กุณฑลเกสีเถริยาปทานที่ ๑
ว่าด้วยบุพจริยาของพระกุณฑลเกสีเถรี
[๑๖๑] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมาร พระนามว่าปทุมมุตระ
ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เป็นนายกของโลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
ครั้งนั้น ดิฉันเกิดในสกุลเศรษฐีอันมีความรุ่งเรืองด้วยรัตนะต่างๆ
ในเมืองหงสวดี เป็นผู้เพรียบพร้อมไปด้วยความสุขมาก ดิฉันเข้า
ไปเฝ้าพระมหาวีรเจ้าพระองค์นั้นแล้ว ได้ฟังธรรมอันอุดม มีความ
เลื่อมใสเกิดในพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ได้ถึงพระองค์เป็นสรณะ
ครั้งนั้น พระพิชิตมารผู้เป็นนายกพระนามว่าปทุมุตระ ทรงประกอบ
ด้วยพระมหากรุณา ทรงตั้งภิกษุณีองค์หนึ่ง ผู้มีปัญญาดีว่า เป็นผู้
เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ฝ่ายขิปปาภิญญา ดิฉันได้ฟังพระพุทธพจน์
นั้นแล้วมีความพอใจ ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่ง
ใหญ่แล้ว ซบเศียรลงแทบพระบาท ปรารถนาตำแหน่งนั้น
![]() |
|
พระมหาวีรเจ้าทรงอนุโมทนาตรัสว่า นางผู้เจริญ ตำแหน่งใดท่าน
ปรารถนาแล้ว ตำแหน่งนั้นทั้งหมดจักสำเร็จแก่ท่าน ท่านจงเป็น
ผู้มีสุขเย็นใจเถิด ในกัปที่หนึ่งแสนแต่กัปนี้ พระศาสดาพระนาม
ว่าโคดม มีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นใน
โลก ท่านผู้เจริญนี้จักได้เป็นภิกษุณีธรรมทายาทของพระศาสดาพระ
องค์นั้น
เป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จักเป็นสาวิกาของพระศาสดา
ชื่อว่าภัททากุณฑลเกสาด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้น และด้วย
การตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์จุติจากภพนั้นแล้วไปสู่ชั้นยามา จุติจากนั้นแล้วได้ไปสู่ชั้น
ดุสิต จุติจากนั้นแล้วไปสู่ชั้นนิมมานรดี จุติจากนั้นแล้วไปสู่ชั้น
ปรนิมมิตวสวัตดี ด้วยอำนาจกุศลกรรมนั้น ดิฉันเกิดในภพใดๆ
ก็ได้ครองตำแหน่งราชมเหสีในภพนั้นๆ จุติจากปรนิมมิตวสวัตดีแล้ว
ได้ครองตำแหน่งพระมเหสีแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ และพระราชาที่
เป็นเอกราชในหมู่มนุษย์ดิฉันได้เสวยราชสมบัติในเทวดาและมนุษย์
เจริญด้วยความสุขทุกๆ ภพ ท่องเที่ยวไปในกัปเป็นอเนก
ในภัทรกัป
นี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสป ผู้เป็นพงศ์พันธุ์ แห่งพราหมณ์
มียศมาก ประเสริฐกว่าพวกบัณฑิต เสด็จอุบัติขึ้นแล้วครั้งนั้น
พระเจ้ากาสีพระนามว่ากิกี เป็นใหญ่กว่านรชนในพระนครพาราณสี
อันอุดม เป็นอุปัฏฐาก พระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ดิฉัน
เป็นพระธิดาคนที่ ๔ ของท้าวเธอมีนามปรากฏว่าภิกขุทาสีได้ฟัง
ธรรมของพระพิชิตมารผู้เลิศแล้ว พอใจบรรพชา ...
ด้วยกุศลกรรม
ที่ทำไว้แล้วนั้นและด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละร่างกายมนุษย์
แล้วได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในภพหลัง บัดนี้
ดิฉันเกิดใน
สกุลเศรษฐีที่มีความเจริญ ในพระนครราชคฤห์อันอุดมเมื่อดำรงอยู่
ในความเป็นสาว ได้เห็นราชบุรุษนำโจรไปเพื่อจะฆ่า มีความรัก
ในโจรคนนั้น บิดาของดิฉันปลดเปลื้องโจรนั้นให้หลุดพ้น
จากการฆ่าด้วยทรัพย์พันหนึ่ง รู้จักใจดิฉันแล้ว ยกดิฉัน
ให้กับโจรนั้น ดิฉันรักใคร่เอ็นดูเกื้อกูลแก่โจรนั้นมาก แต่
โจรนั้นพาดิฉันผู้ช่วยขนเครื่องบวงสรวงไปที่ภูเขามีเหวเป็นที่ทิ้งโจร
คิดจะฆ่าดิฉัน ด้วยความโลภในเครื่องประดับของดิฉัน เวลานั้นดิฉัน
จะรักษาชีวิตของตัวไว้ จึงประนมมือไหว้โจรผู้เป็นศัตรูเป็นอย่างดี
แล้วกล่าวว่า นายผู้เจริญ สร้อยทองคำ แก้วมุกดา และแก้วไพฑูรย์
เป็นอันมากทั้งหมดนี้ นายเอาไปเถิด และจงประกาศว่าฉันเป็น
ทาสีเถิด แน่ะนางงาม จงตายเสียเถิด อย่ามัวรำพันนักเลย เรามุ่ง
จะฆ่านางผู้มาถึงป่าแล้ว
ตั้งแต่ฉันระลึกถึงตัวได้ ถึงความเป็นผู้รู้ชัด
แล้ว ฉันไม่รู้จักบุรุษอื่นว่าเป็นที่รักยิ่งกว่านาย มาเถิด ฉันจักขอ
กอดนาย ทำประทักษิณแล้วจะไหว้นาย เพราะนายกับดิฉันจะไม่ได้
ร่วมกันต่อไป ในที่ทุกแห่งใช่ว่าบุรุษเท่านั้นจะเป็นบัณฑิต ถึงสตรี
ก็เป็นบัณฑิตเฉลียวฉลาดในที่นั้นๆ และในที่ทุกแห่ง ใช่ว่าบุรุษ
เท่านั้นจะเป็นบัณฑิตคิดความได้ว่องไว ใช่ว่าบุรุษจะคิดเหมาะสม
ในเรื่องเดียวเร็วพลัน ดิฉันฆ่าศัตรูได้ในครั้งนั้น ก็เพราะเนื่องด้วย
ปัญญาเต็มอยู่ในจิต ผู้ใดไม่รู้จักเรื่องที่เกิดขึ้นเร็วไว ผู้นั้นมีปัญญา
เขลา ย่อมถูกเขาฆ่า เหมือนโจรที่ถูกฆ่าที่เหว ฉะนั้น ผู้ใด รู้จัก
เรื่องที่เกิดขึ้นได้ว่องไว ผู้นั้นก็พ้นจากพวกศัตรู เหมือนดิฉันพ้นจาก
โจรที่เป็นศัตรูในครั้งนั้น ฉะนั้น เมื่อดิฉันผลักศัตรูให้ตกไปในเหว
แล้ว เข้าไปบวชในสำนักพวกปริพาชกที่ครองผ้าขาว
ครั้งนั้น พวก
ปริพาชกเอาแหนบถอนผมดิฉันหมดแล้ว ให้บวชแล้วบอกลัทธิให้
เนืองๆ ดิฉันเรียนลัทธินั้นแล้ว นั่งคิดลัทธินั้นอยู่ผู้เดียวว่า คณะ
ปริพาชกเป็นดังว่าสุนัขทำกะเราซึ่งเป็นมนุษย์ ถือเอากิ่งหว้าที่หัก
แล้วปักไว้ ณ ที่ใกล้เราแล้วก็หลีกไป ดิฉันเห็นแล้วได้นิมิต ที่ตั้ง
อยู่เหมือนเป็นหมู่หนอน ดิฉันลุกจากที่นั้นแล้ว มีความสลดใจ
มาถามพวกปริพาชก ที่มีลัทธิร่วมกัน พวกนั้นบอกว่า พวกภิกษุ
ศากยบุตรย่อมรู้เรื่องนั้น ดิฉันเข้าไปหาพุทธสาวกแล้วถามเรื่องนั้น
พุทธสาวกเหล่านั้นพาดิฉันไปในสำนักพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ พระองค์ผู้เป็นนายกของโลก ทรงแสดงธรรมแก่ดิฉันว่า ขันธ์อายตนะ
และธาตุทั้งหลาย ไม่งาม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ดิฉัน
ได้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว ยังธรรมจักษุให้หมดจดวิเศษ รู้
สัทธรรมแล้ว ได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบท
ครั้งนั้น พระพุทธเจ้า
อันดิฉันทูลขอแล้ว ได้ตรัสว่า มาเถิด นางผู้เจริญ ดิฉันอุปสมบท
แล้ว ได้เห็นน้ำน้อยหนึ่ง รู้จักสังขาร อันมีความเกิดและความดับ
ด้วยน้ำล้างเท้า คิดเห็นว่า สังขารทั้งปวงย่อมเป็นอย่างนั้น ลำดับนั้น
จิตของดิฉันพ้นแล้วเพราะไม่ถือมั่นโดยประการทั้งปวง ครั้งนั้น
พระพิชิตมารทรงตั้งดิฉันว่าเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุณีทั้งหลายฝ่าย
ขิปปาภิญญา ดิฉันเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์และทิพโสตธาตุ
รู้วาระจิตผู้อื่น เป็นผู้ทำตามสัตถุศาสน์ รู้ปุพเพนิวาสญาณ ชำระ
ทิพจักษุบริสุทธิ์ ยังอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป เป็นผู้บริสุทธิ์ หมด
มลทินด้วยดี ดิฉันบำรุงพระศาสดาแล้ว ปฏิบัติพระพุทธศาสนา
เสร็จแล้ว ปลงภาระอันหนักลงแล้ว ดิฉันบรรลุถึงประโยชน์ คือ
ธรรมเป็นที่สิ้นสังโยชน์ ที่กุลบุตรทั้งหลาย ออกบวชเป็นบรรพชิต
ต้องการนั้นแล้ว ญาณของดิฉัน ในอรรถะ ธรรมะ นิรุติ และ
ปฏิภาณไพบูลย์ หมดจด เพราะอำนวยพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระภัททากุณฑลเกสีภิกษุณี ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ด้วยประการฉะนี้แล.
จบกุณฑลเกสีเถริยาปทาน.
กิสาโคตมีเถริยาปทานที่ ๒
ว่าด้วยบุพจริยาของพระกิสาโคตมีเถรี
[๑๖๒] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่า ปทุมุตระ
ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เป็นนายกของโลกเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้ง
นั้น ดิฉันเกิดในสกุลหนึ่งในพระนครหงสวดี เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ผู้ประเสริฐกว่านรชนพระองค์นั้นแล้ว ถึงพระองค์เป็นสรณะ ได้ฟัง
ธรรมของพระองค์ซึ่งประกอบด้วยสัจจะ ๔ ไพเราะจับใจอย่างยิ่ง
นำมาซึ่งสันติสุขแห่งจิต ครั้งนั้น พระธีรเจ้าผู้อุดมกว่าบุรุษ เมื่อทรง
ตั้งภิกษุณีองค์หนึ่งผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง ทรงสรรเสริญในตำแหน่ง
เอตทัคคะ ดิฉันได้ฟังคุณของภิกษุณีแล้ว เกิดปีติมาก ทำสักการะ
แด่พระพุทธเจ้าตามความสามารถ ตามกำลัง หมอบลงใกล้พระธีรมุนี
แล้ว ปรารถนาตำแหน่งนั้น
ครั้งนั้น พระสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของ
โลก ทรงอนุโมทนาเพื่อการได้ตำแหน่งว่า ในกัปที่หนึ่งแสนแต่
กัปนี้ พระศาสดาพระนามว่าโคดม ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้า
โอกกากราชจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ท่านผู้เจริญจักเป็นธรรมทายาท
ของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมนิรมิต เป็นสาวิกา
ของพระศาสดา มีนามชื่อว่ากิสาโคตมี
ครั้งนั้น ดิฉันได้ฟังพระพุทธ
พจน์นั้นแล้ว มีความยินดี มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระพิชิตมารผู้นำชั้นพิเศษ ด้วยปัจจัยทั้งหลายจนตลอดชีวิต ด้วย
กุศลกรรมที่ทำไว้แล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละ
ร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสป ผู้เป็นพงศ์พันธุ์แห่งพราหมณ์มียศมาก
ประเสริฐกว่าพวกบัณฑิต เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
ครั้งนั้น พระเจ้ากาสี
พระนามว่ากิกี เป็นใหญ่กว่านรชนในพระนครพาราณสี อันอุดม
เป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ดิฉันเป็น
พระธิดาองค์ที่ ๕ ของท้าวเธอ มีนามปรากฏว่าธรรมา ได้ฟังธรรมของ
พระพิชิตมารผู้เลิศแล้ว พอใจบรรพชา แต่พระชนกนาถมิได้ทรง
อนุญาตให้พวกเรา เมื่อต้องอยู่ในอาคารสถาน
ครั้งนั้น พวกเรา
ผู้เป็นราชกัญญาตั้งอยู่ในความสุข มิได้เกียจคร้าน ประพฤติ
พรหมจรรย์ตั้งแต่เป็นกุมารีอยู่สองหมื่นปี พระราชธิดาทั้ง ๗ พระองค์ คือนางสมณี ๑ นางสมณคุตตา ๑ นางภิกขุนี ๑ นางภิกขุทาสิกา ๑ นางธรรมา ๑ นางสุธรรมา ๑ และนางสังฆทาสีเป็นที่ ๗
เป็นผู้ยินดีพอใจในการบำรุงพระพุทธเจ้า ได้มาเป็นพระเขมาเถรี
พระอุบลวรรณาเถรี พระปฏาจาราเถรี พระกุณฑลเกสีเถรี ดิฉัน
พระธรรมทินนาเถรี และวิสาขาอุบาสิกาเป็นที่ ๗ ด้วยกุศลกรรม
ที่ทำไว้แล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละร่างกายมนุษย์
แล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในภพหลังครั้งนี้ ดิฉันเกิดใน
สกุลเศรษฐีที่ตกยาก จนทรัพย์ เป็นวงศ์ต่ำ ไปสู่สกุลที่มีทรัพย์
พวกเลสชนก็รับรองแสดงว่าดิฉันจนทรัพย์
เมื่อดิฉันคลอดบุตรแล้ว
ก็เป็นที่เอ็นดูแห่งชนทั้งปวง กุมารซึ่งเป็นบุตรอ่อนนั้นดำรงอยู่ใน
ความสุข เป็นที่รักใคร่ของดิฉันเหมือนว่าชีวิตของตน ได้ถึงอำนาจ
ยมราชเสียแล้ว ดิฉันอัดอั้นด้วยความโศกเศร้า มีหน้าเศร้าตลอดวัน
มีตาชุ่มด้วยน้ำตา เป็นคนมีหน้าร้องไห้ อุ้มศพลูกที่ตายพูดเพ้อไป
ครั้งนั้น บุรุษผู้หนึ่งเห็นเข้าแล้ว พาเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้เป็น
หมอดีเลิศอุดม ดิฉันได้ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์
ได้โปรดปรานประทานยาที่แก้บุตรให้กลับเป็นเถิด พระพิชิตมารผู้
ฉลาดในอุบายแนะนำรับสั่งว่าในเรือนใดไม่มีคนตาย ท่านจงไปหา
เมล็ดพันธุ์ผักกาดจากเรือนนั้นมา
ครั้งนั้น ดิฉันเที่ยวไปหาจนทั่ว
เมืองสาวัตถีไม่ได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดแต่เรือนที่ไม่มีคนตายไหนๆ
เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงกลับได้สติทิ้งศพเสีย แล้วเข้าไปเฝ้าพระ-
พุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก พระบรมศาสดาผู้มีพระกระแสเสียง
อันไพเราะ ทอดพระเนตรเห็นดิฉันแต่ที่ไกลแล้วตรัสว่า ก็ความ
เป็นอยู่เพียงวันเดียวของบุคคลผู้พิจารณาเห็นความเกิดและความ
เสื่อมไป ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของบุคคลผู้มิได้
พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป
อนิจจาธรรมนี้ ไม่ใช่ธรรมเฉพาะบ้าน ไม่ใช่ธรรม
เฉพาะนิคม ไม่ใช่ธรรมเฉพาะสกุลเดียว เป็นธรรมของ
โลกทั้งปวงพร้อมทั้งเทวโลก.
ดิฉันนั้น ได้สดับคาถาเหล่านี้แล้ว ยังธรรมจักษุให้หมดจดวิเศษ
เมื่อรู้สัทธรรมแล้วได้ออกบวช แม้เมื่อบวชแล้วอย่างนั้น ประกอบ
ความเพียรในพุทธศาสนา ไม่ช้านานก็ได้บรรลุอรหัตผล ดิฉันเป็น
ผู้มีความชำนาญในฤทธิ์ และทิพโสตธาตุ รู้วาระจิตของผู้อื่น และ
ทิพจักษุบริสุทธิ์ ยังอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์
หมดมลทินด้วยดี ดิฉันบำรุงพระศาสดาแล้ว ปฏิบัติพระพุทธศาสนา
เสร็จแล้ว ปลงภาระอันหนักลงแล้ว ถอนตัณหาอันนำไปสู่ภพขึ้น
แล้ว ดิฉันบรรลุประโยชน์ คือ ธรรมเป็นที่สิ้นสังโยชน์ทั้งปวง
ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตต้องการนั้นแล้ว ญาณของ
ดิฉันในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติ และปฏิภาณ ไพบูลย์ หมดจดเพราะ
อำนาจพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ดิฉันนำผ้ามาจากกองหยากเยื่อ
ป่าช้าและถนนเอามาทำเป็นผ้าสังฆาฏิ ทรงจีวรอันเศร้าหมอง พระพิชิตมารผู้เป็นนายกชั้นพิเศษ ทรงพอพระทัยในคุณบัติ คือ การทรง
จีวรอันเศร้าหมองนั้น จึงทรงตั้งดิฉันไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ใน
บริษัททั้งหลาย ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
พระพุทธศาสนาดิฉัน
ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระกิสาโคตมีภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบกิสาโคตมีเถริยาปทาน.
ธรรมทินนาเถริยาปทานที่ ๓
ว่าด้วยบุพจริยาของพระธรรมทินนาเถรี
[๑๖๓] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารผู้เป็นนายกของโลก
พระนามว่าปทุมุตระ ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้ง
นั้น ดิฉันเกิดในสกุลหนึ่งในเมืองหงสวดีรับจ้างทำการงานของคน
อื่น เป็นผู้มีปัญญาสำรวมอยู่ในศีลพระเถระนามว่าสุชาตะอัครสาวก
ของพระพุทธเจ้า พระนามว่าปทุมุตระ ออกจากวิหารไปเพื่อ
บิณฑบาตเวลานั้น ดิฉันเอาหม้อไปตักน้ำ เห็นท่านแล้วเลื่อมใสได้
ถวายขนมด้วยมือของตน ท่านรับแล้วนั่งฉัน ณ ที่นั้นแหละ ดิฉัน
นิมนต์ท่านไปสู่เรือนได้ถวายโภชนะแก่ท่าน ต่อมา นายของดิฉัน
ทราบเข้าแล้วมีความยินดี ได้แต่งดิฉันให้เป็นลูกสะใภ้ของท่าน
ดิฉันไปกับแม่ผัว ได้ถวายอภิวาทพระสัมพุทธเจ้า
ครั้งนั้น พระบรมศาสดาทรงประกาศตั้งภิกษุณีองค์หนึ่งผู้เป็นธรรมกถึก ใน
ตำแหน่งเอตทัคคะ ดิฉันได้ฟังพระพุทธพจน์นั้นแล้ว มีความยินดี
นิมนต์พระสุคตเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ถวายมหาทานแล้ว ปรารถนา
ตำแหน่งนั้น ในทันใดนั้น พระสุคตเจ้าผู้มีพระกระแสเสียงไพเราะ
ได้ตรัสกะดิฉันว่าท่านยินดีบำรุงเรา อังคาสเรากับสาวกสงฆ์ ขวน-
ขวายในการฟังสัทธรรม มีใจเจริญด้วยคุณ ท่านผู้เจริญ ท่านยินดี
เถิด ท่านจะได้ตำแหน่งนั้นอันเป็นผลแห่งความปรารถนา ในกัป
ที่หนึ่งแสนแต่กัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตม ซึ่งมีสมภพใน
วงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ท่านผู้เจริญจักได้
เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรม
นิรมิตเป็นสาวิกาของพระศาสดา มีชื่อว่า ธรรมทินนา
ดิฉันได้ฟัง
พระพุทธพจน์นั้นแล้วมีความยินดี มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุง
พระมหามุนีผู้เป็นนายกชั้นพิเศษ ด้วยปัจจัยทั้งหลายจนตลอดชีวิต
ด้วยกุศลกรรมที่ทำไว้แล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉัน
ละร่างกายมนุษย์แล้วได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพงศ์พันธุ์แห่งพราหมณ์ มียศมาก
ประเสริฐกว่าบัณฑิตทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น พระเจ้า
กาสีพระนามว่ากิกี ผู้เป็นใหญ่กว่านรชนในพระนครพาราณสีอันอุดม
ทรงเป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ดิฉันเป็น
พระธิดาคนที่หกของท้าวเธอ มีนามปรากฏว่าสุธรรมา ได้ฟังธรรม
ของพระพิชิตมารผู้เลิศแล้ว พอใจบรรพชา แต่พระชนกนาถมิได้
ทรงอนุญาตให้พวกเรา เมื่ออยู่ในอาคารสถาน
ครั้งนั้น พวกเรา
ผู้เป็นราชกัญญาตั้งอยู่ในความสุข มิได้เกียจคร้านประพฤติพรหม-
จรรย์ตั้งแต่เป็นกุมารีอยู่สองหมื่นปี.
จบภาณวารที่ ๓
ราชธิดาทั้ง ๗ พระองค์ คือนางสมณี ๑ นางสมณคุตตา ๑
นางภิกขุนี ๑ นางภิกขุทาสิกา ๑ นางธรรมา ๑ นางสุธรรมา ๑
และนางสังฆทาสีเป็นที่ ๗ เป็นผู้ยินดีพอใจบำรุงพระพุทธเจ้าได้มา
เป็นพระเขมาเถรี พระอุบลวรรณาเถรี พระปฏาจาราเถรี พระกุณฑลเกสีเถรี เป็นพระกิสาโคตมีเถรี และดิฉันเป็นวิสาขาอุบาสิกา
คนที่ ๗ ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนง
ไว้ ดิฉันละร่างกายมนุษย์แล้วได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในภพ
หลังครั้งนี้
ดิฉันเกิดในสกุลเศรษฐี มีความเจริญมั่นคั่งด้วยกามสุข
ทั้งปวง ในพระนครราชคฤห์อันอุดม เมื่อดิฉันประกอบด้วยรูป
สมบัติตั้งอยู่ในปฐมวัย ไปสู่สกุลอื่น เพรียบพร้อมด้วยความสุข
สามีของดิฉัน เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นสรณะแห่งสัตว์โลก ฟัง
ธรรมเทศนา แล้วได้บรรลุอนาคามิผล เป็นผู้มีปัญญาดี ครั้งนั้น
ดิฉันได้รับอนุญาตจากสามีนั้นแล้ว ออกบวชไม่ช้านานก็ได้บรรลุ
อรหัตผล อุบาสกนั้นเข้าไปหาดิฉัน แล้วถามปัญหาที่ลึกซึ้งสุขุมมาก
ดิฉันแก้ปัญหาทั้งหมดนั้นได้ พระพิชิตทรงมารทรงพอพระทัยใน
คุณสมบัตินั้นจึงทรงตั้งดิฉันไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ด้วยพระดำรัส
ว่าเรามิได้เห็นภิกษุณีรูปอื่น ผู้เป็นธรรมกถึกเหมือนธรรมทินนา
ภิกษุณีนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงทรงจำภิกษุณีธรรม
ทินนาผู้มีปัญญาไว้อย่างนี้เถิด ดิฉันอันพระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์
แล้ว ชื่อว่าเป็นบัณฑิตอย่างนี้ ดิฉันบำรุงพระศาสดาแล้ว ทำกิจ
พระพุทธศาสนาเสร็จแล้วปลงภาระอันหนักลงแล้ว ถอนตัณหาอัน
นำไปสู่ภพขึ้นได้แล้ว บรรลุถึงประโยชน์ คือ ธรรมเป็นที่สิ้น
สังโยชน์ทั้งปวง ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิต ต้องการ
นั้นแล้ว ดิฉันเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์ และในทิพโสตธาตุ
รู้วาระจิตของผู้อื่น เป็นผู้ทำตามสัตถุศาสน์ ดิฉันรู้ปุพเพนิวาสญาณและทิพจักษุ อันหมดจดวิเศษยังอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว
เป็นผู้บริสุทธิ์หมดมลทินด้วยดี ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระธรรมทินนาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบธรรมทินนาเถริยาปทาน.
สกุลาเถริยาปทานที่ ๔ ว่าด้วยบุพจริยาของพระสกุลาเถรี
[๑๖๔] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่าปทุมุตระ ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์เป็นบุรุษอาชาไนย ประเสริฐกว่าบัณฑิตทั้งหลาย ทรง ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขเพื่อประโยชน์ แก่สัตว์ทั้งปวงใน โลกกับทั้งเทวโลก เป็นผู้ถึงซึ่งยศอันเลิศ ทรงสิริ ทรงมีเกียรติคุณ ฟุ้งเฟื่อง อันชาวโลกทั้งปวงบูชาแล้ว มีพระคุณปรากฏไปทั่วทิศ พระองค์เป็นผู้อุดมกว่านรชน ทรงข้ามพ้นจากความสงสัยแล้ว ทรง ล่วงความเคลือบแคลงไปแล้ว ทรงมีความดำริในพระหฤทัยบริบูรณ์ เต็มที่ ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันอุดม ทรงยังมรรคาที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น ตรัสบอกมรรคาที่ยังไม่มีใครบอก ทรงยังธรรมที่ยังไม่ เกิดพร้อมให้เกิดพร้อม พระองค์เป็นบุคคลผู้องอาจ ทรงรู้จักมรรคา ทรงทราบมรรคา ตรัสบอกมรรคา เป็นพระศาสดาผู้ฉลาดในมรรคา ประเสริฐสุดกว่านายสารถี เป็นพระโลกนาถผู้ทรงประกอบด้วย พระมหากรุณา เป็นนายกของโลก ทรงแสดงธรรม ถอนเหล่าสัตว์ ผู้จมอยู่ในเปือกตมคือกาม
ครั้งนั้น ดิฉันเกิดในเมืองหงสวดีมี นามว่าขัตติยนันทนา มีรูปสวย รวยทรัพย์เป็นที่พึงใจ มีสิริ เป็น พระธิดาของพระราชาผู้ใหญ่ พระนามว่าอานันทะ งดงามอย่างยิ่ง เป็นพระภคินีต่างพระมารดาแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ห้อมล้อมด้วยราชกัญญาทั้งหลาย ประดับด้วยสรรพาภรณ์ เข้าไป เฝ้าพระวีรเจ้า แล้วได้ฟังธรรมเทศนาครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้ แจ้งโลกโลกพระองค์นั้น ทรงตั้งภิกษุณีองค์หนึ่งผู้มีทิพจักษุใน ตำแหน่งอันเลิศ ในท่ามกลางบริษัทสี่ ดิฉันได้ฟังพระพุทธพจน์ นั้นแล้ว มีความร่าเริง ถวายทานและบูชา พระสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ปรารถนาทิพจักษุ ทันใดนั้น พระบรมศาสดาได้ตรัสกะดิฉันว่า
ดูกรขัตติยนันทนา เธอจักได้ตำแหน่งที่ตนปรารถนาตำแหน่งที่เธอ ปรารถนานี้เป็นผลแห่งการถวายประทีปที่ชอบธรรม ในกัปที่หนึ่ง แสนแต่กัปนี้ พระศาสดาพระนามว่าโคดม มีสมภพในวงศ์พระเจ้า โอกกากราชจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้เป็นธรรมทายาทของ พระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมนิรมิต จักเป็นพระสาวิกา ของพระศาสดามีนามว่าสกุลา ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละร่างกายมนุษย์แล้วได้ไปสู่ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพงศ์พันธุ์แห่งพราหมณ์ มียศมากประเสริฐกว่าบัณฑิตทั้งหลาย เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้นดิฉันปริพาชิกา ประพฤติอยู่ผู้เดียวเที่ยว ไปเพื่อภิกษาได้น้ำมันมาน้อยหนึ่ง มีใจผ่องใส เอาน้ำมันนั้นตาม ประทีปบูชาพระเจดีย์ชื่อสัพพสังวร แห่งพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ กว่าสัตว์ ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้นและด้วยการตั้งเจต์จำนง ไว้
ดิฉันละร่างกายมนุษย์นั้นแล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้วยอำนาจบุญกรรมนั้น ดิฉันไปเกิดในที่ใดๆ ประทีปเป็นอันมาก ก็สว่างไสวแก่ดิฉันในที่นั้นๆ ดิฉันปรารถนาจะได้สิ่งที่อยู่นอกฝา หรือสิ่งที่อยู่นอกภูเขาศิลา ก็เห็นได้ทะลุปรุโปร่ง นี้เป็นผลแห่ง การถวายประทีป ดิฉันมีนัยน์ตาแจ่มใส รุ่งเรืองด้วยยศ มีศรัทธา มีปัญญา นี้ก็เป็นผลแห่งการถวายประทีปในภพหลังครั้งนี้ ดิฉัน เกิดในสกุลพราหมณ์อันมีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย มหาชน ยินดี พระราชาทรงบูชา ดิฉันสมบูรณ์ไปด้วยองคสมบัติทั้งปวง ประดับด้วยสรรพาภรณ์ ยืนอยู่ที่หน้าต่าง ได้เห็นพระสุคตเจ้า เสด็จเข้าไปในเมืองทรงรุ่งเรืองด้วยยศอันเทวดาและมนุษย์สักการะ บูชาทรงสมบูรณ์ด้วยพระอนุพยัญชนะประดับด้วยพระลักษณะ ทั้งหลาย มีจิตเลื่อมใสโสมนัส พอใจบรรพชาครั้นได้บรรพชา แล้วไม่นานนัก ก็ได้บรรลุอรหัตผล
ดิฉันมีความชำนาญใน ฤทธิ์และทิพโสตธาตุ รู้วาระจิตของผู้อื่น เป็นผู้ปฏิบัติตาม สัตถุศาสน์ รู้ปุพเพนิวาสญาณ ชำระทิพจักษุอันหมดจด วิเศษให้อาสวะทั้งปวงสิ้นไปแล้วเป็นผู้บริสุทธิ์หมดมลทินดี ดิฉัน บำรุงพระศาสดาแล้วทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้วปลงภาระอัน หนักลงได้แล้ว ถอนตัณหาอันนำไปสู่ภพขึ้นได้แล้ว บรรลุถึง ประโยชน์ คือ ธรรมเป็นที่สิ้นสังโยชน์ทั้งปวงที่กุลบุตรทั้งหลาย ออกบวชเป็นบรรพชิต ต้องการนั้นแล้ว แต่นั้น พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงพระมหากรุณา ผู้อุดมกว่านรชน ทรงตั้งดิฉันไว้ในตำแหน่ง เอตทัคคะว่า สกุลาภิกษุณี เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ฝ่ายที่มี ทิพจักษุ ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำ เสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระสกุลาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบสกุลาเถริยาปทาน.
นันทาเถริยาปทานที่ ๕ ว่าด้วยบุพจริยาของพระนันทาเถรี
[๑๖๕] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่าปทุมุตระ ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวงเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าผู้ฉลาดในวิธีเทศนา ตรัสสอนเหล่าสัตว์ให้ รู้แจ้ง ทรงช่วยสรรพสัตว์ให้ข้ามไป ทรงช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นได้ เป็นอันมาก ทรงพระกรุณาอนุเคราะห์ แสวงหาประโยชน์แก่สัตว์ ทั้งปวงทรงตั้งพวกเดียรถีย์ที่มาถึงแล้วทั้งหมดไว้ในเบญจศีล พระศาสนาของพระองค์ไม่อากูล ว่างเปล่าจากพวกเดียรถีย์ งดงามไป ด้วยพระอรหันต์ทั้งหลายที่มีความชำนาญ เป็นผู้คงที่พระองค์เป็น พระมหามุนีมีพระกายสูง ๕๘ ศอก มีพระรัศมีงามปานทองคำที่มีค่า มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการมีพระชนมายุแสนปี พระองค์ดำรงอยู่โดยกาลเท่านั้น ทรงช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นได้เป็นอันมาก ครั้งนั้น ดิฉันเกิดในสกุลเศรษฐีมีความรุ่งเรืองด้วยรัตนะต่างๆ ใน เมืองหงสวดี เป็นผู้เพรียบพร้อมไปด้วยความสุขมาก ดิฉัน เข้าไป เฝ้าพระมหาวีรเจ้าพระองค์นั้น ได้ฟังพระธรรมเทศนา อันประกาศ ปรมัตถธรรมอย่างจับใจยิ่ง ซึ่งเป็นอมตธรรม ครั้งนั้น ดิฉันมีความ เลื่อมใส ได้นิมนต์พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลกพร้อมด้วยพระ- สงฆ์ ได้ถวายมหาทานแด่พระองค์ด้วยมือของตน ได้ซบเศียรลง ใกล้พระมหาวีรเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ปรารถนาตำแหน่งที่เลิศกว่า ภิกษุณีทั้งหลายฝ่ายที่มีฌาน
ครั้งนั้นพระสุคตเจ้าผู้ฝึกนรชนที่ยังไม่ได้ ฝึก เป็นสรณะของโลกสามผู้เป็นใหญ่ ทรงนรชนไว้ให้ดี ทรงพยากรณ์ว่า ท่านจักได้ตำแหน่งที่ปรารถนาดีแล้วนั้น ในกัปที่ หนึ่งแสนแต่กัปนี้พระศาสดาพระนามว่าโคดม มีสมภพในวงศ์ พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ท่านผู้เจริญจักได้เป็น ธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมนิรมิต จักเป็นสาวิกาของพระองค์ มีนามชื่อว่านันทา ครั้งนั้น ดิฉันได้ฟัง พระพุทธพจน์นั้นแล้วมีใจยินดีมีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระ- พิชิตมารผู้เป็นนายกชั้นพิเศษ ด้วยปัจจัยทั้งหลายตลอดชีวิต ด้วย กุศลกรรมที่ได้ทำไว้ดีนั้นและด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละ ร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จุติจากสวรรค์ชั้น นั้นแล้ว ดิฉันไปสู่สวรรค์ชั้นยามา จุติจากนั้นแล้วไปสวรรค์ชั้น ดุสิต จุติจากนั้นแล้วไปสวรรค์ชั้นนิมมานรดี จุติจากนั้นแล้วไป สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ด้วยอำนาจบุญกรรมนั้น
ดิฉันเกิดใน ภพใดๆ ก็ได้ครองตำแหน่งราชมเหสีในภพนั้นๆ จุติจากสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัตดีแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ ได้ครองตำแหน่งอัครมเหสี ของพระเจ้าจักรพรรดิ และพระเจ้าเอกราช เสวยสมบัติในเทวดา และมนุษย์เป็นผู้มีความสุขในที่ทุกสถานท่องเที่ยวไปในกัปเป็นอเนก ในภพหลังที่มาถึงบัดนี้ ดิฉันเป็นพระธิดาแห่งพระเจ้าสุทโธทนะใน กรุงกบิลพัสดุ์ เป็นผู้มีรูปสมบัติอันประชาชนสรรเสริญ ราชสกุล นั้น เห็นดิฉันมีรูปงามดังดวงอาทิตย์ จึงพากันชื่นชม เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงมีนามว่านันทา เป็นผู้มีรูปลักษณะสวยงาม ในพระนคร กบิลพัสดุ์ ซึ่งเป็นธานีที่รื่นรมย์นั้น นอกจากพระนางยโสธรา ปรากฏว่าดิฉันงามกว่ายุวนารีทั้งปวง พระภาดาพระองค์ใหญ่เป็น พระพุทธเจ้าผู้เลิศในไตรโลก พระภาดาองค์รองก็เป็นพระอรหันต์ ดิฉันยังเป็นคฤหัสถ์อยู่ผู้เดียว พระมารดาทรงตักเตือนว่า
ดูกรพระราชสุดาลูกรักเกิดในศากยสกุล เป็นพระอนุชาแห่งพระพุทธเจ้า เมื่อเว้นจากนันทกุมารแล้วจักได้ประโยชน์อะไรในวังเล่า รูปถึงมี ความเจริญ ก็มีความแก่เป็นอวสาน บัณฑิตรู้กันว่าไม่สะอาด เมื่อยังเจริญมิได้มีโรค แต่ก็มีโรคในตอนปลาย ชีวิตมีมรณะเป็น ที่สุดรูปของเธอนี้ แม้ว่าจะงามจูงใจให้นิยม ดุจดวงจันทร์ที่ใคร่กัน เมื่อตกแต่งด้วยเครื่องประดับมากอย่าง ก็ยิ่งมีความงามเปล่งปลั่ง เป็นที่กำหนด เป็นที่ยินดีแห่งนัยน์ตาทั้งหลายคล้ายกะว่าทรัพย์ของ ของโลกที่บูชากัน เป็นรูปที่ให้เกิดความสรรเสริญเพราะบุญมากที่ บำเพ็ญไว้ เป็นที่ชื่นชมแห่งวงศ์โอกกากราชไม่ช้านานเท่าไร ชรา ก็จักมาย่ำยี ลูกรักจงละพระราชฐานและรูปที่บัณฑิตตำหนิ ประพฤติ พรหมจรรย์เถิด ดิฉันผู้ยังหลงใหลด้วยความเจริญแห่งรูป ได้ฟัง พระดำรัสของพระมารดาแล้ว ก็ออกบวชแต่ร่างกาย แต่มิได้ออก บวชด้วยความเต็มใจ ดิฉันระลึกถึงตัวเองอยู่ด้วยความเพ่งฌานเป็น อันมาก พระมารดาตรัสตักเตือนเพื่อให้ประพฤติธรรม แต่ดิฉันมิได้ ขวนขวายในธรรมจริยานั้น
ครั้งนั้น พระพิชิตมารผู้ทรงพระมหากรุณา ทอดพระเนตรเห็นดิฉันผู้มีผิวหน้าดังดอกบัว ทรงนิรมิตหญิงคนหนึ่ง งามน่าชม น่าชอบใจยิ่งนัก มีรูปงามกว่าดิฉัน ในคลองจักษุของ ดิฉัน ด้วยอานุภาพของพระองค์ เพื่อให้ดิฉันเบื่อหน่ายในรูป ดิฉัน เป็นคนสวย เห็นหญิงมีร่างกายสวยยิ่งกว่า คิดเพ้อไปว่าเราเห็น หญิงมนุษย์ดังนี้มีผลดี เป็นลาภนัยน์ตาของเรา เชิญเถิดแม่คนงาม แม่จงบอกสิ่งที่ต้องประสงค์แก่ฉัน ฉันจะให้แม่จงบอกสกุล นาม และโคตรของแม่ ซึ่งเป็นที่รักแห่งแม่แก่ฉันเถิด แม่คนงาม เวลานี้ ยังไม่ใช่กาลแห่งปัญหา แม่จงให้ฉันอยู่บนตัก อวัยวะทั้งหลายของ ฉันจะทับอยู่ แม่ให้ฉันหลับสักครู่เถิด แต่นั้นแม่คนสวยงามพึงพิง ศีรษะที่ตักฉันนอนไป แม่คนสวยถูกของแข็งหยาบตกลงที่หน้าผาก ต่อมก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับของแข็งตกลงถูก แตกออกแล้วก็มีเครื่อง โสโครกหนองและเลือดไหลออก หน้าแตกแล้วมีกลิ่นเน่าปฏิกูล ตัวทั่วไปก็บวมเขียว แม่คนสวยมีสรรพางค์สั่น หายใจถี่ เสวยทุกข์ ของตนอยู่ รำพันอย่างหน้าสมเพช เพราะแม่คนสวยประสบทุกข์
ฉันก็มีทุกข์ ต้องทุกขเวทนา จมอยู่ในมหาทุกข์ ขอแม่คนสวยจง เป็นที่พึ่งของฉัน หน้าที่งามของแม่หายไปไหน จมูกที่โด่งงามของ แม่หายไปไหน ริมฝีปากที่สวยเหมือนสีลูกมะพลับสุกของแม่หาย ไปไหน วงหน้างามคล้ายดวงจันทร์และลำคอละม้ายต่อมทองคำของ แม่หายไปไหน ใบหูของแม่เป็นดังว่าพวงดอกไม้ มีสีเสียไปแล้ว ถันทั้งคู่ของแม่ เหมือนดอกบัวตูม แตกแล้ว มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป คล้ายกะว่าศพเน่า แม่มีเอวกลมกล่อม มีตะโพกผึ่งผาย แม่เต็ม ไปด้วยสิ่งชั่วถ่อยโอ รูปไม่เที่ยง อวัยวะที่เนื่องในสรีระทั้งหมด มีกลิ่นปฏิกูลน่ากลัว น่าเกลียด เหมือนซากศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นที่ยินดีของพวกพาลชน ครั้งนั้น พระภาดาของดิฉันผู้เป็นนายก ของโลก ผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณา ทอดพระเนตรเห็นดิฉัน มีจิตสลด ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
ดูกรนันทาท่านจงดูรูปที่ กระสับกระส่าย เปื่อยเน่าดังซากศพ จงอบรมจิตให้ตั้งมั่น มีอารมณ์ เดียว ด้วยอสุภารมณ์ รูปนี้เป็นฉันใด รูปท่านก็เป็นฉันนั้น รูปท่าน เป็นฉันใด รูปนี้ก็เป็นฉันนั้น รูปนี้มีกลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งไป พวกคน พาลยินดียิ่งนัก พวกบัณฑิตผู้มิได้เกียจคร้าน ย่อมพิจารณาเห็นรูป เป็นอย่างนั้นทั้งกลางคืนกลางวัน ท่านจงเบื่อหน่าย พิจารณาดูรูปนั้น ด้วยปัญญาของตน ลำดับนั้น ดิฉันได้ฟังคาถาเป็นสุภาษิต แล้วมี ความสลดใจ ตั้งอยู่ในธรรมนั้น ได้บรรลุซึ่งอรหัตผลในกาลนั้น ดิฉันนั่งอยู่ในที่ไหนๆ ก็มีฌานเป็นเบื้องหน้าพระพิชิตมารทรงพอ พระทัยในคุณสมบัตินั้น จึงทรงตั้งดิฉันไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระนันทาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบนันทาเถริยาปทาน.
โสณาเถริยาปทานที่ ๖ ว่าด้วยบุพจริยาของพระโสณาเถรี
[๑๖๖] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่าปทุมุตระ ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้ง นั้น ดิฉันเกิดในสกุลเศรษฐี เป็นผู้มีสุขชอบตกแต่ง เป็นที่รักของ บิดา เข้าไปเฝ้าพระมุนีผู้ประเสริฐพระองค์นั้น ได้ฟังพระดำรัส อันไพเราะ พระพิชิตมารทรงสรรเสริญภิกษุณีองค์หนึ่งว่า เป็นผู้เลิศ กว่าภิกษุณีทั้งหลายฝ่ายผู้ปรารภความเพียร ครั้งนั้น ดิฉันได้ฟัง พระพุทธพจน์นั้น แล้วมีความยินดี ได้ทำสักการะแด่พระศาสดา ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้วได้ปรารถนาตำแหน่งนั้น
พระมหาวีรเจ้าทรงอนุโมทนาว่า ความปรารถนาของท่านจะสำเร็จในกัปที่ แสนหนึ่งแต่กัปนี้ พระศาสดาพระนามว่าโคดม มีสมภพในวงศ์ พระเจ้าโอกกากราชจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ท่านนี้จักได้เป็นธรรม ทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมนิรมิต จักได้เป็นพระสาวิกาของพระศาสดา มีชื่อว่าโสณา ครั้งนั้น ดิฉันได้ ฟังพุทธานุโมทนานั้นแล้ว มีความยินดี มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระพิชิตมารผู้เป็นนายกชั้นพิเศษด้วยปัจจัยทั้งหลายจนตลอด ชีวิต ด้วยกุศลกรรมที่ทำไว้แล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละร่างกายมนุษย์แล้วได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในภพหลัง ครั้งนี้ ดิฉันเกิดในสกุลเศรษฐีที่มั่งคั่งเจริญ มีทรัพย์มากในพระนคร สาวัตถี เมื่อดิฉันเติบโตเป็นสาว ได้ไปสู่สกุลผัว คลอดบุตรชาย ๑๐ คนล้วนแต่มีรูปงามยิ่งนักบุตรทุกคนนั้นตั้งอยู่ในความสุข จูงตา และใจของชนให้นิยมแม้แต่พวกศัตรูก็ชอบใจ เป็นที่รักของดิฉัน มาก ในกาลนั้นโดยที่ดิฉันไม่ปรารถนา สามีของดิฉันพร้อมด้วยบุตร ทั้ง ๑๐ คน พากันไปบวช ในพระพุทธศาสนา
ดิฉันอยู่ผู้เดียว คิดว่า เราพลัดพรากจากสามีและบุตรเป็นกำพร้าอยู่ไม่ควรจะเป็นอยู่ แม้เราก็จักไปในอารามที่ภิกษุผู้เคยเป็นสามีอยู่ ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว จึงออกบวช ครั้งนั้น พวกภิกษุณีละดิฉันไว้ในสำนักที่อยู่อาศัยแต่ผู้ เดียว สั่งดิฉันว่าท่านจงต้มน้ำไว้แล้วก็ไปกัน เวลานั้น ดิฉันตักน้ำ มาใส่ในหม้อเล็กตั้งทิ้งไว้แล้วนั่งอยู่ แต่นั้นดิฉันก็เริ่มเพียรทางจิต ได้พิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ยังอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว ได้บรรลุอรหัตผล เมื่อพวกภิกษุณีกลับมาแล้วถามถึงน้ำร้อน ดิฉันอธิษฐานเตโชธาตุ ให้น้ำร้อนเร็วพลัน ภิกษุณีเหล่านั้นพากันพิศวง ไปกราบทูลพระพิชิตมารผู้ประเสริฐ ให้ทรงทราบเรื่องนั้น
พระโลกนาถทรงสดับ เรื่องนั้นแล้ว ทรงชื่นชม ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า แท้จริง บุคคลผู้ ปรารภความเพียรมั่น มีชีวิตเป็นอยู่เพียงวันเดียว ก็ประเสริฐกว่า คนเกียจคร้านละความเพียรเป็นอยู่ ๑,๐๐๐ ปี พระมหามุนีมหาวีรเจ้า อันดิฉันให้โปรดแล้วเพราะความปฏิบัติดี ตรัสว่าดิฉันเป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุณีทั้งหลายฝ่ายปรารภความเพียร ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระโสณาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบโสณาเถริยาปทาน.
ภัททกาปิลานีเถริยาปทานที่ ๗ ว่าด้วยบุพจริยาของพระภัททกาปิลานีเถรี
[๑๖๗] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่าปทุมุตระ ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ดิฉันเป็นภรรยาของเศรษฐีมีชื่อว่าวิเทหะมีรัตนะมาก ใน เมืองหงสวดี บางครั้ง เศรษฐีนั้นพร้อมกับชนที่เป็นบริวาร เข้าไป เฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นดังดวงอาทิตย์แห่งนรชน ได้ฟังธรรมของ พระองค์อันเป็นเหตุนำมาซึ่งความสิ้นทุกข์ทั้งปวง พระผู้มีพระภาค ทรงประกาศพระสาวกองค์หนึ่งว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่าย กล่าวกำจัด เศรษฐีผู้เป็นสามีแห่งดิฉันได้ฟังแล้ว ได้ถวายทานแด่ พระพุทธเจ้าผู้คงที่ตลอด ๗ วัน แล้วซบเศียรลงแทบพระบาท ปรารถนาตำแหน่งนั้น
ก็ในกาลนั้นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่านรชน เมื่อจะทรงให้บริษัทรื่นเริง ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้เพื่อทรงอนุ- เคราะห์เศรษฐีว่าดูกรบุตร ท่านจะได้ตำแหน่งที่ตนปรารถนา จงเป็น ผู้เย็นใจเถิด ในกัปที่หนึ่งแสนแต่กัปนี้ พระศาสดาพระนามว่าโคดม มีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ท่านนี้ จักได้เป็นธรรมทายาท ของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรส อันธรรมนิรมิต จักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่ากัสสปะ เศรษฐีได้ฟังพระพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว มีความเบิกบานใจ มีจิต ประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระพิชิตมารผู้เป็นนายกชั้นพิเศษ ด้วย ปัจจัยทั้งหลายจนตลอดชีวิต
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงยัง พระศาสนาให้รุ่งเรืองแล้ว ทรงกำจัดเดียรถีย์ที่ชั่วและทรงแนะนำ ประชาชนที่ควรแนะนำแล้ว พระองค์กับทั้งพระสาวกก็ปรินิพพาน เมื่อพระสุคตเจ้าซึ่งเป็นผู้เลิศในโลกพระองค์นั้นปรินิพพานแล้ว เศรษฐีนั้นเชิญญาติและมิตรมาประชุมแล้ว พร้อมกับญาติและมิตร เหล่านั้นได้สร้างพระสถูปสำเร็จด้วยรัตนะ สูง ๗ โยชน์ งดงาม เหมือนดวงอาทิตย์ และต้นพญารังที่มีดอกบาน เพื่อสักการะบูชา พระศาสดา ดิฉันได้ให้ช่าง ๗ คนเอารัตนะ ๗ อย่างทำตะเกียง ๗ แสนดวงแล้ว เอาน้ำมันหอมใส่เต็มทุกถ้วย ตามประทีปไว้ ณ ที่นั้น ลุกโพลงดังไฟไหม้ป่าอ้อ เพื่อบูชาพระศาสดาผู้แสวงหาคุณ อันยิ่งใหญ่ ผู้ทรงอนุเคราะห์สรรพสัตว์
ดิฉันให้ช่างทำหม้อ ๗ แสนหม้อ เต็มด้วยรัตนะต่างๆ มีพวงทองตั้งไว้ในระหว่างหม้อ ๘ ใบ รุ่งเรืองด้วยสีเหมือนดวงอาทิตย์ในสารทสมัย เพื่อบูชาพระศาสดาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ที่ประตูทั้ง ๔ มีเสาระเนียดสำเร็จ ด้วยรัตนะ มีแท่นมากสำเร็จด้วยรัตนะตั้งไว้งดงามน่ายินดี ทั้งมีคู ปลูกพรรณดอกไม้น้ำเป็นระเบียบดี และมีธงรัตนะยกขึ้นไว้ ล้วน แต่งามไพโรจน์ พระเจดีย์ที่สำเร็จด้วยรัตนะนั้นๆ สร้างไว้มีสีสุก งามดี รุ่งโรจน์ด้วยสีเหมือนดวงอาทิตย์ที่มีรัศมีงาม พระสถูปของ ดิฉันมี ๓ ด้าน ด้านหนึ่งดิฉันบรรจุเต็มไปด้วยหรดาล ด้านหนึ่ง ดิฉันบรรจุเต็มไปด้วยมโนศิลา ด้านหนึ่งดิฉันบรรจุเต็มไปด้วยแร่ พลวง ดิฉันให้ช่างสร้างเครื่องบูชาที่น่ายินดีเช่นนี้แล้ว ได้ถวายทาน แก่พระสงฆ์ผู้กล่าวธรรมอันประเสริฐตามกำลัง ตลอดชั่วชีวิต ดิฉัน กับเศรษฐีนั้นทำยัญเหล่านั้นโดยประการทั้งปวงจนตลอดชีวิต แล้ว ได้ไปสู่สุคติภพพร้อมกัน เสวยสมบัติทั้งหลายในเทวดาและมนุษย์ ท่องเที่ยวไปกับเศรษฐีนั้น ปานประหนึ่งว่าเงาติดตามไปกับตัว ฉะนั้น ในกัปที่ ๙๑
แต่ภัทรกัปนี้พระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ผู้เป็นนายกของโลก มีพระเนตรงาม ทรงเห็นแจ่มแจ้งในธรรม ทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น พราหมณ์ที่ประชุมชนสมมติว่า เป็นผู้ดี สมบูรณ์ด้วยความดี มั่งมีทรัพย์ มีอยู่ในพระนครพันธุมดี แม้ครั้งนั้น ดิฉันเป็นพราหมณีของพราหมณ์นั้น มีจิตเสมอกัน บางครั้ง พราหมณ์นั้นเข้าไปเฝ้าพระมหามุนี ซึ่งประทับในหมู่ชน ทรงแสดงธรรมส่วนอมตบทอยู่ ได้ฟังธรรมแล้วเบิกบานใจ ได้ถวาย ผ้าห่มผืนหนึ่ง มีผ้านุ่งผืนเดียวกลับไปถึงเรือน แล้วได้บอกดิฉันว่า
ดูกรน้องผู้มีบุญมาก เชิญอนุโมทนาเถิดผ้าห่มฉันถวายพระพุทธเจ้า แล้ว ขณะนั้นดิฉันประนมอัญชลีกล่าวอนุโมทนาว่า นายขา ผ้าห่ม ท่านถวายดีแล้วแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ คงที่ พราหมณ์กับดิฉัน เป็นผู้เจริญด้วยสุขสมบัติ ท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่พราหมณ์ ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินในพระนครพาราณสี ครั้งนั้น ดิฉันได้เป็น พระมเหสีสูงกว่าพวกพระสนม เป็นที่สองของท้าวเธอ ท้าวเธอ โปรดปรานดิฉัน เพราะสิเนหาเนื่องมาแต่ภพก่อนๆ พระเจ้าแผ่นดิน นั้นทอดพระเนตรเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ พระองค์ ผู้กำลังเที่ยว ไปเพื่อบิณฑบาตทรงพอพระทัย ได้ถวายบิณฑบาตที่ควรแก่ค่ามาก ครั้นแล้วทรงนิมนต์ไว้ ทรงสร้างมณฑปแก้วประดับด้วยทอง มี ความเปล่งปลั่ง อันพวกช่างทองทำไว้ มีส่วน ๑๐๐ ศอก
ท้าวเธอ ทรงเลื่อมใส รับสั่งให้อาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมด แล้วได้ ทรงถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ซึ่งเข้ามาในพระราชนิเวศน์ ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง แม้ครั้งนั้น ดิฉันก็ได้ถวาย ทานนั้นร่วมกันกับพระเจ้ากาสีดิฉันมาเกิดในกาสิกคาม ในพระนคร พาราณสีอีก พระเจ้ากาสีกับพระภาดามาเกิดในสกุลกุฎุมพี มีความ เจริญ เพรียบพร้อมด้วยความสุข ดิฉันเป็นภรรยาของพราหมณ์ คนพี่มีวัตรในสามีเป็นอย่างดี น้องชายของสามีดิฉัน เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว เอาอาหารของพี่ชายถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อพี่ชายซึ่งเป็นสามีดิฉันมาแล้ว บอกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าท่าน มิได้ยินดีทาน ขณะนั้น ดิฉันก็ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น สามีของดิฉัน ถวายอาหารอันไม่ควรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า
เวลานั้น ดิฉันโกรธเททานของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเสียแล้ว ได้ให้บาตร อันเต็มด้วยเปือกตมแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้คงที่นั้น ครั้งนั้น ดิฉัน เห็นสามีมีสีหน้าแสดงว่ามีจิตสงบในการให้ การรับ การไม่เคารพ และการประทุษร้าย จึงสลดใจมาก สามีของดิฉันรับบาตรมาแล้ว เอาน้ำหอมอย่างดีล้างให้สะอาดดิฉันมีจิตเลื่อมใส เอาน้ำตาลกรวด กับเปรียงใส่บาตรจนเต็มแล้ว ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้น ดิฉันมีความยินดีเกิดในภพไหนๆ ก็มีรูปสวยเพราะถวายทาน แต่มี กลิ่นตัวเหม็น เพราะทำความไม่ดี หยาบหยามต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อพระเจดีย์แห่งพระกัสสปธีรเจ้าซึ่งสามีให้สำเร็จแล้ว
ดิฉันมี ความยินดีได้ถวายแผ่นอิฐทองคำอย่างดีเอาแผ่นอิฐนั้นชุบจนเปียก ด้วยน้ำหอมที่เกิดแต่เครื่องหอมสี่ชนิด จึงพ้นจากโทษที่มีกลิ่นตัว เหม็น งดงามดีทั่วสรรพางค์ และให้ช่างเอารัตนะ ๗ ประการทำ ตะเกียง ๗ แสนดวง ใส่เปรียงเต็มแล้ว ให้ใส่ไส้พันไส้ตามประทีป ตั้งไว้ ๗ แถว เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า ผู้เป็นที่พึ่งของสัตวโลก ด้วยจิตอันเลื่อมใส แม้ในครั้งนั้น ดิฉันมีส่วนในบุญนั้นโดยพิเศษ สามีของดิฉันไปเกิดในแคว้นกาสี มีนามปรากฏว่าสุมิตตะ ดิฉัน เป็นภรรยานายสุมิตตะนั้น เป็นผู้เจริญด้วยสุขสมบัติ เป็นที่รัก ของสามี
ครั้งนั้น สามีของดิฉันได้ถวายผ้าโพกศีรษะเนื้อดีแก่ พระปัจเจกมุนี แม้ดิฉันก็มีส่วนแห่งทานนั้นอนุโมทนาทาน อันอุดมสามีไปเกิดในกำเนิดแห่งชาวโกลิยะในแคว้นกาสี ครั้งนั้น สามีของดิฉัน พร้อมกับบุตรของชาวโกลิยะ ๕๐๐ คน ได้บำรุง พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ อาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้า เหล่านั้นให้อยู่จำพรรษาตลอดไตรมาสแล้ว ได้ถวายไตรจีวร ครั้งนั้น ดิฉันเป็นภรรยาแห่งโกลิยบุตรคนนั้นด้วยกุศลกรรมบถที่ บำเพ็ญมา โกลิยบุตรนั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดเป็น พระราชาพระนามว่านันทะ มีอิสริยยศมาก แม้ดิฉันเกิดเป็นมเหสี ของท้าวเธอ เป็นผู้มั่งคั่งด้วยกามสุขทั้งปวง พระเจ้านันทะนั้น เคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้วเกิดเป็นพระเจ้าพรหมทัตต์ เป็นใหญ่ใน ปฐพี
ครั้งนั้น ดิฉันกับพระเจ้าพรหมทัตต์ ได้อาราธนาพระปัจเจก พุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ ผู้เป็นพระโอรสแห่งพระนางปทุมวดี ให้มา อยู่ในพระราชอุทยานแล้วบำรุงอยู่ และบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า เหล่านั้นผู้นิพพานแล้ว จนตลอดชีวิต เราทั้งสองให้สร้างเจดีย์ หลายองค์ แล้วก็บวชกัน เจริญอัปปมัญญาแล้วได้ไปสู่พรหมโลก จุติจากพรหมโลกแล้ว สามีของดิฉัน เกิดเป็นพราหมณ์ชื่อปิป- ผลายนะ ที่ประเทศมหาติตถะ มารดาชื่อสุมนเทวี บิดาเป็นพราหมณ์ โกสิโคตร ดิฉันเกิดเป็นธิดาของพราหมณ์นามว่ากปิละ มารดาชื่อ สุจิมดี ในมัททชนบท เมืองสากลบุรีที่อุดม บิดาของดิฉันหล่อรูป ดิฉันด้วยแท่งทองคำแล้ว ถวายรูปหล่อแก่พระพุทธกัสสปผู้เว้นจาก กามคุณ พราหมณ์ปิปผลายนะนั้นเป็นหนุ่ม ไปตรวจดูการงานใน กาลบางครั้ง เห็นสัตว์ทั้งหลายที่ถูกกาเป็นต้นกัดกินแล้วสลดใจ
ครั้งนั้นดิฉันเห็นน้ำมันงาที่มีในเรือน เอาออกผึ่งแดด มีเหล่าหนอน อาศัยกินแล้ว ได้ความสลดใจ ครั้งนั้นปิปผลายนพราหมณ์ ออก บวชแล้ว ดิฉันก็บวชตาม อยู่ในสำนักปริพาชก ๕ ปี เมื่อพระนาง โคตมี ผู้เป็นพระมาตุจฉาบำรุพระพิชิตมารมาทรงผนวชแล้ว ดิฉัน เข้าไปหาท่าน ต่อมา พระพุทธเจ้าโปรดสั่งสอนแล้วไม่นานเท่าไร ก็ได้บรรลุอรหัตผล ได้อุทานว่าน่าชม เรามีพระกัสสปเถระผู้มีสิริ เป็นกัลยาณมิตร
พระกัสสปเถระเป็นบุตรทายาทแห่งพระพุทธเจ้า มีจิตตั้งมั่นดีรู้ปุพเพนิวาสญาณ เห็นสวรรค์และอบาย ลุถึงแล้วซึ่ง ความสิ้นชาติ เป็นมุนีอยู่จบอภิญญา เป็นพราหมณ์มีไตรวิชชาด้วย วิชชา ๓ นี้ ดิฉันชื่อภัททกาปิลานีก็เหมือนกันได้ไตรวิชชาละ มัจจุราช ทรงร่างกายเป็นที่สุดนี้ ชนะมารพร้อมทั้งพลมารแล้ว เรา ทั้งสองเห็นโทษในโลกแล้วออกบวชกัน เป็นผู้หมดอาสวะ ทรมาน เสร็จแล้ว มีความเย็น ดับสนิทแล้ว ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระภัททกปิลานีภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบภัททกาปิลานีเถริยาปทาน.
ยโสธราเถริยาปทานที่ ๘ ว่าด้วยบุพจริยาของพระยโสธราเถรี
[๑๖๘] ดิฉันมีฤทธิ์มาก มีปัญญามาก มีภิกษุณี ๑,๑๐๐ องค์ เป็นบริวาร เข้าไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า ถวายอภิวาทแล้วเห็นลายลักษณ์กงจักร ของพระศาสดา แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ได้กราบทูลว่า หม่อมฉันมีอายุ ๗๘ ปี ล่วงเข้าปัจฉิมวัยแล้ว ถึงความเป็นผู้มีกาย เงื้อมลงแล้วขอกราบทูลลาพระมหามุนี หม่อมฉันมีวัยแก่ มีชีวิต น้อย จักละพระองค์ไป มีที่พึ่งของตนได้ทำแล้ว มีมรณะใกล้เข้ามา ในวัยหลัง ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันจักถึงความดับในคืนวันนี้ มิได้มีชาติ ชรา พยาธิและมรณะ จักไปสู่นิพพานที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นบุรีอันไม่มีความแก่ ความตายและไม่มีภัย บริษัทเข้าเฝ้าพระองค์ อยู่ รู้จักความผิด ขอประทานโทษ ณ ที่เฉพาะพระพักตร์พระองค์
เมื่อหม่อมฉันท่องเที่ยวไปในสงสาร หากมีความพลั้งพลาดใน พระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดประทานโทษแก่หม่อมฉันเถิด. พระมีผู้พระภาคตรัสว่า ดูกรท่านผู้ปฏิบัติตามคำสอนของเรา ท่านจงแสดงฤทธิ์ และตัดความ สงสัยของบริษัททั้งปวงในศาสนาเถิด. พระยโสธราเถรีกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันชื่อยโสธราเป็นปชาบดีของพระองค์ เมื่อยังทรงครองอาคารวิสัย เกิดในศากยสกุลตั้งอยู่ในองค์สมบัติ ของหญิง ประเสริฐกว่าหญิง ๑๖๙,๐๐๐ นาง ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันเมื่ออยู่ในพระราชวังของพระองค์ เป็นประธานเป็นใหญ่ กว่าหญิงทั้งปวง สมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ และอาจารสมบัติ ดำรงอยู่ในความเจริญทุกสมัย นารีทั้งมวลย่อมเคารพหม่อมฉัน เหมือนพวกมนุษย์เคารพเทวดา ฉะนั้น หม่อมฉันเป็นประมุข แห่งนางกัญญาหนึ่งพัน
ในราชพระนิเวศน์ของพระศากยบุตร นาง กัญญาเหล่านั้นร่วมสุขร่วมทุกข์กัน ปานประหนึ่งว่าพวกเทวดาใน นันทวัน ฉะนั้น หม่อมฉันเป็นบัณฑิต ล่วงกามธาตุด้วยรูปธาตุ มิได้มีใครๆ มีรูปเหมือนรูปของหม่อมฉัน เว้นแต่พระองค์ผู้เป็น นายกของโลก หม่อมฉันขอภิวาทพระสัมพุทธเจ้าแล้ว จักแสดง ฤทธิ์ถวาย พระยโสธราเถรี แสดงฤทธิ์ชนิดต่างๆ มากมาย แสดงกายเท่าภูเขาจักรวาล แสดงศีรษะเท่าอุตรกุรุทวีป แสดงแขน สองข้างเท่าทวีปทั้งสอง แสดงสรีระเป็นต้นหว้าประจำทวีปมีกิ่ง ด้านใต้มีลูกเป็นพวง กิ่งต่างๆ ก็มีลูกดก แสดงดวงจันทร์ และ ดวงอาทิตย์เป็นนัยน์ตา แสดงเขาสุเมรุเป็นกระหม่อมแสดงเขา จักรวาลเป็นหน้า เอาต้นหว้าพร้อมทั้งรากทำเป็นพัดเดินเข้าไป เฝ้าถวายบังคมพระศาสดาผู้เป็นนายกของโลกแสดงเพศช้าง เพศม้า ภูเขา และทะเล ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ เขาสุเมรุ และเพศท้าว สักกเทวราช กราบทูลว่า
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้าผู้มีพระจักษุ หม่อมฉัน ผู้ชื่อว่ายโสธรา ขอถวายบังคมพระยุคลบาท พระเถรีเอาดอกไม้ ปิดพันโลกธาตุไว้ และนิรมิตเป็นเพศพรหมแสดงสุญญตธรรมอยู่ กราบทูลว่า
ข้าแต่พระวีรเจ้าผู้มีพระจักษุ หม่อมฉันผู้ชื่อว่ายโสธรา ขอถวายบังคมพระยุคลบาท หม่อมฉันเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์ มีความชำนาญในทิพโสตธาตุ มีความชำนาญในเจโตปริยญาณ ย่อม รู้ปุพเพนิวาสญาณ และทิพจักษุอันหมดจดวิเศษ มีอาสวะทั้งปวง หมดสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีอีก
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉัน มีญาณในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติ และปฏิภาณเกิดขึ้นในสำนักของ พระองค์ ความพร้อมเพรียงแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นนาถะ ของโลก พระองค์ทรงแสดงดีแล้ว
ข้าแต่พระมหามุนี อธิการเป็น อันมากของหม่อมฉันย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่พระองค์
ข้าแต่ พระมุนีมหาวีรเจ้า ขอพระองค์พึงทรงระลึกถึงกุศลกรรมเก่าของ หม่อมฉันเถิดข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันสั่งสมบุญไว้เพื่อ ประโยชน์แก่พระองค์
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันงดเว้น อนาจารในสถานที่ไม่ควร แม้ชีวิตก็ยอมสละเพื่อประโยชน์แก่ พระองค์ได้
ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่อให้ เป็นภรรยาผู้อื่นหลายพันโกฏิกัป ก็เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อม ฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย
ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทาน หม่อมฉันเพื่ออุปการะหลายพันโกฏิกัป เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อมฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย
ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ ประทานหม่อมฉันเพื่อประโยชน์เป็นอาหารหลายพันโกฏิกัป หม่อมฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย หม่อมฉันบริจาคชีวิตหลายพันโกฏิกัป ประชุมชนจักทำการพ้นจากภัย ก็ยอมสละชีวิตของหม่อมฉันให้
ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันย่อมไม่เคยหวงเครื่องประดับและผ้า นานาชนิดซึ่งอยู่ที่ตัว และภัณฑะคือตัวหญิง เพื่อประโยชน์แก่ พระองค์
ข้าแต่พระมหามุนิมหาวีรเจ้า ทรัพย์ ข้าวเปลือกปัจจัย เครื่องบริจาค บ้าน นิคม ไร่นา บุตร ธิดา ช้าง ม้า โค ทาสี ภรรยา มากมายนับไม่ถ้วน พระองค์ทรงบริจาคแล้วเพื่อประโยชน์ แก่พระองค์ (พระองค์ตรัสบอกหม่อมฉันว่า) เราย่อมให้ทานกะพวก ยาจก เมื่อเราให้ทานอันอุดม เราย่อมไม่เห็นหม่อมฉันเสียใจ ข้าแต่ พระมหามุนี หม่อมฉันยอมรับทุกข์มากมายหลายอย่างจนนับไม่ถ้วน ในสงสารเป็นอเนกเพื่อประโยชน์แก่พระองค์ ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันได้รับสุขย่อมอนุโมทนา และในคราวที่ได้รับทุกข์ก็ไม่ เสียใจ เป็นผู้ยินดีแล้วในที่ทุกแห่งเพื่อประโยชน์แก่พระองค์
ข้าแต่ พระมหามุนี พระสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโดยมรรคาอันสมควร เสวยสุขและทุกข์แล้ว ได้บรรลุซึ่งพระโพธิญาณ หม่อมฉันได้ร่วม มาเป็นอันมาก กับพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมผู้เป็นนายกของ โลก เป็นเทพผู้ประเสริฐ พระองค์ก็ได้ร่วมมาเป็นอันมาก กับพระ สัมพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ ผู้เป็นนาถะของโลก ข้าแต่พระมหามุนี อธิการของหม่อมฉันมีมากเพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อมฉันเมื่อ แสวงหาพุทธธรรมอยู่ก็ได้เป็นบริจาริกาผู้รับใช้ของพระองค์ ในสี่ อสงไขยแสนกัป
พระมหาวีรเจ้าพระนามว่าทีปังกร ผู้เป็นนายก ของโลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ประชาชนในปัจจันตประเทศ มีจิตใจ ยินดีนิมนต์พระตถาคตเจ้าแล้ว ช่วยกันแผ้วถางหนทางสำหรับเป็น ที่เสด็จพระพุทธดำเนิน ณ กาลครั้งนั้น พระองค์เป็นพราหมณ์ นามว่าสุเมธ ตกแต่งหนทางยาว เพื่อพระสุคตเจ้าผู้ทรงเห็นธรรม ทั้งปวง หม่อมฉันมีสมภพในสกุลพราหมณ์ เป็นหญิงสาวมีนามว่า สุมิตตาเข้าไปสู่สมาคม ถือดอกบัวไป ๘ กำ เพื่อบูชาพระศาสดา แต่ได้ถวายพระองค์ผู้เป็นฤาษีอุดม ในท่ามกลางประชุมชน ครั้งนั้น หม่อมฉันได้เห็นพระองค์ประกอบสุภกิจอยู่นาน มีความกรุณา
เมื่อ ฤาษีนั้นเดินเลยไปแล้วยังดึงใจหม่อมฉันให้นิยม จึงได้สำคัญว่า ชีวิตของเรามีผล ครั้งนั้น หม่อมฉันเห็นความพยายามของพระองค์ นั้นมีผลจึงได้ถวายดอกบัวแก่พระองค์ผู้เป็นฤาษี ด้วยบุญที่ทำมาก่อน แม้จิตของหม่อมฉันก็เลื่อมใสในพระสัมพุทธเจ้า หม่อมฉันยิ่งมีจิต เลื่อมใสในพระองค์ผู้เป็นฤาษีมีมนัสสูง มิได้เห็นสิ่งอื่นที่ควรถวาย จึงได้ถวายดอกบัวแก่พระองค์ผู้เป็นฤาษีพร้อมด้วยกล่าวว่า
ข้าแต่ พระฤาษี ดอกบัว ๕ กำ จงมีแก่ท่าน ดอกบัว ๓ กำ จงมีแก่ดิฉัน ข้าแต่ท่านพระฤาษีดอกบัวเหล่านั้นจงมีเสมอกับด้วยท่านนั้น เพื่อ ประโยชน์แก่โพธิญาณของท่าน
จบภาณวารที่ ๔.
สุเมธฤาษีรับดอกบัว แล้วบูชาพระพุทธทีปังกร ผู้แสวงหาคุณธรรม ใหญ่ มีบริวาร ยศมาก เสด็จดำเนินมาในท่ามกลางประชุมชน เพื่อ ประโยชน์แก่โพธิญาณ พระมหามุนีมหาวีรเจ้าทีปังกร ทอดพระเนตร เห็นสุเมธฤาษีผู้มีมนัสสูงแล้ว ทรงพยากรณ์ในท่ามกลางประชุมชน ข้าแต่พระมหามุนีในกัปอันประมาณมิได้แต่กัปนี้ พระมหามุนี ทีปังกรทรงพยากรณ์กรรมของหม่อมฉันอันเป็นกรรมตรงว่า
ดูกรฤาษี ผู้ใหญ่ อุบาสิกาผู้นี้ จักเป็นผู้มีจิตเสมอกัน มีกุศลกรรมเสมอกัน ทำกุศลร่วมกัน เป็นที่รักของบุญกรรม เพื่อประโยชน์แก่ท่าน น่าดู น่าชม น่ารักยิ่ง น่าชอบใจ มีวาจาอ่อนหวาน จักเป็นธรรมทายาท ผู้มีฤทธิ์ของท่าน อุบาสิกานี้ จักรักษากุศลธรรมทั้งหลายเหมือนพวก เจ้าของทรัพย์ รักษาทรัพย์ที่เก็บไว้เองในคลัง ฉะนั้น ประชาชนจะ อนุเคราะห์ อุบาสิกาผู้ที่เป็นที่รักของท่านนั้น อุบาสิกานี้จักมีบารมี เต็ม จักละกิเลสได้ดังราชสีห์ละกรง แล้วจักบรรลุโพธิญาณ ในกัปอันประมาณมิได้แต่กัปนี้
พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์หม่อมฉัน ด้วยพระวาจาใด หม่อมฉันเมื่ออนุโมทนาพระวาจานั้น เป็นผู้ทำ กรณียกิจอย่างนี้ หม่อมฉันยังจิตให้เลื่อมใสในกุศลกรรมที่ได้ทำไว้ แล้วนั้น ได้เสวยผลในกำเนิดเทวดาและมนุษย์มากมาย ได้เสวยสุขและทุกข์ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในภพนี้ซึ่งเป็นภพหลัง หม่อมฉันเกิดในศากยสกุล มีรูปสมบัติ มีโภคสมบัติ มียศ มีศีล สมบูรณ์ด้วยองคสมบัติทั้งปวง ได้รับสักการะอย่างยิ่งในสกุล ทั้งหลาย มีลาภ สรรเสริญและสักการะ พรั่งพร้อมไปด้วยโลกธรรม มีจิตไม่ประกอบด้วยทุกข์ ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ สมจริงตามพระดำรัส ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ในกาลนั้นยโสธรานารีผู้มีเพียร แสดง อุปการะทั้งภายในพระราชฐานและแก่พวกเจ้าในพระนคร มีอุปการะ ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ เป็นผู้บอกประโยชน์ให้และทำความ อนุเคราะห์ หม่อมฉันยังมหาทานให้เป็นไปแล้วแก่พระพุทธเจ้า ห้าร้อยโกฏิและพระพุทธเจ้าเก้าร้อยโกฏิ ข้าแต่พระมหาราช ขอพระองค์ ทรงสดับอธิการเป็นอันมากของหม่อมฉัน
หม่อมฉันยังมหาทานให้ เป็นไป แก่พระพุทธเจ้าร้อยสิบเอ็ดโกฏิ ซึ่งเป็นนายกผู้เลิศของโลก ข้าแต่พระมหาราช ...
หม่อมฉันยังมหาทานให้เป็นไปแก่พระพุทธเจ้า ร้อยยี่สิบโกฏิ และแก่พระพุทธเจ้าร้อยสามสิบโกฏิ ...
หม่อมฉันยัง มหาทานให้เป็นไปแก่พระพุทธเจ้าร้อยสี่สิบโกฏิและแก่พระพุทธเจ้า ร้อยห้าสิบโกฏิ ...
หม่อมฉันยังมหาทานให้เป็นไป แก่พระพุทธเจ้า ร้อยหกสิบโกฏิ และแก่พระพุทธเจ้าร้อยเจ็ดสิบโกฏิ ...
หม่อมฉันยัง มหาทานให้เป็นไปแก่พระพุทธเจ้าร้อยแปดสิบโกฏิ และแก่พระพุทธเจ้าร้อยเก้าสิบโกฏิ ...
หม่อมฉันยังมหาทานให้เป็นไปแก่พระพุทธเจ้าแสนโกฏิ ซึ่งเป็นนายกผู้ประเสริฐของโลก ...
หม่อมฉันยัง มหาทานให้เป็นไปแก่พระพุทธเจ้าเก้าพันโกฏิ และแก่พระพุทธเจ้า อื่นอีกซึ่งเป็นนายกของโลก ...
หม่อมฉันยังมหาทานให้เป็นไปแก่ พระพุทธเจ้าแสนโกฏิ และแก่พระพุทธเจ้าแปดสิบห้าโกฏิแก่ พระพุทธเจ้าร้อยแปดสิบห้าโกฏิ แก่พระพุทธเจ้ายี่สิบเจ็ดโกฏิ ...
หม่อมฉันยังมหาทานให้เป็นไป แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ปราศจาก ราคะ มีแปดโกฏิเป็นที่สุด ข้าแต่พระมหาราช ...
หม่อมฉันยัง มหาทานให้เป็นไปแก่พระขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน เป็นพระพุทธสาวกมาก นับไม่ถ้วน
ข้าแต่พระมหาราช ขอพระองค์จงทรงฟัง อธิการเป็นอันมากของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉัน หม่อมฉันยัง มหาทานให้เป็นไปแล้วแก่พระพุทธเจ้าผู้ทรงประพฤติธรรมทั้งหลาย และพระอริยสงฆ์ผู้ประพฤติในสัทธรรม ในกาลทั้งปวง ด้วย ประการอย่างนี้ บุคคลผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า ควรประพฤติธรรมให้เป็นสุจริต ไม่ควรประพฤติธรรมให้เป็นทุจริต เพราะบุคคลผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุขทั้งใน โลกนี้และโลกหน้า
หม่อมฉันเบื่อหน่ายในสงสาร จึงออกบวช พร้อมด้วยบริวารชนพันหนึ่ง ครั้นบวชแล้วก็หมดกังวล ละอาคาร สถานแล้วออกบวช ยังไม่ทันถึงครึ่งเดือนก็ได้บรรลุจตุราริยสัจ คนเป็นอันมากนำจีวรบิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัชปัจจัยเข้ามา ถวาย เหมือนลูกคลื่นในทะเล ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว หม่อมฉันได้รับทุกขวิบัติมากอย่าง และสุขสมบัติมากอย่างเช่นนี้ ถึงพร้อมแล้วซึ่งความเป็นผู้บริสุทธิ์ สมบูรณ์ด้วยคุณทั้งปวง บุคคลผู้ถวายตนของตนแก่พระพุทธเจ้าผู้ แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เพื่อประโยชน์แก่บุญ ก็ย่อมพรั่งพร้อมไป ด้วยสหาย ลุถึงนิพพานบทอันเป็นอสังขตะ กรรมทั้งปวงส่วนอดีต ปัจจุบันและอนาคต ของหม่อมฉันหมดสิ้นไปแล้ว ข้าแต่พระองค์ ผู้มีพระจักษุ หม่อมฉันขอถวายบังคมพระยุคลบาท.
ทราบว่า ท่านพระยโสธราภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้เฉพาะพระพักตร์ผู้มีพระภาค ด้วย ประการฉะนี้แล.
จบยโสธราเถริยาปทาน.
อปทานแห่งพระเถรีหนึ่งหมื่นที่ ๙ ว่าด้วยบุพจริยาของพระเถรีหมื่นรูป
[๑๖๙] ในสี่อสงไขยแสนกัป พระพิชิตมารผู้เป็นนายกของโลกพระนามว่า ทีปังกร เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระพุทธทีปังกรมหาวีรเจ้าผู้เป็นนายกชั้น พิเศษ ทรงพยากรณ์ว่า สุเมธบัณฑิตกับนางสุมิตตามีสุขและทุกข์ ร่วมกัน เมื่อเสด็จเที่ยวทรงดูโลกกับทั้งเทวโลก เสด็จเข้ามาสู่ สมาคมแห่งหม่อมฉันทั้งหลาย ในการทรงพยากรณ์สุเมธบัณฑิต และนางสุมิตตานั้นสุเมธบัณฑิตย่อมเป็นใหญ่กว่าชนทั้งปวงใน สมาคมอนาคตแห่งหม่อมฉันทั้งหลาย ภรรยาทั้งหมด กล่าววาจา เป็นที่รักเป็นที่พอใจแห่งท่าน ข้าแต่พระมหามุนี ทานศีลทั้งปวงและ ภาวนาที่บำเพ็ญดีแล้ว ทานทั้งปวงนี้ คือ
ของหอม ดอกไม้ เครื่อง ไล้ทา ประทีป และทานวัตถุอันสำเร็จด้วยรัตนะ หม่อมฉัน ทั้งหลายบริจาคแล้วตลอดกาลนาน ข้าแต่พระมหามุนี ฐานะอย่างใด อย่างหนึ่ง หม่อมฉันทั้งหลายปรารถนาไว้แล้วทานทั้งปวงบริจาคแล้ว ข้าแต่พระมหามุนี กุศลกรรมอย่างอื่นและวัตถุเครื่องบริโภคเป็น ของมนุษย์ หม่อมฉันทั้งหลายทำไว้แล้ว หม่อมฉันทั้งหลายบริจาค ทานทั้งปวงในพระมหามุนีตลอดกาลนาน บุญเป็นอันมากหม่อมฉัน ทั้งหลายทำแล้วในสงสารมีชาติเป็นอเนก หม่อมฉันทั้งหลายได้ เสวยความเป็นอิสระ ท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ ในภพนี้ ซึ่งเป็นภพหลัง
หม่อมฉันเกิดแล้วในนิเวศน์แห่งพระศากยบุตร พวกสตรีเกิดแล้วในสกุลต่างๆ งดงามดังนางฟ้า มีวรรณะเป็นที่ ชอบใจหม่อมฉันทั้งหลายมีลาภเป็นอย่างเลิศถึงยศแล้วได้รับบูชา สักการะแต่ชนทั้งปวง หม่อมฉันทั้งหลายได้อันนปานาหาร ประชุมชน นับถือเสมอไป ละอาคารสถานแล้วออกบวช ยังไม่ทันถึงครึ่งเดือน ก็ได้ถึงแล้วซึ่งความดับทุกข์ทั้งหมดด้วยกัน หม่อมฉันทั้งหลายได้ ข้าว น้ำ ผ้า เสนาสนะและสรรพปัจจัยที่พวกทายกทายิกานำเข้า มาสักการะบูชาเสมอไป หม่อมฉันทั้งหลายเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
พระพุทธศาสนา หม่อมฉันทั้งหลายทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ภิกษุณีหนึ่งหมื่นมีพระยโสธราเถรีเป็นประธาน ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอปทานแห่งพระเถรีหนึ่งหมื่น.
อปทานแห่งพระเถรีหนึ่งหมื่นแปดพันที่ ๑๐ ว่าด้วยบุพจริยาของพระเถรีหมื่นแปดพันรูป
[๑๗๐] ภิกษุณีที่มีสมภพในศากิยสกุล ๑๘,๐๐๐ มีพระยโสธราเถรีเป็น ประธาน เข้าเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า ภิกษุณีทั้ง ๑๘,๐๐๐ ล้วนแต่ผู้มี ฤทธิ์ ถวายบังคมพระยุคบาทแห่งพระมุนี ได้กราบทูลตามกำลังว่า ข้าแต่พระมหามุนีผู้นายก หม่อมฉันทั้งหลายมีชาติ ชรา พยาธิและ มรณะสิ้นแล้ว ย่อมถึงอมตบทอันสงบไม่มีอาสวะ ข้าแต่พระมหามุนีผู้เป็นนายกชั้นพิเศษประชาชนย่อมรู้ความผิด คือ ความพลั้งพลาดที่มีในก่อนของหม่อมฉัน ทั้งปวง ขอพระองค์โปรดประทาน โทษแก่หม่อมฉันทั้งหลายเถิด.
พระบรมศาสดาตรัสว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของเรา จงแสดงฤทธิ์และ ตัดความสงสัยของบริษัททั้งมวลเถิดฯ ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า พระยโสธราเถรีผู้เป็นปชาบดีแห่งพระองค์ เมื่อยังดำรงอยู่ในอคารวิสัย เป็นที่พอพระทัยน่ารัก น่าชมทุกอย่าง เป็นหัวหน้าแห่งสตรี ๑๙๖,๐๐๐ ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร หม่อมฉันทั้งหลายนั้นเป็นอิสระกว่าสตรีทั้งสิ้น สมบูรณ์ด้วยรูป สมาบัติและอาจารสมบัติ ดำรงอยู่ในความเจริญ มีวาจาเป็นที่รัก สตรีทั้งปวงย่อมเคารพเหมือนพวกมนุษย์เคารพเทวดา สตรีที่มี สมภพในศากิยวงศ์ ๑๘,๐๐๐ มีพระยโสธราเถรี เป็นประมุขเป็น ใหญ่
ข้าแต่พระมหามุนี พระยโสธราเถรีล่วงกามธาตุ ดำรงอยู่ ในรูปธาตุ สตรีหนึ่งพันมิได้มีคนไหนมีรูปเหมือนพระเถรีนั้น ท่าน พระยโสธราเถรีจงถวายอภิวาทพระสัมพุทธเจ้าแสดงฤทธิ์ถวายเถิด ภิกษุณีมีพระยโสธราเถรีเป็นต้นนั้นแสดงฤทธิ์ชนิดต่างๆ เป็น อันมาก แสดงกายเท่าภูเขาจักรวาล แสดงศีรษะเท่าอุตรกุรุทวีป แสดงแขนสองข้างเท่าทวีปทั้งสอง แสดงสรีระเป็นต้นหว้าประจำ ทวีป มีกิ่งด้านใต้มีลูกเป็นพวงกิ่งต่างๆ มีลูกดก แสดงดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์เป็นนัยน์ตา แสดงเขาสุเมรุเป็นกระหม่อม แสดงเขา จักรวาลเป็นหน้าเอาต้นหว้าพร้อมทั้งรากเดินพัดเข้ามาถวายบังคม พระโลกนายกแสดงเพศช้าง เพศม้า ภูเขา ทะเล ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ เขาสุเมรุและเพศท้าวสักกเทวราช
ข้าแต่พระวีรเจ้าผู้มีพระจักษุ เป็นนายกของนรชน พระยโสธราเถรีและหม่อมฉัน ทั้งหลาย ขอถวายบังคมพระยุคลบาท เป็นผู้สำเร็จแล้วด้วยกุศล ธรรมที่อบรมมานานเพื่อพระองค์ ข้าแต่พระมหามุนีหม่อมฉัน ทั้งหลายเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์ มีความชำนาญในทิพโสตธาตุ มีความชำนาญในเจโตปริยญาณ รู้ปุพเพนิวาสญาณและทิพจักษุอัน หมดจดวิเศษ มีอาสวะทั้งปวงหมดสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก ข้าแต่พระมหาวีรเจ้าหม่อมฉันทั้งหลายมีญาณในอรรถะ ธรรมะ นิรุติและปฏิญาณเกิดขึ้นแล้วในสำนักของพระองค์ หม่อมฉัน ทั้งหลายแสดงความสมาคมแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นนาถะ ของโลกแต่ข้าพระมหามุนี อธิการเป็นอันมากของหม่อมฉันทั้งหลาย ย่อมเป็นประโยชน์แก่พระองค์ ขอพระองค์ทรงระลึกถึงกุศลกรรม เก่าของหม่อมฉันทั้งหลายเถิด
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้าหม่อมฉัน ทั้งหลายสั่งสมบุญ ก็เพื่อประโยชน์แก่พระองค์หม่อมฉันทั้งหลาย งดเว้นอนาจารในสถานที่ไม่ควร แม้ชีวิตก็ยอมสละเพื่อประโยชน์ พระองค์ ข้าแต่พระมหามุนีพระองค์ประทานหม่อมฉันทั้งหลาย เพื่อต้องการให้เป็นภรรยาของผู้อื่นหลายพันโกฏิกัป ก็เพื่อประโยชน์ แก่พระองค์ หม่อมฉันทั้งหลายมิได้เสียใจ ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันทั้งหลายเพื่ออุปการะหลายพันโกฏิกับ เพื่อ ประโยชน์แก่พระองค์ หม่อมฉันทั้งหลายมิได้เสียใจในเรื่องนี้เลย ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันทั้งหลาย เพื่อ ประโยชน์เป็นอาหารหลายพันโกฏิกัป เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อมฉันทั้งหลาย มิได้เสียใจในเรื่องนี้เลยหม่อมฉันทั้งหลายยอม สละชีวิต ทำความพ้นภัยหลายพันโกฏิกัป
ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันทั้งหลายไม่เคยหวงเครื่องประดับ และผ้ามากชนิดซึ่งอยู่ที่ ตัว และภัณฑะคือ ตัวหญิงเพื่อประโยชน์แก่พระองค์ ข้าแต่ พระมหามุนีมหาวีรเจ้า ทรัพย์ ข้าวเปลือก ปัจจัยเครื่องบริจาค บ้าน นิคม นา บุตร ธิดา ช้าง ม้า โค ทาสี ภรรยา มากนับไม่ ถ้วน พระองค์ทรงบริจาคแล้ว เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ พระองค์ ตรัสบอกหม่อมฉันทั้งหลายว่า เราทั้งหลายจักให้ทานกะพวกยาจก เมื่อเราให้ทานอันอุดมเราทั้งหลายก็ไม่เห็นความเสียใจกัน ข้าแต่ พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันทั้งหลายยอมรับทุกข์มากมายหลายอย่าง นับไม่ถ้วน ในสงสารเป็นอเนก เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อมฉันทั้งหลายได้รับความสุข ย่อมอนุโมทนา และในคราวได้ รับทุกข์ก็ไม่เสียใจ เป็นผู้ยินดีแล้วในที่ทุกแห่ง เพื่อประโยชน์แก่ พระองค์
ข้าแต่พระมหามุนี พระสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโดย มรรคาอันสมควรเสวยสุขทุกข์แล้ว ได้บรรลุซึ่งโพธิญาณ หม่อมฉัน ทั้งหลายได้ร่วมกับพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ผู้เป็นนายก ของโลก เป็นเทพผู้ประเสริฐ มาเป็นอันมาก พระองค์ก็ได้ร่วมกับ พระสัมพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ ผู้เป็นนาถะของโลกมาเป็นอันมาก ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า อธิการของหม่อมฉันทั้งหลายมีมากเพื่อ ประโยชน์แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงแสวงหาพุทธธรรมอยู่ หม่อมฉันทั้งหลายก็ยอมเป็นบริจาริการับใช้พระองค์ ในสี่อสงไขย์ แสนกัป พระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร เป็นพระมหาวีระ เป็น นายกของโลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ประชาชนในปัจจันตประเทศ มีใจยินดี นิมนต์พระตถาคตเจ้าแล้ว ช่วยกันแผ้วถางหนทางเป็นที่ เสด็จพระพุทธดำเนิน
กาลครั้งนั้น พระองค์เป็นพราหมณ์นามว่า สุเมธตกแต่งหนทางยาว เพื่อพระสุคตเจ้าผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวง คราวนั้น หม่อมฉันทุกคนมีสมภพในสกุลพราหมณ์ ถือดอกบัว เป็นอันมากนำไปสู่สมาคม สมัยนั้น พระพุทธเจ้าทีปังกรผู้มีบริวาร ยศมาก เป็นพระมหาวีระทรงพยากรณ์สุเมธฤาษีผู้มีมนัสสูง เมื่อพระพุทธทีปังกรกำลังทรงประกาศกรรมของสุเมธฤาษีผู้มีมนัสสูง แผ่นดินหวั่นไหวสะเทื้อนสะท้านไปในโลกพร้อมทั้งเทวโลก พวก เทพกัญญา มนุษย์ และหม่อมฉันทั้งหลายกับทั้งเทวดา พากัน บูชาพระองค์ผู้เป็นสุเมธฤาษีด้วยสิ่งของที่ควรบูชาต่างๆ แล้วก็ ปรารถนา
พระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร ทรงพยากรณ์แก่เขา เหล่านั้นว่า ในวันนี้ ชนเหล่าใดมีความปรารถนา ชนเหล่านั้น จักมีในที่เฉพาะหน้าในกัปอันประมาณมิได้แต่กัปนี้พระพุทธเจ้าทรง พยากรณ์หม่อมฉันทั้งหลาย ด้วยพระวาจาใดหม่อมฉันทั้งหลาย เมื่ออนุโมทนาพระวาจานั้นเป็นผู้ทำกรณียกิจอย่างนี้ หม่อมฉัน ทั้งหลายยังจิตให้เลื่อมใสในกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้น จึงได้เสวย สมบัติในกำเนิดเทวดาและมนุษย์นับไม่ถ้วน ครั้นได้เสวยสุขและ ทุกข์ในเทวดาและมนุษย์แล้ว ในภพนี้ซึ่งเป็นภพหลัง จึงมาเกิดใน ศากิยสกุล มีรูปสมบัติ โภคสมบัติ ยศและศีล สมบูรณ์ด้วยองค์ สมบัติทั้งปวงได้รับสักการะอย่างยิ่งในสกุลทั้งหลาย มีลาภ สรรเสริญ และสักการะ พรั่งพร้อมไปด้วยโลกธรรม มีจิตไม่ประกอบด้วยทุกข์ ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ
สมจริงตามพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ในกาลนั้น ยโสธรานารี แสดงอุปการะทั้งในภายในราชฐานและแก่ พวกเจ้าในพระนคร มีอุปการะทั้งในยามสุขและในยามทุกข์ เป็นผู้ บอกประโยชน์ให้และทำความอนุเคราะห์ ควรประพฤติธรรมให้เป็น สุจริตไม่ควรประพฤติธรรมให้เป็นทุจริต เพราะว่าบุคคลผู้ประพฤติ ธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า หม่อมฉันทั้งหลาย ละอคารสถานออกบวช ยังไม่ทันถึงครึ่งเดือนก็บรรลุจตุราริยสัจ คนเป็นอันมากนำจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัชปัจจัยมา ถวาย เหมือลูกคลื่นในทะเล หม่อมฉันทั้งหลายเผากิเลสทั้งหลาย แล้ว ...
พระพุทธศาสนา หม่อมฉันทั้งหลายได้ทำเสร็จแล้ว หม่อม- ฉันทั้งหลายได้ทุกขวิบัติมากอย่าง และสุขสมบัติก็มากอย่างเช่นนี้ ถึงพร้อมแล้ว ซึ่งความเป็นผู้บริสุทธิ์ สมบูรณ์ด้วยคุณทั้งปวง บุคคล ผู้ถวายตนของตนแก่พระเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เพื่อประโยชน์ แก่บุญ ก็ย่อมพรั่งพร้อมไปด้วยสหาย ลุถึงนิพพานบทเป็นอสังขตะ กรรมทั้งปวงส่วนอดีตปัจจุบันและอนาคตของหม่อมฉันทั้งหลาย หมดสิ้นไปแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุ หม่อมฉันทั้งหลาย ขอถวายบังคมพระยุคลบาท.
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อเธอทั้งหลายบอกลาเพื่อจะนิพพาน เราจะกล่าวอะไรให้ยิ่งกะเธอ ทั้งหลายเล่า บุคคลที่เป็นทาสที่นับว่าสัตว์ก็ลุถึงอมตบทแล้ว.
ทราบว่า ภิกษุณีหนึ่งหมื่นแปดพันมีพระยโสธราเถรีเป็นหัวหน้า ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ในที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ด้วยประการฉะนี้แล ฯ
จบอปทานแห่งพระเถรีหนึ่งหมื่นแปดพัน.
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. กุณฑลเกสีเถริยาปทาน ๒. กิสาโคตมีเถริยาปทาน ๓. ธรรมทินนาเถริยาปทาน ๔. สกุลาเถริยาปทาน ๕. นันทาเถริยาปทาน ๖. โสณาเถริยาปทาน ๗. ภัททกาปิลานี เถริยาปทาน ๘. ยโสธราเถริยาปทาน ๙. ทสสหัสสเถริยาปทาน ๑๐. อัฏฐารสเถรีสหัสสาน- *มาปทาน
บัณฑิตคำนวณคาถาได้ ๔๗๘ คาถา.
จบกุณฑลเกสวรรคที่ ๓


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น