Translate

29 พฤศจิกายน 2568

อัธยายที่ 03 กุลปริศฺทฺธิปริวรฺตสฺตฺฤตียะ ชื่อ กุลปริศุทธิปริวรรต (ว่าด้วยตระกูลบริศุทธ) พระคัมภีร์ลลิตวิสฺตรนี้ เป็นพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในนิกายมหายาน

ตระกูลบริสุทธิ์
  
 กระนั้นแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์เมื่เทวดาทั้งหลายเตือนว่าถึงเวลาแห่งธรรมและกล่าวสรรเสริญแล้ว พระองค์จึงเสด็จออกจากมหาวิมาน ก้าวขึ้นสู่มหาปราสาทชื่อธรรโมจจยะ ซึ่งเป็นที่พระโพธิสัตว์ประทับนั่งแสดงธรรมแก่เหล่าเทวดาชั้นดุษิตนั้น
 ครั้นเสด็จขึ้นไปแล้ว ทรงประทับนั่งบนบังลังก์ชื่อสุธรรม ครั้งนั้น เทวดาที่มีสภาพเสมอกันกับพระโพธิสัตว์ ประทับอยู่ในยานเท่าๆกับยานของพระโพธิสัตว์ก็พากันขึ้นสู่ปราสาทนั้นด้วย พวกพระโพธิสัตว์ที่มีประวัติมาเท่าๆกัน ประชุมกันทั้ง 10 ทิศ และเทวะบุตรผู้เป็นบริวารของพระโพธิสัตว์ทั้งหมดนั้นก็ประทับนั่งบนบังลังก์ของตนๆ ตามปัจจัยอันสมควร ไม่มีคณะนางอัปสร ไม่มีเทวะบุตรชั้นสามัญ มีแต่บริวารที่มีอัธยาศัยเสมอกันเป็นจำนวนบริวาร 68 พันโกฏิ
      ดั่งนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อนี้ไปอีก 12 ปี พระโพธิสัตว์จึงจะเสด็จลงสู่ครรภ์พระมารดา
 ครั้งนั้น เทวะบุตรชาวสวรรค์ชั้นสุทธาวาสได้มายังชมพูทวีป ทำให้เพศทิพย์หายไป แปลงตัวเป็นพราหมณ์สอนพระเวทแก่พราหมณ์ทั้งหลายว่า ผู้ใดลงสู่ครรภ์มีอาการดั่งนี้ ผู้นั้นจะประกอบด้วยลักษณะหมาบุรุษ 32 ประการ ผู้ที่ประกอบด้วยลักษณะเช่นนี้ จะมีคติ 2 อย่าง ไม่ใช่ 3 อย่าง คือ ถ้าผู้นั้นอยู่ครองเรือน จะได้เป็นพระราชาจักรพรรดิ มีมหาสมุทร 4 เป้นราชอาณาจักร เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม เป็นพระราชาเพราะธรรม และเป็นผู้ประกอบด้วยรัตนะ 7 ประการ รัตนะของพระองค์ 7 อย่างเหล่านี้ได้แก่ จักรรัตนะ หัสติรัตนะ อัศวรัตนะ สตรีรัตนะ มณีรัตนะ คฤหบดีรัตนะ ปรินายกรัตนะ
 พระราชาจักรพรรดิประกอบด้วยจักรรัตนะนั้น เป็นอย่างไร เป็นอย่างนี้ คือ เมื่อพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ในโลกนี้ได้มูรธาภิเษกแล้ว เสวยพระกระยาหารตามปรกตินั้นแล้ว ครันถึงวันดิถี 15 ค่ำ สรงน้ำดำเกล้า งดเว้นพระกระยาหาร เสด็จขึ้นไปยังปราสาทชั้นบน  แวดล้อมด้วยหญิงชาววัง จักรรัตนจะปรากฏขึ้นในทิศตะวันออก จักรรัตนทิพย์ของพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ ซึ่งได้มูรธาภิเษกแล้วนั้น มีกำ 1000 ซี่ พร้อมด้วยกง และดุม มีสีเหมือนทองคำสร้างขึ้นด้วยกรรม สูง 7 ชั่วลำตาล เห็นได้รอบบริเวณภายในเมืองเล่ากันว่า เมื่อพระราชาผู้เป็นกษัตริย์พระองค์ใดได้มูรธาภิเษกแล้ว เสวยพระกระยาหารตามปรกตินั้นแล้ว ครั้นถึงวันดิถี 15 ค่ำ สรงน้ำดำเกล้างดเว้นพระกระยาหาร เสด็จขึ้นไปยังปราสาทชั้นบน แวดล้อมด้วยหญิงชาววัง
 จักรรัตนทิพย์จะปรากฏขึ้นในทิศตะวันออก  พระราชาพระองค์นั้นแหละเป็นพระราชาจักรพรรดิพระองค์ทรงพระดำริว่า เราเป็นราชาจักพรรดิ์แน่หรือ ถ้ากระไร เราจะทดลองจักรรัตนทิพย์ดู ครั้นแล้วพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ ได้มูรธาภิเษกแล้ว ก็ทรงพระภูษาเฉวีงบ่าข้างหนึ่งจดพระชานุมณฑล (เข่า) เบื้องขวาลงบนแผ่นดิน ทรงปรารถนาและทรงผลักจักรทิพย์ด้วยพระหัตถ์เบื้องขวาว่าด้งนี้ จักรทิพย์ผู้มีอำนาจ จงหมุนแล่นไปโดยธรรม อย่าหมุนแล่นไปโดยอธรรม ครั้งนั้นจักรทิพย์นั้น พระราชาผู้เป็นกษัตริย์ได้มูรธาภิเษกแล้วสั่งให้หมุนแล่นไป ก็หมุนแล่นไปทางทิศตะวันออกโดยอากาศด้วยฤทธิ์เป็นอย่างดี พระราชาจักพรรดิ์พร้อมด้วยกองพล 4 เหล่า ก็เสด็จตามไป จักรรัตนทิพย์นั้น ไปหยุดอยู่ในท้องที่แผ่นดินใด พระราชาผู้เป็นกษัตริย์ได้มูรธาภิเษกก็ประทับอยู่ในท้องที่แผ่นดินนั้นพร้อมด้วยกองพล 4 เหล่า
 ครั้งนั้น พระราชาผู้ปกครองท้องถิ่นที่ด้านทิศตะวันออกนั้นๆ ถือถาดเงินเต็มไปด้วยทองคำผง บ้างก็ถือถาดทองคำเต็มไปด้วยเงินผง ต้อนรับพระราชาจักรพรรดิว่า เชิญเสด็จมาเถิดพระเจ้าข้า ข้าพระองค์ขอต้อนรับพระองค์ นี่ราชสมบัติของพระองค์ มั่งคั่ง กว้างขวาง ปราศจากภยันตราย มีอาหารอุดมสมบูรณ์ น่ารื่นรมย์ คลาคล่ำไปด้วยคนจำนวนมาก ขอพระองค์ได้โปรดรับราชสมบัติของพระองค์ ซึ่งตามมาถึงแล้ว เมื่อพระราชาทั้งหลายกราบทูลดั่งนี้ พระราชาผู้เป็นกษัตริย์ได้มูรธาภิเษกแล้ว ได้รับการเชิญให้คุ้มครองป้องกันแล้วตรัสแก่พระราชา ผู้ครองท้องที่เหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลายจงปกครองราชสมบัติของตนโดยธรรมเถิด
