Translate

22 พฤศจิกายน 2568

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก เถรีอปทาน ขัตติยกัญญาวรรคที่ ๔

อปทานแห่งพระเถรีที่เคยเป็นขัตติยกัญญา หมื่นแปดพันที่ ๑ ว่าด้วยบุพจริยาของพระเถรีหมื่นแปดพันรูป
 [๑๗๑] ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันทั้งหลายมีภพทั้งปวงสิ้นไปแล้ว ปลดเปลื้องที่ต่อแห่งภพแล้ว มิได้มีอาสวะทั้งปวงเลย ขอกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันทั้งหลายมีกรรมเก่า ส่วนกุศลทุกอย่าง บำเพ็ญไว้ดีแล้ว วัตถุเครื่องบริโภคก็ให้แล้วเพื่อประโยชน์แก่ พระองค์ ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันทั้งหลายบำเพ็ญกุศลกรรม ถวายเครื่องบริโภคแก่พระพุทธเจ้า
  
 พระปัจเจกพุทธเจ้า และ พระสาวกทั้งหลายเพื่อประโยชน์แก่พระองค์ ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันทั้งหลายมีกรรมอย่างสูงและอย่างต่ำบำเพ็ญดีแล้ว แก่ภิกษุ ทั้งหลายมีกรรมเก่าทั้งส่วนสูงทั้งส่วนต่ำทำไว้แล้ว หม่อมฉัน ทั้งหลายอันกรรมเดิม ที่เป็นกุศลนั้นนั่นแหละเตือนแล้ว เป็นผู้ พรั่งพร้อมไปด้วยกุศลกรรม ล่วงวิบัติของมนุษย์แล้ว มาเกิดใน สกุลกษัตริย์ เพราะหม่อมฉันทั้งหลายร่วมก่อสร้างกรรมโดยชาติ เดียวกันจึงได้มาเกิดมีสมภพในตระกูลกษัตริย์ร่วมกัน ในภพหลัง
 ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันทั้งหลายเป็นผู้มีรูปสมบัติ มีโภคสมบัติ มีลาภสักการะ อันมหาชนบูชาแล้ว ณ ภายในบุรี เหมือน นันทนวันของทวยเทพ หม่อมฉันทั้งหลายเบื่อหน่ายจึงพากันออก บวชเป็นภิกษุณี มีอุปาทานอยู่สองสามวัน ก็บรรลุถึงความดับ ทุกข์ทั้งหมดด้วยกัน หม่อมฉันทั้งหลาย อันชนเป็นอันมากนำจีวร บิณฑบาต เสนาสนะเภสัชปัจจัยเข้ามาสักการะบูชาแล้ว หม่อมฉัน ทั้งหลายเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาหม่อมฉันทั้งหลาย ได้ทำเสร็จแล้ว. 
                        ทราบว่า ภิกษุณีผู้เคยเป็นขัตติยกัญญา ๑๘,๐๐๐ มีพระยสวดีเถรีเป็นหัวหน้า ได้กล่าว คาถานี้เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบอปทานแห่งพระเถรีพระธิดากษัตริย์ ๑๘,๐๐๐. 
อปทานแห่งพระเถรีบุตรีพราหมณ์ แปดหมื่นสี่พันที่ ๒ ว่าด้วยบุพจริยาของพระเถรีแปดหมื่นสี่พันรูป
 [๑๗๒] ข้าแต่พระมุนี หม่อมฉันทั้งหลายมีสมภพในสกุลพราหมณ์จำนวน ๘๔,๐๐๐ มีมือและเท้าละเอียดอ่อน เกิดในศาสนาของพระองค์ ข้าแต่พระมหามุนี หญิงที่เกิดในเวสสสกุล และสุททสกุล เทวดา นาค กินนร และที่อยู่ในทวีปทั้งสี่มีมาก เกิดในศาสนาของพระองค์ หญิงบางพวกบวชแล้ว มีความเห็นธรรมทั้งปวงก็มีมาก พวกเทวดา กินนร นาค จักตรัสรู้ในอนาคต ชนทั้งหลายได้เสวยเกียรติยศ ทั้งปวง มั่งคั่งด้วยสรรพสมบัติได้ความเลื่อมใสในพระองค์ จักตรัส รู้ในอนาคต
 ข้าแต่พระมหาวีรเจ้าผู้มีพระจักษุ ส่วนหม่อมฉัน ทั้งหลายเกิดในสกุลพราหมณ์ เป็นธิดาของพราหมณ์ เป็นผู้มีโชคดี ขอถวายบังคมพระยุคลบาท หม่อมฉันทั้งหลายกำจัดภพทั้งหมดแล้ว ถอนตัณหาอันเป็นรากเหง้าขึ้นแล้ว ตัดอนุสัยขาดแล้ว ทำลายสังขาร คือบุญหมดแล้ว หม่อมฉันทั้งปวงมีสมาธิเป็นโคจรชำนาญใน สมาบัติ จักอยู่ด้วยฌานและความยินดีในธรรมทุกเมื่อ ข้าแต่พระ- องค์ผู้นายก หม่อมฉันทั้งหลายยังตัณหาที่นำไปสู่ภพ อวิชชา และ แม้สังขารให้สิ้นไปแล้ว บรรลุถึงบทที่แสนยากจะเห็นได้แล้ว ทราบอยู่. 
                        พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ท่านทั้งปวงมีอุปการะแก่เราผู้เดินทางไกลตลอดกาลนานมา จงตัด ความสงสัยของบริษัทสี่แล้วจึงถึงความดับทุกข์เถิด. 
                        พระเถรีเหล่านั้น ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระมุนีแล้วแสดง ฤทธิ์ต่างๆ บางพวกแสดงแสงสว่าง บางพวกแสดงมืด บางพวก แสดงพระจันทร์ พระอาทิตย์ บางพวกแสดงทะเล พร้อมด้วยปลา
                        บางพวกแสดงเขาสิเนรุ บางพวกแสดงเขาสัตตบริภัณฑ์ บางพวก แสดงต้นปาริฉัตตกะ บางพวกแสดงภพดาวดึงส์ บางพวกแสดง ภพยามาด้วยฤทธิ์บางพวกแสดงเป็นเทวดาชาวดุสิต บางพวกแสดง เป็นเทวดาชาวนิมมานรดี
                        บางพวกแสดงเป็นเทวดาชาวปรนิมมิตวสวัตดีมีอิสระมาก บางพวกแสดงเป็นพรหม บางพวกแสดงที่ จงกรมอันควรแก่ค่ามาก บางพวกนิรมิตเพศเป็นพรหมแสดง สุญญตธรรม
 พระเถรีทั้งปวงครั้นแสดงฤทธิ์มีชนิดต่างๆ แล้วก็ แสดงกำลังถวายพระศาสดา ครั้นแล้ว ก็ถวายบังคมพระยุคลบาท กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหามุนีหม่อมฉันทั้งหลายเป็นผู้มีความชำนาญ ในฤทธิ์ มีความชำนาญในทิพโสตธาตุ มีความชำนาญในเจโตปริยญาณ รู้บุพเพนิวาสญาณและทิพจักษุอันหมดจดวิเศษ มีอาสวะ ทั้งปวงสิ้นไปแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มีอีก ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันทั้งหลายมีญาณในอรรถะธรรมะนิรุตติ และปฏิภาณเกิดขึ้น แล้วในสำนักของพระองค์ ความสมาคมกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้ เป็นนาถะของโลก
 พระองค์ทรงแสดงแล้ว ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันทั้งหลายมีอธิการเป็นอันมาก เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ ข้าแต่พระมุนีมหาวีรเจ้า ขอพระองค์จงทรงระลึกถึงกุศลกรรมก่อน ของหม่อมฉันทั้งหลาย หม่อมฉันทั้งหลายก่อสร้างบุญก็เพื่อ ประโยชน์แก่พระองค์ ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้พระมหามุนี พระนามว่าปทุมุตระ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระนครหงสวดีเป็นที่อยู่ อาศัยแห่งสกุลของพระสัมพุทธเจ้า มีแม่น้ำคงคาไหลผ่านทางประตู พระนครหงสวดี ในกาลทั้งปวงภิกษุทั้งหลายเดือดร้อนเพราะแม่น้ำ ไปไหนไม่ได้ น้ำเต็มเปี่ยมวันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง สัปดาห์หนึ่งบ้าง เดือนหนึ่งบ้าง สี่เดือนบ้าง ภิกษุเหล่านั้นจึงไป ไม่ได้
 ครั้งนั้น รัฐบุรุษผู้หนึ่งมีนามว่าชัชชิยะ มีทรัพย์เป็นสาระ ของประโยชน์ของตนเห็นภิกษุทั้งหลาย ได้ให้นายช่างจัดสร้าง สะพานที่ฝั่งนี้แห่งแม่น้ำคงคา ครั้งนั้นประชาชน ให้นายช่างสร้าง สะพานที่แม่น้ำคงคาด้วยทรัพย์หลายแสนและรัฐบุรุษนั้น ได้ให้นาย ช่างสร้างวิหารที่ฝั่งโน้นถวายแก่สงฆ์ สตรี บุรุษ สกุลสูงและต่ำ เหล่านั้น ได้ ให้สร้างสะพานและวิหาร ให้มีส่วนเท่ากันกับของ รัฐบุรุษนั้นหม่อมฉันทั้งหลายและมนุษย์เหล่าอื่น ในพระนครและ ในชนบท มีจิตเลื่อมใส ย่อมเป็นธรรมทายาทแห่งพระพุทธเจ้า พระองค์นั้น สตรี บุรุษ กุมารและกุมารีมากด้วยกันต่างก็ขนเอา ทรายมาเกลี่ยลงที่สะพานและวิหาร กวาดถนนแล้วยกต้นกล้วย หม้อมีน้ำเต็มและธงขึ้น จัดธูป จุรณ และดอกไม้เป็นสักการะ แด่พระศาสดา
 ครั้นสร้างสะพานและวิหารแล้ว นิมนต์พระพุทธเจ้า ถวายมหาทานแล้วปรารถนาความตรัสรู้ พระมหามุนีปทุมุตระมหาวีรเจ้าผู้เป็นที่เคารพแห่งสรรพสัตว์ ทรงทำอนุโมทนาแล้ว ตรัสพยากรณ์ว่า เมื่อแสนกัปล่วงไปแล้ว จึงมีภัทรกัป บุรุษนี้ได้ความสุข ในภพน้อยภพใหญ่แล้ว จักบรรลุโพธิญาณ บุรุษและสตรีที่ทำ หัตถกรรมทั้งหมด จักมีในที่เฉพาะหน้าในอนาคตกาล ด้วยวิบาก แห่งกรรมนั้นและด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ ประชาชนเหล่านั้นเกิด ในเทวโลกแล้ว เป็นบริจาริกาแห่งพระองค์ เสวยทิพยสุขและ มนุษยสุขมากมายท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ตลอดกาลนาน ใน กัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ 
 หม่อมฉันทั้งหลายมีกุศลกรรมอันทำดี แล้ว ย่อมได้รูปสมบัติ โภคสมบัติ ยศ ความสรรเสริญและ ความสุขเป็นที่รัก ซึ่งเป็นผลที่ปรารถนาทั้งปวงเนืองๆ ในหมู่มนุษย์ ที่ละเอียดอ่อน และในเทวโลก ในภพนี้ซึ่งเป็นภพหลัง หม่อมฉัน ทั้งหลายเกิดในสกุลพราหมณ์ มีมือและเท้าละเอียดอ่อน และได้ มาในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นดังว่าพระนิเวศน์แห่งพระศากยบุตร ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันทั้งหลายย่อมไม่เห็นแผ่นดินที่เขาไม่ ตกแต่ง และไม่เห็นภาคพื้นที่เป็นทางเดินลื่น แม้ตลอดกาลทั้งปวง เมื่อหม่อมฉันทั้งหลายอยู่ในอคารสถาน ประชุมชนก็นำสักการะทุก อย่างมาให้ตลอดกาลทั้งปวงเพราะผลแห่งกุศลกรรมในกาลก่อน หม่อมฉันทั้งหลายละอคารสถานแล้ว บวชเป็นภิกษุณีข้ามทาง สงสารได้แล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มีอีก พวกทายกทายิกาหลายพัน แต่ที่นั้นๆ นำจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและเภสัชปัจจัยมาให้ เสมอไป หม่อมฉันทั้งหลายเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธศาสนา หม่อมฉันทั้งหลายได้ทำเสร็จแล้ว. 
                        ทราบว่า ภิกษุณีบุตรีพราหมณ์ ๘๔,๐๐๐ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้เฉพาะพระพักตร์พระผู้มี พระภาค ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบอปทานแห่งพระเถรีบุตรีพราหมณ์ ๘๔,๐๐๐. 
อุปลทายิกาเถริยาปทานที่ ๓ ว่าด้วยบุพจริยาของพระอุปลทายิกาเถรี
 [๑๗๓] พระเถรีกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า มีกษัตริย์องค์หนึ่งพระนามว่าอรุณ ครองราชสมบัติในพระนคร อรุณวดี หม่อมฉันเป็นมเหสีของท้าวเธอ บอกบุคคลบางคนว่า หม่อมฉันนั่งอยู่ในที่ลับคิดอย่างนี้ว่า กุศลที่เราจะเอาไปที่เราทำไว้ไม่ มีเลย เราจะต้องไปสู่นรกอันมีความเร่าร้อนมาก ทั้งเผ็ดร้อนร้ายแรง แสนทารุณเป็นแน่ในเรื่องนี้เราไม่มีความสงสัยเลย ครั้นหม่อมฉัน คิดอย่างนี้แล้ว ยังใจให้ร่าเริงเข้าไปเฝ้าพระราชสวามีแล้ว กราบทูล ว่า ข้าแต่พระขัตติยาธิบดีผู้ประเสริฐ หม่อมฉันเป็นสตรี จะไม่ เคยเป็นบุรุษมิได้มี ขอพระองค์ได้โปรดประทานสมณะองค์หนึ่งแก่ หม่อมฉันเถิด หม่อมฉันจักนิมนต์ท่านให้ฉัน ครั้งนั้นพระราชาได้ ประทานสมณะองค์หนึ่งผู้อบรมอินทรีย์แล้วแก่หม่อมฉัน
 หม่อมฉัน มีใจยินดีรับบาตรของท่านมาแล้ว เอาภัตตาหารอย่างประณีตใส่จน เต็ม ครั้นแล้วได้ถวายผ้าผืนใหญ่ให้ท่านครอง แล้วได้ถวายบาตร นั้น พร้อมด้วยดอกไม้มีกลิ่นหอมและน้ำมันเครื่องไล้ทาอย่างดี ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ หม่อมฉันละร่างกายมนุษย์แล้วได้ไปภพดาวดึงส์ ได้ครองตำแหน่ง พระมเหสีแห่งเทวราชหนึ่งพันองค์ได้ครองตำแหน่งพระมเหสีแห่ง พระเจ้าจักรพรรดิหนึ่งพันองค์ และครองตำแหน่งพระมเหสีแห่ง พระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยจะคณานับมิได้ ทั้งได้ศุภผลอื่น มีอย่างต่างๆ มากมายซึ่งเป็นผลกรรมแห่งบิณฑบาตในคราวนั้น หม่อมฉันมีสีกายเหมือนดอกบัว เป็นหญิงมีรูปงาม น่าดู น่าชม
 ถึงพร้อมด้วยองค์สมบัติทั้งปวงเป็นอภิชาตสตรี ทรงไว้ซึ่งความ เปล่งปลั่งในภพนี้ซึ่งเป็นภพหลัง หม่อมฉันเกิดในศากิยสกุล เป็น ธิดาแห่งพระเจ้าสุทโธนมหาราช เป็นหัวหน้าแห่งนารีหนึ่งพันเบื่อ หน่ายในอาคารสถาน จึงออกบวชเป็นภิกษุณีถึงราตรีที่ ๗ ก็ได้บรรลุ จตุราริยสัจ หม่อมฉันไม่สามารถจะประมาณจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัชปัจจัย ที่ทายกทายิกานำมาถวายได้ นี้เป็น ผลแห่งบิณฑบาต ข้าแต่พระมุนีมหาวีรเจ้า ขอพระองค์พึงทรง ระลึกถึงกุศลกรรมครั้งก่อนของหม่อมฉัน หม่อมฉันสละวัตถุทาน เป็นอันมากเพื่อประโยชน์แก่พระองค์ ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ หม่อมฉัน ได้ถวายทานใดในครั้งนั้น ด้วยผลแห่งทานนั้น หม่อมฉันไม่รู้สึก ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งบิณฑบาตทาน
 หม่อมฉันรู้จักคติสอง คือ เทวดา หรือมนุษย์ มิได้รู้จักคติอื่นเลย นี้เป็นผลแห่งบิณฑบาตทาน รู้จักแต่สกุลสูงซึ่งเป็นสกุลมหาศาลมีทรัพย์มาก มิได้รู้จักสกุลอื่น นี่เป็นผลแห่งบิณฑบาตทาน หม่อมฉันท่องเที่ยวไปในภคน้อยภพ ใหญ่ อันกุศลมูลตักเตือนแล้ว ย่อมไม่เห็นสิ่งที่ไม่พอใจเลย นี้ เป็นผลแห่งโสมนัส ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันเป็นผู้มีความ ชำนาญในฤทธิ์ มีความชำนาญในทิพโสตธาตุ มีความชำนาญใน เจโตปริยญาณ ย่อมรู้ปุพเพนิวาสญาณและทิพจักษุอันหมดจดวิเศษ มีอาสวะทั้งปวงสิ้นไปแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มีอีก ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันมีญาณในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติและปฏิญาณเกิดขึ้น แล้วในสำนักของพระองค์ ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
                        ทราบว่า พระอุปลทายิกาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้เฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาค ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบอุปลทายิกาเถริยาปทาน.
สิงคาลมาตาเถริยาปทานที่ ๔ ว่าด้วยบุพจริยาของพระสิงคาลมาตาเถรี
 [๑๗๔] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่าปทุมุตระ ทรงรู้จบธรรมทั้งปวงเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ดิฉันเกิดในสกุลอำมาตย์ที่รุ่งเรืองด้วยรัตนะต่างๆ เป็นตระกูล มั่งคั่ง เจริญ มีทรัพย์มาก ในพระนครหงสวดี ดิฉันมีมหาชนเป็น บริวารไปกับบิดา ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วออกบวชเป็น ภิกษุณี ครั้นบวชแล้ว เว้นบาปกรรมทางกาย ละวจีทุจริตชำระ อาชีวะบริสุทธิ์ มีความเลื่อมใสเพราะเคารพมากในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ขวนขวายในการฟังธรรม มีความเห็น พระพุทธเจ้าเป็นปกติ ในครั้งนั้น ดิฉันได้ฟังภิกษุณีองค์หนึ่งซึ่ง เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ฝ่ายสัทธาธิมุติ จึงปรากฏตำแหน่ง นั้นแล้วได้บำเพ็ญไตรสิกขา
 ครั้งนั้น พระสุคตเจ้าผู้มีพระอัธยาศัย ประกอบด้วยกรุณา ตรัสกะดิฉันว่าบุคคลผู้มีศรัทธาไม่หวั่นไหว ตั้ง มั่นดีในพระตถาคต มีศีลงามที่พระอริยะรักใคร่สรรเสริญ มีความ เลื่อมใสในพระสงฆ์ มีความเห็นตรง นักปราชญ์เรียกผู้นั้นว่า เป็น ผู้ไม่ขัดสน ชีวิตของผู้นั้นไม่เป็นหมัน เพราะฉะนั้น บุคคลผู้มี ปัญญา เมื่อระลึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงหมั่น ประกอบศรัทธา ศีล ความเลื่อมใสและความเห็นธรรม ดิฉันได้ ฟังพระพุทธดำรัสนั้นแล้ว มีความเบิกบานใจ ได้ทูลถามถึงความ ปรารถนาดีของดิฉัน ครั้งนั้นพระสุคตเจ้าผู้นำชั้นพิเศษผู้มีปัญญาไม่ ทราม มีพระคุณนับไม่ถ้วน ทรงพยากรณ์ว่าท่านเลื่อมใสใน พระพุทธเจ้า มีธรรมงาม จักได้ตำแหน่งนั้นที่ท่านปรารถนาดีแล้ว
 ในกัปที่หนึ่งแสนแต่กัปนี้ พระศาสดาพระนามว่าโคดม มีสมภพใน วงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ท่านจักได้เป็น ธรรมทายาทแห่งพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรม นิรมิต เป็นมารดาแห่งสิงคาลมาณพ จักได้เป็นสาวิกา ของพระศาสดาครั้งนั้น ดิฉันได้ฟังพระพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว มี ความยินดี มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระพิชิตมารผู้เป็นนายก ของโลก ด้วยความปฏิบัติทั้งหลาย จนสิ้นชีวิต ด้วยกุศลกรรม ที่ได้ทำไว้แล้วนั้นและด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละร่างกาย มนุษย์แล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในภพหลังครั้งนี้ ดิฉัน เกิดในสกุลเศรษฐีมีความเจริญ สั่งสมรัตนะไว้มาก ในพระนคร- ราชคฤห์อันอุดม บุตรของดิฉันชื่อสิงคาลมณพ ยินดีในทางผิด แล่นไปสู่ทิฏฐิอันรกชัฏ มีการบูชาทิศเป็นเบื้องหน้า ย่อมไหว้ทิศ ต่างๆ พระพุทธเจ้าผู้นำชั้นพิเศษ เสด็จเข้าไปสู่พระนครราชคฤห์ เพื่อทรงรับบิณฑบาต ทอดพระเนตรเห็นบุตรของดิฉันแล้ว ประทับ อยู่ที่หนทาง ตรัสแสดงธรรมแก่บุตรของดิฉัน แต่เขายังมีความ เห็นผิดอยู่อย่างเดิม ธรรมาภิสมัยได้มีแก่บุรุษและสตรี ๒ โกฏิ
 ครั้งนั้นดิฉันไปในที่ประชุมนั้นได้ฟังสุคตภาษิตแล้ว ได้บรรลุโสดา- ปัตติผลแล้วออกบวชเป็นภิกษุณี ได้เห็นพระพุทธเจ้าเป็นปกติ เจริญพุทธานุสสติอยู่ไม่นาน ก็ได้บรรลุอรหัตผล ดิฉันได้เห็น พระพุทธเจ้าอยู่ร่ำไปมิได้เบื่อชมพระรูปเป็นที่เพลินตา เป็นพระรูป ที่เกิดแต่พระบารมีทั้งปวง เป็นดังว่าเรือนหลวงที่ประกอบด้วยสิริ มีพระลักษณะงามทั่วไป พระพิชิตมารโปรดในคุณสมบัตินั้น จึงทรง ตั้งดิฉันไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า ภิกษุณีมารดาของสิงคาลมาณพ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายฝ่ายสัทธาธิมุต ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์ มีความชำนาญในทิพโสตธาตุ มีความชำนาญในเจโตปริยญาณ ย่อมรู้ปุพเพนิวาสญาณและทิพจักษุ อันหมดจดวิเศษ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้ มีอีก ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันมีญาณในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติ และปฏิภาณ เกิดขึ้นในสำนักของพระองค์ ดิฉันเผากิเลส ทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว. 
                        ทราบว่า ท่านพระภิกษุณีมารดาสิงคาลมาณพได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบสิงคาลมาตาเถริยาปทาน.
สุกกาเถริยาปทานที่ ๕ ว่าด้วยบุพจริยาของพระสุกกาเถรี
 [๑๗๕] ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้นายกของโลกพระนามว่า วิปัสสี มีพระเนตรงาม ทรงเห็นแจ้งซึ่งธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้น แล้ว ครั้งนั้น หม่อมฉันเกิดในสกุลหนึ่งในพระนครพันธุมดี ได้ฟัง ธรรมของพระมุนีแล้ว ออกบวชเป็นภิกษุณี เป็นผู้มีสุตะมาก ทรง ธรรม มีปฏิภาณ กล่าวธรรมกถาไพเราะ ปฏิบัติตามพระพุทธศาสนา ครั้งนั้น หม่อมฉันแสดงธรรมกถาเพื่อประโยชน์แก่ประชุมชนทุก สมัย หม่อมฉันเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้วไปเกิดในภพดุสิต เป็น เทพธิดามียศ ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่า สิขี มีพระรัศมีดังไฟ สง่าอยู่ในโลกด้วยยศประเสริฐกว่าพวกบัณฑิต เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
 แม้ในครั้งนั้น หม่อมฉันบวชแล้ว เป็นผู้ฉลาด ในพุทธศาสนา ยังพระพุทธพจน์ให้กระจ่างแล้วไปสู่ภพดาวดึงส์ ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่าเวสสภูมีธรรมดังว่ายานใหญ่ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว หม่อมฉัน ก็เป็นเหมือนอย่างก่อน บวชแล้วเป็นผู้ทรงธรรม ยังพุทธศาสนา ให้กระจ่างแล้ว ไปสู่เมืองมรุน่ายินดี ได้เสวยความสุขมากในภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารผู้อุดมพระนามว่ากกุสันธะประเสริฐกว่านรชน เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว แม้ในครั้งนั้น หม่อมฉันก็เป็นเหมือนอย่างก่อน บวชแล้ว ก็ยังพุทธศาสนาให้กระจ่างจนตลอดชีวิต เคลื่อนจาก อัตภาพนั้นแล้ว ได้ไปสู่ภพดาวดึงส์ เหมือนดังไปสู่ที่อยู่ของตน ในภัทรกัปนี้แล พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่า โกนาคมน์ผู้ประเสริฐกว่าพวกบัณฑิต อุดมกว่าสรรพสัตว์เสด็จอุบัติ ขึ้นแล้ว
 แม้ในครั้งนั้น หม่อมฉันบวชในศาสนาของพระองค์ผู้คงที่ เป็นพหูสูตทรงธรรม ยังพุทธศาสนาให้กระจ่างในภัทรกัปนี้เหมือน กัน พระมุนีพระนามว่ากัสสป มีพระคุณประเสริฐ เป็นสรณะ แห่งสัตว์โลก ไม่มีข้าศึก ถึงที่สุดแห่งมรณะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว หม่อมฉันบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระปรีชากว่าประชากร พระองค์นั้นศึกษาพระสัทธรรมแล้วคล่องแคล่วในปริปุจฉา ข้าแต่ พระมหามุนี หม่อมฉันมีศีลงาม มีความละอาย ฉลาดในไตรสิกขา แสดงธรรมกถามากจนตลอดชีวิต ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น และด้วย การตั้งเจตน์จำนงไว้ หม่อมฉันละร่างกายมนุษย์แล้ว ไปสู่ภพ ดาวดึงส์ ในภพหลังครั้งนี้ หม่อมฉันเกิดในสกุลเศรษฐีที่เจริญ สั่งสมรัตนะไว้มาก ในพระนครราชคฤห์อันอุดม เมื่อพระผู้มี พระภาคผู้เป็นนายกของโลกอันภิกษุขีณาสพหนึ่งพัน เป็นบริวาร สรรเสริญแล้ว เสด็จเข้าไปสู่เมืองราชคฤห์. 
                        พระผู้มีพระภาคทรงฝึกอินทรีย์แล้ว พ้นขาดจากสรรพกิเลส มีวรรณะเปล่งปลั่งดังแท่งทองสิงคี พร้อมด้วยพระขีณาสพซึ่ง เคยเป็นชฎิล ผู้ฝึกอินทรีย์แล้ว พ้นขาดจากสรรพกิเลสเสด็จ เข้าไปสู่เมืองราชคฤห์. 
 หม่อมฉันได้เห็นพระพุทธานุภาพ และได้ฟังธรรมมีคุณเป็นที่ประชุม แล้ว ยังจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า บูชาพระองค์ผู้มีพลธรรมมาก เวลาต่อ หม่อมฉันออกบวชเป็นภิกษุณีในสำนักพระธรรมทินนาเถรี หม่อมฉันเผากิเลสทั้งหลายในเมื่อกำลังปลงผม บวชแล้วไม่นาน ศึกษาศาสนธรรมทั่วแล้ว แต่นั้นได้แสดงธรรมในสมาคมแห่ง มหาชน เมื่อหม่อมฉันกำลังแสดงอยู่ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่ประชุมชน หลายพันมียักษ์ตนหนึ่งได้ฟังธรรมนั้นแล้ว เกิดอัศจรรย์ใจ เลื่อมใส ต่อหม่อมฉัน ได้ไปยังพระนครราชคฤห์ พวกมนุษย์ในพระนครราชคฤห์อันหม่อมฉันทำแล้วอย่างไร ได้ดื่มธรรมดังว่าน้ำผึ้งอยู่ มนุษย์เหล่าใดไม่นั่งใกล้ภิกษุณีชื่อสุกกาผู้แสดงอมตบท อันเป็นเหตุ ไม่ให้ถอยกลับ ให้เกิดความชื่นใจ มีรสโอชา มนุษย์เหล่านั้นเห็น จะเป็นเหมือนพวกคนมีปัญญาเดินทางไกลหาน้ำฝนดื่ม
                        ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์ มีความชำนาญใน ทิพโสตธาตุ มีความชำนาญในเจโตปริยญาณ รู้ปุพเพนิวาสญาณ และทิพจักษุอันหมดจดวิเศษ มีอาสวะทั้งปวงสิ้นไปแล้ว บัดนี้ภพ ใหม่มิได้มีอีก
                        ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันมีญาณในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติและปฏิภาณ เกิดขึ้นแล้วในสำนักของพระองค์ ดิฉัน เผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว. 
                        ทราบว่า ท่านพระสุกกาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.  จบสุกกาเถริยาปทาน. 
จบภาณวารที่ ๕.
อภิรูปนันทาเถริยาปทานที่ ๖ ว่าด้วยบุพจริยาของพระอภิรูปนันทาเถรี
 [๑๗๖] ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่าปัสสี มีพระเนตรงาม มีพระจักษุในธรรมทั้งปวง เสด็จ อุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ดิฉันเกิดในสกุลใหญ่ที่มั่งคั่งเจริญ ในพระนคร พันธุมดี เป็นหญิงมีรูปงาม น่าพึงใจและเป็นที่บูชาของประชุมชน ได้เข้าเฝ้าพระพุทธวิปัสสีผู้มีความเพียรมาก เป็นนายกของโลก ได้ ฟังธรรมแล้วถึงพระองค์เป็นสรณะ สำรวมอยู่ในศีล เมื่อพระผู้มี พระภาคพระองค์นั้นผู้มีพระคุณสูงสุดกว่านรชน ปรินิพพานแล้ว ดิฉันได้เอาฉัตรทองบูชาไว้ ณ เบื้องบนแห่งพระสถูปที่บรรจุพระธาตุ ดิฉันเป็นผู้มีจาคะอันสละแล้ว มีศีลจนตลอดชีวิตเคลื่อนจากอัตภาพ นั้น ละร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่ภพดาวดึงส์
 ครั้งนั้น ดิฉัน ครอบงำเทพธิดาทั้งหมดด้วยฐานะ ๑๐ ประการ คือ ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อายุ วรรณะ สุข ยศ และความเป็น อธิบดี รุ่งโรจน์ปรากฏอยู่ ในภพหลังครั้งนี้ ดิฉันเกิดในพระนคร กบิลพัสดุ์เป็นธิดาของศากยราชนามว่าเขมกะ มีนามปรากฏว่านันทา ประชุมชนกล่าวว่า ดิฉันเป็นผู้หนึ่งซึ่งมีความถึงพร้อมด้วยรูปงาม น่าชม เมื่อดิฉันเติบโตเป็นสาว (รู้จัก) ตกแต่งรูปและผิวพรรณ พวกศากยราชมีความวิวาทกันมากเพราะตัวดิฉัน ครั้งนั้น พระบิดา ของดิฉันกล่าวว่า พวกศากยราชอย่าฉิบหายเสียเลย จึงให้ดิฉัน บวชเสีย ครั้นดิฉันบวชแล้วได้ฟังว่า พระตถาคตเจ้าผู้มีพระคุณ สูงสุดกว่านรชน ทรงติรูป จึงไม่เข้าไปเฝ้า เพราะดิฉันชอบรูปกลัว จะพบพระพุทธเจ้า จึงไม่ไปรับโอวาท
 ครั้งนั้น พระพิชิตมารทรง ให้ดิฉันเข้าไปสู่สำนักของพระองค์ด้วยอุบาย พระองค์ทรงฉลาดใน ทางอุบาย ทรงแสดงหญิง ๓ ชนิด ด้วยฤทธิ์ คือ หญิงสาวสวย เหมือนรูปเทพอัปสร หญิงแก่ หญิงตายแล้ว ดิฉันเห็นหญิงทั้ง ๓ แล้ว มีความสลดใจ ไม่ยินดีในซากศพหญิงที่ตายแล้ว มีความ เบื่อหน่ายในภพเฉยอยู่ ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคนายกของโลก ตรัสกะดิฉันว่า
 ดูกรนันทาท่านจงดูร่างกายที่ทุรนทุราย ไม่สะอาด โสโครก ไหลเข้าถ่ายออกอยู่ ที่พวกพลาชนปรารถนากัน ท่านจง อบรมจิตให้เป็นสมาธิมีอารมณ์อย่างเดียวด้วยอสุภเถิด รูปนี้เป็นฉัน ใด รูปท่านนั้นก็เป็นฉันนั้น รูปท่านนั้นเป็นฉันใด รูปนี้ก็เป็นฉัน นั้น เมื่อท่านพิจารณาเห็นรูปนั้น อย่างนี้ มิได้เกียจคร้านทั้งกลาง คืนกลางวัน แต่นั้นก็จะเบื่อหน่ายอยู่ด้วยปัญญาของตน ดิฉันผู้ไม่ ประมาท พิจารณาในร่างกายนี้อยู่โดยแยบคาย ก็เห็นกายนี้ทั้งภาย ในภายนอกตามความเป็นจริง เมื่อเป็นเช่นนั้น ดิฉันจึงเบื่อหน่าย ในกาย และไม่ยินดีเป็นภายใน ไม่ประมาท ไม่เกาะเกี่ยว เป็น ผู้สงบเย็นแล้ว ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันเป็นผู้มีความชำนาญ ในฤทธิ์ ในทิพโสตธาตุ และในเจโตปริยญาณ รู้ปุพเพนิวาสญาณ และทิพจักษุอันหมดจดวิเศษ หม่อมฉันสิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี
                        ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันมีญาณในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติ และปฏิภาณ เกิดขึ้นแล้วในสำนักของพระองค์ ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนา ดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว. 
                        ทราบว่า ท่านพระอภิรูปนันทาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบอภิรูปนันทาเถริยาปทาน.
อัฑฒกาสีเถริยาปทานที่ ๗ ว่าด้วยบุพจริยาของพระอัฑฒกาสีเถรี
 [๑๗๗] ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นพงศ์พันธุ์แห่งพราหมณ์ทรงพระยศ มาก มีพระนามว่ากัสสป ประเสริฐกว่าพวกบัณฑิตเสด็จอุบัติขึ้น แล้ว ครั้งนั้น ดิฉันบวชในศาสนาของพระองค์สำรวมในปาติโมกข์ และอินทรีย์ ๕ รู้จักประมาณในอาสนะต่ำ ประกอบความเพียรใน ความเป็นผู้ตื่นอยู่ บำเพ็ญเพียรมีจิตชั่ว ได้ด่าภิกษุณีองค์หนึ่งผู้ ปราศจากอาสวะครั้งเดียวว่านางเพศยา ด้วยบาปกรรมนั้นนั่นแหละ ดิฉันต้องหมกไหม้อยู่ในนรก ด้วยกรรมที่ยังเหลืออยู่นั้น ดิฉันเกิด ในสกุลหญิงแพศยา ถูกขายให้บุรุษอื่นอยู่โดยมาก ในชาติหลัง ดิฉันเกิดในสกุลเศรษฐีในแคว้นกาสี มีความถึงพร้อมด้วยรูปดุจดัง นางเทพอัปสรในหมู่เทวดา ด้วยผลแห่งพรหมจรรย์ประชุมชนเห็น ดิฉันมีรูปน่าชม จึงตั้งดิฉันไว้ในความเป็นหญิงแพศยาในพระนคร ราชคฤห์ที่อุดม ด้วยผลที่ด่าภิกษุณีนั้นดิฉัน ได้ฟังพระสัทธรรมที่ พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐตรัสแล้วเป็นผู้ประกอบด้วยบุพพวาสนา ได้ บวชเป็นภิกษุณี แต่เมื่อไปสู่สำนักพระพิชิตมารเพื่อจะอุปสมบท พบพวกนักเลงดักอยู่ที่หนทาง ได้แล้วซึ่งทูตอุปสมบท ดิฉันมีกรรม ทุกอย่างทั้งบุญและบาปหมดสิ้นไปแล้ว ข้ามพ้นสงสารทั้งปวงแล้ว และความเป็นหญิงแพศยาก็สิ้นไปแล้ว.
                        ทราบว่า ท่านพระอัฑฒกาสีภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบอัฑฒกาสีเถริยาปทาน. 
ปุณณิกาเถริยาปทานที่ ๘ ว่าด้วยบุพจริยาของพระปุณณิกาเถรี [๑๗๘] ดิฉันบวชเป็นภิกษุณีในศาสนาของพระพุทธเจ้า ๖ พระองค์ คือ พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู พระกกุสันธะ พระโกนาคมน์ ผู้คงที่ พระกัสสป เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลมีปัญญา สำรวมอินทรีย์ เป็นพหูสูต ทรงธรรมสอบถามอรรถแห่งธรรม ศึกษาธรรมแล้ว มีกระแสธรรม เป็นผู้นั่งใกล้แสดงพุทธศาสนาในท่ามกลาง ประชุมชน ดิฉันมีศีลเป็นที่รักแต่ถือตัวจัดเพราะความเป็นพหูสูตนั้น ในภพครั้งหลังนี้ดิฉันเกิดในเรือนแห่งนางกุมภทาสี ของอนาถ บิณฑิกเศรษฐีในพระนครสาวัตถีอันอุดม ดิฉันไปตักน้ำ ได้เห็น โสตถิยพราหมณ์หนาวสั่นอยู่ในกลางน้ำ ครั้นเห็นแล้วได้กล่าวว่า ดิฉันมาตักน้ำในคราวหนาว กลัวภัยแต่อาชญา และระแวงภัย คือ การด่าด้วยวาจาของเจ้านายจึงต้องลงน้ำร่ำไป
 ดูกรพราหมณ์ท่านกลัว อะไร จึงลงน้ำเสมอ มีตัวสั่น รู้สึกหนาวมากดูกรนางปุณณิกา ผู้เจริญ ท่านรู้จักสอบถามข้าพเจ้าผู้ทำกุศลกรรม กำจัดบาปกรรม (ดิฉันกล่าวว่า) บุคคลใดเป็นผู้ใหญ่ก็ตาม เป็นเด็กก็ตาม ทำบาปกรรม บุคคลนั้น จะพ้นจากบาปกรรม เพราะความอาบน้ำได้หรือ เมื่อพราหมณ์นั้นกลับขึ้นมาดิฉันได้บอกซึ่งบทอันประกอบด้วยธรรม และอรรถ พราหมณ์ได้ฟังธรรมบทนั้น แล้วมีความสลดใจ บวช แล้วได้เป็นพระอรหันต์ เพราะดิฉันเกิดในสกุลทาสี ยังทาสทาสี ๙๙ คนให้ครบ ๑๐๐ คน เจ้านายนั้นจึงตั้งชื่อให้ดิฉันว่าปุณณาและ ปลดดิฉันให้เป็นไทย ดิฉันให้เศรษฐีอนุโมทนาบุญนั้นแล้ว ออก บวชเป็นภิกษุณี โดยกาลไม่นานนักก็ได้บรรลุอรหัต
 ข้าแต่พร มหามุนี หม่อมฉันเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์ ในทิพโสตธาตุ และในเจโตปริยญาณ รู้ปุพเพนิวาสญาณและทิพจักษุอันหมดจด วิเศษ มีอาสวะทั้งปวงสิ้นไปแล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มีอีก หม่อมฉัน มีญาณอันปราศจาก มลทิน บริสุทธิ์ในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติ และปฏิภาณ เพราะอำนาจพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด หม่อมฉันมี ปัญญามากเพราะภาวนา มีสุตะเพราะพาหุสัจจะเกิดในสกุลต่ำเพราะ มานะ แต่มิได้มีกุศลกรรมวิบัติไปเลย ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธศาสนา ดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว. 
                        ทราบว่า ท่านพระปุณณิกาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบปุณณิกาเถริยาปทาน. 
อัมพปาลีเถริยาปทานที่ ๙ ว่าด้วยบุพจริยาของพระอัมพปาลีเถรี              
 [๑๗๙] ดิฉันเกิดในสกุลกษัตริย์ เป็นภคินีแห่งพระมหามุนีพระนามว่าปุสสะ ผู้มีพระรัศมีงามรุ่งเรือง มีธรรมดังว่าเทริดดอกไม้บนศีรษะ ดิฉันได้ ฟังธรรมของพระองค์แล้วมีจิตเลื่อมใสถวายมหาทานแล้ว ปรารถนา ซึ่งรูปสมบัติ ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่าสิขี ผู้เป็นนายกชั้นเลิศของโลก ทรงยังโลกให้รุ่งเรือง เป็นสรณะใน ไตรโลกเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ดิฉันเกิดในสกุลพราหมณ์ใน เมืองอรุณอันน่ารื่นรมย์ โกรธแล้ว ด่าภิกษุณีองค์หนึ่งผู้มีจิตพ้นแล้ว จากกิเลสว่า ท่านเป็นหญิงเพศยา ประพฤติอนาจารประทุษร้าย พุทธศาสนา ครั้นด่าอย่างนี้แล้ว ดิฉันต้องไปสู่นรกอันร้ายกาจ เพรียบพร้อมไปด้วยมหันตทุกข์ เพราะกรรมอันลามกนั้น เคลื่อน จากนรกนั้นแล้วมาเกิดในหมู่มนุษย์เป็นผู้มีลามกธรรม เป็นเหตุให้ เดือดร้อนครองความเป็นหญิงเพศยาอย่างหมื่นชาติยังมิได้พ้นจากบาป กรรมนั้น เปรียบเหมือนคนกินยาพิษอันร้ายแรง ดิฉันได้บวชเป็น ภิกษุณีมีเพศประเสริฐในศาสนาพระพุทธกัสสป ได้ไปเกิดในภพ ดาวดึงส์ เพราะผลแห่งบรรพชากรรมนั้น
 ในภพนี้ซึ่งเป็นภพหลัง ดิฉันเป็นอุปปาติกสัตว์เกิดในระหว่างกิ่งต้นมะม่วง จึงมีชื่อว่าอัมพปาลีตามนิมิตนั้น ดิฉันมีประชาชนหลายพันโกฏิ แห่ห้อมมาบวช ในพุทธศาสนาเป็นโอรสธิดาแห่งพระพุทธเจ้า บรรลุถึงฐานะอันไม่ หวั่นไหว ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์ ในทิพโสตธาตุและในเจโตปริยญาณ รู้บุพเพนิวาสญาณและทิพจักษุ อันหมดจดวิเศษ มีอาสวะทั้งปวงสิ้นไปแล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มีอีก หม่อมฉันมีญาณอันปราศจากมลทิน บริสุทธิ์ ในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติ และปฏิภาณ เพราะอำนาจพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด หม่อมฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพขึ้นได้หมดสิ้นแล้ว ตัด กิเลสเครื่องผูกดังช้างพังตัดเชือกแล้วเป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่ หม่อมฉันได้มาในสำนักพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เป็นการมาดี แล้วหนอ วิชชา ๓ หม่อมฉันบรรลุแล้วโดยลำดับ
                        พระพุทธศาสนา หม่อมฉันได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ หม่อมฉันทำให้แจ้งชัดแล้ว
                        พระพุทธศาสนาหม่อมฉันได้ทำเสร็จแล้วดังนี้. 
                        ทราบว่า ท่านพระอัมพปาลีภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบอัมพปาลีเถริยาปทาน.
 เสลาเถริยาปทานที่ ๑๐ ว่าด้วยบุพจริยาของพระเสลาเถรี
 [๑๘๐] ในภัทกัปนี้ พระพุทธเจ้าพละนามว่ากัสสป ผู้เป็นพงศ์พันธุ์แห่ง พราหมณ์ มียศมากประเสริฐกว่าพวกบัณฑิต เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ดิฉันเกิดในสกุลอุบาสก ในพระนครสาวัตถีอันประเสริฐ เห็นพระพิชิตมารผู้ประเสริฐพระองค์นั้น และฟังธรรมเทศนาแล้ว ถึงพระองค์ผู้มีเพียรเป็นสรณะแล้วสมาทานศีลทั้งหลาย ครั้งหนึ่ง พระมหาวีรเจ้าพระองค์นั้น ผู้องอาจกว่านรชน ทรงประกาศอภิสัม- โพธิญาณของพระองค์ในสมาคมแห่งมหาชนว่า เรามีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชาและแสงสว่าง ในธรรมที่ไม่เคยฟังมาในกาลก่อนและ ในอริยสัจมีทุกขอริยสัจเป็นต้น ดิฉันได้ฟังธรรมนั้นแล้ว เล่าเรียน สอบถามภิกษุณีทั้งหลาย ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำแล้วนั้น และด้วย การเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่ภพดาวดึงส์
 ในภพหลังครั้งนี้ ดิฉันเกิดในสกุลแห่งเศรษฐีใหญ่ ดิฉันได้เข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า ได้ฟังสัทธรรมอันประกาศมัจจุ บวชแล้ว ค้นคว้า อรรถธรรมทั้งปวง ยังอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว ได้บรรลุอรหัต โดยกาลไม่นานเลย ข้าแต่มหามุนี หม่อมฉันเป็นผู้มีความชำนาญ ในฤทธิ์ ในทิพโสตธาตุ และในเจโตปริยญาณรู้ปุพเพนิวาสญาณ และทิพจักษุอันหมดจดพิเศษ มีอาสวะทั้งปวงสิ้นไปแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มีอีก หม่อมฉันมีญาณอันปราศจากมลทิน บริสุทธิ์ ในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติ และปฏิญาณ เพราะอำนาจพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุดหม่อมฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพขึ้นได้หมด สิ้นแล้วตัดกิเลสเครื่องผูกดังช้างพังตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ อยู่ การที่หม่อมฉันได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา ๓ หม่อมฉันบรรลุแล้วโดยลำดับ พระพุทธศาสนาหม่อมฉันได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิวาท ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ หม่อมฉันทำให้แจ้งชัด แล้ว 
                        พระพุทธศาสนาหม่อมฉันได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. 
                         ทราบว่า ท่านพระเสลาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบเสลาเถริยาปทาน. 
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
 ๑. อัฏฐารสหัสสขัตติยกัญญาเถริยาปทาน ๒. จตุราสีติสหัสสพราหมณกัญญาเถริยา- *ปทาน ๓. อุปลทายิกาเถริยาปทาน ๔. สิงคาลมาตาเถริยาปทาน ๕. สุกกาเถริยาปทาน ๖. อภิรูปนันทาเถริยาปทาน ๗. อัฑฒกาสีเถริยาปทาน ๘. ปุณณิกาเถริยาปทาน ๙. อัมพปา- *ลีเถริยาปทาน ๑๐. เสลาเถริยาปทาน. 
จบขัตติยกัญญาวรรคที่ ๔.
                 จบอปทาน.

ไม่มีความคิดเห็น: