Translate

18 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๗ สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๕ เรื่องเด็กชายอุบาลี [ว่าด้วย อุปสมบทกุลบุตรมีอายุ หย่อน ๒๐ ปี] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๖๔๘]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาค     พุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์ 
    ครั้งนั้นในพระนครราชคฤห์ มีเด็กชายพวกหนึ่ง ๑๗ คน เป็นเพื่อนกัน เด็กชายอุบาลีเป็นหัวหน้าของเด็กเหล่านั้น 
    ครั้งนั้น มารดาบิดาของเด็กชายอุบาลีได้หารือกันว่า ด้วยวิธีอย่างไรหนอ? เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไปแล้ว เจ้าอุบาลีจะพึงอยู่เป็นสุขและไม่ต้องลำบาก ครั้นแล้วหารือกันต่อไปว่า ถ้าเจ้าอุบาลีจะพึงเรียนหนังสือ ด้วยวิธีอย่างนี้แหละ 
     เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไป เจ้าอุบาลีก็จะอยู่เป็นสุขและไม่ต้องลำบาก แล้วหารือกันต่อไปอีกว่า ถึงเจ้าอุบาลีจักเรียนหนังสือ นิ้วมือก็จักระบม ถ้าเจ้าอุบาลีเรียนวิชาคำนวณ ด้วยวิธีอย่างนี้แหละ เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไป เจ้าอุบาลีก็จะอยู่เป็นสุขและไม่ต้องลำบาก ครั้นต่อมาจึงหารือกันอีกว่า ถ้าเจ้าอุบาลีจักเรียนวิชาคำนวณ เขาจักหนักอก ถ้าจะพึงเรียนวิชาดูรูปภาพ 
    ด้วยอุบายอย่างนี้แหละ เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไป เจ้าอุบาลีก็จะอยู่เป็นสุขและไม่ต้องลำบาก ครั้นต่อมาจึงหารือกันอีกว่า ถ้าเจ้าอุบาลีจักเรียนวิชาดูรูปภาพ นัยน์ตาทั้งทั้งสองของเขาจักชอกช้ำ พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้แล มีความสุขเป็นปกติ มีความประพฤติเรียบร้อย บริโภคอาหารที่ดี นอนในห้องนอนอันมิดชิด ถ้าเจ้าอุบาลีจะพึงได้บวชในสำนัก 
    พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีอย่างนี้แหละ เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไป เจ้าอุบาลีก็จะอยู่เป็นสุขและไม่ต้องลำบาก. 
ชวนกันออกบวช
     [๖๔๙] เด็กชายอุบาลีได้ยินถ้อยคำที่มารดาบิดาสนทนาหารือกันดังนี้ จึงเข้าไปหาเพื่อนเด็กเหล่านั้น ครั้นแล้วได้พูดชวนดังนี้ว่า มาเถิดพวกเจ้า เราจักพากันไปบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร. 
     เด็กชายพวกนั้นพูดว่า ถ้าเจ้าบวช แม้พวกเราก็จักบวชเหมือนกัน.    ไม่รอช้า เด็กชายเหล่านั้นต่างคนต่างก็ไปหามารดาบิดาของตนๆ แล้วขออนุญาตว่าขอท่านทั้งหลายจงอนุญาตให้พวกข้าพเจ้าออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด. 
     มารดาของเด็กเหล่านั้นก็อนุญาตทันที ด้วยคิดเห็นว่า เด็กเหล่านี้ต่างก็มีฉันทะร่วมกัน มีความมุ่งหมายดีด้วยกันทุกคน. 
 เด็กพวกนั้นเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายขอบรรพชาแล้ว.  ภิกษุทั้งหลายก็ได้ให้เด็กพวกนั้นบรรพชาและอุปสมบท. 
     ครั้นปัจจุสสมัยแห่งราตรี ภิกษุใหม่เหล่านั้นลุกขึ้นร้องไห้วิงวอนว่า ขอท่านทั้งหลายจงให้ข้าวต้ม จงให้ข้าวสวย จงให้ของเคี้ยว. 
     ภิกษุทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย จงรอให้ราตรีสว่างก่อน ถ้าข้าวต้มมี จักดื่มได้ ถ้าข้าวสวยมี จักฉันได้ ถ้าของเคี้ยวมี จักเคี้ยวฉันได้ ถ้าข้าวต้มข้าวสวยหรือของเคี้ยวไม่มี ต้องเที่ยวบิณฑบาตฉัน. 
     ภิกษุใหม่เหล่านั้นอันภิกษุทั้งหลายแม้กล่าวอยู่อย่างนี้แล ก็ยังร้องไห้วิงวอนอยู่อย่างนั้นแลว่า จงให้ข้าวต้ม จงให้ข้าวสวย จงให้ของเคี้ยว ดังนี้ ย่อมถ่ายอุจจาระรดบ้าง ถ่ายปัสสาวะรดบ้าง ซึ่งเสนาสนะ. 
     [๖๕๐] พระผู้มีพระภาคทรงตื่นบรรทม ณ เวลาปัจจุสสมัยแห่งราตรี ได้ทรงสดับเสียงเด็กๆ ครั้นแล้วตรัสเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสถามว่า นั่นเสียงเด็กๆ หรือ อานนท์? 
   จึงท่านพระอานนท์ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคแล้ว. 
ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสิกขาบท
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุทั้งหลายรู้อยู่ยังบุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ให้อุปสมบท จริงหรือ? 
    ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉน โมฆบุรุษเหล่านั้นรู้อยู่ จึงได้ยังบุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ให้อุปสมบทเล่า? เพราะบุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี 
    เป็นผู้ไม่อดทนต่อเย็น ร้อน หิวกระหาย 
    เป็นผู้มีปกติไม่ทนทานต่อสัมผัสแห่ง เหลือบ ยุง ลมแดด สัตว์เสือกคลาน ต่อคำกล่าวที่เขากล่าวร้าย อันมาแล้วไม่ดี ต่อทุกขเวทนาทางกาย อันกล้าแข็งเผ็ดร้อน ไม่เป็นที่ยินดี ไม่เป็นที่พอใจ อันอาจผลาญชีวิตได้ ที่เกิดขึ้นแล้ว 
   อันบุคคลมีอายุครบ ๒๐ ปีเท่านั้น จึงจะเป็นผู้อดทนต่อเย็น ร้อน หิวกระหาย เป็นผู้มีปกติทนทานต่อสัมผัสแห่ง เหลือบ ยุง ลม แดด สัตว์เสือกคลาน ต่อคำกล่าวที่เขากล่าวร้าย อันมาแล้วไม่ดีต่อทุกขเวทนาทางกาย อันกล้าแข็ง เผ็ดร้อน 
    ไม่เป็นที่ยินดี ไม่เป็นที่พอใจ อันอาจผลาญ ชีวิตได้ที่เกิดขึ้นแล้ว การกระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ    ๑๑๔. ๕. อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ ยังบุคคลมีปีหย่อน ๒๐ ให้อุปสมบท บุคคลนั้นไม่เป็นอุปสัมบันด้วย ภิกษุทั้งหลายนั้นถูกติเตียนด้วย นี้เป็นปาจิตตีย์ในเรื่องนั้น.
 เรื่องเด็กชายอุบาลี จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
[๖๕๑] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
   บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
   ที่ชื่อว่า รู้อยู่ คือ รู้เอง หรือคนอื่นบอกแก่เธอ หรือเจ้าตัวบอก. 
    ที่ชื่อว่า มีปีหย่อน ๒๐ คือ มีอายุยังไม่ครบ ๒๐ ปี.
  ภิกษุตั้งใจว่าจักให้อุปสมบท แล้วแสวงหาคณะก็ดี พระอาจารย์ก็ดี บาตรก็ดี จีวรก็ดี สมมติสีมาก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ 
    จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ 
    จบกรรมวาจา ๒ ครั้ง ต้องอาบัติ ทุกกฏ ๒ ตัว 
  จบกรรมวาจาครั้งสุดท้าย พระอุปัชฌายะต้องอาบัติปาจิตตีย์ คณะและพระอาจารย์ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
บทภาชนีย์
    [๖๕๒] บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ภิกษุสำคัญว่ามีอายุหย่อน ๒๐ ปี ให้อุปสมบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ภิกษุสงสัยอยู่ ให้อุปสมบท, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ภิกษุสำคัญว่ามีอายุครบ ๒๐ ปี ให้อุปสมบท, ไม่ต้องอาบัติ. 
    บุคคลมีอายุครบ ๒๐ ปี ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ครบ ๒๐ ปี ให้อุปสมบท ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    บุคคลมีอายุครบ ๒๐ ปี ภิกษุสงสัยอยู่ ให้อุปสมบท ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    บุคคลมีอายุครบ ๒๐ ปี ภิกษุสำคัญว่ามีอายุครบ ๒๐ ปี ให้อุปสมบท ไม่ต้องอาบัติ. 
อนาปัตติวาร
    [๖๕๓] บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ภิกษุสำคัญว่ามีอายุครบ ๒๐ ปี ให้อุปสมบท ๑ บุคคลมีอายุครบ ๒๐ ปี ภิกษุสำคัญมีอายุครบ ๒๐ ปี ให้อุปสมบท ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๗ สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๔ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร [ว่าด้วย ปิดอาบัติชั่วหยาบ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๖๔๔]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
      ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตรต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว บอกแก่ภิกษุสัทธิวิหาริกของภิกษุผู้พี่น้องกันว่า อาวุโส ผมต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว
      คุณอย่าได้บอกแก่ใครๆ เลย. ครั้นต่อมาภิกษุรูปหนึ่งต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว 
   ขอปริวาสเพื่ออาบัตินั้นต่อสงฆ์. สงฆ์ได้ให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้นแก่เธอแล้ว. เธอกำลังอยู่ปริวาสอยู่ พบภิกษุรูปนั้นแล้วได้บอกภิกษุรูปนั้นว่า อาวุโส ผมต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว 
   ได้ขอปริวาสเพื่ออาบัตินั้นต่อสงฆ์ สงฆ์ได้ให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้นแก่ผมแล้ว ผมนั้นกำลังอยู่ปริวาส ผมขอบอกให้ทราบ ขอท่านจงจำผมว่าบอกให้ทราบดังนี้. 
   ภิกษุนั้นถามว่า อาวุโส แม้ภิกษุรูปอื่นใด ต้องอาบัตินี้ แม้ภิกษุนั้นก็ทำอย่างนี้หรือ? 
   ภิกษุผู้อยู่ปริวาสตอบว่า ทำอย่างนี้ อาวุโส. 
   ภิกษุนั้นพูดว่า อาวุโส ท่านพระอุปนันทศากยบุตรนี้ต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว ท่านได้บอกแก่ผมว่า อาวุโส ผมต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว คุณอย่าได้บอกแก่ใครเลย. 
   ภิกษุผู้อยู่ปริวาสถามว่า อาวุโส ก็ท่านปกปิดอาบัตินั้นหรือ? 
   ภิกษุนั้นตอบว่า เป็นเช่นนั้น ขอรับ. 
   ครั้นแล้วภิกษุผู้อยู่ปริวาสนั้นได้แจ้งเรื่องแก่ภิกษุทั้งหลาย 
   บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุรู้อยู่ จึงได้ปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
ทรงสอบถาม
   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุผู้ปกปิดอาบัตินั้นว่า ดูกรภิกษุ ข่าวว่า เธอรู้อยู่ปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุ จริงหรือ? 
    ภิกษุผู้ปกปิดอาบัตินั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธอรู้อยู่ จึงได้ปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุเล่า? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ     ๑๑๓. ๔. อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ ปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุ เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
   [๖๔๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด &@ บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
    บทว่า ของภิกษุ คือ ของภิกษุรูปอื่น. 
 ที่ชื่อว่า รู้อยู่ คือ รู้เอง หรือคนอื่นๆ บอกแก่เธอ หรือเจ้าตัวบอก. 
 ที่ชื่อว่า อาบัติชั่วหยาบ ได้แก่ อาบัติปาราชิก ๔ และอาบัติสังฆาทิเสส ๑๓. 
 บทว่า ปิด ความว่า เมื่อภิกษุคิดเห็นว่า คนทั้งหลายรู้อาบัตินี้แล้วจักโจท จักบังคับให้ให้การ จักด่าว่า จักติเตียน จักทำให้เก้อ, เราจักไม่บอกละ ดังนี้ พอทอดธุระเสร็จ, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
บทภาชนีย์
   [๖๔๖] อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่าอาบัติชั่วหยาบ ปิด, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุยังสงสัยอยู่ ปิด, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
  อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่อาบัติชั่วหยาบ ปิด ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    ภิกษุปิดอาบัติไม่ชั่วหยาบ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    ภิกษุปิดอัชฌาจารอันชั่วหยาบก็ดี ไม่ชั่วหยาบก็ดี ของอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่าอาบัติชั่วหยาบ ปิด ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุยังสงสัยอยู่ ปิด ต้องอาบัติทุกกฏ. 
   อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่อาบัติชั่วหยาบ ปิด ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
    [๖๔๗] ภิกษุคิดเห็นว่าความบาดหมางก็ดี ความทะเลาะก็ดี ความแก่งแย่งก็ดี การวิวาทก็ดี จักมีแก่สงฆ์ แล้วไม่บอก ๑ 
     ไม่บอกด้วยคิดเห็นว่าสงฆ์จักแตกแยกกัน หรือจักร้าวรานกัน ๑ ไม่บอกด้วยคิดเห็นว่าภิกษุรูปนี้เป็นผู้โหดร้ายหยาบคาย จักทำอันตรายชีวิต หรือ อันตรายพรหมจรรย์ ๑ 
    ไม่พบภิกษุอื่นที่สมควรจึงไม่บอก ๑ ไม่ตั้งใจจะปิดแต่ยังไม่ได้บอก ๑ ไม่บอกด้วยคิดเห็นว่าจักปรากฏเอง ด้วยการกระทำของตน ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ สัปปาณก
วรรคที่ ๗  สิกขาบทที่ ๔  สัปปาณกวรรค ทุฏฐุลล
      ในสิกขาบทที่ ๔        มีวินิจฉัยดังนี้ :-
 [แก้อรรถว่าด้วยการปกปิดอาบัติชั่วหยาบ] 
      ในคำว่า ทุฏฺฐุลฺลา นาม อาปตฺติ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปาราชิก ๔ ไว้ ด้วยอำนาจแห่งการทรงขยายความ, แต่ทรงประสงค์อาบัติสังฆาทิเสส. เมื่อภิกษุปกปิดอาบัติสังฆาทิเสสนั้น เป็นปาจิตตีย์. 
      สองบทว่า ธุรํ นิกฺขิตฺตมตฺเต คือ เมื่อสักว่าทอดธุระเสร็จ. ถ้าแม้นทอดธุระแล้ว บอกในภายหลัง, รักษาไม่ได้. 
      มีคำอธิบายว่า พอทอดธุระเสร็จเท่านั้น ก็เป็นปาจิตตีย์. แต่ถ้าว่า ภิกษุทอดธุระแล้วอย่างนั้น บอกแก่ภิกษุอื่นเพื่อปกปิดไว้นั่นเอง, แม้ภิกษุผู้รับบอกนั้นเล่า ก็บอกแก่ภิกษุอื่นโดยอุบายดังกล่าวมานี้ สมณะตั้งร้อยก็ดี สมณะตั้งพันก็ดี ย่อมต้องอาบัติทั้งนั้น ตราบเท่าที่สุดยังไม่ขาดลง. 
    ถามว่า ที่สุดจะขาดเมื่อไร? 
  ตอบว่า ท่านมหาสุมเถระกล่าวไว้ก่อนว่า ภิกษุต้องอาบัติแล้วบอกแก่ภิกษุรูปหนึ่ง, ภิกษุผู้รับบอกนั้น กลับมาบอกแก่เธอผู้ต้องอาบัตินั้นอีก, ที่สุดย่อมขาดลงอย่างนี้. ส่วนพระมหาปทุมเถระกล่าวว่า เพราะว่า ภิกษุนี้เป็นวัตถุบุคคลทีเดียว (บุคคลผู้ต้องอาบัติ), แต่ต้องอาบัติแล้วก็บอกแก่ภิกษุรูปหนึ่ง, 
ภิกษุรูปที่ ๒ นี้ก็บอกแก่ภิกษุรูปต่อไป, ภิกษุรูปที่ ๓ นั้นกลับมาบอกเรื่องที่ภิกษุรูปที่ ๒ บอกเธอแก่ภิกษุรูปที่ ๒ นั้นแล, เมื่อบุคคลที่ ๓ กลับมาบอกแก่บุคคลที่ ๒ อย่างนี้ ที่สุดย่อมขาดตอนลง. 
      สองบทว่า อทุฏฺฐุลฺลํ อาปตฺตึ ได้แก่ อาบัติ ๕ กองที่เหลือ. 
     อัชฌาจารนี้ คือ สุกกวิสัฏฐิและกายสังสัคคะ ชื่อว่าอัชฌาจาร อันชั่วหยาบสำหรับอนุปสัมบัน ในคำว่า อนุปสมฺปนฺนสฺสทุฏฺฐุลฺลํ วา อทุฏฺฐุลฺลํ วา อชฺฌาจารํ นี้. 
      บทที่เหลือตื้นทั้งนั้นแล. 
      สิกขาบทนี้มีการทอดธุระเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางกาย วาจากับจิต เป็นอกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๗ สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๓ เรื่องพระฉัพพัคคีย์ [ว่าด้วย ฟื้นอธิกรณ์] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๖๓๙]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี 
     ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์รู้อยู่ฟื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรมเพื่อทำอีก ด้วยกล่าวหาว่า กรรมไม่เป็นอันทำแล้ว กรรมที่ทำแล้วไม่ดี กรรมต้องทำใหม่กรรมไม่เป็นอันทำเสร็จแล้ว กรรมที่ทำเสร็จแล้วไม่ดี ต้องทำให้เสร็จใหม่ 
    บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์รู้อยู่ จึงได้ฟื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรมเพื่อทำใหม่เล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
ทรงสอบถาม    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอรู้อยู่ฟื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรมเพื่อทำอีก จริงหรือ? 
 พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
 พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอรู้อยู่ จึงได้ฟื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรมเพื่อทำอีกเล่า? การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ  ๑๑๒. ๓. อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ ฟื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรม เพื่อทำอีกเป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
 สิกขาบทวิภังค์
   [๖๔๐] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
    บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
   ที่ชื่อว่า รู้อยู่ คือ รู้เอง หรือคนอื่นๆ บอกแก่เธอ หรือเจ้าตัวบอก. 
   ที่ชื่อว่า ตามธรรม คือ ที่สงฆ์ก็ดี บุคคลก็ดี ทำแล้วตามธรรม ตามสัตถุศาสน์ นี่ชื่อว่า ตามธรรม. 
   [๖๔๑] ที่ชื่อว่า อธิกรณ์ ได้แก่ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะต้องจัดต้องทำมี ๔ คือ วิวาทาธิกรณ์ ๑ อนุวาทาธิกรณ์ ๑ อาปัตตาธิกรณ์ ๑ กิจจาธิกรณ์ ๑. 
   บทว่า ฟื้น ... เพื่อทำอีก คือภิกษุฟื้นขึ้นด้วยกล่าวหาว่า กรรมไม่เป็นอันทำแล้ว กรรมที่ทำแล้วไม่ดี กรรมต้องทำใหม่ กรรมไม่เป็นอันทำเสร็จแล้ว กรรมที่ทำเสร็จแล้วไม่ดี สงฆ์ต้องทำให้เสร็จใหม่ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
   [๖๔๒] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ฟื้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
   กรรมเป็นธรรม ภิกษุมีความสงสัย ฟื้น ต้องอาบัติทุกกฏ. 
   กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ฟื้น ไม่ต้องอาบัติ. 
   กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ฟื้น ต้องอาบัติทุกกฏ. 
   กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุมีความสงสัย ฟื้น ต้องอาบัติทุกกฏ. 
   กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ฟื้น ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
   [๖๔๓] ภิกษุรู้อยู่ว่า ทำกรรมโดยไม่เป็นธรรม โดยเป็นวรรค หรือทำแก่บุคคลผู้ไม่ควรแก่กรรม ดังนี้ ฟื้น ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.
 อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ สัปปาณกวรรคที่ ๗ 
สิกขาบทที่ ๓       สัปปาณกวรรค อุกโกฏน 
    ในสิกขาบทที่ ๓           มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
 [ว่าด้วยการรื้อฟื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรม] 
     บทว่า อุกฺโกเฏนฺติ มีความว่า พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ไปยังสำนักของภิกษุนั้นๆ แล้ว พูดคำโยกโย้ไปมามีอาทิว่า กรรมไม่เป็นอันทำ คือไม่ให้การยืนยันโดยความเป็นเรื่องควรยืนยัน. 
    บทว่า ยถาธมฺมํ มีความว่า โดยธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพื่อเป็นเครื่องระงับอธิกรณ์ใดเล่า. 
     บทว่า นีหตาธิกรณํ คือ อธิกรณ์ที่สงฆ์วินิจฉัยแล้ว, อธิบายว่า อธิกรณ์ซึ่งสงฆ์ระงับแล้วโดยธรรมที่พระศาสดาตรัสแล้วนั่นแหละ. 
@    สองบทว่า ธมฺมกมฺเม ธมฺมกมฺมสญฺญี มีความว่า อธิกรณ์นั้น สงฆ์ระงับแล้วด้วยกรรมใด, ถ้ากรรมนั้นเป็นกรรมชอบธรรม, แม้ภิกษุนี้ก็เป็นผู้มีความสำคัญในกรรมที่เป็นธรรมนั้นว่า เป็นกรรมชอบธรรม ถ้ารื้อฟื้นอธิกรณ์นั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    แม้บทที่เหลือ บัณฑิตพึงทราบโดยนัยนี้. 
     นี้เป็นความย่อในสิกขาบทนี้. 
     ส่วนความพิสดาร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในคัมภีร์ปริวารโดยนัยมีอาทิว่า การรื้ออธิกรณ์ ๔ นี้ มีเท่าไร? ดังนี้. 
     พระอรรถกถาจารย์นำถ้อยคำที่ตรัสไว้ในคัมภีร์ปริวารนั้น ทั้งหมดมาแล้วพรรณนาอรรถแห่งคำนั้นนั่นแลไว้ในอรรถกถาทั้งหลาย แต่พวกเราจะพรรณนาคำนั้นในคัมภีร์ปริวารนั่นแหละ. เพราะเมื่อเราจะนำมาพรรณนาในสิกขาบทนี้ จะพึงฟั่นเฝือยิ่งขึ้น ฉะนั้น พวกเราจึงไม่ได้พรรณนาคำนั้น. 
      บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น. 
      สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๗ สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๒ เรื่องพระฉัพพัคคีย์ [ว่าด้วย บริโภคน้ำมีตัวสัตว์] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๖๓๔]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี
     ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์รู้อยู่ บริโภคน้ำมีตัวสัตว์บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์รู้อยู่จึงได้บริโภคน้ำมีตัวสัตว์เล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
ทรงสอบถาม
     พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอรู้อยู่ บริโภคน้ำมีตัวสัตว์ จริงหรือ? 
     พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
     พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอรู้อยู่ จึงได้บริโภคน้ำมีตัวสัตว์เล่า? การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ      ๑๑๑. ๒. อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ บริโภคน้ำมีตัวสัตว์ เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
     [๖๓๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
      บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
     ที่ชื่อว่า รู้อยู่ คือ รู้เอง หรือคนอื่นๆ บอกแก่เธอ. 
     บทว่า มีตัวสัตว์ ความว่า ภิกษุรู้อยู่ คือ รู้ว่า สัตว์ทั้งหลายจักตายเพราะการบริโภค ดังนี้ บริโภค, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
บทภาชนีย์
     [๖๓๗] น้ำมีตัวสัตว์ ภิกษุสำคัญว่ามีตัวสัตว์ บริโภค ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
     น้ำมีตัวสัตว์ ภิกษุสงสัย บริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    น้ำมีตัวสัตว์ ภิกษุสำคัญว่าไม่มีตัวสัตว์ บริโภค ไม่ต้องอาบัติ. 
     น้ำไม่มีตัวสัตว์ ภิกษุสำคัญว่ามีตัวสัตว์ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
     น้ำไม่มีตัวสัตว์ ภิกษุสงสัย บริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ. 
     น้ำไม่มีตัวสัตว์ ภิกษุสำคัญว่าไม่มีตัวสัตว์ ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
      [๖๓๘] ภิกษุไม่รู้ว่าน้ำมีตัวสัตว์ ๑ ภิกษุรู้ว่าน้ำไม่มีตัวสัตว์ คือรู้ว่าสัตว์จักไม่ตายเพราะการบริโภค ดังนี้ บริโภค ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ. 
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ สัปปาณกวรรคที่ ๗ 
สิกขาบทที่ ๒          ปาจิตตีย์ สัปปาณก
        ในสิกขาบทที่ ๒ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
 [แก้อรรถว่าด้วยการบริโภคน้ำมีตัวสัตว์] 
        บทว่า สปฺปาณกํ ได้แก่ นํ้ามีตัวสัตว์ด้วยจำพวกสัตว์เล็กๆ ซึ่งจะตายเพราะการบริโภค. อธิบายว่า ก็ภิกษุรู้อยู่บริโภคนํ้าเช่นนั้น ต้องปาจิตตีย์ทุกๆ ประโยค.เมื่อภิกษุดื่มนํ้าแม้เต็มบาตร โดยประโยคเดียวไม่ขาดตอน ก็เป็นอาบัติตัวเดียว. 
        ภิกษุเอานํ้าเช่นนั้นแกว่งล้างบาตรมีอามิสก็ดี ทำบาตร ข้าวต้มร้อนให้เย็นในนํ้าเช่นนั้นก็ดี เอามือวัก หรือเอากระบวยตักนํ้านั้นอาบก็ดี เป็นปาจิตตีย์ ทุกๆ ประโยค. 
        แม้ภิกษุเข้าไปสู่สระพังนํ้าก็ดี สระโบกขรณีก็ดี ให้คลื่นเกิดขึ้นเพื่อต้องการให้นํ้าทะลักออกภายนอก (เป็นปาจิตตีย์). พวกภิกษุเมื่อชำระสระพังหรือสระโบกขรณี 
        พึงถ่ายเทนํ้าที่ตักจากสระพังหรือจากสระโบกขรณีนั้นลงในนํ้าเท่านั้น.เมื่อในที่ใกล้ไม่มีนํ้า พึงเทนํ้าที่เป็นกัปปิยะ ๘ หม้อหรือ ๑๐ หม้อลงในประเทศที่ขังนํ้าได้ (แอ่งนํ้า) แล้วพึงเทลงในนํ้าที่เป็นกัปปิยะซึ่งเทไว้นั้น. 
       อย่าพึงเทนํ้าลงบนหินอันร้อน ด้วยสำคัญว่า จักไหลกลับลงไปในนํ้า. แต่จะรดให้หินเย็นด้วยนํ้าที่เป็นกัปปิยะ ควรอยู่. 
        บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ตื้นทั้งนั้น. 
        สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล. 
       แต่ในสิกขาบทนี้ บัณฑิตพึงทราบว่าเป็นปัณณัตติวัชชะ เพราะภิกษุแม้รู้ว่านํ้ามีตัวสัตว์ แล้วบริโภคด้วยสำคัญว่าเป็นนํ้า ดุจในการที่แม้รู้ว่าตั๊กแตนและสัตว์เล็กจะตกลงไปแล้ว ตามประทีปด้วยจิตบริสุทธิ์ ฉะนั้น ดังนี้แล.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๗ สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๑ เรื่องพระอุทายี [ว่าด้วย แกล้งฆ่าสัตว์] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๖๓๑]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี 
          ครั้งนั้น ท่านพระอุทายีเป็นผู้ชำนาญในการยิงธนูนกกาทั้งหลายไม่เป็นที่ชอบใจของท่านๆ ได้ยิงมัน แล้วตัดศีรษะเสียบหลาวเรียงไว้เป็นลำดับ 
ภิกษุทั้งหลายถามอย่างนี้ว่า อาวุโส ใครฆ่านกกาเหล่านี้? 
พระอุทายีตอบว่า ผมเองขอรับ เพราะผมไม่ชอบนกกา. 
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระอุทายีจึงได้แกล้งพรากสัตว์จากชีวิตเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ...
ทรงสอบถาม พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี ข่าวว่า เธอแกล้งพรากสัตว์จากชีวิต จริงหรือ? 
ท่านพระอุทายีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
      พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธอจึงได้แกล้งพรากสัตว์จากชีวิตเล่า? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใสหรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... 
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ      ๑๑๐. ๑. อนึ่ง ภิกษุใด แกล้งพรากสัตว์จากชีวิต เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระอุทายี จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
 [๖๓๒] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... 
 บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
 บทว่า แกล้ง คือ รู้อยู่ รู้ดีอยู่ ตั้งใจ พยายาม ละเมิด. 
 ที่ชื่อว่า สัตว์ ตรัสหมายสัตว์ดิรัจฉาน. 
 บทว่า พราก ... จากชีวิต ความว่า ตัดทอน บั่นทอน ซึ่งอินทรีย์มีชีวิต ทำความสืบต่อให้กำเริบ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
         [๖๓๓] สัตว์มีชีวิต ภิกษุสำคัญว่าสัตว์มีชีวิต พรากจากชีวิต ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
 สัตว์มีชีวิต ภิกษุสงสัย พรากจากชีวิต ต้องอาบัติทุกกฏ. 
 สัตว์มีชีวิต ภิกษุสำคัญไม่ใช่สัตว์มีชีวิต พรากจากชีวิต ไม่ต้องอาบัติ. 
 ไม่ใช่สัตว์มีชีวิต ภิกษุสำคัญว่าสัตว์มีชีวิต ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
 ไม่ใช่สัตว์มีชีวิต ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
     ไม่ใช่สัตว์มีชีวิต ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่สัตว์มีชีวิต ... ไม่ต้องอาบัติ. 
อนาปัตติวาร
     [๖๓๔] ภิกษุไม่แกล้งพราก ๑ ภิกษุพรากด้วยไม่มีสติ ๑ ภิกษุไม่รู้ ๑ ภิกษุไม่ประสงค์จะให้ตาย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ สัปปาณกวรรคที่ ๗ 
สิกขาบทที่ ๑    ปาจิตตีย์ สัปปาณวรรค
 สัญจิจจปาณสิกขาบทที่ ๑ - บาลีเป็นสัปปาณกวรรค. 
พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑ แห่งสัปปาณวรรคดังต่อไปนี้ :- 
[แก้อรรถปาฐะเรื่องการแกล้งพรากสัตว์จากชีวิต] 
      สองบทว่า อิสฺสาโส โหติ ความว่า เคยเป็นอาจารย์ของพวกนายขมังธนูในคราวเป็นคฤหัสถ์. 
      สองบทว่า ชีวิตา โวโรปิตา ได้แก่ พรากเสียจากชีวิต. 
     แม้ในสิกขาบท คำว่า โวโรเปยฺย ก็แปลว่า พึงพรากเสีย. ก็เพราะคำว่า โวโรเปยฺย นั่น เป็นเพียงโวหารเท่านั้น, เพราะว่า เมื่อสัตว์ถูกพรากจากชีวิตแล้ว ไม่มีชีวิตไรๆ จะยังคงอยู่ต่างหากในสัตว์นี้ คือจะถึงความอันตรธานไปแน่นอน 
     เหมือนศีรษะเมื่อถูกพรากเครื่องประดับศีรษะ ฉะนั้น เพราะฉะนั้น เพื่อจะแสดงอรรถนั้น ในบทภาชนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสคำว่า ชีวิตินฺทฺริยํ อุปจฺฉินฺทติ เป็นต้น. 
     ก็ในสิกขาบทนี้ จำเพาะสัตว์ดิรัจฉานเท่านั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ปาณะ (ปราณ). ภิกษุฆ่าสัตว์เดรัจฉานนั้น เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เป็นอาบัติเท่ากัน, ไม่มีความต่างกัน. แต่ในสัตว์ใหญ่เป็นอกุศลมาก เพราะมีความพยายามมาก. 
     สองบทว่า ปาเณปาณสญฺญี มีความว่า ชั้นที่สุด ภิกษุจะทำความสะอาดเตียงและตั่ง มีความสำคัญแม้ในไข่เรือดว่าเป็นสัตว์เล็ก บี้ไข่เรือดนั้นให้แตกออก เพราะขาดความกรุณา เป็นปาจิตตีย์. เพราะเหตุนั้น ภิกษุพึงตั้งความกรุณาไว้ในฐานะเช่นนั้น เป็นผู้ไม่ประมาททำวัตรเถิด. 
     บทที่เหลือพร้อมทั้งสมุฏฐานเป็นต้น บัณฑิตพึงทราบโดยนัยดังได้กล่าวแล้วในมนุสสวิคคหสิกขาบทนั่นแล.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๖ สุราปานวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ เรื่องพระสัตตรสวัคคีย์ [ว่าด้วย การซ่อนจีวร] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๖๒๗]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี 
     ครั้งนั้น พระสัตตรสวัคคีย์เป็นผู้ไม่เก็บงำบริขารพระฉัพพัคคีย์จึงซ่อนบาตรบ้าง จีวรบ้าง ของพระสัตตรสวัคคีย์ๆ จึงกล่าวขอร้องพระฉัพพัคคีย์ว่าอาวุโสทั้งหลาย ขอท่านจงคืนบาตรให้แก่พวกผมดังนี้บ้าง ว่าขอท่านจงคืนจีวรให้แก่พวกผมดังนี้บ้าง. 
     พระฉัพพัคคีย์พากันหัวเราะ พระสัตตรสวัคคีย์ร้องไห้ ภิกษุทั้งหลายพากันถามว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านร้องไห้ทำไม? 
     พระสัตตรสวัคคีย์ตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกพระฉัพพัคคีย์เหล่านี้พากันซ่อนบาตรบ้าง จีวรบ้าง ของพวกผม. 
     บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้ซ่อนบาตรบ้าง จีวรบ้าง ของภิกษุทั้งหลายเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
ทรงสอบถาม     พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอซ่อนบาตรบ้าง จีวรบ้าง ของภิกษุทั้งหลายจริงหรือ? 
     พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
     พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้ซ่อนบาตรบ้าง จีวรบ้าง ของภิกษุทั้งหลายเล่า? การกระทำของพวกเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ     ๑๐๙. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุใด ซ่อนก็ดี ให้ซ่อนก็ดี ซึ่งบาตรก็ดี จีวรก็ดี ผ้าปูนั่งก็ดี กล่องเข็มก็ดี ประคดเอวก็ดี ของภิกษุ โดยที่สุดแม้หมายจะหัวเราะ เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระสัตตรสวัคคีย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    [๖๒๘] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
     บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
    บทว่า ของภิกษุ คือ ของภิกษุอื่น. 
    ที่ชื่อว่า บาตร ได้แก่ บาตร ๒ ชนิด คือ บาตรเหล็ก ๑ บาตรดินเผา ๑ 
    ที่ชื่อว่า จีวร หมายถึงผ้า ๖ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าองค์กำหนดแห่งผ้าต้องวิกัปเป็นอย่างต่ำ. 
    ที่ชื่อว่า ผ้าปูนั่ง ตรัสหมายผ้าปูนั่งที่มีชาย. 
    ที่ชื่อว่า กล่องเข็ม ได้แก่กล่องที่มีเข็มก็ตาม ไม่มีเข็มก็ตาม. 
    ที่ชื่อว่า ประคตเอว ได้แก่ประคตเอว ๒ ชนิด คือ ประคตผ้าชนิดหนึ่ง ประคต ไส้สุกรชนิดหนึ่ง. 
    บทว่า ซ่อน คือ ซ่อนเอง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    บทว่า ให้ซ่อน คือ ใช้ผู้อื่นให้ซ่อน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ใช้หนเดียว เขาซ่อนแม้หลายหน ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    บทว่า โดยที่สุดแม้หมายจะหัวเราะ คือ มุ่งจะล้อเล่น. 
บทภาชนีย์
ติกะปาจิตตีย์     [๖๒๙] อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอุปสมบัน ซ่อนก็ดี ให้ซ่อนก็ดี ซึ่งบาตรก็ดี จีวรก็ดี ผ้าปูนั่งก็ดี กล่องเข็มก็ดี ประคตเอวก็ดี โดยที่สุดแม้หมายจะหัวเราะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ 
    อุปสัมบัน ภิกษุสงสัย ซ่อนก็ดี ให้ซ่อนก็ดี ซึ่งบาตรก็ดี จีวรก็ดี ผ้าปูนั่งก็ดี กล่องเข็มก็ดี ประคตเอวก็ดี โดยที่สุดแม้หมายจะหัวเราะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบัน ซ่อนก็ดี ให้ซ่อนก็ดี ซึ่งบาตรก็ดี จีวรก็ดีผ้าปูนั่งก็ดี กล่องเข็มก็ดี ประคตเอวก็ดี โดยที่สุดแม้หมายจะหัวเราะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ปัญจกะทุกกฏ
    ภิกษุซ่อนก็ดี ให้ซ่อนก็ดี ซึ่งบริขารอย่างอื่น โดยที่สุดแม้หมายจะหัวเราะ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    ภิกษุซ่อนก็ดี ให้ซ่อนก็ดี ซึ่งบาตรก็ดี จีวรก็ดี บริขารอย่างอื่นก็ดี ของอนุปสัมบันโดยที่สุดแม้หมายจะหัวเราะ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    อนุปสัมบัน ภิกษุสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
      [๖๓๐] ภิกษุไม่มีความประสงค์จะหัวเราะ ๑ ภิกษุเก็บบริขารที่ผู้อื่นวางไว้ไม่ดี ๑ ภิกษุเก็บไว้ด้วยหวังสั่งสอนแล้วจึงจะคืนให้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สุราปานวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ. 
ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๖ จบ.
หัวข้อประจำเรื่อง
    ๑. สุราปานสิกขาบท ว่าด้วยการดื่มสุรา 
    ๒. อังคุลิปโตทกสิกขาบท ว่าด้วยการจี้ 
    ๓. หัสสธัมมสิกขาบท ว่าด้วยการเล่นน้ำ 
    ๔. อนาทริยสิกขาบท ว่าด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ 
    ๕. ภิงสาปนสิกขาบท ว่าด้วยการหลอนภิกษุ 
    ๖. โชติสมาทหนสิกขาบท ว่าด้วยการติดไฟ 
    ๗. นหานสิกขาบท ว่าด้วยการอาบน้ำ 
    ๘. ทุพพัณณกรณสิกขาบท ว่าด้วยของสำหรับทำให้เสียสี 
    ๙. วิกัปปนสิกขาบท ว่าด้วยการวิกัปจีวร และ 
    ๑๐. จีวราปนิธานสิกขาบท ว่าด้วยการซ่อนจีวร
 อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ สุราปานวรรคที่ ๖ 
สิกขาบทที่ ๑๐       สุราปานวรรค วิกัปปน 
       ในสิกขาบทที่ ๑๐      มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
        บทว่า อปนิเธนฺติ คือ นำไปเก็บซ่อนไว้. 
        บทว่า หสฺสาเปกฺโข คือ มีความประสงค์จะหัวเราะ. 
        สองบทว่า อญฺญํ ปริกฺขารํ ได้แก่ บริขารอื่นมีถุงบาตรเป็นต้น ซึ่งมิได้มาในพระบาลี. 
        สามบทว่า ธมฺมึ กถํ กตฺวา มีความว่า เมื่อภิกษุเก็บไว้ด้วยทำใจว่า เราจักกล่าวธรรมกถา
       อย่างนี้ว่า ชื่อว่า สมณะเป็นผู้ไม่เก็บงำบริขารไม่ควร แล้วจึงจักให้ ดังนี้ ไม่เป็นอาบัติ. 
        บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้นแล. 
        สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ ดังนี้แล. 
        จีวราปนิธานสิกขาบทที่ ๑๐ จบ 
        สุราปานวรรคที่ ๖ จบบริบูรณ์ ตามวรรณนานุกรม.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๖ สุราปานวรรค สิกขาบทที่ ๙ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร [ว่าด้วย การวิกัปจีวร] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๖๒๓]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
         ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตร วิกัปจีวรเองแก่ภิกษุสัทธิวิหาริกของภิกษุผู้เป็นพี่น้องกัน แล้วใช้สอยจีวรนั้น ซึ่งยังมิได้ถอน ครั้นแล้วภิกษุนั้นเล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายว่า อาวุโสทั้งหลาย ท่านพระอุปนันทศากยบุตรนี้ วิกัปจีวรเองแก่ผมแล้วใช้สอยจีวรนั้นซึ่งยังมิได้ถอน 
         บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ท่านพระอุปนันทศากยบุตรวิกัปจีวรเองแก่ภิกษุแล้ว ไฉน จึงได้ใช้สอยจีวรนั้นซึ่งยังมิได้ถอนเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามว่า ดูกรอุปนันท์ ข่าวว่า เธอวิกัปจีวรเองแก่ภิกษุแล้วใช้ สอยจีวรนั้นซึ่งยังมิได้ถอน จริงหรือ? 
        พระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
 พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทางติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอวิกัปจีวรเองแก่ภิกษุแล้ว ไฉนจึงได้ใช้สอยจีวรนั้นซึ่งยังมิได้ถอนเล่า? การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... 
        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
 พระบัญญัติ ๑๐๘. ๙. อนึ่ง ภิกษุใดวิกัปจีวรเอง แก่ภิกษุก็ดี ภิกษุณีก็ดี สิกขมานาก็ดี สามเณรก็ดี สามเณรีก็ดี แล้วใช้สอยจีวรนั้น ซึ่งไม่ให้เขาถอนก่อน เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ 
สิกขาบทวิภังค์
 [๖๒๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... 
        บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อ ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
        บทว่า แก่ภิกษุ คือ แก่ภิกษุรูปอื่น. 
        ที่ชื่อว่า ภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย. 
        ที่ชื่อว่า สิกขมานา ได้แก่ สามเณรีผู้มีสิกขาอันศึกษาแล้วในธรรม ๖ ประการตลอด ๒ ปี. 
        ที่ชื่อว่า สามเณร ได้แก่ บุรุษผู้ถือสิกขาบท ๑๐. 
        ที่ชื่อว่า สามเณรี ได้แก่ สตรีผู้ถือสิกขาบท ๑๐. 
        บทว่า เอง คือ วิกัปด้วยตน. 
        ที่ชื่อว่า จีวร ได้แก่ผ้า ๖ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าองค์กำหนดแห่งผ้าต้องวิกัปเป็นอย่างต่ำ. 
        ที่ชื่อว่า วิกัป (โดยใจความก็คือทำให้เป็นของสองเจ้าของ) มี ๒ อย่าง คือ วิกัป ต่อหน้า ๑ วิกัปลับหลัง ๑. 
        ที่ชื่อว่า วิกัปต่อหน้า คือกล่าวคำว่า ข้าพเจ้าวิกัปจีวรผืนนี้แก่ท่าน หรือว่าข้าพเจ้าวิกัป จีวรผืนนี้แก่สหธรรมิกผู้มีชื่อนี้. 
        ที่ชื่อว่า วิกัปลับหลัง คือกล่าวคำว่า ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่านเพื่อช่วยวิกัป ภิกษุผู้รับวิกัปนั้น 
   พึงถามว่า ใครเป็นมิตรหรือเป็นผู้เคยเห็นของท่าน 
    พึงตอบว่า ท่านผู้มีชื่อนี้ และท่านผู้มีชื่อนี้ ภิกษุผู้รับวิกัปนั้นพึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าให้แก่ภิกษุมีชื่อนั้นและภิกษุมีชื่อนั้น จีวรผืนนี้เป็นของภิกษุเหล่านั้น ท่านจงใช้สอยก็ตาม จงสละก็ตาม จงทำตามปัจจัยก็ตาม. 
        ที่ชื่อว่า ซึ่งไม่ให้เขาถอนก่อน คือ ภิกษุใช้สอยจีวรที่ผู้รับวิกัปนั้นยังมิได้คืนให้หรือไม่วิสาสะแก่ภิกษุผู้รับวิกัปนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
บทภาชนีย์
ติกะปาจิตตีย์ [๖๒๕] จีวรยังมิได้ถอน ภิกษุสำคัญว่ายังมิได้ถอน ใช้สอย ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
        จีวรยังมิได้ถอน ภิกษุสงสัยว่า ใช้สอย ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
        จีวรยังมิได้ถอน ภิกษุสำคัญว่าถอนแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ติกะทุกกฏ 
        ภิกษุอธิษฐานก็ดี สละให้ไปก็ดี ใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
        จีวรที่ถอนแล้ว ภิกษุสำคัญว่ายังมิได้ถอน ใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
        จีวรที่ถอนแล้ว ภิกษุสงสัย ใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ
 จีวรที่ถอนแล้ว ภิกษุสำคัญว่าถอนแล้ว ใช้สอย ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
           [๖๒๖] ภิกษุใช้สอยจีวรที่ภิกษุผู้รับวิกัปคืนให้ หรือวิสาสะแก่ภิกษุผู้รับวิกัป ๑ ภิกษุ วิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
 สุราปานวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ. 
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ สุราปานวรรคที่ ๖
 สิกขาบทที่ ๙               สุราปานวรรค วิกัปปน
 ในสิกขาบทที่ ๙ มีวินิจฉัยดังนี้ :-                  [ว่าด้วยการใช้จีวรยังไม่ได้ถอนวิกัป]
     สองบทว่า ตสฺส วา อทินฺนํ ได้แก่ (จีวร) ที่ภิกษุผู้รับวิกัปยังไม่กล่าวให้แก่ภิกษุเจ้าของจีวรอย่างนี้ว่า 
      ท่านจงใช้สอยก็ตาม จงสละก็ตาม จงทำตามปัจจัยก็ตาม. 
 สองบทว่า ตสฺส วา อวิสฺสาเสนฺโต มีความว่า หรือด้วยไม่วิสาสะแก่ภิกษุผู้ทำวินัยกรรม. แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ใช้สอยจีวรที่ภิกษุผู้รับวิกัปนั้นให้แล้ว หรือด้วยวิสาสะแก่ภิกษุผู้รับวิกัปนั้น. 
        บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ตื้นทั้งนั้น เพราะมีนัยดังที่ได้กล่าวแล้ว ในติงสกกัณฑวรรณนานั้นแล. 
        สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับวาจา ๑ ทางวาจากับจิต ๑ เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา เป็นโนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.