกบ้าน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๕
    [๘๑๔] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินโคลงกายไปในละแวกบ้าน. วางท่าภาคภูมิ พระบัญญัติ    ๑๖๐. ๑๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เดินโยกกายไปในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุไม่พึงเดินโคลงกายไปในละแวกบ้าน พึงประคองกายเดินไป. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินโคลงกายไปในละแวกบ้าน วางท่าภาคภูมิ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๖
    [๘๑๕] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์นั่งโคลงกายอยู่ในละแวกบ้าน วางท่าภาคภูมิ พระบัญญัติ    ๑๖๑. ๑๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่นั่งโยกกายในละแวกบ้าน.
 สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุไม่พึงนั่งโคลงกายในละแวกบ้าน พึงนั่งประคองกาย. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งโคลงกายในละแวกบ้าน วางท่าภาคภูมิ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ อยู่ในที่พัก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๗     [๘๑๖] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินไกวแขนไปในละแวกบ้าน แสดงท่ากรีดกราย พระบัญญัติ&@ ๑๖๒. ๑๗. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ไกวแขนไปในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุไม่พึงเดินแกว่งแขนไปในละแวกบ้าน พึงประคองแขนเดินไป. ภิกษุใด อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินแกว่งแขนไปในละแวกบ้าน แสดงท่ากรีดกราย ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๘
    [๘๑๗] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์นั่งไกวแขน แสดงท่ากรีดกรายในละแวกบ้าน พระบัญญัติ    ๑๖๓. ๑๘. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ไกวแขนนั่งในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุไม่พึงนั่งไกวแขนในละแวกบ้าน พึงนั่งประคองแขน. ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งแกว่งไกวแขนในละแวกบ้าน แสดงท่ากรีดกราย ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ อยู่ในที่พัก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๙     [๘๑๘] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินโคลงศีรษะไปในละแวกบ้าน ทำท่าคอพับ พระบัญญัติ    ๑๖๔. ๑๙. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่โคลงศีรษะไปในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุไม่พึงเดินโคลงศีรษะไปในละแวกบ้าน พึงเดินประคองศีรษะไป ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินโคลงศีรษะไปในละแวกบ้าน ทำท่าคอพับ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.
อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๑๐    [๘๑๙] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์นั่งโคลงศีรษะในละแวกบ้าน ทำท่าคอพับ พระบัญญัติ    ๑๖๕. ๒๐. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่โคลงศีรษะนั่งในละแวกบ้าน. 
สิกขาบทวิภังค์
    อันภิกษุไม่พึงนั่งโคลงศีรษะในละแวกบ้าน พึงนั่งประคองศีรษะ ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งโคลงศีรษะในละแวกบ้าน ทำศีรษะให้ห้อย ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ อยู่ในที่พัก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อุชชัคฆิกวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ. วรรคที่ ๒ จบ.
อรรถกถา เสขิยกัณฑ์ อุชชัคฆิกวรรคที่ ๒ วรรคที่ ๒
    บทว่า อุชฺชคฺฆิกาย 
คือ หัวเราะลั่นอยู่. ในบทว่า อุชฺชคฺฆิกาย นี้ เป็นตติยาวิภัตติ โดยนัยดังได้กล่าวแล้วเหมือนกัน.
   ในคำว่า อปฺปสทฺโท อนฺตรฆเร นี้มีวินิจฉัยดังนี้ :-
        จัดว่าเป็นผู้มีเสียงน้อยโดยประมาณขนาดไหน? บรรดาพระเถระทั้งหลายผู้นั่งในเรือนขนาด ๑๒ ศอกอย่างนี้ คือพระสังฆเถระนั่งข้างต้น พระเถระรูปที่ ๒ นั่งท่ามกลาง พระเถระรูปที่ ๓ นั่งข้างท้าย, พระสังฆเถระปรึกษา
    กับพระเถระที่ ๒. พระเถระรูปที่ ๒ ฟังเสียงและกำหนดถ้อยคำของพระสังฆเถระนั้นได้. ส่วนพระเถระรูปที่ ๓ ได้ยินเสียงกำหนดถ้อยคำไม่ได้. ด้วยขนาดเพียงเท่านี้จัดเป็นผู้มีเสียงน้อย. แต่ถ้าว่าพระเถระรูปที่ ๓ กำหนดถ้อยคำได้ ชื่อว่า เป็นผู้มีเสียงดังแล.
 สองบทว่ากายํ ปคฺคเหตฺวา 
มีความว่าภิกษุพึงเดินและพึงนั่งไม่โยกโคลง คือ ด้วยกายตรง ด้วยอิริยาบถเรียบร้อย.
 สองบทว่า พาหุํ ปคฺคเหตฺวา คือ ทำแขนให้นิ่งๆ.
 สองบทว่าสีลํ ปคฺคเหตฺวา
คือ ตั้งศีรษะไม่เอียงไปเอียงมา ได้แก่ให้ตรง (ไม่นั่งคอพับ).