 อนึ่ง ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงอย่าฆ่าสัตว์มีชีวิต อย่าถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ อย่าประพฤติผิดในกาม(ความใคร่ทางเพศ) อย่ากล่าวเท็จ อย่าให้อธรรมเกิดขึ้นในแคว้นของข้าพเจ้า อย่าพอใจประพฤติอธรรม นัยว่าพระราชาวรรณะกษัตริย์ผู้ได้มูรธาภิเษกแล้ว มีชัยชนะในด้านทิศตะวันออกอย่างนี้ จักรรัตนะมีชัยชนะในด้านทิศตะวันออกแล้วก็แล่นลงสู่สมุทรด้านทิศตะวันออก ข้ามสมุทรด้านทิศตะวันออก
 ครั้นข้ามได้แล้ว จึงแล่นไปทางทิศโดยอากาศด้วยฤทธิ์เป็นอย่างดี พระราชาจักรพรรดิพร้อมด้วยกองพล 4 เหล่า ก็เสด็จตามไป ทรงมีชัยชนะในด้านทิศใต้เช่นเดียวกับที่กล่าวแล้วในก่อน แล้วทรงมีชัยชนะในด้านทิศตะวันตกและเหนือ เหมือนทรงมีชัยชนะในด้านทิศใต้ ครั้นมีชัยชนะในด้านทิศเหนือแล้ว จักรรัตนะก็หยั่งลงสู่สมุทรด้านทิศเหนือ เมื่อหยั่งลงแล้วก็ข้ามสมุทรทิศเหนือ ครั้นข้ามแล้วก็กลับมาสู่ราชธานีโดยอากาศด้วยฤทธืเป็นอย่างดี แล้วมาตั้งเพลาเบื้องบนที่ประตูภายในเมือง พระราชาผู้เป็นกษัตริย์ได้มูรธาภเษกแล้ว เป็นผู้ประกอบด้วยจักรรัตนะดังกล่าวมานี้
 พระราชาจักรพรรดิประกอบด้วยหัสติรัตนะนั้นเป็นอย่างไร เป็นอย่างนี้ คือ เมื่อพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ในโลกนี้ได้มูรธาภิเษกแล้ว หัสติรัตนะได้เกิดขึ้นเหมือนดั่งกล่าวแล้วในก่อน หัสติรัตนะนั้นเผือกล้วนมีลักษณะที่ปรากฏเป็นอย่างดี 7 อย่าง คือ กระพองเป็นสีทอง ลึงค์เป็นสีทอง เครื่องประดับเป็นทอง คลุมด้วยตาข่ายทอง มีฤทธิ์เหาะได้ มีความสุขสบายเป็นปรกติ ซึ่งพระยาช้างนี้มีชื่อว่าโพธิ และในกาลเมื่อพระราชาวรรณะกษัตริย์ได้มูรธาภิเษกแล้ว มีพระประสงค์จะทอลองหัสติรัตนะนั้น จึงขึ้นทรงหัสติรัตนะนั้นในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น เสด็จไปรอบแผ่นดินใหญ่นี้ซึ่งมีสมุทรเป็นคูเมือง มีสมุทรล้อมรอบ แล้วเสด็จกลับมายังราชธานี เสวยพระกระยาหารมื้อเช้า พระราชาจักรพรรดิประกอบด้วยหัสติรัตนะ ดั่งกล่าวมานี้
      พระราชาจักรพรรดิประกอบด้วยอัศวรัตนะนั้นเป็นอย่างไร?
 ก็แหละเมื่อพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ได้มูรธาภิเษกแล้ว อัศวรัตนะย่อมเกิดขึ้น เหมือนดั่งกล่าวแล้วในก่อน อัศว(ม้า)นั้นสีนิล(เขียว)หัวสีดำ มีผมเหมือนเส้นหญ้ามุญชะ (หญ้าซุ้มกระต่าย) หน้ามีสง่า ลึงค์สีทอง เครื่องประดับเป็นทองคลุมด้วยตาข่ายทอง มีฤทธิ์เหาะได้ มีความสุขสบายเป็นปรกติ ซึ่งพญาอัศวนี้มีชื่อว่า พาลาหกะ และในกาลเมื่อพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ได้มูรธาภิเษกแล้ว มีพระประสงค์จะทดลองอัศวรัตนะจึงขึ้นทรงอัศวรัตนะในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น เสด็จเที่ยวไปรอบแผ่นดินใหญ่นี้ซึ่งมีสมุทรเป็นคูเมือง มีสมุทรล้อมรอบ แล้วเสด็จกลับมายังราชธานีเสวยพระกระยาหารมื้อเช้า พระราชาจักรพรรดิประกอบด้วยอัศวรัตนะ ดังกล่าวมานี้
      พระราชาจักพรรดิ์ประกอบด้วยมณีรัตนะนั้นเป็นอย่างไร?
 เมื่อพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ในโลกนี้  ได้มูรธาภิเษกแล้ว มณีรัตนะย่อมเกิดขึ้นเหมือนดังกล่าวแล้ว มณีรัตนะนั้นเป็นแก้วไพฑูรย์สีเขียวบริศุทธ เจียระไนเรียบร้อย 8 เหลี่ยม นัยว่าภายในเมืองทั้งสิ้นย่อมสว่างรุ่งเรืองด้วยรัศมีแห่งมณีรัตนะนั้น และในกาลเมื่อพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ได้มูรธาภิเษกแล้วมีพระราชประสงค์จะทดลองมณีรัตนะนั้น ก็ยกมณีรัตนะขึ้นที่ยอดธงเวลาเที่ยงคืนในราตรีมีความมืดและมีหมอก และเสด็จไปพระราชอุทยาน เพื่อทอดพระเนตรพื้นที่ให้ถนัด นัยว่า กองพล 4 เหล่านั้น สว่างรอบด้วยรัศมีแห่งมณีรัตนะตลอดเนื้อที่รอบๆโยชน์หนึ่ง นัยว่าคนเหล่าใดอาศัยอยู่ในแดนรอบๆแห่งมณีรัตนะนั้น คนเหล่านั้น ได้รับแสงมณีรัตนะส่งสว่างจำกันได้ เห็นกันได้ พูดกันได้ ลุกขึ้นเถิด ท่านผู้มีหน้าแจ่มใส ทำงานกันเถิด วางของขายที่ตลาดเถิด เราเข้าใจว่ารุ่งแจ้งแล้ว ตะวันขึ้นแล้ว พระราชาผู้เป็นกษัตริย์ได้มูรธาภิเษกแล้ว ประกอบด้วยมณีรัตนะดังได้กล่าวมานี้
      พระราชาจักรพรรดิที่ประกอบด้วยสตรีรัตนะนั้นเป็นอย่างไร?
 เมื่อพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ในโลกนี้ ได้มูรธาภิเษกแล้ว สตรีรัตนะย่อมเกิดขึ้นเหมือนดั่งกล่าวแล้ว สตรีรัตนะนั้นมีวรรณะเป็นกษัตริย์เหมือนกัน ไม่สูงเกินไป ไม่ต่ำเกินไป ไม่ผอมเกินไป ไม่ขาวเกินไป ไม่ดำเกินไป มีรูปร่างสวย น่ารัก น่าดู ขุมขนทั้งปวงแห่งสตรีรัตนะนั้นระเหยหอมออกมาเหมือนกลิ่นแก่นจันทน์ ปากมีกลิ่นระเหยหอมออกมาเหมือนกลิ่นดอกอุบล มีสัมผัสนุ่มนวลเหมือนฝักมะกล่ำเครือ ในเวลาหนาว ร่างกายของนางนั้นสัมผัสอุ่น ในเวลาร้อนสัมผัสเย็น สตรีรัตนะนั้นนอกจากพระราชาจักรพรรดิแล้ว ไม่มีความกำหนัดยินดีในบุรุษอื่นแม้แต่ด้วยใจคิด จะป่วยกล่าวไปไยถึงทำความกำหนัดในบุรุษอื่นด้วยร่างกาย พระราชาจักรพรรดิ ประกอบด้วยสตรีรัตนะดั่งกล่าวมานี้
      พระราชาจักรพรรดิประกอบด้วยคฤหบดีรัตนะนั้นอย่างไร?
 เมื่อพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ในโลกนี้ ได้มูรธาภิเษกแล้ว คฤหบดีรัตนะย่อมเกิดขึ้นเหมือนดังกล่าวแล้ว เป็นบัณฑิต ฉลาด มีปรัชญา มีทิพยจักษุ คฤหบดีรัตนะนั้นเห็นขุมทรัพย์ทั้งมีเจ้าของและไม่มีเจ้าของในเนื้อที่ 1 โยชน์โดยรอบด้วยทิพยจักษุ ขุมทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของก็เอามาทำประโยชน์แก่พระราชาจักรพรรดิ พระราชาจักรพรรดิประกอบด้วยคฤหบดีรัตนะดังกล่าวนี้
      พระราชาจักรพรรดิประกอบด้วยปริณายกรัตนะอย่างไร?
 เมื่อพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ในโลกนี้ ได้มูรธาภิเษกแล้ว ปริณายกรัตนะย่อมเกิดขึ้นเหมือนดั่งกล่าวแล้ว เป็นบัณฑิต ฉลาด มีปรัชญา พระราชาจักรพรรดิเพียงแต่ทรงพระดำริจะให้จัดกองทัพ ปริณายกรัตนะก็จัดกองทัพที่ควรจัดขึ้นมาแล้ว พระราชาจักรพรรดิประกอบด้วยปริณายกรัตนะดั่งกล่าวนี้
 พระราชาจักรพรรดิจักประกอบด้วยรัตนะ 7 ประการเหล่านี้ พระองค์จักมีพระโอรส 1000 องค์ ล้วนแกล้วกล้าสามารถ มีรูปร่างกำยำ ปราบปรามทหารฝ่ายปรปักษ์ได้ พระราชาจักรพรรดินั้นทรงชนะแผ่นดินทั้งหมด อันมีมหาสมุทรเป็นที่สุด ไม่ให้มีเสี้ยนหนาม โดยไม่ใช้อาชญา ไม่ใช้ศัสตรา ทรงปกครองแล้ว ถ้าไม่ทรงครองเรือนจะเสด็จออกบรรพชาเป็นผู้ไม่มีเรือน ก็จะทรงละฉันทราคะได้ กลายเป็นผู้นำ เป็นเทพไม่มีใครเทียบเท่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ดั่งนี้แล
      อนึ่ง เทวะบุตรทั้งหลายอื่นๆ มายังชมพูทวีปบอกแก่พระปรัตเยกพุทธทั้งหลายว่า ข้าแต่ท่านผู้ควรเคารพ ขอท่านทั้งหลายจงชำระพุทธเกษตรคือเขตแดนของพระพุทธเจ้าให้สะอาดบริศุทธ นับจากนี้ไปอีก 12 ปี พระโพธิสัตว์ก็จะลงสู่ครรภ์พระมารดา
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้นแล มีพระปรัตเยกพุทธองค์หนึ่ง มีนามว่ามาตังคะ อยู่ที่ไหล่เขาโคลางคุละในมหานครราชคฤห์ ท่านได้ยินเสียงนั้นแล้ว จึงเดินเข้าไปในภูเขา (หิน)เหมือนเดินเข้าไปในโคลน เข้าเตโชธาตุสมาบัติแล้ว เหาะขึ้นสูง 7 ชั่วลำตาล แล้วดับขันธปรินิรวาณ ดี เสลด เอ็น กระดูก เนื้อ และเลือดของพระปรัตเยกพุทธ ที่มีอยู่นั้นทั้งหมดก็ย่อยยับไปด้วยเตโชธาตุ เหลือแต่ศีรษะอันบริศุทธตกอยู่ที่พื้นดิน และเศีรษะนั้นเป็นที่รู้จักกันว่า ฤษีบท(รอยพระฤษี) จนทุกวันนี้
 ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีก นัยว่าในสมัยนั้น ยังมีพระปรัตเยกพุทธ 500 องค์อยู่ในป่าฤษีปัตนะมฤคทาวะใกล้เมืองพาราณสี พระปรัตเยกพุทธเหล่านั้น ได้ยินเสียงนั้นแล้ว (เสียงเทวดาสั่งให้ทำความสะอาดพื้นที่) ก็เข้าเตโชธาตุสมาบัติแล้ว เหาะขึ้นสูง 7 ชั่วลำตาล แล้วดับขัธปรินิรวาณด้วยเตโชธาตุนั้น ดี เสลด เนื้อ กระดูก เอ็น และเลือดของพระปรัตเยกพุทธทั้งหลาย ที่มีอยู่นั้นทั้งหมด ก็ย่อยยับไปด้วยเตโชธาตุเหลือแต่ศีรษะอันบริศุทธตกอยู่ที่พื้นดิน ที่นี่จึงเรียกว่า ฤษิปัตนะ(ฤษีตก) เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นั้นมา จึงเกิดนามเป็นที่รู้กันว่า ฤษิปัตนะ อนึ่งกวางทั้งหลายที่ได้รับอภัยทาน(ห้ามฆ่าหรือห้ามทำร้าย) ก็ได้อาศัยอยู่ในที่นี้คือที่ฤษิปัตนะนี้ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สถานที่แห่งที่อยู่ของกวางนั้นจึงมีนามเป็นที่รู้กันว่า มฤคทาวะ(ป่าเป็นที่อยู่ของกวางหรือป่ากวาง)
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ประทับอยู่ในสวรรค์ชั้นดุษิตดั่งนี้แล ได้ทรงเลือกมหาวโลกิตะ (ฐานะอันผู้มียศใหญ่ยิ่งเลือก) 4 อย่าง มหาวิโลกิตะ 4 อย่างนั้น เป็นอย่างไร? นั่นคือ เลือกกาล เลือกทวีป เลือกประเทศ เลือกตระกูล
      ดูกนภิกษุทั้งหลาย มีเหตุอะไร พระโพธิสัตว์เลือกกาล พระโพธิสัตว์ย่อมไม่ลงสู่ครรภ์พระมารดาในเวลาที่สัตว์ในโลกเริ่มจะเกิดขึ้นในเบื้องต้นกำลังจะเจริญขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นละก็ต่อเวลาใดโลกฉลาด ตั้งอยู่ด้วยอาการอันดี รู้จักชาติ รู้จักชรา รู้จักพยาธิ รู้จักมรณะ เวลานั้นแหละ พระโพธิสัตว์จึงจะลงสู่ครรภ์พระมารดา
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีเหตุอะไร พระโพธิสัตว์เลือกทวีป พระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมไม่เกิดในปัจจันตประเทศทั้งหลาย ไม่เกิดในปุรพวิเทหทวีป ไม่เกิดในอปรโคทานียทวีป  ไม่เกิดในอุตรกุรุทวีป เมื่อเป็นเช่นนั้นละก็ย่อมเกิดในชมพูทวีปเท่านั้น
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีเหตุอะไรพระโพธิสัตว์เลือกประเทศ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมไม่เกิดในปัจจันตชนบททั้งหลายที่หมู่มนุษย์มีตาบอดแต่กำเนิด ประสาทเสื่อม หูหนวกและเป็นใบ้ ไม่สามารถหยั่งรู้สุภาษิตและทุภาษิต เมื่อเป็นเช่นนั้นละก็ย่อมเกิดแต่ในชนบททั้งหลายที่เป็นท่ามกลางเท่านั้น
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีเหตุอะไรพระโพธิสัตว์เลือกตระกูล พระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมไม่เกิดในตระกูลต่ำ คือตระกูลจัณฑาล ตระกูลช่างสานเสื่อ ตระกูลช่างทำรถ และตระกูลเทดอกไม้ เมื่อเป็นเช่นนั้นละก็ย่อมเกิดใน 2 ตระกูล คือตระกูลพราหมณ์และตะกูลกษัตริย์เท่านั้น  เมื่อใดโลกนับถือพราหมณ์มาก เมื่อนั้นพระโพธิสัตว์ก็เกิดในตระกูลพราหมณ์ เมือใดโลกนับถือกษัตริย์มาก เมื่อนั้นพระโพธิสัตว์จึงเกิดในตระกูลกษัตริย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ขณะนี้โลกนับถือกษัตริย์มาก พระโพธิสัตว์จึงเกิดในตระกูลกษัตริย์ อาศัยประโยชน์ที่ได้เล็งเห็นนั้น พระโพธิสัตว์ซึ่งประทับอยู่ในสวรรค์ชั้นดุษิตจึงเลือกมหาวิโลกิตะ 4 อย่าง
 และครั้นเลือกอย่างนี้แล้ว ก็นิ่งอยู่       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดังนั้นแหละ เทวะบุตรทั้งหลายเหล่านั้นจึงสอบถามเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ขึ้นว่า พระโพธิสัตว์จะตั้งอยู่ในตระกูลประเสริฐไหน ในพระมารดามีสภาพอย่างไร บรรดาพวกเทวะบุตรเหล่านั้น เทวะบุตรพวกหนึ่งพูดขึ้นว่า ตระกูลไวเทหิ ในมคธชนบทเป็นตระกูลมั่งคั่ง กว้างขวาง ปลอดภัย อาหารอุดมสมบูรณ์ นี่แหละสมควรจะเป็นที่ตั้งครรภ์พระโพธิสัตว์นั้น ฝ่ายเทวะบุตรอีกพวกหนึ่งพูดว่า ตระกูลไวเทหิไม่สมควร เพราะเหตุใด เพราะตระกูลไวเทหินั้น มารดาไม่บริศุทธ บิดาไม่บริศุทธ เป็นตระกูลไม่ยืดเยื้อ ไม่มั่นคง มีบุณยน้อย ไม่ได้อภิเษกด้วยบุณยอันไพบูรณ์ เป็นแต่เฉียดประเทศของคนที่มีตระกูลดี ไม่ดาษดาไปด้วยอุทยาน สระ และบ่อน้ำ เหมือนเมืองเล็กๆที่อยู่ชายแดน เพราะฉะนั้น ตระกูลนั้นจึงไม่สมควร
 เทวะบุตรอีกพวกหนึ่งพูดว่า นี่ก็อีก ตระกูลเกาศลมีวาหนะมาก มีบริวารมาก มีทรัพย์มาก ตระกูลนี้แหละสมควรเป็นที่ตั้งครรภ์พระโพธิสัตว์ ฝ่ายเทวะบุตรพวกอื่นพูดว่า ตระกูลเกาศลไม่สมควร เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่า ตระกูลเกาศลนั้น มีช้างก็ตายหมด ไม่บริศุทธทั้งฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดา มีแต่คนเลวอาศัย ไม่ใช่ตระกูลรุ่งเรืองไม่มีทรัพย์รัตนะและขุมทรัพย์มากมาย เพราะฉะนั้นตระกูลเกาศล จึงไม่สมควร
 เทวะบุตรพวกอื่นพูดว่า ตระกูลวังศะราชนี้มั่งคั่ง กว้างขวาง ปลอดภัย มีอาหารอุดมสมบูรณ์ ตระกูลนี้แหละสมควรเป็นที่ตั้งครรภ์พระโพธิสัตว์ ฝ่ายเทวะบุตรพวกอื่นพูดว่า ตระกูลวังศะราชนี้ ได้ไม่สมควร เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่า ตระกูลวังศะราชนี้ เป็นตระกูลสามัญ ดุร้าย ไม่มีเดชรุ่งเรือง มีข้าศึกกระหนาบอยู่รอบข้าง การกระทำของมารดาบิดาและของตนเองไม่มีเดชอำนาจ พระราชาในตระกูลนั้นถืออุจเฉท คือลัทธิปฏิเสธบุญบาป เพราะเหตุนั้น ตระกูลวังศะราชจึงไม่สมควร
 เทวะบุตรพวกอื่นพูดว่า เมืองไวศาลีนี้ เป็นมหานครคือเป็นเมืองใหญ่ มั่งคั่งกว้างขวาง ปลอดภัย มีอาหรอุดมสมบูรณ์ น่ารื่นรมย์คลาคล่ำไปด้วยคนจำนวนมาก ประดับด้วยเรือนยอดพื้นปราสาทอันมีบัลลังก์ประตู ซุ้มประตูมีลวดลาย หน้าต่าง มีลาน สวนดอกไม้และราวไพรออกดอกสะพรั่ง อาจกล่าวได้ว่าเป็นเมืองสวรรค์ เมืองนี้แหละสมควรเป็นที่ตั้งครรภ์พระโพธิสัตว์ เทวะบุตรพวกอื่นพูดว่า เมืองนี้ก็ไม่สมควรเพราะเหตุใด เพราะเหตุว่า พวกเมืองไวศาลี ไม่รู้ลัทธินยายคือวิชาตรรกวิทยาของกันและกันไม่มีประพฤติธรรม ไม่อยู่ในอารักขาของคนชั้นสูง คนชั้นกลาง คนแก่กว่า คนเป็นผู้ใหญ่กว่า สำคัญไปคนเดียวว่า เราเป็นราชา เราเป็นราชา ไม่ยอมเป็นศิษย์ใคร ไม่เข้าหาธรรม เพราะฉะนั้น เมืองไวศาลีจึงไม่สมควร
 เทวะบุตรพวกอื่นพูดว่า ตระกูลปัชโชตนี้มีกำลังมาก มีพาหนะมาก ได้ชัยชนะเหนือหัวของเสนาพระราชาฝ่ายอื่น ตระกูลนี้แหละสมควรเป็นที่ตั้งครรภ์พระโพธิสัตว์ เทวะบุตรพวกอื่นพูดว่า ตระกูลปัชโชตก็ไม่สมควร เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่า พวกชัชโชตโหดร้าย กลับกลอก ร้ายกาจ หยาบช้า ทำกาสับปลับ ไม่ชี้กรรม เพราะฉะนั้นตระกูลปัชโชตจึงไม่สมควรเป็นที่ตั้งครรภ์พระโพธิสัตว์
 เทวะบุตรพวกอื่นพูดว่า เมืองมถุรานี้ มั่งคั่ง กว้างขวาง ปลอดภัย มีอาหารอุดมสมบูรณ์ คลาคล่ำไปด้วยคนจำนวนมาก เป็นราชธานีของพระเจ้าสุพาหุ ตระกูรกังสะใหญ่ยิ่งกว่าตระกูลศุรเสนะ  ราชธานีนี้แหละควรเป็นที่ตั้งครรภ์พระโพธิสัตว์ แต่เทวะบุตรพวกอื่นพูดว่า ราชธานีนี้ก็ยังไม่สมควร  เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่า พระราชาทัสยุประสูตในวงศ์ตระกูลมิจฉาทิฎฐิ การบังเกิดในตระกูลมิจฉาทิฎฐิไม่สมควรแก่พระโพธิสัตว์ผู้เกิดในภพสุดท้าย (ปัจฉิมภพ หรืออจริมภพ) เพราะเหตุนั้น ราชธานีมถุรานี้ จึงไม่สมควร
 เทวะบุตรพวกอื่นพูดว่า พระราชาในมหานครหัสตินปุระนี้ประสูติจากตระกูลวงศ์ปาณฑพ เป็นผู้กล้าหาญ มีวีรยะ (ความเพียร) ประกอบด้วยรูปร่างดีงาม บรรดาตระกูลที่ย่ำยีทหารของพระราชาฝ่ายอื่น ก็ได้แก่ตระกูลนี้ จึงสมควรเป็นที่ตั้งครรภ์พระโพธิสัตว์  เทวะบุตรพวกอื่นพูดว่า  ตระกูลนั้นก็ไม่สมควร เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่าวงศ์ตระกูลนั้น พวกที่ประสูติแต่ตระกูลปาณฑพ สำส่อนเป็นอย่างยิ่ง พระราชายุธิษฐิระ ว่ากันว่าเป็นบุตรพระยม พระราชาภีมะเสนก็เป็นบุตรพระพาย พระราชาอรชุนก็ว่าเป็นบุตรพระอินทร์ พระนกุลและพระสหเทพก็ว่าเป็นอัศวินบุตรพระอาทิตย์ เพราะเหตุนั้น ตระกูลนั้น จึงไม่สมควรเป็นที่ตั้งครรภ์พระโพธิสัตว์
 เทวะบุตรพวกอื่นพูดว่า เมื่อมิถิลานี้เป็นที่รื่นรมย์ยิ่ง เป็นสถานที่สถิตย์แห่งพระจาสุมิตร ราชวงศ์มิถิลา พระราชาองค์นั้นประกอบด้วยพลนิกายยิ่ง คือมีทหารช้าง ทหารม้า ทหารรถ ทหารราบ มาก มีทรัพย์เครื่องอุปกรณ์ คือ เงิน ทอง แก้วมณี แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ สังขศิลา(ไข่มุก) แก้วประพาฬ เหรียญทอง เหรียญเงิน มาก มีกำลังและความแกล้วกล้าเป็นที่ครั่นคร้ามของท้าวพญาสามนตราชทั้งปวง รักในการผูกมิตรและประพฤติธรรม ตระกูลนี้แหละสมควรเป็นที่ตั้งครรภ์แห่งพระโพธิสัตว์  เทวะบุตรพวกอื่นพูดว่า ตระกูลนี้ ไม่สมควรเป็นที่ตั้งครรภ์แห่งพระโพธิสัตว์ ถึงพระราชาพระองค์นั้นจะมีมิตรดีและประกอบในคุณธรรมอย่างว่านี้  แต่ก็ทรงชราเกินไปไม่สามารถให้เกิดบุตรได้ และทั้งมีบุตรมากเกินไปด้วย เพราะฉะนั้น ตระกูลนั้นจึงไม่สมควรเป็นที่ตั้งครรภ์พระโพธิสัตว์
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์และเทวะบุตรทั้งหลายพิจารณาเลือกราชตระกูลทั้งหลายที่สูงในชนบท 16 แห่ง อันมีอยู่ในชมพูทวีปอย่างนี้ ก็ได้มองเห็นตระกูลทั้งหลายเหล่านั้นประกอบด้วยโทษ
 เมื่อพระโพธิสัตว์และเทวะบุตรเหล่านั้น มีความคิดและมนสิการ คือครุ่นคำนึงอยูในใจ มีเทวะบุตรตนหนึ่งชื่อ ชญานเกตุธวัช เป็นผู้ไม่เปลี่ยนแปลง ทำความเด็ดเดี่ยวเพี่อโพธิญาณในมหายานนี้ เทวะบุตรผู้นั้นจึงกล่าวคำนี้แก่สภาโพธิสัตว์และเทพเป็นจำนวนมากว่า ดูกรท่านผุ้ควรเคารพ เรื่องนี้เราจะต้องเข้าไปถามพระโพธิสัตว์พระองค์นั้นว่า พระโพธิสัตว์ผู้เกิดในภพสุดท้ายจะเกิดในตระกูลที่ถึงพร้อมด้วยคุณอย่างใด ?  พระโพธิสัตว์และเทวะบุตรทั้งหลาย รับว่า สาธุ (ดีแล้ว) จึงประนมมือเดินเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ถามว่า ข้าแต่สัตบุรุษ พระโพธิสัตว์ผู้เกิดในภพสุดท้าย จะเกิดในตระกูลรัตนะที่ถึงพร้อมด้วยคุณอย่างใด
      ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้พิจารณาดูคณะพระโพธิสัตว์หมู่ใหญ่และคณะเทวดานั้น แล้วดรัสว่า ดูกรท่านผู้ควรเคารพ ตระกูลที่ถึงพร้อมด้วยอาการ 64 อย่าง
      เป็นตระกูลที่พระโพธิสัตว์ผู้เกิดในภพสุดท้ายจะไปบังเกิด 
      อาการ 64 อย่างนั้น เป็นอย่างไร นั่นคือ
 เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงดี เป็นตระกูลที่ไม่ต่ำต้อย และไม่เบียดเบียนใคร เป็นตระกูลมีเชื้อชาติเป็นตระกูลมีโคตรนามสกุล เป็นตระกูลที่สมบูรณ์ด้วยยุคบรรพบุรุษ เป็นตระกูลสมบูรณ์ด้วยยุคบุรุษมีเหล่ากอ เป็นตระกูลที่สมบูรณ์ด้วยยุคบุรุษมีลักษณะดี เป็นตระกูลสมบูรณ์ด้วยบุรุษเรืองนาม เป็นตระกูลที่มีหญิงมาก มีชายมาก เป็นตระกูลไม่ครั่นคร้าม เป็นตระกูลไม่อนาถา เป็นตระกูลไม่ละโมภ เป็นตระกูลมีศีล เป็นตระกูลมีปัญญา เป็นตระกูลมีอำมาตย์คอยดูแลให้บริโภคทรัพย์สมบัติ เป็นตระกูลที่ตั้งมั่นด้วยศิลปอันไม่เป็นหมัน(มีศิลปไม่ตายด้าน) เป็นตระกูลมีผู้บริโภคทรัพย์สมบัติ และมีมิตรมั่นคง เป็นตระกูลไม่เบียดเบียนสัตว์เดียรัจฉานเป็นตระกูลกตัญญูรู้บุญคุณที่ผู้อื่นมีแก่ตน และกตเวทีรู้ตอบแทนบุญคุณ  เป็นตระกูลไม่มีฉันทาคติ ไม่มีโทษาคติ ไม่มีโมหาคติและไม่มีภยาคติ เป็นตระกูลไม่มีโทษ ไม่กลัว เป็นตระกูลไม่อยู่ด้วยความหลง เป็นตระกูลที่มีอาหารเป็นล่ำเป็นสัน เป็นตระกูลที่ฝังใจในการงาน ฝังใจในการบริจาค และฝังใจในการให้ทานเป็นตระกูลที่เชื่อถือในความพยายาม เป็นตระกูลที่มีความก้าวหน้ามั่นคง เป็นตระกูลที่มีความก้าวหน้าแข็งแรง เป็นตระกูลก้าวหน้าอย่างประเสริฐ เป็นตระกูลบูชาฤษี บุชาเทวดา บูชาเจดีย์ บูชาบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นตระกูลที่ไม่ผูกเวรกับใครเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้ง 10 ทิศ เป็นตระกูลที่มีบริวารมาก เป็นตระกูลที่มีบริวารไม่แตกกัน เป็นตระกูลที่มีอำนาจมาก เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมาก  เป็นตระกูลนับถือมารดา เป็นตระกูลนับถือบิดา เป็นตระกูลนับถือสมณะ เป็นตระกูลนับถือพราหมณ์ เป็นตระกูลมียุ้งฉางคลังเงินคลังข้าวมาก เป็นตระกูลมีเงิน ทอง แก้ว มณี แก้วมุกดา เหรียญเงิน เหรียญทอง และเครื่องอุปกรณ์ในการหาทรัพย์มาก  เป็นตระกูลมีช้าง ม้า อูฐ โค และแพระมาก เป็นตระกูลมีคนใช้หญิงชายและคนงานมาก เป็นตระกูลที่โครข่มขี่ได้ยาก เป็นตระกูลมีความประสงค์สำเร็จทุกประการ เป็นตระกูลจักรพรรดิ เป็นตระกูลสะสมคุณเป็นเครื่องช่วยเหลือกุศลแต่ปางก่อน เป็นตระกูลสืบเนื่องมาแต่ตระกูลพระโพธิสัตว์ เป็นตระกูลไม่มีโทษด้วยชาติหรือลัทธิทั้งปวงในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์ สมณะ พราหมณ์
      ดูกรท่านผู้ควรเคารพ ตระกูลประกอบด้วยอาการ 64 อย่างนี้แล พระโพธิสัตว์ผู้เกิดในภพสุดท้ายจะไม่เกิด
 ดูกรท่านผู้ควรเคารพ พระโพธิสัตว์ผู้เกิดในภพสูดท้าย ย่อมลงสู่ครรภ์สตรีมีชื่อเสียง มีลักษณะดียิ่งมีการคบหาสมาคมยั่งยืนไม่ขาดวิ่น ถึงพร้อมด้วยชาติ ถึงพร้อมด้วยตระกูล ถึงพร้อมด้วยรูป ถึงพร้อมด้วยนาม(รูปงาม นามเพาะ) ถึงพร้อมด้วยตะโพกมีทรงผึ่งผาย(ตะโพกกว้าง) ยังไม่มีบุตร ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยการบริจาค มีหน้ายิ้มแย้ม ถนัดขวา ฉลาด ได้รับการขัดเกลาไว้เรียบร้อย ใจคอกว้างขวางไม่คับแคบ เป็นพระหูสูตร เป็นบัณฑิต ไม่จองหอง ไม่มีมารยา ไม่โกรธ ไม่ริษยา ไม่ตระหนี่ หนักแน่น ไม่เหลาะแหละเหลวไหล ไม่ปากร้าย ถึงพร้อมด้วยกษานติและเสารัภยะ(อดทนและเสี่ยม) ถึงพร้อมด้วยหรีและอปัตราปย(ความละอายและความเกรงกลัว) มีความกำหนัด ความเกลียดชังและหลงน้อย ปราศจากโทษแห่งสตรี(ไม่นอกใจสามี) อุทิศตนให้แก่สามีคนเดียว(ปรติวรรตา)
       พระโพธิสัตว์ผู้เกิดในภพสุดท้าย ย่อมลงสู่ครรภ์แห่งสตรีผู้ถึงพร้อมด้วยคุณทุกประการ
       ดูกรท่านผู้ควรนับถิอ พระโพธิสัตว์ผู้เกิดในภพสุดท้าย ย่อมลงสู่ครรภ์แห่งสตรีผู้ประกอบด้วยลักษณะ 32 อย่าง เหล่านี้แล
       ดูกรท่านผู้ควรนับถิอ นัยว่าพระโพธิสัตว์ไม่ลงสู่ครรภ์มารดาในเดือนข้างแรม หากแต่ว่า พระโพธิสัตว์ผู้เกิดในภพสุดท้ายลงสู่ครรภ์มารดาผู้งดเว้นอาหารในวันปัณรสีขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์ประกอบด้วยบุษยฤกษ์(ฤกษ์ปุยฝ้ายที่ 8 ราชาฤกษ์)
 ครั้งนั้นแล พระโพธิสัตว์และเทวะบุตรทั้งหลายเหล่านั้น ได้ฟังเรื่องตระกูลบริศุทธและมารดาบริศุทธเช่นนี้จากสำนักพระโพธิสัตว์ ต่างก็พากันคิดในใจว่า ตระกูลที่ประกอบด้วยคุณลักษณะล้วนๆอย่างที่ท่านสัตบุรุษผู้นี้ได้ชี้แจง จะเป็นตระกูลไหนหนอ เมื่อตรึกตรองอยู่ ก็นึกขึ้นได้ว่า อ้อ ศากยตระกูลเป็นตระกูลมั่งคั่ง กว้างขวาง ปลอดภัย มีอาหารอุดมสมบูรณ์ น่ารื่นรมย์ คลาคล่ำไปด้วยคนจำนวนมาก พระราชาทรงพระนามว่าศุทโธทนะ ซึ่งมีพระมารดาและพระบิดา พระชายาบริศุทธ ไม่มึความตรากตรำลำบาก รอบรู้ในอาการของตนเป็นอย่างดี รุ่งเรืองด้วยเดชคือบุณย มีตระกูลสืบเนื่องมาจากตระกูลจักรพรรดิจำนวนมากในตระกูลมหาสมมต(ตระกูลใหญ่ที่ยกย่องกันทั่วไป) มีขุมทรัพย์และรัตนะหาประมาณมิได้ เป็นผู้เล็งเห็นกรรม(เชื่อกรรม) ปราศจากความเห็นลามก เป็นพระราชาเอกในศากยวิษัยทั้งสิ้น เป็นที่บูชานับถือ
 เป็นที่เลื่อมใสน่าชมของหมู่ชนคือเศรษฐี คฤหบดี และอำมาตย์ทั้งหลาย  น่าเลื่อมใส น่าดู ไม่แก่เกินไป ไม่หนุ่มเกินไป มีรูปร่างงาม ประกอบด้วยคุณทั้งปวง รู้ศิลป รู้กาล รู้ตน รู้ธรรม รู้ความจริงอันถ่องแท้ รู้โลก รู้ลักษณะ เป็นพระราชาตั้งอยู่ในธรรมทรงปกครองสัตว์ทั้งหลาย ที่ได้ก่อสร้างกุศลมูลไว้โดยธรรม ประทับในมหานครชื่อ กบิลพัสตุ์ ผู้ใดที่เกิดในเมืองกบิลพัสตุ์นั้น ก็มีสภาพอย่างเดียวกัน พระราชาศุทโธทนะ มีพระเทวีทรงพระนามว่า มายา เป็นธิดาแห่งศากยบดี ทรงพระนามว่า สุประพุทธ พระนางเป็นสาวรุ่น ถึงพร้อมด้วยรูปและวัย ยังมีพระราชโอรสและพระราชธิดา ยังไม่พ้นวัยที่จะมีพระราชโอรสและพระราชธิดา มีรูปร่างงาม น่าชมเหมือนรูปวาด ประดับด้วยเครื่องตกแต่งทั้งปวงแล้วเหมือนเทพธิดา
 ปราศจากโทษแห่งสตรี(ไม่นอกใจสามี) มีวาจาสัตย์ ไม่พูดกระด้าง ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดเหลาะแหละแหลวไหล ไม่มีวาจาเป็นโทษ มีเสียงเหมือนนกดุเหว่า ไม่พูกกลับกลอก พูดอ่อนหวานน่ารัก ปราศจากความโกรธ ความมัวเมา ความถือตัว ความกระด้างและความฉุนเฉียวทั้งปวง ไม่ริษยา พูดเหมาะแห่เวลา ถึงพร้อมด้วยการบริจาค มีศีล ยินดีเฉพาะในสามี อุทิศตนให้แก่สามีคนเดียว ปราศจากการคิดคำนึงถึงชายอื่น มีพระเศียร พระกรรณ พระนาสิกได้ส่วนรับกัน มีพระเกศาเหมือนแมลงภู่ตัวประเสริฐ มีพระนลาตงาม มีพระโชนงงาม ไม่มีอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด มีหน้ายิ้มแย้ม ปราศัยทักทายก่อน มีพระวาจาสุภาพอ่อนหวานถือเอาแต่สิ่งที่เป็นอุดมมงคล ชื่อตรง ไม่คดค้อม ไม่จองหอง ไม่มีมายา
 ถึงพร้อมด้วยหรี อปัตราปยะ (ความละอายและความกลัว) ไม่เหลาะแหละเหลวไหล หนักแน่น ไม่ปากร้าย ไม่พูดพร่ำเพรื่อ มีความกำหนัดความเกลียดชังและความหลงเบาบาง ถึงพร้อมด้วยกษานติและเสารัภยะ มีความรู้ระวังรักษาพระหัตถ์ พระบาท พระเนตรเป็นอย่างดี มีพระหัตถ์ พระบาทนิ่มและอ่อน มีสัมผัสนุ่มนวลเหมือนสัมผัสฝักมะกล่ำเครือ มีพระเนตรบริศุทธเหมือนกลีบดอกบัวสาย และบัวเขียวสดๆ มีพระนาสิกโด่งน่ารัก มีอวัยวะประจำอยู่ตามสภาพเป็นอันดี มีอวัยวะน้อยใหญ่ได้ส่วนสัดดีแล้ว ขัดเกลาไว้เรียบร้อยเหมือนคทาซึ่งเป็นอาวุธขององค์อินทร์ มีอวัยวะไม่มีที่ตำหนิ ริมพระโอษฐ์แดงเหมือนลูกตำลึงสุก พระทนต์งาม พระศอเรียว แต่งพระองค์ขึ้น
 มีพระหทัยดี มีพระเนตรบริศุทธเหมือนดอกมะลิ พระอังสาผึ่ง พระพาหาเรียวงาม พระอุทรนูนเหมือนคันธนู ประปรัศว์ไม่ผิดปรกติ วงพระนาภีลึก พระโสณี(ตะโพก) กลมกว้างเรียบและแน่นหนา มีพระวรกายเสมือนแม้นกับเพชรแท่ง มีต้นพระชงฆ์ (ขาอ่อน) เหมือนงวงช้างชิดกันเสมอ มีลำพระชงฆ์เหมือนแข้งเนื้อทราย มีฝ่าพระหัตถ์ฝ่าพระบาทเหมือนอาบด้วยน้ำครั่ง(แดง) เป็นที่น่ารื่นรมย์แก่นัยน์ตาโลก มีจักษุประสาทว่องไว เป็นที่น่าอิ่มเอิบใจและน่ารักประเสริฐเลิศด้วยรูปของสตรีรัตนะ มีรูปทรงเหมือนแสร้งนิรมิต จึงกำหนดพระนามว่า "มายา" เป็นหญิงเชียวชาญในกลาศาสตร์ (กลาศาสตร์ คือศิลป มี64 อย่าง) ประทับอยู่ท่ามกลางนางสนมกำนัลของพระศุทโธทนะมหาราช ปรากฏเหมือนนางอัปสรในสวนนันทวันพระนางมายานี้แหละสมควรเป็นพระชนนีของพระโพธิสัตว์ ความบริศุทธของตระกูลซึ่งพระโพธิสัตว์อ้างถึงนั้น จะปรากฏได้ก็แต่ในศากยตระกูลเท่านั้น
        มีคำกล่าวไว้ในข้อนี้ว่า
        1 พระโพธิสัตว์ผู้บริศุทธ ผู้สะสมธรรม ประทับบนธรรมมาสน์ในปราสาทอันสูงด้วยธรรม แวดล้อมด้วยเทพยดาผู้มีสภาพธรรมเสมอกันและพระโพธิสัตว์ ผู้มียศใหญ่ยิ่งทั้งหลาย ฯ
        2 เทวดาและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนั่งอยู่ในปราสาทนั้น คิดว่าตระกูลไหนหนอที่เป็นตระกูลบริศุทธ สมควรที่พระโพธิสัตว์จะไปบังเกิดและมารดาบิดาที่ไหนจะมีภาวะบริศุทธ อันสมควรที่พระโพธิสัตว์จะไปบังเกิด ฯ
        3 เมื่อได้พิจารณาตรวจดูทั่วชมพูทวีปว่า กษัตริย์ราชตระกูลใดเป็นผู้มีใจสูงก็คิดเห็นว่า กษัตริย์ทั้งหมดประกอบด้วยโทษ และเห็นแต่ศากยตระกูลเท่านั้น ที่ปราศจากโทษ ฯ
        4 พระราชาศุทโธทนะ เป็นผู้มีตระกูลสูงในราชตระกูล มีพระวรกายอันบริศุทธ ในวงศ์เจ้าแผ่นดิน เมืองกบิลพัสดุ์ก็มั่งคั่ง กว้างขวาง ไม่วุ่นวาย ประกอบด้วยคนมีความเคารพ และมีสาธุชนตั้งอยู่ในธรรม ฯ
        5 แม้สัตว์ทั้งปวงอื่นๆในเมืองกบิลพัสดุ์ก็งดงาม ประดับด้วยอุทยาน สวนสำราญ และทางเดินเล่น ฯ
        6 คนทั้งปวงประกอบด้วยมหากวี และนักรบ มีช้างแพร่หลาย มีรัตนะ 9 อย่าง ทั้งเรียนจบในวิชาธนูและเพลงอาวุธ แต่มิได้เบียดเบียนผู้อื่นเพื่อชีวิต(ไม่ฆ่าใคร) ฯ
        7 อัครมเหษีของพระเจ้าศุทโธทนะ ถึงความเป็นผู้เลิศในสตรีนับเป็นพันๆเป็นที่รื่นรมย์ใจ มีรูปร่างเหมือนแสร้งทำ พระนางทรงพระนามว่า มายาเทวี ฯ
        8 พระนางมีรูปงามเหมือนเทพกันยา มีพระวรกายได้ส่วนสัดเป็นอย่างดี มีอวัยวะงามปราศจากมลทิน เทวดาหรือมนุษย์เห็นพระนางแล้วไม่รู้อิ่มเลย ฯ
        9 พระนางนั้น ไม่กำหนัดด้วยราคะ ไม่โกรธด้วยโทษะ สุภาพเรียบร้อย อ่อนโยน มีพระวาจาชื่อตรงแช่มช้อย ไม่ก้าวร้าวหยาบคาย จับใจมีพระพักตร์อันยิ้มแย้ม ไม่มีพระพักตร์นิ่วคิ้วขมวด ฯ
        10 มีหรี อัตราปยะ ประพฤติธรรม ไม่ถือพระองค์ ไม่กระด้างไม่เหลาะแหละเหลวไหล ไม่ริษยา ไม่ไว้พระองค์(ไม่จองหอง) ไม่มีมายา ยินดีในการบริจาคพร้อมด้วยจิตเมตตา ฯ
        11 ทรงเห็นกรรม(เชื่อกรรม) ปราศจากการประพฤติผิด ตั้งอยู่ในความสัตย์ ระมัดระวังกายใจ ไม่มีกระแสดโทษแห่งสตรีซึ่งมีอยู่มากในแผ่นดิน ฯ
        12 ไม่มีหญิงใด ในมนุษยโลก คนธรรพโลก หรือเทวโลก จะเสมอด้วยพระนางมายา หญิงอื่นที่สมควรเป็นพระมารดาของพระโพธิสัตว์ผู้ฤษี(แสวงธรรม) จะมีแต่ไหน ฯ
        13 พระนางมายานั้น บำเพ็ญบารมีไม่บกพร่องได้เป็นพระมารดาของพระโพธิสัตว์มาแล้วตั้ง 500 ชาติ และพระราชาศุทโธทนะ ก็ได้เป็นบิดามาแล้วในชาตินั้นๆ เพราะฉะนั้น พระนางประกอบด้วยคุณธรรม จึงสมควรเป็นพระมารดา ฯ
        14 พระนางได้รับพร พระราชาสามีทรงอนุญาตแล้ว ให้ประพฤติพรตเหมือนพระดาบส ทรงประพฤติพรตพร้อมด้วยประพฤติธรรม พระองค์จึงประพฤติตลอดเวลา 32 เดือนตามความประสงค์ ฯ
        16 เทวดา อสูร หรือมนุษย์ ก็ตาม ที่อาจจะมองดูพระนางด้วยราคะจิตนั้นไม่มีเลย มีแต่มองดูอย่างเป็นมารดาหรือธิดาไปหมด ต่างก็ประพฤติอิริยาบถเป็นคุณงามความดีอันน่าปรารถนา ฯ
        17 ราชตระกูลอันไพศาล ย่อมเจริญด้วยเหตุแห่งศุภกรรม (กรรมดีงาม) ของพระนางมายาเทวี แม้ประเทศราชก็ไม่กำเริบ เกียรติและยศย่อมเจริญในพระเจ้าแผ่นดิน ฯ
        18 อนึ่ง พระนางมายา เป็นภาชนะที่รองรับอันสมควรฉันใดพระโพธิสัตว์ก็ย่อมเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งฉันนั้น จงเห็นว่า พระนางมายาผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติอย่างยิ่งผู้เดียว มีใจกรุณาและเป็นพระมารดาผู้ประเสริฐ ฯ
        19 ในชมพูทวีป ไม่มีหญิงอื่นที่สามารถรองรับพระเจ้าอยู่หัวได้เว้นไว้แต่พระนางมายา ผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติอย่างยิ่ง มีกำลังถึงหมื่นช้างสาร ฯ
        20 เทวะบุตรและพระโพธิสัตว์ผู้มีใจสูงเหล่านั้น เป็นผู้มีปัญญาอันไพศาล สรรเสริญพระนางมายาฝู้เป็นพระมารดาประกอบด้วยคุณสมบัติว่าเป็นผู้สมควรแก่ผู้ที่จะทำให้ตระกูลศากยชื่นชมยินดี (คือพระโพธิสัตว์) โดยนัยดังพรรณนามานี้แล ฯ
                        อัธยายที่ 3 ชื่อกุลปริศุทธิปริวรรต ในคัมภีร์ศรีลลิตวิสูตร  ดังนี้แล ฯ

ไม่มีความคิดเห็น: