Translate

06 กันยายน 2567

ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ มุสาวาทวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๗ [ว่าด้วย แสดงธรรม] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระอุทายี 
             [๒๙๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ท่านพระอุทายีเป็นพระกุลุปกะในพระนครสาวัตถี เข้าไปสู่สกุลเป็นอันมาก.
             ครั้งหนึ่งเวลาเช้า ท่านพระอุทายีครองอันตรวาสก แล้วถือบาตรจีวรเข้าไปสู่สกุลแห่งหนึ่ง. เวลานั้นหญิงแม่เรือนนั่งอยู่ที่ประตูเรือน. หญิงสะใภ้ในเรือนนั่งอยู่ที่ประตูห้องนอน. จึงท่านพระอุทายีเดินผ่านไปทางหญิงแม่เรือน แล้วแสดงธรรม ณ ที่ใกล้หูหญิงแม่เรือน. 
            ขณะนั้น หญิงสะใภ้ในเรือนมีความสงสัยว่า พระสมณะนั้นเป็นชายชู้ของแม่ผัวหรือพูดเกี้ยว, ครั้นท่านพระอุทายีแสดงธรรม ณ ที่ใกล้หูหญิงแม่เรือนแล้ว, เดินผ่านไปทางหญิง สะใภ้ในเรือนแล้วแสดงธรรมในที่ใกล้หูหญิงสะใภ้ในเรือน. 
.            ฝ่ายหญิงแม่เรือนมีความสงสัยว่าพระสมณะนั้นเป็นชายชู้ของหญิงสะใภ้ในเรือน หรือพูดเกี้ยว, เมื่อท่านพระอุทายีแสดงธรรมในที่ใกล้หูหญิงสะใภ้ในเรือนกลับไปแล้ว. จึงหญิงแม่เรือนได้ถามหญิงสะใภ้ในเรือนว่า นี่ นางหนูพระสมณะนั้นได้พูดอะไรแก่เจ้า.  
          หญิงสะใภ้ตอบว่า ท่านแสดงธรรมแก่ดิฉัน เจ้าค่ะ แล้วถามว่า ก็ท่านได้พูดอะไรแก่คุณแม่ เจ้าคะ.  
            แม่ผัวตอบว่า แม้แก่เรา ท่านก็แสดงธรรม.
            สตรีทั้งสองนั้นต่างเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้าอุทายี จึงได้แสดงธรรมในที่ใกล้หูมาตุคามเล่า ธรรมดาพระธรรมกถึก ควรแสดงธรรมด้วยเสียงชัดเจนเปิดเผยมิใช่หรือ.
             ภิกษุทั้งหลายได้ยินสตรีทั้งสองนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าไฉนท่านพระอุทายีจึงได้แสดงธรรมแก่มาตุคามเล่า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ...
ทรงสอบถาม             พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี ข่าวว่า เธอแสดงธรรมแก่มาตุคาม จริงหรือ?
             ท่านพระอุทายีรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
             พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึงได้แสดงธรรมแก่มาตุคามเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ             ๕๖. ๗. ก. อนึ่ง ภิกษุใด แสดงธรรมแก่มาตุคาม เป็นปาจิตตีย์.             ก็สิกขาบทนี้ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้ว แก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องพระอุทายี จบ.
เรื่องอุบาสิกา
             [๒๙๙] ก็โดยสมัยนั้นแล พวกอุบาสิกาพบภิกษุทั้งหลาย แล้วได้กล่าวนิมนต์ว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าทั้งหลาย ขออาราธนาพระคุณเจ้าแสดงธรรม.
             ภิกษุเหล่านั้นตอบปฏิเสธว่า ดูกรน้องหญิง การแสดงธรรมแก่มาตุคามไม่ควร.
             พวกอุบาสิกาอ้อนวอนว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าทั้งหลาย ขออาราธนาแสดงธรรมเพียง ๕-๖ คำ พวกข้าพเจ้าก็สามารถจะรู้ทั่วถึงธรรม แม้ด้วยถ้อยคำเพียงเท่านี้.
             ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ดูกรน้องหญิง การแสดงธรรมแก่มาตุคามไม่ควรดังนี้แล้วรังเกียจ ไม่แสดงธรรม.
             พวกอุบาสิกาต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้าทั้งหลาย อันเราอาราธนาอยู่ จึงไม่แสดงธรรมเล่า.
             ภิกษุทั้งหลายได้ยินอุบาสิกาพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.             
        ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้แสดงธรรมแก่มาตุคามได้เพียง ๕-๖ คำ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ             ๕๖. ๗. ข. อนึ่ง ภิกษุใดแสดงธรรมแก่มาตุคาม ยิ่งกว่า ๕-๖ คำ เป็นปาจิตตีย์.
             ก็สิกขาบทนี้ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้ว แก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องอุบาสิกา จบ.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
             [๓๐๐] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้แสดงธรรมแก่มาตุคามได้เพียง ๕-๖ คำ จึงให้บุรุษผู้ไม่รู้เดียงสานั่งใกล้ๆ แล้วแสดงธรรมแก่มาตุคามเกิน ๕-๖ คำ.
          บรรดาภิกษุที่มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้ให้บุรุษผู้ไม่รู้เดียงสานั่งใกล้ๆ แล้วแสดงธรรมแก่มาตุคามเกิน ๕-๖ คำเล่า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ...
ทรงสอบถาม             พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอให้บุรุษผู้ไม่รู้เดียงสานั่งใกล้ๆ แล้วแสดงธรรมแก่มาตุคามเกิน ๕-๖ คำ จริงหรือ?
             พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
             พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้ให้บุรุษผู้ไม่รู้เดียงสานั่งใกล้ๆ แล้วแสดงธรรมแก่มาตุคามเกิน ๕-๖ คำเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ             ๕๖. ๗. ค. อนึ่ง ภิกษุใดแสดงธรรมแก่มาตุคามยิ่งกว่า ๕-๖ คำ เว้นไว้แต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่ เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
             [๓๐๑] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด ...
             บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
             ที่ชื่อว่า มาตุคาม ได้แก่หญิงมนุษย์ ไม่ใช่หญิงยักษ์ ไม่ใช่หญิงเปรต ไม่ใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย เป็นผู้รู้เดียงสา สามารถทราบถ้อยคำที่เป็นสุภาษิต ทุพภาษิตชั่วหยาบและสุภาพ.
                บทว่า ยิ่งกว่า ๕-๖ ค ำ คือ เกินกว่า ๕-๖ คำ.
             ที่ชื่อว่า ธรรม ได้แก่ถ้อยคำที่เป็นพุทธภาษิต สาวกภาษิต อิสิภาษิต เทวตาภาษิตซึ่งประกอบด้วยอรรถ ประกอบด้วยธรรม.
             บทว่า แสดง คือ แสดงโดยบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ บท.
             แสดงโดยอักขระ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ อักขระ.             
            คำว่า เว้นไว้แต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่ คือ ยกไว้แต่บุรุษผู้รู้ความอยู่ด้วย.
             บุรุษที่ชื่อว่า ผู้รู้เดียงสา คือเป็นผู้สามารถทราบถ้อยคำที่เป็นสุภาษิต ทุพภาษิตชั่วหยาบและสุภาพ.
บทภาชนีย์ ติกปาจิตตีย์
             [๓๐๒] มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามาตุคาม แสดงธรรมยิ่งกว่า ๕-๖ คำ เว้นไว้แต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             มาตุคาม ภิกษุสงสัย แสดงธรรมยิ่งกว่า ๕-๖ คำ เว้นไว้แต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่า มิใช่มาตุคาม แสดงธรรมยิ่งกว่า ๕-๖ คำ เว้นไว้แต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ติกทุกกฏ             ภิกษุแสดงธรรมแก่หญิงยักษ์ หญิงเปรต บัณเฑาะก์ หรือสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย มีกายคล้ายมนุษย์ ยิ่งกว่า ๕-๖ คำ เว้นไว้แต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่ ต้องอาบัติทุกกฏ.             
    มิใช่มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามาตุคาม, ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    มิใช่มาตุคาม ภิกษุสงสัย, ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ             มิใช่มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามิใช่มาตุคาม, ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร             [๓๐๓] มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่ด้วย ๑ ภิกษุแสดงธรรมเพียง ๕-๖ คำ ๑ ภิกษุแสดงธรรมหย่อนกว่า ๕-๖ คำ ๑ ภิกษุลุกขึ้นแล้วนั่งแสดงธรรมต่อไป ๑ มาตุคามลุกขึ้นแล้วนั่งลงอีก ภิกษุแสดงแก่มาตุคามนั้น ๑
             ภิกษุแสดงแก่มาตุคามอื่น ๑ มาตุคามถามปัญหา ภิกษุถูกถามปัญหาแล้วกล่าวแก้ ๑ ภิกษุแสดงธรรมเพื่อประโยชน์แก่คนอื่นอยู่ มาตุคามฟังอยู่ด้วย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์
 มุสาวาทวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๗
                 มุสาวาทวรรค ธรรมเทศนา
         พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :-
 [แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องพระอุทายี] 
                 หญิงแม่เจ้าเรือน ชื่อว่า ฆรณี. มุสาวาทวรรค
         บทว่า นิเวสทฺวาเร ได้แก่ ที่ประตูใหญ่แห่งนิเวศน์ (เรือน). 
               หญิงสะใภ้ในเรือนนั้น ชื่อว่า ฆรสุณหา
               บทว่า อาวสถทฺวาเร ได้แก่ ที่ประตูห้องนอน. 
               บทว่า วิสฏฺเฐน ได้แก่ ด้วยเสียงชัดเจนดี. 
               บทว่า วิวเฏน ได้แก่ เปิดเผย คือไม่คลุมเคลือ. 
               สองบทว่า ธมฺโม เทเสตพฺโพ มีความว่า พระธรรมกถึกควรแสดงธรรม อันต่างโดยสรณะและศีล เป็นต้นนี้. 
               บทว่า อญฺญาตุํ คือ (สามารถ) จะรู้ทั่วถึงได้. 
               สองบทว่า วิญฺญุนา ปุริสวิคฺคเหน มีความว่า (เว้น) จากบุรุษผู้รู้เดียงสา (ผู้รู้ความหมาย) ไม่ใช่ยักษ์ ไม่ใช่เปรต ไม่ใช่ดิรัจฉาน แม้ผู้แปลงเพศเป็นบุรุษ. 
               หลายบทว่า อนาปตฺติ วิญฺญุนา ปุริสวิคฺคเหน มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้แสดงธรรมแม้มากแก่หญิงผู้ยืนอยู่กับบุรุษผู้รู้เดียงสา. 
               บทว่า ฉปฺปญฺจวาจาหิ มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุผู้แสดง (ธรรม) ด้วยวาจา ๖-๕ คำ. 
               ในคำว่า ฉปฺปญฺจวาจาหิ นั้น บัณฑิตพึงทราบประมาณแห่งวาจาในธรรมทั้งปวงอย่างนี้ คือ คาถาบทหนึ่ง ชื่อว่าวาจาคำหนึ่ง. หากว่า ภิกษุเป็นผู้ประสงค์จะกล่าวอรรถกถา หรือว่า เรื่องมีเรื่องธรรมบทและชาดกเป็นต้น, จะกล่าวเพียง ๖-๕ บทเท่านั้น ควรอยู่. เมื่อจะกล่าวพร้อมด้วยบาลี พึงกล่าวธรรมอย่าให้เกิน ๖ บท อย่างนี้ คือจากพระบาลีบทหนึ่ง จากอรรถกถา ๕ บท. จริงอยู่ ธรรมมีประเภทดังกล่าวในปทโสธรรม จัดเป็นธรรมเหมือนกันหมด แม้ในสิกขาบทนี้. 
               สองบทว่า ตสฺมึ เทเสติ คือ แสดงในขณะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง คำว่า ตสฺมึ นี้ เป็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ. ความว่า ย่อมแสดงแก่หญิงนั้น. 
               สองบทว่า อญฺญสฺส มาตุคามสฺส มีความว่า ภิกษุนั่งบนอาสนะเดียว แสดง (ธรรม) แม้แก่มาตุคามตั้ง ๑๐๐ คน อย่างนี้ คือแสดงแก่หญิงคนหนึ่งแล้ว แสดงแม้แก่หญิงอื่นผู้มาแล้วๆ อีก. ในอรรถกถามหาปัจจรี ท่านกล่าวไว้ว่า ภิกษุกล่าวว่า รูปจะแสดงคาถาแก่พวกท่านคนละคาถา พวกท่านจงฟังคาถานั้น ดังนี้ แล้วแสดง (ธรรม) แก่พวกมาตุคามผู้นั่งประชุมกันอยู่ ไม่เป็นอาบัติ. ภิกษุทำความใฝ่ใจตั้งแต่แรกว่า เราจักกล่าวคาถาแก่หญิงคนละคาถา ดังนี้ แล้วบอกให้รู้ก่อนจึงแสดง สมควรอยู่. 
               หลายบทว่า ปญฺหํ ปุจฺฉติปญฺหํ ปุฏฺโฐ กเถติ มีความว่า มาตุคามถามว่า ท่านเจ้าค่ะ! ชื่อว่าทีฆนิกายแสดงอรรถอะไร? ภิกษุถูกถามปัญหาอย่างนี้ ถ้าแม้นจะกล่าวทีฆนิกายทั้งหมด ก็ไม่เป็นอาบัติ. 
               คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้นแล. 
               สิกขาบทนี้ มีธรรมโดยบทเป็นสมุฏฐานเกิดขึ้นทางวาจา ๑ วาจากับจิต ๑ เป็นทั้งกิริยา ทั้งอกิริยา เป็นโนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
               ธรรมเทศนาสิกขาบทที่ ๗ จบ.    

ไม่มีความคิดเห็น: