![]() |
|
[๑๒๒] สมเด็จพระผู้นำมีพระนามไม่ทราม มีพระคุณนับไม่ได้พระนามว่า
ปทุมุตระ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระนามว่า
ปทุมุตระ ก็เพราะมีพระพักตร์เหมือนดอกปทุม มีพระฉวีวรรณ
งาม ไม่มีมลทิน เหมือนดอกปทุม ไม่เปื้อนด้วยโลก เหมือน
ดอกปทุมไม่เปื้อนด้วยน้ำ ฉะนั้น
ทั้งมีพระโอฐ มีกลิ่น
อุดม เหมือนกลิ่นในกลีบของดอกปทุม เพราะฉะนั้น พระองค์
จึงทรงพระนามว่า ปทุมุตระ พระองค์เป็นผู้เจริญกว่าโลก
ไม่ทรงถือพระองค์ เปรียบเสมือนเป็นนัยน์ตาให้คนตาบอด มีพระ
อิริยาบถสงบ เป็นที่ฝังพระคุณ เป็นที่รองรับกรุณาและมติถึงใน
ครั้งไหนๆ พระมหาวีรเจ้าพระองค์นั้น ก็เป็นผู้อันพรหมอสูรและ
เทวดาบูชา สูงสุดกว่าชนในท่ามกลางหมู่ชนที่เกลื่อนกล่นไปทั้ง
เทวดาและมนุษย์
เมื่อจะยังบริษัททั้งปวงให้ยินดีด้วยพระสำเนียง
อันเสนาะ และด้วยพระธรรมเทศนาอันเพราะพริ้ง จึงได้ชมสาวก
ของพระองค์ว่า ภิกษุอื่นที่พ้นกิเลสด้วยศรัทธา มีมติดี ขวนขวาย
ในการดูเรา เช่นกับวักกลิภิกษุนี้ ไม่มีเลย ครั้งนั้น เราเป็นบุตร
ของพราณ์ในพระนครหงสวดี ได้สดับพระพุทธภาษิตนั้น จึง
ชอบฐานันดรนั้น ครั้งนั้น เราได้นิมนต์พระตถาคตผู้ปราศจาก
มลทินพระองค์นั้น พร้อมด้วยพระสาวก ให้เสวยตลอด ๗ วัน
แล้วให้ครองผ้า เราหมอบศีรษะลงแล้วจมลงในสาครคืออนันตคุณ
ของพระศาสดาพระองค์นั้น เต็มเปี่ยมไปด้วยปีติ ได้กราบทูล
ดังนี้ว่า
ข้าแต่พระมหามุนี ขอให้พระองค์ได้เป็นเช่นกับภิกษุผู้
สัทธาธิมุติ ที่พระองค์ตรัสชมเชยว่า เลิศกว่าภิกษุผู้มีศรัทธาใน
พระศาสนานี้เถิด เมื่อเรากราบทูลดังนี้แล้ว พระมหามุนีผู้มี
ความเพียรใหญ่ มีพระทรรศนะมิได้มีเครื่องกีดกัน ได้ตรัสพระ
ดำรัสนี้ในท่ามกลางบริษัทว่า จงดูมาณพผู้นี้ ผู้นุ่งผ้าเนื้อเกลี้ยง
สีเหลือง มีอวัยวะอันบุญสร้างสมให้คล้ายทองคำ ดูดดื่มตา
และใจของหมู่ชนในอนาคตกาล มาณพผู้นี้จักได้เป็นพระสาวก
ของพระโคดมผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย
ฝ่ายสัทธาธิมุติ เขาเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตามจักเป็นผู้เว้นจาก
ความเดือดร้อนทั้งปวง รวบรวมโภคทรัพย์ทุกอย่าง มีความสุข
ท่องเที่ยวไป ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระศาสดามีนามชื่อว่าโคดม
ทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก
มาณพผู้นี้จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็น
โอรสอันธรรมเนรมิต จักเป็นสาวกของพระศาสดามีนามชื่อว่า
วักกลิ เพราะผลกรรมที่เหลือนั้น และเพราะตั้งเจตน์จำนงไว้ เรา
ละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรามีความสุขในที่ทุก
สถาน ท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ ได้เกิดในสกุลหนึ่งใน
พระนครสาวัตถี มารดาของเราถูกภัยปีศาจคุกคาม มีใจหวาดกลัว
จึงให้เราผู้ละเอียดอ่อนเหมือนเนยข้น นุ่มนิ่มเหมือนใบไม้อ่อนๆ
ซึ่งยังนอนหงาย ให้นอนลงแทบบาทมูลของพระผู้แสวงหาคุณอัน
ยิ่งใหญ่ กราบทูลว่า ข้าแต่พระโลกนาถ หม่อมฉันขอถวาย
ทารกนี้แด่พระองค์ ข้าแต่พระโลกนายก ขอพระองค์จงทรงเป็นที่
พึ่งของเขาด้วยเถิด ครั้งนั้น สมเด็จพระมุนีผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์
ผู้หวาดกลัว พระองค์ได้ทรงรับเราด้วยฝ่าพระหัตถ์อันอ่อนนุ่ม มี
ตาข่ายอันท่านกำหนดด้วยจักร จำเดิมแต่นั้นมา เราก็เป็นผู้ถูก
รักษาโดยพระพุทธเจ้า จึงเป็นผู้พ้นจากความป่วยไข้ทุกอย่าง อยู่
โดยสุขสำราญ
เราเว้นจากพระสุคตเสียเพียงครู่เดียวก็กระสัน พอ
อายุได้ ๗ ขวบ เราก็ออกบวชเป็นบรรพชิต เราเป็นผู้ไม่อิ่มด้วย
การดูพระรูปอันประเสริฐ เกิดพระบารมีทุกอย่าง มีดวงตาสีเขียว
ล้วน เกลื่อนกล่นไปด้วยวรรณสันฐานอันงดงาม ครั้งนั้น พระพิชิต
มารทรงทราบว่า เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า
ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วย
ต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์
เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น
และความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้
โดยง่าย
เราอันสมเด็จพระโลกนายกผู้แสวงหาประโยชน์พระองค์
นั้น ทรงพร่ำสอนอย่างนี้ ได้ขึ้นภูเขาคิชฌกูฏ เพ่งดูอยู่ที่ซอกเขา
พระพิชิตมารผู้มหามุนีประทับยืนอยู่ที่เชิงเขา เมื่อจะทรงปลอบโยน
เรา ได้ตรัสเรียกว่า วักกลิ เราได้ฟังพระดำรัสนั้นเข้าก็เบิกบาน
ครั้งนั้น เราวิ่งลงไปที่เงื้อมเขาสูงหลายร้อยชั่วบุรุษ แต่ถึงแผ่นดิน
ได้โดยสะดวกทีเดียว ด้วยพุทธานุภาพ พระผู้มีพระภาคทรงแสดง
พระธรรมเทศนา คือ ความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปแห่งขันธ์
ทั้งหลายอีก เรารู้ธรรมนั้นทั่วถึงแล้ว จึงได้บรรลุอรหัต ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคผู้มีพระปรีชาใหญ่ ทรงทำที่สุดแห่งจรณะ ทรง
ประกาศในท่ามกลางมหาบุรุษว่า เราเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่าย
สัทธาธิมุติ ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วย
กรรมนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา เราเผากิเลส
ทั้งหลายแล้ว ...
พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระวักกลิเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ วักกลิเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๔. กัจจายวรรค
๒. วักกลิเถราปทาน
๕๓๒. อรรถกถาวักกลิเถราปทาน
พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-
อปทานของท่านพระวักกลิเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า อิโต สตสหสฺสมฺหิ ดังนี้.
แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้บำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระชินวรพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ.
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในเรือนอันมีสกุล ในหังสวดีนคร บรรลุนิติภาวะแล้ว ได้ไปยังพระวิหารพร้อมกับพวกอุบาสกอุบาสิกา ซึ่งกำลังเดินทางไปเฝ้าพระศาสดา ไปถึงแล้วยืนอยู่ที่ท้ายบริษัท กำลังฟังธรรมอยู่ มองเห็นภิกษุรูปหนึ่งซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้เป็นศรัทธาธิมุต (คือหนักไปในความเชื่อ) แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงได้ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขตลอด ๗ วัน แล้วได้ตั้งปณิธานไว้แล้ว.
พระศาสดาทรงเห็นว่าเธอไม่มีอันตราย จึงได้ทรงพยากรณ์.
เขาได้บำเพ็ญกุศลกรรมไว้จนตลอดชีวิตแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก.
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ในกรุงสาวัตถี. มารดาบิดาได้ตั้งชื่อเขาว่า วักกลิ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กลิ นี้เป็นชื่อของโทษมีมลทินและตกกระเป็นต้น กลิคือโทษของผู้นั้นไปปราศแล้ว จากไปแล้ว เพราะเป็นเช่นกับก้อนทองคำที่ไล่มลทินแล้ว เหตุนั้น ผู้นั้นท่านจึงเรียกว่า วักกลิ เพราะลง ว อาคม.
วักกลินั้นเจริญวัยแล้ว เล่าเรียนไตรเพทจนจบในศิลปศาสตร์ของพวกพราหมณ์ทั้งหมด.
(วันหนึ่ง) เห็นพระศาสดา มองดูรูปกายสมบัติไม่อิ่ม จึงเที่ยวจาริกไปกับพระศาสดา เขาคิดว่า เราอยู่แต่ในบ้านก็จักไม่ได้เห็นพระศาสดาตลอดกาลเป็นนิตย์ ดังนี้แล้วจึงบวชในสำนักของพระศาสดา เว้นเวลาขบฉันและเวลากระทำสรีรกิจเท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือก็จะไปยืนอยู่ในที่ที่สามารถจะเห็นพระทศพลได้ ยอมละหน้าที่อื่นเสีย ไปเฝ้าดูอยู่แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างเดียวเท่านั้น.
พระศาสดาทรงคอยความแก่รอบแห่งญาณของเธอ ถึงเธอจะเที่ยวติดตามไปดูรูปหลายเวลา ก็มิได้ตรัสอะไรๆ จนถึงวันหนึ่งจึงตรัสว่า ดูก่อนวักกลิ จะมีประโยชน์อะไรด้วยการที่เธอต้องมาดูร่างกายอันเปื่อยเน่านี้ วักกลิเอย ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม ก็วักกลิเห็นธรรมอยู่ ก็ชื่อว่าเห็นเรา.
แม้เมื่อพระศาสดาตรัสสอนอยู่อย่างนี้ พระเถระก็ไม่อาจจะละการมองดูพระศาสดาแล้วไปในที่อื่นได้.
แต่นั้น พระศาสดาจึงทรงดำริว่า ภิกษุนั้นไม่ได้ความสังเวช จักไม่ได้ตรัสรู้แน่ พอใกล้วันเข้าพรรษา จึงทรงขับไล่พระเถระไปด้วยพระดำรัสว่า วักกลิ เธอจงหลีกไปเสียเถิด.
เธอถูกพระศาสดาทรงขับไล่แล้วจึงไม่สามารถจะอยู่ต่อพระพักตร์พระศาสดาได้ คิดว่าเราไม่ได้เห็นพระศาสดา จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม ดังนี้แล้วจึงขึ้นไปที่ปากเหวบนภูเขาคิชฌกูฏ.
พระศาสดาทรงทราบความเป็นไปนั้นของเธอแล้ว ทรงดำริว่า ภิกษุนี้เมื่อไม่ได้รับความเบาใจจากสำนักของเรา ก็จะพึงทำให้อุปนิสัยแห่งมรรคและผลพินาศไป ดังนี้แล้วทรงแสดงพระองค์ เปล่งพระโอภาส ตรัสพระคาถาว่า :-
ภิกษุผู้มากไปด้วยความปราโมทย์เลื่อมใสใน
พระพุทธศาสนา จะพึงบรรลุบทอันสงบ อัน
เข้าไประงับสังขารเป็นสุขได้ ดังนี้.
ทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า มานี่เถิด วักกลิ.
พระเถระได้เกิดปิติและโสมนัสใจเป็นกำลังว่า เราจะได้เห็นพระทศพลแล้ว ความไม่เสื่อมเราได้แล้ว ด้วยพระดำรัสว่า จงมา ดังนี้แล้วคิดว่า เราจะไปทางไหน แล้วไม่รู้หนทางที่ตนจะไปเฝ้า จึงไปในอากาศเฉพาะพระพักตร์พระศาสดา โดยเอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนภูเขา รำพึงถึงพระคาถาที่พระศาสดาได้ตรัสแล้วข่มปิติในอากาศนั้นแล บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ แล้ว.
เรื่องที่ว่ามานี้ มาในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย และในอรรถกถาธรรมบทแล.
ส่วนในอรรถกถานี้ นักศึกษาพึงทราบอย่างนี้ว่า
พระวักกลิพอได้รับพระโอวาทจากพระศาสดา โดยนัยเป็นต้นว่า กึ เต วกฺกลิ อิมินา ปูติกาเยน ทิฏฺเฐน ดูก่อนวักกลิ จะมีประโยชน์อะไร ด้วยการที่เธอต้องมาดูร่างกายอันเปื่อยเน่านี้ ดังนี้แล้วก็อยู่บนภูเขาคิชฌกูฏ เริ่มเจริญวิปัสสนา เพราะความที่เธอมีศรัทธาหนักมากไป วิปัสสนาจึงไม่หยั่งลงสู่วิถี.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว ได้ทรงประทานให้เธอชำระกัมมัฏฐานใหม่. พระวักกลินั้นไม่สามารถจะทำวิปัสสนาให้ถึงที่สุดได้เลยทีเดียว.
ต่อมาอาพาธเนื่องด้วยลมเกิดขึ้นแก่เธอ เพราะความบกพร่องแห่งอาหาร (ท้องว่าง).
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าเธอถูกอาพาธเนื่องด้วยโรคลมเบียดเบียน จึงเสด็จไปในที่นั้น เมื่อจะตรัสถาม จึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ เมื่อเธออยู่ในป่าใหญ่ ซึ่งเป็นที่
ปราศจากโคจร เป็นที่เศร้าหมอง ถูกโรคลมครอบงำ
จักทำอย่างไร.
พระเถระได้สดับพระดำรัสนั้นแล้ว จึงกราบทูลด้วยคาถา ๔ คาถาว่า
ข้าพระองค์จะทำปีติและความสุขอันไพบูลย์
ให้แผ่ไปสู่ร่างกาย ครอบงำปัจจัยอันเศร้าหมอง
อยู่ในป่าใหญ่
จักเจริญสติปัฏฐาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕
และโพชฌงค์ ๗ อยู่ในป่าใหญ่
เพราะได้เห็นภิกษุทั้งหลายผู้ปรารถนาความ
เพียร มีใจเด็ดเดี่ยว มีความบากบั่นมั่นเป็นนิตย์
มีความพร้อมเพรียงกัน มีความเห็นร่วมกัน ข้า
พระองค์จึงจักอยู่ในป่าใหญ่
เมื่อข้าพระองค์ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้มี
พระองค์อันฝึกแล้ว มีพระหฤทัยตั้งมั่น จึงเป็น
ผู้ไม่เกียจคร้านตลอดทั้งกลางคืนและกลางวัน
อยู่ในป่าใหญ่ ดังนี้
เนื้อความแห่งคาถาเหล่านั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในอรรถกถาเถรคาถาแล้วแล.
พระเถระพยายามเจริญวิปัสสนาอย่างนี้ ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว.
พระวักกลิเถระนั้น ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้วได้ระลึกถึงบุรพกรรมของตน เกิดความโสมนัส เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า อิโต สตสหสฺสมฺหิ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิโต ความว่า ในที่สุดแสนกัป ภายหลังแต่ภัทรกัปที่พระกกุสันธพุทธเจ้าเป็นต้น เสด็จอุบัติแล้วไป.
บทว่า ปทุมาการวทโน ได้แก่ มีพระพักตร์มีความงดงามดุจดอกปทุมที่เบ่งบานดีแล้ว.
บทว่า ปทุมปตฺตกฺโข ความว่า มีพระเนตรเช่นกับดอกและใบปทุมขาว.
บทวา ปทุมุติตรคนฺโธ ว ความว่า มีพระโอษฐ์มีกลิ่นคล้ายกลิ่นดอกปทุม.
บทว่า อนฺธานํ นยนูปโม ความว่า เป็นเสมือนนัยน์ตาของปวงสัตว์ผู้ปราศจากนัยน์ตา (คนตาบอด) คือทรงประทานจักษุมีปัญญาจักษุเป็นต้นให้ปวงสัตว์ทั้งหลาย ด้วยพระธรรมเทศนา.
บทว่า สนฺตเวโส ได้แก่ ทรงมีความสงบระงับเป็นสภาพ คือทรงมีพระอิริยาบถอันสงบ.
บทว่า คุณนิธี ได้แก่ เป็นที่ฝังแห่งพระคุณทั้งหลาย.
อธิบายว่า เป็นที่รองรับหมู่แห่งพระคุณทั้งหมด.
บทว่า กรุณามติอากโร ความว่า เป็นบ่อเกิดคือเป็นที่รองรับซึ่งความกรุณา กล่าวคือการยังจิตของสาธุชนทั้งหลายให้หวั่นไหว และเป็นที่รองรับซึ่งมติอันเป็นเครื่องกำหนดประโยชน์และตัดเสียซึ่งสิ่งอันหาประโยชน์มิได้.
บทว่า พฺรหฺมาสุรสุรจฺจิโต ความว่า เป็นผู้อันพรหม อสูรและเทวดา เคารพคือบูชาแล้ว.
บทว่า มธุเรน รุเตน จ เชื่อมความว่า ทรงยังประชาชนทั้งหมดให้ยินดีด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะสเนาะดุจนกการเวก.
บทว่า สนฺถวี สาวกํ สกํ ความว่า ได้ทรงชมเชย คือทรงกระทำการชมเชยสาวกของพระองค์ด้วยพระธรรมเทศนาอันไพเราะเพราะพริ้ง.
บทว่า สทฺธาธิมุตฺโต ความว่า น้อมใจตั้งมั่นในพระศาสนาด้วยศรัทธาคือการน้อมใจเชื่อ.
บทว่า มม ทสฺสนลาลโส ความว่า ขวนขวายมีใจจดจ่อในการดูเรา.
บทว่า ตํ ฐานมภิโรจยึ ความว่า เราชอบใจ ต้องการปรารถนาตำแหน่งสัทธาธิมุตนั้น.
บทว่า ปีตมฏฺฐนิวาสนํ ความว่า ผู้นุ่งผ้ามีสีดุจทองคำเนื้อเกลี้ยง.
บทว่า เหมยญฺโญปจิตงฺคํ ความว่า มีอวัยวะอันบุญสร้างสมให้คล้ายกับสายสร้อยทองคำ.
บทว่า โนนีตสุขุมาลํ มํ ความว่า ผู้มีมือและเท้าอันละเอียดอ่อนดุจเนยข้น.
บทว่า ชาตปลฺลวโกมลํ ความว่า นุ่มนิ่มอ่อน ดุจความอ่อนของใบอโศกอ่อนๆ ฉะนั้น.
บทว่า ปีสาจีภยตชฺชิตา ความว่า ในคราวที่หญิงแม่มดอื่นคือราษสตนหนึ่ง คุกคามทำให้เราผู้เป็นกุมารมีความกลัว มารดาบิดาได้ให้เรานอนใกล้บาทมูลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้แสวงคุณใหญ่.
อธิบายว่า มารดาบิดาของผู้มีจิตหวาดกลัวได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโลกนาถ พระผู้นำของชาวโลก หม่อมฉันขอถวายทารกนี้แด่พระองค์ ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึ่งของทารกนี้ด้วยเถิด.
บทว่า ตทา ปฏิคฺคหิ โส มํ ความว่า ในคราวที่มารดาถวายเราแล้วนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นได้ทรงรับเราด้วยฝ่าพระหัตถ์อันอ่อนนุ่มบริสุทธิ์ มีตาข่ายคือประกอบด้วยตาข่ายที่ท่านกำหนดด้วยจักรลักษณะเป็นต้น.
บทว่า สพฺพปารมิสมฺกูตํ ความว่า อันบังเกิดพร้อมด้วยพระบารมีทุกอย่างมีทานบารมีเป็นต้น.
บทว่า นีลกฺขินยนํ วรํ ได้แก่ มีดวงตาสีเขียวอันอุดม เกิดแต่บุญสมภาร.
บทว่า สพฺพสุภากิณฺณํ ความว่า ได้ดูพระรูปเช่น พระหัตถ์ พระบาทและพระเศียรเป็นต้นของพระผู้มีพระภาคเจ้า อันลึกซึ้งเกลื่อนกล่นไปด้วยพระวรรณะสัณฐานอันงดงามพร้อมสรรพ.
เชื่อมคำว่า เรา (ดู) อยู่ ไม่ถึงความอิ่ม.
บทว่า ตทา มํ จรณนฺตโค ความว่า เมื่อเราได้บรรลุพระอรหัตแล้วนั้น ได้ทรงทำที่สุดแห่งจรณะธรรม ๑๕ ประการมีศีลเป็นข้อต้น.
อธิบายว่า บรรลุถึงที่สุด คือบำเพ็ญจนเต็มบริบูรณ์.
บาลีเป็น มรรนฺตโต ดังนี้ก็มี
อธิบายว่า ถึงที่สุดแห่งความตายนั้นก็คือพระนิพพาน.
เชื่อมความว่า ได้ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้เป็นสัทธาธิมุต.
มีคำที่ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า
ลำดับนั้น พระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ทรงสถาปนาเราไว้ในตำแหน่งที่เลิศด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วักกลิเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้เป็นสัทธาธิมุตแล.
คำที่เหลือมีเนื้อความพอกำหนดรู้ได้โดยง่ายทีเดียวแล.
จบอรรถกถาวักกลิเถราปทาน


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น