Translate

07 พฤศจิกายน 2568

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน นฬมาลิวรรคที่ ๔๘

นฬมาลิยเถราปทานที่ ๑ ว่าด้วยผลแห่งการถวายพวงดอกอ้อ
 [๖๑] เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้ามีพระฉวีวรรณดังทองคำ ผู้สมควรรับเครื่อง บูชา เป็นนายกของโลก กำลังเสด็จไปทางชายป่าใหญ่ เราหยิบ พวงดอกไม้อ้อและออกไปในทันใดนั้น ได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าผู้ ข้ามโอฆะได้แล้ว ไม่มีอาสวะ ณ ที่นั้น เรามีจิตเลื่อมใสมีใจ โสมนัส ได้เอาพวงดอกไม้อ้อบูชาพระพุทธเจ้าผู้เป็นทักขิไณย บุคคล มีความเพียรใหญ่ ทรงอนุเคราะห์โลกทั้งสิ้น ในกัปที่ ๓๑ แต่กัปนี้ เราได้ดอกไม้ใดบูชา ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
  
                        พระพุทธ ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระนฬมาลิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ นฬมาลิยเถราปทาน
มณิปูชกเถราปทานที่ ๒ ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยแก้วมณี
 [๖๒] พระชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง ใคร่ต่อความ สงบ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง เสด็จไปในอากาศ สระใหญ่มีอยู่ ในที่ไม่ไกลป่าหิมวันต์ ภพของเราอันบุญกรรมประกอบดีแล้ว มี อยู่ในสระนั้น เราออกจากภพได้เห็นพระผู้นำโลก ผู้ทรงรุ่งเรือง เหมือนต้นราชพฤกษ์ โชติช่วงเหมือนดังกับไฟลุกโพลง เราได้ เห็นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่มีในป่าเปลี่ยว คิดว่าจักบูชาพระผู้นำโลก ทำจิตของตนให้เลื่อมใสแล้ว ได้ถวายบังคมพระศาสดา เราหยิบ แก้วมณีที่ศีรษะของเรา บูชาพระผู้นำด้วยความปรารถนาว่า ด้วยการเอาแก้วมณีบูชานี้ขอจงมีวิบากอันดี พระศาสดาพระนามว่า ปทุมุตระ ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา ประทับอยู่ใน อากาศ 
 ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ขอความดำริของท่านจงสำเร็จ เถิด ท่านจงได้สุขอันไพบูลย์ ด้วยการบูชาแก้วมณีนี้ ขอท่านจง ได้เสวยยศอันใหญ่หลวงเถิด พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด พระนาม ว่าปทุมุตระ ทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ครั้นตรัสแก่เราผู้ตั้งจิต ปรารถนาไว้ดังนี้แล้ว ได้เสด็จไป เราได้เป็นจอมเทพเสวยราช สมบัติในเทวโลก ๖๐ กัป และได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิหลายร้อย ครั้ง เมื่อเราเกิดเป็นเทวดา ระลึกถึงบุญกรรมขึ้นมา แก้วมณีอัน ส่องแสงสว่างให้เรา ย่อมเกิดแก่เรา เรามีนางเทพอัปสร ๘๖,๐๐๐ ซึ่งมีผ้าและเครื่องอาภรณ์อันวิจิตร สวมต่างหูแก้วมณี เป็นบริวาร นางเทพอัปสรเหล่านั้นมีหน้าแฉล้ม มักยิ้มก่อนเจรจา ตะโพกผาย เอวบางอ้อนแอ้น แวดล้อมเราอยู่เป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการบูชา ด้วยแก้วมณี ภัณฑะ คือ เครื่องประดับอันสำเร็จด้วยทอง สำเร็จ ด้วยแก้วมณี และสำเร็จด้วยแก้วทับทิม ย่อมเป็นของอันบุคคล ทำดีแล้วเพื่อเรา ตามที่เราต้องการ เรือนยอดและถ้ำที่น่ารื่นรมย์ และที่นอนอันสูงค่า ดังจะรู้ความประสงค์ของเรา ย่อมเกิดตาม ความปรารถนา ก็การที่ชนเหล่าใดได้เข้าไปฟัง ชนเหล่านั้นได้ลาภ ดีแล้ว การได้เข้าไปฟังเป็นบุญเขตของมนุษย์ เป็นโอสถของ สรรพสัตว์ ถึงกรรมที่เราผู้ได้เห็นพระผู้นำ
 ก็ชื่อว่าเป็นอันทำไว้ดีแล้ว เราเป็นผู้รอดพ้นจากวินิบาต เป็นผู้บรรลุบทอันไม่หวั่นไหว เราเข้า ถึงกำเนิดใดๆ คือ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ ในกำเนิดนั้นๆ แสงสว่าง ย่อมมีแก่เราทุกเมื่อ ทั้งกลางวันและกลางคืนเพราะการบูชาด้วย แก้วมณีนั้น เราจึงได้เสวยสมบัติ พบแสงสว่าง คือ ญาณ เป็นผู้ บรรลุบทอันไม่หวั่นไหว ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ เราเอาแก้วมณี บูชา ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชา ด้วยแก้วมณี เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้วดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระมณิปูชกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ มณิปูชกเถราปทาน
อุกกาสติกเถราปทานที่ ๓ ว่าด้วยผลแห่งการจุดคบเพลิงบูชา
 [๖๓] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคพระนามว่าโกสิกะ ประทับอยู่ที่ภูเขาจิตต- กูฏ พระองค์เป็นผู้เพ่งพินิจ ยินดีในฌาน เป็นผู้ตื่นแล้ว อภิรมย์ ในวิเวก เป็นมุนี ข้าพระองค์อันหมู่นารีแวดล้อมเข้าไปในป่าหิมวันต์ ได้เห็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกสิกะ ผู้ปานดังพระจันทร์ใน วันเพ็ญ ครั้งนั้น ข้าพระองค์ถือเอาคบเพลิงร้อยดวงแวดล้อมพระ พุทธเจ้าอยู่ตลอด ๗ วัน ๗ คืน ได้ไปโดยวันที่ ๘ ข้าพระองค์มีจิต เลื่อมใส ถวายบังคมพระสยัมภูพุทธเจ้าพระนามว่าโกสิกะ ผู้ไม่ ทรงพ่ายแพ้อะไรๆ เสด็จออกจากสมาบัติ แล้วได้ถวายภิกษา อย่างหนึ่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งสัตว์ เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านรชน เพราะกรรมนั้น ข้าพระองค์จึงเกิดในหมู่เทพ ชั้นดุสิต นี้เป็นผลแห่งภิกษาอย่างหนึ่ง แสงสว่างย่อมมีแก่ ข้าพระองค์ทุกเมื่อ ทั้งกลางวันและกลางคืน ข้าพระองค์แผ่รัศมีไป ได้โดยรอบร้อยโยชน์
 ในกัปที่ ๕๕ ข้าพระองค์ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้เป็นใหญ่ในชมพูทวีป มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ชำนะ แล้ว ครั้งนั้น พระนครของข้าพระองค์ เป็นเมืองมั่งคั่ง เจริญ สร้างสรรอย่างสวยงาม ยาว ๓๐ โยชน์ กว้าง ๒๐ โยชน์ พระนคร ชื่อโศภนอันวิสสุกรรมเทพบุตรนิรมิตให้ นครนั้นสงัดจากเสียง ๑๐ อย่าง ประกอบด้วยกังสดาลเสียงไพเราะ ในพระนครนั้นไม่มี เครือเถา ไม้ และดินเลย สำเร็จด้วยทองคำล้วนๆ ทีเดียว โชติช่วงอยู่ตลอดกาลเนืองนิตย์ พระนครนั้นล้อมด้วยกำแพง ๔ ชั้น ๓ ชั้น สำเร็จด้วยแก้วมณี ส่วนตรงกลางวิสสุกรรมเทพบุตร ได้เนรมิตถ่องแถวต้นตาลไว้ สระโบกขรณีตั้งหมื่นปกคลุมไปด้วย ปทุมและอุบล ดารดาษไปด้วยบุณฑริกเป็นต้น หอมกรุ่นไปด้วย กลิ่นนานาชนิด ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้ ข้าพระองค์ได้ทรงคบเพลิง ใด ด้วยกรรมนั้น ข้าพระองค์ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการ ทรงคบเพลิงไว้ ข้าพระองค์เผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาข้าพระองค์ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระอุกกาสติกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อุกกาสติกเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๔๘. นฬมาลิวรรค
๓. อุกกาสติกเถราปทาน
                    ๔๗๓. อรรถกถาอุกกาสติกเถราปทาน         
                    พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๓ ดังต่อไปนี้:- 
                    บทว่า โกสิโย นาม ภควา ความว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่าโกสิยะ เพราะเกิดในโกสิยโคตร. 
                    บทว่า จิตฺตกูเฏ ความว่า ในบรรดายอดภูเขาที่ตั้งเรียงรายอยู่ ปกคลุมสระอโนดาต เช่น ภูเขาจิตตกูฎ ภูเขาเกลาสกูฎและภูเขาสานุกูฎเป็นต้น. พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้นอยู่ที่ภูเขาจิตตกูฎอันงดงาม วิจิตรไปด้วยรัตนะและโอสถเป็นต้นนานาชนิดที่เกิดบนยอดภูเขาทั้งหลาย.
จบอรรถกถาอุกกาสติกเถราปทาน
สุมนวีชนิยเถราปทานที่ ๔ ว่าด้วยผลแห่งการพัดไม้โพธิ์
 [๖๔] เราเป็นผู้มีใจโสมนัส จับพัดวีชนีพัดไม้โพธิ์อันอุดม ที่ไม้โพธิ์ของ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสี ซึ่งเป็นไม้สูงสุด ในกัปที่ ๙๑ แต่ กัปนี้ เราได้พัดไม้โพธิ์อันอุดม ด้วยการพัดไม้โพธิ์นั้น เราไม่รู้จัก ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการพัดไม้โพธิ์ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระสุมนวีชนิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ สุมนวีชนิยเถราปทาน.
กุมมาสทายกเถราปทานที่ ๕ ว่าด้วยผลแห่งการถวายขนมกุมมาส
 [๖๕] เราเห็นบาตรอันว่างเปล่าของพระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ พระนามว่าวิปัสสี ผู้เสด็จเที่ยวแสวงหาบิณฑบาตอยู่ จึงใส่ขนม กุมมาสจนเต็มบาตร ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ เราได้ถวายภิกษาใด ด้วย การถวายภิกษานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งขนมกุมมาส เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระกุมมาสทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ กุมมาสทายกเถราปทาน.
 กุสัฏฐกทายกเถราปทานที่ ๖ ว่าด้วยผลแห่งการถวายหญ้าคา ๘ กำ
 [๖๖] เรามีจิตเลื่อมใสมีใจโสมนัส ได้ถวายหญ้าคา ๘ กำ แด่พระผู้มี พระภาคพระนามว่ากัสสปะ ผู้มีบาปอันลอยเสียแล้ว มีพรหมจรรย์ อันอยู่จบแล้ว ในกัปนี้ นั่นเอง เราได้ถวายหญ้าคา ๘ กำ ด้วยการ ถวายหญ้าคานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งหญ้าคา ๘ กำ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระกุสัฏฐกทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ กุสัฏฐกทายกเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๔๘. นฬมาลิวรรค ๖. กุสัฏฐกทายกเถราปทาน
                        ๔๗๖. อรรถกถากุสัฏฐกทายกเถราปทาน พึงทราบเรื่องราวใน อปทานที่ ๖ ดังต่อไปนี้:- 
                        กุสฏฺฐกมทาสหํ  ความว่า ในบรรดาภัต เช่น ปักขิกภัตร  อุโปสถิกภัต  ธุวภัตและ สลากภัตเป็นต้น เราได้ถวายสลากภัต ๘ ที่ที่พึงถวายด้วยสามารถแห่งใบสลาก.
 จบอรรถกถากุสัฏฐกทายกเถราปทาน
คิริปุนนาคิยเถราปทานที่ ๗ ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกบุนนาคบูชา
 [๖๗] ครั้งนั้น พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโสภิตะ ประทับอยู่ที่ภูเขาจิตตกูฏ เราได้ถือเอาดอกบุนนาคเข้ามาบูชาพระสยัมภู ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้ เราได้บูชาพระสัมพุทธเจ้า ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ...
                        เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระคิริปุนนาคิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ คิริปุนนาคิยเถราปทาน.
๗. คิริปุนนาคิยเถราปทาน ๔๗๗. อรรถกถาคิริปุนนาคิยเถราปทาน
                         พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๗ ดังต่อไปนี้:- 
                         บทว่า โสภิโต นาม สมฺพุทฺโธ ความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระนามว่าพระโสภิตะ เพราะพระองค์มีพระสรีระงดงามไปด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และพระรัศมีแผ่ออกข้างละวา ทั้งส่วนยาวและส่วนกว้าง.
จบอรรถกถาคิริปุนนาคิยเถราปทาน
วัลลิการผลทายกเถราปทานที่ ๘ ว่าด้วยผลแห่งการถวายแตง
 [๖๘] ครั้งนั้น พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสุมนะ ประทับอยู่ในพระนคร ตักกรา เราได้หยิบเอาผลไม้วัลลิการะถวายแด่พระสยัมภู ในกัปที่ ๓๑ แต่กัปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใดในกาลนั้น ด้วยการถวายผลไม้ นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ เราเผากิเลส ทั้งหลายแล้ว ...
                         พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                         ทราบว่า ท่านพระวัลลิการผลทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ วัลลิการผลทายกเถราปทาน.
๔๗๘. อรรถกถาวัลลิการผลทายกเถราปทาน พึงทราบเรื่องราวใน อปทานที่ ๘  ดังต่อไปนี้ :- 
                        บทว่า  ตกฺกรายํ วสี ตทา  ความว่า ราชธานี ชื่อว่า ตักกรา  เพราะเป็นที่อยู่ประจำของประชาชนผู้บำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ  ในคราวที่ประทับอยู่ในตักกรานครนั้น.
 จบอรรถกถาวัลลิการผลทายกเถราปทาน
ปานธิทายกเถราปทานที่ ๙ ว่าด้วยผลแห่งการถวายรองเท้า
 [๖๙] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอโนมทัสสี เชษฐบุรุษของโลกประเสริฐ กว่านรชน มีพระจักษุ เสด็จออกจากที่ประทับ สำราญกลางวันแล้ว เสด็จขึ้นถนน เราสวมรองเท้าที่ทำอย่างดีออกเดินทางไป ณ ที่นั้น เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้างามน่าดูน่าชม เสด็จดำเนินด้วยพระบาท เปล่า เรายังจิตของตนให้เลื่อมใส ถอดรองเท้าออกวางไว้แทบ พระบาท แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระสุคต ผู้เป็นมหาวีรบุรุษ เป็นใหญ่เป็นผู้นำชั้นพิเศษ ขอเชิญสวมรองเท้าเถิด ข้าพระองค์ จักได้ผลแต่รองเท้าคู่นี้ ขอความต้องการของข้าพระองค์จงสำเร็จ เถิด
 พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอโนมทัสสี เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านรชน ทรงสวมรองเท้าแล้ว ได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่าผู้ใด เลื่อมใสถวายคู่รองเท้าแก่เรา ด้วยมือทั้งสองของตน เราจักพยากรณ์ ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว เทวดาทุกๆ องค์ได้ทราบพระ พุทธดำรัสแล้ว มาประชุมกัน ต่างก็มีจิตปีติ ดีใจ เกิดความโสมนัส ประนมกรอัญชลี พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า เพราะการถวายรองเท้า นี้แล ผู้นี้จักเป็นผู้ถึงความสุข จักเสวยราชสมบัติในเทวโลก ๕๕ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ๑,๐๐๐ ครั้ง และจักได้เป็น พระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณนานับมิได้ ในกัปซึ่งนับไม่ถ้วน แต่กัปนี้ สกุลโอกกากะจักสมภพ พระศาสดามีพระนามว่าโคดม จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ผู้นี้จักเป็นทายาทในธรรมของพระศาสดา
 พระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวง แล้ว จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะปรินิพพาน ผู้นี้บังเกิดในเทวโลกหรือใน มนุษยโลก จักเป็นผู้มีปัญญา จักได้ยานอันเปรียบด้วยยานของ เทวดา ปราสาท วอ ช้าง ที่ประดับประดาแล้ว และรถที่เทียม แล้วด้วยม้าอาชาไนย ย่อมเกิดปรากฏแก่เราทุกเมื่อแม้เมื่อเราออก บวช ก็ได้ออกบวชด้วยรถ ได้บรรลุอรหัต เมื่อกำลังปลงผม นี้ เป็นลาภของเรา เราได้ดีแล้ว คือ การค้าขายเราได้ประกอบถูกทาง แล้ว เราถวายรองเท้าคู่หนึ่งจึงได้บรรลุบทอันไม่หวั่นไหว ในกัปอัน ประมาณมิได้แต่กัปนี้ เราได้ถวายรองเท้าใด ด้วยการถวายรองเท้า นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งรองเท้า เราเผากิเลสทั้งหลาย แล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระปานธิทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ ปานธิทายกเถราปทาน.
                        ๔๗๙. อรรถกถาปานธิทายกเถราปทาน พึงทราบเรื่องราวใน อปทานที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :- 
                        ปานธี สุกตํ คยฺห  ความว่า เราสวมคู่แห่งรองเท้าที่ทำเสร็จโดยอาการอย่างดีแล้ว แล.
 จบอรรถกถาปานธิทายกเถราปทาน
ปุฬินจังกมิยเถราปทานที่ ๑๐ ว่าด้วยผลแห่งการขนทรายใส่ที่จงกรม
 [๗๐] เมื่อก่อน เราเป็นพรานเนื้อ เราเที่ยวหาเนื้อสมันอยู่ในอรัญราวป่า ได้พบที่จงกรม เรามีจิตเลื่อมใสมีใจโสมนัส กอบเอาทรายใส่พกมา โรยลงในที่จงกรมของพระสุคตเจ้าผู้มีสิริ ในกัปที่ ๓๑ แต่กัปนี้ เราได้โรยทราย ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง ทราย เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระปุฬินจังกมิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ ปุฬินจังกมิยเถราปทาน.
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
             ๑. นฬมาลิยเถราปทาน ๖. กุสัฏฐกทายกเถราปทาน
             ๒. มณิปูชกเถราปทาน ๗. คิริปุนนาคิยเถราปทาน
             ๓. อุกกาสติกเถราปทาน ๘. วัลลิการผลทายกเถราปทาน
             ๔. สุมนวีชนิยเถราปทาน ๙. ปานธิทายกเถราปทาน
             ๕. กุมมาสทายกเถราปทาน ๑๐. ปุฬินจังกมิยเถราปทาน
             บัณฑิตคำนวณคาถาได้ ๙๕ คาถา.
จบ นฬมาลิวรรคที่ ๔๘.

ไม่มีความคิดเห็น: