
[๑๘๒] โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ทะเลาะกับพวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก
กล่าวเสียดแทงพวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก คือ ด่าว่า สบประมาท กระทบกำเนิดบ้างชื่อบ้าง วงศ์ตระกูลบ้าง การงานบ้าง ศิลปบ้าง โรคบ้าง รูปพรรณบ้าง กิเลสบ้าง อาบัติบ้าง คำด่าที่ทรามบ้าง.
บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์ ทะเลาะกับภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก จึงได้กล่าวเสียดแทงพวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก คือด่าว่าสบประมาท
กระทบกำเนิดบ้าง ชื่อบ้าง วงศ์ตระกูลบ้าง การงานบ้าง ศิลปบ้าง โรคบ้าง รูปพรรณบ้าง กิเลสบ้าง อาบัติบ้าง คำด่าที่ทรามบ้างเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า จริงหรือภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอ
ทะเลาะกับพวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก กล่าวเสียดแทงพวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก คือด่าว่าสบประมาท กระทบกำเนิดบ้าง
ชื่อบ้าง วงศ์ตระกูลบ้าง การงานบ้าง ศิลปบ้าง โรคบ้าง รูปพรรณบ้าง กิเลสบ้าง อาบัติบ้าง คำด่าที่ทรามบ้าง?
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้ทะเลาะกับพวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก กล่าวเสียดแทงพวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก คือด่าว่าสบประมาท กระทบกำเนิดบ้าง ชื่อบ้าง วงศ์ตระกูลบ้าง
การงานบ้าง ศิลปบ้าง โรคบ้าง
รูปพรรณบ้าง กิเลสบ้าง อาบัติบ้าง คำด่าที่ทรามบ้าง? การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว , ครั้นแล้วทรงกระทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายดังต่อไปนี้:-
เรื่องโคนันทิวิสาล
[๑๘๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว. พราหมณ์คนหนึ่งในเมืองตักกสิลา มีโคถึกตัวหนึ่งชื่อนันทิวิสาล.
ครั้งนั้นโคถึกชื่อนันทิวิสาล ได้กล่าวคำนี้กะพราหมณ์นั้นว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ท่านจงไปพนันกับเศรษฐีด้วยทรัพย์ ๑,๐๐๐ กษาปณ์ว่า โคถึกของข้าพเจ้าจักลากเกวียน ๑๐๐ เล่มที่ผูกเนื่องกันไปได้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จึงพราหมณ์นั้นได้ทำการพนันกับเศรษฐีด้วยทรัพย์ ๑,๐๐๐ กษาปณ์ว่าโคถึกของข้าพเจ้าจักลากเกวียน ๑๐๐ เล่มที่ผูกเนื่องกันไปได้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้นแล้วพราหมณ์ได้ผูกเกวียน ๑๐๐ เล่มให้เนื่องกัน เทียมโคถึก นันทิวิสาลเสร็จแล้ว ได้กล่าวคำนี้ว่า จงฉุดไป เจ้าโคโกง จงลากไป เจ้าโคโกง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น โคถึกนันทิวิสาลได้ยืนอยู่ในที่เดิมนั่นเอง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พราหมณ์นั้นแพ้พนัน เสียทรัพย์ ๑,๐๐๐ กษาปณ์แล้วได้ซบเซา.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อมา โคถึกนันทิวิสาลได้ถามพราหมณ์นั้นว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ เหตุไรท่านจึงซบเซา?
พ. ก็เพราะเจ้าทำให้เราต้องแพ้ เสียทรัพย์ไป ๑,๐๐๐ กษาปณ์ นั่นละซิ เจ้าตัวดี.
น. ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ก็ท่านมาเรียกข้าพเจ้าผู้ไม่โกง ด้วยถ้อยคำว่าโกงทำไมเล่า? ขอท่านจงไปอีกครั้งหนึ่ง จงพนันกับเศรษฐีด้วยทรัพย์ ๒,๐๐๐ กษาปณ์ว่า โคถึกของข้าพเจ้า
จักลากเกวียน ๑๐๐ เล่มที่ผูกเนื่องกันไปได้ แต่อย่าเรียกข้าพเจ้าผู้ไม่โกง ด้วยถ้อยคำว่าโกง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทันใดนั้นแล พราหมณ์นั้นได้พนันกับเศรษฐีด้วยทรัพย์ ๒,๐๐๐ กษาปณ์ว่า โคถึกของข้าพเจ้าจักลากเกวียน ๑๐๐ เล่มที่ผูกเนื่องกันไปได้.
ครั้นแล้วได้ผูกเกวียน
๑๐๐ เล่มให้เนื่องกัน เทียมโคถึกนันทิวิสาลแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า เชิญฉุดไปเถิด พ่อรูปงามเชิญลากไปเถิด พ่อรูปงาม.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล โคถึกนันทิวิสาลได้ลากเกวียน ๑๐๐ เล่ม ซึ่งผูกเนื่องกัน ไปได้แล้ว.
[๑๘๔] บุคคลกล่าวควรแต่ถ้อยคำเป็นที่จำเริญใจ,
kyk ไม่ควรกล่าวถ้อยคำอันไม่เป็นที่จำเริญใจ ในกาลไหน ๆ.
kyk เพราะเมื่อพราหมณ์กล่าวถ้อยคำเป็นที่จำเริญใจ,
โคถึกนันทิวิสาลได้ลากเกวียนหนักไป,
ยังพราหมณ์นั้นให้ได้ทรัพย์, และได้ดีใจเพราะพราหมณ์ ได้ทรัพย์โดยการกระทำของตนนั้นแล.
[๑๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งนั้น คำด่า คำสบประมาทก็มิได้เป็นที่พอใจของเราไฉน ในบัดนี้ คำด่า คำสบประมาท จักเป็นที่พอใจเล่า? การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไป
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๕๑. ๒. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะโอมสวาท.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๑๘๖] ที่ชื่อว่า โอมสวาท ได้แก่คำพูดเสียดแทงให้เจ็บใจด้วยอาการ ๑๐ อย่าง คือ ชาติ ๑ ชื่อ ๑ โคตร ๑ การงาน ๑ ศิลป ๑ โรค ๑ รูปพรรณ ๑ กิเลส ๑ อาบัติ ๑ คำด่า ๑.
บทภาชนีย์
[๑๘๗] ที่ชื่อว่า ชาติ ได้แก่ชาติ ๒ คือ ชาติทราม ๑ ชาติอุกฤษฏ์ ๑.
ที่ชื่อว่า ชาติทราม ได้แก่ชาติคนจัณฑาล ชาติคนจักสาน ชาติพราน ชาติคน
ช่างหนัง ชาติคนเทดอกไม้ นี้ชื่อว่าชาติทราม.
ที่ชื่อว่า ชาติอุกฤษฏ์ ได้แก่ชาติกษัตริย์ ชาติพราหมณ์ นี้ชื่อว่าชาติอุกฤษฏ์.
[๑๘๘] ที่ชื่อว่า ชื่อ ได้แก่ชื่อ ๒ คือ ชื่อทราม ๑ ชื่ออุกฤษฏ์ ๑.
ที่ชื่อว่า ชื่อทราม ได้แก่ ชื่ออวกัณณกะ ชวกัณณกะ ธนิฏฐกะ สวิฏฐกะ กุลวัฑฒกะ, ก็หรือชื่อที่เขาเย้ยหยัน เหยียดหยาม เกลียดชัง ดูหมิ่น ไม่นับถือกันในชนบท นั้นๆ นี้ชื่อว่าชื่อทราม.
ชื่อว่า ชื่ออุกฤษฏ์ ได้แก่ชื่อที่เกี่ยวเนื่องด้วยพุทธะ ธัมมะ สังฆะ, ก็หรือชื่อที่เขาไม่เย้ยหยัน ไม่เหยียดหยาม ไม่เกลียดชัง ไม่ดูหมิ่น นับถือกันในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่า ชื่ออุกฤษฏ์.
[๑๘๙] ที่ชื่อว่า โคตร ได้แก่วงศ์ตระกูล มี ๒ คือ วงศ์ตระกูลทราม ๑ วงศ์ตระกูล
อุกฤษฏ์ ๑.
ที่ชื่อว่า วงศ์ตระกูลทราม ได้แก่วงศ์ตระกูลภารทวาชะ, ก็หรือวงศ์ตระกูลที่เขาเย้ยหยัน เหยียดหยาม เกลียดชัง ดูหมิ่น ไม่นับถือกันในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่าวงศ์ตระกูลทราม.
ที่ชื่อว่า วงศ์ตระกูลอุกฤษฏ์ ได้แก่วงศ์ตระกูลโคตมะ วงศ์ตระกูลโมคคัลลานะ วงศ์ตระกูลกัจจายนะ วงศ์ตระกูลวาเสฏฐะ, ก็หรือวงศ์ตระกูลที่เขาไม่เย้ยหยัน ไม่เหยียดหยาม
ไม่เกลียดชัง ไม่ดูหมิ่น นับถือกันในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่า วงศ์ตระกูลอุกฤษฏ์.
[๑๙๐] ที่ชื่อว่า การงาน ได้แก่งานที่ทำ มี ๒ คือ งานทราม ๑ งานอุกฤษฏ์ ๑.
ที่ชื่อว่า งานทราม ได้แก่งานช่างไม้ งานเทดอกไม้, ก็หรืองานที่เขาเย้ยหยันเหยียดหยาม เกลียดชัง ดูหมิ่น ไม่นับถือกัน ในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่างานทราม.
ที่ชื่อว่า งานอุกฤษฏ์ ได้แก่ งานทำนา งานค้าขาย งานเลี้ยงโค, ก็หรืองานที่เขาไม่เย้ยหยัน ไม่เหยียดหยาม ไม่เกลียดชัง ไม่ดูหมิ่น นับถือกันในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่า งาน อุกฤษฏ์.
[๑๙๑] ที่ชื่อว่า ศิลปะ ได้แก่วิชาการช่าง มี ๒ คือ วิชาการช่างทราม ๑ วิชาการ ช่างอุกฤษฏ์ ๑.
ที่ชื่อว่า วิชาการช่างทราม ได้แก่ วิชาการช่างจักสาน, วิชาการช่างหม้อ วิชาการช่างหูก วิชาการช่างหนัง วิชาการช่างกัลบก, ก็หรือวิชาการช่างที่เขาเย้ยหยัน เหยียดหยาม เกลียดชัง ดูหมิ่น ไม่นับถือกันในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่าวิชาการช่างทราม.
ที่ชื่อว่า วิชาการช่างอุกฤษฏ์ ได้แก่วิชาการช่างนับ วิชาการช่างคำนวณ วิชาการช่างเขียน, ก็หรือวิชาการช่างที่เขาไม่เย้ยหยัน ไม่เหยียดหยาม ไม่เกลียดชัง ไม่ดูหมิ่น นับถือกันในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่าวิชาการช่างอุกฤษฏ์.
[๑๙๒] โรค แม้ทั้งปวง ชื่อว่าทราม, แต่โรคเบาหวาน ชื่อว่าโรคอุกฤษฏ์.
[๑๙๓] ที่ชื่อว่า รูปพรรณ ได้แก่รูปพรรณมี ๒ คือ รูปพรรณทราม ๑ รูปพรรณ อุกฤษฏ์ ๑.
ที่ชื่อว่า รูปพรรณทราม คือ สูงเกินไป ต่ำเกินไป, ดำเกินไป ขาวเกินไป นี้ชื่อว่ารูปพรรณทราม.
ที่ชื่อว่า รูปพรรณอุกฤษฏ์ คือไม่สูงนัก ไม่ต่ำนัก ไม่ดำนัก ไม่ขาวนัก นี้ชื่อว่า รูปพรรณอุกฤษฏ์.
[๑๙๔] กิเลส แม้ทั้งปวง ชื่อว่าทราม.
[๑๙๕] อาบัติ แม้ทั้งปวง ชื่อว่าทราม, แต่โสดาบัติ สมาบัติ ชื่อว่า อาบัติอุกฤษฏ์
[๑๙๖] ที่ชื่อว่า คำด่า ได้แก่คำด่า มี ๒ คือ คำด่าทราม ๑ คำด่าอุกฤษฏ์ ๑.
ที่ชื่อว่า คำด่าทราม ได้แก่คำด่าว่า เป็นอูฐ, เป็นแพะ, เป็นโค, เป็นลา, เป็นสัตว์ดิรัจฉาน, เป็นสัตว์นรก, สุคติของท่านไม่มี, ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ, คำด่าว่าที่เกี่ยวด้วย ยะอักษร ภะอักษร, หรือนิมิตของชายและนิมิตของหญิง นี้ชื่อว่าคำด่าทราม.
ที่ชื่อว่า คำด่าอุกฤษฏ์ ได้แก่ คำด่าว่า เป็นบัณฑิต เป็นคนฉลาด เป็นนักปราชญ์ เป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก, ทุคติของท่านไม่มี, ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ, นี้ชื่อว่าคำด่าอุกฤษฏ์.
อุปสัมบันด่าอุปสัมบัน พูดกดกระทบชาติ
[๑๙๗] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติทรามคือ พูดกะอุปสัมบันชาติคน จัณฑาล, ชาติคนจักสาน, ชาติพราน, ชาติคนช่างหนัง, ชาติคนเทดอกไม้, ว่าเป็น ชาติคนจัณฑาล, ว่าเป็นชาติคนจักสาน, ว่าเป็นชาติพราน, ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง, ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
[๑๙๘] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันกำเนิดอุกฤษฏ์ด้วยกล่าวกระทบชาติทราม คือ พูดกะอุปสัมบันกำเนิด กษัตริย์, กำเนิดพราหมณ์, ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล, ว่าเป็นชาติคนจักสาน, ว่าเป็นชาติพราน, ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง, ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด. พูดประชดกระทบชาติ
[๑๙๙] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันกำเนิดทรามด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันกำเนิดคน จัณฑาล, กำเนิดคนจักสาน, กำเนิดพราน, กำเนิดคนช่างหนัง กำเนิดคนเทดอกไม้ว่าเป็นชาติกษัตริย์, ว่าเป็นชาติพราหมณ์, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด. พูดยกยอกระทบชาติ
[๒๐๐] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันกำเนิดอุกฤษฏ์ด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันกำเนิด กษัตริย์ กำเนิดพราหมณ์ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดกระทบชื่อ
[๒๐๑] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีชื่อทรามด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือ พูดกะอุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ชวกัณณกะ ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่านอวกัณณะ ว่าท่าน ชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด
พูดกดให้เลวกระทบชื่อ
[๒๐๒] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือ พูดกะอุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะว่าท่านธนิฏฐกะ สวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบชื่อ
[๒๐๓] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชววัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบชื่อ
[๒๐๔] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดกระทบโคตร
[๒๐๕] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโคตรทรามด้วยกล่าวกระทบโคตรทราม คือพูดกะอุปสัมบันโกสิยโคตร,ภารทวาชโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบโคตร
[๒๐๖] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตรทราม คือ พูดกะอุปสัมบัน- *โคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ว่าท่านโกสิยโคตรว่าท่านภารทวาชโคตร, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบโคตร
[๒๐๗] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโคตรทรามด้วยกล่าวกระทบโคตรอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบัน โกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบโคตร
[๒๐๘] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตรอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบัน โคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดกระทบการงาน
[๒๐๙] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีการงานทรามด้วยกล่าวกระทบการงานทราม คือ พูดกะอุปสัมบันเป็น ช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานช่างไม้ ว่าท่านทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบการงาน
[๒๑๐] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบการงานทราม คือพูดกะอุปสัมบัน เป็นชาวนา ... เป็นพ่อค้า ... เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่านทำงานช่างไม้ ว่าท่านทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบการงาน
[๒๑๑] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการงานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบัน เป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่านทำงานค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบการงาน
[๒๑๒] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบการงานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบัน เป็นชาวนา ... เป็นพ่อค้า ... เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่านทำงานค้าขายว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดกระทบศิลปะ
[๒๑๓] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างทราม คือ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างจักสาน, ... มีวิชาการช่างหม้อ, ... มีวิชาการช่างหูก, ... มีวิชาการช่างหนัง,... มีวิชาการช่างกัลบก, ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน, ว่าท่านมีวิชาการช่างหม้อ, ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก, ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง, ว่ามีวิชาการช่างกัลบก, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบศิลปะ
[๒๑๔] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างทราม คือ พูดกะอุปสัมบันวิชาการช่างนับ, มีวิชาการช่างคำนวณ, มีวิชาการช่างเขียน, ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน, ว่าท่านมีวิชาการช่างหม้อ, ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก, ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง, ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบศิลปะ.
[๒๑๕] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างจักสาน, มีวิชาการช่างหม้อ, มีวิชาการช่างหูก, มีวิชาการช่างหนัง, มีวิชาการช่างกัลบก, ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการช่างคำนวณ, ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบศิลปะ
[๒๑๖] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะประสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างคำนวณ, มีวิชาการช่างเขียน, ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ, ว่าท่านมีวิชาการช่างคำนวณ, ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด
พูดกดกระทบโรค
[๒๑๗] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน, โรคฝี, ... โรคกลาก, ... โรคมองคร่อ, ... โรคลมบ้าหมู, ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน, ว่าท่านเป็นโรคฝี, ว่าท่านเป็นโรคกลาก, ว่าท่านเป็นโรคมองคร่อ, ว่าท่านเป็นโรคลมบ้าหมู, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบโรค
[๒๑๘] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็น-โรคเบาหวาน, ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน, ว่าท่านเป็นโรคฝี, ว่าท่านเป็นโรคกลาก, ว่าท่านเป็นโรคมองคร่อ, ว่าท่านเป็นโรคลมบ้าหมู, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบโรค
[๒๑๙] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน, ... โรคฝี, โรคกลาก, ... โรคมองคร่อ, ... โรคลมบ้าหมู ... ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน, ... ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด
พูดยกยอกระทบโรค
[๒๒๐] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโรคอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด
พูดกดกระทบรูปพรรณ [๒๒๑] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณทราม คือ พูดกะอุปสัมบัน ผู้สูงเกินไป, ... ต่ำเกินไป, ... ดำเกินไป, ... ขาวเกินไป, ว่าท่านเป็นคนสูงนัก, ว่าท่านเป็นคนต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนดำนัก, ว่าท่านเป็นคนขาวนัก, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.พูดกดให้เลวกระทบรูปพรรณ [๒๒๒] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณทราม คือ พูดกะ อุปสัมบันผู้ไม่สูงนัก, ... ไม่ต่ำนัก, ... ไม่ดำนัก, ... ไม่ขาวนัก, ว่าท่านเป็นคนสูงนัก, ว่าท่านเป็นคน ต่ำนัก, ว่าท่านเป็นคนดำนัก, ว่าท่านเป็นคนขาวนัก, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.พูดประชดกระทบรูปพรรณ [๒๒๓] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ คือ พูดกะ อุปสัมบันผู้สูงเกินไป, ... ต่ำเกินไป, ... ดำเกินไป, ... ขาวเกินไป, ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก, ว่าท่าน เป็นคนไม่ต่ำนัก, ว่าท่านเป็นคนไม่ดำนัก, ว่าท่านเป็นคนไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.พูดยกยอกระทบรูปพรรณ [๒๒๔] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ไม่สูงเกินไป, ... ไม่ต่ำเกินไป, ... ไม่ดำเกินไป, ... ไม่ขาวเกินไป, ว่าท่านเป็น คนไม่สูงนัก, ว่าท่านเป็นคนไม่ต่ำนัก, ว่าท่านเป็นคนไม่ดำนัก, ว่าท่านเป็นคนไม่ขาวนัก, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.พูดกดกระทบกิเลส [๒๒๕] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบกิเลสทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้- *ถูกราคะกลุ้มรุม, ... ผู้ถูกโทสะย่ำยี, ... ผู้ถูกโมหะครอบงำ, ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม, ว่าท่านถูกโท- *สะย่ำยี, ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.พูดกดให้เลวกระทบกิเลส [๒๒๖] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีกิเลสอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบกิเลสทราม คือ พูดกะอุปสัมบัน ผู้ปราศจากราคะ, ... ปราศจากโทสะ, ... ปราศจากโมหะ, ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม, ว่าท่านถูกโทสะ ย่ำยี, ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.พูดประชดกระทบกิเลส [๒๒๗] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบัน ผู้ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ... ว่าท่านปราศจากราคะ, ว่าท่านปราศจาก โทสะ, ว่าท่านปราศจากโมหะ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.พูดยกยอกระทบกิเลส [๒๒๘] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีกิเลสอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบัน ผู้ปราศจากราคะ, ... ปราศจากโทสะ, ... ปราศจากโมหะ, ว่าท่านปราศจากราคะ, ว่าท่านปราศจาก โทสะ, ว่าท่านปราศจากโมหะ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.พูดกดกระทบอาบัติ [๒๒๙] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบอาบัติทราม คือ พูดกะอุปสัมบัน ผู้ต้องอาบัติปาราชิก, ... ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส, ... ผู้ต้องอาบัติถุลลัจจัย, ... ผู้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ผู้ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ, ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ, ... ผู้ต้องอาบัติทุพภาสิต, ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก, ว่าท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส, ว่าท่านต้องอาบัติถุลลัจจัย, ว่าท่านต้องอาบัติปาจิตตีย์, ว่าท่านต้อง อาบัติปาฏิเทสนียะ, ว่าท่านต้องอาบัติทุกกฏ, ว่าท่านต้องอาบัติทุพภาสิต, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ- *ปาจิตตีย์ทุกๆ คำพูด.พูดกดให้เลวกระทบอาบัติ [๒๓๐] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบอาบัติทราม คือ พูดกะ อุปสัมบันผู้เป็นโสดาบัน ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก, ว่าท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส, ว่าท่านต้อง อาบัติถุลลัจจัย, ว่าท่านต้องอาบัติปาจิตตีย์, ว่าท่านต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ, ว่าท่านต้องอาบัติทุกกฏ, ว่าท่านต้องอาบัติทุพภาสิต, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.พูดประชดกระทบอาบัติ [๒๓๑] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุป- *สัมบันผู้ต้องอาบัติปาราชิก, ... ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส, ... ผู้ต้องอาบัติถุลลัจจัย, ... ผู้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ผู้ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ, ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ, ... ผู้ต้องอาบัติทุพภาสิต, ว่าท่านถึงโสดาบัน, ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.พูดยกยอกระทบอาบัติ [๒๓๒] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุป- *สัมบันผู้เป็นโสดาบัน ว่าท่านต้องโสดาบัติ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.พูดกดกระทบคำสบประมาท [๒๓๓] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าวกระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอุป สัมบันมีความประพฤติดังอูฐ, ... มีความประพฤติดังแพะ, ... มีความประพฤติดังโค, ... มีความ- *ประพฤติดังลา, ... มีความประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน, ... มีความประพฤติดังสัตว์นรก, ว่าท่านเป็นอูฐ ว่าท่านเป็นแพะ, ว่าท่านเป็นโค, ว่าท่านเป็นลา, ว่าท่านเป็นสัตว์ดิรัจฉาน, ว่าท่านเป็นสัตว์นรก, สุคติของท่านไม่มี, ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.พูดกดให้เลวกระทบคำสบประมาท [๒๓๔] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบคำด่าทราม คือ อุปสัม บันผู้เป็นบัณฑิต, ... ผู้ฉลาด, ... ผู้มีปัญญา, ... ผู้พหูสูต, ... ผู้มีธรรมกถึก, ว่าท่านเป็นอูฐ, ว่าท่าน เป็นแพะ, ว่าท่านเป็นโค, ว่าท่านเป็นลา, ว่าท่านเป็นสัตว์ดิรัจฉาน, ว่าท่านเป็นสัตว์นรก, สุคติ ของท่านไม่มี, ท่านต้องหวังได้ทุคติ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.พูดประชดกระทบคำสบประมาท [๒๓๕] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าวกระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือ พูดกะ- *อุปสัมบันผู้มีความประพฤติดังอูฐ, ... มีความประพฤติดังแพะ, ... มีความประพฤติดังโค, ... มีความ- *ประพฤติดังลา, ... มีความประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน, ... มีความประพฤติดังสัตว์นรก, ว่าท่านเป็น บัณฑิต, ว่าท่านเป็นคนฉลาด, ว่าท่านเป็นคนมีปัญญา, ว่าท่านเป็นคนพหูสูต, ว่าท่านเป็นธรรม กถึก, ทุคติของท่านไม่มี, ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.พูดยกยอกระทบคำสบประมาท [๒๓๖] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นบัณฑิต, ... ผู้ฉลาด, ... ผู้มีปัญญา, ... ผู้พหูสูต, ... ผู้ธรรมกถึก, ว่าท่านเป็น- *บัณฑิต, ว่าท่านเป็นคนฉลาด, ว่าท่านเป็นคนมีปัญญา, ว่าท่านเป็นพหูสูต, ว่าท่านเป็นธรรมกถึก, ทุคติของท่านไม่มี, ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชาติทราม [๒๓๗] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติคนจัณฑาล, บางพวกเป็นชาติคนจักสาน, บางพวกเป็นชาติพราน, บางพวกเป็นชาติคนช่างหนัง, บางพวก- *เป็นชาติคนเทดอกไม้, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ [๒๓๘] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติกษัตริย์, บางพวกเป็นชาติพราหมณ์, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบนามทราม [๒๓๙] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่ออวกัณณกะ, บางพวกชื่อชวกัณณกะ, บางพวกชื่อธนิฏฐกะ, บางพวกชื่อสวิฏฐกะ, บางพวกชื่อกุลวัฑฒกะ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบนามอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่อพุทธรักขิต, บางพวกชื่อธัมมรักขิต, บางพวกชื่อ สังฆรักขิต, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโคตรทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโกสิยโคตร, บางพวกเป็นภารทวาชโคตร, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโคตมโคตร, บางพวกเป็นโมคคัลลานโคตร, บางพวกเป็นกัจจายนโคตร, บางพวกเป็นวาเสฏฐโคตร, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบการงานทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานช่างไม้, บางพวกทำงานเทดอกไม้, ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานไถนา, บางพวกทำงานค้าขาย, บางพวก ทำงานเลี้ยงโค, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบศิลปทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างจักสาน, บางพวกมีวิชาการช่างหม้อ, บางพวกมีวิชาการช่างหูก, บางพวกมีวิชาการช่างหนัง, บางพวกมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างนับ, บางพวกมีวิชาการช่างคำนวณ, บางพวกมีวิชาการช่างเขียน, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโรคทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเรื้อน, บางพวกเป็นโรคฝี, บางพวกเป็น โรคกลาก, บางพวกเป็นโรคมองคร่อ, บางพวกเป็นโรคลมบ้าหมู, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเบาหวาน, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกสูงเกินไป, บางพวกต่ำเกินไป, บางพวกดำเกินไป, บางพวกขาวเกินไป, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกไม่สูงนัก, บางพวกไม่ต่ำนัก, บางพวกไม่ดำนัก, บางพวกไม่ขาวนัก, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถูกราคะกลุ้มรุม, บางพวกถูกโทสะย่ำยี, บางพวก ถูกโมหะครอบงำ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกปราศจากราคะ, บางพวกปราศจากโทสะ, บางพวก ปราศจากโมหะ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องอาบัติปาราชิก, บางพวกต้องอาบัติสังฆาทิเสส, บางพวกต้องอาบัติถุลลัจจัย, บางพวกต้องอาบัติปาจิตตีย์, บางพวกต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ, บางพวกต้องอาบัติทุกกฏ, บางพวกต้องอาบัติทุพภาสิต, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถึงโสดาบัติ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีความประพฤติดังอูฐ, บางพวกมีความประพฤติ ดังแพะ, บางพวกมีความประพฤติดังโค, บางพวกมีความประพฤติดังลา, บางพวกมีความประ- *พฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน, บางพวกมีความประพฤติดังสัตว์นรก, สุคติของภิกษุรูปนั้นไม่มี, ภิกษุ พวกนั้นต้องหวังได้แต่ทุกคติ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ [๒๔๐] -มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นบัณฑิต, บางพวกเป็นคนฉลาด, บางพวกเป็นคนมีปัญญา, บางพวกเป็นพหูสูต, บางพวกเป็นธรรมกถึก, ทุคติของภิกษุบางพวก นั้นไม่มี, ภิกษุบางพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชาติทราม [๒๔๑] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ พูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า ภิกษุจำพวกใดกันแน่ เป็นชาติคนจัณฑาล,-ชาติคนจักสาน,- ชาติพราน-,ชาติคนช่างหนัง,-ชาติคนเทดอกไม้, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่เป็นชาติกษัตริย์, ... ชาติพราหมณ์, ... ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบนามทราม ... ภิกษุจำพวกใดกันแน่ ชื่ออวกัณณกะ, ... ชื่อชวกัณณกะ, ... ชื่อธนิฏฐกะ, ... ชื่อสวิฏฐกะ, ... ชื่อกุลวัฑฒกะ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบนามอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่อพุทธรักขิต, ... ชื่อธัมมรักขิต, ... ชื่อสังฆรักขิต, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโคตรทราม ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโกสิยโคตร, ภารทวาชโคตร. ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโคตมโคตร, โมคคัลลานโคตร, กัจจายนโคตร, วาเสฏฐ- *โคตร, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบการงานทราม ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นช่างไม้, คนเทดอกไม้, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนทำงานไถนา, เป็นคนทำงานค้าขาย, เป็นคนทำงานเลี้ยงโค, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบศิลปะทราม ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างจักสาน, มีวิชาการช่างหม้อ, มีวิชาการช่างหูก, มี วิชาการช่างหนัง, มีวิชาการช่างกัลบก, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์ ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างนับ, มีวิชาการช่างคำนวณ, มีวิชาการช่างเขียน, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโรคทราม ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเรื้อน, โรคฝี, โรคกลาก, โรคมองคร่อ, โรคลมบ้าหมู, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเบาหวาน, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม ภิกษุจำพวกไรกันแน่ สูงเกินไป, ต่ำเกินไป, ดำเกินไป, ขาวเกินไป, ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนไม่สูงนัก, ไม่ต่ำนัก, ไม่ดำนัก, ไม่ขาวนัก, ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ถูกราคะกลุ้มรุม, ถูกโทสะย่ำยี, ถูกโมหะครอบงำ, ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ปราศจากราคะ, ปราศจากโทสะ, ปราศจากโมหะ, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ต้องอาบัติปาราชิก, อาบัติสังฆาทิเสส, อาบัติถุลลัจจัย, อาบัติ ปาจิตตีย์, อาบัติปาฏิเทสนียะ, อาบัติทุกกฏ, อาบัติทุพภาสิต, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ถึงโสดาบัน, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีความประพฤติดังอูฐ, แพะ, โค, ลา, สัตว์ดิรัจฉาน, สัตว์ นรก, สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี, ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่ทุคติ, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นบัณฑิต, เป็นคนฉลาด, มีปัญญา, พหูสูต, ธรรมกถึก, ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี, ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชาติทราม [๒๔๒] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า พวกเราไม่ใช่ชาติคนจัณฑาล, ไม่ใช่ชาติคนจักสาน, ไม่ใช่ชาติทราม, ไม่ใช่ชาติคนช่างหนัง, ไม่ใช่ชาติคนเทดอกไม้, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ พวกเราไม่ใช่ชาติกษัตริย์ ไม่ใช่ชาติพราหมณ์, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชื่อทราม พวกเราไม่ใช่ชื่ออวกัณณกะ, ไม่ใช่ชื่อชวกัณณกะ, ไม่ใช่ชื่อธนิฏฐกะ, ไม่ใช่ชื่อ สวิฏฐกะ, ไม่ใช่ชื่อกุลวัฑฒกะ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ พวกเราไม่ใช่ชื่อพุทธรักขิต, ไม่ใช่ชื่อธัมมรักขิต, ไม่ใช่ชื่อสังฆรักขิต, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโคตรทราม พวกเราไม่ใช่โกสิยโคตร, ไม่ใช่ภารทวาชโคตร, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ พวกเราไม่ใช่โคตมโคตร, ไม่ใช่โมคคัลลานโคตร, ไม่ใช่กัจจายนโคตร, ไม่ใช่วาเสฏฐ- *โคตร, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบการงานทราม พวกเราไม่ใช่ช่างไม้, ไม่ใช่คนเทดอกไม้, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ พวกเราไม่ใช่คนทำงานไถนา, ไม่ใช่คนทำงานค้าขาย, ไม่ใช่คนทำงานเลี้ยงโค, ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบศิลปทราม พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างจักสาน, ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหม้อ, ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหูก, ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหนัง, ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างกัลบก, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างนับ, ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างคำนวณ, ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโรคทราม ... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเรื้อน ... ไม่ใช่เป็นโรคฝี ... ไม่ใช่เป็นโรคกลาก ... ไม่ใช่เป็นโรคมอง- *คร่อ ... ไม่ใช่เป็นโรคลมบ้าหมู, ดังนี้เป็นต้น, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเบาหวาน, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม ... พวกเราไม่ใช่สูงเกินไป, ... ไม่ใช่ต่ำเกินไป, ไม่ดำเกินไป, ไม่ใช่ขาวเกินไป, ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ไม่สูงนัก, ... ไม่ใช่ไม่ต่ำนัก, ... ไม่ใช่ไม่ดำนัก, ... ไม่ใช่ไม่ขาวนัก, ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ... พวกเราไม่ใช่ถูกราคะกลุ้มรุม ... ไม่ใช่ถูกโทสะย่ำยี ... ไม่ใช่ถูกโมหะครอบงำ, ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ปราศจากราคะ, ... ไม่ใช่ปราศจากโทสะ, ... ไม่ใช่ปราศจากโมหะ, ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบอาบัติทราม พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก, ... อาบัติสังฆาทิเสส, ... อาบัติถุลลัจจัย, ... อาบัติ ปาจิตตีย์, ... อาบัติปาฏิเทสนียะ, ... อาบัติทุกกฏ, อาบัติทุพภาสิต. ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ถึงโสดาบัน, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ... พวกเราไม่ใช่มีความประพฤติดังอูฐ, ... แพะ ... โค, ... ลา, ... สัตว์ดิรัจฉาน, ... สัตว์นรก, สุคติของพวกเราไม่มี, พวกเราต้องหวังได้แต่ทุคติ; ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูดพูดเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่เป็นบัณฑิต, ... ไม่ใช่คนฉลาด, ... ไม่ใช่คนมีปัญญา, ... ไม่ใช่พหูสูต, ... ไม่ใช่ ธรรมกถึก, ทุคติของพวกเราไม่มี, พวกเราต้องหวังได้แต่สุคติ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด
อุปสัมบันด่าอนุปสัมบัน พูดกดกระทบชาติ ให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันชาติคนจัณฑาล, ... ชาติคนจักสาน, ... ชาติพราน, ... ชาติคนช่างหนัง, ชาติคนเทดอกไม้, ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล, ว่าเป็นชาติคนจักสาน, ว่าเป็นชาติพราน, ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง, ว่าเป็นชาติคน เทดอกไม้, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดให้เลวกระทบชาติ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศพูดกะอนุปสัมบันชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันชาติกษัตริย์คนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.... ชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ว่าเป็นชาติพราน ว่าเป็นชาติพูดประชดกระทบชาติ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศพูดกะอนุปสัมบันชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชาติคนจัณฑาลตริย์ ว่าเป็น ชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคนเทดอกไม้ ว่าเป็นชาติกษัพูดยกยอกระทบชาติ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศพูดกะอนุปสัมบันชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชาติกษัตริย์... ชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆคำพูด.พูดกดกระทบชื่อ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อ ชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดให้เลวกระทบชื่อ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่า ท่านสวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดประชดกระทบชื่อ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่าน ธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดยกยอกระทบชื่อ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดกระทบโคตร อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีโคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบโคตรทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดให้เลวกระทบโคตร อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตรทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดประชดกระทบโคตร อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีโคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบโคตรอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่าน วาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดยกยอกระทบโคตร อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตรอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันโคตม- *โคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลาน โคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดกระทบการงาน อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการงานทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านเป็นช่างไม้ ว่าท่านเป็นคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดให้เลวกระทบการงาน อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบการงานทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันทำงาน ไถนา ... ทำงานค้าขาย ... ทำงานเลี้ยงโค ว่าท่านเป็นช่างไม้ ว่าท่านเป็นคนเทดอกไม้ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดประชดกระทบการงาน อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการงานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็น ช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่านทำงานค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดยกยอกระทบการงาน อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบการงานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบัน ทำงานไถนา ... ทำงานค้าขาย ... ทำงานเลี้ยงโค ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่านทำงานค้าขาย ว่า ท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดกระทบศิลปะ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันมี วิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการ ช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมีวิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดให้เลวกระทบศิลปะ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างทราม คือ พูดกะอนุปสัมบัน มีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมีวิชาการช่างหม้อ ว่ามีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดประชดกระทบศิลปะ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบัน มีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชา- *การช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดยกยอกระทบศิลปะ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะ อนุปสัมบันมีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ว่าท่านมีวิชาการ ช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดกระทบโรค อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ว่าท่านเป็นโรคฝี ว่าท่านเป็นโรคกลาก ว่าท่านเป็นโรคมองคร่อ ว่าท่านเป็นโรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดให้เลวกระทบโรค อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีโรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรค เบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ว่าท่านเป็นโรคฝี ว่าท่านเป็นโรคกลาก ว่าท่านเป็นโรค มองคร่อ ว่าท่านเป็นโรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดประชดกระทบโรค อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดยกยอกระทบโรค อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีโรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโรคอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรค เบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดกระทบรูปพรรณ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ว่าท่านเป็นคน ต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนดำนัก ว่าท่านเป็นคนขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดให้เลวกระทบรูปพรรณ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณทราม คือ พูดกะอนุปสัมบัน ผู้ไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ว่าท่านเป็นคน ต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนดำนัก ว่าท่านเป็นคนขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดประชดกระทบรูปพรรณ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก ว่าท่านเป็นคน ไม่ต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ดำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดยกยอกระทบรูปพรรณ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบัน ผู้ไม่สูงเกินไป ... ไม่ต่ำเกินไป ... ไม่ดำเกินไป ... ไม่ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ดำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดกระทบกิเลส อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบกิเลสทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ถูกราคะ กลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดให้เลวกระทบกิเลส อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบกิเลสทราม คือ พูดกะอนุปสัมบัน ผู้ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดประชดกระทบกิเลส อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ถูกราคะ กลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่านปราศจากราคะ ว่าท่านปราศจากโทสะ ว่าท่านปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดยกยอกระทบกิเลส อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบัน ผู้ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่านปราศจากราคะ ว่าท่านปราศจาก โทสะ ว่าท่านปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดกระทบอาบัติ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบอาบัติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องอาบัติ ปาราชิก ... ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ... ผู้ต้องอาบัติถุลลัจจัย ... ผู้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ... ผู้ต้องอาบัติ ปาฏิเทสนียะ ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ ... ผู้ต้องอาบัติทุพภาสิต ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ว่าท่าน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ว่าท่านต้องอาบัติถุลลัจจัย ว่าท่านต้องอาบัติปาจิตตีย์ ว่าท่านต้องอาบัติ ปาฏิเทสนียะ ว่าท่านต้องอาบัติทุกกฏ ว่าท่านต้องอาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดให้เลวกระทบอาบัติ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบอาบัติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบัน ผู้เป็นโสดาบัน ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ว่าท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส ว่าท่านต้องอาบัติถุลลัจจัย ว่าท่านต้องอาบัติปาจิตตีย์ ว่าท่านต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ว่าท่านต้องอาบัติทุกกฏ ว่าท่านต้อง อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูดพูดประชดกระทบอาบัติ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศพูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ... ผู้ต้องอาบัติถุลลัจจัย ... ผู้ต้องอาบัติปาจิตตีย์... ผู้ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ ... ผู้ต้องอาบัติทุพภาสิต ว่าท่านเป็นโสดาบัน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดยกยอกระทบความประพฤติ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศพูดกะอนุปสัมบันผู้อุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโสดาบัน ว่าท่านเป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดกระทบคำสบประมาท อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าวกระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอนุปสัมบัน ผู้มีความประพฤติดังอูฐ ... มีความประพฤติดังแพะ ... มีความประพฤติดังโค ... มีความประพฤติ ดังลา ... มีความประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน ... มีความประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นอูฐ ว่าท่านเป็นแพะ ว่าท่านเป็นโค ว่าท่านเป็นลา ว่าท่านเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดกดให้เลวกระทบคำสบประมาท อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอนุปสัมบัน ผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มีปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่านเป็นอูฐ ว่าท่าน เป็นแพะ ว่าท่านเป็นโค ว่าท่านเป็นลา ว่าท่านเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดประชดกระทบคำสบประมาท อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าวกระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบัน ผู้มีความประพฤติดังอูฐ ... มีความประพฤติดังแพะ ... มีความประพฤติดังโค ... มีความประพฤติ ดังลา ... มีความประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน ... มีความประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นบัณฑิต ว่าท่านเป็นคนฉลาด ว่าท่านเป็นคนมีปัญญา ว่าท่านเป็นพหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติ ของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดยกยอกระทบคำสบประมาท อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบัน ผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มีปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่านเป็นบัณฑิต ว่าท่านเป็น คนฉลาด ว่าท่านเป็นคนมีปัญญา ว่าท่านเป็นพหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชาติทราม [๒๔๔] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ พูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติ คนจัณฑาล บางพวกเป็นชาติคนจักสาน บางพวกเป็นชาติพราน บางพวกเป็นชาติคนช่างหนัง บางพวกเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติกษัตริย์ บางพวกเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชื่อทราม อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่ออวกัณณกะ บางพวกชื่อ ชวกัณณกะ บางพวกชื่อธนิฏฐกะ บางพวกชื่อสวิฏฐกะ บางพวกชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่อพุทธรักขิต บางพวกชื่อธัมมรักขิต บางพวกชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโคตรทราม ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโกสิยโคตร บางพวกเป็น ภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโคตมโคตร บางพวกเป็นโมคัลลานโคตร บางพวกเป็นกัจจายนโคตร บางพวกเป็นวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบการงานทราม ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานช่างไม้ บางพวกทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานไถนา บางพวกทำงานค้าขาย บางพวกทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบศิลปะทราม ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างจักสาน บางพวกมีวิชาการ ช่างหม้อ บางพวกมีวิชาการช่างหูก บางพวกมีวิชาการช่างหนัง บางพวกมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์ ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างนับ บางพวกมีวิชาการช่าง คำนวณ บางพวกมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโรคทราม ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเรื้อน บางพวกเป็นโรคฝี บางพวก เป็นโรคกลาก บางพวกเป็นโรคมองคร่อ บางพวกเป็นโรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกสูงเกินไป บางพวกต่ำเกินไป บางพวก ดำเกินไป บางพวกขาวเกินไป ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกไม่สูงนัก บางพวกไม่ต่ำนัก บางพวกไม่ ดำนัก บางพวกไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถูกราคะกลุ้มรุม บางพวกถูกโทสะย่ำยี บางพวกถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกปราศจากราคะ บางพวกปราศจากโทสะ บางพวกปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องอาบัติปาราชิก บางพวกต้องอาบัติ สังฆาทิเสส บางพวกต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกต้องอาบัติปาจิตตีย์ บางพวกต้องอาบัติ ปาฏิเทสนียะ บางพวกต้องอาบัติทุกกฏ บางพวกต้องอาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีความประพฤติดังอูฐ บางพวกมีความ ประพฤติดังแพะ บางพวกมีความประพฤติดังโค บางพวกมีความประพฤติดังลา บางพวกมี ความประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน บางพวกมีความประพฤติดังสัตว์นรก สุคติของอนุปสัมบันพวก นั้นไม่มี อนุปสัมบันพวกนั้นต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นบัณฑิต บางพวกเป็นคนฉลาด บางพวกเป็นคนมีปัญญา บางพวกเป็นพหูสูต บางพวกเป็นธรรมกถึก ทุคติของอนุปสัมบัน พวกนั้นไม่มี อนุปสัมบันพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชาติทราม [๒๔๕] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชื่อทราม ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อ สวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโคตรทราม ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบการงานทราม ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นคนทำงานไถนา ... เป็นคนทำงานค้าขาย ... เป็นคน ทำงานเลี้ยงโค ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบศิลปะทราม ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการ ช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์ ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการ ช่างเขียน ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโรคทราม ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเบาหวาน ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นคนสูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นคนไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นโสดาบัน ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ ดิรัจฉาน ... สัตว์นรก สุคติของอนุปสัมบันพวกนั้นไม่มี อนุปสัมบันพวกนั้นต้องหวังได้แต่ ทุคติ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นบัณฑิต ... เป็นคนฉลาด ... เป็นคนมีปัญญา ... พหูสูต ... ธรรมกถึก ทุคติของอนุปสัมบันพวกนั้นไม่มี อนุปสัมบันพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ต้อง อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชาติทราม อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า พวกเราไม่ใช่ชาติคนจัณฑาล ... ไม่ใช่ชาติคนจักสาน ... ไม่ใช่ชาติ พราน ... ไม่ใช่ชาติคนช่างหนัง ... ไม่ใช่ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ชาติกษัตริย์ ... ไม่ใช่ชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชื่อทราม ... พวกเราไม่ใช่ชื่ออวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อชวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อธนิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อ สวิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ชื่อพุทธรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อธัมมรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโคตรทราม ... พวกเราไม่ใช่โกสิยโคตร ... ไม่ใช่ภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่โคตมโคตร ... ไม่ใช่โมคคัลลานโคตร ... ไม่ใช่กัจจายนโคตร ... ไม่ใช่ วาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบการงานทราม ... พวกเราไม่ใช่ช่างไม้ ... ไม่ใช่คนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูดพูดเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่คนทำงานไถนา ... ไม่ใช่คนทำงานค้าขาย ... ไม่ใช่คนทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบศิลปะทราม ... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างจักสาน ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหม้อ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหูก ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหนัง ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างนับ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างคำนวณ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโรคทราม ... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเรื้อน ... ไม่ใช่เป็นโรคฝี ... ไม่ใช่เป็นโรคกลาก ... ไม่ใช่เป็นโรค มองคร่อ ... ไม่ใช่เป็นโรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม ... พวกเราไม่ใช่สูงเกินไป ... ไม่ใช่ต่ำเกินไป ... ไม่ใช่ดำเกินไป ... ไม่ใช่ขาวเกินไป ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ไม่สูงนัก ... ไม่ใช่ไม่ต่ำนัก ... ไม่ใช่ไม่ดำนัก ... ไม่ใช่ไม่ขาวนัก ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ... พวกเราไม่ใช่ถูกราคะกลุ้มรุม ... ไม่ใช่ถูกโทสะย่ำยี ... ไม่ใช่ถูกโมหะครอบงำ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ปราศจากราคะ ... ไม่ใช่ปราศจากโทสะ ... ไม่ใช่ปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติ ปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้เป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ... พวกเราไม่ใช่มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... สัตว์ นรก ... สุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.พูดเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่เป็นบัณฑิต ... ไม่ใช่เป็นคนฉลาด ... ไม่ใช่เป็นคนมีปัญญา ... ไม่ใช่ พหูสูต ... ไม่ใช่ธรรมกถึก ทุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.อุปสัมบันล้ออุปสัมบัน พูดล้อกดกระทบชาติ จะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติ-*ทราม คือพูดกะอุปสัมบันชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนังคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำ... ชาติคนเทดอกไม้ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ว่าเป็นชาติพราน ว่าเป็นชา
ติพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบชาติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติทราม คือ พูดกะอุปสัมบันชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ว่าเป็นชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบชาติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคน เทดอกไม้ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบชาติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติ- *อุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบชื่อ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือพูดกะอุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบชื่อ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือพูดกะอุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบชื่อ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อ กุลวัฑฒกะ ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบชื่อ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่อ อุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบโคตร อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีโคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบโคตรทราม คือพูดกะอุปสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบโคตร อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตร ทราม คือพูดกะอุปสัมบันโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ว่า ท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบโคตร อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีโคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบโคตร อุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่าน โมคคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบโคตร อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตร อุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบการงาน อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการ งานทราม คือพูดกะอุปสัมบันเป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานช่างไม้ ว่าท่าน ทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบการงาน อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ การงานทราม คือพูดกะอุปสัมบันเป็นชาวนา ... เป็นพ่อค้า ... เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่านทำงาน ช่างไม้ ว่าท่านทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบการงาน อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการ งานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันเป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่าน ทำงานค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบการงาน อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ การงานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันเป็นชาวนา ... เป็นพ่อค้า ... เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่าน ทำงานไถนา ว่าท่านทำงานค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบศิลปะ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบ วิชาการช่างทราม คือ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการ ช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมี วิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบศิลปะ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ วิชาการช่างทราม คือ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการ ช่างเขียน ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมีวิชาการช่างหม้อ, ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบศิลปะ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบ วิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการ ช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการ ช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบศิลปะ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ วิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการ ช่างเขียน ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบโรค อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือพูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ว่าท่านเป็นโรคฝี ว่าท่านเป็นโรคกลาก ว่าท่านเป็นโรคมองคร่อ ว่าท่านเป็น โรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบโรค อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีโรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือพูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ว่าท่านเป็นโรคฝี ว่าท่านเป็นโรค กลาก ว่าท่านเป็นโรคมองคร่อ ว่าท่านเป็นโรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบโรค อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบโรค อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีโรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโรค อุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบรูปพรรณ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณทราม คือพูดกะอุปสัมบันผู้สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ว่าท่านเป็นคนต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนดำนัก ว่าท่านเป็นคนขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบรูปพรรณ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ว่าท่าน เป็นคนสูงนัก ว่าท่านเป็นคนต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนดำนัก ว่าท่านเป็นคนขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบรูปพรรณ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ดำนัก ว่าท่านเป็นคน ไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบรูปพรรณ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ไม่สูงเกินไป ... ไม่ต่ำเกินไป ... ไม่ดำเกินไป ... ไม่ขาว เกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ดำนัก ว่าท่านเป็นคน ไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบกิเลส อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบ กิเลสทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบกิเลส อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบกิเลสทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบกิเลส อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบกิเลส อุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่าน ปราศจากราคะ ว่าท่านปราศจากโทสะ ว่าท่านปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบกิเลส อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ กิเลสอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่าน ปราศจากราคะ ว่าท่านปราศจากโทสะ ว่าท่านปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบอาบัติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบ อาบัติทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ... ผู้ต้องอาบัติ ถุลลัจจัย ... ผู้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ... ผู้ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ ... ผู้ต้อง อาบัติทุพภาสิต ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ว่าท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส ว่าท่านต้องอาบัติ ถุลลัจจัย ว่าท่านต้องอาบัติปาจิตตีย์ ว่าท่านต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ว่าท่านต้องอาบัติทุกกฏ ว่าท่านต้องอาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบอาบัติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้อุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ อาบัติทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโสดาบัน ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ว่าท่านต้องอาบัติ สังฆาทิเสส ว่าท่านต้องอาบัติถุลลัจจัย ว่าท่านต้องอาบัติปาจิตตีย์ ว่าท่านต้องอาบัติ ปาฏิเทสนียะ ว่าท่านต้องอาบัติทุกกฏ ว่าท่านต้องอาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบอาบัติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบ อาบัติอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ... ผู้ต้องอาบัติ ถุลลัจจัย ... ผู้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ... ผู้ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ ... ผู้ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ว่าท่านเป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบความประพฤติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้อุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ ความประพฤติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโสดาบัน ว่าท่านเป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบคำสบประมาท อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าว กระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติดังอูฐ ... มีความประพฤติดังแพะ ... มี ความประพฤติดังโค ... มีความประพฤติดังลา ... มีความประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน ... มีความ ประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นอูฐ ว่าท่านเป็นแพะ ว่าท่านเป็นโค ว่าท่านเป็นลา ว่าท่านเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบคำสบประมาท อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มีปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่านเป็นอูฐ ว่าท่านเป็นแพะ ว่าท่านเป็นโค ว่าท่านเป็นลา ว่าท่านเป็น สัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบคำสบประมาท อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าว กระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติดังอูฐ ... มีความประพฤติดังแพะ ... มีความประพฤติดังโค ... มีความประพฤติดังลา ... มีความประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน ... มีความ ประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นบัณฑิต ว่าท่านเป็นคนฉลาด ว่าท่านเป็นคนมีปัญญา ว่าท่านเป็นพหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบคำสบประมาท อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มีปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่านเป็นบัณฑิต ว่าท่านเป็นคนฉลาด ว่าท่านเป็นคนมีปัญญา ว่าท่านเป็น พหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม [๒๔๗] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนา จะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีภิกษุในพระธรรม- *วินัยนี้ บางพวกเป็นชาติคนจัณฑาล บางพวกเป็นชาติคนจักสาน บางพวกเป็นชาติพราน บางพวกเป็นชาติคนช่างหนัง บางพวกเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติกษัตริย์ บางพวกเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่ออวกัณณกะ บางพวกชื่อชวกัณณกะ บางพวก ชื่อธนิฏฐกะ บางพวกชื่อสวิฏฐกะ บางพวกชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่อพุทธรักขิต บางพวกชื่อธัมมรักขิต บางพวกชื่อ สังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโกสิยโคตร บางพวกเป็นภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโคตมโคตร บางพวกเป็นโมคคัลลานโคตร บางพวกเป็นกัจจายนโคตร บางพวกเป็นวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานช่างไม้ บางพวกทำงานเทดอกไม้ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานไถนา บางพวกทำการค้าขาย บางพวก ทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างจักสาน บางพวกมีวิชาการช่างหม้อ บางพวกมีวิชาการช่างหูก บางพวกมีวิชาการช่างหนัง บางพวกมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างนับ บางพวกมีวิชาการช่างคำนวณ บางพวกมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเรื้อน บางพวกเป็นโรคฝี บางพวกเป็น โรคกลาก บางพวกเป็นโรคมองคร่อ บางพวกเป็นโรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกสูงเกินไป บางพวกต่ำเกินไป บางพวกดำ เกินไป บางพวกขาวเกินไป ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกไม่สูงนัก บางพวกไม่ต่ำนัก บางพวกไม่ดำนัก บางพวกไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถูกราคะกลุ้มรุม บางพวกถูกโทสะย่ำยี บางพวก ถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกปราศจากราคะ บางพวกปราศจากโทสะ บางพวก ปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องอาบัติปาราชิก บางพวกต้องอาบัติสังฆาทิเสส บางพวกต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกต้องอาบัติปาจิตตีย์ บางพวกต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ บางพวกต้องอาบัติทุกกฏ บางพวกต้องอาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีความประพฤติดังอูฐ บางพวกมีความประพฤติ ดังแพะ บางพวกมีความประพฤติดังโค บางพวกมีความประพฤติดังลา บางพวกมีความประพฤติ ดังสัตว์ดิรัจฉาน บางพวกมีความประพฤติดังสัตว์นรก สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้น ต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นบัณฑิต บางพวกเป็นคนฉลาด บางพวก เป็นคนมีปัญญา บางพวกเป็นพหูสูต บางพวกเป็นธรรมกถึก ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม [๒๔๘] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนา จะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า ภิกษุจำพวกไรกัน แน่ เป็นชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคน เทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโกสิยโคตร ... การทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นช่างไม้ ... คนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนทำงานไถนา ... ทำการค้าขาย ... ทำงานเลี้ยงโค ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะทราม ... ภิกษุพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโสดาบัน ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... สัตว์นรก สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่ทุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นบัณฑิต ... เป็นคนฉลาด ... เป็นคนมีปัญญา ... เป็น พหูสูต ... เป็นธรรมกถึก ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม [๒๔๙] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนา จะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า พวกเราไม่ใช่ชาติ คนจัณฑาล ... ไม่ใช่ชาติคนจักสาน ... ไม่ใช่ชาติพราน ... ไม่ใช่ชาติคนช่างหนัง ... ไม่ใช่ชาติ คนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ชาติกษัตริย์ ... ไม่ใช่ชาติพราหมณ์ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ... พวกเราไม่ใช่ชื่ออวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อชวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อธนิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อ สวิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อกุลวัฑฒกะ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ชื่อพุทธรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อธัมมรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อสังฆรักขิต ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ... พวกเราไม่ใช่โกสิยโคตร ... ไม่ใช่ภารทวาชโคตร ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่โคตมโคตร ... ไม่ใช่โมคคัลลานโคตร ... ไม่ใช่กัจจายนโคตร ... ไม่ใช่ วาเสฏฐโคตร ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ... พวกเราไม่ใช่ช่างไม้ ... ไม่ใช่คนเทดอกไม้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่คนทำงานไถนา ... ไม่ใช่คนทำการค้าขาย ... ไม่ใช่คนทำงานเลี้ยงโค ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะทราม ... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการจักช่างสาน ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหม้อ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหูก ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหนัง ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างกัลบก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างนับ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างคำนวณ ... ไม่ใช่มีวิชาการ ช่างเขียน ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเรื้อน ... ไม่ใช่เป็นโรคฝี ... ไม่ใช่เป็นโรคกลาก ... ไม่ใช่เป็น โรคมองคร่อ ... ไม่ใช่เป็นโรคลมบ้าหมู ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ... พวกเราไม่ใช่สูงเกินไป ... ไม่ใช่ต่ำเกินไป ... ไม่ใช่ดำเกินไป ... ไม่ใช่ขาวเกินไป ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่สูงนัก ... ไม่ใช่ต่ำนัก ... ไม่ใช่ดำนัก ... ไม่ใช่ไม่ขาวนัก ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม ... พวกเราไม่ใช่ถูกราคะกลุ้มรุม ... ไม่ใช่ถูกโทสะย่ำยี ... ไม่ใช่ถูกโมหะครอบงำ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ปราศจากราคะ ... ไม่ใช่ปราศจากโทสะ ... ไม่ใช่ปราศจากโมหะ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม ... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ผู้เป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ... พวกเราไม่ใช่มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... สัตว์นรก สุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่ทุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่เป็นบัณฑิต ... ไม่ใช่คนฉลาด ... ไม่ใช่คนมีปัญญา ... ไม่ใช่พหูสูต ... ไม่ใช่ธรรมกถึก ทุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่สุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.อุปสัมบันล้ออนุปสัมบัน พูดล้อกดกระทบชาติ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันมีชาติคนจัณฑาล ... มีชาติคนจักสาน ... มีชาติพรานว่าเป็นชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบั... มีชาติคนช่างหนัง ... มีชาติคนเทดอกไม้ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบชาติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติ ทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันมีชาติกษัตริย์ ... มีชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็น ชาติคนจักสาน ว่าเป็นชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบชาติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติ อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันมีชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคน ช่างหนัง ... ชาติคนเทดอกไม้ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบชาติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ ชาติอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันมีชาติกษัตริย์ ... มีชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็น ชาติพราหมณ์ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบชื่อ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบชื่อ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ ชื่อทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่าน อวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบชื่อ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่อ อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบชื่อ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่อ อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบโคตร อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีโคตรทราม ด้วยกล่าว กระทบโคตรทราม คือพูดกะอนุปสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบโคตร อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ โคตรทราม คือพูดกะอนุปสัมบันโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐ- *โคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบโคตร อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีโคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบ โคตรอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่าน โมคคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบโคตร อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตร อุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบการงาน อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบ การงานทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานช่างไม้ ว่าท่านทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิตทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบการงาน อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ การงานทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็นชาวนา ... เป็นพ่อค้า ... เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่านทำงาน ช่างไม้ ว่าท่านทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบการงาน อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการ งานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่าน ทำการค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบการงาน อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ การงานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็นชาวนา ... เป็นพ่อค้า ... เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่าน ทำงานไถนา ว่าท่านทำการค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบศิลปะ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบ วิชาการช่างทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการ ช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมีวิชา- *การช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบศิลปะ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบวิชาการช่างทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชา การช่างเขียน ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมีวิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบศิลปะ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบ วิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการ ช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการ ช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบศิลปะ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบวิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มี วิชาการช่างเขียน ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ... ช่างคำนวณ ... ช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบโรค อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบโรค อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีโรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ โรคทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบโรค อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรค อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลม บ้าหมู ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบโรค อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีโรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโรค อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบรูปพรรณ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ... ต่ำนัก ... ดำนัก ... ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบรูปพรรณ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบรูปพรรณทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ... ต่ำนัก ... ดำนัก ... ขาวนัก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบรูปพรรณ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบรูปพรรณ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ไม่สูงเกินไป ... ไม่ต่ำเกินไป ... ไม่ดำเกินไป ... ไม่ ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบกิเลส อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบ กิเลสทราม คือพูดกะอนุปสัมบันผู้ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่าน ถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบกิเลส อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ กิเลสทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่าน ถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบกิเลส อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบกิเลส อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่าน- *ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูดพูดล้อยกยอกระทบความประพฤติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ ความประพฤติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่านปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบอาบัติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบ อาบัติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ... ผู้ต้องอาบัติ ถุลลัจจัย ... ผู้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ... ผู้ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ ... ผู้ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ... สังฆาทิเสส ... ถุลลัจจัย ... ปาจิตตีย์ ... ปาฏิเทสนียะ ... ทุกกฏ ... ทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบอาบัติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบอาบัติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโสดาบัน ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆา- *ทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติ ทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบอาบัติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าว กระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ว่าท่านเป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบความประพฤติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ ความประพฤติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโสดาบัน ว่าท่านเป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบคำสบประมาท อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าว กระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์- *ดิรัจฉาน มีความประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบคำสบประมาท อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มีปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ ธรรมกถึก ว่าท่านเป็นอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติ ของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบคำสบประมาท อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าว กระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์- *ดิรัจฉาน มีความประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นบัณฑิต ... คนฉลาด ... คนมีปัญญา ... พหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบคำสบประมาท อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวพหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่านเป็นบัณฑิต ว่าท่านเป็นคนฉลาด ว่าท่านเป็นคนมีปัญญา ว่าท่านเป็กระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มีปัญญา ...
ผู้น พหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม [๒๔๗] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนา จะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีภิกษุในพระธรรม- *วินัยนี้ บางพวกเป็นชาติคนจัณฑาล บางพวกเป็นชาติคนจักสาน บางพวกเป็นชาติพราน บางพวกเป็นชาติคนช่างหนัง บางพวกเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติกษัตริย์ บางพวกเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่ออวกัณณกะ บางพวกชื่อชวกัณณกะ บางพวก ชื่อธนิฏฐกะ บางพวกชื่อสวิฏฐกะ บางพวกชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่อพุทธรักขิต บางพวกชื่อธัมมรักขิต บางพวกชื่อ สังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโกสิยโคตร บางพวกเป็นภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโคตมโคตร บางพวกเป็นโมคคัลลานโคตร บางพวกเป็นกัจจายนโคตร บางพวกเป็นวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานช่างไม้ บางพวกทำงานเทดอกไม้ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานไถนา บางพวกทำการค้าขาย บางพวก ทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างจักสาน บางพวกมีวิชาการช่างหม้อ บางพวกมีวิชาการช่างหูก บางพวกมีวิชาการช่างหนัง บางพวกมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างนับ บางพวกมีวิชาการช่างคำนวณ บางพวกมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเรื้อน บางพวกเป็นโรคฝี บางพวกเป็น โรคกลาก บางพวกเป็นโรคมองคร่อ บางพวกเป็นโรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกสูงเกินไป บางพวกต่ำเกินไป บางพวกดำ เกินไป บางพวกขาวเกินไป ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกไม่สูงนัก บางพวกไม่ต่ำนัก บางพวกไม่ดำนัก บางพวกไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถูกราคะกลุ้มรุม บางพวกถูกโทสะย่ำยี บางพวก ถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกปราศจากราคะ บางพวกปราศจากโทสะ บางพวก ปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องอาบัติปาราชิก บางพวกต้องอาบัติสังฆาทิเสส บางพวกต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกต้องอาบัติปาจิตตีย์ บางพวกต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ บางพวกต้องอาบัติทุกกฏ บางพวกต้องอาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีความประพฤติดังอูฐ บางพวกมีความประพฤติ ดังแพะ บางพวกมีความประพฤติดังโค บางพวกมีความประพฤติดังลา บางพวกมีความประพฤติ ดังสัตว์ดิรัจฉาน บางพวกมีความประพฤติดังสัตว์นรก สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้น ต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นบัณฑิต บางพวกเป็นคนฉลาด บางพวก เป็นคนมีปัญญา บางพวกเป็นพหูสูต บางพวกเป็นธรรมกถึก ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม [๒๔๘] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนา จะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า ภิกษุจำพวกไรกัน แน่ เป็นชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคน เทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโกสิยโคตร ... การทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นช่างไม้ ... คนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนทำงานไถนา ... ทำการค้าขาย ... ทำงานเลี้ยงโค ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะทราม ... ภิกษุพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโสดาบัน ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... สัตว์นรก สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่ทุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นบัณฑิต ... เป็นคนฉลาด ... เป็นคนมีปัญญา ... เป็น พหูสูต ... เป็นธรรมกถึก ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม [๒๔๙] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนา จะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า พวกเราไม่ใช่ชาติ คนจัณฑาล ... ไม่ใช่ชาติคนจักสาน ... ไม่ใช่ชาติพราน ... ไม่ใช่ชาติคนช่างหนัง ... ไม่ใช่ชาติ คนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ชาติกษัตริย์ ... ไม่ใช่ชาติพราหมณ์ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ... พวกเราไม่ใช่ชื่ออวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อชวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อธนิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อ สวิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อกุลวัฑฒกะ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ชื่อพุทธรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อธัมมรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อสังฆรักขิต ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ... พวกเราไม่ใช่โกสิยโคตร ... ไม่ใช่ภารทวาชโคตร ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่โคตมโคตร ... ไม่ใช่โมคคัลลานโคตร ... ไม่ใช่กัจจายนโคตร ... ไม่ใช่ วาเสฏฐโคตร ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ... พวกเราไม่ใช่ช่างไม้ ... ไม่ใช่คนเทดอกไม้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่คนทำงานไถนา ... ไม่ใช่คนทำการค้าขาย ... ไม่ใช่คนทำงานเลี้ยงโค ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะทราม ... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการจักช่างสาน ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหม้อ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหูก ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหนัง ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างกัลบก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างนับ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างคำนวณ ... ไม่ใช่มีวิชาการ ช่างเขียน ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเรื้อน ... ไม่ใช่เป็นโรคฝี ... ไม่ใช่เป็นโรคกลาก ... ไม่ใช่เป็น โรคมองคร่อ ... ไม่ใช่เป็นโรคลมบ้าหมู ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ... พวกเราไม่ใช่สูงเกินไป ... ไม่ใช่ต่ำเกินไป ... ไม่ใช่ดำเกินไป ... ไม่ใช่ขาวเกินไป ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่สูงนัก ... ไม่ใช่ต่ำนัก ... ไม่ใช่ดำนัก ... ไม่ใช่ไม่ขาวนัก ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม ... พวกเราไม่ใช่ถูกราคะกลุ้มรุม ... ไม่ใช่ถูกโทสะย่ำยี ... ไม่ใช่ถูกโมหะครอบงำ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ปราศจากราคะ ... ไม่ใช่ปราศจากโทสะ ... ไม่ใช่ปราศจากโมหะ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม ... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ผู้เป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ... พวกเราไม่ใช่มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... สัตว์นรก สุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่ทุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่เป็นบัณฑิต ... ไม่ใช่คนฉลาด ... ไม่ใช่คนมีปัญญา ... ไม่ใช่พหูสูต ... ไม่ใช่ธรรมกถึก ทุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่สุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.อุปสัมบันล้ออนุปสัมบัน พูดล้อกดกระทบชาติ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันมีชาติคนจัณฑาล ... มีชาติคนจักสาน ... มีชาติพรานว่าเป็นชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบั... มีชาติคนช่างหนัง ... มีชาติคนเทดอกไม้ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบชาติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติ ทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันมีชาติกษัตริย์ ... มีชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็น ชาติคนจักสาน ว่าเป็นชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบชาติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติ อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันมีชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคน ช่างหนัง ... ชาติคนเทดอกไม้ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบชาติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ ชาติอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันมีชาติกษัตริย์ ... มีชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็น ชาติพราหมณ์ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบชื่อ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบชื่อ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ ชื่อทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่าน อวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบชื่อ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่อ อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบชื่อ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่อ อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบโคตร อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีโคตรทราม ด้วยกล่าว กระทบโคตรทราม คือพูดกะอนุปสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบโคตร อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ โคตรทราม คือพูดกะอนุปสัมบันโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐ- *โคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบโคตร อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีโคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบ โคตรอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่าน โมคคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบโคตร อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตร อุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบการงาน อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะ ทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบ การงานทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานช่างไม้ ว่าท่านทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิตทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบการงาน อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ การงานทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็นชาวนา ... เป็นพ่อค้า ... เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่านทำงาน ช่างไม้ ว่าท่านทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบการงาน อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการ งานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่าน ทำการค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบการงาน อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ การงานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็นชาวนา ... เป็นพ่อค้า ... เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่าน ทำงานไถนา ว่าท่านทำการค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบศิลปะ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบ วิชาการช่างทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการ ช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมีวิชา- *การช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบศิลปะ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบวิชาการช่างทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชา การช่างเขียน ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมีวิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบศิลปะ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบ วิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการ ช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการ ช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบศิลปะ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบวิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มี วิชาการช่างเขียน ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ... ช่างคำนวณ ... ช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบโรค อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบโรค อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีโรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ โรคทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบโรค อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรค อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลม บ้าหมู ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบโรค อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีโรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโรค อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบรูปพรรณ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ... ต่ำนัก ... ดำนัก ... ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบรูปพรรณ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบรูปพรรณทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ... ต่ำนัก ... ดำนัก ... ขาวนัก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบรูปพรรณ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบรูปพรรณ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ไม่สูงเกินไป ... ไม่ต่ำเกินไป ... ไม่ดำเกินไป ... ไม่ ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบกิเลส อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบ กิเลสทราม คือพูดกะอนุปสัมบันผู้ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่าน ถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบกิเลส อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ กิเลสทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่าน ถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบกิเลส อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบกิเลส อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่าน- *ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูดพูดล้อยกยอกระทบความประพฤติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ ความประพฤติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่านปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบอาบัติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบ อาบัติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ... ผู้ต้องอาบัติ ถุลลัจจัย ... ผู้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ... ผู้ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ ... ผู้ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ... สังฆาทิเสส ... ถุลลัจจัย ... ปาจิตตีย์ ... ปาฏิเทสนียะ ... ทุกกฏ ... ทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบอาบัติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบอาบัติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโสดาบัน ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆา- *ทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติ ทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบอาบัติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าว กระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ว่าท่านเป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบความประพฤติ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ ความประพฤติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโสดาบัน ว่าท่านเป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดกระทบคำสบประมาท อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าว กระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์- *ดิรัจฉาน มีความประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อกดให้เลวกระทบคำสบประมาท อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มีปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ ธรรมกถึก ว่าท่านเป็นอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติ ของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อประชดกระทบคำสบประมาท อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำ ให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าว กระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์- *ดิรัจฉาน มีความประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นบัณฑิต ... คนฉลาด ... คนมีปัญญา ... พหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อยกยอกระทบคำสบประมาท อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวพหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่านเป็นบัณฑิต ว่าท่านเป็นคนฉลาด ว่าท่านเป็นคนมีปัญญา ว่าท่านเป็กระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มีปัญญา ...
ผู้น พหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม [๒๔๗] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนา จะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีภิกษุในพระธรรม- *วินัยนี้ บางพวกเป็นชาติคนจัณฑาล บางพวกเป็นชาติคนจักสาน บางพวกเป็นชาติพราน บางพวกเป็นชาติคนช่างหนัง บางพวกเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติกษัตริย์ บางพวกเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่ออวกัณณกะ บางพวกชื่อชวกัณณกะ บางพวก ชื่อธนิฏฐกะ บางพวกชื่อสวิฏฐกะ บางพวกชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่อพุทธรักขิต บางพวกชื่อธัมมรักขิต บางพวกชื่อ สังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโกสิยโคตร บางพวกเป็นภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโคตมโคตร บางพวกเป็นโมคคัลลานโคตร บางพวกเป็นกัจจายนโคตร บางพวกเป็นวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานช่างไม้ บางพวกทำงานเทดอกไม้ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานไถนา บางพวกทำการค้าขาย บางพวก ทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างจักสาน บางพวกมีวิชาการช่างหม้อ บางพวกมีวิชาการช่างหูก บางพวกมีวิชาการช่างหนัง บางพวกมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างนับ บางพวกมีวิชาการช่างคำนวณ บางพวกมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเรื้อน บางพวกเป็นโรคฝี บางพวกเป็น โรคกลาก บางพวกเป็นโรคมองคร่อ บางพวกเป็นโรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกสูงเกินไป บางพวกต่ำเกินไป บางพวกดำ เกินไป บางพวกขาวเกินไป ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกไม่สูงนัก บางพวกไม่ต่ำนัก บางพวกไม่ดำนัก บางพวกไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถูกราคะกลุ้มรุม บางพวกถูกโทสะย่ำยี บางพวก ถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกปราศจากราคะ บางพวกปราศจากโทสะ บางพวก ปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องอาบัติปาราชิก บางพวกต้องอาบัติสังฆาทิเสส บางพวกต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกต้องอาบัติปาจิตตีย์ บางพวกต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ บางพวกต้องอาบัติทุกกฏ บางพวกต้องอาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีความประพฤติดังอูฐ บางพวกมีความประพฤติ ดังแพะ บางพวกมีความประพฤติดังโค บางพวกมีความประพฤติดังลา บางพวกมีความประพฤติ ดังสัตว์ดิรัจฉาน บางพวกมีความประพฤติดังสัตว์นรก สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้น ต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นบัณฑิต บางพวกเป็นคนฉลาด บางพวก เป็นคนมีปัญญา บางพวกเป็นพหูสูต บางพวกเป็นธรรมกถึก ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม [๒๔๘] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนา จะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า ภิกษุจำพวกไรกัน แน่ เป็นชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคน เทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโกสิยโคตร ... การทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นช่างไม้ ... คนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนทำงานไถนา ... ทำการค้าขาย ... ทำงานเลี้ยงโค ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะทราม ... ภิกษุพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโสดาบัน ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... สัตว์นรก สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่ทุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นบัณฑิต ... เป็นคนฉลาด ... เป็นคนมีปัญญา ... เป็น พหูสูต ... เป็นธรรมกถึก ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม [๒๔๙] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนา จะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า พวกเราไม่ใช่ชาติ คนจัณฑาล ... ไม่ใช่ชาติคนจักสาน ... ไม่ใช่ชาติพราน ... ไม่ใช่ชาติคนช่างหนัง ... ไม่ใช่ชาติ คนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ชาติกษัตริย์ ... ไม่ใช่ชาติพราหมณ์ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ... พวกเราไม่ใช่ชื่ออวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อชวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อธนิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อ สวิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อกุลวัฑฒกะ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ชื่อพุทธรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อธัมมรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อสังฆรักขิต ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ... พวกเราไม่ใช่โกสิยโคตร ... ไม่ใช่ภารทวาชโคตร ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่โคตมโคตร ... ไม่ใช่โมคคัลลานโคตร ... ไม่ใช่กัจจายนโคตร ... ไม่ใช่ วาเสฏฐโคตร ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ... พวกเราไม่ใช่ช่างไม้ ... ไม่ใช่คนเทดอกไม้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่คนทำงานไถนา ... ไม่ใช่คนทำการค้าขาย ... ไม่ใช่คนทำงานเลี้ยงโค ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะทราม ... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการจักช่างสาน ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหม้อ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหูก ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหนัง ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างกัลบก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างนับ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างคำนวณ ... ไม่ใช่มีวิชาการ ช่างเขียน ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเรื้อน ... ไม่ใช่เป็นโรคฝี ... ไม่ใช่เป็นโรคกลาก ... ไม่ใช่เป็น โรคมองคร่อ ... ไม่ใช่เป็นโรคลมบ้าหมู ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ... พวกเราไม่ใช่สูงเกินไป ... ไม่ใช่ต่ำเกินไป ... ไม่ใช่ดำเกินไป ... ไม่ใช่ขาวเกินไป ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่สูงนัก ... ไม่ใช่ต่ำนัก ... ไม่ใช่ดำนัก ... ไม่ใช่ไม่ขาวนัก ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม ... พวกเราไม่ใช่ถูกราคะกลุ้มรุม ... ไม่ใช่ถูกโทสะย่ำยี ... ไม่ใช่ถูกโมหะครอบงำ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ปราศจากราคะ ... ไม่ใช่ปราศจากโทสะ ... ไม่ใช่ปราศจากโมหะ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม ... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ผู้เป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ... พวกเราไม่ใช่มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... สัตว์นรก สุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่ทุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่เป็นบัณฑิต ... ไม่ใช่คนฉลาด ... ไม่ใช่คนมีปัญญา ... ไม่ใช่พหูสูต ... ไม่ใช่ธรรมกถึก ทุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่สุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.อนาปัตติวาร [๒๕๔] ภิกษุมุ่งอรรถ ๑, ภิกษุมุ่งธรรม ๑ ภิกษุมุ่งสั่งสอน ๑, ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุมีจิตฟุ้งซ่าน ๑, ภิกษุกระสับกระส่ายเพราะเวทนา ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล.มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น