Translate

18 พฤศจิกายน 2568

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน วังคีสเถราปทานที่ ๔ ว่าด้วยบุพจริยาของพระวังคีสเถระ

  
 [๑๓๔] ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตระ ผู้มีจักษุ ในธรรมทั้งปวง ทรงเป็นผู้นำ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระศาสนา ของ พระองค์ วิจิตรไปด้วยพระอรหันต์ทั้งหลายเหมือนคลื่น สาคร และเหมือนดาวบนท้องฟ้า พระพิชิตมารผู้สูงสุด อันมนุษย์พร้อม ทั้งทวยเทพอสูรและนาคห้อมล้อมในท่ามกลางหมู่ชนซึ่งเกลื่อนกล่น ไปด้วยสมณะและพราหมณ์
 พระพิชิตมารผู้ถึงที่สุดโลก ทรงทำโลก ทั้งหลายให้ยินดีด้วยพระรัศมี พระองค์ยังดอกปทุม คือ เวไนย สัตว์ให้บานด้วยพระดำรัส ทรงสมบูรณ์ด้วยเวสารัชชธรรม ๔ เป็น อุดมบุรุษ ละความกลัวและความยินดีได้เด็ดขาด ทรงถึงธรรมอัน เกษม องอาจกล้าหาญ พระผู้เลิศโลกทรงปฏิญาณซึ่งฐานะของผู้ เป็นโจกอันประเสริฐและพุทธภูมิทั้งสิ้น ไม่มีใครจะทักท้วงได้ใน ฐานะไหนๆ เมื่อพระพุทธเจ้าผู้คงที่พระองค์นั้นบันลือสีหนาทอัน หน้าสะพรึงกลัวอยู่ ย่อมไม่มีเทวดา มนุษย์ หรือพรหมบันลือตอบได้ พระพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้าในบริษัท ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ ช่วยมนุษย์พร้อมทั้งเทวดาให้ข้ามวัฏสงสาร ทรงประกาศธรรมจักร
 พระผู้มีพระภาคตรัสสรรเสริญคุณเป็นอันมาก ของพระสาวกผู้ได้รับ สมมติดีว่า เลิศกว่าภิกษุที่มีปฏิภาณทั้งหลาย แล้วทรงตั้งท่านไว้ใน ตำแหน่งเอตทัคคะ ครั้งนั้น เราเป็นพราหมณ์ชาวเมืองหงสวดี เป็น ผู้ได้รับสมมุติว่าเป็นคนดีรู้แจ้งพระเวททุกคัมภีร์ มีนามว่าวังคีสะ เป็นที่ไหลออกแห่งนักปราชญ์ เราเข้าไปเฝ้าพระมหาวีระเจ้าพระองค์ นั้น สดับพระธรรมเทศนานั้นแล้วได้ปีติอันประเสริฐ เป็นผู้ยินดี ในคุณของพระสาวก จึงได้นิมนต์พระสุคตผู้ทำโลกให้เพลิดเพลิน พร้อมด้วยพระสงฆ์ให้เสวยและฉัน ๗ วันแล้ว นิมนต์ให้ครองผ้า
 ในครั้งนั้นเราได้หมอบลงแทบพระบาททั้งสองด้วยเศียรกล้าได้โอกาส จึงยืนประนมอัญชลีอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เป็นผู้ร่าเริง กล่าวสดุดีพระชินสีห์ผู้สูงสุดว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่ไหลออกแห่ง นักปราชญ์ ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ เป็นฤาษีสูงสุด ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ ผู้เลิศกว่าโลกทั้งปวง ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่ พระองค์ผู้ทรงทำความไม่มีภัย ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ ผู้ทรงย่ำยีมาร ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ ทรงทำทิฏฐิให้ไหลออก ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่ พระองค์ผู้ทรงประทานด้วยสันติสุข ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่ พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงทำให้เป็นที่นับถือ ข้าพระองค์
 ขอนอบน้อมแด่พระองค์ พระองค์เป็นที่พึ่งของชนทั้งหลายผู้ไม่มีที่พึ่ง ทรงประทานความไม่มีภัยแก่ตนทั้งหลายที่กลัว เป็นที่คุ้นเคยของคน ทั้งหลายที่มีภูมิธรรมสงบระงับ เป็นที่พึ่งที่ระลึกของคนทั้งหลายผู้ แสวงหาที่พึ่งที่ระลึก เราได้ชมเชยพระสัมพุทธเจ้าด้วยคำกล่าวสดุดีมี อาทิ อย่างนี้ แล้วได้กล่าวสรรเสริญพระคุณอันใหญ่ จึงได้บรรลุคติ ของภิกษุผู้กล้ากว่านักพูด ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคผู้มีพระปฏิภาณไม่ มีที่สิ้นสุดได้ตรัสว่า ผู้ใดเป็นผู้เลื่อมใสนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วย สาวก ให้ฉันสิ้น ๗ วัน ด้วยมือทั้งสองของตน
 และได้กล่าวสดุดี คุณของเรา ปรารถนาตำแหน่งแห่งภิกษุผู้กล้ากว่านักพูดในอนาคตกาล ผู้นั้นจักได้ตำแหน่งนี้สมดังมโนรถปรารถนา เขาจักได้เสวย ทิพยสมบัติมีประมาณไม่น้อยในกัปที่แสนแต่กัปนี้ไป พระศาสดามี นามว่าโคดม ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติ ขึ้น พราหมณ์นี้จักได้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จักเป็นสาวกของพระศาสดามีนามชื่อ ว่าวังคีสะ เราได้สดับพระพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว เป็นผู้มีความ เบิกบานมีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระพิชิตมารด้วยปัจจัย ทั้งหลายในกาลครั้งนั้น จนตราบเท่าสิ้นชีวิต เพราะกรรมที่ทำไว้ดีนั้น
 และเพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้วได้ไปสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ ในภพสุดท้ายในบัดนี้ เราเกิดในสกุลปริพาชก เมื่อเรา เกิดในครั้งหลัง มีอายุได้ ๗ ปีแต่กำเนิด เราเป็นผู้รู้เวททุกคัมภีร์ แกล้วกล้าในวาทศาสตร์ มีเสียงไพเราะ มีถ้อยคำวิจิตร ย่ำยีวาทะ ของผู้อื่นได้ เพราะเราเกิดที่วังคชนบท และเราเป็นใหญ่ในถ้อยคำ เราจึงชื่อว่าวังคีสะ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ชื่อของเราจะเป็นเลิศ ก็ เป็นชื่อสมมติตามโลก ในเวลาที่เรารู้เรียงสาตั้งอยู่ในปฐมวัย เรา ได้พบท่านพระสารีบุตรเถระในพระนครราชคฤห์อันรื่นรมย์.
 จบ ภาณวารที่ ๒๕
 ท่านถือบาตร สำรวมดี ตาไม่ลอกแลก พูดแต่พอประมาณ แลดู เพียงชั่วแอก เที่ยวบิณฑบาตอยู่ ครั้นเราเห็นท่านแล้วก็เป็นผู้ อัศจรรย์ใจ ได้กล่าวบทคาถาอันวิจิตร เป็นหมวดหมู่เหมือนดอก กรรณิการ์ เหมาะสม ท่านบอกแก่เราว่า พระสัมพุทธเจ้าผู้นำโลก เป็นศาสดาของท่าน ครั้งนั้นท่านพระสารีบุตรเถระผู้ฉลาดเป็นนัก ปราชญ์นั้น ได้พูดแก่เราเป็นอย่างดียิ่ง เราอันพระเถระผู้คงที่ให้ ยินดีด้วยปฏิภาณอันวิจิตร เพราะถ้อยคำที่ปฏิสังยุตด้วยวิราคธรรม เห็นได้ยาก สูงสุด จึงซบศีรษะลงแทบเท้าของท่านแล้วก็กล่าวว่า ขอได้โปรดให้กระผมบรรพชาเถิด
                        ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรผู้มี ปัญญามาก ได้นำเราไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เราซบเศียร ลงแทบพระบาท นั่งลงในที่ใกล้พระศาสดา พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ กว่านักปราชญ์ทั้งหลายได้ตรัสถามเราว่า
                        ดูกรวังคีสะ ท่านรู้ศีรษะ ของคนที่ตายไปแล้วว่า จะไปสู่สุคติหรือทุคติด้วยวิชาพิเศษของท่าน จริงหรือ ถ้าท่านสามารถก็ขอให้ท่านบอกมาเถิด เมื่อเราทูลรับรอง แล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงศีรษะสามศีรษะ เราได้กราบทูลว่า เป็น ศีรษะของคนที่เกิดในนรกและเทวดา
 ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ นำของโลกได้แสดงศีรษะของพระขีณาสพ ลำดับนั้น เราหมดมานะ จึงได้ทูลอ้อนวอนขอบรรพชา ครั้นบรรพชาแล้ว ได้กล่าวสุคตเจ้า โดยไม่เลือกสถานที่ ทีนั้นแหละภิกษุทั้งหลายพากันโพนทนาว่า เราเป็นจินตกวี ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าผู้นำชั้นวิเศษได้ตรัสถามเรา เพื่อทดลองว่า คาถาเหล่านี้ย่อมแจ่มแจ้งโดยควรแก่เหตุแก่คน ทั้งหลายผู้ตรึกตรองแล้วมิใช่หรือ เราทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้มีความ เพียร ข้าพระองค์ไม่ใช่นักกาพย์กลอน แต่ว่าคาถาทั้งหลายแจ่มแจ้ง โดยควรแก่เหตุแก่ข้าพระองค์ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
 ดูกรวังคีสะ ถ้ากระนั้น ท่านจงกล่าวสดุดีเราโดยควรแก่เหตุในบัดนี้ ครั้งนั้น เรา ได้กล่าวคาถาสดุดีพระธีรเจ้าผู้เป็นพระฤาษีสูงสุดแล้ว พระพิชิตมาร ทรงพอพระทัยในคราวนั้น จึงทรงตั้งเราในตำแหน่งเอตทัคคะ เรา หมิ่นภิกษุอื่นๆ ก็เพราะปฏิภาณอันวิจิตร เราเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก จึงเกิดความสลดใจเพราะเหตุนั้น ได้บรรลุอรหัต พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสว่า ไม่มีใครอื่นที่จะเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่มีปฏิภาณเหมือน ดังวังคีสะภิกษุนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงทรงจำไว้ อย่างนี้ กรรมที่เราได้ทำไว้ในกัปที่แสน ได้แสดงผลแก่เราแล้วใน อัตภาพนี้ เราหลุดพ้นจากกิเลส เหมือนลูกศรพ้นจากแล่ง ฉะนั้น กิเลสทั้งหลายอันเราเผาเสียแล้ว เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. 
                        ทราบว่า ท่านพระวังคีสเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
  จบ วังคีสเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค
๔. วังคีสเถราปทาน
               ๕๔๔. อรรถกถาวังคีสเถราปทาน         
               พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๔ ดังต่อไปนี้ :- 
               อปทานของท่านพระวังคีสเถระมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
               แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
         ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลที่มีโภคะมากมาย ในหังสวดีนคร เจริญวัยแล้วได้ไปยังพระวิหารพร้อมกับชาวพระนครผู้กำลังเดินไปเพื่อฟังธรรม ขณะกำลังฟังธรรม ได้เห็นภิกษุรูปหนึ่งซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้มีปฏิภาณแล้ว ได้บำเพ็ญกรรมที่ดียิ่งแด่พระศาสดาแล้ว ตั้งความปรารถนาไว้ว่า ในอนาคตกาล แม้เราก็พึงเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้มีปฏิภาณบ้างดังนี้ ได้รับการพยากรณ์จากพระศาสดาแล้ว ก็บำเพ็ญแก่กุศลกรรมจนตลอดชีวิตแล้ว ได้เสวยสมบัติทั้งสองในเทวโลกและมนุษยโลก. 
         ในพุทธุปบาทกาลนี้ เขาได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกรุงสาวัตถี เพราะมีปริพาชิกาเป็นมารดา ในกาลต่อมาจึงได้ปรากฏว่า ปริพาชก และมีชื่อว่าวังคีสะ เล่าเรียนไตรเพทแล้ว เพราะไตรเพทนั้นจึงทำอาจารย์ให้ยินดี ได้ศึกษามนต์ชนิดที่สามารถจะรู้ได้ด้วยหัวกะโหลก เอาเล็บดีดหัวกะโหลกแล้วย่อมรู้ว่า สัตว์ผู้นี้ได้บังเกิดในกำเนิดโน้น. 
         พวกพราหมณ์พากันคิดว่า อาชีพนี้เป็นทางเครื่องเลี้ยงชีวิตของพวกเรา จึงพาวังคีสะนั้นท่องเที่ยวไปในหมู่บ้าน ตำบลและตัวมือง. วังคีสะประกาศให้ผู้คนนำเอาศีรษะ เฉพาะของพวกคนผู้ตายไปแล้ว ภายในขอบเขต ๓ ปีมาแล้วเอาเล็บดีดแล้วกล่าวว่า สัตว์ผู้นี้บังเกิดแล้วในกำเนิดโน้น ดังนี้แล้วให้ชนเหล่านั้นนำเอามา เพื่อกำจัดตัดความสงสัยของมหาชนเสียแล้วก็ให้หัวกะโหลกบอกถึงคติของตนของตน. ด้วยเหตุนั้น มหาชนจึงเลื่อมใสอย่างยิ่งในตัวเขา. 
               เขาอาศัยมนต์อันนั้นย่อมได้เงิน ๑๐๐ กหาปณะบ้าง ๑,๐๐๐ กหาปณะบ้างจากมือของมหาชน. พวกพราหมณ์อาศัยวังคีสะพากันเที่ยวไปแล้วตามความสบายใจ. 
               วังคีสะได้สดับพระคุณทั้งหลายของพระศาสดาแล้ว ได้มีความประสงค์จะเข้าไปเฝ้าพระศาสดา. พวกพราหมณ์พากันห้ามว่า พระสมณโคดมจักเอามายาเข้ากลับใจท่านเสีย. 
               วังคีสะไม่เชื่อคำของพราหมณ์เหล่านั้น เข้าไปเฝ้าพระศาสดา กระทำการปฏิสันถารแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. 
               พระศาสดาตรัสถามเขาว่า วังคีสะ เธอรู้ศิลปะอะไรบ้าง. 
               วังคีสะกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ใช่แล้ว ข้าพระองค์ รู้มนต์อย่างหนึ่งชื่อว่ามนต์สำหรับดีดหัวกะโหลก โดยการที่ข้าพระองค์เอาเล็บดีดศีรษะแม้ของคนที่ตายแล้วภายในระยะเวลา ๓ ปี ก็จะรู้ถึงที่ที่เขาไปบังเกิดแล้วได้. 
               ลำดับนั้น พระศาสดารับสั่งให้ภิกษุนำเอาศีรษะของผู้ที่บังเกิดในนรก ๑ ศีรษะ ศีรษะของคนที่บังเกิดในหมู่มนุษย์ ๑ ศีรษะ ศีรษะของผู้บังเกิดในหมู่เทวดา ๑ ศีรษะ ศีรษะของผู้ปรินิพพานแล้ว ๑ ศีรษะให้แสดงแก่วังคีสะนั้น. 
               เขาดีดศีรษะที่ ๑ แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สัตว์ผู้นี้ไปบังเกิดในนรก. 
               พระศาสดาตรัสว่า ดีละ วังคีสะ เธอเห็นแล้วด้วยดี แล้วตรัสถามอีกว่า สัตว์ผู้นี้ไปบังเกิดที่ไหน? 
               วังคีสะกราบทูลว่า ในมนุษยโลก พระเจ้าข้า. 
               พระศาสดาตรัสถามอีกว่า ได้กราบทูลที่บังเกิดของสัตว์ทั้ง ๓ ได้อย่างถูกต้อง. 
               แต่เมื่อเอาเล็บดีดศีรษะของผู้ปรินิพพานแล้ว ก็ไม่เห็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย. 
               ลำดับนั้น พระศาสดาจึงตรัสถามเขาว่า วังคีสะไม่สามารถหรือ? 
               วังคีสะกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระองค์คอยดูนะ ขอให้ข้าพระองค์พิจารณาดูก่อน ดังนี้แล้วแม้จะพยายามร่ายมนต์กลับไปกลับมา ก็ไม่สามารถจะรู้ศีรษะของพระขีณาสพด้วยมนต์ภายนอก. 
               ลำดับนั้น เหงื่อได้ไหลออกจากศีรษะของเขาแล้ว. เขาละอายใจได้แต่นิ่งเงียบไป. 
               ลำดับนั้น พระศาสดาจึงได้ตรัสกะเขาว่า ลำบากใจนักหรือ วังคีสะ.
                วังคีสะกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ใช่แล้ว ข้าพระองค์ไม่สามารถที่จะรู้ถึงที่บังเกิดของศีรษะนี้ได้ ถ้าพระองค์ทรงทราบขอจงตรัสบอก. 
                พระศาสดาตรัสว่า วังคีสะ เรารู้ถึงศีรษะนี้ได้อย่างดี เรารู้ยิ่งกว่านี้ ดังนี้แล้วได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถานี้ว่า 
               ผู้ใดรู้การจุติและการอุบัติของปวงสัตว์ได้ทั้งหมด 
                เรากล่าวผู้นั้น ซึ่งไม่ขัดข้อง ไปดีแล้ว รู้แล้วว่า เป็นพราหมณ์. เทวดา คนธรรพ์และหมู่มนุษย์ ไม่รู้ทางไปของผู้ใด เรากล่าวผู้นั้น ผู้สิ้นอาสวะ เป็นพระอรหันต์ ว่าเป็นพราหมณ์ ดังนี้. 
               วังคีสะนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้นขอพระองค์จงประทานวิชานั้นให้แก่พระองค์เถิดแล้ว แสดงความเคารพนั่งเฝ้าพระศาสดาแล้ว. 
               พระศาสดาตรัสว่า เราจะให้แก่คนที่มีเพศเสมอกับเรา. 
               วังคีสะคิดว่า เราควรทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเรียนมนต์นี้ให้ได้ จึงเข้าไปหาพวกพราหมณ์พูดว่า เมื่อเราออกบวช พวกท่านก็อย่าคิดอะไรเลย เราเรียนมนต์แล้วจักได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีปทั้งสิ้น แม้พวกท่านก็จักมีชื่อเสียงไปกับเรานั้นด้วย. 
               วังคีสะนั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว ทูลขอบวชเพื่อต้องการมนต์. 
               ก็ในเวลานั้น พระนิโครธกัปปเถระอยู่ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งเธอว่า นิโครธกัปปะ เธอจงบวชวังคีสะผู้นี้ด้วยเถิด ดังนี้แล้วทรงบอก (สมถะ) กัมมัฏฐานคืออาการ ๓๒ และวิปัสสนากัมมัฏฐานให้แล้ว. 
               พระวังคีสะนั้น เมื่อกำลังสาธยายกัมมัฏฐานคืออาการ ๓๒ อยู่ ก็เริ่มบำเพ็ญวิปัสสนากัมมัฏฐานแล้ว. พวกพราหมณ์เข้าไปหาวังคีสะนั้นแล้ว ถามว่า วังคีสะผู้เจริญ ท่านเล่าเรียนศิลปะในสำนักของพระสมณโคดมจบแล้วหรือ. 
               พระวังคีสะตอบว่า ใช่ เราเล่าเรียนจบแล้ว. 
               พวกพราหมณ์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงมา พวกเราจักไปกัน ประโยชน์อะไรด้วยการศึกษาศิลปะ. 
               พระวังคีสะตอบว่า พวกท่านจงไปกันเถิด เราไม่มีกิจที่จะพึงทำร่วมกับพวกท่าน. 
               พวกพราหมณ์กล่าวว่า บัดนี้ ท่านตกอยู่ภายใต้อำนาจของพระสมณโคดม พระสมณโคดมใช้มายากลับใจท่านเสียแล้ว พวกเราจักทำอะไรในสำนักของท่านได้ ดังนี้แล้ว จึงหลีกไปตามหนทางที่มาแล้วนั่นเอง. 
         พระวังคีสะเจริญวิปัสสนาแล้วกระทำให้แจ้งพระอรหัต. 
         พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้วอย่างนั้น ก็ระลึกถึงบุรพกรรมของตน เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
         ข้าพเจ้าจักพรรณนาเฉพาะบทที่มีเนื้อความยากเท่านั้น. 
         บทว่า ปภาหิ อนุรญฺชนฺโต ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระพระองค์นั้น ทรงเปล่งปลั่ง รุ่งเรือง สวยงาม โชติช่วงด้วยพระรัศมี มีแสงสว่างด้วยฉัพพรรณรังสี มีสีเขียวและสีเหลืองเป็นต้น. 
         บทว่า เวเนยฺยปทุมานิ โส ความว่า พระอาทิตย์คือพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ทรงยังดอกปทุมคือเวไนยชนให้ตื่น ให้เบิกบานโดยพิเศษด้วยรัศมีแห่งพระอาทิตย์ กล่าวคือพระดำรัสของพระองค์ ได้แก่ทรงกระทำให้ผลิผลได้ ด้วยการบรรลุอรหัตมรรคแล. 
         บทว่า เวสารชฺเชหิ สมฺปนฺโน ความว่า สมบูรณ์ พรั่งพร้อมคือประกอบพร้อมแล้วด้วยจตุเวสารัชชญาณ. 
               สมความที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า :- 
               พระพุทธเจ้าทรงแกล้วกล้าเป็นอย่างดีในฐานะ ๔  เหล่านี้คือ ในเมื่อมีอันตราย ในธรรมเครื่องนำออก 
               จากวัฏฏะ ในความเป็นพระพุทธเจ้าและในการทำ อาสวะให้สิ้นไป ดังนี้. 
         บทว่า วาคีโส วาทิสูทใน ความว่า เป็นใหญ่คือเป็นประธานของพวกนักปราชญ์ คือพวกบัณฑิต 
         พึงทราบว่า ควรจะกล่าวว่า วาทีโส แต่กล่าวไว้อย่างนั้น เพราะทำ อักษรให้เป็น อักษร. 
         ชื่อว่าวาทิสูทนะ เพราะทำอรรถะของตนให้เป็นอรรถะอื่น คือให้ไหลออก ได้แก่ทำให้ชัดเจน. 
         บทว่า มารมสนา มีวิเคราะห์ว่า ชื่อว่ามารมสนะ เพราะถูกต้อง ลูบคลำ ทำลายมาร ๕ มีขันธมารเป็นต้นได้. 
         บทว่า ทิฏฐิสูทนา มีวิเคราะห์ว่า ชื่อว่าทิฏฐิสุทนะ เพราะความเห็นทิฏฐิคือจริงตามที่โลกกล่าว ย่อมหลั่งไหลออก คือแสดงถึงความไหลออก. 
         บทว่า วิสฺสามภูมิ สนฺตานิ ความว่า ภูมิเป็นที่พัก ที่เป็นที่หยุดอยู่ ได้แก่ที่เป็นที่เข้าไปสงบของสัตว์ผู้ต้องสืบต่อ ผู้ลำบากอยู่ในสงสารสาครทั้งสิ้น ด้วยการบรรลุมรรคมีโสตาปัตติมรรคเป็นต้น. 
         บทว่า ตโตหํ วิหตารมฺโภ ความว่า เพราะได้เห็นพระสรีระของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น เราฆ่าความหัวดื้อ ทำความแข่งดีให้พินาศไป กำจัดมานะเสียไม่มัวเมาแล้ว จึงอ้อนวอนขอการบวชแล้ว. 
         คำที่เหลือมีเนื้อความพอจะรู้ได้โดยง่ายทีเดียวแล.
จบอรรถกถาวังคีสเถราปทานจตุเวสารัชชญาณ.

ไม่มีความคิดเห็น: