Translate

04 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปราชิกกัณฑ์ สิกขาบทที่ ๔ เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์

     [๒๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
    ครั้งนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์มีความกำหนัดยินดีการที่บุรุษบุคคลผู้กำหนัดจับมือบ้าง จับชายผ้าสังฆาฏิบ้าง ยืนด้วยบ้าง สนทนาด้วยบ้าง ไปสู่ที่นัดแนะบ้าง ยินดีการที่บุรุษมาหาตามนัดบ้าง เข้าไปสู่ที่มุงด้วยกันบ้าง ทอดกายเพื่อประโยชน์แก่บุรุษนั้น
เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั้นบ้าง.
    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จึงได้มีความกำหนัดยินดีการที่บุรุษบุคคลผู้กำหนัดจับมือบ้าง จับชายผ้าสังฆาฏิบ้าง ยืนด้วยบ้าง สนทนาด้วยบ้าง ไปสู่ที่นัดแนะกันบ้าง ยินดีการที่บุรุษมาหาตามนัดบ้าง เข้าไปสู่ที่มุงด้วยกันบ้าง ทอดกายเพื่อประโยชน์
    แก่บุรุษนั้น เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั้นบ้างเล่า ... แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีฉัพพัคคีย์มีความกำหนัด ยินดีการที่บุรุษบุคคลผู้กำหนัดจับมือบ้าง จับชายผ้าสังฆาฏิบ้าง ยืนด้วยบ้าง สนทนาด้วยบ้าง ไปสู่ที่นัดแนะกันบ้าง ยินดีการที่บุรุษมาหาตามนัดบ้าง เข้าไปสู่ที่มุงด้วยกันบ้าง ทอดกายเพื่อประโยชน์แก่บุรุษนั้น เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั้นบ้าง จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงมีความกำหนัด ยินดีการที่บุรุษบุคคลผู้กำหนัดจับมือบ้าง จับชายผ้าสังฆาฏิบ้าง ยืนด้วยบ้าง สนทนาด้วยบ้าง ไปสู่ที่นัดแนะกันบ้าง ยินดีการที่บุรุษมาหาตามนัดบ้าง
 เข้าไปสู่ที่มุงด้วยกันบ้าง ทอดกายเพื่อประโยชน์แก่บุรุษนั้น เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั้นบ้าง การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
            ก็แลภิกษุณีทั้งหลาย จงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระบัญญัติ     ๘.๔. อนึ่ง ภิกษุณีใด มีความกำหนัด ยินดีการที่บุรุษบุคคลผู้กำหนัดจับมือก็ดี จับชายผ้าสังฆาฏิก็ดี ยืนด้วยก็ดี สนทนาด้วยก็ดี ไปสู่ที่นัดหมายกันก็ดี ยินดีการที่บุรุษมาหาตามนัดก็ดี
    เข้าไปสู่ที่มุงด้วยกันก็ดี ทอดกายเพื่อประโยชน์แก่บุรุษนั้น เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั้นก็ดี แม้ภิกษุณีนี้เป็นปาราชิก ชื่ออัฏฐวัตถุกา หาสังวาสมิได้.
เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๒๗] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ 
นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า มีความกำหนัด คือ มีความยินดียิ่ง มีความเพ่งเล็ง มีจิตปฏิพัทธ์.
 ที่ชื่อว่า ผู้กำหนัดคือ กำหนัดนักแล้ว มีความเพ่งเล็ง มีจิตปฏิพัทธ์.
 ที่ชื่อว่า บุรุษบุคคล ได้แก่ มนุษย์ผู้ชาย ไม่ใช่ยักษ์ผู้ชาย ไม่ใช่เปรตผู้ชาย ไม่ใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ เป็นผู้รู้ความ เป็นผู้สามารถเพื่อถึงความเคล้าคลึงด้วยกาย.
    บทว่า ยินดีการจับมือก็ดี ความว่า ที่ชื่อว่า มือ กำหนดตั้งแต่ข้อศอก ถึงปลายเล็บภิกษุณียินดีการจับอวัยวะเหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้เข่าลงมา เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
    บทว่า ยินดีการจับชายผ้าสังฆาฏิก็ดี คือ ยินดีการจับผ้านุ่งก็ดี ผ้าห่มก็ดี เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติถุลลัจจัย. 
    บทว่า ยืนด้วยก็ดี ความว่า ยืนอยู่ในระยะช่วงมือของบุรุษ เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
    บทว่า สนทนาด้วยก็ดี ความว่า ยืนพูดอยู่ในระยะช่วงมือของบุรุษ เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
    บทว่า ไปสู่ที่นัดแนะกันก็ดี ความว่า บุรุษพูดนัดว่า โปรดมาสู่สถานที่ชื่อนี้ ดังนี้ ภิกษุณีไปเพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติทุกกฏทุกๆ ก้าว พอย่างเข้าระยะช่วงมือของ บุรุษ ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
     บทว่า ยินดีการที่บุรุษมาหาตามนัดก็ดี ความว่า ยินดีการมาตามนัดของบุรุษ เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติทุกกฏ พอย่างเข้าระยะช่วงมือ ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
     บทว่า เข้าไปสู่ที่มุงด้วยกันก็ดี ความว่า พอย่างเข้าสู่สถานที่อันมุงไว้ด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
    บทว่า ทอดกายเพื่อประโยชน์แก่บุรุษนั้นก็ดี ความว่า อยู่ในระยะช่วงมือของบุรุษ แล้วทอดกายเพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
    [๒๘] บทว่า แม้ภิกษุณีนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสเทียบเคียงภิกษุณีรูปก่อน.    บทว่า เป็นปาราชิก มีอธิบายว่า ต้นตาลมียอดด้วนแล้วไม่อาจงอกอีกได้ ชื่อแม้ฉันใด ภิกษุณีก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทำวัตถุถึงที่ ๘ ไม่ใช่สมณะ ไม่ใช่ธิดาของพระศากยบุตร เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า เป็นปาราชิก.
    บทว่า หาสังวาสมิได้ ความว่า ที่ชื่อว่าสังวาส ได้แก่กรรมที่พึงทำร่วมกัน อุเทศที่พึงสวดร่วมกัน ความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกัน นี้ชื่อว่าสังวาส สังวาสนั้นไม่มีร่วมกับภิกษุณีนั้น
เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า หาสังวาสมิได้.
อนาปัตติวาร   [๒๙] ไม่จงใจ ๑ เผลอสติ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ ไม่ยินดี ๑ วิกลจริต ๑ มีจิตฟุ้งซ่าน ๑ กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ จบ.
    [๓๐] แม่เจ้าทั้งหลาย ธรรมคือปาราชิก ๘ สิกขาบท ๑- ดิฉันยกขึ้นแสดงแล้วแล ภิกษุณี ต้องอาบัติปาราชิกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ย่อมไม่ได้อยู่ร่วมกับภิกษุณีทั้งหลาย
      ในภายหลัง เหมือน ในกาลก่อน เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้ ดิฉันขอถามแม่เจ้าทั้งหลาย
ในอาบัติปาราชิกเหล่านั้นว่า แม่เจ้าทั้งหลาย 
บริสุทธิ์แล้วหรือ 
ดิฉันขอถามแม้ครั้งที่สองว่า แม่เจ้าทั้งหลาย
บริสุทธิ์แล้วหรือ 
ดิฉันขอถามแม้ครั้งที่สามว่า แม่เจ้าทั้งหลาย 
บริสุทธิ์แล้วหรือ? 
แม่เจ้าทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์ใน อาบัติปาราชิกเหล่านี้แล้ว เหตุนั้น จึงนิ่ง ดิฉันทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้แล.
ปาราชิกกัณฑ์ จบ
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์ ปาราชิกกัณฑ์ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔
วินิจฉัยในปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ พึงทราบดังนี้ :-
 แก้อรรถบางปาฐะและบางเรื่องในจตุตถปาราชิก
 บทว่า อวสฺสุตา ได้แก่ ผู้กำหนัดด้วยกายสังสัคคราคะ ด้วยอำนาจมิตตสันถวะ กล่าวคือความยินดีทางโลกีย์.
แม้ในบทที่ ๒ ก็นัยนี้นั่นแล.
 ก็ในคำว่า ปุริสปุคฺคลสฺส หตฺถคฺคหณํ วา เป็นต้น มีวินิจฉัยว่า การจับมือที่บุคคลผู้ชายทำแล้วตรัสเรียกว่า การจับมือแห่งบุรุษบุคคล.
    แม้ในการจับชายผ้าสังฆาฏิ ก็นัยนี้เหมือนกัน. แต่การจับมือและการจับแม้อย่างอื่นในเขตที่ไม่เป็นปาราชิก
   บัณฑิตพึงทราบว่า ท่านรวมเข้าเป็นอันเดียวกัน เรียกว่าการจับมือ ในคำว่า หตฺถคฺคหณํ นี้.
    ด้วยเหตุนั้นแล ในบทภาชนะแห่งบทว่า หตฺถคฺคหณํ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สองบทว่า หตฺถคฺคหณํ วา สาทิเยยฺย
  มีความว่า ที่ชื่อว่ามือ กำหนดตั้งแต่ข้อศอกไป จนถึงปลายเล็บ, ภิกษุณียินดีการจับอวัยวะเหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้มณฑลเข่าลงมา เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
 แต่ในบทว่า อสทฺธมฺโม นี้ การเคล้าคลึงกาย พึงทราบว่า อสัทธรรม ไม่ใช่เมถุนธรรม. แท้จริงถุลลัจจัยหาใกล้เคียงต่อเมถุนธรรมไม่.
    อนึ่ง แม้คำว่า เป็นผู้รู้ความ เป็นผู้สามารถเพื่อถึงความเคล้าคลึงกาย ก็เป็นเครื่องสาธกได้ ในบทว่า อสทฺธมฺโม นี้. 
     หากผู้ท้วงจะพึงท้วงว่า คำที่ท่านกล่าวว่า การเคล้าคลึงกาย พึงทราบว่า อสัทธรรม ก็ผิดจากเสทโมจนคาถา ที่ตรัสไว้ในคัมภีร์ปริวารนี้ว่า๑-
    ไม่เสพเมถุนธรรมนั้นในสตรี ๓ จำพวก
    ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ ในบุรุษ ๓ จำพวก
    คนไม่ประเสริฐ ๓ จำพวก และบัณเฑาะก์ ๓ จำพวก
    และไม่ประพฤติเมถุนในอวัยวะเครื่องเพศ.
    แต่ความขาดย่อมมี เพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัย,
    ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว ดังนี้.
๑- วิ. ปริ. เล่ม ๘/ข้อ ๑๓๒๙/หน้า ๕๓๔
    แก้ว่า ไม่ผิด เพราะกายสังสัคคะ เป็นบุรพภาคแห่งเมถุน.
    จริงอยู่ ในปริวารนั่นแหละได้ตรัสสิกขาบท ๕ มีสุกกวิสัฏฐิเป็นต้น ว่าเป็นบุรพภาคแห่งเมถุนธรรมอย่างนี้ว่า
   ข้อที่ว่า พึงทราบบุรพภาคแห่งเมถุนธรรม ได้แก่ สุกกวิสัฏฐิมีสี มีสีมาก กายสังสัคคะ ทุฏฐุลลวาจา วนมนุปปทานะ อัตตกามปาริจริยา (๒- การมอบดอกไม้ใบไม้ การให้ของขวัญ) เพราะเหตุนั้น กายสังสัคคะ จึงชื่อว่าเป็นปัจจัย เพราะเป็นบุรพภาคแห่งเมถุนธรรม.
๒- วนมนุปฺปทานํ วิมติ; เป็น คมนุปฺปาทนนฺติสญฺจริตฺตํ.
    บัณฑิตพึงทราบเนื้อความในคำว่า เฉชฺชํ สิยา เมถุนธมฺมปจฺจยา นี้ โดยปริยายนี้ ด้วยประการฉะนี้. บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยในบททั้งปวงโดยอุบายนี้.
    อีกนัยหนึ่ง ในบทภาชนะแห่งสองบทว่า สงฺเกตํ วา คจฺเฉยฺย นี้ สองบทว่า อิตฺถนฺนามํ อาคจฺฉ มีความว่า ท่านจงมาสู่สถานที่มีชื่ออย่างนี้.
    ข้อว่า อฏฺมํ วตฺถุํ ปริปูเรนฺตี อสฺสมณี โหติ มีความว่า
    ภิกษุณีทำวัตถุที่ ๘ ให้เต็มบริบูรณ์ โดยนัยใดนัยหนึ่ง จะเป็นโดยอนุโลมหรือโดยปฏิโลม หรือโดยคั่นเป็นตอนก็ตาม เป็นผู้มิใช่สมณี. ส่วนภิกษุณีใดทำวัตถุเดียว หรือ ๗ วัตถุให้เต็มแม้ตั้ง ๗ ครั้ง จะเป็นผู้ชื่อว่ามิใช่สมณีหามิได้เลย, ภิกษุณีนั้นแสดงอาบัติที่ต้องแล้วย่อมพ้นได้.
    อีกนัยหนึ่ง ในสิกขาบทนี้ บัณฑิตพึงทราบอาบัติที่ควรนับ.
    สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อาบัติที่แสดงแล้วควรนับ (ว่าแสดงแล้ว) ก็มี อาบัติที่แสดงแล้วไม่ควรนับ (ว่าแสดงแล้ว) ก็มี.
ในคำว่า เทสิตา คณนูปิกา เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- 
    อาบัติที่ภิกษุณีทำการทอดธุระ แสดงว่า บัดนี้เราจักไม่ต้อง จัดว่าควรนับ คือถึงการนับว่าได้แสดงแล้ว ไม่เป็นองค์แห่งปาราชิก. เพราะฉะนั้น ภิกษุณีใดต้องอาบัติตัวหนึ่ง ทำการทอดธุระ แสดงแล้ว กลับต้องอีกด้วยอำนาจแห่งกิเลส, กลับแสดงอีก,
    ภิกษุณีนั้นแม้เมื่อทำวัตถุทั้ง ๘ ให้เต็มอย่างนี้ ก็ไม่เป็นปาราชิก. ก็ภิกษุณีใดต้องแล้ว แสดงทั้งๆ ที่ยังมีความอุตสาหะว่า เราจักต้องวัตถุอย่างอื่นแม้อีก, อาบัตินั้นของภิกษุณีนั้น ไม่ควรนับ, แม้เธอแสดงแล้วก็ไม่เป็นอันแสดงเลยคือ ยังไม่ถึงการนับว่าได้แสดงแล้ว ยังเป็นองค์แห่งปาราชิกอยู่ทีเดียว, พอเมื่อวัตถุที่ ๘ ครบบริบูรณ์ เธอก็เป็นปาราชิก.
    คำที่เหลือ ตื้นทั้งนั้นแล.
    สิกขาบทนี้มีการทอดธุระเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางกายวาจากับจิต เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๒ ดังนี้แล. 
อรรถกถาปาราชิกสิกขาบทที่ ๔จบบริบูรณ์
ตามวรรณนานุกรมแล.
    บัณฑิตพึงเห็นเนื้อความในคำว่า อุทฺทิฏฐา โข อยฺยาโย อฏฺฐ ปาราชิกา ธมฺมา นี้ อย่างนี้ว่า ข้าแต่แม่เจ้าทั้งหลาย! ธรรมคือปาราชิก ๘ สิกขาบท ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้วแล โดยเพียงเป็นปาฏิโมกขุทเทสอย่างนี้ คือปาราชิก ๔ ที่ทั่วไปซึ่งทรงปรารภพวกภิกษุบัญญัติไว้ และปาราชิก ๔ เหล่านี้.
คำที่เหลือมีนัยดังที่กล่าวแล้วในมหาวิภังค์นั้นแล้ว.
             อรรถกถาปาราชิกกัณฑ์นภิกขุนีวิภังค์ในอรรถกถา
พระวินัยปิฎก ชื่อว่าสมันตปาสาทิกา จบ.

03 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปราชิกกัณฑ์ สิกขาบทที่ ๓ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

     [๑๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
     ครั้งนั้น ภิกษุณีถุลลนันทาประพฤติตามพระอริฏฐะผู้เผ่าพราน แร้ง ที่ถูกสงฆ์พร้อมเพรียงกันยกเสียแล้ว.
 บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้ประพฤติตามพระอริฏฐะผู้เผ่าพรานแร้ง ซึ่งถูกสงฆ์ผู้ พร้อมเพรียงกันยกเสียแล้วเล่า ... แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทา ประพฤติตามอริฏฐะภิกษุผู้เผ่าพรานแร้ง ซึ่งถูกสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันยกเสียแล้ว จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทา จึงได้ ประพฤติตามอริฏฐะภิกษุผู้เผ่าพรานแร้ง ซึ่งถูกสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันยกเสียแล้วเล่า การกระทำของ เธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ...
        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลาย จงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ว่าดังนี้:-พระบัญญัติ ๗. ๓. อนึ่ง ภิกษุณีใด พึงประพฤติตามภิกษุผู้ถูกสงฆ์พร้อมเพรียงกันยกเสียแล้ว ตามธรรม ตามวินัย ตามสัตถุศาสน์ ผู้ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่ทำคืนอาบัติ มิได้ทำภิกษุผู้มีสังวาส เสมอกันให้เป็นสหาย
   ภิกษุณีนั้นอันภิกษุณีทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า แม่เจ้า ภิกษุนั่น แล อันสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันยกเสียแล้ว ตามธรรม ตามวินัย อันเป็นสัตถุศาสน์ เป็นผู้ไม่เอื้อ เฟื้อ ไม่ทำคืนอาบัติ มิได้ทำภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกันให้เป็นสหาย แม่เจ้าอย่าประพฤติตาม ภิกษุนั่นเลย แลภิกษุณีนั้น
      อันภิกษุณีทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ ยังยกย่องอยู่อย่างนั้นเทียว ภิกษุณีนั้นอันภิกษุณีทั้งหลายพึงสวดสมนุภาส กว่าจะครบสามจบ เพื่อให้สละกรรมนั้นเสีย หาก นางถูกสวดสมณุภาสกว่าจะครบสามจบอยู่ สละกรรมนั้นเสีย การสละได้อย่างนี้ นั่นเป็นการ ดี หากนางไม่สละเสีย แม้ภิกษุณีนี้ก็เป็นปาราชิก ชื่ออุกขิตตานุวัตติกา หาสังวาสมิได้. เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
        [๑๙] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
      สงฆ์ที่ชื่อว่า พร้อมเพรียงกัน คือ มีสังวาสเสมอกัน อยู่ในสีมาเดียวกัน. ที่ชื่อว่า ถูกยกเสียแล้ว คือ ถูกยกเสียในเพราะไม่เห็นอาบัติ ในเพราะไม่ทำคืนอาบัติ หรือในเพราะไม่สละทิฏฐิบาป.
      สองบทว่า ตามธรรม ตามวินัย คือ โดยธรรมอันใด โดยวินัยอันใด. บทว่า อันเป็นสัตถุศาสน์ คือ เป็นคำสั่งสอนของพระผู้ชำนะกิเลส ได้แก่พระพุทธศาสนา.
        ที่ชื่อว่า ไม่เอื้อเฟื้อ คือไม่เชื่อสงฆ์ บุคคล หรือกรรม. ที่ชื่อว่า ไม่ทำคืนอาบัติ คือ ถูกสงฆ์ยกแล้ว สงฆ์ยังไม่เรียกเข้าหมู่.
     ที่ชื่อว่า มิได้ทำภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกันให้เป็นสหาย คือ ภิกษุทั้งหลายผู้มีสังวาสเสมอ กัน ตรัสเรียกว่าภิกษุผู้สหาย ภิกษุนั้นไม่ร่วมกับภิกษุผู้สหายเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า มิได้ ทำภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกันให้เป็นสหาย.
       บทว่า พึงประพฤติตามภิกษุนั้น ความว่า ภิกษุนั้นมีความเห็นอย่างใด มีความพอใจ อย่างใด มีความชอบใจอย่างใด แม้ภิกษุณีนั้นมีความเห็นอย่างนั้น มีความพอใจอย่างนั้น มีความ ชอบใจอย่างนั้น.
     [๒๐] บทว่า ภิกษุณีนั้น ได้แก่ภิกษุณีผู้ประพฤติตามภิกษุ ผู้ถูกสงฆ์ยกเสียแล้วนั้น. บทว่า อันภิกษุณีทั้งหลาย ได้แก่ภิกษุณีเหล่าอื่น คือ ภิกษุณีที่ได้เห็นได้ยินทั้งหลาย พึงว่ากล่าวดังนี้ว่า แม่เจ้า ภิกษุนั้นแล อันสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันยกเสียแล้ว ตามธรรม ตามวินัย ตามสัตถุศาสน์ เป็นผู้ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่ทำคืนอาบัติ มิได้ทำภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกันให้เป็นสหาย แม่ เจ้าอย่าประพฤติตามภิกษุนั่น.
 พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สอง พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สาม. หากนางสละได้ การสละได้ดั่งนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่สละ ต้องอาบัติทุกกฏ.
     ภิกษุณีทั้งหลายทราบเรื่องแล้วไม่ ว่ากล่าว ต้องอาบัติทุกกฏ.
  ภิกษุณีนั้นอันภิกษุณีทั้งหลายพึงคุมตัวไปสู่ท่ามกลางสงฆ์ แล้วว่ากล่าว ว่า แม่เจ้า
  ภิกษุนั่นแลอันสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันยกเสียแล้ว ตามธรรม ตามวินัย อันเป็นสัตถุศาสน์ เป็นผู้ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่ทำคืนอาบัติ มิได้ทำภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกันให้เป็นสหาย แม่เจ้าอย่าประพฤติ ตามภิกษุนั่นเลย.
  พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สอง พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สาม.
    หากเธอสละได้ การสละได้ ดั่งนี้นั่นเป็นการดี หากไม่สละ ต้องอาบัติทุกกฏ.
 [๒๑] ภิกษุณีนั้น อันภิกษุณีทั้งหลายพึงสวดสมนุภาส.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายพึงสวดสมนุภาสอย่างนี้. ภิกษุณีผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-กรรมวาจาสมนุภาส แม่เจ้า เจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังดิฉัน
      ภิกษุณีมีชื่อนี้ผู้นี้ประพฤติตามภิกษุผู้อันสงฆ์พร้อม เพรียงกันยกเสียแล้ว ตามธรรม ตามวินัย ตามสัตถุศาสน์ ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่ทำคืนอาบัติ มิได้ ทำภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกันให้เป็นสหาย นางยังไม่ยอมสละวัตถุนั้น. ถ้าความพร้อมพรั่งของ สงฆ์ถึงที่นี่แล้ว สงฆ์พึงสวดสมนุภาสภิกษุณีผู้มีชื่อนี้ เพื่อให้สละวัตถุนั้น. นี้เป็นญัตติ.
         แม่เจ้า เจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังดิฉัน ภิกษุณีมีชื่อนี้ผู้นี้ประพฤติตามภิกษุผู้อันสงฆ์พร้อม- เพรียงกันยกเสียแล้ว ตามธรรม ตามวินัย อันเป็นสัตถุศาสน์ ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่คืนอาบัติ มิได้ ทำภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกันให้เป็นสหาย นางยังไม่ยอมสละวัตถุนั้น.
     สงฆ์สวดสมภาสภิกษุณีผู้ มีชื่อนี้ เพื่อให้สละวัตถุนั้น. การสวดสมนุภาสภิกษุณีผู้มีชื่อนี้ เพื่อให้สละวัตถุนั้น ชอบแก่ แม่เจ้าผู้ใด แม่เจ้าผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่แม่เจ้าผู้ใด
       แม่เจ้าผู้นั้นพึงพูด. ดิฉันกล่าวความนี้เป็นครั้งที่สอง ... ดิฉันกล่าวความนี้เป็นครั้งที่สาม ... ภิกษุณีมีชื่อนี้ อันสงฆ์สวดสมนุภาสแล้ว เพื่อให้สละวัตถุนั้น. ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้น จึงนิ่ง.
ดิฉันทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
 [๒๒] จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย จบกรรมวาจา ครั้งสุด ต้องอาบัติปาราชิก.
 [๒๓] บทว่า ภิกษุณีแม้นี้ พระผู้มีพระภาคตรัสเทียบเคียงภิกษุณีรูปก่อน. คำว่า เป็นปาราชิก มีอธิบายว่า ศิลาหนาแตกสองเสี่ยงแล้วเป็นของกลับต่อกันสนิทไม่ ได้ฉันใด ภิกษุณีก็ฉันนั้นแล
       อันสงฆ์สวดสมนุภาสอยู่ถึงครั้งที่สาม ยังไม่สละ ย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่ใช่ธิดาของพระศากยะบุตร เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า เป็นปาราชิก. บทว่า หาสังวาสมิได้
         ความว่า ที่ชื่อว่า สังวาส ได้แก่กรรมที่พึงทำร่วมกัน อุเทศที่ พึงสวดร่วมกัน ความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกัน นั่นชื่อว่าสังวาส สังวาสนั้นไม่มีร่วมกับภิกษุนั้น เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า หาสังวาสมิได้.
บทภาชนีย์
ติกะปาราชิก     [๒๔] กรรมเป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ไม่สละ ต้องอาบัติปาราชิก.
    กรรมเป็นธรรม ภิกษุณีสงสัย ไม่สละ ห้องอาบัติปาราชิก.
    กรรมเป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่สละ ต้องอาบัติปาราชิก.
ติกะทุกกฏ
 กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่า กรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ.     กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.     กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร    [๒๕] ยังไม่ถูกสวดสมนุภาส ๑ ยอมเสียสละ ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
 ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ จบ
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์ ปาราชิกกัณฑ์ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓
วินิจฉัยในปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ พึงทราบดังนี้ :-
 แก้อรรถปาฐะบางตอนในปาราชิกสิกขาบทที่ ๓
    บทว่า ธมฺเมน ได้แก่ ตามวัตถุที่เป็นจริง.
    บทว่า วินเยน ได้แก่ โจทแล้วให้ๆ การ.
    ก็บทภาชนะแห่งสองบทว่า ธมฺเมน วินเยน นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ เพื่อทรงแสดงเพียงอธิบายนี้ว่า ผู้ที่ถูกสงฆ์ยกวัตรตามธรรมดาตามวินัย เป็นผู้ถูกยกวัตรชอบแล้ว.
 บทว่า สตฺถุ สาสเนน ได้แก่ โดยญัตติสัมปทาและอนุสาวนาสัมปทา. แต่ในบทภาชนะแห่งบทว่า สตฺถุ สาสเนน นั้น ตรัสเพียงคำไวพจน์เท่านั้นว่า โดยชินศาสน์ คือโดยพุทธศาสน์.
    ในคำว่า สงฺฆํ วา คณํ วา เป็นต้น มีวินิฉัยดังนี้ :-
     ไม่เชื่อ คือ ไม่ประพฤติตามสงฆ์ผู้ซึ่งทำกรรม คณะ คือ บุคคลมากคน หรือบุคคลคนเดียวผู้นับเนื่องในสงฆ์นั้น หรือกรรมนั้น.
    อธิบายว่า ไม่ยังความเอื้อเฟื้อให้เกิดขึ้นในสงฆ์เป็นต้นนั้น. 
    ในคำว่า สมานสํวาสกา ภิกฺขู วุจฺจนฺติ สหายา โส เตหิสทฺธึ นตฺถิ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
    ธรรมนี้ คือกรรมอย่างเดียวกัน อุเทศอย่างเดียวกัน ความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกัน ชื่อว่าสังวาสก่อน. สังวาสแห่งภิกษุเหล่านั้นเสมอกัน เหตุนั้น ภิกษุเหล่านั้นจึงชื่อว่ามีสังวาสเสมอกัน. ภิกษุทั้งหลายเห็นปานนี้ ตรัสเรียกว่า สหาย เพราะมีภาวะที่เป็นไปร่วมกันในสังวาสนั้นแห่งภิกษุ.
    บัดนี้ สังวาสซึ่งเป็นเหตุให้ตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้นว่า ผู้มีสังวาสเสมอกัน ไม่มีแก่ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตรนั้น ร่วมกับภิกษุเหล่านั้น และเหล่าภิกษุที่เธอไม่มีสังวาสนั้นร่วมด้วย เป็นอันเธอมิได้ทำให้เป็นสหายของตน.
    เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายผู้มีสังวาสเสมอกัน เรียกว่าเป็นสหายกัน ภิกษุนั้นไม่ร่วมกับภิกษุสหายเหล่านั้น; เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่า มิได้ทำภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกันให้เป็นสหาย.
    คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น เพราะมีนัยดังได้กล่าวแล้วในสังฆเภทสิกขาบทเป็นต้น.
    สิกขาบทนี้มีการสวดสมนุภาสเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางกาย วาจากับจิต เป็นอกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต ทุกขเวทนา ดังนี้แล.

02 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปราชิกกัณฑ์ สิกขาบทที่ ๒ เรื่องภิกษุณีสุนทรีนันทา

     [๑๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี
เขตพระนครสาวัตถี.
       ครั้งนั้นภิกษุณีสุนทรีนันทามีครรภ์กับนายสาฬหะ หลานมิคารมาตา.
    นางได้ปกปิดไว้จนมีครรภ์อ่อนๆ เมื่อครรภ์แก่แล้วนางจึงสึกออกมาคลอดบุตร. ภิกษุณีทั้งหลายได้ถามเรื่องนั้นกับภิกษุณีถุลลนันทาว่า แม่เจ้า นางสุนทรีนันทาสึกไม่นานนัก ก็คลอดบุตร ชะรอยนางจะมีครรภ์ทั้งเป็นภิกษุณีกระมัง เจ้าข้า?
    ถุล. อย่างนั้น เจ้าข้า. 
    ภิก. ก็แม่เจ้ารู้อยู่ว่าภิกษุณีล่วงอาบัติปาราชิก เหตุไฉนจึงไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะเล่า?
    ถุล. โทษอันใดของเธอ นั่นเป็นโทษของดิฉัน การเสื่อมเกียรติอันใดของเธอ นั่นเป็นการเสื่อมเกียรติของดิฉัน การเลื่อมยศอันใดของเธอ นั่นเป็นการเสื่อมยศของดิฉัน การเสื่อมลาภอันใดของเธอ นั่นเป็นการเสื่อมลาภของดิฉัน ไฉนดิฉันจักบอกโทษของตน การเสื่อมเกียรติของตน การเสื่อมยศของตน การเสื่อมลาภของตน แก่คนเหล่าอื่นเล่า.
    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า แม่เจ้าถุลลนันทารู้อยู่ซึ่งภิกษุณีล่วงอาบัติปาราชิก ไฉนจึงไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะเล่า.
  ครั้งนั้นแลนางภิกษุณีเหล่านั้นแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลความเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
    ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้นในเพราะเหตุแรกเกินนั้น ทรงทำธรรมีกถา แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทา รู้อยู่ว่าภิกษุณีล่วงอาบัติปาราชิก ไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะ จริงหรือ?.
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีถุลลนันทารู้อยู่ว่าภิกษุณีล่วงอาบัติปาราชิก ไฉนจึงไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือ
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกภิกษุณี จงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ว่า ดังนี้:- 
พระบัญญัติ
    ๖.๒. อนึ่ง ภิกษุณีใด รู้อยู่ว่าภิกษุณีล่วงอาบัติปาราชิก ไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะ ในเวลาที่ภิกษุณีนั้นยังดำรงเพศอยู่ก็ดี เคลื่อนไปแล้วก็ดี ถูกนาสนะแล้วก็ดี ไปเข้ารีตเดียรถีย์เสียก็ดี ภายหลังนางจึงบอกอย่างนี้ว่า แม่เจ้า เจ้าข้า เมื่อก่อน
      ดิฉันรู้จักภิกษุณีนั่นได้ดีทีเดียวว่า นางเป็นพี่หญิง น้องหญิง มีความประพฤติเช่นนี้และมีความประพฤติเช่นนี้แต่ดิฉันไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะ แม้ภิกษุณีนี้ก็เป็นปาราชิก ชื่อวัชชปฏิจฉาทิกาหาสังวาสมิได้. เรื่องภิกษุณีสุนทรีนันทา จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    [๑๓] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    ที่ชื่อว่า รู้อยู่ คือ รู้เองก็ดี คนอื่นบอกแก่เธอก็ดี เจ้าตัวบอกก็ดี. คำว่า ล่วงอาบัติปาราชิก คือ ต้องอาบัติปาราชิกข้อใดข้อหนึ่ง ในปาราชิก ๘.
    คำว่า ไม่โจทด้วยตน คือ ไม่โจทเอง.
    คำว่า ไม่บอกแก่คณะ คือ ไม่บอกแก่ภิกษุณีอื่นๆ
    [๑๔] พากย์ว่า ในเวลาที่ภิกษุณีนั้น ยังดำรงเพศอยู่ก็ดี เป็นต้น อธิบายว่า ภิกษุณีผู้ดำรงอยู่ในเพศของตน ตรัสเรียกว่า ผู้ยังดำรงเพศอยู่ ผู้ถึงมรณภาพ ตรัสเรียกว่า ผู้เคลื่อนไปผู้สึกเองก็ตาม ถูกผู้อื่นนาสนะเสียก็ตาม ตรัสเรียกว่า ผู้ถูกนาสนะ เข้าไปสู่ลัทธิเดียรถีย์ ตรัสเรียกว่า เขารีดเดียรถีย์.
    [๑๕] สองพากย์ว่า ภายหลังนางจึงบอกอย่างนี้ว่า แม่เจ้า เจ้าข้า เมื่อก่อนดิฉันรู้จักภิกษุณีนั่นได้ดีทีเดียวว่า นางเป็นพี่หญิง น้องหญิง มีความประพฤติเช่นนี้ และมีความประพฤติเช่นนี้ แต่ดิฉันไม่โจทด้วยตน นั้น คือ ไม่โจทเอง.
    คำว่า ไม่บอกแก่คณะ คือ ไม่บอกแก่ภิกษุณีอื่นๆ
    [๑๖] บทว่า แม้ภิกษุณีนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสเทียบเคียงภิกษุณีรูปก่อน.
    คำว่า เป็นปาราชิก มีอธิบายว่า ใบไม้เหลืองหลุดจากขั้วแล้วไม่ควรเพื่อจะเป็นของเขียวสดขึ้นได้ ชื่อแม้ฉันใด ภิกษุณีก็ฉันนั้นแหละ รู้อยู่ว่าภิกษุณีล่วงปาราชิกธรรมแล้ว เมื่อเธอทอดธุระว่าจักไม่โจทด้วยตน จักไม่บอกแก่คณะดังนี้เท่านั้น เธอย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นธิดาของพระศากยบุตร เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า เป็นปาราชิก.
    บทว่า หาสังวาสมิได้ ความว่า ที่ชื่อว่า สังวาส ได้แก่กรรมที่พึงทำร่วมกัน อุเทศที่พึงสวดร่วมกัน ความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกัน นี้ชื่อว่าสังวาส สังวาสนั้นไม่มีร่วมกับภิกษุณีนั้น เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า หาสังวาสมิได้.
อนาปัตติวาร
    [๑๗] ภิกษุณีไม่บอกด้วยเกรงว่า ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความวิวาท จักมีแก่สงฆ์ ๑ ไม่บอกด้วยเข้าใจว่า สงฆ์จักแตกกัน สงฆ์จักร้าวรานกัน ๑ ไม่บอกด้วยแน่ใจว่า ภิกษุณีนี้เป็นคนร้ายกาจ หยาบคาย จักทำอันตรายแก่ชีวิต หรือพรหมจรรย์ ๑ ไม่พบภิกษุณีอื่นๆ ที่สมควรจะบอก จึงไม่บอก ๑ ไม่ประสงค์จะปกปิด แต่ยังมิได้บอก ๑ ไม่บอกด้วยสำคัญว่า จักปรากฏด้วยการกระทำของเขาเอง ๑ ภิกษุณีวิกลจริต ๑ ภิกษุณีอาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
 ปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ จบ.
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์ ปาราชิกกัณฑ์
ปาราชิกสิกขาบทที่ ๒
อรรถกถาปาราชิกสิกขาบทที่ ๒
    วินิจฉัยในปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ พึงทราบดังนี้ :-
    แก้อรรถปาฐะบางตอนในทุติยปาราชิก
    บทว่า กจฺจิโน สา ตัดบทเป็น กจฺจิ นุ สา แปลว่า ชะรอยนาง (จะมีครรภ์ทั้งเป็นภิกษุณีกระมัง?)
    บทว่า อวณฺโณ แปลว่า มิใช่คุณ.
    บทว่า อกิตฺติ แปลว่า การตำหนิ.
    บทว่า อยโส ได้แก่ ความเสียบริวาร. อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ การติเตียนลับหลัง.
    คำว่า สา วา อาโรเจติ ได้แก่ นางภิกษุณีผู้ซึ่งต้องปาราชิกแล้ว ไม่บอกด้วยตนเองก็ดี.
    ข้อว่า อฏฺฐนฺนํ ปาราชิกานํอญฺญตรํ ได้แก่ ปาราชิก ๔ ที่สาธารณะกับภิกษุทั้งหลาย และเฉพาะปาราชิก ๔ ที่ไม่ทั่วไปอย่างใดอย่างหนึ่ง. และปาราชิกนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติในภายหลัง เพราะฉะนั้น จึงตรัสไว้ในวิภังค์ว่า อฏฺฐนฺนํ.
    แต่บัณฑิตพึงทราบว่า พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายจัดตั้งปาราชิกนี้ไว้ในโอกาสนี้ ก็เพราะเป็นคู่กับสิกขาบทก่อน.
    สองบทว่า ธุรํ นิกฺขิตฺตมตฺเต คือ พอเมื่อเธอทอดธุระเสีย.
    ก็กถาพิสดารในสิกขาบทนี้ บัณฑิตพึงทราบโดยนัยดังได้กล่าวแล้วในทุฏฐุลลสิกขาบท ในสัปปาณวรรคนั้นแล. แต่มีความแปลกกันเพียงเท่านี้ว่า จริงอยู่ ในทุฏฐุลลสิกขาบทนั้นเป็นปาจิตตีย์, ในบทนี้เป็นปาราชิก.
คำที่เหลือเป็นเช่นเดียวกันทั้งนั้น.
    แม้คำว่า วชฺชปฏิจฺฉาทิกา นี้ก็เป็นเพียงชื่อแห่งปาราชิกนี้เท่านั้น. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ทรงวิจารณ์ไว้ในบทภาชนะ.
คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น.
    สิกขาบทนี้มีการทอดธุระเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางกายวาจากับจิต เป็นอกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต ทุกขเวทนา ดังนี้แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปราชิกกัณฑ์ สิกขาบทที่ ๑ เรื่องภิกษุณีสุนทรีนันทา

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรื่องภิกษุณีสุนทรีนันทา
    [๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
    ครั้งนั้น นายสาฬหะหลานของมิคารมาตา มีความประสงค์จะสร้างวิหารถวายภิกษุณีสงฆ์.
    ครั้งนั้นและนายสาฬหะหลานของมิคารมาตา. จึงเข้าไปหานางภิกษุณีทั้งหลาย แจ้งความประสงค์ว่า แม่เจ้า กระผมอยากจะสร้างวิหารถวายภิกษุณีสงฆ์ ขอแม่เจ้าจงโปรดให้ภิกษุณีผู้อำนวยการก่อสร้างรูปหนึ่งแก่กระผม.
         ครั้งนั้นมีสาว ๔ พี่น้อง ชื่อนันทา ๑ ชื่อนันทาวดี ๑ ชื่อสุนทรีนันทา ๑ ชื่อถุลลนันทา ๑ บวชอยู่ในสำนักภิกษุณี.
    บรรดาภิกษุณีทั้ง ๔ นั้นภิกษุณีสุนทรีนันทา เป็นบรรพชิตสาวทรงโฉมวิไล น่าพิศ พึงชม เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปรีชา ขยัน ไม่เกียจคร้าน กอปรด้วยปัญญาเลือกฟั้นอันเป็นทางดำเนินในการงานนั้นๆ สามารถพอที่จะทำกิจการงานนั้นๆ ให้ลุล่วงไป.
    ครั้งนั้นแลจึงภิกษุณีสงฆ์ได้สมมติภิกษุณีสุนทรีนันทาให้เป็นผู้อำนวยการก่อสร้างแก่นายสาฬหะ หลานมิคารมาตา. และต่อมาภิกษุณีสุนทรีนันทา ไปสู่เรือนของนายสาฬหะ หลานมิคารมาตาเสมอ โดยแจ้งว่า จงให้มีด จงให้ขวาน จงให้ผึ่ง จงให้จอบ จงให้สิ่ว.
    แม้นายสาฬหะ หลานมิครมาตา ก็ไปสู่สำนักนางภิกษุณีเสมอ เพื่อทราบกิจการที่ทำแล้ว ที่ยังมิได้ทำ เขาทั้งสองได้มีจิตปฏิพัทธ์กัน เพราะเห็นกันอยู่เสมอ.
    ครั้นนายสาฬหะหลานมิคารมาตา ไม่ได้โอกาสที่จะประทุษร้ายภิกษุณีสุนทรีนันทา จึงได้ตกแต่งภัตตาหารถวายภิกษุณีสงฆ์ เพื่อมุ่งจะประทุษร้ายภิกษุณีสุนทรีนันทานั้น.
    ครั้งนั้นแล นายสาฬหะหลานมิคารมาตาให้ปูอาสนะในโรงฉัน จัดอาสนะสำหรับภิกษุณีทั้งหลายที่แก่กว่าภิกษุณีสุนทรีนันทาไว้ส่วนหนึ่งสำหรับภิกษุณีทั้งหลายที่อ่อนกว่าภิกษุณีสุนทรีนันทา
    ไว้ส่วนหนึ่ง จัดอาสนะสำหรับภิกษุณีสุนทรีนันทาไว้ในสถานที่อันกำบังนอกฝาเรือน ให้ภิกษุณีผู้เถระทั้งหลายพึงเข้าใจว่านางนั่งในสำนักพวกภิกษุณีผู้นวกะ แม้ภิกษุผู้นวกะทั้งหลายก็พึงเข้าใจว่า นางนั่งอยู่ในสำนักพวกภิกษุณีผู้เถระ.
    ครั้นจัดเสร็จแล้ว นายสาฬหะหลานมิคารมาตา ได้ให้คนไปแจ้งภัตตกาลแก่ภิกษุณีสงฆ์ว่าได้เวลาอาหารแล้ว เจ้าข้า ภัตตาหารเสร็จแล้ว.
    ภิกษุณีสุนทรีนันทาทราบได้ดีว่า นายสาฬหะ หลานมิคารมาตา ไม่ได้ทำอะไรมากมาย ได้ตกแต่งภัตตาหารไว้ถวายภิกษุณีสงฆ์ ด้วยเธอมีความประสงค์จะประทุษร้ายเรา ถ้าเราไป ความอื้อฉาวจักมีแก่เรา จึงใช้ภิกษุณีอันตวาสินีไปด้วยสั่งว่า เธอจงไปนำบิณฑบาตมาให้เรา และผู้ใดถามถึงเรา เธอจงบอกว่าอาพาธ.
    ภิกษุณีอันเตวาสินีนั้นรับคำสั่งของภิกษุณีสุนทรีนันทาแล้วว่าดีแล้วพระแม่เจ้า.     สมัยนั้น นายสาฬหะ หลานมิคารมาตา ยืนคอยอยู่ที่ซุ้มประตูข้างนอก ถามถึงภิกษุณีสุนทรีนันทาไปข้างไหน ขอรับ แม่เจ้าสุนทรีนันทา ไปข้างไหน ขอรับ?
    เมื่อเขาถามถึงอย่างนี้แล้ว ภิกษุณีอันเตวาสินีของนางสุนทรีนันทาตอบกะเขาดังนี้ว่า อาพาธค่ะ ดิฉันจักนำบิณฑบาตไปถวาย.
    ครั้งนั้นเขาคิดว่า การที่เราได้ตกแต่งอาหารถวายภิกษุณีสงฆ์ ก็เพราะเหตุแม่เจ้าสุนทรีนันทาจึงสั่งคนให้เลี้ยงดูภิกษุณีสงฆ์แล้วเลี่ยงไปทางสำนักภิกษุณีสงฆ์.
    ก็สมัยนั้น ภิกษุณีสุนทรีนันทายืนคอยมองนายสาฬหะ หลานมิคารมาตาอยู่ข้างนอกซุ้มประตูวัด นางเห็นเขาเดินมาแต่ไกลจึงหลบเข้าสู่สำนัก นอนคลุมศีรษะอยู่บนเตียง.
    ครั้นเขาเข้าไปหาแล้ว ได้ถามนางว่า แม่เจ้าไม่สบายหรือขอรับ ทำไมจึงจำวัดเสียเล่า?.
    นางตอบว่า นาย การที่สตรีรักใคร่กับคนที่เขาไม่รักตอบ ย่อมเป็นเช่นนี้แหละค่ะ. 
    เขากล่าวว่า ทำไมผมจะไม่รักแม่เจ้า ขอรับ แต่ผมหาโอกาสที่จะประทุษร้ายแม่เจ้าไม่ได้แล้วมีความกำหนัด ได้ถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับนางภิกษุณีสุนทรีนันทา ผู้มีความกำหนัด.
    ก็สมัยนั้นแล ภิกษุณีรูปหนึ่งผู้ชราทุพพลภาพ เท้าเจ็บ นอนอยู่ไม่ห่างจากภิกษุณีสุนทรีนันทา.
    นางภิกษุณีนั้นได้แลเห็นนายสาฬหะ หลานมิคารมาตา ถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับภิกษุณีสุนทรีนันทาผู้กำหนัด ครั้นเห็นแล้วจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าสุนทรีนันทา จึงได้มีความกำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดเล่า.
ครั้งนั้นแล นางภิกษุณีนั้นได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย.
    บรรดาภิกษุณีผู้มีความมักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน แม่เจ้าสุนทรีนันทา จึงได้มีความกำหนัดยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดเล่า.
ครั้งนั้นแล นางภิกษุณีเหล่านั้นจึงแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
    ภิกษุเหล่านั้นพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีสุนทรีนันทาจึงได้มีความกำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้มีความกำหนัดเล่า.
ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ข่าวว่า ภิกษุณีสุนทรีนันทามีความกำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด จริงหรือ?.
  ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของภิกษุณีสุนทรีนันทาไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนภิกษุณีสุนทรีนันทาจึงได้มีความกำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดเล่า
    การกระทำของนางนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้วโดยที่แท้ การกระทำของนาง เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใสและเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
    ครั้นพระองค์ทรงติเตียนภิกษุณีสุนทรีนันทาโดยอเนกปริยายแล้ว จึงตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่ง ความเป็นคนเลี้ยงง่รน
    ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย แล้วทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุณีทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มภิกษุณีผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุณีผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑    เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตาม พระวินัย ๑
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกภิกษุณีจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระบัญญัติ    ๕. ๑. อนึ่ง ภิกษุณีใด มีความกำหนัด ยินดีการลูบก็ดี คลำก็ดี จับก็ดี ต้องก็ดี บีบเคล้นก็ดี ของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด ใต้รากขวัญลงไป เหนือเข่าขึ้นมา แม้ภิกษุณีนี้ก็เป็นปาราชิก ชื่ออุพภชานุมัณฑลิกา หาสังวาสมิได้. 
เรื่องภิกษุณีสุนทรีนันทา จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    [๒] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติอย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง ... ใด.
 บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ 
   ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่า ประพฤติภิกขาจริยวัตร
   ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว
   ชื่อว่า ภิกษุณี โดยสมญา
   ชื่อ ภิกษุณี โดยปฏิญญา
   ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นเอหิภิกษุณี
 ชื่อ ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์
 ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้เจริญ
 ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่ามีสารธรรม
 ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นพระเสขะ.
 ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นพระอเสขะ
    ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้อันสงฆ์สองฝ่ายพร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุถกรรม อันไม่กำเริบ
    ควรแก่ฐานะบรรดาภิกษุณีเหล่านั้น ภิกษุณีอันสงฆ์สองฝ่ายพร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ    นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    ที่ชื่อว่า มีความกำหนัด ได้แก่หญิงหรือชายมีความกำหนัดมาก มีความเพ่งเล็ง มีจิตปฏิพัทธ์.
    ที่ชื่อว่า บุรุษบุคคล ได้แก่ มนุษย์ผู้ชาย ไม่ใช่ยักษ์ผู้ชาย ไม่ใช่เปรตผู้ชาย ไม่ใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ เป็นคนรู้ความ เป็นผู้สามารถ เพื่อถึงความเคล้าคลึงด้วยกาย.
 บทว่า ใต้รากขวัญลงไป คือ เบื้องต่ำแห่งรากขวัญลงไป.
 บทว่า เหนือเข่าขึ้นมา คือ เบื้องบนแห่งมณฑลเข่าขึ้นมา.
 ที่ชื่อว่า ลูบ คือ เพียงลูบไป.
 ที่ชื่อว่า คลำ คือ จับเบาๆ ไปข้างโน้นข้างนี้.
 ที่ชื่อว่า จับ คือ เพียงจับตัว ที่ชื่อว่า ต้อง คือ เพียงถูกต้องตัว.
        บทว่า ยินดี การบีบเคล้นก็ดี คือยินดีการจับต้องอวัยวะแล้วบีบเคล้น.   บทว่า แม้ภิกษุณีนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสเทียบเคียงภิกษุณีรูปก่อน.
    คำว่า เป็นปาราชิก อธิบาย บุรุษถูกตัดศีรษะแล้วไม่อาจมีสรีระคุมกันนั้นเป็นอยู่ ชื่อแม้ฉันใด ภิกษุณีก็ฉันเหมือนกัน มีความกำหนัด ยินดีการลูบก็ดี คลำก็ดี จับก็ดี ต้องก็ดี บีบเคล้นก็ดี ของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด ใต้รากขวัญลงไป เหนือเข่าขึ้นมา ย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นธิดาของพระศากยบุตร เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า เป็นปาราชิก.
    บทว่า หาสังวาสมิได้ ความว่า ที่ชื่อว่าสังวาส ได้แก่กรรมที่พึงกระทำร่วมกัน อุเทศ ที่พึงสวดร่วมกัน ความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกัน นี้ชื่อว่าสังวาส สังวาสนั้นไม่มีร่วมกับภิกษุณีนั้นเพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า หาสังวาสมิได้.
บทภาชนีย์
    [๓] เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความกำหนัด ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกกายด้วยกาย ใต้รากขวัญลงไปเหนือเข่าขึ้นมา ภิกษุณีต้องอาบัติปาราชิก. ถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย
     ถูกกายด้วยของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
    ถูกของที่เนื่องด้วยกาย ด้วยของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ถูกกายด้วยของที่โยนให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ถูกของที่เนื่องด้วยกาย ด้วยของที่โยนให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ถูกของที่โยนให้ ด้วยของที่โยนให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
    [๔] กายต่อกายถูกกัน เหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้เข่าลงมา ภิกษุณีต้องอาบัติถุลลัจจัย.
ของที่เนื่องด้วยกายกับกายถูกกัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
กายกับของที่เนื่องด้วยกายถูกกัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่เนื่องด้วยกาย กับของที่เนื่องด้วยกายถูกกัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
     โยนของไปถูกกายต้องอาบัติทุกกฏ.
   ของที่โยนไปถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ของที่โยนไปถูกของที่โยนมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
    [๕] ฝ่ายหนึ่งมีความกำหนัด กายต่อกายถูกกัน ใต้รากขวัญลงไปเหนือเข่าขึ้นมา ภิกษุณีต้องอาบัติถุลลัจจัย.
 กายถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่เนื่องด้วยกายถูกกายต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่เนื่องด้วยกาย ถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่โยนไปถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่โยนไปถูกของที่โยนมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
    [๖] กายถูกกาย เหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้เข่าลงมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
 กายถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่เนื่องด้วยกายถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่เนื่องด้วยกายถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 โยนของถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 โยนของถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่โยนไปถูกของที่โยนมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
    [๗] เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความกำหนัด จับต้องกายด้วยกาย ของยักษ์ก็ดี เปรตก็ดี บัณเฑาะก็ดี สัตว์ดิรัจฉานที่มีกายคล้ายมนุษย์ก็ดี ใต้รากขวัญลงมาเหนือเข่าขึ้นไป ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
   กายถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
    ของที่เนื่องด้วยกายถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่เนื่องด้วยกาย ถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 โยนของถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 โยนของถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
  ของที่โยนไป ถูกของที่โยนมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
    [๘] ถูกกายด้วยกาย เหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้เข่าลงมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
 กายถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่เนื่องด้วยกายถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่เนื่องด้วยกาย ถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 โยนของถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 โยนของถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่โยนไปถูกของที่โยนมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
     [๙] ฝ่ายหนึ่งมีความกำหนัด ถูกกายด้วยกาย ใต้รากขวัญลงมา เหนือเข่าขึ้นไป ต้อง อาบัติทุกกฏ.
 กายถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่เนื่องด้วยกายถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่เนื่องด้วยกายถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 โยนของถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 โยนของถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 โยนของไปถูกของที่โยนมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
     [๑๐] กายถูกกาย เหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้เข่าลงมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
 กายถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่เนื่องด้วยกายถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่เนื่องด้วยกาย ถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 โยนของไปถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 โยนของถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
 ของที่โยนไปถูกของที่โยนมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
 อนาปัตติวาร    [๑๑] ภิกษุณีไม่ตั้งใจ ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ ไม่ยินดี ๑ วิกลจริต ๑ มีจิตฟุ้งซ่าน ๑ กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ๑ ภิกษุณีอาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
 ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ จบ.
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์ ปาราชิกกัณฑ์ปาราชิก
สิกขาบทที่ ๑
สมันตปาสาทิกาอรรถกถาพระวินัยปิฎก อรรถกถาปาราชิกกัณฑ์
 ในภิกขุนีวิภังค์ เพราะมาถึงลำดับแห่งการสังวรรณนา ภิกขุนีวิภังค์ ของพวกภิกษุณี ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลาย ได้ร้อยกรองไว้ใน ลำดับแห่งภิกขุวิภังค์ ฉะนั้น เพื่อทำการ พรรณนาบทที่ยังไม่เคยมีมาก่อน ในปาราชิก แห่งภิกขุนีวิภังค์นั้น จึงมีการสังวรรณนา เริ่มต้น ดังต่อไปนี้.
    ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑
แก้อรรถปฐมปาราชิกสิกขาบทของพวกภิกษุณี
    ในคำว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ ฯเปฯ สาฬฺโห มิคารนตฺตา นี้ คำว่า สาฬฺโห เป็นชื่อของมิคารนัดดานั้น เพราะเขาเป็นหลานของนางวิสาขามิคารมารดา. ด้วยเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า มิคารนตฺตา.
    บทว่า นวกมฺมิกํ แปลว่า ผู้อำนวยนวกรรม.
    บทว่า ปณฺฑิตา แปลว่า ผู้ประกอบด้วยความเป็นบัณฑิต.
    บทว่า พฺยตฺตา แปลว่า ประกอบด้วยความเป็นผู้เฉียบแหลม. 
    บทว่า เมธาวินี ได้แก่ ผู้ประกอบด้วย ปัญญามีสติเป็นหลักในการเรียนบาลี (และ) ด้วยสติปัญญาเป็นหลักในการเรียนอรรถกถา.
    บทว่า ทกฺขา แปลว่า ผู้หลักแหลม ความว่า ผู้มีปกติทำงานที่ควรทำได้รวดเร็ว ไม่ผิดพลาด.
    บทว่า อนลสา แปลว่า ผู้ปราศจากความเกียจคร้าน.
    บทว่า ตตฺรูปายาย แปลว่า เป็นทางดำเนินในการงานเหล่านั้น.
    บทว่า วีมํสาย แปลว่า ด้วยปัญญาเลือกเฟ้นการงานที่ควรทำ.  
    บทว่า สมนฺนาคตา แปลว่า ประกอบพร้อม.
    สองบทว่า อลํกาตุํได้แก่ เป็นผู้สามารถเพื่อทำการงานนั้น.
    สองบทว่า อลํสํวิธาตุํ ได้แก่ เป็นผู้สามารถแม้จะจัดการอย่างนี้ว่า การงานนี้จงเป็นอย่างนี้ และการงานนี้จงเป็นอย่างนั้น.
    สองบทว่า กตากตํชานิตุํ คือ เพื่อรู้งานที่ทำแล้ว และยังมิได้ทำ.
    บทว่า เต มีความว่า ชนทั้งสองนั้น คือภิกษุณีสุนทรีนันทากับนายสาฬหะนั้น.
    บทว่า ภตฺตคฺเค คือ ในสถานที่อังคาส.
    บทว่า นิกฺกุฑฺเฑ คือ เป็นที่ลึกซ่อนเร้นอันแสดงให้เห็นคล้ายมุมฉาก.
    สามบทว่า วิสฺสโร เม ภวิสฺสติ มีความว่า เสียงอื้อฉาวจักมีแก่เรา คือจักมีเสียงฉาวโฉ่ต่างๆ แก่เรา.
    บทว่า ปฏิมาเนนฺตี แปลว่า คอยดูอยู่.
    บทว่า กยาหํ ตัดบทเป็น กึ อหํ แปลว่า ทำไม ผม (จะไม่รักแม่เจ้าเล่า ขอรับ)
    บทว่า ชราทุพฺพลา คือ ทุพพลภาพเพราะชรา.
    บทว่า จรณคิลานา คือ ประกอบด้วยโรคเท้าเจ็บ.
    บทว่า อวสฺสุตา มีความว่า เป็นผู้มีความกำหนัด คือเปียกชุ่มอยู่ด้วยความกำหนัด ในการเคล้าคลึงกาย. แต่ในบทภาชนะแห่งบทว่า อวสฺสุตา นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาราคะนั้นทีเดียวจึงตรัสคำว่า สารตฺตา เป็นต้น.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สารตฺตา คือ ผู้มีความกำหนัดอย่างหนักด้วยกายสังสัคคราคะ ดุจผ้าถูกย้อมด้วยสี ฉะนั้น.
    บทว่า อเปกฺขวตี มีความว่า ผู้ประกอบด้วยความเพ่งเล็งที่เป็นไปในบุรุษนั้น ด้วยอำนาจแห่งความกำหนัดนั้นนั่นแหละ.
    บทว่า ปฏิพทฺธจิตฺตา ได้แก่ เป็นผู้มีจิตดุจถูกความกำหนัดนั้นผูกพันไว้ในบุรุษนั้น.
    แม้ในวิภังค์แห่งบทที่ ๒ ก็มีนัยอย่างนี้.
    บทว่า ปุริสปุคฺคลสฺส ได้แก่ บุคคลกล่าวคือบุรุษ.
    บทว่า อธกฺขกํ คือ ใต้รากขวัญลงไป.
    บทว่า อุพฺภชานุมณฺฑลํ คือ เหนือมณฑลเข่าทั้งสอง ขึ้นมา. แต่ในบทภาชนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยลำดับแห่งบททีเดียวว่า เหฏฺฐกฺขกํ อุปริชานุมณฺฑลํ ใต้รากขวัญเหนือมณฑลเข่า ดังนี้.
    ก็ในบทว่า อุปริชานุมณฺฑลํ นี้ แม้เหนือศอกขึ้นมา ท่านก็สงเคราะห์เข้าด้วยเหนือมณฑลเข่าขึ้นมาเหมือนกัน. คำที่เหลือบัณฑิตพึงทราบโดยนัยดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วในมหาวิภังค์นั่นแล.
    สองบทว่า ปุริมาโย อุปาทาย มีความว่า ทรงเทียบเคียงภิกษุณี ๔ รูป ผู้ต้องอาบัติปาราชิกกับด้วยปาราชิกที่ทั่วไป (๔ มีเมถุนเป็นต้น).
    ก็คำว่า อุพฺภชานุมณฺฑลิกา นี้ เป็นเพียงชื่อแห่งอาบัติปาราชิกนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงมิได้ทรงวิจารณ์ไว้ในบทภาชนะ.
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกสิกขาบทที่พระองค์ทรงแสดงไว้โดยลำดับแห่งบทอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อทรงแสดงชนิดแห่งอาบัติโดยความต่างกันแห่งความเป็นผู้มีความกำหนัดเป็นต้น จึงได้ตรัสคำว่า อุภโต อวสฺสุเต เป็นต้น.
 ว่าด้วยทั้งสองฝ่ายมีความกำหนัดจับต้องกายเป็นต้น
 ในคำว่า อุภโต อวสฺสุเต เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
 คำว่า อุภโต อวสฺสุเต คือ เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความกำหนัด.
 ความว่า เมื่อภิกษุณีและบุรุษเป็นผู้มีความกำหนัดด้วยกายสังสัคคราคะ.
    สามบทว่า กาเยน กายํ อามสติ มีความว่า ภิกษุณีจับต้องกายของบุรุษส่วนใดส่วนหนึ่งด้วยกายตามที่กำหนดไว้ หรือว่า บุรุษจับต้องกายของภิกษุณีตามที่กำหนดไว้ ด้วยกาย (ของตน) ส่วนใดส่วนหนึ่ง. เป็นปาราชิกแก่ภิกษุณีแม้โดยประการทั้งสอง.
    สองบทว่า กาเยน กายปฏิพทฺธํ คือ (ภิกษุณีถูกต้อง) ของเนื่องด้วยกายของบุรุษด้วยกายของตน มีประการดังกล่าวแล้วนั่นแล.
    ในบทว่า อามสติ นี้ มีวินิจฉัยว่า ภิกษุณี จงจับต้องเองหรือจงยินดีการจับต้องของบุรุษนั้นก็ตามที เป็นถุลลัจจัยเหมือนกัน.
    สองบทว่า กายปฏิพทฺเธน กายํ ได้แก่ ภิกษุณีจับต้องกายของบุรุษ ด้วยของเนื่องด้วยกายมีประการดังกล่าวแล้วของตน.
    แม้ในบทว่า อามสติ นี้ ก็มีวินิจฉัยว่า ภิกษุณีจงจับต้องเองหรือจงยินดีการจับต้องของบุรุษก็ตามที เป็นถุลลัจจัยทั้งนั้น. 
    แม้ในบทที่เหลือก็พึงทราบวินิจฉัยโดยนัยนี้แล.
    แต่ถ้าเป็นภิกษุกับภิกษุณีด้วยกัน ในภิกษุกับภิกษุณีนั้น ถ้าภิกษุณีจับต้อง ภิกษุเป็นผู้นิ่งไม่ไหวติงแต่ยินดีด้วยจิต พระวินัยธรไม่ควรปรับภิกษุด้วยอาบัติ. ถ้าภิกษุจับต้อง ภิกษุณีเป็นผู้นิ่งไม่ไหวติง แต่ยินดี (ยอมรับ) ด้วยจิตอย่างเดียว แม้ไม่ให้ส่วนแห่งกายไหว พระวินัยธรก็พึงปรับด้วยปาราชิกในเขตแห่งปาราชิก ด้วยถุลลัจจัยในเขตแห่งถุลลัจจัย ด้วยทุกกฎในเขตทุกกฎ.
    เพราะเหตุไร? เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย. นี้เป็นวินิจฉัย ในอรรถกถาทั้งหลาย. ก็เมื่อมีวินิจฉัยอย่างนี้ ความที่สิกขาบทนี้ มีการทำเป็นสมุฏฐาน ไม่ปรากฏให้เห็น เพราะเหตุนั้นความที่สิกขาบทมีการทำเป็นสมุฏฐานนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า พวกอาจารย์กล่าวไว้โดยนัย คือความที่สิกขาบทนั้นมีการทำเป็นสมุฏฐานทั้งนั้นเป็นส่วนมาก.
    บทว่า อุพฺภกฺขกํ แปลว่า เบื้องบนแห่งรากขวัญทั้งสอง.
    บทว่า อโธชานุมณฺฑลํ แปลว่า ภายใต้แห่งมณฑลเข่าทั้งสอง. อนึ่ง แม้เหนือข้อศอกขึ้นมา ท่านก็สงเคราะห์เข้าด้วยเหนือมณฑลเข่าเหมือนกัน ในบทว่า อโธชานุมณฺฑลํ นี้.
    ในคำ เอกโต อวสฺสุเต นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า เอกโต ไว้โดยไม่แปลกกัน แม้ก็จริง, ถึงอย่างนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า เมื่อภิกษุณีมีความกำหนัดเท่านั้น ความต่างแห่งอาบัตินี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้.
ในสิกขาบทนี้ มีวินิจฉัยตั้งแต่ต้นดังต่อไปนี้ :-
    ภิกษุณีกำหนัดด้วยความกำหนัดในการเคล้าคลึงกาย ถึงบุรุษก็อย่างนั้นเหมือนกัน เมื่อมีความยินดีในการเคล้าคลึงกาย ในกายประเทศตั้งแต่รากขวัญลงมา เหนือมณฑลเข่าขึ้นไป เป็นปาราชิกแก่ภิกษุณี. ภิกษุณีมีความกำหนัดในการเคล้าคลึงกาย. ฝ่ายบุรุษมีความกำหนัดในเมถุน หรือ
    มีความรักอาศัยเรือน หรือมีจิตบริสุทธิ์ก็ตามที เป็นถุลลัจจัย ทั้งนั้น. ภิกษุณีมีความกำหนัดในเมถุน, ฝ่ายบุรุษมีความกำหนัดในการเคล้าคลึงกาย หรือมีความกำหนัดในเมถุนหรือมีความรักอาศัยเรือน หรือ
    มีจิตบริสุทธิ์ก็ตามที เป็นทุกกฏ. ภิกษุณีมีความรักอาศัยเรือน, ฝ่ายบุรุษมีจิตอย่างใดอย่างหนึ่ง ในฐานะ ๔ ที่กล่าวแล้วเป็นทุกกฏเหมือนกัน. ภิกษุณีมีจิตบริสุทธิ์, แต่บุรุษมีจิตอย่างใดอย่างหนึ่ง ในฐานะ ๔ ที่กล่าวแล้ว ไม่เป็นอาบัติ.
    แต่ถ้าเป็นภิกษุกับภิกษุณี ทั้งสองฝ่ายมีความกำหนัดในการเคล้าคลึงกาย, ฝ่ายภิกษุเป็นสังฆาทิเสส, ภิกษุณีเป็นปาราชิก. ภิกษุณีมีความกำหนัดในการเคล้าคลึงกาย, ฝ่ายภิกษุมีความกำหนัดในเมถุนก็ดี ความรักอาศัยเรือนก็ดี เป็นถุลลัจจัยแก่
    ภิกษุณี เป็นทุกกฏแก่ภิกษุ. ทั้งสองฝ่ายมีความกำหนัดในเมถุนก็ดี มีความรักอาศัยเรือนก็ดี เป็นทุกกฏเหมือนกันแม้ทั้งสองฝ่าย. ฝ่ายใดมีจิตบริสุทธิ์ ในฐานะ (มีการจับต้องเป็นต้น) ใด, ฝ่ายนั้นไม่เป็นอาบัติในฐานะนั้น. แม้ทั้งสองฝ่ายมีจิตบริสุทธิ์ก็ไม่เป็นอาบัติแม้ทั้งสองฝ่าย.
    ในบทว่า อนาปตฺติ อสญฺจิจฺจ เป็นต้น มีวินิจฉัยว่า ภิกษุณีจับต้องผิดพลาดไปก็ดี ส่งใจไปทางอื่นก็ดี ไม่รู้ว่า ผู้นี้เป็นชาย หรือหญิงก็ดี ถึงถูกบุรุษนั้นถูกต้องก็ไม่ยินดีผัสสะนั้นก็ดี แม้เมื่อมีการจับต้องก็ไม่เป็นอาบัติ.
คำที่เหลือในบททั้งปวง ตื้นทั้งนั้น.
    สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิก (ของภิกษุ) เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๒ ดังนี้แล.

01 ตุลาคม 2567

อรรถกถา เสขิยกัณฑ์ วรรคที่ ๗ ปาทุกาวรรค ปาทุกาวรรค สิกขาบทที่ ๑ ถึง ๘ ปาทุกาวรรค สิกขาบทที่ ๙ ถึง ๑๔ ปาทุกาวรรค สิกขาบทที่ ๑๕ บทสรุป พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

  วรรคที่ ๗
บทว่า อกฺกนฺตสฺส ได้แก่ ผู้ยืนเหยียบเขียงเท้าอย่างเดียว ไม่ได้สอดระหว่างนิ้วเท้าเข้าไปในสายเขียงเท้าคล้ายคันร่ม. 
บทว่า ปฏิมุกฺกสฺส คือ ผู้ยืนสวมเขียงเท้าอยู่. แม้ในรองเท้าก็นัยนั่นแล. 
ก็ในคำว่า โอมุกฺโก นี้ ตรัสเรียกบุคคลผู้ยืนสวมรองเท้าหุ้มส้น.
    ในคำว่า ยานคตสฺส นี้ ถ้าแม้นว่า คนที่ถูกชน ๒ คนหามไปด้วยมือประสานกันก็ดี คนที่เขาวางไว้บนผ้า แล้วใช้บ่าแบกไปก็ดี คนผู้นั่งบนยานที่ไม่ได้เทียมมีคานหามเป็นต้นก็ดี ผู้นั่งบนยานที่เขารื้อออกวางไว้ แม้มีแต่เพียงล้อก็ดี ย่อมถึงการนับว่า ผู้ไปในยาน ทั้งนั้น.
    แต่ถ้าคนแม้ทั้งสอง ๒ ฝ่าย นั่งไปบนยานเดียวกัน, จะแสดงธรรมแก่อีกฝ่ายหนึ่ง ควรอยู่. แม้ใน ๒ คนผู้นั่งแยกกัน ฝ่ายผู้นั่งอยู่บนยานสูง จะแสดงธรรมแก่ฝ่ายผู้นั่งอยู่บนยานต่ำ ควร. จะแสดงแก่ผู้นั่ง แม้บนยานที่เสมอกัน ก็ควร. ภิกษุผู้นั่งอยู่บนยานข้างหน้า จะแสดงธรรมแก่ผู้นั่งบนยานข้างหลังควร. แต่ภิกษุผู้นั่งบนยานข้างหลังแม้สูงกว่า จะแสดงธรรมแก่ผู้นั่งบนยานข้างหน้า (ซึ่งไม่เจ็บไข้) ไม่ควร.
    บทว่า สยนคตสฺส มีความว่า ภิกษุผู้ยืน หรือนั่งบนเตียงก็ดี บนตั่งก็ดี บนภูมิประเทศก็ดีแม้สูง จะแสดงธรรมแก่ (คนไม่เป็นไข้) ผู้นอนอยู่ ชั้นที่สุดบนเสื่อลำแพนก็ดี บนพื้นตามปกติก็ดี ไม่ควร. แต่ภิกษุผู้อยู่บนที่นอน จะนอนบนที่นอนสูงกว่า หรือ
    มีประมาณเสมอกัน แสดงธรรมแก่ผู้ไม่เป็นไข้อยู่บนที่นอน ควรอยู่. ภิกษุผู้นอนจะแสดงธรรมแก่คนผู้ไม่เป็นไข้ ยืนอยู่ก็ดี นั่งอยู่ก็ดี ควรอยู่. แม้ภิกษุนั่งจะแสดงธรรมแก่คนผู้ยืน หรือว่านั่ง ก็ควร. ภิกษุยืนจะแสดงธรรมแก่ผู้ยืนเหมือนกัน ก็ได้.
    บทว่า ปลฺลตฺถิกาย มีความว่า อันภิกษุจะแสดงธรรมแก่ผู้ไม่เจ็บไข้ นั่งรัดเข่าอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นเครื่องรัดเข่าคือสายโยกก็ตาม เครื่องรัดเข่าคือมือก็ตาม เครื่องรัดเข่าคือผ้าก็ตามไม่ควร.
    บทว่า เวฏฺฐิตสีสสฺส มีความว่า แก่ผู้โพกศีรษะด้วยผ้าสำหรับโพก หรือด้วยพวงดอกไม้เป็นต้น มิดจนริมผมไม่ปรากฏให้เห็น.
       บทว่า โอคุณฺฐิตสีสสฺส คือ ผู้ห่มคลุมทั้งศีรษะ.
       สองบทว่า ฉมายํ นิสินฺเนน คือ ผู้นั่งบนพื้นดิน.
    สองบทว่า อาสเน นิสินฺนสฺส คือ ชั้นที่สุด ได้แก่ผู้ปูผ้า หรือหญ้านั่ง.
บทว่า ฉวกสฺส ได้แก่ คนจัณฑาล.
บทว่า ฉวกา ได้แก่ หญิงจัณฑาล.
บทว่า นิลีโน คือ เป็นผู้หลบซ่อนอยู่.
บทว่า ยตฺร หิ นาม คือ โย หิ นาม แปลว่า บุคคลใดเล่า?
    ข้อว่า สพฺพมิทํ จ ปริคตนฺติ ตตฺเถว ปริปติ มีความว่า คนจัณฑาลนั้นกล่าวถ้อยคำอย่างนี้ว่า โลกนี้ทั้งหมดถึงความยุ่งเหยิงไม่มีเขตแดน แล้วไต่ลงมาจากต้นไม้ ในระหว่างชนทั้ง ๒ นั้น ในที่นั้นนั่นเทียว. ก็แลครั้นไต่ลงมาแล้ว ยืนอยู่ข้างหน้าแห่งชนแม้ทั้ง ๒ แล้วกล่าวคาถานี้ว่า อุโภ อตฺถํ น ชานนฺติ ฯเปฯ อสฺมา กุมฺภมิวาภิทา ดังนี้.
       บรรดาบทเหล่านั้น บาทคาถาว่า อุโภ ยตฺถํ น ชานนฺติ ความว่า ชนแม้ทั้ง ๒ ย่อมไม่รู้อรรถแห่งบาลี.
ข้อว่า ธมฺมํ น ปสฺสเร ความว่า ชนทั้ง ๒ ย่อมไม่เห็นบาลี.
ถามว่า ชนทั้ง ๒ นั้นเหล่าไหน?.
      แก้ว่า ชนทั้ง ๒ คือ พราหมณ์ผู้สอนมนต์ โดยไม่เคารพธรรมและพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงเรียนมนต์ โดยไม่เคารพธรรม.
    อธิบายว่า คนจัณฑาลตั้งคนทั้ง ๒ คือ พราหมณ์และพระเจ้าแผ่นดินไว้ในความเป็นผู้ไม่ประพฤติธรรม.
    ต่อจากนั้น พราหมณ์จึงได้กล่าวคาถาว่า สาลีนํ เป็นต้น. คาถานั้นมีใจความว่า พ่อมหาจำเริญ! เราก็รู้อยู่ว่า นี้ไม่เป็นธรรม, อนึ่งแล เรากับบุตรภรรยาและบริวารชน บริโภคข้าวสุกแห่งข้าวสาลีอันเป็นของในหลวงมานานแล้ว.
    บาทคาถาว่า สุจิมํสูปเสจโน มีวิเคราะห์ว่า การผสมด้วยแกงเนื้ออันสะอาดที่เขาปรุงด้วยชนิดแห่งเครื่องปรุงมีประการต่างๆ คือการทำให้ระคนกับอามิส มีอยู่แก่ข้าวสุกแห่งข้าวสาลีนั้น เหตุนั้น ข้าวสุกแห่งข้าวสาลีนั้นจึงชื่อว่า ผสมกับแกงเนื้ออันสะอาด.
    บาทคาถาว่า ตสฺมา ธมฺเม น วตฺตามิ มีความว่า เพราะเราบริโภคข้าวสุกของในหลวง และได้รับพระราชทานลาภอื่นๆ เป็นอันมากอย่างนี้ ฉะนั้น เราจึงไม่ประพฤติอยู่ในธรรม เป็นผู้ติดอยู่ในท้อง (เห็นแก่ท้อง) ไม่ใช่ไม่รู้ธรรม เรารู้อยู่ว่า ความจริงธรรมนี้ พระอริยเจ้าทั้งหลายยกย่องสรรเสริญ ชมเชย. 
     ลำดับนั้น คนจัณฑาลนั้นจึงกล่าวย้ำกะพราหมณ์นั้น ด้วย ๒ คาถาว่า ธิรตฺถุ เป็นต้น. ๒ คาถานั้นมีใจความว่า ลาภคือทรัพย์ และลาภคือยศ อันใดที่ท่านได้แล้ว, เราติเตียนลาภ คือทรัพย์และลาภคือยศอันนั้น ท่านพราหมณ์! เพราะเหตุไรเล่า? เพราะลาภที่ท่านได้นี้ เป็นเหตุให้
    ประจวบกับเหตุอันให้ตกไปในพวกอบายต่อไป และชื่อว่าเป็นการดำเนินชีวิตโดยประพฤติไม่เป็นธรรม. ก็การดำเนินชีวิตมีรูปเห็นปานนี้อันใด จะสำเร็จได้โดยเป็นเหตุให้ตกต่ำต่อไป หรือโดยเป็นเหตุให้ประพฤติไม่เป็นธรรมในโลกนี้, จะมีประโยชน์อะไร ด้วยการดำเนินชีวิตนั้น.
    ด้วยเหตุนั้น คนจัณฑาลนั้นจึงได้กล่าวว่า ท่านพราหมณ์! เราติเตียนการได้ทรัพย์และการได้ยศเพราะนั่นเป็นการเลี้ยงชีพโดยความเป็นเหตุให้ตกต่ำและเป็นการเลี้ยงชีพโดยทางที่ไม่ชอบธรรม.
    บาทคาถาว่า ปริพฺพช มหาพฺรเหฺม มีความว่า ข้าแต่ท่านมหาพราหมณ์! ท่านจงรีบออกไปเสียจากประเทศนี้.
    บาทคาถาว่า ปจนฺตญฺเญปิ ปาณิโน มีความว่า สัตว์แม้เหล่าอื่นก็ยังหุงต้ม และยังบริโภค (ยังหุงหากิน), มิใช่แต่ท่านกับพระราชาเท่านั้น.
    กึ่งคาถาว่า มา ตํ อธมฺโม อาจริโต อสฺมา กุมฺภมิวาภิทา มีความว่า เพราะถ้าว่า ท่านไม่หลีกหนีไปจากที่นี้ จักประพฤติอธรรมนี้ยิ่งขึ้น, แต่นั้น อธรรมที่ท่านประพฤติยิ่งขึ้นนั้น จะทำลายท่านเองเหมือนก้อนหินทำลายหม้อน้ำ ฉะนั้น.
   ด้วยเหตุนั้น เราทั้งหลายจึงกล่าวว่า
        ข้าแต่ท่านพราหมณ์! ท่านจงรีบออกไปเถิด, แม้สัตว์ที่มีชีวิตเหล่าอื่นก็ยังหุงต้มกินอยู่, ความอธรรมที่ท่านได้ประพฤติแล้ว อย่าได้ทำลายท่าน ดุจก้อนหิทำลายหม้อน้ำ ฉะนั้น.
    สองบทว่า อุจฺเจ อาสเน มีความว่า จะแสดงธรรมแก่ผู้ไม่เจ็บไข้ซึ่งนั่งอยู่บนอาสนะ ชั้นที่สุด แม้บนภูมิประเทศที่สูงกว่า ก็ไม่ควร.
    สองบทว่า น ฐิเตน นิสินฺนสฺส มีความว่า ถ้าแม้นว่า พระมหาเถระนั่งบนอาสนะ ถามปัญหากะภิกษุหนุ่มผู้มายังที่บำรุงของพระเถระแล้วยืนอยู่, เธอไม่ควรกล่าว. แต่ด้วยความเคารพ เธอก็ไม่อาจกล่าวกะพระเถระว่า นิมนต์ท่านลุกขึ้นถามเถิด. จะกล่าวด้วยตั้งใจว่า เราจักกล่าวแก่ภิกษุผู้ยืนอยู่ข้างๆ ควรอยู่.
    ในคำว่า น ปจฺฉโต คจฺฉนฺเตน นี้ มีวินิจฉัยว่า ถ้าคนผู้เดินไปข้างหน้า ถามปัญหากะภิกษุผู้เดินไปข้างหลัง, เธอไม่ควรตอบ. จะกล่าวด้วยใส่ใจว่า เราจะกล่าวแก่ภิกษุผู้อยู่ข้างหลัง สมควร. จะสาธยายธรรมที่ตนเรียนร่วมกัน ควรอยู่. จะกล่าวแก่บุคคลผู้เดินคู่เคียงกันไป ก็ควร.
    แม้ในคำว่า น อุปเถน นี้ ก็มีวินิจฉัยว่า แม้ชนทั้ง ๒ เดินคู่เคียงกันไปในทางเกวียนตามทางล้อเกวียนคนละข้าง หรือออกนอกทางไป, จะกล่าวก็ควร.
    บทว่า อสญฺจิจฺจ มีความว่า เมื่อภิกษุกำลังไปยังที่กำบังอุจจาระหรือปัสสาวะพลันเล็ดออก (พลันทะลักออกมา) ชื่อว่าไม่แกล้งถ่าย ไม่เป็นอาบัติ.
    ในคำว่า น หริเตนี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
          แม้รากของต้นไม้ที่ยังเป็นชอนไปบนพื้นดินปรากฏให้เห็นก็ดี กิ่งไม้ที่เลื้อยระไปบนพื้นดินก็ดี ทั้งหมดเรียกว่าของสดเขียวทั้งนั้น. ภิกษุจะนั่งบนขอนไม้ถ่ายให้ตกลงไปในที่ปราศจากของเขียวสด ควรอยู่. เมื่อยังกำลังมองหาที่ปราศจากของสดเขียวอยู่นั่นแหละ อุจจาระหรือปัสสาวะพลันทะลักออกมา จัดว่าตั้งอยู่ในฐานเป็นผู้อาพาธ ควรอยู่.
    สองบทว่า อปหริเต กโต มีความว่า เมื่อภิกษุไม่ได้ที่ปราศจากของสดเขียว แม้วางเทริดหญ้า หรือเทริดฟางไว้แล้ว ทำการถ่ายอุจจาระปัสสาวะทับของเขียวในภายหลัง ก็ควรเหมือนกัน. ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีว่า ถึงแม้น้ำมูกก็สงเคราะห์เข้ากับน้ำลายในสิกขาบทนี้.
    คำว่า น อุทเก นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงน้ำบริโภคเท่านั้น. แต่ในน้ำที่วัจจกุฎีและในน้ำทะเลเป็นต้น ไม่ใช่ของบริโภค ไม่เป็นอาบัติ. เมื่อฝนตก ห้วงน้ำมีอยู่ทั่วไป. เมื่อภิกษุกำลังมองหาที่ไม่มีน้ำอยู่นั่นแหละ อุจจาระหรือปัสสาวะเล็ดออกมา ควรอยู่. แต่ในมหาปัจจรี ท่านกล่าวว่า ในเวลาเช่นนั้น ภิกษุไม่ได้ที่ไม่มีน้ำ จะทำการถ่าย ควรอยู่.
คำที่เหลือในสิกขาบททั้งปวง ตื้นทั้งนั้น.
วรรคที่ ๗ จบ.
ปกิณกะในเสขิยวรรณนา
   ก็เพื่อต้องการแสดงสมุฏฐานเป็นต้นในอธิการแห่งเสขิยวรรณนานี้ จึงมีข้อเบ็ดเตล็ดดังต่อไปนี้ :-
    สิกขาบท ๑๐ เหล่านี้ คือ ๔ สิกขาบทที่เกี่ยวด้วยการหัวเราะ และเสียงดัง สิกขาบทที่พูดทั้งปากยังมีคำข้าว ๑, ๕ สิกขาบทที่เกี่ยวด้วยการนั่งบนพื้น ๑ ที่นั่งต่ำ ๑ การยืนแสดงธรรม ๑ การเดินไปข้างหลัง ๑ การเดินไปนอกทาง ๑ มีสมุฏฐานดุจสมนุภา
    สนสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายวาจาและจิต เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนาแล.
    สูโปทนวิญญัตติสิกขาบทมีสมุฏฐานดุจไถยสัตถสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต ทุกขเวทนาแล.
    ๑๑ สิกขาบท ที่มีชื่อว่า ฉัตตปาณิสิกขาบท ๑ ทัณฑปาณิสิกขาบท ๑ สัตถปาณิสิกขาบท ๑ อาวุธปาณิสิกขาบท ๑ ปาทุกสิกขาบท ๑ อุปาหนสิกขาบท ๑ ยานสิกขาบท ๑ สยนสิกขาบท ๑ ปัลลัตถิกสิกขาบท ๑ เวฐิตสิกขาบท ๑ โอคุณฐิตสิกขาบท ๑
  มีสมุฏฐานดุจธรรมเทสนาสิกขาบท เกิดขึ้นทางวาจากับจิต เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนาแล.
    ที่เหลืออีก ๕๓ สิกขาบทมีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิกแล.     ในเสขิยสิกขาบททั้งหมด ไม่เป็นอาบัติ เพราะอาพาธเป็นปัจจัย. 
     ใน ๓ สิกขาบท คือถูปีกตปิณฑปาตสิกขาบท ๑ สูปพยัญชนปฏิจฉาทนสิกขาบท ๑ อุชฌานสัญญีสิกขาบท ๑ ไม่มี (กล่าวถึง) ภิกษุอาพาธแล.
เสขิยวรรณนา จบ.