[๒๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
ครั้งนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์มีความกำหนัดยินดีการที่บุรุษบุคคลผู้กำหนัดจับมือบ้าง จับชายผ้าสังฆาฏิบ้าง ยืนด้วยบ้าง สนทนาด้วยบ้าง ไปสู่ที่นัดแนะบ้าง ยินดีการที่บุรุษมาหาตามนัดบ้าง เข้าไปสู่ที่มุงด้วยกันบ้าง ทอดกายเพื่อประโยชน์แก่บุรุษนั้น
เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั้นบ้าง.
บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จึงได้มีความกำหนัดยินดีการที่บุรุษบุคคลผู้กำหนัดจับมือบ้าง จับชายผ้าสังฆาฏิบ้าง ยืนด้วยบ้าง สนทนาด้วยบ้าง ไปสู่ที่นัดแนะกันบ้าง ยินดีการที่บุรุษมาหาตามนัดบ้าง เข้าไปสู่ที่มุงด้วยกันบ้าง ทอดกายเพื่อประโยชน์
แก่บุรุษนั้น เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั้นบ้างเล่า ... แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีฉัพพัคคีย์มีความกำหนัด ยินดีการที่บุรุษบุคคลผู้กำหนัดจับมือบ้าง จับชายผ้าสังฆาฏิบ้าง ยืนด้วยบ้าง สนทนาด้วยบ้าง ไปสู่ที่นัดแนะกันบ้าง ยินดีการที่บุรุษมาหาตามนัดบ้าง เข้าไปสู่ที่มุงด้วยกันบ้าง ทอดกายเพื่อประโยชน์แก่บุรุษนั้น เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั้นบ้าง จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงมีความกำหนัด ยินดีการที่บุรุษบุคคลผู้กำหนัดจับมือบ้าง จับชายผ้าสังฆาฏิบ้าง ยืนด้วยบ้าง สนทนาด้วยบ้าง ไปสู่ที่นัดแนะกันบ้าง ยินดีการที่บุรุษมาหาตามนัดบ้าง
เข้าไปสู่ที่มุงด้วยกันบ้าง ทอดกายเพื่อประโยชน์แก่บุรุษนั้น เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั้นบ้าง การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แลภิกษุณีทั้งหลาย จงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระบัญญัติ ๘.๔. อนึ่ง ภิกษุณีใด มีความกำหนัด ยินดีการที่บุรุษบุคคลผู้กำหนัดจับมือก็ดี จับชายผ้าสังฆาฏิก็ดี ยืนด้วยก็ดี สนทนาด้วยก็ดี ไปสู่ที่นัดหมายกันก็ดี ยินดีการที่บุรุษมาหาตามนัดก็ดี
เข้าไปสู่ที่มุงด้วยกันก็ดี ทอดกายเพื่อประโยชน์แก่บุรุษนั้น เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั้นก็ดี แม้ภิกษุณีนี้เป็นปาราชิก ชื่ออัฏฐวัตถุกา หาสังวาสมิได้.
เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๒๗] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ
นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า มีความกำหนัด คือ มีความยินดียิ่ง มีความเพ่งเล็ง มีจิตปฏิพัทธ์.
ที่ชื่อว่า ผู้กำหนัดคือ กำหนัดนักแล้ว มีความเพ่งเล็ง มีจิตปฏิพัทธ์.
ที่ชื่อว่า บุรุษบุคคล ได้แก่ มนุษย์ผู้ชาย ไม่ใช่ยักษ์ผู้ชาย ไม่ใช่เปรตผู้ชาย ไม่ใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ เป็นผู้รู้ความ เป็นผู้สามารถเพื่อถึงความเคล้าคลึงด้วยกาย.
บทว่า ยินดีการจับมือก็ดี ความว่า ที่ชื่อว่า มือ กำหนดตั้งแต่ข้อศอก ถึงปลายเล็บภิกษุณียินดีการจับอวัยวะเหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้เข่าลงมา เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
บทว่า ยินดีการจับชายผ้าสังฆาฏิก็ดี คือ ยินดีการจับผ้านุ่งก็ดี ผ้าห่มก็ดี เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
บทว่า ยืนด้วยก็ดี ความว่า ยืนอยู่ในระยะช่วงมือของบุรุษ เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
บทว่า สนทนาด้วยก็ดี ความว่า ยืนพูดอยู่ในระยะช่วงมือของบุรุษ เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
บทว่า ไปสู่ที่นัดแนะกันก็ดี ความว่า บุรุษพูดนัดว่า โปรดมาสู่สถานที่ชื่อนี้ ดังนี้ ภิกษุณีไปเพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติทุกกฏทุกๆ ก้าว พอย่างเข้าระยะช่วงมือของ บุรุษ ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
บทว่า ยินดีการที่บุรุษมาหาตามนัดก็ดี ความว่า ยินดีการมาตามนัดของบุรุษ เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติทุกกฏ พอย่างเข้าระยะช่วงมือ ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
บทว่า เข้าไปสู่ที่มุงด้วยกันก็ดี ความว่า พอย่างเข้าสู่สถานที่อันมุงไว้ด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
บทว่า ทอดกายเพื่อประโยชน์แก่บุรุษนั้นก็ดี ความว่า อยู่ในระยะช่วงมือของบุรุษ แล้วทอดกายเพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
[๒๘] บทว่า แม้ภิกษุณีนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสเทียบเคียงภิกษุณีรูปก่อน. บทว่า เป็นปาราชิก มีอธิบายว่า ต้นตาลมียอดด้วนแล้วไม่อาจงอกอีกได้ ชื่อแม้ฉันใด ภิกษุณีก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทำวัตถุถึงที่ ๘ ไม่ใช่สมณะ ไม่ใช่ธิดาของพระศากยบุตร เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า เป็นปาราชิก.
บทว่า หาสังวาสมิได้ ความว่า ที่ชื่อว่าสังวาส ได้แก่กรรมที่พึงทำร่วมกัน อุเทศที่พึงสวดร่วมกัน ความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกัน นี้ชื่อว่าสังวาส สังวาสนั้นไม่มีร่วมกับภิกษุณีนั้น
เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า หาสังวาสมิได้.
อนาปัตติวาร [๒๙] ไม่จงใจ ๑ เผลอสติ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ ไม่ยินดี ๑ วิกลจริต ๑ มีจิตฟุ้งซ่าน ๑ กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ จบ.
[๓๐] แม่เจ้าทั้งหลาย ธรรมคือปาราชิก ๘ สิกขาบท ๑- ดิฉันยกขึ้นแสดงแล้วแล ภิกษุณี
ต้องอาบัติปาราชิกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ย่อมไม่ได้อยู่ร่วมกับภิกษุณีทั้งหลาย
ในภายหลัง เหมือน
ในกาลก่อน เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้ ดิฉันขอถามแม่เจ้าทั้งหลาย
ในอาบัติปาราชิกเหล่านั้นว่า แม่เจ้าทั้งหลาย
บริสุทธิ์แล้วหรือดิฉันขอถามแม้ครั้งที่สองว่า แม่เจ้าทั้งหลาย
บริสุทธิ์แล้วหรือดิฉันขอถามแม้ครั้งที่สามว่า แม่เจ้าทั้งหลาย
บริสุทธิ์แล้วหรือ?แม่เจ้าทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์ใน อาบัติปาราชิกเหล่านี้แล้ว เหตุนั้น จึงนิ่ง ดิฉันทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้แล.
ปาราชิกกัณฑ์ จบ
วินิจฉัยในปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ พึงทราบดังนี้ :-แก้อรรถบางปาฐะและบางเรื่องในจตุตถปาราชิกบทว่า อวสฺสุตา ได้แก่ ผู้กำหนัดด้วยกายสังสัคคราคะ ด้วยอำนาจมิตตสันถวะ กล่าวคือความยินดีทางโลกีย์.แม้ในบทที่ ๒ ก็นัยนี้นั่นแล.ก็ในคำว่า ปุริสปุคฺคลสฺส หตฺถคฺคหณํ วา เป็นต้น มีวินิจฉัยว่า การจับมือที่บุคคลผู้ชายทำแล้วตรัสเรียกว่า การจับมือแห่งบุรุษบุคคล.
แม้ในการจับชายผ้าสังฆาฏิ ก็นัยนี้เหมือนกัน. แต่การจับมือและการจับแม้อย่างอื่นในเขตที่ไม่เป็นปาราชิก
บัณฑิตพึงทราบว่า ท่านรวมเข้าเป็นอันเดียวกัน เรียกว่าการจับมือ ในคำว่า หตฺถคฺคหณํ นี้.
ด้วยเหตุนั้นแล ในบทภาชนะแห่งบทว่า หตฺถคฺคหณํ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สองบทว่า หตฺถคฺคหณํ วา สาทิเยยฺย
มีความว่า ที่ชื่อว่ามือ กำหนดตั้งแต่ข้อศอกไป จนถึงปลายเล็บ, ภิกษุณียินดีการจับอวัยวะเหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้มณฑลเข่าลงมา เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรมนั่น ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
แต่ในบทว่า อสทฺธมฺโม นี้ การเคล้าคลึงกาย พึงทราบว่า อสัทธรรม ไม่ใช่เมถุนธรรม. แท้จริงถุลลัจจัยหาใกล้เคียงต่อเมถุนธรรมไม่.
อนึ่ง แม้คำว่า เป็นผู้รู้ความ เป็นผู้สามารถเพื่อถึงความเคล้าคลึงกาย ก็เป็นเครื่องสาธกได้ ในบทว่า อสทฺธมฺโม นี้.
หากผู้ท้วงจะพึงท้วงว่า คำที่ท่านกล่าวว่า การเคล้าคลึงกาย พึงทราบว่า อสัทธรรม ก็ผิดจากเสทโมจนคาถา ที่ตรัสไว้ในคัมภีร์ปริวารนี้ว่า๑-
ไม่เสพเมถุนธรรมนั้นในสตรี ๓ จำพวกที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ ในบุรุษ ๓ จำพวกคนไม่ประเสริฐ ๓ จำพวก และบัณเฑาะก์ ๓ จำพวกและไม่ประพฤติเมถุนในอวัยวะเครื่องเพศ.แต่ความขาดย่อมมี เพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัย,ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว ดังนี้.
๑- วิ. ปริ. เล่ม ๘/ข้อ ๑๓๒๙/หน้า ๕๓๔
แก้ว่า ไม่ผิด เพราะกายสังสัคคะ เป็นบุรพภาคแห่งเมถุน.
จริงอยู่ ในปริวารนั่นแหละได้ตรัสสิกขาบท ๕ มีสุกกวิสัฏฐิเป็นต้น ว่าเป็นบุรพภาคแห่งเมถุนธรรมอย่างนี้ว่า
ข้อที่ว่า พึงทราบบุรพภาคแห่งเมถุนธรรม ได้แก่ สุกกวิสัฏฐิมีสี มีสีมาก กายสังสัคคะ ทุฏฐุลลวาจา วนมนุปปทานะ อัตตกามปาริจริยา (๒- การมอบดอกไม้ใบไม้ การให้ของขวัญ) เพราะเหตุนั้น กายสังสัคคะ จึงชื่อว่าเป็นปัจจัย เพราะเป็นบุรพภาคแห่งเมถุนธรรม.
๒- วนมนุปฺปทานํ วิมติ; เป็น คมนุปฺปาทนนฺติสญฺจริตฺตํ.
บัณฑิตพึงทราบเนื้อความในคำว่า เฉชฺชํ สิยา เมถุนธมฺมปจฺจยา นี้ โดยปริยายนี้ ด้วยประการฉะนี้. บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยในบททั้งปวงโดยอุบายนี้.
อีกนัยหนึ่ง ในบทภาชนะแห่งสองบทว่า สงฺเกตํ วา คจฺเฉยฺย นี้ สองบทว่า อิตฺถนฺนามํ อาคจฺฉ มีความว่า ท่านจงมาสู่สถานที่มีชื่ออย่างนี้.
ข้อว่า อฏฺมํ วตฺถุํ ปริปูเรนฺตี อสฺสมณี โหติ มีความว่า
ภิกษุณีทำวัตถุที่ ๘ ให้เต็มบริบูรณ์ โดยนัยใดนัยหนึ่ง จะเป็นโดยอนุโลมหรือโดยปฏิโลม หรือโดยคั่นเป็นตอนก็ตาม เป็นผู้มิใช่สมณี. ส่วนภิกษุณีใดทำวัตถุเดียว หรือ ๗ วัตถุให้เต็มแม้ตั้ง ๗ ครั้ง จะเป็นผู้ชื่อว่ามิใช่สมณีหามิได้เลย, ภิกษุณีนั้นแสดงอาบัติที่ต้องแล้วย่อมพ้นได้.
อีกนัยหนึ่ง ในสิกขาบทนี้ บัณฑิตพึงทราบอาบัติที่ควรนับ.
สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อาบัติที่แสดงแล้วควรนับ (ว่าแสดงแล้ว) ก็มี อาบัติที่แสดงแล้วไม่ควรนับ (ว่าแสดงแล้ว) ก็มี.
ในคำว่า เทสิตา คณนูปิกา เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
อาบัติที่ภิกษุณีทำการทอดธุระ แสดงว่า บัดนี้เราจักไม่ต้อง จัดว่าควรนับ คือถึงการนับว่าได้แสดงแล้ว ไม่เป็นองค์แห่งปาราชิก. เพราะฉะนั้น ภิกษุณีใดต้องอาบัติตัวหนึ่ง ทำการทอดธุระ แสดงแล้ว กลับต้องอีกด้วยอำนาจแห่งกิเลส, กลับแสดงอีก,
ภิกษุณีนั้นแม้เมื่อทำวัตถุทั้ง ๘ ให้เต็มอย่างนี้ ก็ไม่เป็นปาราชิก. ก็ภิกษุณีใดต้องแล้ว แสดงทั้งๆ ที่ยังมีความอุตสาหะว่า เราจักต้องวัตถุอย่างอื่นแม้อีก, อาบัตินั้นของภิกษุณีนั้น ไม่ควรนับ, แม้เธอแสดงแล้วก็ไม่เป็นอันแสดงเลยคือ ยังไม่ถึงการนับว่าได้แสดงแล้ว ยังเป็นองค์แห่งปาราชิกอยู่ทีเดียว, พอเมื่อวัตถุที่ ๘ ครบบริบูรณ์ เธอก็เป็นปาราชิก.
คำที่เหลือ ตื้นทั้งนั้นแล.
สิกขาบทนี้มีการทอดธุระเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางกายวาจากับจิต เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๒ ดังนี้แล.
อรรถกถาปาราชิกสิกขาบทที่ ๔จบบริบูรณ์
ตามวรรณนานุกรมแล.
บัณฑิตพึงเห็นเนื้อความในคำว่า อุทฺทิฏฐา โข อยฺยาโย อฏฺฐ ปาราชิกา ธมฺมา นี้ อย่างนี้ว่า ข้าแต่แม่เจ้าทั้งหลาย! ธรรมคือปาราชิก ๘ สิกขาบท ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้วแล โดยเพียงเป็นปาฏิโมกขุทเทสอย่างนี้ คือปาราชิก ๔ ที่ทั่วไปซึ่งทรงปรารภพวกภิกษุบัญญัติไว้ และปาราชิก ๔ เหล่านี้.
คำที่เหลือมีนัยดังที่กล่าวแล้วในมหาวิภังค์นั้นแล้ว.
อรรถกถาปาราชิกกัณฑ์ในภิกขุนีวิภังค์ในอรรถกถา
พระวินัยปิฎก ชื่อว่าสมันตปาสาทิกา จบ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น