ลำดับนี้จงสดับอปทานของพระเถรีต่อไป
[๑๔๑] เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโกนาคมน์ ประทับอยู่ที่สังฆาราม
เราซึ่งเป็นหญิงสหายกัน ๓ คน ได้ถวายวิหารทาน เราทั้ง ๓ คน
เกิดในเทวโลก ๑๐ ครั้ง ๑๐๐ ครั้ง ๑๐๐๐ ครั้ง ในมนุษยโลกไม่จำ
ต้องพูดถึง ในเทวโลกเราเป็นคนมีฤทธิ์มาก ในมนุษย์ก็ไม่จำต้อง
พูดถึง ดิฉันเป็นนางแก้ว พระมเหสี ของพระเจ้าจักรพรรดิ ดิฉัน
สร้างสมกุศลไว้ในชาตินั้น ชน ๓ คนคือ นางธนัญชานี นางเขมา
และดิฉัน มีสกุลและบุตรอันสำเร็จดีแล้ว ได้สร้างพระอารามอย่าง
สวยงาม ประดับประดาด้วยเครื่องตบแต่งทุกอย่างเสร็จแล้ว มอบ
ถวายแด่สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เป็นผู้เบิกบานใจเพราะกรรม
นั้นส่งผล ในกำเนิดที่ดิฉันเกิดคือสวรรค์ ดิฉันก็ถึงความเป็นหญิง
เลิศ และในมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ
ผู้เป็นพงศ์พันธุ์พรหม มีพระยศใหญ่ ประเสริฐกว่านักปราชญ์
ทั้งหลาย ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในกัปนี้เอง พระเจ้ากาสี พระนาม
ว่ากิกี บรมกษัตริย์ในพระนครพาราณสีอันเป็นบุรีอุดม เป็นอุปัฏฐาก
ของพระพุทธองค์ในครั้งนั้น
![]() |
|
ท้าวเธอมีพระราชธิดา ๗ พระองค์
พระราชธิดาเหล่านั้นยังสาว ดำรงอยู่ในความสุข พอพระทัยในการ
อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ประพฤติพรหมจรรย์ ดิฉันเป็นพระสหายของ
พระราชธิดาเหล่านั้น เป็นหญิงมั่นคงในศีล ได้ถวายทานโดยเคารพ
ประพฤติพรหมจรรย์ในเรือนนั่นเอง เพราะกรรมที่ทำไว้ดีนั้นและ
เพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์
ชั้นดาวดึงส์ จุติจากดาวดึงส์แล้วไปสวรรค์ชั้นยามา จุติจากสวรรค์
ชั้นยามานั้นแล้ว ไปชั้นดุสิต และจุติจากดุสิตไปชั้นนิมมานรดีแล้ว
ก็ไปชั้นวสวัตดี
ดิฉันผู้ประกอบด้วยบุญกรรม เกิดในภพใดชาติใด
ในภพนั้นชาตินั้นก็ได้เป็นพระมเหสีของพระมหากษัตริย์ ดิฉันจุติ
จากสวรรค์ชั้นวสวัตดีนั้นแล้วเกิดในมนุษย์ ได้เป็นพระมเหสีของ
พระเจ้าจักรพรรดิ และพระเจ้าแผ่นดินประเทศเอกราช เสวยสมบัติ
ทั้งในสวรรค์และมนุษย์ มีความสุขทุกชาติ ท่องเที่ยวไปในชาติเป็น
อันมาก เหตุปัจจัยและมูลนั้นๆ เหมาะสมในพระศาสนา นั่นคือ
สโมธานข้อต้น สโมธานของดิฉันผู้ยินดีในธรรมนั้นดับสนิทแล้ว
ดิฉันเผากิเลสเสียแล้ว ถอนภพขึ้นได้หมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูก
พันเหมือนช้างพังตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่ดิฉันได้
มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดนี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ
วิชชา ๓ ดิฉันบรรลุแล้วโดยลำดับ พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จ
แล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖
ดิฉันได้ทำให้แจ้งแล้ว
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระสุเมธาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สุเมธาเถริยาปทาน.
เมขลทายิกาเถริยาปทานที่ ๒
ว่าด้วยผลแห่งการถวายสายสะอิ้ง
[๑๔๒] ดิฉันได้สร้างพระสถูปของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ ดิฉัน
ได้ถวายสายสะอิ้งเพื่อนวกรรมของพระศาสดา และเมื่อพระมหา-
สถูปสำเร็จแล้ว ดิฉันเลื่อมใสต่อพระมุนีผู้เป็นนาถะของโลก ได้
ถวายสายสะอิ้งอีกด้วยมือทั้งสองของตนในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้ ดิฉัน
ได้ถวายสายสะอิ้งในครั้งนั้น ด้วยกรรมนั้น ดิฉันไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการสร้างพระสถูป ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอน
ภพขึ้นได้ทั้งหมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกดังช้างพังตัดเชือกแล้ว
เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่ดิฉันได้มายังสำนักของพระพุทธเจ้าผู้
ประเสริฐสุดนี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา ๓ ดิฉันบรรลุแล้วโดย
ลำดับ พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ
ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ดิฉันได้ทำให้แจ้งชัดแล้ว
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระเมขลทายิกาภิกษุนีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ เมขลทายิกาเถริยาปทาน.
มัณฑปทายิกาเถริยาปทานที่ ๓
ว่าด้วยผลแห่งการสร้างมณฑป
[๑๔๓] ดิฉันได้ให้นายช่างสร้างมณฑปถวายพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนา-
คมน์ และได้สร้างพระสถูปอันบวร ของพระพุทธเจ้าผู้เป็นพงศ์
พันธุ์ ของโลก ดิฉันไปยังชนบท นิคมหรือราชธานีใดๆ ย่อมได้รับ
การบูชาในที่นั้นๆ ทุกแห่ง นี้เป็นผลของบุญกรรม ดิฉันเผากิเลส
ทั้งหลายแล้ว ....
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระมัณฑปทายิกาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ มัณฑปทายิกาเถริยาปทาน.
สังกมนทาเถริยาปทานที่ ๔
ว่าด้วยผลแห่งการทอดตนเป็นทางเดิน
[๑๔๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่า โกณฑัญญะ ผู้ประเสริฐกว่าโลก
คงที่ ทรงช่วยสัตว์ให้ข้ามวัฏสงสาร เสด็จพระดำเนินไปที่ถนน
ดิฉันออกจากเรือนแล้วนอนคว่ำหน้า ครั้งนั้น สมเด็จพระโลกเชษฐ
ผู้ทรงพระกรุณา ได้เสด็จเหยียบไปบนศีรษะดิฉัน ครั้นแล้ว พระองค์
ก็ได้เสด็จเลยไป ดิฉันได้ไปสวรรค์ชั้นดุสิต ก็เพราะจิตเลื่อมใสนั้น
ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ....
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระสังกมนทาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สังกมนทาเถริยาปทาน.
นฬมาลิกาเถริยาปทานที่ ๕
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกอ้อบูชาพระ
[๑๔๕] ดิฉันได้เกิดเป็นนางกินรีอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำจันทภาคา ครั้งนั้น ดิฉันได้พบ
พระสยัมภูพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี ผู้ไม่ทรงพ่ายแพ้อะไร ดิฉันมีจิต
เลื่อมใสโสมนัส เกิดปีติ ประนมอัญชลีแล้ว เก็บเอาดอกอ้อมา
บูชาพระสยัมภู เพราะกรรมที่ทำไว้ดีนั้น และเพราะการตั้งเจตน์
จำนงไว้ ดิฉันละร่างนางกินรีแล้ว ได้ไปสู่คณะไตรทศ ได้เป็น
พระอัครมเหสีของท้าวสักกเทวราช ๓๖ พระองค์ ได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๐ พระองค์ ดิฉันเสวยความดีแล้วก็ได้
ออกบวชเป็นบรรพชิต ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพขึ้นได้
หมดแล้ว อาสวะของดิฉันสิ้นไปหมดแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก
ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้ ดิฉันได้บูชาด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น
ดิฉันไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ดิฉันเผากิเลสทั้งหลาย
แล้ว ....
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระนฬมาลิกาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ นฬมาลิกาเถริยาปทาน.
เอกปิณฑปาตทายิกาเถริยาปทานที่ ๖
ว่าด้วยผลแห่งการถวายอาหารบิณฑบาต
[๑๔๖] ในพระนครพันธุมดี มีพระบรมกษัตริย์พระองค์หนึ่งพระนามว่า
พันธุมา ดิฉันเป็นพระอัครมเหสีของท้าวเธอ ดิฉันย่อมพูดกะคน
บางคน ครั้งนั้น ดิฉันอยู่ในที่ลับ นั่งคิดอย่างนี้ว่า ก็กุศลที่จะพึงถือ
เอาไปที่เราทำไว้ไม่มีเลย เราจะต้องไปนรกที่มีความเร่าร้อนใหญ่ยิ่ง
เผ็ดร้อน ร้ายกาจ ทารุณ โดยแน่นอน ในข้อนี้เราไม่มีความสงสัยเลย
ดังนี้ ดิฉันเข้าไปเฝ้าพระราชา แล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ ขอพระองค์
จงพระราชทานสมณะให้หม่อมฉันสักองค์หนึ่งเถิด หม่อมฉัน
จักนิมนต์ให้ท่านฉัน พระมหาราชาได้พระราชทานสมณะผู้มีอินทรีย์
อันอบรมแล้วให้ดิฉัน ดิฉันรับบาตรของท่านแล้ว นิมนต์ท่านให้ฉัน
จนอิ่มหนำ ด้วยข้าวที่ระคนด้วยน้ำนมและทธิ
ดิฉันบูชาด้วยข้าวที่
ระคนด้วยน้ำนมและทธิแล้ว ทำของหอมและเครื่องไล้ทา เอาร่างแห
ปิดแล้วเอาผ้าเหลืองคลุมไว้ ดิฉันนึกถึงอารมณ์ของดิฉันนี้ตราบเท่า
สิ้นชีวิต ยังจิตให้เลื่อมใสในกรรมนั้นแล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ดิฉันได้เป็นพระอัครมเหสีของท้าวสักรินทเทวราช ๓๐ พระองค์
สิ่งที่ดิฉันปรารถนาด้วยใจ ย่อมเกิดสมดังประสงค์ ดิฉันได้เป็น
พระอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๐ พระองค์ ดิฉันเป็นหญิงสร้าง
ตัวเอง ท่องเที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ ดิฉันพ้นจากเครื่องผูกพันทุก
อย่างแล้ว มีการอุบัติไปปราศแล้ว มีอาสวะสิ้นไปหมดแล้ว บัดนี้
ภพใหม่ไม่มีอีก ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ ดิฉันได้ให้ทานใดในกาลนั้น
ด้วยทานนั้น ดิฉันจึงไม่รู้จักทุคติเคย นี้เป็นผลแห่งบิณฑบาต ดิฉัน
เผากิเลสทั้งหลายแล้ว ....
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระเอกปิณฑปาตทายิกาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ เอกปิณฑปาตทายิกาเถริยาปทาน.
กฏัจฉุภิกขาทายิกาเถริยาปทานที่ ๗ ว่าด้วยผลแห่งการถวายภิกษาหารหนึ่งทัพพี
[๑๔๗] ดิฉันได้ตักเอาภิกษาทัพพีหนึ่ง ถวายแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด พระนามว่าติสสะ บรมศาสดา ซึ่งกำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตอยู่ พระ สัมพุทธเจ้าพระนามว่าติสสบรมศาสดา ผู้นำชั้นเลิศของโลก ทรงรับ แล้ว ประทับยืนทำอนุโมทนาแก่ดิฉันกลางถนนว่า ท่านถวายภิกษา ทัพพีหนึ่งแล้ว จักไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จักได้เป็นพระอัครมเหสี ของท้าวสักรินทเทวราช ถึง ๓๖ พระองค์ จักได้เป็นพระอัครมเหสี ของพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐ พระองค์ ท่านจักได้สิ่งที่ใจปรารถนาในกาล ทั้งปวง ท่านเสวยสมบัติแล้ว จักเป็นผู้ไม่มีความห่วงใยออกบวช กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะนิพพาน พระติสสสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้นำชั้นเลิศของโลก เป็นนักปราชญ์ ครั้นตรัสดังนี้ แล้วก็เหาะขึ้นสู่นภากาศ เหมือนพระยาหงส์บินอยู่ในอัมพร ฉะนั้น ทานดิฉันได้ให้ดีแล้วทีเดียว ยัญสมบัติดิฉันได้บูชาดีแล้ว ดิฉัน บรรลุบทอันไม่หวั่นไหวได้ ก็เพราะถวายภิกษาทัพพีหนึ่ง ในกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้ ดิฉันได้ถวายทานใดในกาลนั้น ด้วยทานนั้น ดิฉันไม่รู้จัก ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายภิกษา ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระกฏัจฉุภิกขาทายิกาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ กฏัจฉุภิกขาทายิกาเถริยาปทาน.
สัตตอุปลมาลิกาเถริยาปทานที่ ๘ ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกอุบล ๗ ดอก
[๑๔๘] ในพระนครอรุณวดี มีพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งพระนามว่าอรุณ ดิฉันเป็นพระอัครมเหสีของท้าวเธอ ดิฉันร้อยพวงมาลัยอยู่ ได้หยิบ เอาดอกอุบลมีกลิ่นหอมเหมือนทิพย์มา ๗ ดอก แล้วนั่งลงในปราสาท อันประเสริฐ คิดขึ้นในขณะนั้นเองว่า ประโยชน์อะไร ด้วยพวงมาลัย เหล่านี้ ซึ่งเราเอาประดับศีรษะแก่เรา เราเอาบูชาในพระญาณของ พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด จะประเสริฐกว่า ชนทั้งหลายเขาพากัน นับถือบูชาพระสัมพุทธเจ้า เราจะนั่งที่ใกล้ประตู จักบูชาพระสัมพุทธเจ้าผู้มหามุนี ในเวลาที่พระองค์เสด็จมาพระพิชิตมารผู้งดงามดังต้น รกฟ้าขาว หรือมิฉะนั้น ก็เปรียบเหมือนไกรสรมฤคราช พร้อมด้วย พระภิกษุสงฆ์ เสด็จมาตามถนน
ดิฉันเห็นพระรัศมีของพระพุทธเจ้า แล้ว ก็ร่าเริงสลดใจ ยังไม่ทันถึงประตูก็บูชาพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ สุด ดิฉันทำดอกอุบลอันบานเต็มที่ ๗ ดอก ให้เป็นของกั้นแดนใน อัมพร ดอกอุบลเหล่านั้น กั้นแดดอยู่เหนือพระเศียรพระพุทธเจ้า ดิฉันมีจิตประกอบด้วยปีติ ดีใจ เกิดโสมนัส ประนมอัญชลี ยังจิตให้ เลื่อมใสในกาลนั้น แล้วได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เหนือศีรษะของ ดิฉันเขากั้นเศวตฉัตรขนาดใหญ่ กลิ่นหอมดังกลิ่นทิพย์ฟุ้งไป นี้เป็น ผลแห่งดอกอุบล ๗ ดอก บางครั้ง เมื่อดิฉันถูกหมู่ญาตินำเอาออกไป ครั้งนั้น เศวตฉัตรคันใหญ่ย่อมกั้นแดดไว้ทั่วบริษัทของดิฉัน ดิฉัน ได้เป็นพระอัครมเหสีของท้าวสักรินทเทวราช ๗๐ พระองค์ ดิฉันเป็น อิสระทุกภพ เที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ ได้เป็นพระอัครมเหสีของ พระเจ้าจักรพรรดิ ๖๓ พระองค์ ชนทั้งหลายประพฤติตามดิฉันทุกคน
ดิฉันมีถ้อยคำน่าเชื่อถือ ผิวพรรณของดิฉันเหมือนดอกอุบล และ กลิ่นก็ฟุ้งไปเหมือนกลิ่นอุบลหอม ดิฉันไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง พุทธบูชา ดิฉันเป็นผู้ฉลาดในอิทธิบาท ยินดีในการเจริญโพชฌงค์ มี ความบริบูรณ์ในอภิญญา นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ดิฉันเป็นผู้ฉลาดใน สติปัฏฐาน มีสมาธิฌานเป็นโคจรขวนขวายในสัมมัปธาน นี้เป็นผล แห่งพุทธบูชา ความเพียรของดิฉันนำเอาธุระใหญ่น้อยไป นำเอา ธรรมที่เป็นแดนเกษมจากโยคะมาให้ ดิฉันมีอาสวะสิ้นไปหมดแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก ในกัปที่ ๓๑ แต่กัปนี้ ดิฉันได้เอาดอกไม้บูชาใด ด้วยการบูชานั้น ดิฉันจึงไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระสัตตอุปลมาลิกาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สัตตอุปลมาลิกาเถริยาปทาน
ปัญจทีปิกาเถริยาปทานที่ ๙ ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยประทีป ๕ ดวง
[๑๔๙] ครั้งนั้น ดิฉันเป็นหญิงนักท่องเที่ยวอยู่ในพระนครหงสวดี ดิฉัน ต้องการกุศล จึงเที่ยวไปสู่อารามหนึ่งจากอารามหนึ่ง ได้พบไม้โพธิ์ อันอุดม วันกาฬปักษ์ ยังจิตให้เลื่อมใสในไม้โพธิ์นั้นแล้ว นั่งลง ที่โคนไม้โพธิ์ ดิฉันตั้งจิตเคารพประนมอัญชลีเหนือเศียรเกล้า สำแดงความโสมนัสแล้วคิดอย่างนี้ในขณะนั้นว่า ถ้าพระพุทธเจ้า มีพระคุณนับไม่ได้ ไม่มีบุคคลเปรียบเสมอไซร้ ก็ขอให้ทรง แสดงปาฏิหาริย์แก่เราเถิด ขอไม้โพธิ์จงเปล่งรัศมี ทันใดนั้นเอง ไม้โพธิ์ ก็ได้โพลงไปทั่วพร้อมกับที่ดิฉันนึก รัศมีสำเร็จด้วยสีทอง ล้วนไพโรจน์ไปทั่วทิศ
ดิฉันนั่งอยู่ที่โคนโพธิ์นั้น ๗ คืน ๗ วัน เมื่อถึงวันเป็นวันคำรบ ๗ ดิฉันได้ทำการบูชาด้วยประทีป ประทีป ๕ ดวงลุกโพลงล้อมรอบอาสนะ ครั้งนั้น ประทีปของดิฉันลุกโพลงอยู่ จนถึงเวลาพระอาทิตย์อุทัย เพราะกรรมที่ทำไว้ดีนั้น และเพราะการ ตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ วิมานที่บุญกรรมสร้างให้ดิฉันอย่างสวยงามในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น เรียกว่า "ปัญจทีปวิมาน" ปัญจทีปวิมานนั้นสูง ๑๐๐ โยชน์ กว้าง ๖๐ โยชน์ ประทีปนับไม่ถ้วนส่องสว่างล้อมดิฉันอยู่ ทั่วเทพพิภพ โชติช่วงด้วยแสงประทีป คนที่หันหน้าไปทางทิศบูรพา ถ้าดิฉัน ปรารถนาที่จะดู
ดิฉันย่อมเห็นได้ด้วยจักษุทุกคน ทั้งเบื้องบน เบื้องล่างและเบื้องขวาง ดิฉันปรารถนาจะเห็นกรรมดีและกรรมชั่ว ที่คนทำในที่มีประมาณเท่าใด ที่มีประมาณเท่านั้น ย่อมไม่มีต้นไม้ หรือภูเขามากั้นกาง ดิฉันได้เป็นพระอัครมเหสีของท้าวสักรินท- เทวราช ๘๐ พระองค์ ได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๐๐ พระองค์ ดิฉันเข้าถึงกำเนิดนั้นๆ ประทีปตั้งแสนๆ ส่องแสง ล้อมดิฉัน ดิฉันจุติจากเทวโลกแล้ว เกิดในครรภ์มารดา เมื่อดิฉัน อยู่ในครรภ์มารดา จักษุของดิฉันไม่หลับ ประทีปตั้งจำนวนแสนดวง ส่องสว่างอยู่ในเรือนประสูติของดิฉัน ผู้พร้อมเพรียงด้วยบุญกรรม นี้เป็นผลแห่งประทีป ๕ ดวง เมื่อถึงภพสุดท้าย
ดิฉันกลับฉันทะ ที่มีในใจ เห็นนิพพานอันเป็นสภาวะเยือกเย็น ไม่มีชราและมรณะ พอเกิดได้อายุ ๗ ขวบ ดิฉันได้บรรลุอรหัต พระพุทธเจ้าพระนาม ว่าโคดม ทรงทราบถึงคุณของดิฉัน จึงให้ดิฉันอุปสมบท ดิฉันเข้า ฌานอยู่ในมณฑป โคนไม้ ปราสาท ถ้ำ หรือเรือนอันว่างเปล่าก็ดี ประทีป ๕ ดวงส่องแสงสว่างให้ดิฉัน ทิพพจักษุของดิฉันบริสุทธิ์ ดิฉันฉลาดในสมาธิ ถึงความบริบูรณ์ในอภิญญา นี้เป็นผลแห่ง ประทีป ๕ ดวง ดิฉันเป็นผู้อยู่จบพรหมจรรย์ทั้งปวง ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ ข้าแต่พระมหาวีระผู้มีพระจักษุ หม่อมฉันชื่อว่าปัญจทีปา ขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์ ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ ดิฉันได้ถวายประทีปใดในครั้งนั้น ด้วยการถวายประทีปนั้น ดิฉัน ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งประทีป ๕ ดวง ดิฉันเผากิเลส ทั้งหลายแล้ว ...
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระปัญจทีปิกาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปัญจทีปิกาเถริยาปทาน.
อุทกทายิกาเถริยาปทานที่ ๑๐ ว่าด้วยผลแห่งการถวายน้ำ
[๑๕๐] ดิฉันเป็นหญิงหาบน้ำขายอยู่ในพระนครพันธุมดี เลี้ยงชีพด้วยการ หาบน้ำ เลี้ยงดูเด็กๆ ก็ด้วยการหาบน้ำนั้น ดิฉันไม่มีไทยธรรม ดิฉันเข้าไปยังซุ้มน้ำแล้ว ตั้งน้ำไว้ถวายในบุญเขตอันยอดเยี่ยม เพราะกรรมที่ได้ทำไว้ดีแล้วนั้น ดิฉันจึงได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ วิมานที่บุญกรรมสร้างให้แก่ดิฉันอยู่สวยงาม ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นั้น ถูกนิรมิตขึ้นก็เพราะการหาบน้ำ ก็ครั้งนั้น ดิฉันประเสริฐกว่า พวกนางอัปสรตั้งพัน ดิฉันครอบงำนางอัปสรเหล่านั้นทั้งหมดด้วย ฐานะ ๑๐ ประการ ดิฉันได้เป็นพระอัครมเหสีของท้าวสักรินทเทวราช ๕๐ พระองค์ ได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๐ พระองค์
ดิฉันท่องเที่ยวอยู่แต่ในสองภพ คือ เทวดาและมนุษย์ ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายน้ำ บนยอดเขา ยอดไม้ ในอากาศ หรือพื้นดินก็ตาม ดิฉันต้องการน้ำเมื่อใด ดิฉันย่อมได้ โดยเร็วพลันเมื่อนั้น ทิศที่ไม่มีฝนมีอยู่ ก็เพราะดิฉันเร่าร้อนระหาย น้ำแล้ว มหาเมฆรู้ความดำริของดิฉันย่อมยังฝนให้ตกลง ในบางครั้ง เมื่อดิฉันถูกหมู่ญาตินำเอาออกไป มหาเมฆได้ยังฝนให้ตกลง ใน คราวที่ดิฉันปรารถนาฝน ในสรีระของดิฉัน ไม่มีความเร่าร้อนหรือ ความกระวนกระวายเลย และละอองธุลีก็ไม่มีในกายของดิฉัน นี้เป็นผลแห่งการให้น้ำเป็นทาน ทุกวันนี้ ดิฉันมีใจบริสุทธิ์ ปราศจากใจที่ชั่วช้า มีอาสวะสิ้นไปหมดแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ ดิฉันได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น ดิฉันไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการให้น้ำเป็นทาน ดิฉันเผากิเลส ทั้งหลายหมดแล้ว ...
พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระอุทกทายิกาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อุทกทายิกาเถริยาปทาน.
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. สุเมธาเถริยาปทาน ๒. เมขลทายิกาเถริยาปทาน ๓. มัณฑปทายิกาเถริยาปทาน ๔. สังกมนทาเถริยาปทาน ๕. นฬมาลิกาเถริยาปทาน ๖. เอกปิณฑปาตทายิกาเถริยาปทาน ๗. กฏัจฉุภิกขาทายิกาเถริยาปทาน ๘. สัตตอุปลทายิกาเถริยาปทาน ๙. ปัญจทีปิกาเถริยาปทาน ๑๐. อุทกทายิกาเถริยาปทาน และในวรรคนี้ บัณฑิตคำนวณคาถาได้ ๑๓๐ คาถากึ่ง.
จบ สุเมธาวรรคที่ ๑


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น