Translate

30 มิถุนายน 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 58 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๘๒)
 โป๊ยก่ายแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เดินไปมือเปล่าลงไปข้างเขาค้นหาทาง พบทางเล็กทางหนึ่งก็เดินตามทางนั้น เที่ยวค้นหามาประมาณห้าหกลี้ แลไปข้างหน้าก็เห็นปีศาจหญิงสาวสองคนกำลังตักน้ำอยู่ข้างสระ โป๊ยก่ายเดินเข้า​ไปใกล้ร้องเรียกว่าปีศาจ หญิงปีศาจทั้งสองได้ยินก็โกรธ จึงพูดกันว่าอ้ายคนนี้อยู่ที่ไหนมาพูดจองหอง มันไม่เคยรู้จักแก่เราเลยและไม่เคยพูดจาปราศรัยกัน ทำไมจึงมาเรียกพวกเราว่าเป็นปีศาจดังนี้ พูดแล้วก็เอาไม้คานมาตีศรีษะโป๊ยก่าย ๆ มือเปล่าถูกตีสี่ห้าทีก็วิ่งหนีกลับไปบนยอดเขา กระหืดกระหอบกลับมาบอกเห้งเจียว่ารีบกลับไปเถิด ปีศาจมันดุร้ายนัก เห้งเจียถามว่ามันดุร้ายอย่างไร โป๊ยก่ายบอกว่าที่ช่องเขานั้น มีปีศาจหญิงสาวสองคน มันอยู่ริมบ่อจะตักน้ำข้าพเจ้าเรียกมัน ๆ กลับเอาไม้คานมาตีข้าพเจ้า เห้งเจียว่าน้องไปเรียกมันอย่างไรหรือ โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าเรียกมันว่าอีปีศาจ เห้งเจียได้ฟังก็หัวเราะว่ามันตียังน้อยนัก โป๊ยก่ายว่ามันตีจนหัวบวมเป็นลูกมะกรูดดังนี้แล้วยังจะว่าน้อยอยู่อีกหรือ เห้งเจียพูดว่ากิริยาอ่อนโยนก็ไปได้ตลอดพิภพ ถ้าห้าวหาญแต่แค่คืบก็สยายไปไม่ได้
   พวกปีศาจนั้นในที่ตำบลนี้เป็นของมัน พวกเรามาจากไกลและถือเพศเป็นสงฆ์ น้องไปคนเดียวจะต้องปราศรัยด้วยกิริยาอ่อนน้อม นี่ไปถึงก็ไปเรียกเขาว่าเป็นปีศาจดังนี้ เขาไม่ตีจะคอยตีใครที่ไหน ไม่ได้ยินหรือเขาย่อมว่าให้ถือธรรมเนียมเป็นต้น โป๊ยก่ายพูดว่าการขนบธรรมเนียมข้าพเจ้าไม่สู้จะเข้าใจตลอด ว่าควรจะทำประการใด เห้งเจียพูดว่าน้องเมื่อยังอยู่ป่าก็กินคน รู้จักไม้ในป่ามีสองอย่างหรือเปล่า โป๊ยก่ายบอกว่าข้าพเจ้าไม่รู้จัก ไม่เข้าใจสองอย่างนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เห้งเจียพูดว่าไม้อย่างหนึ่งเรียกว่า เอี้ยงปัก คือไม้สนจีน เนื้อไม้อ่อน​ละมุนดี พวกช่างไม้เอามาแกะเป็นรูปพระพุทธเจ้าและรูปเจ้า ประดับด้วยเพชรนิลจินดาแล้วปิดทอง ตั้งประดิษฐานไว้บนที่สูงสำหรับประชาชนทั้งหลายจุดธูปเทียนบูชากราบไหว้ อีกไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่าทันปั๊กคือไม้จันเนื้อแข็งแต่น้ำมันมี อยากจะเอาน้ำมันก็เอาปลอกเหล็กใส่แล้วเอาค้อนเหล็กตีเร่งให้น้ำมันออกดังนี้ ก็เพราะเนื้อแข็ง
   โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า พี่ก็ดีแต่พูดเท่านั้น หากเมื่อแรกพูดให้ข้าพเจ้ารู้ดังนี้ ที่ไหนข้าจะถูกตีทำไม เห้งเจียพูดว่าน้องจงกลับลงไปถามดูให้แน่ใจ โป๊ยก่ายว่ามันจำข้าพเจ้าได้แล้วจะลงไปอย่างไรได้ เห้งเจียว่าน้องจงแปลงตัวไปเถิด โป๊ยก่ายว่าถ้าแปลงแล้วจะไปถามว่ากระไร เห้งเจียบอกว่าเดินไปเหมือนครั้งก่อน เมื่อถึงก็จงกระทำความคำนับ แล้วพิเคราะห์ดูหญิงนั้นอายุคราวกับเราหรือแก่อ่อนประการใด แม้ว่าแก่กว่าเรานิดหน่อยจงเรียกเขาว่าพี่แม้แก่มากจงเรียกเขาว่าน้าหากว่าใหญ่กว่าเราก็เรียกเขาว่าแม่ โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ และพูดว่าเขาก็มิได้อยู่ใกล้เคียงแก่เรา ทำไมจะไปเรียกเขาเป็นฉันญาติเล่า เห้งเจียพูดว่ามิใช่จะนับว่าเป็นญาติ เพราะเราต้องการธุระจะเอาความจริงเท่านั้น บางทีพวกมันจับเอาอาจารย์เราไปไว้ เราลงมือจะไม่ผิด หากว่าพวกมันมิได้เอาไปไว้เราจะได้คิดไปทางอื่น
   โป๊ยก่ายว่าพี่พูดถูกต้อง ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะลงไปถามดูให้รู้แน่ก่อน โป๊ยก่ายก็เอาคราดเหน็บหลังไว้แล้ว ก็แปลงกายเป็นคนถือบวชเดินลงไปตามทางเก่า ครั้นมาถึงที่หญิงทั้งสองก็ร้องว่า ขอรับประทานโทษแม่ทั้งสองข้าพเจ้าคำนับ ​ฝ่ายนางปีศาจทั้งสองได้ยินก็มีจิตยินดี จึงปราศรัยถามว่าอยู่ที่ไหนและไปข้างไหนมา โป๊ยก่ายก็ตอบว่าอยู่ที่ไหนและไปไหนมา นางทั้งสองถามอีกว่าท่านชื่อเรียงเสียงไร โป๊ยก่ายก็ตอบว่าข้าพเจ้าชื่อเรียงเสียงไร นางทั้งสองพูดกันว่าคนผู้นี้ดูก็ดี แต่ไม่รู้จักพูด ๆ ตามปากเราดังนี้เอง โป๊ยก่ายจึงถามว่าแม่ทั้งสองจะหาบน้ำไปไหนหรือ นางทั้งสองตอบว่าท่านยังไม่เข้าใจ นายผู้หญิงของข้าพเจ้าเมื่อคืนนี้ อุ้มพระถังซัมจั๋งมาได้บัดนี้เอาไว้ในถ้ำ นางจะใคร่เลี้ยงเธอน้ำในถ้ำก็เหลือใช้ แต่ให้ข้าพเจ้ามาเอาน้ำที่บ่อนี้ คือน้ำประอากาศบริสุทธิ์เป็นน้ำเชื้อร่วมสามัคคี เอาไปจะได้จัดต้มหุงเครื่องกระยาหารให้พระถังซัมจั๋งกินแล้ว เวลาค่ำจะได้เข้าร่วมห้องกับนายข้าพเจ้า
   โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็รีบกลับมาหาเห้งเจีย ครั้นมาถึงก็ร้องเรียกซัวเจ๋งว่า จงเอาข้าวของมาแบ่งปันกันเกิด ซัวเจ๋งถามว่าที่จะแบ่งข้าวของทำไม โป๊ยก่ายพูดว่าพระอาจารย์อยู่ในถ้ำมีเมียปีศาจเสียแล้ว พวกเราเอาเข้าของแบ่งกันจะได้ไปตั้งการทำมาหากินมิดีหรือ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงร้องตวาดว่า อ้ายหมูพูดจาเลอะเทอะ หากปีศาจจับอาจารย์ไปได้คุมขังไว้ในถ้ำ พระอาจารย์ตั้งตาคอยพวกเราอยู่จะให้พวกเราไปช่วย เจ้าไปได้ข่าวมาแล้วทำไมจึงมาคิดดังนี้จะมิผิดไปหรือ โป๊ยก่ายถามว่าจะคิดอุบายอย่างไรจึงจะช่วยอาจารย์ออกมาได้เล่า เห้งเจียพูดว่าจงตามหลัง​นางปีศาจทั้งสองนั้นไป ถ้าถึงประตูถ้ำแล้ว พวกเราพร้อมกันลงมือก็จะสำเร็จการ โป๊ยก่ายก็เชื่อคำเห้งเจียพากันเดินตามนางปีศาจนั้นไป ครั้นเดินมาได้ประมาณสามสิบเส้น นางทั้งสองก็เดินเข้าไปในเขาลับแลไม่เห็น
   ฝ่ายเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเดินตามมาแลไม่เห็นนางทั้งสอง โป๊ยก่ายก็ตกใจพูดว่า อาจารย์เราเห็นปีศาจยักษ์มันจะจับไปแล้วดอกกระมัง เห้งเจียถามว่าทำไมเจ้าจึงจะรู้ได้ โป๊ยก่ายพูดว่าก็เราเดินตามนางทั้งสองมา นางหาบน้ำเดินไปข้างหน้า บัดเดี๋ยวก็ไม่เห็นดังนี้ จะไม่เป็นอียักษ์มันจับไปดอกหรือ เห้งเจียพูดว่าเราคิดดูเห็นว่านางทั้งสองนั้นจะเข้าถ้ำไปแล้ว พูดแล้วเห้งเจียก็เขม่นมองดูรอบภูเขาก็ไม่เห็นไหวติง มองไปอีกก็แลเห็นในชวากเขามีเพิงศิลาปรกเงื้อมลงมา ข้างนั้นมีหลังคากระท่อมมีไมัขวาง และมีป้ายศิลาตั้งมีตัวอักษรหกตัวว่า (ฮั้มตังซัว) ถ้ำโป๊เต๊ยต๋อง เห้งเจียจึงบอกแก่โป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่า ปีศาจมันทำกระท่อมบนปากถ้ำ มันคงอาศัยอยู่ใต้นั้น แตไม่รู้ว่าประตูจะเข้าทางใด เห้งเจียจึงเดินเข้าไปทางหลังป้าย พิเคราะห์ดูก็แลเห็นมีก้อนศิลาใหญ่ประมาณกว้างยาวสักห้าเส้น ที่กลางก้อนศิลามีรูใหญ่หนึ่งรู ที่ใต้นั้นมีแสงสว่างขึ้นวับ ๆ แวม ๆ โป๊ยก่ายพูดว่าชะรอยปีศาจมันจะเข้าออกทางรูนี้
   เห้งเจียว่าประหลาดแท้ ๆ ตั้งแต่รักษาอาจารย์มา ได้กำจัดปีศาจทุกๆ ถ้ำไม่เคยเห็นถ้ำอย่างนี้ เห้งเจียจึงบอกโป๊ยก่ายว่า น้องจง​ลงไปดูจะตื้นลึกสักเพียงไหน ให้แน่แล้วพี่จะได้ไปแก้อาจารย์ออกมา โป๊ยก่ายสั่นศีรษะว่ายากนัก ๆ ตัวข้าพเจ้าเกะกะรุงรังดังนี้ ไม่ทราบว่าสองสามปีจะถึงใต้ก้นหรืออย่างไรก็ไม่รู้ เห้งเจียพูดว่าจะลึกถึงดังนั้นทีเดียวหรือ โป๊ยก่ายว่าพี่จงมามองดู เห้งเจียก็ไปมองดูเห็นลึกประมาณสักสามร้อยลี้ เห้งเจียจึงหันหน้ามาบอกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่าลึกเหลือเกิน โป๊ยก่ายพูดว่าพวกเราพากันกลับเถิดช่วยอาจารย์ไม่ได้แล้ว เห้งเจียพูดว่าน้องอย่าได้มีความเกียจคร้านท้อถอย เอ่ย จงวางหาบข้าวของลงพักก่อน น้องทั้งสองคอยรอ สกัดอยู่ที่นี่ พี่จะเข้าไปฟังข่าวดูให้แน่นอน แม้อาจารย์อยู่ในนี้จริงแล้วพี่จะตีขนาบข้างในออกมา น้องทั้งสองคอยสกัดกั้นไว้สมทบช่วยกันเมื่อตีปีศาจตายแล้วก็จะช่วยอาจารย์ออกมาได้ 
   โป๊ยก่ายซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่าแล้วแต่พี่จะเห็นชอบ ข้าพเจ้าทั้งสองจะคอยอยู่ที่นี่ เห้งเจียก็บันดาลให้เกิดเป็นเมฆ แล้วขึ้นเหยียบค่อย ๆ ผ่อนลงไปบัดเดี๋ยวก็ถึงบาดาล พิเคราะห์ดูรอบเห็นเป็นเวิ้งวุ้งมีแสงสว่างดุจแสงพระอาทิตย์ส่อง แต่ต้นผลไม้ก็มีเป็นหลายอย่าง เห้งเจียสรรเสริญว่าที่ถ้ำนี้ราวกับเทพยดามาเสกสรร นฤมิต แลไปก็เห็นมีรูปน้ำย้อยมีช่องประตู ในนั้นมีต้นไม้ต่าง ๆ และมีห้องหอเคหาอยู่เรียงราย เห้งเจียเห็นดังนั้นก็นึกแต่ในใจว่า ที่ในประตูนี้จะเป็นที่ปีศาจมันอยู่เป็นแน่ จำเราจะต้องแปลงกายเข้าไปดูให้รู้ว่าจะเป็นประการใด คิดแล้วเห้งเจียแปลงเป็นแมลงวันหัวเขียวค่อย ๆ ​บินเข้าไปในประตู แลไปก็เห็นปีศาจนั่งอยู่ที่กลางหอ พิเคราะห์ดูลักษณะรูปร่างแต่งตัวแปลกประหลาด ไม่เหมือนที่ถูกแขวนอยู่ที่ป่าสนและที่พาไปอาศัยอยู่ที่วัดไม่งามเหมือนวันนี้
   เห้งเจียก็บินรอคอยฟังกิริยาปีศาจอยู่ เห็นนางปีศาจมีสีหน้ารื่นเริงยิ้มแย้ม กำชับสั่งนางสาวใช้ให้รีบจัดเครื่องโต๊ะมา เรากับพี่ถังซัมจั๋งกินโต๊ะแล้วจะได้ร่วมห้อง เห้งเจียได้ยินก็นึกอดหัวเราะไม่ได้ คิดอยู่ในใจว่าอีนางปีศาจมันพูดเอาจริงจังดังนั้น เรายังไม่รู้จิตใจอาจารย์ท่านจะคิดเห็นไปอย่างไร เห้งเจียคิดแล้วก็บินเข้าไปชั้นในพิเคราะห์ดู เห็นที่ระเบียงข้างตะวันออกมีห้องลั่นกุญแจ ข้างในห้องมีพระถังซัมจั๋งอยู่ไนนั้น เห้งเจียเห็นแน่แล้วก็บินลอดเข้าไปจับที่ใบหูพระถังซัมจั๋งเรียกว่า พระอาจารย์คำหนึ่ง พระถังซัมจั๋งได้ยินเสียงก็จำได้ จึงร้องเรียกว่าสานุศิษย์ช่วยชีวิตเราด้วยเถิด เห้งเจียพูดว่าปีศาจมันจัดแจงวิวาหะการจะร่วมห้องกับอาจารย์ บางทีจะเกิดบุตรชายหญิงสักสองคนจะได้เชื้อพระสงฆ์ต่อไป อาจารย์ควรจะมีความรื่นเริงจะมาเศร้าหมองไปทำไม
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น กัดฟันพูดว่าตั้งแต่มามีวันใดอาตมานอกใจบ้าง หรือวันนี้มาต้องปีศาจร้ายมันพามาเข้าที่บังคับ จะให้อาตมาสู่สมร่วมสมัครสังวาสเป็นสามีภรรยาแก่มัน แม้อาตมาจะทิ้งธรรมอันประเสริฐยินดีในอสัทธรรมตัวอาตมาจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฎ ทุกข์เอนกชาติ สักเมื่อ​ไรจะได้พ้นทุกข์ แจ้งซึ่งมรรคผลและพระนฤพาน เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าอาจารย์จะต้องปฏิญาณทำไม ถ้าจริงใจดังนั้นแล้วข้าพเจ้าจะช่วยให้พ้นจากมือมาร พระถังซัมจั๋งพูดว่าหนทางที่เดินเข้ามานี้อาตมาก็จำไม่ได้ ไม่รู้ว่ามาอย่างไรทางไหน เห้งเจียว่าอาจารย์อย่าพูดเรื่องลืมทางเลย อันถ้ำนี้แปลกประหลาดกว่าถ้ำอื่นๆ ทุกๆ ถ้ำที่เราเคยเห็นมาก่อนๆ นั้น แลทางที่จะเข้าออกมิใช่ง่าย เมื่อจะเข้าต้องมุดข้างบนลงมา หากจะช่วยออกไปต้องมุดข้างล่างขึ้นไป ถ้าสมคิดก็จะออกไปได้ ถ้าไม่สมคิดก็จะนั่งคอยตายอยู่ในนี้ ไม่รู้ว่าจะแก้ไปอย่างไรจึงจะออกไปได้
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ พูดว่ามีความลำบากยากแค้นดังนี้จะทำประการใดดี เห้งเจียพูดว่าไม่เป็นไร แม้ว่าเมื่อเวลานางปีศาจเข้านั่งโต๊ะ มันก็จะให้อาจารย์เสพสุราด้วยกับมัน อาจารย์ก็จะขัดไม่ได้จำเป็นจะต้องผ่อนผันตามอัธยาสัยมัน อาจารย์ก็จะต้องดื่มสักถ้วยหนึ่งแล้ว จงเอาป้านสุรารินส่งให้มันกินซ้อนสักสองสามถ้วย แล้วอาจารย์รินอีกสักถ้วยหนึ่งให้มีฟอง ข้าพเจ้าจะแปลงเป็นแมลงหวี่ตัวหนึ่งมุดลงแอบในฟองสุรา ถ้าปีศาจมันยกถ้วยขึ้นดื่มสุราเข้าไป ข้าพเจ้าจะตามน้ำสุราเข้าไปในท้องมันจะทึ้งไส้พุง ตับ ปอดและหัวใจมันให้เจ็บจวนตาย ก็จะช่วยอาจารย์ออกพ้นจากทุกข์ได้
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงพูดว่าถ้าคิดดังนี้เห้งเจียจงตามอาตมาไป คอยท่าที่จะกระทำการ​ตามคิด พระถังซัมจั๋งกับเห้งเจียคิดกันพอเสร็จ ก็พอนางปีศาจจัดเครื่องโต๊ะพร้อมเพรียงเรียบร้อยแล้ว นางจึงเดินมาที่ห้องพระถังซัมจั๋ง ร้องเรียกว่าท่านถังซัมจั๋ง พระถังซัมจั๋งก็นิ่งไม่อาจรับ นางจึงเรียกอีกคำหนึ่ง พระถังซัมจั๋งอดไม่ได้จึงขานรับ ว่าอาตมภาพอยู่นี่ นางปีศาจก็ตรงเข้าไปจับมือพระถังซัมจั๋ง พาเดินเรียงออกมา นางปีศาจทำกิริยาเล้าโลมเคล้าคลึงด้วยความกำหนัดเสน่หา มิได้รู้ว่าพระถังซัมจั๋งมีแต่ความรำคาญด้วยจำเป็น นางปีศาจประคองพระถังซัมจั๋งมาให้นั่ง แล้วบอกว่าข้าพเจ้าจัดเครื่องกระยาหารไว้เสร็จ ขอเชิญหลวงพี่กับข้าพเจ้ากินเล่นให้สำราญในวันนี้ พระถังซัมจั๋งบอกว่า อาตมภาพตั้งแต่เยาว์มาก็มิได้เคยรับประทานของสดคาว
   นางปีศาจจึงพูดว่าตัวข้าพเจ้าก็เหมือนกันไม่เคยกินเครื่องสดคาว สิ่งของที่จัดมาวันนี้ก็ล้วนเป็นเครื่องกระยาบวชทั้งนั้น ในถ้ำนี้น้ำก็ถมไปไม่ขาด แต่ข้าพเจ้าใช้คนขึ้นไปเอาน้ำสะอาดบนยอดเขามาทำเครื่องกระยาบวช น้ำนั้นเรียกว่าน้ำบริสุทธิ์สมาคม ท่านกับข้าพเจ้ากินเล่นให้เป็นสุขในเวลาวันนี้ พระถังซัมจั๋งก็เข้านั่งโต๊ะ นางปีศาจสองมือประคองยกป้านสุรารินใส่ถ้วยแล้ว ประคองถ้วยลุกยืนขึ้นส่งให้พระถังซัมจั๋ง ปากก็พูดว่าเชิญหลวงพี่รับประทานสุราอย่างดี ซึ่งข้าพเจ้าได้ตั้งใจจะร่วมรักกับท่านในวันนี้ พระถังซัมจั๋งมีความอดสูแต่ในใจ จึงรับถ้วยสุรามาจิต ไตร่ตรองไม่แน่ลงไปได้ เห้งเจียแปลงกายจับอยู่ที่ใบหูบอกว่า เครื่องโต๊ะนั้นเครื่อง​กระยาบวชทั้งสิ้น อาจารย์จงกินเถิดไม่เป็นไรอย่าวิตกเลย พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้น ก็ยกถ้วยสุราขึ้นดื่มแล้ว จึงเอาป้านสุรามารินใส่ถ้วยยกส่งให้นางปีศาจ ๆ รับดื่มแล้ว ก็รินซ้ำส่งให้อีกหนึ่งถ้วย พระถังซัมจั๋งจึงรินอีกหนึ่งถ้วยให้เป็นฟองพูนสูงขึ้น 
   เห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงหวี่บินมุดเข้าอยู่ในฟองสุรา พระถังซัมจั๋งก็ยกส่งให้นางปีศาจอีกถ้วยหนึ่ง นางปีศาจรับมาแล้ววางลงที่โต๊ะคำนับพระถังซัมจั๋งว่า ขอหลวงพี่สั่งสอนสนทนาก่อนแล้วจึงค่อยรับประทาน นางปีศาจวางถ้วยลง มัวพูดกับอาจารย์ถังซัมจั๋งฟองสุราก็ยุบหายหมด นางปิศาจแลเห็นแมลงหวี่ลอยอยู่ในสุรา จึงเอาเล็บนิ้วก้อยช้อนดีดลงกับพื้น เห้งเจียเห็นดังนั้นก็นึกว่ายาก เห็นการจะไม่สำเร็จเสียแล้ว ความคิดที่จะเข้าท้องปีศาจก็ไม่ได้ จึงแปลงกายเป็นนกอินทรีใหญ่บินขึ้นบนโต๊ะเอาเท้ากวาดเครื่องโต๊ะ ถ้วยชามก็ตกลงจากโต๊ะหมดสิ้น โฉบเอาพระถังซัมจั๋งไป
   ฝ่ายนางปีศาจตกใจระรัวสั่น วิ่งมายึดพระถังซัมจั๋งไว้ เห้งเจียจะพาไปก็มิได้ นางปีศาจถามว่าอ้ายสัตว์นี้อยู่ที่ไหน เราจัดแจงสิ่งของไว้ไม่รู้เท่าไร ปราถนาจะทำการวิวาหะมงคลและกินให้สนุกสบาย ไม่รู้ว่าสัตว์นี้มาจากที่ไหนจึงได้มาทำลายของเราเสียดังนี้ พวกปีศาจคนใช้ว่ากระยาหารหกกับพื้นเปื้อนเปรอะไปทั้งสิ้น ดังนี้จะใช้อย่างไรได้ นางปีศาจพูดว่าเรารู้แล้ว คือฟ้าดินเทพยดาเห็นเราขังพระถังซัมจั๋งไว้ไม่พอใจ จึงให้สัตว์นี้ลงมาทำลายข้าวของ ๆ เรา​เหล่านี้ พวกเจ้ารีบเก็บถ้วยชามของแตกเสียนั้น เอาออกไปเสียโดยเร็วรีบจัดเครื่องใหม่ไม่ว่าแจและโช เอามาตั้งให้เรียบร้อยพร้อมเพรียง เราจะอธิษฐานกับฟ้าดินเป็นเฒ่าแก่ให้เรา เรากับพระถังซัมจั๋งได้ร่วมห้องกันในวันนี้ นางปีศาจสั่งเสร็จแล้วก็ส่งพระถังซัมจั๋งไปอยู่ที่ห้องยังเดิม
   ฝ่ายเห้งเจียก็บินออกจากปากถ้ำ กลายกลับเป็นรูปเดิมเดินมาหาโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ร้องให้เปิดประตูโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็เปิดประตูออกมาแลเห็นเห้งเจีย โป๊ยก่ายจึงถามถึงเหตุการณ์ที่พระอาจารย์นั้นว่าเป็นประการใด เห้งเจียก็เล่าตั้งแต่ต้นจนปลายให้ฟังทุกประการ แล้วจึงสั่งว่าน้องทั้งสองจงระวังอยู่ที่นี่ให้มั่นคง พี่จะกลับลงไปคิดแก้ไขอาจารย์ออกให้จงได้ พูดแล้วเห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงวันหัวเขียวบินกลับลงไปจับที่ขื่อหน้าหอคอยฟังเหตุ ก็ได้ยินเสียงปีศาจบ่นด่านกเหยี่ยว และสั่งพวกคนใช้ว่าคราวนี้จัดเครื่องกระยาหารไม่ว่าแจและโช จะขอให้ฟ้าและดินเป็นเฒ่าแก่ เห้งเจียจับอยู่บนขื่อได้ยินปีศาจพูดดังนั้นก็นึกหัวเราะแต่ในใจ คิดว่าอีปีศาจนี้มันชั่งไม่มีความอายเลย เวลากลางวันแสก ๆ มันจับพระถังซัมจั๋งไว้ จะคิดข่มขืนเอาเป็นผัว เราจะไปหาอาจารย์ดูก่อนจะเป็นประการใด
   คิดแล้วก็บินไปที่ห้องอาจารย์อยู่ ครั้นถึงก็บินลอดเข้าไปในประตูจับที่ใบหูร้องเรียกอาจารย์ พระถังซัมจั๋งกำลังเช็ดน้ำตา ได้ยินเสียงเรียกก็จำได้ว่าเห้งเจีย มีใจแค้นเห้งเจีย พูดว่าทำลายของมันเสียหมด แล้วได้ยินมันสั่งว่าให้​จัดทำเครื่องใหม่ไม่ว่าสดคาวใช้ได้ทั้งสิ้น มันจะทำวิวาหะแก่อาตมาในวันนี้ การเป็นอย่างนี้เห้งเจียจะคิดประการใด เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าอาจารย์อย่าวิตก ข้าพเจ้าคงจะมีความคิดช่วยอาจารย์ออกให้จงได้ พระถังซัมจั๋งว่าจะคิดอย่างไร เห้งเจียบอกว่าเมื่อข้าพเจ้าบินมาเห็นที่หลังสวนดอกไม้ อาจารย์จงชวนมันให้ออกไปที่สวน เมื่อเวลาไปถึงต้นชมภพู่จงหยุดรอ ข้าพเจ้าจะแปลงเป็นผลชมภพู่สุกอาจารย์จงเก็บเอาผลชมภพู่ส่งให้ปีศาจ ถ้ามันกินอาจารย์ก็จะได้รอดพ้นมือมารไปได้ ข้าพเจ้าเข้าอยู่ในท้องแล้วก็จะกระทำมันให้เจ็บปวดสาหัส อาจาริย์ก็จะได้ออกจากถ้ำ
   พระถังซัมจั๋งว่าเห้งเจียมีฤทธาอานุภาพจะต่อสู้แก่มันตรง ๆ มิดีหรือ ทำไมจึงต้องคิดเข้าอยู่ในท้องมันดังนี้ร่ำไป เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์ไม่เข้าใจ หากถ้ำนี้เข้าออกโดยง่ายก็จะต่อสู้รบแก่มันได้ เพราะเหตุเข้าออกแสนยากจะลงมือต่อสู้แก่มันมิใช่ง่าย เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้อุบายอย่างนี้ พระถังซัมจั๋งก็พยักหน้าเชื่อเห้งเจีย อาจารย์กับศิษย์คิดกันเสร็จ แล้วพระถังซัมจั๋งก็เดินมาที่ประตู ร้องเรียกนางปีศาจว่าแม่น้องสองคำ นางปีศาจได้ยินก็หัวเราะ ถามว่าท่านพี่มีกิจธุระอะไรหรือ พระถังซัมจั๋งบอกว่า อาตมภาพตั้งแต่มาจากเมืองเดินมาตามทางถูกแดดถูกฝนต้องความลำบาก เมื่อวันอาศัยที่วัดติ๊นใฮ้ยี่ก็ให้เจ็บไข้ไม่สบายตัว มาวันนี้ในตัวพึ่งค่อยทุเลา แม้น้องพามาอยู่ในถ้ำนี้ นั่งอยู่ที่เดียวจิตใจไม่สบายให้ชักง่วงเหงาไป แม่น้อง​ช่วยพาไปเที่ยวเล่นให้โปร่งใจแก้รำคาญสักหน่อยเถิด
   นางปีศาจได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดว่าท่านพี่จะใคร่ไปเที่ยวเล่นแก้รำคาญข้าพเจ้าจะพาไปเที่ยวเล่นในสวนให้สบาย นางพูดดังนั้นแล้ว จึงเรียกพวกคนใช้ให้ไปเปิดประตูสวน จัดกวาดให้สะอาดนางปีศาจจึงมาเปิดประตูห้องพยุงพระถังซัมจั๋งออกจากห้องแล้ว พวกปีศาจสาวใช้ต่างก็แต่งตัวผัดหน้าทาแป้งดูสะสวยสำอางทุก ๆ คน พากันตามนางปีศาจไปห้อมล้อมพระถังซัมจั๋งพาไปยังสวน ครั้นพากันเข้าในสวนแล้ว นางปีศาจค่อยอ้อนวอนพระถังซัมจั๋งว่า ท่านพี่ในสวนนี้ตามแต่จะชมเล่นให้สบายหายความรำคาญ และเป็นที่รื่นเริงเราทั้งสอง นางปีศาจก็จูงมือพระถังซัมจั๋งเดินชมต้นผลไม้ ด้วยต้นผลไม้มีดอกดวงพวงผลต่าง ๆ ประหลาดงามไม่รู้สิ้น ข้ามมาหลายแห่งแลไปเห็นต้นชมพู่สล้างเป็นดง
   ฝ่ายเห้งเจียจับอยู่บนใบหูอาจารย์ ครั้นอาจารย์เดินมาใกล้ต้นชมพู่ เห้งเจียก็ผละบินออกจากอาจารย์ไปจับที่กิ่งชมพู่ จึงแปลงกายกลายกลับเป็นผลชมพู่มีสีแดงน่าชม พระถังซัมจั๋งแกล้งถามนางปีศาจว่า ในสวนนี้ต้นผลไม้อื่นก็สุกพร้อมกัน ยังผลชมภู่บ้างก็เขียวครึ่งแดงครึ่งเหตุใดจึงสุกไม่ทั่วผลดังนี้ นางปีศาจจึงตอบว่า ฟ้าไม่มีตะวันเดือนก็ไม่สว่าง ดินไม่มีธาตุอิมเอี๊ยงต้นผลไม้ก็ไม่ขึ้นได้ คนไม่มีธาตุอิมเอี๊ยงประกอบก็ไม่มีชายหญิงเหมือนผลชมภู่ ข้างไหนรับแสงแดดข้างนั้นก็สุกแดง ข้างไหนไม่ได้รับ​แสงตะวันข้างนั้นก็มีสีเขียว เพราะสารพัดการต้องอาศัยธาตุเป็นใหญ่ พระถังซัมจั๋งได้ฟังนางปีศาจชี้แจงแสดงความให้ฟังดังนั้น จึงสรรเสริญว่าขอบใจซึ่งชี้แจงให้อาตมาเข้าใจในเหตุนี้ 
   พระถังซัมจั๋งเดินมาเหนี่ยวกิ่งเก็บเอาผลชมพู่แดงผลหนึ่ง นางปีศาจก็มาเก็บเอาผลชมภู่สีเขียวผลหนึ่ง พระถังซัมจั๋งเอาผลชมภู่สีแดงส่งให้นางปีศาจแล้วพูดว่านางน้องชอบกินผลชมภู่สีแดง เปลี่ยนเอาผลชมภู่สีเขียวให้อาตมาจะกินเล่น นางปีศาจคิดว่าจริง จึงเอาชมพู่สีเขียวส่งให้พระถังซัมจั๋ง รับเอาผลชมพู่สีแดงมาแล้วนึกยิ้มอยู่ในใจว่า สงฆ์นี้มีกะใจ ยังไม่ทันร่วมรักเป็นผัวเมียยังมีจิตรักใคร่ดังนี้ ฝ่ายพระถังซัมจั๋งรับชมพู่มาจากมือนางปีศาจแล้ว ก็กินในเวลานั้น นางปีศาจเห็นดังนั้นก็มีความยินดี จึงเอาชมพู่ใส่ปากกินกลืนลงไปในท้อง ฝ่ายเห้งเจียใจร้อนเห็นได้ทีก็รีบคลานเข้าไปในท้องปีศาจ นางปีศาจตกใจพูดแก่พระถังซัมจั๋งว่า ผลไม้นี้ยังไม่ทันเคี้ยวก็ลงไปเสียในท้องก่อนดังนี้
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าเพราะแม่น้องอยากกินยังไม่ทันเคี้ยวก็ลงไปเอง ฝ่ายเห้งเจียเข้าไปในท้องปีศาจได้แล้ว จึงร้องเรียกพระถังซัมจั๋งว่าพระอาจารย์อย่าตอบปากแก่มันเลยข้าพเจ้าได้ทีแล้ว พระถังซัมจั๋งได้ยินเห้งเจียพูด จึงพูดว่าเห้งเจียจงผ่อนผันตามการ นางปีศาจได้ยินดังนั้น จึงถามว่าพี่พูดแก่ใครที่ไหน พระถังซัมจั๋งตอบว่า​ชมพู่สุกที่กินเข้าไปนั้นมิใช่หรือ นางปีศาจได้ฟังดังนั้นก็ตกใจพูดว่าถ้าดังนั้นข้าพเจ้าจะถึงแก่ความตาย นางปีศาจจึงร้องว่าอ้ายหงอคงมึงร้อยพันหมื่นแสนกล เข้าไปอยู่ในท้องเราทำไม เห้งเจียบอกว่าเขาไม่ทำอะไรดอก เขาจะกินหัวใจตับไตใส้พุงให้หมดเท่านั้น นางปีศาจได้ฟังดังนั้นก็ตกตะลึงขวัญหาย
   เห้งเจียกำหมัดออกท่ามวยกระโดดชกเอากะเพาะเข้านางปีศาจ ๆ ทนเจ็บไม่ได้ก็ล้มกลิ้งลงกับพื้นสลบไปไม่พูดจา เห้งเจียเห็นปีศาจนิ่งแน่ไม่พูดจาก็นึกว่ามันตายแล้ว จึงค่อยเอามือขยำไส้แต่เบา ๆ ปีศาจรู้สึกหายใจออกได้จึงร้องเรียกว่าพวกเล็ก ๆ ไปอยู่ไหน ฝ่ายพวกนางสาวใช้ เมื่อได้ยินเสียงนางปีศาจเรียกก็พากันวิ่งมา แลเห็นนางล้มกลิ้งอยู่กับพื้นสีหน้าผิดปรกติร้องครางมิได้หยุด นางเหล่านั้นพากันเข้าช่วยพยุงให้นั่งขึ้น ถามว่าแม่เป็นอะไรไปหรือ นางบอกว่าในท้องเรานี้มีคนเข้าไปอยู่ในนั้น พวกเจ้าจงพาพระถังซัมจั๋งออกไปส่งเสียโดยเร็ว พวกเหล่านั้นก็พากันมาจะหามพระถังซัมจั๋งออกไปส่ง เห้งเจียอยู่ในห้องร้องว่าใครจะกล้าหามไปส่ง ตัวเจ้าจงรีบพาอาจารย์เราออกไปส่ง เราจึงจะยกชีวิตให้เจ้า นางปีศาจได้ฟังดังนั้นก็คิดเสียดายชีวิต ผุดลุกขึ้นเอาพระถังซัมจั๋งขึ้นวางบนหลังแล้วก็วิ่งไป
   พวกนางสาวใช้วิ่งตามว่าแม่จะวิ่งไปข้างไหน นางปีศาจบอกว่าเอาเธอไว้ไม่ได้ รอเราส่งเธอออกไปแล้วจึงค่อยหาเอาใหม่เถิด ว่าแล้วนางจึงแผลงฤทธิ์บันดาลเป็นแสงสว่าง เหาะขึ้นมาถึงปากถ้ำ​ก็ได้ยินเสียงเอะอะและเสียงศาสตราอาวุธอยู่เกรียวกราว พระถังซัมจั๋งจึงพูดแก่เห้งเจียว่า เสียงพลทหารอาวุธอะไรเกรียวกราวอยู่ข้างนอก เห้งเจียบอกว่า โป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งคอยระวังอยู่ข้างนอกประตู พระอาจารย์จงเรียกเธอสักคำหนึ่งเถิด พระถังซัมจั๋งจึงเรียกโป๊ยก่าย ๆ ได้ยินบอกแก่ซัวเจ๋งว่าอาจารย์ออกมาแล้ว สองคนต่างก็ถืออาวุธคอยระวังอยู่
(บทที่ ๘๓)
 ฝ่ายปีศาจแบกพระถังซัมจั๋งออกมานอกถ้ำแล้ว ซัวเจ๋งเห็นก็ดีใจ จึงถามว่าพระอาจารย์ออกมาแต่ผู้เดียว ทำไมไม่เห็นพี่เห้งเจียออกมาเล่า พระถังซัมจั๋งบอกว่า เห้งเจียนั้นอยู่ในท้องนางปีศาจ โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า อนิจจังทำไมจึงจะฆ่าคนดังนั้นเล่า จะเข้าไปอยู่ในท้องเขาจะเอามรรคผลอะไรก็ไม่รู้ เชิญพี่ออกมาเถิด เห้งเจียอยู่ในท้องปีศาจจึงร้องบอกให้นางปีศาจอ้าปากขึ้นให้กว้างเราจะออกไป ปีศาจก็อ้าปากออกคอยท่า เห้งเจียเห็นปีศาจอ้าปากแล้วก็ยังไม่วางใจ วิตกเกรงว่าปีศาจจะกระทำร้ายจึงเอาตะบองเสกให้กลายเป็นผลพุดซาใหญ่ เอาเข้าขัดที่โคนขากันไกรแล้ว เห้งเจียก็ขยับตัวผลุดลุกออกไปนอกปาก ครั้นออกมานอกปากปีศาจแล้วก็กลายกลับเป็นรูปเดิม มือถือตะบองเหล็กตรงเข้ามาจะตีปีศาจ ปีศาจเห็นดังนั้นก็ชักเกี่ยมออกมาถือสองมือ คอยรอรับเข้ารบแก่เห้งเจียอีก
   ฝ่ายโป๊ยก่ายยืนอยู่ข้างนั้น แลเห็นปากก็บ่นพึมพำว่าพี่เห้งเจียไม่ควรเลย เมื่ออยู่ในท้องควรจะเอากำหมัดกระทุ้งมันให้ทะลุแล้ว​ก็ฉีกออกมาดุจแหวกม่านจะมิดีหรือ พี่กลับปล่อยให้มันทำอิทธิฤทธิ์อีกดังนี้ ซัวเจ๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็พูดขึ้นว่าพี่พูดดังนี้ถูกแล้ว พี่เห้งเจียติดเปล่าเสียแล้ว เราทั้งสองต้องช่วยกันรบปีศาจให้แพ้แล้วจึงค่อยกลับ โป๊ยก่ายยกมือสั่นว่าไม่ได้ ๆ อย่าทำเล่น ซัวเจ๋งว่าพี่พูดอะไรอย่างนั้นเล่า จำพวกเราจะต้องช่วยกันรบให้ชนะโดยเร็วจึงพร้อมกันเข้าไล่ติดตามไป ทิ้งพระถังซัมจั๋งให้นั่งอยู่แต่ผู้เดียวที่ปากถ้ำ
   ฝ่ายนางปีศาจรบแก่เห้งเจียสองต่อสองก็ยังสู้ไม่ได้ ซ้ำโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเข้าช่วยอีกสองคนก็เหลือกำลังจะรับรอง จึงผละออกหนีไป ฝ่ายเห้งเจียเห็นปีศาจถอยหนี ก็ร้องเสียงดังขึ้นว่า น้องทั้งสองจงไล่ตีจับปีศาจให้จงได้ ฝ่ายนางปีศาจล่าหนีมาเห็นโป๊ยก่ายซัวเจ๋งไล่กระชั้นจวนตัว ก็ถอดรองเท้าปักข้างขวาร่ายคาถาขว้างไปกลายเป็นรูปปีศาจเข้าสู้รบ ตัวนางปีศาจก็แปลงเป็นสายลมหนีกลับมาที่ปากถ้ำ แลเห็นพระถังซัมจั๋งอยู่แต่ผู้เดียว นางปีศาจก็เข้าอุ้มเอาพระถังซัมจั๋งกับถุงย่ามข้าวของและม้าพาเหาะกลับเข้าไปในถ้ำ
   ฝ่ายโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งไล่มาทันปีศาจแปลงเข้า ก็ยกคราดขึ้นสับลงไปทีหนึ่ง ถูกปีศาจกลายเป็นรองเท้าตกอยู่กับพื้นข้างหนึ่ง เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงร้องขึ้นว่า เจ้าทั้งสองชาติชั่วทำไมจึงไม่อยู่เฝ้ารักษาพระอาจารย์ โป๊ยก่ายได้ยินเห้งเจียว่าดังนั้น จึงหันหน้ามาพูดกับซัวเจ๋งว่า เราได้พูดแล้วเห็นหรือไม่ พี่เห้งเจียแกเป็นคนกระเบียดกระเสียนอยากจะใคร่ได้ดีกว่าเรา ๆ พากันมาช่วยรบปีศาจแพ้​แล้ว เธอกลับใส่ความให้ร้ายดังนี้ควรหรือ เห้งเจียได้ยินโป๊ยก่ายพูดจึงถามว่าเจ้ารบใครชนะที่ไหน เมื่อวานนี้ปีศาจมันรบแก่เรามันก็แปลงเป็นรูปเก๊คือรองเท้าของมัน ความจริงตัวมันหนีไปแล้ว ปล่อยให้รูปเก๊อยู่สู้รบแก่เราดังนี้ บัดนี้ก็ไม่รู้ว่าพระอาจารย์จะเป็นประการใด จงรีบกลับไปโดยเร็วเถิด ถ้าช้าอยู่จะเสียการเป็นแน่
   เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็พากันกลับมาหาอาจารย์ที่ปากถ้ำ แลไปก็มิได้เห็นอาจารย์ และถุงย่ามและม้าหายไปทั้งสิ้น โป๊ยก่ายซัวเจ๋งตกใจเที่ยวค้นหาจนรอบในที่นั้น ก็มิได้เห็นร่องรอย เห้งเจียจิตใจให้เร่าร้อน กำลังเที่ยวค้นหาก็มาพบสายบังเหียนม้าขาดเหลืออยู่ท่อนหนึ่ง จึงขยับดูจำได้ก็นึกโทมนัสร้องไห้คิดถึงอาจารย์ โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นอดไม่ได้ แหงนหน้าขึ้นแลดูฟ้าแล้วก็หัวเราะก๊ากใหญ่ เห้งเจียตวาดว่านี่เจ้าพอใจจะให้แตกร้าวกันหรือ จึงได้หัวเราะเยาะเราดังนี้ โป๊ยก่ายตอบว่าพี่หาใช่เช่นนั้นไม่ อันธรรมดาโบราณท่านย่อมว่า สารพัดการต้องสามหนจึงจะสำเร็จได้ อาจารย์นั้นปีศาจคงจับไปเป็นแน่ไม่ต้องสงสัย ก็นับว่าเป็นสองครั้งแล้ว พี่อุตสาหะเข้าไปช่วยอีกสักครั้งหนึ่งพระอาจารย์จึงจะพ้นภัยได้
   เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายเตือนสติดังนั้นก็คิดขึ้นมาได้ จึงพูดว่าถ้ากระนั้นน้องทั้งสองจงรอคอยอยู่ที่ปากถ้ำพี่จะเข้าไปดู เห้งเจียสั่งแล้วก็กลับเข้าไปในถ้ำ เข้าไปถึงชั้นในแลไปก็เห็นประตูหน้าต่างปิดแน่นทุก ๆ แห่ง เห้งเจียแกว่งตะบองตีหักพังเข้าไปทั้งสิ้น เดินตรงเข้าไปเหลียวซ้าย​แลขวาดูทุก ๆ ห้อง ก็เห็นเงียบสงัดทุกห้องไม่ได้ยินเสียง เห้งเจียเดินค้นดูรอบก็มิได้เห็นคน แลเครื่องตั้งแต่งโต๊ะและเก้าอี้ และเครื่องใช้สอยก็หายไปทั้งสิ้นไม่เห็นมีสักสิ่งหนึ่ง เห้งเจียอกใจไม่สบายเร่าร้อนก็กำมือทุบอกมีความโทมนัสร่ำร้องเสียงอึกทึกในเวลานั้น บังเอิญมีสายลมพัดฉิวมากระทบเข้าจมูกหอม เห้งเจียนึกขึ้นได้ว่ากลิ่นที่หอมนี้ออกมาจากข้างหลังนี้เห็นจะอยู่ข้างในนั้นเป็นแน่
   เห้งเจียคิดเห็นดังนั้นแล้ว จึงเดินเข้าไปข้างหลังนั้น แลไปก็เห็นมีปรกหนึ่งสามห้อง ๆ กลางมีตั้งโต๊ะบูชาบนโต๊ะมีเครื่องตั้งหม้อไฟทองเหลืองเผาเครื่องไม้หอมต่าง ๆ มีกลิ่นหอมฟุ้งตลบ ที่กลางโต๊ะตั้งป้ายทองบูชามีอักษร ข้างบนเขียนชื่อว่าท่านบิดาลี้ทีอ๋องรองลงมาเขียนชื่อโลเฉียไทจื๊อ เห้งเจียยืนพิเคราะห์ดูเห็นดังนั้นแล้ว ก็มีความดีใจเป็นที่สุด ตรงเข้าหยิบเอาหม้อไฟกับป้ายทองที่บูชาอยู่นั้นแล้ว ก็หวนกลับออกมายังปากถ้ำ มีความรื่นเริงหัวเราะไม่หยุด โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งแลเห็นเห้งเจียออกมาก็พากันมาต้อนรับถามว่า พี่มีความรื่นเริงด้วยอะไร หรือพบปะอาจารย์แล้วรับมาได้กระมัง
   เห้งเจียหัวเราะตอบว่า ไม่ต้องถึงเราไปเที่ยวค้นหาอาจารย์ให้ป่วยการทำไม จะทวงเอาที่ป้ายนี้ก็จะได้อาจารย์ของเราคืน เห้งเจียจึงวางป้ายกับหม้อไฟลงกับพื้น เรียกโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งว่าน้องจงมาดู ซัวเจ๋งจึงพิเคราะห์ดูแล้วถามว่า คือมีเหตุการณ์ประการใดหรือ เห้งเจียบอกว่านี่แลปีศาจมันตั้งบูชาในที่อยู่ของมัน เราเห็นก็นึกขึ้นได้ว่า ปีศาจ​นี้ชะรอยจะเป็นบุตรสาวของถักทะลีทีอ๋อง แลเป็นน้องสาวของโลเฉียไทจื๊อ จุติลงมาแอบแฝงแปลงเป็นปีศาจอยู่ดังนี้ ลักพาเอาอาจารย์ของเราไปซ่อนไว้ดังนี้ เราจะไปค้นหาทวงถามมันทำไม เพราะเราได้ของกลางไว้ดังนี้แล้ว น้องทั้งสองจงคอยระวังอยู่ที่ปากถ้ำรอคอยพี่จะเอาหม้อไฟกับป้ายนี้ขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ ให้ถักทะลีทีอ๋องเอาอาจารย์มาส่งแล้วเราจึงค่อยไป
   โป๊ยก่ายว่าพี่จะขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้นั้นมิใช่การเล่น เห้งเจียบอกแก่โป๊ยก่ายว่า พี่มีความพอใจไม่มีความวิตก พี่จะเอาป้ายทองกับหม้อไฟเป็นพยาน และจะแต่งเรื่องราวให้คล้องจอง โป๊ยก่ายว่าพี่จะแต่งเรื่องราวมีใจความว่ากะไร ขอให้ข้าพเจ้ารู้บ้างอยากจะทราบ เห้งเจียจึงแต่งเรื่องราวใจความว่า ข้าพเจ้าซึงเห้งเจียมีชื่ออยู่ในหนังสือเดินทาง เป็นผู้รักษาพระถังซัมจั๋งไปไซทีเพื่ออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ขอทำคำฟ้องต่อพระสยมภูวญาณ ซึ่งเป็นประธานในเทวโลกแห่งพิภพดาวดึงส์สวรรค์ทรงทราบ ด้วยบัดนี้ถักทะลีทีอ๋องกับบุตรชายโลเฉียไทจื๊อ ไม่ระวังปล่อยให้บุตรสาวจุติลงไปแอบแฝงแปลงรูปเปนปีศาจยักษ์ร้าย ฆ่าสัตว์เป็นให้จำตายมากไม่คณานานับได้ บัดนี้จับเอาอาจารย์ของข้าพเจ้าข่มขืนซ่อนเร้นไว้แห่งใดก็หาทราบไม่ ข้าพเจ้าเห็นว่าบิดากับบุตรมีความผิดโดยเหตุที่ปล่อยให้บุตรสาวไปเป็นปีศาจเที่ยวกระทำการชั่วร้ายดังนี้
   ขอพระองค์โปรดชำระให้ได้ความจริง แล้วพิพากษาตัดสินบังคับให้ถักทะลีทีอ๋อง​โลเฉียไทจื๊อส่งตัวพระอาจารย์ให้แก่ข้าพเจ้า โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งได้ฟังตั้งแต่ต้นจนปลายดังนั้นทุกประการแล้ว จึงพูดว่าดีแล้วขอพี่จงรีบไปเถิด เห้งเจียก็เอาป้ายทองและหม้อไฟสองอย่างนั้นถือไว้กับมือแล้ว ก็เหาะขึ้นไปยังประตูน่ำทีหมึง ครั้นถึงก็เข้าไปยังตำหนักทงเม่งเต้ย พบกับเตียวเทียนซือ ๆ ออกมาต้อนรับถามว่าใต้เซี้ยมีธุระประการใดหรือจึงได้ขึ้นมาถึงนี่ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้านำเรื่องราวมาฟ้องคนทั้งสอง เตียวเทียนซือตกใจวิตกคิดว่าสัตว์ลิงนี้จะมาฟ้องใครที่ไหน คิดแล้วก็นำเห้งเจียเข้าไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้
   ครั้นถึงเห้งเจียก็วางป้ายทองกับหม้อไฟลงแล้วก็ถวายบังคม ถวายเรื่องราวต่อพระหัตถ์เง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ ทรงรับมาทอดพระเนตรตลอดจนสิ้นข้อความแล้ว จึงเซ็นลายพระหัตถ์ลงข้างต้นเรื่องราวแล้ว มีรับสั่งให้ไท้เป๊กกิมแช นำตัวเห้งเจียกับเรื่องราวไปหาถักทะลีทีอ๋องให้เข้ามาเฝ้าในเวลานี้
   ไท้เป๊กกิมแชได้ฟังรับสั่งดังนั้นพร้อมด้วยเห้งเจียถวายบังคมลาแล้วไปยังตำหนักหุ้นเล้าเกง ครั้นถึงก็ให้ผู้เฝ้าประตูเข้าไปบอกถักทะลีทีอ๋อง ถักทะลีทีอ๋องก็ออกมาต้อนรับเชิญเข้าไปข้างใน แลเห็นไท้เป๊กกิมแชถือเรื่องราวมาด้วย ถักทะลีทีอ๋องก็ตั้งที่บูชารับ แลไปข้างหลังเห็นเห้งเจียตามมาด้วย ถักทะลีทีอ๋องจึงถามว่าท่านกิมแชถือเรื่องราวอะไรมามีเหตุการณ์ประการใดหรือ ไท้เป๊กกิมแชบอกว่าเรื่องราวของเห้งเจียกล่าวโทษท่าน ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังว่ามีเรื่องราวฟ้องก็มีความโกรธ จึงถาม​ว่าเธอมาฟ้องข้าพเจ้าด้วยเหตุประการใด ไท้เป๊กกิมแชก็ส่งเรื่องราวให้ถักทะลีทีอ๋องแล้วพูดว่า ท่านจงดูเอาเองเถิดจะทราบได้ตลอด ถักทะลีทีอ๋องมีความขุ่นหมองในใจ จึงจุดธูปเทียนกระทำความเคารพแล้วก็เปิดหนังสือออกอ่านทราบความทุกประการแล้ว บันดาลโทสะเอามือทุบลงกับโต๊ะว่าอ้ายลิงนี้มันมาฟ้องเราหาถูกไม่
   ไท้เป๊กกิมแชเห็นถักทะลีทีอ๋องโกรธดังนั้นจึงห้ามว่า ขอท่านจงระงับใจก่อน ที่เห้งเจียมาฟ้องหาท่านดังนี้ มีหลักฐานพยานของกลางยังอยู่ที่เง๊กเซียงฮ่องเต้เป็นสำคัญว่าบุตรหญิงของท่านเป็นผู้ร้าย ถักทะลีทีอ๋องว่าข้าพเจ้ามีบุตรชายสามคนหญิงหนึ่งคน บุตรชายคนโตชื่อกิมเฉียไปตามพระพุทธเจ้าเป็นผู้รักษาธรรม คนที่สองชื่อบั๊กเฉียตามพระโพธิสัตว์กวนอิมไปเป็นสานุศิษย์ คนที่สามชื่อโลเฉียไทจื๊อ ก็อยู่นี่เป็นเนืองนิตย์ทุกเวลา บุตรหญิงที่สี่อายุได้เจ็ดขวบชื่อนางเจงเองยังหารู้เดียงสาไม่ ทำไมจึงจะเข้าใจว่าเป็นยักษ์มารอะไรที่ไหน หากท่านไม่เชื่อข้าพเจ้าจะอุ้มออกมาให้ท่านเห็น อ้ายลิงตัวนี้มันหยาบช้าไม่มีความยำเกรง โดยจะกล่าวอย่างต่ำที่สุดในมนุษย์โลกเมืองใต้ ยังมีกฎหมายสำหรับบ้านเมืองว่า ถ้าผู้ใดฟ้องหาโทษท่านด้วยความเท็จพิจารณาไม่ได้ โทษนั้นย่อมตกอยู่แก่ที่หาเขาไม่จริง
รูปภาพ ; ถักทะลีทีอ่อง คือท้าวจตุราชเป็นที่แม่ทัพของเง็กเซียงฮ่องเต้ มีบุตรชายสามคนคือ กิมจาหนึ่ง หมอกจาหนึ่ง โลเฉียหนึ่ง ถักทะลีทีอ๋องมีอานุภาพเชี่ยวชาญ เง็กเซียงฮ่องเต้จึงให้เป็นแม่ทัพสำหรับปราบปีศาจในที่ทั้งปวงเมื่อปีศาจร้ายเกิดขึ้นในที่ใด ก็คุมพลเทพบุตรไปกำจัดพวกปีศาจมารร้ายเหล่านั้น
แล้วถักทะลีทีอ๋องก็ร้องสั่งบริวารให้จับตัวเห้งเจียมัดไว้กับเสาตำหนัก พวกบริวารก็กรูกันเข้ามาจะจับเห้งเจีย ไท้เป๊กกิมแชเห็นถักทะลีทีอ๋องทำวุ่นวายผิดธรรมเนียมดังนั้น จึงร้องห้ามว่าท่านอย่าทำวุ่นวายหาเหตุเกินไป​ดังนั้น ข้าพเจ้ารับ ๆ สั่งเชิญลายพระหัตถ์เง็กเซียงฮ่องเต้ และพาตัวเห้งเจียมาหาท่าน ทำไมท่านจะมาทำดังนั้นสมควรแล้วหรือ ถักทะลีทีอ๋องว่ามันเอาความเท็จมากล่าวโทษข้าพเจ้าดังนี้ ยังจะรอไว้ไม่ทำแก่มันจะให้มันมีใจกำเริบขึ้นอีกหรือ เชิญท่านนั่งพักให้สบายก่อนข้าพเจ้าจะเอาดาบตัดคออ้ายลิงร้ายเสียก่อนแล้วจึงจะไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้พร้อมแก่ท่าน กราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ
   ไท้เป๊กกิมแชเห็นถักทะลีทีอ๋องเอาดาบออกมาก็ตกใจกลัวเห้งเจียจะตาย แต่เห้งเจียนิ่งเฉยเป็นปรกติไม่เห็นวิตกทุกข์ร้อนหวาดหวั่นอะไร นั่งหัวเราะอยู่ปากก็พูดว่า ท่านรู้ใจมาทำใจหมายมั่นดังนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่ร้อนใจอะไร ภายหลังรู้สึกความผิดก็จะต้องอ่อนน้อม พูดยังไม่ทันขาดคำลง ถักทะลีทีอ๋องก็แกว่งดาบตรงเข้ามาจะฟันเห้งเจีย โลเฉียไทจื๊อยืนอยู่ข้างนั้น เห็นบิดาทำกิริยาดังนั้นก็ชักเกี่ยมออกรับดาบไว้ ร้องห้ามว่าบิดาจงระงับก่อน ถักทะลีทีอ๋องเห็นบุตรเอาเกี่ยมรับดาบไว้ดังนั้นก็ตกใจ ร้องตวาดให้บุตรถอยไป
รูปภาพ ; โลเฉียเป็นบุตรที่สามของถักทะลีทีอ๋อง มีศักดาเดชานุภาพกล้าหาญแลพมีอาวุธหกอย่างสำหรับกำจัดจับพวกผีปีศาจยักษ์มารร้าย แปลงกายได้หลายประการ เป็นทหารเอกของเง็กเซียงฮ่องเต้    (ตามในหนังสือจีนมีความอธิบายถึงเรื่องโลเฉียผู้นี้ว่า เมื่อเดิมเกิดโลเฉียไท้จื๊อ คลอดเวลาเที่ยงคือ ข้างมือขวามีอักษรว่า (โล) ข้างมือซ้ายมีอักษรว่า (เฉีย) เพราะฉะนั้นจึงเรียกซี่อว่า (โลเฉีย) โลเฉียออกมาได้สามวัน ก็ลงไปอาบน้ำที่ชายทะเลว่ายเล่นในมหาสมุทร เหยียบปราสาทพระยาเล่งอ๋องพัง จับบุตรพระยานาคชักเอาเอ็นออกจะใคร่ทำสายรัดเอว ถักทะลีทีอ๋องรู้เหตุเรื่องนี้วิตกเกรงจะเกิด​ภัยร้ายต่อภายหลัง จะเอาตัวโลเฉียมาฆ่าเสียโลเฉียมีความแค้นจึงเอามีดเถือเนื้อของตัวใช้ให้แก่มารดา ตัดเอากระดูกคืนให้แก่บิดา ครั้นใช้เลือดเนื้อให้แก่บิดามารดาแล้ว ยังแต่ดวงวิญญาณลอยไปหาพระพุทธเจ้ายังประเทศไซที เวลานั้นพระพุทธเจ้ากำลังตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดสัตว์อยู่ด้วยพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ก็ได้ยินที่ชายธงท่งฮวนที่แขวนไว้ในวิหารนั้น มีเสียงคนร้องเรียกให้ช่วยชีวิตพระองค์จึงเล็งทิพย์จักษุญาณก็ทรงทราบได้ว่าโลเฉีย
   พระองค์จึงเอาโกสบัวเป็นกระดูกใบละหุ่งเป็นหนังเนื้อ วิญญาณโลเฉียจึงเข้าอาศัยรูปนั้นเป็นตัว เมื่อพระองค์ประชุมรูปกายบริบูรณ์แล้ว จึงร่ายพระคาถารวมรูปกายชีวิตจิตใจขึ้นอย่างเดิม โลเฉียเมื่อได้ชีวิตจิตใจกลับคืนเป็นมาแล้ว ก็แผลงฤทธิ์กำจัดเก้าสิบหกถ้ำยักษ์ให้อยู่ในอำนาจทั้งสิ้น คิดจะใคร่กลับมาแก้แค้นถักทะลีทีอ๋องผู้บิดา ถักทะลีทีอ๋องจึงไปเฝ้านมัสการพระยูไลยขอให้ช่วย พระยูไลเจ้าจึงประทานพระเจดีย์วิเศษองค์หนึ่ง เจดีย์ทุก ๆ ชั้นมีพระสุรเสียงพระพุทธเจ้าเรียกชื่อโลเฉียทุกชั้น ตั้งแต่ได้พระเจดีย์วิเศษของพระยูไลประทานมาแล้ว ความอาฆาตจองเวรกับโลเฉียก็เสื่อมคลายจากกัน เพราะฉะนั้นจึงมีนามว่า ถักทะลีทีอ๋องจนเท่าทุกวันนี้
   เพราะฉะนั้นเมื่อถักทะลีทีอ๋องเห็นโลเฉียเอาเกี่ยมออกขวางปะทะหน้าก็สะดุ้งกลัว จึงได้เชิญพระเจดีย์มาวางบนฝ่ามือแล้ว จึงร้องถามโลเฉียว่าลูกรัก​ของบิดาลูกจะว่ากระไรหรือ จึงได้เอาเกี่ยมเข้ามาทัดทานดังนี้
   โลเฉียทำคำนับแล้วตอบว่า บุตรหญิงของบิดามีอยู่จริง บัดนี้อยู่เมืองใต้ ถักทะลีทีอ๋องพูดว่ามีที่ไหน ลูกของบิดารวมทั้งน้องสาวเจ้าสี่คนเท่านั้นจะมีที่ไหนอีกเล่า โลเฉียบอกว่าบิดาลืมเสียแล้วหรือ คือบุตรหญิงคนนั้นเป็นปีศาจ เมื่อสามร้อยปีก่อนอยู่ที่เขาเล่งซัว ลักกัดกินดอกไม้ธูปเทียนน้ำมันของพระยูไล ๆ จึงจับขังไว้ โทษของมันควรตีเสียให้ตาย พระยูไลเจ้าจึงทรงเทศนาชี้แจงว่าหากขังน้ำไว้เลี้ยงปลาอยู่ เบ็ดตกเข้าในป่าเลี้ยงกวางอยากให้อายุมันยืน พระยูไลแสดงคำอย่างนั้นแล้ว จึงยกชีวิตให้สัตว์ปีศาจนั้น สัตว์ปีศาจนั้นจึงได้รู้ซึ่งคุณของพระยูไลที่ได้รอดชีวิต จึงไหว้บิดาว่าเป็นบิดาของมัน ไหว้ข้าพเจ้าว่าเป็นพี่ของมัน มันจึงทำป้ายจารึกชื่อบิดากับข้าพเจ้าบูชาอยู่เนือง ๆ แต่หาได้รู้ว่ามันเป็นปีศาจยักษ์ร้ายฆ่าคนดังนี้ไม่ ท่านเห้งเจียเที่ยวค้นหาถึงที่อยู่แห่งมันจึงได้ป้ายและหม้อไฟนั้นมาเป็นของกลางดังนี้
   แต่ปีศาจนั้นมันเป็นบุตรเลี้ยงหาได้ร่วมครรภ์แก่ข้าพเจ้าไม่ ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังโลเฉียเล่าเหตุผลต้นปลายดังนั้น จิตใจให้สะดุ้งหวาดเสียวจึงพูดว่า ความจริงบิดาลืมนึกไม่ได้ว่ามันชื่อใด โลเฉียบอกว่ามันมีสามชื่อๆ เดิมนั้นเรียกว่ากิมที้แป๊ะมัวเล่าชิ้วเจีย อีกชื่อหนึ่งเพราะลักกินธูปเทียนดอกไม้เปลี่ยนชื่อเรียกว่า ปั๊วเจี๊ยดกวนอิม บัดนี้อยู่เบื้องใต้เปลี่ยนชื่อว่าตี้ย้งฮูหยิน ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังโลเฉียชี้แจงก็นึกขึ้นได้ จึงวาง​พระเจดีย์ลงแล้วก็เดินมาแก้มัดให้เห้งเจีย เห้งเจียร้องว่าใครจะอาจมาแก้มัดเราได้ เราจะไปเฝ้าเง๊กเซียงฮ่องเต้ทั้งมัดอย่างนี้ พระองค์ทรงทราบเพื่อได้ชำระให้เราจงได้ ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ มือและเท้าก็อ่อนเปลี้ยลงทันที โลเฉียก็ยืนนิ่งไม่รู้ที่ว่าจะพูดประการใดได้ เห้งเจียเห็นได้ทีก็รุกร้นให้ถักทะลีทีอ๋องเข้าไปเฝ้า
   ถักทะลีทีอ๋องสิ้นปัญญาไม่รู้ที่ว่าจะแก้ตัวประการใด จึงอ้อนวอนไท้เป๊กกิมแชให้ช่วยแก้ไขอ้อนวอนเห้งเจีย ไท้เป๊กกิมแชได้ฟังถักทะลีทีอ๋องพูดอ้อนวอนจึงพูดว่า สารพัดการค่อย ๆ อย่ารุกร้นรีบร้อนจะเสียการ ก็นี่ท่านให้จับมัดและเอาดาบมาจะฆ่าเธอ ข้าพเจ้าจะช่วยท่านอย่างไรได้ ถ้าจะคิดไปดูยังบุตรท่านเช่นโลเฉีย ที่พูดว่าบุตรเลี้ยงไม่ใช่บุตรเกิดในอุธรณ์ หากนับบุตเลี้ยงก็ต้องเกี่ยวข้องในวงศ์ญาติ จะปฏิเสธว่ามิใช่ญาติอย่างไรได้ ไท้เป๊กกิมแชพูดพลันก็เดินมาเอามือลูบเห้งเจียพูดว่า ใต้เซี้ยจงเห็นแก่หน้าข้าพเจ้าเถิด แก้มัดเสียก่อนจึงเข้าไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้จึงจะดี เห้งเจียพูดว่าท่านไม่ต้องแก้ ข้าพเจ้าเข้าไปทั้งมัดอย่างนี้ก็ได้ ไท้เป๊กกิมแชพูดว่าทำไมเห้งเจียจึงทำใจจืดดังนี้เล่า
   เมื่อครั้งก่อนข้าพเจ้าก็ได้ทำคุณแก่ท่าน ทีธุระของข้าพเจ้าท่านก็มิได้คิดถึงข้าพเจ้าบ้างเลยจะขอร้องบ้างท่านก็ไม่เชื่อฟังดังนี้ เห้งเจียว่าท่านมีคุณแก่ข้าพเจ้าอะไรที่ไหน ไท้เป๊กกิมแชพูดว่า เมื่อครั้งก่อนข้าพเจ้ากราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ให้ท่านได้ยศถึงซีเทียนใต้เซี้ยมิใช่หรือ ท่านไม่​รักษาตัวจึงได้มีความผิด ข้าพเจ้าจะไม่มีความดีต่อท่านบ้างหรือ เห้งเจียว่าแม้ข้าพเจ้าจะไมทำการวุ่นวายดังนั้น ก็จะมิเสียการใหญ่หรือ เอาเถอะข้าพเจ้าเห็นแก่หน้าท่าน จงบอกถักทะลีทีอ๋องให้แก้มัดเอง ถักทะลีทีอ๋องจึงเดินมาแก้มัดให้เห้งเจีย แล้วก็เชิญให้ขึ้นนั่งบนเก้าอี้กระทำคำนับขอโทษ เห้งเจียจึงพูดแก่ไท้เป๊กกิมแชว่าเหมือนดังข้าพเจ้าพูดหรือไม่ เมื่อแรกก็ทำแข็งแรง ครั้นแล้วก็ต้องอ่อนน้อม ไท้เป๊กกิมแชขอให้ถักทะลีทีอ๋องไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้โดยเร็ว แม้ช้าไปก็จะเสียการของอาจารย์ข้าพเจ้า
   ไท้เป๊กกิมแชจึงบอกแก่ถักทะลีทีอ๋องให้รีบไปเฝ้า ถักทะลีทีอ๋องวิตกเกรงว่าเห้งเจียจะกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ขึ้นก็ไม่มีทางแก้ตัวให้พ้นผิดได้ จนใจไม่รู้ที่จะคิดประการใด จึงอ้อนวอนขอให้ไท้เป๊กกิมแชช่วยแก้ไข ไท้เป๊กกิมแชจึงพูดแก่เห้งเจียว่า ข้าพเจ้าจะขอพูดสักคำหนึ่ง ท่านต้องเชื่อฟังข้าพเจ้า เห้งเจียพูดว่าเชือกก็มัดดาบก็จะลงคอก็ได้เห็นแล้ว เอาเถอะข้าพเจ้าเห็นแก่หน้าท่าน ท่านจะทูลว่ากะไรขอให้ท่านชี้แจงให้ข้าพเจ้าฟังจะว่าประการใด ไท้เป๊กกิมแชพูดว่าซึ่งการฟ้องร้องวันหนึ่งกว่าจะแล้วก็ถึงสิบวัน ข้อที่ท่านกล่าวโทษว่าปีศาจเป็นบุตรถักทะลีทีอ๋อง ๆ ก็มีทางแก้ตัวว่ามิใช่บุตตัวของถักทะลีทีอ๋องคงจะไม่เสร็จได้ในวันหนึ่ง บนสวรรควันหนึ่งในมนุษย์โลกก็เป็นหนึ่งปีแล้ว แม้ว่าปีหนึ่งปีศาจจับถังซัมจั๋งข่มขืนอยู่ในถ้ำ อย่าว่าเป็นผัวเมียกันเลยบางทีจะเกิดบุตรเสียอีก
 เมื่อเป็นดังนี้จะไม่เสีย​การใหญ่ไปหรือ เห้งเจียได้ฟังไท้เป๊กกิมแชพูดดังนั้นก็นิ่งนึกอยู่เป็นนาน แล้วจึงพูดว่าท่านไท้เป๊กกิมแชข้าพเจ้าขอฟังคำท่านว่า จะเข้าเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ขอถอนฟ้องดีหรือ ๆ จะทำประการใดจึงจะดี ขอท่านได้โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบ ไท้เป๊กกิมแชพูดว่าให้ถักทะลีอ๋องเตรียมพลทหารพร้อมด้วยเห้งเจียลงไปปราบจับปีศาจ ข้าพเจ้าจะนำลายพระหัตถ์กลับไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ทรงทราบ เห้งเจียถามว่าท่านจะกลับไปกราบทูลว่ากระไร ไท้เป๊กกิมแชว่าข้าพเจ้าจะกราบทูลว่าโจทย์หนีไปแล้ว ไม่ต้องชำระจำเลย เห้งเจียว่าท่านคิดดีแท้ ๆ กลับจะทูลว่าข้าพเจ้าหนี ถ้าท่านกับข้าพเจ้าจะกลับไปเฝ้าพร้อมกัน ให้ถักทะลีทีอ๋องยกทัพไปคอยอยู่ที่ประตูน่ำทีหมึงจะมิดีหรือ ถักทะลีทีอ๋องได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น มีความสะดุ้งจิตหวาดเสียว จึงพูดแก่ไท้เป๊กกิมแชว่า หากเธอเข้าไปเฝ้ากราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ด้วยข้อละเมิดจะมิเป็นการลุอำนาจมีความผิดหรือ
   เห้งเจียพูดว่าท่านถักทะลีทีอ๋องเห็นว่าเราเป็นอย่างไรหรือ ข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่เมื่อได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว จะมากลับกลายคืนคำเสียนั้นจะหาเป็นไปได้ไม่ ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็มีความยินดีขอบใจเห้งเจีย จึงจัดเตรียมพลทหารพรักพร้อมแล้ว ก็ยกออกไปคอยอยู่นอกประตูน่ำทีหมึง ไท้เป๊กกิมแชกับเห้งเจียก็กลับไปเฝ้ากราบทูลว่า ปีศาจที่จับพระถังซัมจั๋งไปนั้นคือปีศาจ (กิมพี้แป๊ะม้อเล่าชื้อ) แปลว่าหนูเผือกแอบเอาชื่อถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียไปทำการบูชา ถักทะลีทีอ๋องทราบเรื่อง​มีความโกรธบัดนี้ยกทัพไปปราบแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดยกโทษนั้นเถิด ฮ่องเต้ก็ทรงพระอนุญาตให้ เห้งเจียถวายบังคมลาออกจากเล่งเซียวเต้ย ไปยังน่ำทีหมึงเข้าสมทบกับถักทะลีทีอ๋องและโลเฉีย ก็ยกพลโยธาลงมายังเขาฮั้มคังซัว
   ฝ่ายโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งนั่งคอยอยู่ที่ปากถ้ำ แลไปเห็นเห้งเจียกับถักทะลีทีอ๋องและโลเฉียพลทหารเทพบุตรก็ดีใจ เดินมาต้อนรันเชิญมายังปากถ้ำ ถักทะลีทีอ๋องว่าไม่เข้าให้ถึงเสือที่ไหนจะจับลูกเสือได้ ผู้ใดจะเข้าไปก่อน เห้งเจียว่าข้าพเจ้าจะเข้าไปก่อน โลเฉียไทจื๊อว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ได้รับอาญาสิทธิ์ปราบปีศาจ ควรจะต้องให้ข้าพเจ้าเข้าไปก่อน โป๊ยก่ายร้องขึ้นว่าการหัวหน้านั้นข้าพเจ้าจะรับธุระเอง ถักทะลีทีอ๋องจึงพูดว่าท่านทั้งหลายอย่าวุ่นวายกันข้าพเจ้าจะจัดให้ คือให้เห้งเจียกับโลเฉียยกพลลงไป ข้าพเจ้ากับโป๊ยก่ายซัวเจ๋งอยู่คอยระวังที่ปากถ้ำ คอยระวังทั้งสองทางอย่าให้มันหนีได้ เห้งเจียและคนทั้งหลายได้ฟังถักทะลีทีอ๋องชี้แจงดังนั้น ก็พร้อมกันตามคำบัญชาของแม่ทัพ เห้งเจียกับโลเฉียก็ยกพลลงไปในถ้ำ เดินเข้าไปยังที่อยู่ของปีศาจ แล้วแยกย้ายกันเที่ยวค้นหาในถ้ำทุก ๆ แห่ง ก็มิได้เห็นปีศาจยักษ์มารอยู่ที่ไหน
   เห้งเจียออกปากด่าว่าอีมารร้ายเห็นจะหนีออกไปแล้วดอกกระมัง อันถ้ำนี้กว้างขวางนักจะรู้ว่ามันจะไปแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ที่ไหน ก็พากันเที่ยวค้นหาไปจนทั่ว แลไปที่มุมศิลาเห็นมีเป็นชวากเข้าไป แลไปดูในนั้นมืดอยู่ข้างทิศอาคเนย์ ​เข้าไปใกล้เห็นมีประตูน้อยเรือนกระท่อมน้อยหลังหนึ่ง ในบริเวณนั้นก็ปลูกแต่ต้นไม้ที่มีดอกหอม ข้างนั้นมีราวไม้ทอดขวางสองสามอันมีควันขึ้นฉิว ๆ ออกกลิ่นหอม คือนางปีศาจพาพระถังซัมจั๋งเข้ามาแอบอยู่จะใคร่ข่มขืนให้ร่วมประเวณี นางปีศาจจึงพูดถึงเห้งเจียว่าถึงจะลงมาตามก็จะไม่พบ ถ้าลงมาแล้วก็นึกว่าเอาชีวิตมาทิ้งเสียเถิด ข้างฝ่ายพวกบริวารของนางปีศาจ ก็ต่างคนระริกระรี้รื่นเริง
   ขณะนั้นปีศาจน้อยตนหนึ่งออกมามองที่ประตูถ้ำ ก็บังเอิญพบพวกพลทหาร ๆ จึงร้องบอกกันว่า พวกปีศาจมันซ่อนอยู่ในนี้ เห้งเจียได้ยินก็ถือตะบองเหล็กตรงเข้าไปในนั้นอันเป็นที่ช่องแคบ พวกปีศาจอยู่ในนั้นทั้งสิ้น พวกทหารก็กรูกันเข้าไปกั้นไว้ เห้งเจียก็เข้ารับพระอาจารย์และถุงย่ามกับม้าออกไป ฝ่ายนางปีศาจเห็นดังนั้น คิดจะหนีก็ไม่มีทางที่จะไปได้ แลเห็นโลเฉียไทจื๊อก็คุกเข่าลงคำนับอ้อนวอนร้องขอชีวิต โลเฉียจึงพูดว่าเราถืออาญาสิทธิ์มาจับเจ้ามิใช่การเล็กน้อย เพราะเราพ่อลูกได้รับสักการะบูชาของเจ้า จึงได้เกิดเหตุใหญ่ พูดแล้วโลเฉียจึงสั่งให้พลทหารเข้าจับนางปีศาจมัด พาตัวขึ้นมายังปากถ้ำ เห้งเจียก็พาพระอาจารย์กับม้าและถุงย่ามขึ้นมายังปากถ้ำ
   ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องกับโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งแลเห็นโลเฉียและเห้งเจียกลับออกมาก็มีความยินดี เห้งเจียจึงพาอาจารย์มาคำนับถักทะลีทีอ๋อง โป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งจะใคร่ผ่าอกอีปีศาจ ถักทะลีทีอ๋องพูดว่า ซึ่งจะทำ​ดังนั้นหาควรไม่ ด้วยโปรดให้ข้าพเจ้าลงมาจับปีศาจ จำจะต้องนำตัวขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ กราบทูลให้ทราบก่อน ถักทะลีทีอ๋องโลเฉียก็คำนับลาพระถังซัมจั๋งและเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งแล้ว ก็ขับพลรีบเหาะกลับไปยังสวรรค์ พระถังซัมจั๋งก็ขึ้นม้าเก็บข้าวของออกเดินพร้อมกันกับพวกสานุศิษย์ทั้งสาม
The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 6-24 พากย์ไทย

[เล่ม 3] ตอนที่ 57 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๘๐)
 พระถังซัมจั๋งกับศิษย์เดินไปหลายเวลา ในฤดูนั้นเป็นเดือนหกเดือนเจ็ดพิเคราะห์ดูตามแนวป่าชัฏ เห็นต้นไม้ออกดอกฉ้อหอมระรื่นตลอดทาง แลไปข้างหน้าเห็นภูเขาสูง พระถังซัมจั๋งรั้งม้าให้ค่อย ๆ เดินได้ยินเสียงนกร้องอยู่บนเขา พระถังซัมจั๋งมีจิตหวนระลึกถึงบ้านเมืองเดิม เห้งเจียพูดว่าอาจารย์อย่าวิตก จงอุตสาหะตั้งใจตรงไปกว่าจะถึง คำโบราณท่านย่อมว่า จะใคร่ให้มั่งมีก็ต้องอุตสาหะลงพืชเพาะ พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าดังนั้นก็จริง แต่ไม่รู้ว่าไซทีนั้นยังไกลอีกสักเท่าใด โป๊ยก่ายพูดว่าพระยูไลไม่ปลงใจให้พระไตรปิฎก รู้ว่าพวกเราจะมาอาราธนา ข้าพเจ้าคิดดูเห็นจะเลิกเสียแล้ว ทำไมจึงเดินไม่ถึงดังนี้ ซัวเจ๋งว่าพี่ทำไมจึงพูดเลอะเทอะดังนี้เล่า จงอุสาหะตั้งใจตามพี่เห้งเจียไปก็คงมีวันถึงอยู่เอง
   อาจารย์กับศิษย์เดินพลางพูดกันพลาง แลไปก็เห็นดงไม้สนเป็นป่าใหญ่ขวางหน้า เห้งเจียก็ถือตะบองเดินนำหน้าเข้าป่าไม้สน เดินมาได้ครึ่งวันก็ไม่ออกจากดงต้นสน พระถังซัมจั๋งจึงเรียกเห้งเจียมาถามว่า เราเดินมาก็ข้ามพ้นห้วยเขากันดารมาหมดแล้ว ทำไมยังมีป่าใหญ่ขวางหน้าอยู่อย่างนี้ ตั้งแต่มาข้ามห้วยธารภูเขาก็ยังไม่พบที่ร่มรื่นเย็นอย่างนี้เลย ทั้งต้นไม้แลดอกไม้ก็ประหลาดมาก อาตมภาพจะลงหยุดพักสักครู่หนึ่งให้ม้าหายเหนื่อยด้วย เห้งเจียจงไปบิณฑบาตข้าว​มาฉันแล้วจึงค่อยไป เห้งเจียก็มาอุ้มอาจารย์ลงจากม้าลงนั่งพักใต้ต้นสนแล้ว เห้งเจียก็ถือบาตรเหาะขึ้นกลางอากาศแลไปดูรอบทั้งแปดทิศแล้ว แล กลับลงมาที่ดงต้นไม้สน เห็นมีรัศมีออกฟุ้งเฟื่อง เห้งเจียเห็นดังนั้นแล้วก็ร้องขึ้นว่าดีจริง ๆ ในขณะนั้นเห้งเจียแลไปเห็นไอดำฟุ้งฟูขึ้นในดงไม้สน เห้งเจียตกใจคิดเห็นวาไอดำนี้เป็นของร้าย แต่โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ไม่เคยเห็นปล่อยไอดำออกดังนี้ เห้งเจียพิเคราะห์ดูก็ไม่รู้แน่ได้
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งอยู่ใต้ร่มสน ภาวะนาคาถาซิมเกงจิตก็ระงับเป็นปรกติ ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ว่าคนร้องเรียกให้ช่วย คิดว่าเห็นจะเป็นสัตว์ร้ายไล่กัดดอกระมัง จำเราจะไปดูจะเป็นอะไรแน่ จึงลุกขึ้นจากที่เดินเข้าไปใกล้ แลเห็นมีหญิงคนหนึ่งแขวนอยู่บนต้นไม้ พระถังซัมจั๋งถามว่า ท่านสีกามีเหตุอย่างไรจึงมาต้องมัดแขวนอยู่อย่างนี้
   ฝ่ายปีศาจเห็นพระถังซัมจั๋งมาถาม ก็แกล้งทำคร่ำครวญร้องไห้ด้วยมารยาแล้วพูดว่าท่านอาจารย์ข้าพเจ้าอยู่ในเมืองตุ้มปอก๊ก จากนี้ไปประมาณสองโยชน์บิดา มารดาข้าพเจ้าใจบุญ เวลาวันเชงเม้งพาพวกพ้องวงศ์ญาติไปเซ่นไหว้ที่ฮวงจุ้ยฝังศพปู่ย่าตายายนั้น ครั้นพากันมาถึงที่ป่าช้าฝังศพแล้ว ก็ได้ยินเสียงกลองและม้าฬ่อและคนโห่ร้องกึกก้องโกลาหล แลไปก็เห็นพวกหนึ่งหลายคน ต่างคนมีมือถืออาวุธทุก ๆ คนเดินเข้ามา พวกญาติของข้าพเจ้าแลเห็นก็กลัวพากันวิ่งหนีไปหมดสิ้น ข้าพเจ้าตกใจกลัวล้มกลิ้งอยู่กับดิน พวกโจรจึงจับ​เอาไปในป่าเขาที่พักของมัน อ้ายนายโจรที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม เห็นรูปร่างข้าพเจ้าสะสวย ต่างก็ชิงกันอยากได้ไว้เป็นภรรยาไม่ตกลงกัน มันจึงได้เอาตัวข้าพเจ้าผูกไว้ที่นี่ พวกโจรก็พากันไปหมดแต่ข้าพเจ้าถูกมัดแขวนมาอย่างนี้ได้ห้าวันแล้ว เห็นชีวิตข้าพเจ้าจะไม่รอดเป็นแน่แล้ว ชะรอยชาติปางก่อนข้าพเจ้าจะได้ทำกุศลสิ่งใดไว้จึงได้มาพบปะท่านอาจารย์ในวันนี้ ขอท่านได้เมตตาช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้สักครั้งหนึ่งเถิด แม้ข้าพเจ้าได้รอดแล้ว พระเดชพระคุณของท่านข้าพเจ้าจักมิได้ลืมเลย พูดแล้วก็ทำมารยาน้ำตาไหลลงอาบหน้าสะอึกสะอื้นร้องไห้ไม่หยุด
   พระถังซัมจั๋งเป็นผู้มีเมตตาจิต เห็นดังนั้นก็อดไม่ได้พลอยร้องไห้ไปด้วย จึงร้องเรียกซัวเจ๋งกับโป๊ยก่าย ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเวลานั้นไปเที่ยวเก็บผลไม้ดอกไม้ ครั้นได้ยินเสียงอาจารย์ร้องไห้และเรียกตกใจก็พากันวิ่งมาหาอาจารย์ ถามว่าพระอาจารย์มีธุระสิ่งใดหรือ พระถังซัมจั๋งเอามือชี้บนต้นไม้บอกให้โป๊ยก่ายขึ้นไปแก้ลงมา ฝ่ายเห้งเจียอยู่บนกลางอากาศพิเคราะห์ดูก็เห็นไอดำนั้น ยิ่งฟุ้งมากขึ้นกลบบังรัศมีนั้นมืดไป จึงคิดว่าเห็นจะไม่ดีแล้ว ที่ไอดำเป็นกลุ่มดังนี้ จะเป็นปีศาจร้ายเข้าทำร้ายแก่อาจารย์เป็นแน่อันจะไปบิณฑบาตเป็นการเล็กน้อย จำจะต้องลงไปดูอาจารย์เสียก่อนเห็นจะดีกว่า คิดดังนั้นแล้วก็หวนกลับลงมายังพื้น แลเห็นโป๊ยก่ายกำลังแก้มัดให้นางหญิงสาวนั้นอยู่ เห้งเจียจึงเข้าไปยึดใบหูโป๊ยก่ายกระ​ชากลงมายังพื้น โป๊ยก่ายกระโดดลุกขึ้นพูดว่า อาจารย์บอกให้เราช่วยชีวิตคน ทำไมจึงมากระชากเราให้ล้มดังนี้
   เห้งเจียว่าน้องอย่าแก้มัน นั่นคือปีศาจมันแกล้งมาหลอกลวงพวกเรา พระถังซัมจั๋งตวาดว่าอ้ายลิงพูดอะไรอย่างนั้น เขาเป็นผู้หญิงกลับเห็นว่าเป็นปีศาจมารร้ายอะไรที่ไหน เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์ไม่ใช่ เหตุการณ์ทั้งนี้เกี่ยวอยู่ในตัวข้าพเจ้า มันประสงค์จะกินอาจารย์ที่ไหนจะรู้ได้เล่า โป๊ยก่ายก็เคืองบอกแก่อาจารย์ว่า ท่านอย่าเชื่ออ้ายเป๊กเบ๊อุน พระถังซัมจั๋งจึงพูดแก่โป๊ยก่ายว่า หน้าที่ของเห้งเจีย ๆ เคยดูถูกทุก ๆ หนไม่ผิด ถ้าเห็นเป็นปิศาจแน่แล้วเราอย่าไปเกี่ยวข้องแก่มัน จงรีบพากันไปเถิดอย่าไปเป็นธุระแก่มันเลย เห้งเจียก็ดีใจพูดว่าดีแล้วพระอาจารย์ได้รอดชีวิตไม่เป็นไร นิมนต์ขึ้นหลังม้ารีบไปจะได้ออกให้พ้นดงต้นสน ดูที่แห่งใดมีบ้านเรือนผู้คนจึงเข้าไปบิณฑบาตมาให้อาจารย์ฉัน อาจารย์กับศิษย์ก็พากันเดินออกไป
   ฝ่ายหญิงสาวที่แขวนอยู่กับกิ่งไม้นั้น ขยับเขี้ยวเคี้ยวฟันมีความโกรธเป็นอันมาก จึงคิดว่าเราได้ยินมาหลายปีแล้วว่าซึงหงอคงคนนี้มีฤทธาอานุภาพมากนัก ก็สมจริงดังเขาชมและเล่าลือจริง เราอยากได้มาผสมภาคให้สำเร็จเป็นเซียน ไม่รู้เลยว่าเห้งเจียจะรู้เท่ากระทำให้ความคิดของเราไปไม่ตลอด พระถังซัมจั๋งหนีพ้นไปได้เราจะมิต้องลำบากหรืออย่าเลยเราจะลองเรียกดู คิดแล้วปีศาจก็เอาเสียงเป็นสายลมพัดมาเข้าหูพระถังซัมจั๋งว่า ท่านอาจารย์ท่านมาทิ้ง​คนเป็นให้ถึงแก่ชีวิตดังนี้ จะไม่เสียเวลาป่วยการที่จะไปนมัสการพระพุทธเจ้าหรือ แลจะอาราธนาพระไตรปิฎกไปทำไม พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าได้ยินดังนั้น ก็เรียกเห้งเจียให้กลับไปแก้มัดหญิงนั้น เห้งเจียถามว่าทำไมจึงมีจิตคิดถึงผู้หญิงดังนี้เล่า พระถังซัมจั๋งบอกว่าหญิงนั้นร้องให้ช่วย แลเธอพูดถูกต้องว่าทิ้งคนเป็นให้ตายไม่ช่วย จะไปไหว้พระอาราธนาธรรมมาทำไม ช่วยชีวิตมนุษย์ได้รอดตายคนหนึ่ง ก็กุศลยิ่งกว่าเอาแก้วมณีสร้างพระเจดีย์เจ็ดชั้น เห้งเจียจงไปช่วยแก้มัดเถิด
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าพระอาจารย์คิดถึงเมตตาจิตขึ้นมา เราก็ไม่มีอะไรจะแก้ท่าน ท่านอยากจะไปแก้มันก็ตามใจเถิด ข้าพเจ้าไม่อาจห้าม ได้ห้ามท่านครั้งหนึ่งแล้วท่านก็ดุเอาข้าพเจ้า ท่านจะไปแก้ก็นิมนต์ไปเองเถิด พระถังซัมจั๋งโกรธด่าว่าอ้ายลิงพูดมากนักเจ้าไม่ไปก็จงนั่งคอยอยู่ที่นี่ เรากับโป๊ยก่ายไปแก้ลงแล้วจึงค่อยไป พระถังซัมจั๋งกับโป๊ยก่ายก็กลับเข้าดงไปแก้นางปีศาจลงมาแล้ว นางก็มีความดีใจผุดลุกขึ้นทำกิริยาชดช้อยเดินตามพระถังซัมจั๋งออกมาพ้นดงพบกับเห้งเจีย ๆ แล้วเห็นดังนั้นก็หัวเราะ พระถังซัมจั๋งขัดใจจึงด่าว่าอ้ายลิงเองหัวเราะเยาะเราทำไม เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้ามิได้หัวเราะเยาะพระอาจารย์ หัวเราะว่าพระอาจารย์สิ้นเคราะห์มาพบเนื้อคู่ที่รูปงามดังนั้นดอก พระถังซัมจั๋งตวาดว่าอ้ายลิงพูดเลอะเทอะ อาตมภาพมิได้หลงไหลเห็นแก่รูปเสียงกลิ่นรสความสัมผัสถูกต้อง
   เห้งเจียว่าพระอาจารย์ยังไม่เข้าใจท่านเคยบวชมาแต่เล็ก เคยดูแต่​พระคัมภีร์พุทธศาสนา มิได้เข้าใจในกฎหมายของบ้านเมืองไม่ เหมือนคนนี้มีรูปลักษณ์งามดังนี้ ส่วนท่านเป็นชีบาณาสงฆ์ มาเดินร่วมทางแก่สตรีในป่าดังนี้ ถ้าพบปะคนที่เป็นพาลมันจะจับไปยังโรงศาลเขาไม่เกรงว่าเป็นคนไปอาราธนาพระธรรม หรือไปไหว้พระอะไรเขาจะลงโทษว่าเป็นชู้กัน ก็จะเฆี่ยนตีเอา แม้ว่าเราไม่ได้มีจิตคิดกระทำเช่นนั้นก็จริง แต่จะได้ใครมาเป็นพยานในข้อความที่บริสุทธิ์ของเรา จะไม่พลอยพาพวกพ้องป่นปี้ไปด้วยหรือ พระถังซัมจั๋งเห็นเห้งเจียชี้แจงดังนั้น จึงพูดว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ เราช่วยเขาให้พ้นทุกข์ได้รอดชีวิต แลกลับมามีโทษแก่เรานั้นจะไม่เป็นไปได้ จงพาเธอไปเถิดธุระการอยู่แก่เราเอง เห้งเจียพูดว่าอาจารย์เป็นธุระช่วยเธอก็จริง แต่กลับไปให้ร้ายเธอเสียอีกพระอาจารย์ก็ยังหารู้สึกไม่
   พระถังซัมจั๋งถามว่า ทำไมจึงว่ากลับให้ร้ายเธออย่างไร อาตมายังไม่เข้าใจ เห้งเจียว่านางถูกมัดแขวนอยู่นั้น บางทีห้าวันเจ็ดวันก็จะตาย บัดนี้ท่านอาจารย์พานางมาดังนี้ อาจารย์ก็ขี่ม้าเดินเร็วพวกข้าพเจ้าตามหลังไป ก็หญิงคนนี้มีเท้าอันเล็กเดินตามคงไม่ทัน ทิ้งให้เธอล้าหลังอยู่ บางทีจะไปพบสัตว์ร้าย ก็จะขบกัดกินเป็นอาหาร ดังนี้จะไม่เรียกว่าให้ร้ายแก่เธอหรือ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่า ท่านพูดดังนั้นก็จริงอยู่ ถ้ากระนั้นขอให้เห้งเจียช่วยคิดอย่างไรจะดี เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า อุ้มเอานางขึ้นม้าไปด้วยก็แล้วกัน พระอาจารย์จะต้องวุ่นอะไรไปอีกเล่า พระถังซัมจั๋งพูดว่า​เห้งเจียเอาอะไรมาพูดดังนี้ ผู้หญิงจะขี่ม้าได้หรือ อย่ากระนั้นเลย อาตมจะลงเดินไปก็ได้ ให้โป๊ยก่ายค่อย ๆ จูงม้าเดินไป เห้งเจียยิ่งหัวเราะใหญ่แล้วพูดว่า เจ้าหมูได้สบายแล้ว อาจารย์ให้เจ้าจูงม้าไป
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า อย่าพูดให้เลอะเทอะไป คำโบราณท่านย่อมว่าม้าวิ่งไปพันโยชน์คนที่ไหนจะตามทัน ให้โป๊ยก่ายค่อย ๆ จูงม้าไปพวกเราจะได้เดินข้ามเขาลงไปที่ลาด บางทีจะมีบ้านหรือวัดที่มีคนอยู่ พวกเราได้ชื่อว่าช่วยชีวิตคนไว้ เห้งเจียพูดว่าอาจารย์คิดดังนั้นก็ถูกต้องนิมนต์อาจารย์รีบไปเถิด พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็ออกเดิน ซัวเจ๋งก็หาบของ โป๊ยก่ายก็จูงม้าเห้งเจียถือตะบองออกนำหน้าหญิงเดินไป
   เดินมาได้ประมาณสักห้าสิบเส้น ตะวันก็รอนลงแลไปข้างทางก็เห็นตึกกว่านบ้านเรือนห้องหออยู่เรียงราย พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ที่ตำบลนี้คงจะเป็นที่วัดวาอาราม เราพากันเข้าไปอาศัยพักนอนสักคืนหนึ่งรุ่งเช้าจึงค่อยไป เดินมาประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงหน้าวัด พระถังซัมจั๋งจึงสั่งสานุศิษย์ให้หยุดคอยข้างนอกก่อน อาตมาจะเข้าไปขออาศัยได้แล้วจึงค่อยพากันเข้าไป สานุศิษย์ทั้งสามได้ฟังอาจารย์สั่งดังนั้นก็หยุดคอยอยู่ใต้ร่มไม้ พระถังซัมจั๋งเดินเข้าไปในประตูชั้นนอกแลเขาไปดู เห็นประตูชำรุดหักพังล้มลงอยู่ทั้งนั้นแลเข้าไปในนั้น เห็นกุฎิแถว รกร้างเงียบสงัดไม่มีคนอยู่ มีพระอุโบสถก็พังลงเสียหมดเถาวัลย์หญ้าบอนขึ้นรกรุงรัง พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นให้เกิดความสังเวชสลดใจลงทันที แข็งใจขืนเดินเข้าไปดูที่ชั้นสองแลเห็นหอ กลอง​หอระฆังหักพังเซซวนทรุดโทรมไปทั้งสิ้น มีระฆัง ๆ หนึ่งตกกลิ้งอยู่ที่พื้นดิน ครึ่งหนึ่งอยู่ข้างบนดูขาวดุจน้ำมวกครึ่งหนึ่งจมอยู่ใต้ดินมีสีเขียวดุจคราม เพราะจมดินอยู่สนิมจับจึงได้เป็นดังนั้น
   พระถังซัมจั๋งก็เอามือลูบคลำได้ยินเสียงดังหง่างขึ้นทีหนึ่ง พระถังซัมจั๋งตกใจเซล้มลงกับพื้น แต่ที่จริงในวัดนั้นมีเต้าหยินอยู่คนหนึ่ง เมื่อเห็นคนเข้ามาในวัด จึงเอาอิฐก้อนหนึ่งปาไปถูกระฆังจึงได้ดัง พระถังซัมจั๋งจึงร้องเรียกว่าระฆังเอ๋ย ทางไซทีนี้นานวันไม่มีผู้ใดมาถึงจึงได้เกิดปีศาจขึ้นดังนี้หรือ เต้าหยินคนนั้นเดินมาพยุงพระถังซัมจั๋งให้ลุกขึ้นแล้วพูดว่า มิใช่เหตุระฆังนั้นเป็นปีศาจดอก ข้าพเจ้าปาอิฐมาถูกระฆังจึงได้ดังขึ้น พระถังซัมจั๋งเงยหน้าขึ้นดู เห็นหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว จึงถามว่านี่เป็นปีศาจหรือ อาตมาไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนคนทั้งหลาย อาตมภาพมาจากเมืองใต้ถัง สานุศิษย์ที่มาด้วยล้วนแต่มีฤทธิ์เดชเชี่ยวชาญปราบมารร้ายได้ ถ้าไปเกี่ยวข้องถึงเธอเข้าแล้วเห็นชีวิตจะไม่รอด เต้าหยินผู้นั้นคุกเข่าลงกราบไหว้แล้วพูดว่า ข้าพเจ้ามิใช่ ผี ปีศาจร้ายอะไรดอก ข้าพเจ้าเป็นคนสำหรับจุดธูปเทียนบูชาอยู่ในนี้ ได้ยินเสียงท่านอาจารย์จะใคร่ออกมาเชิญ ก็กลัวผีหลอกจึงเก็บเอาอิฐปาระฆังให้ดังมีเสียงขึ้น พอเอาเสียงเป็นเพื่อนจึงได้กล้ามา นิมนต์ท่านเข้าไปข้างในเถิด
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งได้ฟังเต้าหยินพูดดังนั้น ก็ค่อยวางใจหายหวาดหวั่น ​เต้าหยินก็พาพระถังซัมจั๋งเดินเข้าไปยังประตูชั้นสามพระถังซัมจั๋งจึงพิเคราะห์ดูเห็นไม่เหมือนชั้นนอก มีประดับด้วยแก้วมณีและโมราและลายทองสลับ เขียนมีรูปต่าง ๆ ตามฝาตามห้องดูสว่างไสว เครื่องโต๊ะล้วนแต่แก้ววิเศษ พระถังซัมจั๋งดูแล้วจึงถามเต้าหยินว่าข้างนอกนั้นดูรกเรี้ยวรุงรังน่ากลัว ทำไมในนี้จึงประดับประดางดงามอย่างนี้ด้วยเหตุอะไร เต้าหยินหัวเราะแล้วบอกว่า ที่ตำบลเขานี้มีปีศาจผีร้ายชุกชุม และทั้งโจรผู้ร้ายก็มาก ถ้าท้องฟ้าสว่างก็ออกตีชิงวิ่งราว เดือนมืดก็เข้าหาที่อาศัยหน้าวัด พระประธานก็ยกทิ้งไว้ข้างหนึ่ง เอาไม้มาใส่ไฟหุงต้มอะไรกิน พระสงฆ์ในวัดก็ไม่มีผู้ใดออกต้านทานได้ ก็ทิ้งโบสถ์นั้นให้โจรอาศัยอยู่ตามสบาย พระถังซัมจั๋งว่าถ้ากระนั้นที่ตรงนี้ก็เป็นที่สำนักกลาง แลขึ้นไปดูที่บนประตูก็เห็นมีหนังสือใหญ่อยู่ห้าตัว คือวัด (ติ๊นไฮ้เสียนลิมยี่)
   พระถังซัมจั๋งก็เดินเข้าไปข้างในแลเห็นพระสงฆ์เดินออกมาองค์หนึ่ง คือไปทางไซทีนี้ มีนามเรียกว่าพระสงฆ์พิเบ๊เจง เธอเดินออกมาเห็นพระถังซัมจั๋งคิ้วดำตาก็สวย หน้าผากกว้างรูปพรรณลักษณะได้ตำราทุกอย่าง ดูดุจพระอรหันต์ จึงจับมือพามาที่กุฎิใหญ่กระทำคำนับแล้วถามว่า ท่านอาจารย์จะไปข้างไหนหรือจึงได้มาถึงนี่ พระถังซัมจั๋งตอบว่า อาตมอยู่เมืองใต้ถังมีรับสั่งพระเจ้าถังไทยจงฮ่องเต้ ให้ไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมยังวัดลุ่ยอิมยี่ มาถึงที่นี่เป็นเวลาจวนค่ำ จะขออาศัยพักสักคืนหนึ่งรุ่งเช้าจะลาไปขอท่านได้กรุณาด้วย ​ฝ่ายพระสงฆ์นั้น ครั้นได้ฟังพระถังซัมจั๋งบอกดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ไม่ควรพูดดังนี้ให้เสียวาจา เราเป็นสาวกพระพุทธเจ้า อย่ากล่าวซึ่งคำศัพท์ลาวาจา พระถังซัมจั๋งพูดว่า อาตมภาพพูดโดยความสัจจริงหาได้กล่าวเท็จไม่ พระสงฆ์นั้นพูดว่า ตั้งแต่เมืองใต้ถังมาถึงนี่ก็ไม่รู้ว่าทางไกลสักเท่าได ทุก ๆ เขาก็มีแต่ปีศาจร้าย ทุก ๆ ถ้ำก็มีแต่ยักษ์มาร อันรูปร่างของท่านก็งดงามบริสุทธิ์ดังนี้ คนเดียวจะไปอาราธนาพระธรรมได้หรือ
   พระถังซัมจั๋งตอบว่า ท่านอาวุโสเห็นอาตมภาพผู้เดียวที่ไหนจะมาได้ อาตมภาพมีศิษย์ถึงสามคน ถ้าพบเขาขวางก็ตัดทางไป หากพบแม่น้ำกว้างก็ทำสะพานข้ามไป สานุศิษย์คอยป้องกันรักษาอาตมภาพมาจึงมาได้ พระสงฆ์องค์นั้นถามว่า ก็สานุศิษย์ทั้งสามนั้น บัดนี้อยู่ที่ไหนเล่า พระถังซัมจั๋งว่ายืนคอยอยู่ข้างนอกประตู พระสงฆ์นั้นตกใจจึงพูดว่าท่านอาจารย์ยังไม่ทราบที่ตำบลนี้ มีสัตว์เนื้อเสือร้ายชุกชุมนัก ทั้งปีศาจ ผีร้ายก็มากมักจะคอยทำร้ายคน แต่เวลากลางวันยังไม่กล้าออกไปเที่ยวไกล ตะวันชายบ่ายก็ปิดประตูหน้าต่าง แล้วเวลาก็จวนค่ำคนอยู่ข้างนอกไม่ได้ จึงเรียกสานุศิษย์ให้รีบออกไปเชิญเข้ามาเดี๋ยวนี้
   เด็กสองคนได้ยินอาจารย์สั่งก็รีบออกไป แลเห็นเห้งเจียก็ตกใจล้มคว่ำล้มหงาย เหลือบไปเห็นโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งมือและเท้าก็อ่อนเปลี้ยไปหมด เด็กทั้งสองอุตส่าห์แข็งใจวิ่งกลับเข้ามาข้างในบอกแก่พระถังซัมจั๋งอาจารย์ว่า เห็นจะไม่เป็นการ ศิษย์ของท่านไม่เห็น ๆ แต่ปีศาจสาม​สี่คนยืนอยู่ที่ประตู พระถังซัมจั๋งถามว่ารูปร่างเป็นอย่างไร เด็กบอกว่าคนหนึ่งรามสูรย์ คนหนึ่งปากยาว คนหนึ่งหน้าเขียว แลมีหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างสะสวย พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะพูดว่าหนูยังไม่รู้จัก สามคนที่หน้าตาดุร้ายนั้น คือศิษย์ของอาตมภาพเอง ยังหญิงคนนั้นอาตมภาพช่วยชีวิตเธอที่ในป่าสนนั้น เด็กทั้งสองถามว่า ท่านอาจารย์รูปร่างงามดังนี้ทำไมจึงพาศิษย์รูปร่างดุร้ายอย่างนั้นมาด้วยเล่า พระถังซัมจั๋งบอกว่ารูปร่างไม่สวยไม่งามก็จริงแต่ต้องธุระอาศัยเธอกระทำให้สำเร็จได้ จงรีบไปเชิญเธอเข้ามาในนี้เถิด ถ้ารอช้าไปหน้ารามสูรย์นั้นจะมุทะลุวุ่นวายขึ้นมาจะเกิดเหตุ
   เด็กทั้งสองได้ฟังดังนั้น ก็วิ่งออกไปร้องเรียกว่า ท่านทั้งสามที่คอยอยู่นั้น ท่านอาจารย์ถังซัมจั๋งให้เชิญเข้าไปข้างใน โป๊ยก่ายก็จูงม้าซัวเจ๋งก็ยกหาบเห้งเจียก็ถือตะบองคุมนางหญิงนั้นพร้อมกันเดินเข้าไป ครั้นถึงประตูที่สามก็วางหาบผูกม้าแล้วก็พากันขึ้นบนกุฎิใหญ่ มาทำคำนับพระสงฆ์เจ้าอารามแล้ว ต่างก็นั่งที่ตามสมควร พระสงฆ์เจ้าอารามก็เข้าไปพาพระสงฆ์เจ็ดแปดสิบรูปมาคำนับกันแล้ว จึงให้ศิษย์วัดยกน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยงกัน แล้วจุดโคมไฟสว่าง
รูปภาพ ; นางแป๊ะม้อเล่าชื้อนี้ กำเนิดเดิมเป็นสัตว์หนูเผือกอยู่เขาเล่งซัว เที่ยวลักของในวัดกิน พระพุทธเจ้าปรับโทษ จึงได้หลบหนีมาเป็นปีศาจคอยสกัดจับพระถังซัมจั๋ง เห้งเจียไปทูลความแก่เง็กเซียงฮ่องเต้ เง็กเซียงฮ่องเต้ให้ลี้ทีอ๋องกับโลเฉียลงมาจับตัวนางปีศาจพากลับไปบนสวรรค์ พระถังซัมจั๋งจึงได้ออกพ้นไปได้
(บทที่ ๘๑)
 พระสงฆ์ทั้งหลายก็มาไต่ถามซึ่งเหตุไปอาราธนาธรรม บางพวกก็อยากมาดูหญิงสาวนั้น พากันมานั่งแออัดในกุฎิใหญ่ พระถังซัมจั๋งถึงถามพระสมภารว่า พรุ่งนี้อาตมภาพจะลาไปจากที่นี่ หนทางที่จะไปต่อไปนั้นจะเป็นประการใดบ้าง
   สมภารได้ยินถามดังนั้น ก็คุกเข่าลงกับพื้น พระถังซัมจั๋งเห็น​ดังนั้นก็ตกใจ ลุกมาพยุงให้ลุกขึ้นแล้วถามว่า อาตมถามถึงหนทางที่จะไปไซที ทำไมจึงได้คุกเข่ากราบไหว้ดังนี้ทำไม สมภารจึงบอกว่าหนทางที่จะไปนั้นเรียบร้อยไม่เป็นที่ทุกข์ใจมิได้ แต่ยังมีธุระอย่างหนึ่งจะไม่เป็นปรกติ ด้วยท่านอาจารย์นอนอยู่ในกุฎิใหญ่ สานุศิษย์ทั้งสามนอนในห้องก็ควรแล้ว ยังไม่ทราบว่านางสาวน้อยจะไปนอนที่ไหนจึงจะดี พระถังซัมจั๋งพูดว่า ท่านอาจารย์อย่ามีความวิตกจิตคิดสงสัยพวกอาตมาเลย ที่จะคิดผิดกิจไปนั้นหาเป็นไปได้ไม่ เมื่อเวลาเช้าเดินตัดดงไม้สนมาก็มาพบหญิงคนนี้ ผูกมัดอยู่บนต้นไม้ร้องเรียกให้ช่วยอาตมามีจิตกรุณา จึงให้สานุศิษย์แก้ลงมานางจึงได้ตามมาจนถึงนี่ ก็สุดแต่ท่านจะให้ไปนอนที่ไหนก็ตามเถิด พระสมภารได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าอาจารย์มีอุเบกขาเพิกเฉยดังนั้น อาตมาจะขอจัดที่ ๆ นอกประตูให้นางไปพักข้างนอกเห็นจะดีดอกกระมัง พระถังซัมจั๋งว่าควรแล้วดีแล้ว สมภารจึงเรียกสานุศิษย์ให้พานางไปพักข้างนอก ฝ่ายพระถังซัมจั๋งพักอยู่ที่กุฎิใหญ่ได้เวลาแล้ว พระสงฆ์ทั้งหลายก็ลากกลับไปที่อยู่แห่งตน
   พระถังซัมจั๋งจึงสั่งสานุศิษย์ทั้งสามให้ไปนอนจะได้ตื่นแต่เช้า ๆ เวลานั้นก็นอนเงียบทุก ๆ คน พอรุ่งแจ้งเห้งเจียก็ลุกขึ้นก่อน เรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งรวบรวมข้าวของใส่หาบแล้วจึงมาปลุกอาจารย์จะได้ออกเดินแต่เช้าเวลานั้น พระถังซัมจั๋งนอนหลับ เห้งเจียเข้าไปใกล้ร้องปลุกด้วยเสียงอันดัง พระถังซัมจั๋งยกศรีษะขึ้นแล้วหลับไปอีก เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงร้องถามว่า อาจารย์เป็นอะไรไปหรือ พระถังซัมจั๋งบอกว่า ศรีษะให้หมุนเวียนตาก็ให้มืดมัวไป ให้​เจ็บปวดไปทั้งตัวไม่รู้ว่าเป็นอะไร โป๊ยก่ายเอามือจับตัวอาจารย์ดูทั่วกายมีไอออกร้อน โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว เมื่อวานนี้เห็นพระอาจารย์เดินมากมายและถูกแดดลม จึงได้มีโรคไม่สบายดังนี้ พระถังซัมจั๋งว่าไม่ใช่ดังนั้น คือเมื่อคืนนี้ลุกขึ้นไปเบามิได้ใส่เสื้อ นึกดูเห็นจะถูกลมเข้าจึงได้เป็นดังนี้ เห้งเจียถามว่า ถ้าดังนี้จะเดินไปได้หรือ
   พระถังซัมจั๋งว่า แต่จะลุกขึ้นยังไม่ได้ จะเดินไปยังไงได้เล่า เห้งเจียว่าพระอาจารย์ตัวยังไม่ปรกติ จงหยุดพักอยู่สักสองสามวันให้สบายก็จะได้ เป็นอะไรไปเล่า พวกข้าพเจ้าคอยระวังรักษาอาจารย์อยู่จะเป็นทุกข์อะไรที่ไหน พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงว่าสานุศิษย์พูดดังนั้นก็ถูกแล้ว เราจงหยุดพักที่วัดนี้ก่อนพอให้หายดีแล้วจึงค่อยไป ก็ชวนกันหยุดพักอยู่ในวัดนั้นได้สามวันแล้ว พระถังซัมจั๋งเรียกเห้งเจียมาพูดว่า ไม่สบายไปสองวันมิได้ถามถึงนางนั้น มีผู้ใดให้ข้าวปลาอาหารกินหรือเปล่า เห้งเจียจึงพูดว่าพระอาจารย์อย่าเป็นทุกข์ถึงผู้อื่นเลย จงระวังรักษาแต่ตัวเราเถิด พระถังซัมจั๋งเรียกให้เห้งเจียมาพยุงลุกขึ้น แล้วก็ให้เอากระดาษและพู่กันมา และขอยืมที่ฝนหมึกในวัดมาด้วย เห้งเจียถามว่าจะเอากระดาษและพู่กันมาทำไม พระถังซัมจั๋งว่า อาตมจะทำหนังสือฉบับหนึ่งใส่ซองเดียวกับหนังสือเดินทาง เห้งเจียช่วยเอาไปถวายพระเจ้าถังไทยจงฮ่องเต้ ยังเมืองใต้ถังให้พระองค์ทรงทราบเหตุ เห้งเจียว่าการทั้งนี้ไม่ยากอะไร การอื่นข้าพเจ้าไม่ถนัด ถ้าการจะไปส่งหนังสือดังนี้ข้าพเจ้าถนัดเป็นที่หนึ่ง ด้วยข้าพเจ้าหกขะเมนตีลังกาไปทีหนึ่งก็ถึงเมืองใต้ถัง นำหนังสือเข้าไปถวายพระ​เจ้าถังไทยจงฮ่องเต้แล้วก็หกขะเมนกลับมาหาอาจารย์ น้ำหมึกไม่ทันจะแห้ง แต่ยังไม่ทราบว่าอาจารย์จะฝากหนังสือไปทำไม ในใจความนั้นว่ากระไรขอให้อาจารย์อ่านให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าจะได้รู้เรื่องด้วยบ้าง
   พระถังซัมจั๋งน้ำน้ำตาไหลลงพรั่งพรายแล้วพูดว่าในใจความว่า คืออาตมาสงฆ์เหี้ยนจึง ขอถวายพระพรมายังมหาบพิตรพระราชสมภารสมเด็จพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ทรงทราบ ด้วยอาตมภาพได้รับ ๆ สั่งออกจากเมืองใต้ถังแล้วก็ตั้งหน้าตั้งใจตรงไปยังประเทศไซทีเขาเล่งซัว อันความคับแค้นทุกข์ยากในระยะทางกันดารนั้น สุดที่จะรำพันให้สิ้นสุดได้ บัดนี้มาถึงครึ่งทางก็บังเอิญมาป่วยลง การที่จะไปต่อนั้นก็เป็นการยากที่สุดที่จะไปได้ เพราะทางนั้นยังลึกลับไกลนัก เห็นชีวิตอาตมภาพจะไม่พอไปได้ ขอพระองค์ได้ทรงทราบ เห้งเจียครั้นได้ฟังสำเนาความในหนังสือดังนั้นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ จึงพูดว่าพระอาจารย์ไม่เป็นการเสียแล้ว เจ็บป่วยนิดหน่อยเท่านั้นยังหาควรจะคิดดังนี้ไม่ แม้ว่าเจ็บป่วยมากมายประการใดก็ควรจะบอกกล่าวให้ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้ายังสามารถแก้ไขได้อยู่บ้าง และจะถามว่าพระยามัจจุราชพระองค์ไหนอาจมามีจิตคิดขึ้นดังนี้ และสมุห์บัญชีเมืองผีคนใดอาจมีหมายมาจับ และยมบาลคนใดอาจจะนำหมายมาจับ
   แม้ว่ามีจิตหมิ่นประมาทกระทำให้ร้อนถึงข้าพเจ้า ๆ จะยกสันฐานร้ายขึ้นดังเมื่อครั้งทำจลาจลบนสวรรค์ ถือตะบองตีขะนาบลงไปยังพระยามัจจุราชเงียมฬ่ออ๋อง จับเอาตัวมาชักเอาเอ็นออกลอกหนังทำให้สาหัส พระ​ถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมาก็ป่วยมีอาการมากหนักใจอยู่ อย่าพูดอวดโตไปนักเลย โป๊ยก่ายพูดว่าพระอาจารย์มีอาการป่วยมาก เราจัดแจงเตรียมโลงไว้สำหรับใส่ศพพระอาจารย์เถิด เห้งเจึย์ได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็ด่าว่าอ้ายชาติหมูพูดอะไรอย่างนั้นเจ้ายังไม่รู้เหตุ พระอาจารย์ของเรานั้น ท่านเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าเดิมเรียกว่ากิมเสี้ยนโพธิสัตว์ เพราะเธอมีความประมาทในพระธรรมจึงได้มารับผลความผิดทรมานทุกข์ในมนุษย์โลกดังนี้
   โป๊ยก่ายถามว่าพี่เห้งเจียพระอาจารย์เธอมีความหมิ่นประมาทพระธรรม จึงได้ไปเกิดที่เมืองใต้ถังให้ตั้งอธิษฐานไปไซทีอาราธนาพระธรรม ได้ทรมานพบปะซึ่งยักษ์ ผี ปีศาจร้ายได้ความทุกข์ต่าง ๆ ก็ควรแล้ว นี่เหตุใดจึงให้ได้ความพยาธิทุกข์ภัยดังนี้เล่า เห้งเจียพูดว่าน้องหาเข้าใจไม่ พระอาจารย์นั้นนั่งฟังพระยูไลแสดงธรรม เวลานั้นเธอง่วงสัปหงกพลั้งเท้าซ้ายพลัดลงเหยียบถูกเมล็ดข้าวหนึ่งเมล็ด เพราะฉะนั้นมาเกิดในมนุษย์โลก จึงต้องปรับโทษเจ็บสามวัน โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงพูดว่า ถ้าดังนั้นข้าพเจ้ากินข้าวทำตกหล่นเรี่ยราดมาก จะรู้ว่าปรับโทษเจ็บนั้นสักเท่าไรชาติจึงจะสิ้นโทษได้ เห้งเจียพูดว่าพระพุทธเจ้าท่านหาได้ปรับโทษแก่สัตว์ทั้งหลายไม่ กรรมของสัตว์ทำก็ให้โทษแก่สัตว์เอง พระอาจารย์ยังป่วยอีกวันหนึ่งก็จะหายไม่เนิ่นช้าดอก
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าวันนี้ไม่เหมือนเมื่อวานนี้ในคอให้ชักแห้งอยากน้ำ เห้งเจียจงไปหาน้ำเย็น ๆ ให้อาตมาสักหน่อยเถิด เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์อยากน้ำจง​คอยข้าพเจ้าจะไปหาน้ำเย็นๆ มาถวาย พูดแล้วก็หยิบเอาบาตรออกไปข้างนอกที่หลังวัด ไปที่โรงครัวเที่ยวหาน้ำเย็น แลเห็นพระสงฆ์องค์หนึ่งนั่งอยู่ สองตาแดง ๆ ดุจร้องไห้ เห้งเจียจึงถามว่าทำไมพวกท่านจึงมีใจอันน้อยอย่างนี้เล่า พวกข้าพเจ้ามาอาศัยสองสามเวลา เมื่อจะไปก็จะคิดเงินให้พอสมควรแก่ค่าป่วยการทำไมจึงทำกิริยาอย่างนี้เล่า หรือวิตกว่าอ้ายปากยาวมันกินมากทำให้เปลืองพวกท่านจึงเสียใจดังนี้หรือ
   ฝ่ายพระสงฆ์องค์นั้น เมื่อได้ฟังเห้งเจียถามจึงตอบว่า อันความจริงที่วัดนี้ก็มีพระสงฆ์หลายร้อยรูป จะเลี้ยงท่านองค์ละวันก็จะเปลี่ยนกันได้หลายร้อยวัน จะอาจคิดป่วยการอะไรที่ไหน เห้งเจียถามว่า ก็ไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว ทำไมจึงมีกิริยาโทมนัสดังนั้นเล่า พระสงฆ์เหล่านั้นพูดว่า ไม่ทราบว่าปีศาจยักษ์ที่ไหนมาอาศัยอยู่ในวัดนี้ คืนนี้สามเณรน้อยสองคนออกไปตีกลองตีระฆังแล้ว ก็ได้ยินเสียงตีกลองตีระฆังแล้ว แต่ไม่เห็นกลับเข้ามาจนสว่างพากันเที่ยวค้นหาก็พบแต่จีวรกับรองเท้าทิ้งอยู่ แล้วไปค้นที่หลังสวนก็เห็นแต่กระดูกกองอยู่ ถ้าหากว่าพวกท่านอยู่ไปอีกสามวัน พวกข้าพเจ้าก็คงจะหมดไปอีกหกคน เพราะฉะนั้นพวกข้าพเจ้าจึงมีทุกข์ร้อนดังนี้ และเห็นอาจารย์ของท่านไม่สบายอยู่ จึงไม่กล้าจะบอกเหตุการณ์อันนี้ จึงได้คร่ำครวญอยู่ดังนี้
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงพูด​ว่าเราเข้าใจอยู่แล้วท่านไม่ต้องพูด ไว้ข้าพเจ้าจะช่วยกำจัดมันให้ พระสงฆ์พูดว่ามันเป็นปีศาจร้ายคงจะเป็นกายสิทธิ์ล่องหนกำบังเปลี่ยนแปลงเหาะเหินได้ ขอท่านอย่าถือโทษว่าข้าพเจ้าดูถูกท่าน ถ้าท่านกำจัดปราบมารร้ายนี้ได้ พวกข้าพเจ้าก็คงพากันมีความสุขทั่วกัน ถ้าหากท่านปราบไม่ลงเห็นจะไม่ได้การ พวกข้าพเจ้าคงจะได้มีความเดือดร้อนมาก เห้งเจียถามว่าทำไมจึงว่าจะไม่เป็นการต่อภายหลังด้วยเหตุอย่างไร พระสงฆ์ทั้งหลายพูดว่าพวกข้าพเจ้าไม่ปิดบังท่าน พวกข้าพเจ้าหลายร้อยก็จริงแต่บวชตั้งแต่เล็กมา ถือตามข้อห้ามตามวินัย หาได้เรียนวิชาปราบผีปีศาจมารร้ายไม่ หากท่านจับมันไม่ได้ ก็จะพาให้พวกข้าพเจ้าเป็นเหยื่อมันไปด้วยกันทั้งสิ้น อีกประการหนึ่งพวกข้าพเจ้าก็จะต้องเวียนเกิดเวียนตายในสำนักนี้ก็จะดับสูญสิ้นวิปัสนาไป เพราะฉะนั้นพวกข้าพเจ้าจึงเห็นว่าจะไม่เป็นการต่อภายหลังดังนี้
   เห้งเจียได้ฟังพระสงฆ์พูดดังนั้นก็โกรธ จึงพูดด้วยเสียงอันดังว่า สงฆ์เหล่านี้โง่เขลาไม่รู้จักอะไร พวกท่านรู้เข้าใจได้แต่ว่าพวกปีศาจมันเชี่ยวชาญ ยังหารู้ว่าฤทธิ์เดชอานุภาพของเราเป็นประการใดไม่ พระสงฆ์ทั้งหลายพูดว่าจริงของท่านพวกข้าพเจ้ายังหาทราบไม่ เห้งเจียว่าข้าพเจ้าจะเล่าให้ท่านเข้าใจสักหน่อยหนึ่ง ตัวข้าพเจ้าเดิมอยู่เขาฮวยก๊วยซัวเคยตั้งตัวเป็นใหญ่ และเคยไปทำสงครามบนสวรรค์ที่ปราสาทเล่งเซียวเต้ย เวลาหิวก็เอายาวิเศษของท้ายเสียงเล่ากุนกินเล่น เวลาอยากน้ำก็เอาสุราของเง็กเซียงฮ่อง​เต้กินเล่นเจ็ดแปดถ้วย สองตาเหลือบไปทีหนึ่งบังแสงฟ้าให้มืดมัว ถือตะบองเหล็กอันหนึ่งจะไปมาไม่เห็นร่องรอย จะพูดไปทำไมถึงสัตว์เนื้อเสือร้ายและยักษ์ผีปีศาจทั้งหลายไม่ต้องวิตกทั้งสิ้น ข้าพเจ้าจะจับปีศาจร้ายให้ท่านดูท่านจึงจะเห็นจริง พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียพูดอวดอ้างใหญ่โตดังนั้นก็พากันเชื่อว่าเห็นจะมีฤทธิ์เดชจริง ต่างก็พากันมาคำนับทุก ๆ องค์
   ยังแต่ท่านสมภารองค์เดียวพูดว่าช้าก่อน อาจารย์ของท่านยังไม่สบายอยู่ เรื่องจับปีศาจนั้นขอให้รอก่อน แม้สองข้างสู้รบกันจะพาให้อาจารย์ท่านไม่สบาย เห้งเจียได้ฟังสมภารพูดดังนั้น จึงพูดว่าท่านพูดดังนั้นก็ถูกต้อง ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะเอาน้ำไปให้อาจารย์ฉันแล้วจึงจะกลับมา เห้งเจียก็ยกบาตรน้ำเย็นออกมายังหน้ากุฎิใหม่ เอาน้ำประเคนให้อาจารย์ เวลานั้นพระถังซัมจั๋งกำลังอยากน้ำ จึงรับน้ำมาดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง ดุจน้ำมนต์อันวิเศษพิษไข้ก็สงบค่อยธุเลาลงไปทันที เห้งเจียพิเคราะห์ดูสีหน้าพระอาจารย์เห็นผ่องใส สบาย เป็นปรกติ จึงถามว่าพระอาจารย์จะใคร่ฉันข้าวร้อนหรือ พระถังซัมจั๋งบอกว่าฉันน้ำเย็นเข้าไป ดุจกินยาทิพย์อันวิเศษพิษไข้ทุเลาเบาลงกว่าครึ่ง หากมีน้ำร้อนก็ยิ่งดี เห้งเจียจึงเรียกพระสงฆ์บอกว่าอาจารย์ข้าพเจ้าหายแล้ว ขอท่านได้จัดข้าวร้อน ๆ มาให้อาจารย์ข้าพเจ้าฉันเถิด
   พระสงฆ์เหล่านั้นก็ช่วยกันจัดหาอาหารมาสองสำรับมาตั้งบนโต๊ะ พระถังซัมจั๋งก็มาฉันได้ครึ่งชาม เห้งเจียซัวเจ๋งกินอยู่บนโต๊ะหนึ่ง นอกจากนั้นก็ให้โป๊ยก่ายรับประทาน ครั้นกิน​เสร็จแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่าเรามาอาศัยอยู่ได้กี่วันแล้ว เห้งเจียบอกว่าเรามาอยู่ได้สามวันแล้ว อาจารย์หายแล้วเวลาพรุ่งนี้จึงค่อยออกเดิน พอทุเลา คืนวันนี้ข้าพเจ้าจะจับปีศาจ พระถังซัมจั๋งถามว่าเห้งเจียจะไปจับปีศาจที่ไหน อาตมกาพก็ยังไม่หายดีถ้าจับไม่ได้เกิดวุ่นวายขึ้นจะไม่เดือดร้อนถึงอาตมภาพด้วยหรือ เหตุไฉนเห้งเจียจึงมาคิดการเช่นนี้ขึ้น เห้งเจียว่าพระอาจารย์ทำไมจึงพูดล้างอำนาจข้าพเจ้าดังนั้นเล่า อาจารย์เคยเห็นหรือว่าข้าพเจ้าพ่ายแพ้แก่ปีศาจพวกใด มาถึงไหนก็กระทำให้ปีศาจอ่อนน้อมได้ทุกครั้งมิใช่หรือ เว้นไว้แต่จะไม่ทำเท่านั้น
   พระถังซัมจั๋งยึดเห้งเจียไว้แล้วพูดว่าจะให้ดีแล้ว แม้ถึงแห่งใดก็ผ่อนผันไปตามการ ควรลดหย่อนให้ก็จงลดหย่อนจะเป็นการดีกว่ารุกราน คิดเอาชัยชนะสู้อดใจไม่ได้ เห้งเจียเห็นว่าอาจารย์ทัดทานดังนั้น จึงพูดว่าข้าพเจ้าไม่ปิดบังอาจารย์ ปีศาจนั้นมันอาศัยอยู่ที่นี่มันได้กินคนแล้ว พระถังซัมจั๋งตกใจถามว่า เห้งเจียบอกว่ามันกินคนที่ไหนพวกเราอาศัยที่นี่ได้สามวันแล้ว เห้งเจียมอกว่ามันก็กินสามเณรเสียหกคนแล้ว พระถังซัมจั๋งร้องว่าอนิจจัง หากมันทำร้ายพระสงฆ์ในวัดเราก็เป็นสงฆ์เหมือนกัน อาตมาจะปล่อยให้เห้งเจียไป แต่จงระวังระไวให้ดี เห้งเจียพูดว่าอาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วง เห้งเจียดีใจก็กระโดดออกจากกุฎีใหญ่ ตรงมาที่โบสถ์ใหญ่พิจารณาดู
   เวลานั้นดาวเดือนยังไม่ขึ้นมืด ๆ มัว ๆ และมิใคร่จะเห็นถนัด เห้งเจียก็ร่ายคาถาเป่าไปไฟก็ติดโคมสว่างขึ้น แล้วตีกลองระฆังดัง​สนั่นก้องเสียงขึ้นแล้ว เห้งเจียก็แปลงเป็นสามเณรน้อยมือถือประคำชักสวดมนต์คอยจนแสงเดือนขึ้น เวลานั้นเป็นเวลาสองยามก็ได้ยินเสียงอู้ ๆ มีสายลมพัดมา ได้กลิ่นหอมน้ำอบฉิวฉุนกระทบจมูกชื่นใจ เห้งเจียย่อตัวแลดูก็เห็นนางสาวรูปสวยคนหนึ่ง เดินขึ้นมาบนลานโบสถ์ เห้งเจียปากก็ไม่หยุดแกล้งทำเป็นสวดมนต์เรื่อยไป นางสาวน้อยเข้ามายึดเห้งเจียแล้วถามว่า ท่านสามเณรสวดมนต์อะไร เห้งเจียตอบว่าสวดมนต์ขับปีศาจ นางสาวน้อยพูดว่าคนทั้งหลายเขาหลับหมดแล้ว ยังมาหลงสวดมนต์อยู่ทำไม เห้งเจียตอบว่าสวดเอาบุญทำไมจะไม่สวดเล่า นางปีศาจก็ยื่นแก้มมาเคียงหน้าเห้งเจียแล้วพูดว่า ท่านกับเราจะพากันไปเล่นข้างหลังสวนจะไม่ดีหรือ
   เห้งเจียแกล้งพูดว่านางยังไม่เข้าใจการ นางปีศาจถามว่าทำไมเราจะไม่เข้าใจการเล่าทางไกลร้อยโยชน์ ได้มาประสพพบกันก็เป็นนิสัยกุศลส่งมา คืนวันนี้เดือนก็แจ่มแจ้ง สามเณรกับข้าพเจ้าพากันไปหลังสวนภิรมย์รื่นเริงจะดีกว่าสวดมนต์ เห้งเจียคิดอยู่ในใจว่าสามเณรทั้งหลายที่ให้มันกินเสียนั้น ก็เพราะหลงด้วยการประเวณี โลภลืมศีลและวัตรแห่งตนเสีย มิได้คิดถึงสิกขาบทที่ตนสมาทานถืออยู่ เพราะมันเอารูป เสียง กลิ่น รสมาล่อดังนี้เอง คิดแล้วเห้งเจียจึงพูดว่าสีกานาง ข้าพเจ้าเข้าบวชอายุยังน้อยไม่ทราบในการภิรมย์ร่วมรักนั้นว่าเป็นประการใด นางปีศาจพูดว่า สามเณรจงตามข้าพเจ้าไปเถิดจะแนะนำสั่งสอนให้ เห้งเจียก็อดหัวเราะไม่ได้ จึงพูดว่าถ้ากระนั้นเราจะตามไป จึงเอามือ​เกาะบ่านางเดินไปข้างหลังสวน ครั้นถึงนางปีศาจก็เอาขาเกี่ยวขาเห้งเจียงัดเห้งเจียก็ล้มลงกับพื้น ปากก็ร้องว่าหัวใจ ๆ มือปีศาจก็คว้าจะจับองค์กำเนิดเห้งเจีย เห้งเจียก็นึกรู้ว่าถ้ามันจะกินเป็นแน่ จึงทำวิธีวิชาหกล้ม
   นางปีศาจก็หกล้มลงคว่ำกับพื้น ปากยังร้องว่าหัวใจพี่ทำไมทำให้ข้าพเจ้าหกล้มเล่า เห้งเจียคิดในใจว่าจำเราจะต้องลงมือในเวลานี้จะรอไปเมื่อไรอีกเล่า คิดแล้วก็เผ่นขึ้นแปรกลับเป็นรูปเดิม แกว่งตะบองฟาดลงไปตรงศรีษะปีศาจ ฝ่ายนางปีศาจก็ตกใจว่าสามเณรองค์นี้ทำไมจึงเชี่ยวชาญดังนี้ นางพิเคราะห์ดูโดยละเอียดจึงได้รู้ว่าเห้งเจีย นางก็มิได้นึกครั่นคร้ามชักเกี่ยมออกถือสองมือเข้ารอรับรบแก่เห้งเจียโดยกำลังความสามารถเข้มแข็ง เวลานั้นลมหนาวพัดมาแสงเดือนลับแล้ว เห้งเจียกับนางปีศาจต่างแผลงฤทธิ์รบสู้กัน นางปีศาจเห็นกำลังเห้งเจียมากมายจะเอาชัยชนะมิได้ ก็หลบหลีกหนี เห้งเจียร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อีมารร้ายมึงจะหนีไปข้างไหน จงเร่งมาสารภาพรับผิดอ่อนน้อมเสียโดยดี กูจะไว้ชีวิตให้สักครั้งหนึ่ง
   ฝ่ายปีศาจก็มิได้รอรั้งรีบหนี เห้งเจียไล่กระชั้นตามมาจวนจะทัน นางปีศาจเหลียวมาเห็นจวนตัว ก็ถอดเอารองเท้าปักดอกไม้ข้างซ้ายออกร่ายเวทร้องให้แปลงเป็นรูปนางดุจเดียวกัน สองมือถือเกี่ยมตรงเข้ามารบแก่เห้งเจีย ส่วนตัวนางปีศาจก็บันดาลเปนลมหวนกลับมากุฎิใหญ่ เข้าไปในกุฎิหอบเอาพระถังซัมจั๋งออกมาได้​ก็รบหนีไป พริบตาเดียวก็มาถึงเขาฮ้ามกังซัว ตรงเข้าถ้ำโป๊เต๊ยต๋อง เรียกบริวารปีศาจน้อยทั้งหลาย สั่งให้จัดแจงทำเครื่องโต๊ะจะเลี้ยงกระทำการวิวาหะมงคล
   ฝ่ายเห้งเจียมัวรบกับรูปแปลงจนอ่อนใจ จึงเอาตะบองตีลงไปโดยแรงเต็มกำลัง ถูกรูปแปลงตกลงไปยังพื้นดินกลายเป็นรองเท้าปักอันหนึ่ง เห้งเจียเห็นดังนั้นก็นึกรู้ได้ว่าถูกกลปีศาจ รีบหันกลับมาดูอาจารย์ก็มิได้เห็น โป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งกำลังนอนกรนอยู่คร่อก ๆ และละเมอเพ้อพูดอะไรอยู่ เห้งเจียโกรธดันใจอยู่ไม่รู้ว่าดีร้ายอย่างไร แกว่งตะบองตีขนาบเสียงออกตึงตัง ร้องเรียกว่าจะตีให้ตายอย่าไว้มัน โป๊ยก่ายตกใจผลุดลุกขึ้นหนีไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ซัวเจ๋งเป็นคนอ่อนน้อมเห็นการรุกรานดังนั้นก็คุกเข่าลงพูดว่า พี่เห้งเจียข้าพเจ้าทราบแล้ว พี่อยากจะฆ่าข้าพเจ้าทั้งสอง พี่จึงไม่ไปตามอาจารย์ เห้งเจียพูดว่าเราจะฆ่าเจ้าทั้งสองเสียก่อนแล้ว เราจึงจะไปตามอาจารย์
   ซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า พี่เห้งเจียพูดอะไรอย่างนั้นเล่า หากไม่มีข้าพเจ้าทั้งสองไหมเส้นเดียวจะปักเป็นลายไม่ได้ ม้าและข้าวของหาบคอนใครจะดูแลให้ คำโบราณท่านย่อมว่า ฆ่าเสือจะต้องมีเพื่อน พี่น้องออกสงครามจะต้องช่วยกันระวังระไว พี่จงงดไว้ก่อนซึ่งความโกรธขึ้งนั้น รอสว่างแล้วเราพร้อมกันไปตามอาจารย์จะมิดีหรือ เห้งเจียมีสันดานดุร้ายโทโสมากก็จริงแต่มีสติปัญญารู้จักการผิดและชอบ ครั้นได้ฟังซัวเจ๋งพูดชี้แจง​ดังนั้นก็กลับใจสงบทันที บอกว่าน้องทั้งสองจงลุกขึ้นรอรุ่งแจ้งแล้วจะได้ช่วยกันไปติดตามอาจารย์ โป๊ยก่ายเห็นเห้งเจียหายโกรธแล้วก็แอบมาข้างเห้งเจียพูดว่า ซึ่งการทั้งนั้นอยู่แก่ตัวข้าพเจ้าพี่อย่าวิตก พูดดังนั้นแล้วพี่น้องก็นั่งคอยอยู่จนสว่างมิได้หลับนอน ครั้นสว่างแล้วก็จัดแจงข้าวของใส่หาบจะออกเดิน
   ฝ่ายพระสงฆ์ในวัดถามว่า พวกท่านจะไปข้างไหน เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าอย่าพูดไม่ดี เมื่อวันวานนี้พูดคุยอวดแก่ท่านทั้งหลายว่า จะช่วยจับปีศาจร้ายยังหาทันจะจับไม่ มันกลับมาจับเอาอาจารย์ไปเสียแล้ว พวกข้าพเจ้าจะพากันไปเที่ยวค้นหาอาจารย์ พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังก็ตกตะลึงพูดว่า การก็นิดเดียวทำไมจึงให้ร้ายถึงอาจารย์ดังนี้เล่า แล้วถามว่าท่านจะไปตามหาที่ไหน เห้งเจียบอกว่ามีที่จะไปตามหาได้ พระสงฆ์ทั้งหลายก็พากันจัดแจงยกข้าวมาสองสามกระถางทั้งกับข้าวด้วย เห้งเจียซัวเจ๋งกินอิ่มแล้ว โป๊ยก่ายกินทีหลังก็เก็บกวาดกินจนหมดสิ้น ครั้นเสร็จแล้วโป๊ยก่ายพูดว่าขอบใจท่านทั้งหลายมาก ๆ ข้าพเจ้าไปตามอาจารย์มาได้แล้ว จะกลับมาหาท่านเล่นให้สนุก เห้งเจียถามว่าอ้ายหมูจะกลับมาเล่นข้าวสุกเขาอีกหรือ
   พูดแล้วเห้งเจียให้โป๊ยก่ายไปดูที่นอกประตูว่านางปีศาจนั้นอยู่หรือเปล่า พระสงฆ์ทั้งหลายบอกว่าท่านมาที่นี่คืนที่สองก็ไม่เห็นแล้ว เห้งเจียได้ฟังพระสงฆ์บอกดังนั้นก็เข้าใจแน่ จึงลาพระสงฆ์ทั้งหลายแล้วก็ให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งจูงม้ายกหาบออกจากวัด เดิน​กลับไปทางทิศตะวันออก โป๊ยก่ายถามว่าทำไมจึงกลับไปทางทิศตะวันออกเล่า จะไม่ผิดทางไปดอกหรือ เห้งเจียพูดว่าเจ้าที่ไหนจะรู้เหตุ คือเมื่อวันก่อนเดินมาในดงไม้สน พบหญิงสาวที่ผูกแขวนอยู่กับต้นไม้ เราว่าปีศาจยักษ์พากันขืนว่าเป็นคนดี บัดนี้กินสามเณรในวัดเสียนั้นคือมัน ลักพาเอาอาจารย์ไปก็คือมันมิใช่คนอื่นเลย บัดนี้จะต้องกลับไปตามทางเก่า โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้นก็เห็นจริง จึงรีบพากันเดินตรงมายังดงต้นสนค้นหาอาจารย์
   ครั้นมาถึงดงต้นสนแล้วก็พากันเที่ยวค้นหาอาจารย์ก็มิได้เห็น เห้งเจียชักตะบองออกแกว่งแปลงเป็นสามเศียร หกกร มือทั้งหกถือตะบองมือละอัน ฟาดซ้ายตีขวาเสียงดังสนั่นลั่นก้องโกลาหล โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็บอกแก่ซัวเจ๋งว่า พี่เห้งเจียแกหาพระอาจารย์ไม่เห็นก็คลั่งตีวุ่นวายไปดังนั้น เมื่อเห้งเจียตีซ้ายป่ายขวาอยู่ดังนั้น มีตาเฒ่าสองคนผลุดโผล่ออกมา คือเจ้าเขาคนหนึ่งพระภูมิคนหนึ่งมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเห้งเจียแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าเจ้าเขาเจ้าที่มาหา ถ้าตีอีกสักพักหนึ่งดูเหมือนเจ้าอะไรก็ต้องมาหา เห้งเจียจึงถามเจ้าเขาเจ้าที่ว่า ตัวอยู่ที่นี่เป็นนิตย์คุมสมัครพรรคพวกกับอ้ายพวกคนร้าย แม้ว่าได้สิ่งของเงินทองมา ก็ซื้อเหล้าเข้าหมูเป็ดไก่ไหว้เซ่น คบคิดกันแก่พวกปีศาจร้าย ลอบลักเอาอาจารย์ของเรามาซ่อนไว้แห่งใด จงรีบบอกมาโดยจริงเราจะยกโทษให้ ถ้าหา​ไม่ก็จะตีเสียให้ตาย
   เจ้าเขาและพระภูมิเจ้าที่ได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็มีความสะดุ้งตกใจกลัว พูดว่าท่านใต้เซียเห็นจะผิดมิใช่พวกข้าพเจ้า อันปีศาจนั้นมิได้อยู่ในตำบลเขานี้ แต่เมื่อคืนนี้มีสายลมพัดกล้ามาทางนี้ ข้าพเจ้าทราบเหตุบ้างเล็กน้อย จากทางนี้ไปตรงทิศอาคเนย์ทางประมาณพันโยชน์ ที่ตำบลนั้นมีเขาเรียกว่า (ฮั้มกังซัว) มีถ้ำหนึ่งเรียกว่า (โป๊เต๊ยต๋อง) ปีศาจมันอยู่ที่ถ้ำนั้น มันมาแผลงฤทธิ์ที่ป่านี้จึงได้ลักจับเอาไป เห้งเจียได้ฟังเจ้าเขาเจ้าที่บอกดังนั้น จึงอนุญาตให้กลับไปยังที่เดิม เห้งเจียก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม เรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมาบอกว่า ปีศาจมันลักพาอาจารย์ไปไกลแล้ว โป๊ยก่ายว่าแม้ว่าไปไกลสักเท่าใดก็ต้องตามไป พูดแล้วโป๊ยก่ายก็เหาะขึ้นเหยียบเมฆลอยไป ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็เหาะตามโป๊ยก่ายไป ม้ามังกรที่มีของอยู่บนหลังเหาะได้ก็เหาะตามกันไป เห้งเจียเห็นดังนั้นก็เหาะตามกันไปทั้งสามคนและม้ามังกร บัดเดี๋ยวก็เห็นภูเขาหนึ่งขวางหน้า จึงพากันหยุดพิเคราะห์ดู เห็นแน่แล้วก็พากันลดลงยังพื้นที่เขานั้น เห้งเจียจึงพูดแก่ซัวเจ๋งว่า เราหยุดอยู่ที่นี่ก่อน ให้โป๊ยก่ายไปฟังรหัสดูก่อน หากรู้ได้ความแน่แล้วเราจึงพร้อมกันไปหาอาจารย์ อ่านต่อ_ ..
The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 5-24 พากย์ไทย

29 มิถุนายน 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 56 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๗๘)
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามคนออกจากเมืองแล้ว เดินไปได้สองเดือนกว่า เวลานั้นเข้าฤดูหนาวแลไปข้างหน้าก็เห็นป้อมและกำแพงเมือง พระถังซัมจั๋งถามว่าที่ตรงนั้นคือเมืองอะไร เห้งเจียว่าเดินไปให้ถึงจึงจะรู้แน่ ก็พากันเดินมาประเดี๋ยวจึงถึงประตูเมือง พระถังซัมจั๋งจึงลงจากม้าพากันเข้าไปในเมือง แลไปข้างกำแพงเห็นนายทหารแก่คนหนึ่ง นอนหลับอยู่เห้งเจียเดินเข้าไปไกล้จับตัวสั่นร้องเรียกว่าท่านทหาร ทหารตกใจตื่นแลเห็นเห้งเจ้ย ก็ตาลีตาลานลุกขึ้นคุกเข่าเรียกว่าท่านผู้ใหญ่ เห้งเจียถามว่าทำไมจึงเรียกว่าท่านผู้ใหญ่เล่า ทหารแก่คนนั้นพูดว่าท่านเป็นท่านเป็นรามสูรย์ทำไมจะไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้ใหญ่เล่า เห้งเจียว่าอย่าพูดเลอะเทอะไป เราคนอยู่เมืองใต้ถังจะไปไซทีอาราธนาธรรม ข้ามมาถึงที่นี่ไม่รู้จักชื่อเมืองจะใคร่ถามดูสักคำหนึ่งเท่านั้น ทหารได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงยืนขึ้นบอกว่า เมืองนี้นามเรียกว่า ปี๊เปียก๊ก เดี๋ยวนี้เปลี่ยนนามเรียกว่า เซี้ยวจื๊อก๊ก เห้งเจี้ยถามว่าในเมืองนี้มีเจ้าหรือเปล่าเล่า นายทหารบอกว่ามี เห้งเจียก็หันหน้าไปบอกแก่พระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความสงสัย จึงพูดว่าทำไมเรียกว่า ปี๊เปียก๊ก และเรียกว่า เซี้ยวจื๊อก๊กดังนั้นเล่า
รูปภาพ ; เจ้าเมืองปี๊เปียก๊กนี้ ครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์อยู่ในเมืองปี๊เปียก๊ก มาวันหนึ่งถูกเล่ห์กลอุบายของปีศาจตาเฒ่าเชียงก๊ก พานางเสือปลาปีศาจแปลงเป็นหญิงสาวมาถวาย พระองค์ทรงรับไว้เป็นที่พอพระราชหฤทัยจนมัวเมาไม่มีเวลาว่างเว้น ก็บังเกิดพระโรคประชวนมีพระอาการให้ซูบผอมอ่อนเปลี้ยลง จนที่สุดสิ้นพระกำลัง เมื่อเห้งเจียมาถึงทราบเหตุอันนี้แล้ว เห้งเจียจึงได้กำจัดปีศาจทั้งสองเสียได้ พระองค์จึงได้บรนเทาพระโรค
   โป๊ยก่ายพูดว่าคิดดูเห็นเจ้าเมือง​ปี๊เปียก๊กจะสิ้นพระชนม์ ตั้งขึ้นใหม่จึงได้เปลี่ยนนามเรียกว่าเซี้ยวจื๊อก๊ก พระถังซัมจั๋งว่าเห็นจะไม่เป็นเช่นนั้น พวกเราเข้าไปในเมืองคงจะได้รู้เหตุแน่ พูดแล้วก็พากันเดินไปถึงถนนใหญ่ ประตูเมืองชั้นสาม พิเคราะห์ดูสองข้างถนนมีตึกขายของล้วนแต่แพรสีต่างๆ และขายเครื่องนุ่งห่มของใช้ต่างๆ สารพัดจะมีผู้คนแต่งตัวสะอาดงามหมดจดเรียบร้อย มีตึกสูงสะอาด ผู้คนไปมาซื้อขายแออัด ฝ่ายอาจารย์กับศิษย์ทั้งสาม เดินพลางดูพลางมาตามทางครู่หนึ่ง ก็มาถึงอีกถนนหนึ่งแลเห็นทุก ๆ บ้าน ขนกรงท่านมาตั้งคาไว้หน้าบ้านแล้วเอาผ้าสีคลุมไว้ พระถังซัมจั๋งถามว่า ที่ตำบลนี้เหตุใดจึงเอากรงห่านตั้งไว้หน้าบ้านทุก ๆ บ้านดังนี้
   โป๊ยก่ายได้ยินก็แลดูทั้งสองข้างทางก็เห็นมีจริงดังนั้น โป๊ยก่ายก็หัวเราะแล้วพูดว่า ชะรอยวันนี้เป็นวันดีจึงแต่งบ้านทำการวิวาหะดอกกระมัง เห้งเจียพูดว่าเลอะเทอะไปได้ ถ้าจะแต่งขันหมากจริงก็จะทำแต่บ้านเดียว เหตุใดจะทำตลอดไปดังนี้เล่า ในนั้นคงจะมีเหตุเป็นแน่ เราควรจะไปดูให้รู้แน่สักหน่อย ว่าแล้วเห้งเจียก็ร่ายพระคาถาแปลงกายาเป็นแมลงผึ้งบินไปที่ตรงนั้น มุดเข้าไปพิเคราะห์ดูเห็นเด็กนั่งอยู่ในกรงนั้น เลยไปอีกบ้านหนึ่งก็เห็นมีเด็กนั่งอยู่ในกรงเหมือนกัน เลยไปดูอีกแปดเก้าบ้านก็มีเหมือนกันทุก ๆ บ้าน แต่เป็นผู้ชายทั้งนั้นเด็กบางคนอยู่ในกรงร้องไห้ก็มี เห้งเจียเห็นแล้วก็กลับออกมากลายเป็นรูปเดิมบอกแก่พระอาจารย์ว่า ที่ในกรงนั้นมีเด็กผู้ชายนั่งอยู่ในกรงทุก ๆ ​กรง ใหญ่เสมอเจ็ดขวบที่เล็กก็คะเนสักห้าขวบไม่ทราบว่าเหตุอะไรดังนั้น
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็ยิ่งมีความสงสัยเดินเลยเลี้ยวไปอีกถนนหนึ่ง ก็แลเห็นมีหอเป็นที่สำหรับรับแขกเมืองต่างประเทศ พระถังซัมจั๋งพูดแก่ศิษย์ว่า เราพากันเข้าไปที่หอนั้นเถิดจะได้ใต่ถามให้รู้เรื่อง ทั้งเป็นเวลาค่ำเราจะได้อาศัยพักนอนสักคืนหนึ่ง จึงพร้อมกันเข้าไป ฝ่ายคนเฝ้าประตูก็เข้าไปบอกแก่ขุนนางรับแขก ๆ ก็ออกมาเชิญให้เข้าไปนั่งที่สมควร แล้วจึงถามว่าท่านทั้งสี่คนอยู่เมืองไหนจะไปข้างไหนจึงได้มาถึงที่นี่ พระถังซัมจั๋งบอกว่า อาตมภาพเป็นชาวเมืองใต้ถัง คือมีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จะไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎก พึ่งมาถึงเมืองอันประเสริฐนี้จะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง และจะขอพักในที่นี้สักคืนหนึ่งด้วย ขุนนางพนักงานได้ฟังดังนั้น จึงให้คนใช้จัดหาน้ำร้อนน้ำชามาถวาย และจัดห้องให้อาจารย์กับศิษย์พัก
   พระถังซัมจั๋งถามว่าวันนี้จะควรเข้าไปเฝ้าได้หรือไม่ ขุนนางรับแขกเมืองบอกว่าเวลานี้เย็นแล้ว รอเวลาเช้าจึงค่อยเข้าไปเฝ้าพักเสียให้สบายสักคืนหนึ่งก่อน พระถังซัมจั๋งว่าขอบใจเป็นที่สุดจึงถามต่อไปว่า อาตมภาพยังมีความสงสัยไม่แน่แก่ใจอยู่อย่างหนึ่งขอท่านได้โปรดชี้แจงให้ทราบ คือที่เมืองนี้เหตุใดชาวบ้านเหล่านั้นเลี้ยงเด็กทารกให้อยู่ในกรงนั้น จะต้องประสงค์อะไรกัน ขุนนางนั้นตอบ​ว่าไม่มีตะวันสองดวงก็อย่างเดียวกัน เลี้ยงเด็กทารกด้วยกำลังของบิดาโลหิตของมารดา มีครรภ์สิบเดือนถึงกำหนดก็คลอดออกมาแล้วให้นมกิน สามปีเป็นกำหนดรูปกายนั้นก็ค่อยเติบใหญ่ขึ้นจะไม่รู้การทีเดียวหรือ
   พระถังซัมจั๋งว่าท่านพูดนั้นกับเมืองข้าพเจ้าก็ไม่ผิดกัน เพราะอาตมภาพเดินมาตามถนนสองข้างทางชาวบ้านทุก ๆ บ้านเอากรงห่านไปใส่เด็กไว้ที่บ้านทุกๆ บ้านดังนี้ เพราะฉะนั้นอาตมภาพมิได้แจ้งซึ่งเหตุผลจึงขอถามว่าความจริงนั้นเป็นประการใด ขุนนางนั้นก็กระซิบพูดเบา ๆ ว่า ท่านเป็นพระเป็นสงฆ์จะไปธุระถึงเขาทำไมชั่งเขาเถิด นิมนต์พักให้สบายพรุ่งนี้จะได้ไป พระถังซัมจั๋งยึดขุนนางนั้นไว้จึงอ้อนวอนถามว่า เหตุการณ์เป็นประการใดได้โปรดบอกให้อาตมภาพทราบสักหน่อยเถิด ขุนนางนั้นยกมือขึ้นห้ามแล้วสั่นหน้าพูดว่าท่านจงระงับปากไว้อย่าพูดไป พระถังซัมจั๋งก็ไม่ปล่อยขุนนางคนนั้นอ้อนวอนจะให้บอกความจริงให้จงได้ ขุนนางผู้นั้นก็ไม่รู้แห่งที่จะขัดได้จึงเดินเข้าไปข้างฝากระซิบบอกว่า ที่ท่านถามว่าเด็กอยู่ในกรงห่านนั้น คือพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้มิได้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม พระอาจารย์จะถามเอาไปทำไม
   พระถังซัมจั๋งถามว่าทำไมมิได้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบสักหน่อย อาตมภาพจึงจะได้วางใจได้ ขุนนางพวกนั้นจึงบอกว่า เมืองเดิมนามเรียกว่าปี๊เปียก๊ก มาบัดนี้มีเหตุขึ้นราษฎรจึงเรียกว่า เซี้ยวจื๊อก๊ก คือเมื่อสามปีก่อนมีตาเฒ่าผู้หนึ่งแต่งตัวเป็นเพศฤาษี พาผู้หญิงสาว​มาคนหนึ่งรูปร่างสะสวยดุจนางฟ้า หาผู้หญิงใดในเมืองนี้เสมอมิได้อายุประมาณสิบหกปี พาเข้าไปถวายพระเจ้าแผ่นดินมีพระไทยโปรดปราณจึงให้นามว่า มุ้ยเหาคือพระสนมเอก พระเจ้าแผ่นดินทรงรักใคร่ลุ่มหลงในการสังวาส จึงบังเกิดโรคอ่อนเปลี้ยซูบผอมเสวยพระกระยาหารทดถอยน้อยลงไปทุกที จะไม่ทรงพระชนม์ชีพอยู่ได้ พวกขุนนางฝ่ายแพทย์หลวงตรวจดู ก็เห็นว่าไม่มียาที่จะแก้พระโรคของพระเจ้าแผ่นดินได้ ส่วนตาเฒ่าที่นำนารีมาถวายนั้น ได้รับที่ตั้งตำแหน่งพ่อตา เธอมียาวิเศษอยู่ตามเกาะกลางทะเล เที่ยวไปเก็บเครื่องยามาพร้อมแล้ว ยังขาดแต่ตับทารก จะต้องเอาตับทารกพันร้อยสิบเอ็ดตับ ต้มทำน้ำกระสายกินแล้วอายุจะยืนถึงพันปีไม่แก่ ที่ทารกเลี้ยงไว้ในกรงห่านนั้น เพราะไปเลือกคัดเอามาขังเลี้ยงไว้ที่หน้าบ้านทุก ๆ บ้าน พ่อแม่ของเด็กกลัวอำนาจพระเจ้าแผ่นดินจึงไม่อาจร้องไห้ ก็พากันเล่าลือว่าเมืองเซี้ยวจื๊อก๊กดังนี้ จะไม่เรียกว่าไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมหรือ
   พรุ่งนี้เช้าท่านเข้าไปเปลี่ยนหนังสืออย่าพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นเป็นอันขาด พูดดังนั้นแล้วก็เดินหลีกไป พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นแล้วก็ให้เสียวในใจมือและเท้าก็ให้อ่อนไปทั้งสิ้น คิดแล้วก็กลั้นน้ำตาไว้มิได้ไหลซึมทราบอาบหน้าร้องว่าเจ้ามืด ๆ ไม่มียุติธรรม เสพสังวาสจนโรคบังเกิดและให้ฆ่าทารกถึงแก่ชีวิตมากมายดังนี้เล่า โป๊ยก่ายเดินเข้ามาใกล้ถามว่า พระอาจารย์มีเหตุอะไรไปเอาโลงใส่ผีของผู้อื่นมาร้องไห้ร่ำไป ธุระอะไรของเราบ้านเมืองของเขา ๆ จะทำกันประการ​ใดมิใช่การของเราเลย จงถอดเสื้อนอนเสียให้สบาย อย่าไปเอาแบบคนโบราณเที่ยวทุกข์เที่ยวร้อนมิใช่เหตุผลของเรา
   พระถังซัมจั๋งเช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า อาตมภาพอุปสมบทบวชเป็นภิกษุสงฆ์ ที่หนึ่งความผ่อนผันเป็นต้น ทำไมเจ้าแผ่นดินนี้ จึงได้มืดมัวดังนี้ยังไม่เคยได้ยินว่ากินตับคนอายุยืนนานเลย การอันนี้เป็นอยุติธรรมแท้ จะมิให้เราเจ็บร้อนอย่างไรได้ ซัวเจ๋งว่าอาจารย์อย่าทุกข์ร้อนไปนักเลย พรุ่งนี้เข้าไปเปลี่ยนหนังสือเดินทางแล้ว ดูพระเจ้าแผ่นดินนั้นจะเป็นประการใด แลดูตาเฒ่านั้นจะมีกิริยาอย่างไร บางทีจะเป็นปีศาจยักษ์มันจะอยากกินตับมนุษย์ จึงได้คิดการดังนี้ก็ยังรู้ไม่ได้ เห้งเจียว่าซัวเจ๋งคิดดังนั้นถูกต้อง พรุ่งนี้พี่จะตามพระอาจารย์เข้าไปเฝ้าพิเคราะห์ดูพ่อตาพระเจ้าแผ่นดินจะมีกิริยาอย่างไร หากเป็นมนุษย์แล้วก็จะถือไสยศาสตร์ไม่รู้จักสัมมาทิฐิ เอายานั้นเป็นอารมณ์ ข้าพเจ้าจะชี้แจงชักนำให้เห็นทางชอบสัมมาปฏิปทา แม้ว่าเป็นปีศาจยักษ์ร้ายข้าพเจ้าจะจับตัวไว้ ให้พระเจ้าแผ่นดินเห็นประจักษ์แก่จักษุ จะได้ตัดเหตุที่จะฆ่าทารกนั้น
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ย่อตัวหันหน้ามาหาเห้งเจียพูดว่า ชอบแล้ว แต่วิตกว่าพระเจ้าแผ่นดินยังหลงไหลมืดมัวอยู่ จะถามเหตุนี้ไม่ได้ง่ายเธอจะไม่ไตร่ตรองให้เห็นจริงและเท็จ ก็จะมาลงโทษเอาพวกเรา จะทำประการใดจึงจะแก้ได้ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้ามีธรรมวิเศษสามารถจะแก้ได้ คือจะยักย้ายเด็กในกรงนั้นออกไปเสียนอกเมือง พรุ่งนี้ก็จะไม่มีเด็ก​จะเอาตับเด็กมิได้ เวลานั้นเราทูลแก้ไขพระเจ้าแผ่นดินคงจะคิดแก่ตาเฒ่าหาการอื่นทดแทน เรามีโอกาศจะได้ทูลขึ้นไปก็จะไม่มีความผิดถึงเราได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็มีความยินดียิ่งนัก ถามว่าท่านจะทำอย่างไรจึงจะเอาเด็กนั้นไปได้ หากเด็กนั้นรอดได้เห้งเจียมีกุศลเป็นอันมากจงรีบคิดจัดแจงทำเถิด อย่ารอช้าไปจะเสียการ เห้งเจียสำรวมภาคแล้วก็สั่งโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งว่าจงอยู่นี่เฝ้ารักษาพระอาจารย์พี่จะออกฝีมือเจ้าจงคอยดู แม้ว่ามีลมเย็นไหวมา เด็กทารกในกรงนั้นจะออกจากกำแพงเมือง
   พระถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งทั้งสามนั่งบริกรรมภาวนาช่วยเป็นกำลัง พูดสั่งแล้วเห้งเจียก็ออกจากประตูเหาะขึ้นกลางอากาศ ร่ายพระคาถาอักขระ โอม เรียกพระภูมิเจ้าที่เจ้าทางพระเสื้อเมือง พระทรงเมืองเทพารักษ์ทั้งหลาย เจ้าเหล่านั้นก็มาในทันทีเดี๋ยวนั้นคำนับเห้งเจียแล้ว ถามว่าท่านใต้เซียมีกิจธุระร้อนอะไรหรือจึงได้เรียกพวกข้าพเจ้า เห้งเจียพูดว่าบัดนี้เดินมาถึงเมืองปี๊เปียก๊กรู้ว่าเจ้าแผ่นดินเมามืดหลง เป็นมิจฉาทิฐิ เชื่อฟังปีศาจยักษ์จะใคร่เอาตับเด็กเป็นกระสายยาอายุวัฒนะปราถนาจะให้อายุยืนนาน อาจารย์ข้าพเจ้ามีจิตเมตตาไม่อยากจะให้ฆ่าเด็ก คิดจะช่วยให้รอดพ้นจากความตาย เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเชิญท่านทั้งหลายมาแผลงฤทธิ์อานุภาพ ยกเอากรงท่านที่ใส่เด็กออกไปเสียนอกเมือง เอาไปซ่อนไว้ตามป่าและเขาสักวันหนึ่ง สองวัน เอาผลไม้เลี้ยงอย่าให้อดอยากหิวโหยเป็นอันขาดและอย่าให้เด็กนั้นตกเนื้อตกใจได้ รอข้าพเจ้าทำการกำจัดมิจฉาทิฐิ​ได้เรียบร้อยแล้ว แลชักนำเจ้าแผ่นดินให้มีสติปราศจากความหลงแล้ว เวลาข้าพเจ้าจะไป จึงเอากลับมาคืนให้ข้าพเจ้า
   ผ่ายเจ้าทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียสั่งดังนั้น ต่างก็สำแดงฤทธิ์เดชลดเมฆลงบันดาลให้เกิดลมหมอกกลุ้มทั่วทั้งในกำแพงเมือง พอเวลาสามยามหมู่เจ้าทั้งหลายก็ยกกรงเด็กนั้นไปทั้งสิ้น แยกย้ายกันไปเก็บซ่อนไว้ แล้วเห้งเจียก็ลดลงยังพื้นเดินเข้าประตูยังได้ยินอาจารย์กับโป๊ยก่ายซัวเจ๋งภาวนาอยู่ เห้งเจียก็เดินเข้าไปเรียกว่าอาจารย์ข้าพเจ้ามาแล้ว ๆ บอกว่าเมื่อลมพัดนั้นข้าพเจ้าเก็บเด็กไปหมดแล้ว เมื่อเวลาเราจะไปจึงค่อยเอาเด็กคืนกลับมาส่งยังเดิม พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงพากันไปพักนอน ครั้นรุ่งแจ้งพระถังซัมจั๋งตื่นจัดแจงเสร็จแล้ว ก็เรียกเห้งเจียว่าเราพากันเข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินแต่เช้าจะได้ขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง เห้งเจียก็พร้อมด้วยพระอาจารย์เข้าไปในพระราชวัง แล้วเห้งเจียจึงพูดแก่พระอาจารย์ว่าไว้ข้าพเจ้าเข้าไปดูพ่อตาพระเจ้าแผ่นดินก่อนจะซื่อตรงหรือคดโกงประการใด
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าวิตกกลัวเห้งเจียจะไม่อ่อนน้อมคำนับพระเจ้าแผ่นดิน ๆ จะจับผิดเอา เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าไม่ไปดังนั้นจะแปลงตัวตามรักษาพระอาจารย์เข้าไป พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก้มีความยินดีจึงเดินเข้าไปในพระราชวัง เห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงหวี่บินไปตามพระอาจารย์ ขุนนางพนักงานรับแขกเมือง ก็เดินมากะซิบสั่งว่าท่านอาจารย์เข้าไปเฝ้า แล้วอย่ายกเรื่องพวกนั้นพูดขึ้นเลยเป็นอันขาด พระถังซัมจั๋งพยักหน้ารับคำแล้วจึงเดินเข้าไป ครั้นถึงประตู​พระราชวัง ก็เดินมาหาขุนนางขันทีปราศรัยว่า อาตมภาพอยู่เมืองใต้ถังมีรับสั่งพระเจ้าแผ่นดินให้ไปไซที เพื่ออาราธนาพระไตรปิฎก บัดนี้มาถึงเมืองจะขอเข้าเฝ้าเปลี่ยนหนังสือเดินทาง ขอท่านได้โปรดทูลให้ทรงทราบ
รูปภาพ ; ปีศาจตนนี้เดิมกำเนิดเป็นกวาง เป็นสัตว์พาหนะสำหรับท่านเซียนน่ำก๊กแชกุนขับขี่ มันหลบหนีท่านลงมา ไปสำนักนิอยู่ที่ถ้ำเช่งฮวยจึง เป็นสมัครพรรคพวกกับนางเสือปลา เลี้ยงนางเสือปลาเป็นบุตรสาว แปลงกายเป็นมนุษย์รูปร่างสะอาดสำอางตา พาไปถวายเจ้าเมืองปี๊เปียก๊กคอยคิดร้ายฆ่าคนในเมืองปี๊เปียก๊ก ครั้นเวลาที่พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์มาถึงได้รู้เหตุ เห้งเจียจึงกำจัดตาเฒ่าเชียงก๊กกับนางเสือปลาเสีย ฝ่ายตาเฒ่าเชียงก๊กก็กลายเป็นกวางไป ท่านน่ำก๊กแชกุนขอเอากวางไปเลี้ยงไว้อย่างเดิม
31.国丈一看,认出是当年的齐天大圣到了,
抽身就跑。悟空举棒就打,
那国丈急用蟠龙杖来迎。一来一往,
打了二十多个回合,不分胜负。
   ขุนนางขันทีได้ฟังดังนั้น ก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน ๆ ได้ทรงทราบดังนั้นก็มีพระทัยใสโสมนัสยินดี ตรัสว่าพระสงฆ์มาจากเมืองไกล คงจะมีวิชาความรู้เชี่ยวชาญ จึงรับสั่งให้ขันทีนำเข้าไปเฝ้า พระถังซัมจั๋งสำรวมกิริยายืนอยู่ชั้นล่าง พระเจ้าแผ่นดินนิมนต์ให้ขึ้นข้างบน ทรงพระอนุญาตให้นั่งในที่อันสมควรแล้ว พระถังซัมจั๋งพิจารณาดูพระเจ้าแผ่นดิน เห็นพระรูปและพระฉวีซีดเศร้าหมองโรยราซูบผอม กำลังอ่อนเปลี้ยไม่แข็งแรงพระสุระสำเนียงก็แผ้วเบา ตรัสออกมาก็ไม่เป็นปรกติพระถังซัมจั๋งพิจารณากระทั่งแล้ว จึงถวายหนังสือขึ้นไป พระเจ้าแผ่นดินรับหนังสือมาคลี่ออกทอดพระเนตร จึงหยิบตราประทับแล้ว ส่งคืนมาให้พระถังซัมจั๋ง ๆ รับมาเก็บไว้แล้ว พระเจ้าแผ่นดินจะใคร่ทรงทราบเหตุที่จะไปรับพระธรรมนั้น
   มีขุนนางเข้ามาทูลว่า ท่านเชียงก๊กพ่อตาจะเข้ามาเฝ้า พระเจ้าแผ่นดินทรงพระอุตส่าห์ลงจากพระแท่น เกาะบ่าขันทีคอยรับท่านเชียงก๊กพ่อตา พระถังซัมจั๋งประหม่ายืนแอบอยู่ข้างหนึ่ง เห็นตาเฒ่าเดินฉุยฉายแต่งกายเป็นเพศฤาษีไม่คำนับพระเจ้าแผ่นดิน ๆ ทรงย่อพระองค์แล้ว ตรัสถามว่าวันนี้สบายอยู่หรือเชิญขึ้นนั่งข้างบน พระถังซัมจั๋งเดินมาก้าวหนึ่งลดตัวปราศรัยคำนับถามทัก ตาเฒ่าก๊กเชียงนั่งอยู่ข้างบนทำเมินหน้า​เฉยไม่ตอบไม่ทักว่ากระไร หันหน้าไปหาพระเจ้าแผ่นดินถามว่า พระสงฆ์นี้มาแต่ไหน พระเจ้าแผ่นดินตรัสบอกว่ามาแต่ประเทศจีนเมืองใต้ถัง พระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งให้ไปไซทีอาราธนาพระธรรม เธอมาขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง ก๊กเชียงหัวเราะแล้วพูดว่า ไซทีนั้นหนทางมืดมัวจะมีดีอะไร พระถังซัมจั๋งพูดว่าแต่เดิมมาจนท้าวบัดนี้ไซทีนั้นเป็นที่ไชยภูมิสุขสำราญหาที่เปรียบมิได้เหตุใดจะไม่ดีเล่า
   พระเจ้าแผ่นดินทรงถามว่า ข้าพเจ้าได้ยินว่าพระสงฆ์เป็นสานุศิษย์ของพระพุทธเจ้า ไม่ทราบว่าพระสงฆ์นั้นจะมีที่ไม่ตายหรือเปล่า ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้านั้นอายุจะได้ยืนยาวหรือเปล่า พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็พนมมือทูลตอบว่า แม้ว่าเป็นสมณะละธุระปัจจัยเสียให้สิ้นมูล สันดานผ่องใสไม่มีกิเลสตัณหามานะทิฐิแล้ว ก็ไม่เกิดไม่ตาย (อันที่จริงนั้นระงับสุขสำราญที่ไม่ระงับนั้น แล้วแจ่มแจ้งรู้จักมูลจิตด้วยตนเอง จิตก็บริสุทธิ์แน่แน่น ความจริงนั้นก็มิได้ขาดและเหลือจะเห็นซึ่งรูปนามที่เกิดมีมาแล้วนั้น ว่าไม่เที่ยงเป็นกองทุกข์ใช่ตัวตน ย่อมมีธรรมดาแตกดับไปทั้งสิ้น) การที่ไปอาศัยยาประกอบทำให้อายุยืนเป็นอารมณ์นั้น เป็นความเท็จไม่จริง หากว่าสภาวะธรรมย่อมละทิ้งเสียสิ้นแล้ว ทุก ๆ สิ่งรูปสีก็ว่างเปล่า สำรวมจิตกระทำให้น้อยซึ่งความกำหนัดในกามารมณ์ อายุก็อาจยืนยาวอยู่เอง
ตาเฒ่าก๊กเชียงได้ฟังพระถังซัมฟังพูดดังนั้น ก็หัวเราะเอามือชี้พระถังซัมจั๋งแล้วพูดว่า พระสงฆ์ผู้นี้กล่าวคำสับปลับ พูดว่าในความ​ระงับสุขนั้น ต้องอาศัยสันดานนั้นกับที่แห่งใด จะนั่งสมาธิให้แห้งเปล่า สรรพธรรมจะต้องประกอบเลี้ยงเขาย่อมกล่าวว่า นั่งนักไฟจะแตกเผาเอาก็จะกลับเป็นไฟร้าย ยังไม่รู้ความปฏิบัติของเรา ด้วยปฏิบัติฝ่ายเซียนนั้น กระดูกแข็งมั่นคง บรรลุมรรคนั้นจิตภาคก็ศักสิทธิ์ ประกอบยาช่วยมนุษย์แผ่มรรคธรรม ยกความสั่งสอนของท้ายเสียงเล่ากุนน้ำมนต์และยันต์ไว้สำหรับกำจัดซึ่งปีศาจร้ายในมนุษย์ แปรฟ้าดินและอากาศ เก็บเอากำลังตะวัน เดือน สำรวมธาตุละเอียดหยาบเป็นยาประสิทธิคุณได้สำเร็จแล้ว ขึ้นขี่นกการะเวกแล้วให้บินร่อนเล่นสำราญใจเป็นสุขอันใหญ่ ไม่เหมือนของท่านพุทธศาสนา ให้ระงับดับอารมณ์ เข้านิพพานทิ้งร่างกายเน่านั้นก็ยังไม่ประหลาดสะอาดได้ ในไตรศาสนา คือไสยศาสตร์ พุทธศาสตร์ อิสีศาสตร์ ตั้งแต่เริ่มมีศาสนา ๆ ฤาษีเป็นดีที่สุด สูงยิ่งกว่าศาสนาอื่น ๆ
   ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังก๊กเชียงชี้แจงแสดงให้ฟังดังนั้น ก็มีความเชื่อเลื่อมสัยที่สุด บรรดาขุนนางใหญ่น้อยก็พากันสรรเสริญพร้อมกันว่า ควรยกฤาษีศาสตร์ว่าเป็นสูงสุดไม่มีศาสนาใดเสมอ พระถังซัมจั๋งเห็นขุนนางพากันสรรเสริญก๊กเชียงทุก ๆ คนดังนั้น ก็มีความอดสูที่สุด พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขุนนางพนักงานจัดเครื่องแจถวาย ด้วยพระสงฆ์เธอมาแต่เมืองไกล พวกขุนนางจัดเครื่องแจมาถวายตามรับสั่ง พระถังซัมจั๋งก็ขอบพระคุณลาออกไป พอลงจากบันไดปราสาทจะเดินออกไป เห้งเจียบินมาจับที่หูร้องเรียกว่าอาจารย์คำหนึ่ง แล้ว​บอกว่าอ้ายเฒ่าก๊กเชียงมันเป็นพวกปีศาจจริงแล้ว พระอาจารย์ออกไปฉันจังหัน ข้าพเจ้าจะอยู่ในนี้เพื่อจะได้ฟังความร้ายดีประการใด
   พูดแล้วเห้งเจียก็บินกลับขึ้นไปยังปราสาทกิมล่วนเต้ย จับอยู่ที่บานลับแล แลไปเห็นขุนนางนางทหารล้อมวัง เข้ามากราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ เมื่อคืนนี้เวลาสามยามเศษเกิดมีลมหนาวพัดมาโดยแรงหอบเอากรงที่ขังเด็กนั้นไปทั้งหมดสิ้นสูญหายไปไม่ได้เค้าเงื่อนว่าไปข้างไหน พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังดังนั้น ตกพระทัยมีพระอาการธุรนธุรายแล้วตรัสว่า หากเป็นเช่นนี้ฟ้ามิทับข้าพเจ้าแล้วหรือ ก๊กเชียงเห็นพระเจ้าแผ่นดินเสียพระทัยดังนั้นจึงทูลว่า ขอพระองค์อย่าทรงพระวิตก พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสถามว่า ข้าพเจ้าเจ็บป่วยอยู่อย่างนี้ หมอหลวงก็สิ้นสติปัญญาความรู้แล้ว ท่านก๊กเชียงประกอบยาทิพย์โอสถเวลาพรุ่งนี้เที่ยง จะลงมือฆ่าทารกเอาตับเป็นกระสายยา ก็มาเกิดเหตุขึ้นดังนี้ จะไม่ใช่ฟ้าฆ่าเราก็จะเป็นอะไรอีกเล่า ก๊กเชียงทูลว่าลมหอบเอาทารกไปนั้น จะกระทำให้พระชนม์มายุของพระองค์ยืนยาวยิ่งกว่านั้นไปอีก 
   พระเจ้าแผ่นดินตรัสถามว่า ลมหอบเอาเด็กไปหมดสิ้นดังนี้ ทำไมท่านว่าจะกลับส่งให้อายุยืนต่อขึ้นไปได้อีกเล่า เฒ่าก๊กเชียงทูลว่า ข้าพเจ้าพึ่งเข้ามาเฝ้าแลเห็นกระสายยาอันพิเศษสิ่งหนึ่ง ที่ตับเด็กเป็นกระสายยานั้น พระชนม์ของพระองค์จะยืนได้พันปี ถ้าเอาสิ่งนั้นมาทำกระสายยาเสวยแล้ว พระชนม์มายุของพระองค์จะยืนอยู่ถึงหมื่นปี พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังก๊กเชียงทูลดังนั้นก็ยังไม่เข้าพระทัยแน่ว่าอะไร จึงตรัสถาม​ก๊กเชียงว่าสิ่งอะไรถึงจะอายุยืนหมื่นปี ก๊กเชียงจึงทูลว่าที่เจ้าเมืองใต้ถังมีรับสั่งให้พระถังซัมจั๋งไปไซทีนั้น พระสงฆ์องค์นั้นรักษาพรหมจรรย์มาสิบชาติแล้ว และทั้งบวชเรียนมาแต่เล็ก มิได้เสพอสัทธรรมร่างกายบริสุทธิ์ประเสริฐยิ่ง ถ้าได้หัวใจเธอมา ผสมยาของข้าพเจ้าแล้ว อายุของพระองค์จะยืนตั้งหมื่นปี
   พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังก๊กเชียงกราบทูลดังนั้น มีพระทัยเชื่อลุ่มหลง จึงตรัสถามว่าเหตุใดท่านจึงไม่บอกแต่แรกก่อนเล่า แม้ว่าจริงดังนั้นเราจะได้ยึดไว้ไม่ปล่อยให้ไป เฒ่าก๊กเชียงทูลว่า แม้ถึงดังนั้นก็ไม่ยาก เมื่อพระองค์รับสั่งให้หาข้าวแจเลี้ยงกินแล้วจึงจะไปได้ เวลานี้มีรับสั่งให้ปิดประตูเมืองทุก ๆ ประตู จัดทหารออกไปล้อมรอบที่หอรับแขกนั้น จับเอาตัวพระสงฆ์นั้นเข้ามา จึงขอร้องโดยความเย็นก่อน แม้ว่ายอมโดยดีแล้ว ก็ผ่าห้องควักเอาหัวใจออกมา เอาซากอาศพนั้นไปฝังเสียให้ดี แล้วปลูกศาลไว้เซ่นไหว้เธอ หากว่าเธอไม่ยอมให้โดยดีก็จับมัดแล้วเอามีดแหวะควักหัวใจก็ไม่ยากอะไร พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังดังนั้น ก็เชื่อถือกระทำตามจึงรับสั่งให้ปิดประตูเมืองทุก ๆ ประตู แล้วสั่งให้พวกตำรวจไปล้อมหอกิมเต๊ง
   ฝ่ายเห้งเจียคอยแอบฟัง ครั้นให้ยินดังนั้นก็โผบินออกมายังที่กิมเตง ครั้นถึงก็แปลงกายกลับเป็นรูปเดิมเข้าไปหาพระอาจารย์บอกว่าภัยจะมีมาถึงแล้ว เวลานั้นพระถังซัมจั๋งกำลังนั่งฉันข้าวอยู่ได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น ทั้งโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็พากันตกใจเหงื่อโทรมไปทั้งกาย โป๊ยก่ายถามว่าภัยอะไรที่ไหน เห้งเจียบอกว่า เมื่ออาจารย์​กลับออกมาจากเฝ้าแล้ว มีขุนนางนายทหารล้อมวังเข้าไปกราบทูลว่าเกิดเหตุลมพัดหอบเอาเด็กที่ในกรงไปหมด เจ้าแผ่นดินมีความเดือดร้อนเสียพระทัย เฒ่าก๊กเชียงกราบทูลว่า ฟ้าส่งให้อายุพระเจ้าแผ่นดินยืนนาน จะเอาหัวใจของอาจารย์เป็นกระสายยาว่าดีกว่าตับเด็กนั้น พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงเชื่อ จึงให้ทหารมาล้อมที่หอนี้ จะเอาตัวเข้าไปขอเอาหัวใจ
   โป๊ยก่ายได้ฟังก็หัวเราะแล้วพูดว่า สมคิดจริงดีแล้วสมแก่ที่อาจารย์มีใจเมตาแก่เด็ก ให้คิดอ่านช่วยเด็กทารกนั้นให้รอด บัดนี้เหตุนั้นเป็นมูลให้ภัยร้ายนี้ถึงตัว พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นมีกายอันสั่นดุจลูกนก แล้วจับมือเห้งเจียถามว่าการเป็นเช่นนี้แล้วจะคิดอย่างไรดี เห้งเจียพูดว่า แม้อยากจะให้ดีแล้ว ใหญ่ต้องเป็นเล็ก ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นจึงถามเห้งเจียว่า ใหญ่เป็นเล็กนั้นอย่างไร ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ เห้งเจียบอกว่าแม้จะให้รอดชีวิตแล้วอาจารย์ต้องเป็นศิษย์ ศิษย์ต้องเป็นอาจารย์ จึงปราศจากภัยร้ายนั้นได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่าแม้ช่วยชีวิตได้อาตมภาพก็ยอม เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นอย่าได้ช้าโป๊ยก่ายรีบไปเอาดินเหนียวมาสักก้อนหนึ่ง
   โป๊ยก่ายก็เอาคราดไปขุดดินมาก้อนหนึ่ง จึงเอาน้ำปัสสาวะขยำปนมาส่งให้เห้งเจีย ๆ รับมามีกลิ่นปัสสาวะก็ไม่รู้ที่จะว่าประการใด จึงอุตส่าห์ปั้นเป็นแผ่นแบนแล้ว เอาเข้ากดกับหน้าของตัวเองแล้ว เอามาใส่ที่หน้าพระถังซัมจั๋ง สั่งว่าอย่าไหวอย่าพูดจาจงนิ่งอยู่ดังนั้น สั่งแล้วเห้งเจียก็ร่ายคาถามหาประสิทธิ์เป่าไปทีหนึ่ง พระถังซัมจั๋งก็แปลงเป็นเห้งเจีย แล้วถอดเสื้อหมวกผ้าให้​เห้งเจียนุ่งห่ม เอาเสื้อผ้าของเห้งเจียมานุ่งห่ม เห้งเจียครั้นเอาเสื้อผ้าของอาจารย์มานุ่งห่มแล้ว ก็ร่ายคาถาแปลงเหมือนอาจารย์เสร็จแล้ว ก็ได้ยินเสียงกลองแลม้าล่อออกสนั่น พวกทหารแลตำรวจต่างถืออาวุธทุก ๆ คน พากันเข้ามาล้อมหอกิมเต๊ง ประมาณสามพันคน ขุนนางมหาดเล็กคนหนึ่งเดินเข้ามาในหอ ถามว่าคนไหนพระถังซัมจั๋งซึ่งมาแต่เมืองใต้ถัง ขุนนางเจ้าพนักงานรับแขก คุกเข่าลงชี้ว่าที่นั่งอยู่ข้างในนั้น ขุนนางมหาดเล็กก็เดินเข้าไปพูดว่า บัดนี้มีรับสั่งให้มานิมนต์เข้าไปเฝ้า พระถังซัมจั๋งแปลงก็เดินออกมาจากประตูห้องปราศรัยถามว่าพระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งประการใด ขุนนางมหาดเล็กก็ตรงมาจับมือเห้งเจียที่แปลงเปนพระถังซัมจั๋งจูงเอาไป แล้วพูดว่าท่านจงไปกับข้าพเจ้าเข้าเฝ้า จะโปรดปราณมีธุระประสงค์อะไรดอกกระมัง
(บทที่ ๗๙)
 ฝ่ายพวกขุนนางมหาดเล็กและขันที ครั้นได้ตัวพระถังซัมจั๋งแล้วก็ห้อมล้อมพาตัวมายังพระราชวังใน ครั้นถึงหน้าพระที่นั่งขุนนางทั้งหลายก็พากันคำนับ แต่พระถังซัมจั๋งแปลงยืนนิ่งอยู่ไม่คำนับ ร้องถามไปว่าเจ้าแผ่นดิน ปี๊เปียก๊กจะหาตัวอาตมภาพมาว่าอะไรหรือ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงพระสรวลแล้วตรัสว่าข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคมาช้านานแล้วไม่หาย บัดนี้ท่านก๊กเชียงประกอบยาวิเศษได้ เครื่องยาทั้งหลายก็พร้อมแล้ว ยังขาดแต่สิ่งเดียว เพราะฉะนั้นจึงนิมนต์ท่านเข้ามา จะใคร่ขอกระสายยาแก่ท่านสักสิ่งหนึ่ง แม้โรคหายปรกติแล้ว ข้าพเจ้าจะปลูกศาลบูชาท่านทุก ๆ ปีไว้​เป็นที่นับถือหลักฐานของบ้านเมืองต่อไป เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า อาตมภาพก็เป็นสมณะตัวเปล่ามาถึงนี่ไม่มีอะไร มหาบพิตรโปรดถามก๊กเชียงดูว่าจะต้องประสงค์สิ่งใด
   พระเจ้าแผ่นดินตอบว่าจะต้องประสงค์หัวใจท่านเท่านั้น สิ่งอื่นก็มีพร้อมแล้ว พระถังซัมจั๋งปลอมถวายพระพรว่า อาตมภาพก็ไม่ปิดบัง ซึ่งพระองค์มีพระราชประสงค์หัวใจนั้นจะเอารูปสีอย่างไหน ก๊กเชียงนั่งอยู่ที่นั้นจึงบอกแก่พระถังซัมจั๋งปลอมว่า จะต้องการหัวใจดำของท่านผสมยาเป็นกระสาย เห้งเจียจึงตอบว่า ถ้ากระนั้นก็ได้เอามีดมาแหวะเอาเดี๋ยวนี้ อาตมภาพจะแหวะให้ ถ้ามีหัวใจดำก็จะถวายตามพระราชประสงค์ ส่วนพระเจ้าแผ่นดินเมื่อได้ทรงฟังดังนั้นก็ดีพระทัย จึงรับสั่งให้ขันธีเอามีดมาให้พระถังซัมจั๋งปลอม เห้งเจียรับมีดมาแล้ว ก็แหวกเสื้อออกจนแลเห็นท้อง มือขวาก็เอามีดแทงเข้าที่ท้องดังเสียงผลัวะกระชากแหวะออก แลเห็นในท้องมีหัวใจไหลออกมาเป็นดวงใหญ่อยู่กับพื้น
   พวกขุนนางทั้งหลายแลเห็นดังนั้น ต่างคนมีความหวาดเสียวสะดุ้งจิตไปทุกคน ก๊กเชียงแลเห็นดังนั้นก็ตกตะลึง พูดว่าพระสงฆ์รูปนี้ทำไมจึงมีหัวใจมากอย่างนี้ พระถังซัมจั๋งปลอมทำเป็นเอามือค้นหา กำลังโลหิตแดง ๆ ดังนั้น เห็นมีแต่หัวใจแดงหัวใจขาวหัวใจเหลือง หัวใจตระหนี่เหนียวแน่น หัวใจลาภยศหัวใจอิจฉา หัวใจเล่ห์กล หัวใจอยากชนะ หัวใจอยากให้สูง หัวใจหมิ่นประมาทหัวใจเหี้ยมโหด หัวใจดุร้ายหัวใจกลัวเกรง หัวใจมักน้อยหัวใจมิจฉาทิฐิ หัวใจส้อนเร้นมืดมัวหัวใจไม่ยุติธรรม ​เว้นแต่หัวใจดำนั้นไม่มี ส่วนพระเจ้าแผ่นดินเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ตกประหม่าพระองค์สั่นสะทกสะท้าน ตรัสด้วยพระสุรเสียงอันดังว่าเก็บเอาไปเถิด ๆ เห้งเจียก็เรียกหัวใจกลับเข้าในกายตามปรกติเดิมแล้วก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม ร้องบอกแก่พระเจ้าแผ่นดินว่าพระองค์ชั่งไม่มีพระเนตรเลย พวกข้าพเจ้าอยู่ในทางสัมมาปฏิบัติล้วนแต่กุศลจึงไม่มีหัวใจดำ อันหัวใจดำนั้นมีแต่ก๊กเชียง จงเอาออกมาทำกระสายยาเถิดจึงจะดี แม้ท่านไม่เชื่อ ข้าพเจ้าจะช่วยควักออกให้ประเดี๋ยวนี้
   ฝ่ายก๊กเชียงพิเคราะห์ดูเห็นรูปเห้งเจียแปลก มิใช่รูปเดิมก็จำได้ว่าซึงหงอคง มีความกลัวก็เหาะหนีขึ้นแทรกกอยู่ในกลีบเมฆ เห้งเจียก็เหาะขึ้นตามไปร้องตวาดว่ามึงจะหนีไปไหน กลับมากินตะบองสักทีก่อน ฝ่ายปีศาจก๊กเชียงเห็นจะหนีไม่พ้น จึงหันหน้ากลับมาต่อสู้เอาไม้เท้าตีแลป้องกัน รบกันด้วยกำลังแข็งแรงได้ยี่สิบเพลง ทานกำลังเห้งเจียไม่อยู่ก็บันดาลเป็นสายรุ้ง พุ่งเข้าไปยังตำหนักนางมุ้ยเฮ้าในพระราชวัง ก็หอบนางออกจากตำหนักหนีไป เห้งเจียก็ลดลงยังปราสาทกิมล่วนเต้ยถามขุนนางทั้งปวงว่า ท่านทั้งหลายเห็นความดีของก๊กเชียงหรือไม่ ขุนนางทั้งหลายก็พากันเคารพเห้งเจียทั้งสิ้น
เห้งเจียถามว่า พระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปข้างไหน พวกนนางบอกว่าพระองค์เห็นกำลังรบกัน ตกพระทัยกลัวไม่ทราบว่าจะไปแอบซ่อนอยู่ที่ไหน เห้งเจียบอกว่าพวกท่านจงรีบไปเที่ยวค้นหา จะไปอยู่ที่ตำหนัก​นางมุ้ยเฮ้าดอกกระมัง พวกขุนนางทั้งหลายก็พากันไปเที่ยวค้นหาแรกก็ไปหาที่ตำหนักนางมุ้ยเฮ้า ก้ไม่เห็นทั้งพระเจ้าแผ่นดินและนางมุ้ยเฮ้า
 พวกนางสนมกำนันในก็พากันกราบไหว้เห้งเจียทุกๆ คน เห้งเจียก็เชิญให้ลุกขึ้น แล้วบอกว่าอย่าช้าให้ช่วยกันรีบเที่ยวค้นหาพระเจ้าแผ่นดิน
   ในขณะนั้น ก็เห็นพวกขันธีสามสี่คนพยุงพระเจ้าแผ่นดินออกมาจากห้องพระตำหนักใน พวกขุนนางทั้งหลายแลเห็นก็พากันคุกเข่าลงคำนับกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบการทั้งนี้หากได้พึ่งพระสงฆ์ผู้วิเศษจึงได้แจ้งว่าก๊กเชียงนั้นคือปีศาจยักษ์ร้าย และทั้งนางมั้ยเฮ้าก็มิได้เห็น พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังขุนนางกราบทูลดังนั้นแล้ว จึงเชิญให้เห้งเจียออกไปข้างหน้า ยังบัลลังก์แก้วทรงคำนับขอบคุณเห้งเจียแล้วถามว่า เมื่อแรกเข้ามาเห็นรูปร่างงดงาม บัดนี้ทำไมจึงเป็นรูปดังนี้เล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วจึงทูลว่า เมื่อแรกเข้ามาเปลี่ยนหนังสือนั้น แลคืออาจารย์ข้าพเจ้า ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง คือพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ ตัวข้าพเจ้าคือซึ่งหงอคงสานุศิษย์ใหญ่ ยังอีกสองคนคือตือโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง บัดนี้ยังพักอยู่หอกิมเต๊ง เพราะทราบว่าพระองค์หลงเชื่อฟังคำปีศาจมารร้าย จะใคร่เอาหัวใจของอาจารย์ข้าพเจ้าทำน้ำกระสายยา ข้าพเจ้าจึงต้องแปลงเป็นรูปอาจารย์เข้ามากำจัดปีศาจ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น  รับสั่งให้ขุนนางออกไปนิมนต์พระอาจารย์กับสานุศิษย์เข้ามายังพระราชวัง
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งอยู่ที่หอกิมเต๊ง ได้ยินเห้งเจียรบกับปีศาจอยู่​ในอากาศ จิตใจหวั่นหวาดไม่อยู่กับตัว พอเห็นขุนนางมานิมนต์ก็ยิ่งไม่มีความสบาย โป๊ยก่ายหัวเราะพูดว่าครั้งนี้นิมนต์เข้าไปไม่ใช่จะเอาหัวใจดอก พระอาจารย์อย่าตกใจเลยเห็นพี่เห้งเจียจะมีชัยชนะปีศาจแล้ว จะนิมนต์เข้าไปขอบคุณเป็นแน่ พระถังซัมจั๋งว่าหากมีชัยชนะจะนิมนต์เข้าไปขอบคุณก็เอาเถอะ แต่หน้ากากยังใส่อยู่อย่างนี้จะไปเฝ้าอย่างไรได้ โป๊ยก่ายพูดว่าข้อนั้นไม่เป็นไร เข้าไปถึงแล้วพี่เห้งเจียอยู่ที่นั่นมีวิธีแก้ไขได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะมีวิธีแก้ไขได้อย่างไร ก็ต้องจำใจจำไปเดินเกาะบ่าโป๊ยก่ายซัวเจ๋งออกจากห้อง พวกขุนนางแลเห็นก็ตกใจถามว่าอาจารย์ทำไมรูปร่างจึงแปรเป็นดังนี้ไปเล่า ท่านทั้งสองรูปร่างก็น่ากลัว
   ซัวเจ๋งพูดว่า ท่านอย่าวิตกรูปร่างไม่สวยไม่งามก็ตามกุศลตกแต่งกำเนิดมาอย่างนั้น พวกขุนนางก็พาศิษย์กับอาจารย์เดินมา ครั้นถึงหน้าพระลานในพระราชวัง เห้งเจียแลเห็นก็ลงมารับพระอาจารย์ เอามือถอดหน้ากากออกแล้ว ร่ายคาถาเป่าไปทีหนึ่ง รูปพระถังซัมจั๋งก็กลายกลับเป็นรูปเดิม
   พระเจ้าแผ่นดินเสด็จลงจากพระแท่น มานิมนต์ขึ้นนั่งที่อันสมควรแล้ว เห้งเจียจึงทูลถามพระเจ้าแผ่นดินว่า พระองค์ได้ทรงทราบหรือไม่ว่าปีศาจนั้นมันอยู่ที่ไหน ถ้าทราบแล้วข้าพเจ้าจะได้ไปกำจัดเสียจะได้สิ้นภัยร้ายต่อภายหลัง พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียถาม ก็​ให้คิดอดสูในพระทัย ตอบว่าเมื่อสามปีก่อนข้าพเจ้าได้ถามเธอบอกว่า จากเมืองไปไม่ไกลอยู่ข้างทิศอาคเนย์ ไปประมาณเจ็ดสิบโยชน์ก็ถึง ที่นั้นมีเนินแห่งเรียกว่าเนิน ลิ้วกีพา ตำบลเชงฮวยจึง เฒ่าก๊กเชียงไม่มีบุตรชาย จึงพาบุตรเมียน้อยรุ่นสาวคนหนึ่งอายุสิบหกปีมายกให้เป็นสนม ข้าพเจ้ารับไว้ในตำหนัก จึงได้เกิดโรคมากขึ้น พวกหมอหลวงก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ก๊กเชียงเธอบอกว่ามียาวิเศษของเทวดา จะต้องเอาตับเด็กเป็นน้ำกระสายยา ข้าพเจ้าก็ไม่ดีไปหลงเชื่อฟัง จึงได้สั่งให้เลือกเอาเด็กบุตรของราษฎร กำหนดวันนี้จะลงมือผ่าเอาตับ ก็บังเอิญพระสงฆ์ผู้วิเศษมาถึงนี่ บรรดาทารกที่อยู่ในกรงนั้นก็หายไปทั้งสิ้น เธอจึงบอกว่าพระสงฆ์นั้นบวชมาสิบชาติแล้ว แม้ได้หัวใจมาทำกะสายยา ดีกว่าตับเด็กเหล่านั้นหมื่นเท่า ข้าพเจ้าก็หลงเชื่อเอาเป็นจริง ก็บังเอิญได้พึ่งท่านผู้วิเศษรู้แจ้งได้ว่าเป็นปีศาจมารร้าย ขอท่านได้ไปรดกำจัดเสียให้สิ้นเชิง อย่าให้มีความร้ายต่อไปข้าพเจ้าจะแบ่งบ้านเมืองสนองคุณท่าน
   เห้งเจียได้ฟังจึงทูลว่า อันเด็กในกรงนั้นพระอาจารย์ของข้าพเจ้ามีจิตเมตตา จึงให้ข้าพเจ้าเอาไปซ่อนเสีย พระองค์อย่าวุ่นวายอะไรเลยไว้ธุระข้าพเจ้าจะกำจัดปีศาจเอง ไม่ต้องตอบแทนอะไร แล้วเห้งเจียพูดแก่โป๊ยก่ายว่าเจ้าต้องไปด้วยกัน โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าก็จะไปแต่ขัดด้วยท้องเปล่าไม่มีกำลัง พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น จึงรับสั่งแก่เจ้าพนักงานให้จัดเข้าปลาอาหารมาให้โป๊ยก่ายรับประทาน โป๊ย​ก่ายกินอาหารเสร็จแล้ว ก็จัดแจงแต่งกายมั่นคงแข็งแรง เสร็จแล้วก็เหาะตามเห้งเจียไปในอากาศ
   ฝ่ายพวกสนมนางในแลขุนนางทั้งหลาย เห็นเห้งเจียโป๊ยก่ายเหาะเหินเดินอากาศมีฤทธิ์เดชดังนั้น ก็พากันสรรเสริญยกมือขึ้นคำนับทุกคนแล้วพูดว่า นี่คือเทพยดาลงมาโปรดพวกเรา ฝ่ายเห้งเจียกับโป๊ยก่ายพากันเหาะตรงมายังทิศอาคเนย์ มาได้ประมาณเจ็ดสิบโยชน์ ก็ลดลงยังพื้นดินเที่ยวค้นหาที่อยู่แห่งปีศาจ เดินมาก็เห็นลำห้วยน้ำใสสอาด ทั้งสองฟากห้วยมีต้นสนเป็นทิวแถว แต่ไม่เห็นที่เชงฮวยจึง เห้งเจียก็เที่ยวค้นหามิได้พบ จึงร่ายพระเวทเรียกพระภูมิเจ้าที่ ๆ ก็มาคุกเข่าคำนับอยู่ตรงหน้า เห้งเจียถามว่าที่เนินลิ้วกีปอนี้ที่เชงอวยจึงนั้นอยู่ที่ไหน พระภูมิบอกว่ามีแต่ถ้ำเชงฮวยต๋อง บ้านเชงฮวยจึงนั้นไม่มี ท่านใต้เซี้ยข้ามฟากห้วยไปข้างโน้น ที่ต้นสนเก้ากิ่งนั้นที่โคนต้นมีศิลาอยู่ก้อนหนึ่ง จับศิลานั้นกลับไปมาสามทีแล้ว เอาสองมือตบที่ต้นสนแล้วเรียกให้เปิดประตู สามคำก็จะเห็นถ้ำเชงฮวยต๋อง
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็ให้พระภูมิกลับไปยังที่เดิม จึงพาโป๊ยก่ายข้ามห้วยไปเที่ยวค้นหาต้นสน ก็เห็นมีจริงเหมือนคำพระภูมิบอก เห้งเจียจึงบอกให้โป๊ยก่ายยืนอยู่แต่ห่าง ๆ พี่จะเข้าไปเรียกปีศาจให้เปิดประตู จะได้เข้าไปไล่ปีศาจออกมาน้องจงคอยสกัดไว้ โป๊ยก่ายก็ออกมายืนแอบอยู่ห่าง ๆ เห้งเจียก็ทำตามพระภูมิบอก เดินรอบต้นไม้สนสามรอบแล้ว ก็หันก้อน​ศิลาสามรอบ เอาสองมือตบเข้าที่โคนต้นสนร้องเรียกให้เปิดประตูสามคำ บัดเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงลั่น บานประตูก็เปิดต้นสนก็หายไปทันที แลเข้าไปในประตูมีแสงสว่างแต่ไม่เห็นคน เห้งเจียเดินเข้าไปเห็นมีแผ่นศิลาจารึกอักษรสี่ตัว คือ (เชงฮวยเซียนฮู้) แปลว่าสำนักเทพยดา เห้งเจียก็เดินหลีกเข้าไปข้างใน แลเห็นตาเฒ่านั่งกอดหญิงสาวอยู่กับอก กำลังพูดกระหืดกระหอบถึงเรื่องเจ้าเมืองปี๊เปียก๊ก ว่าสามปีมาแล้ววันนี้จะสำเร็จความคิด บังเอิญอ้ายหัวลิงมันมาทำให้ความแตก
   เห้งเจียตรงเข้าไปยกตะบอกเงื้อมแล้วร้องตวาดว่า กูดูมึงดุจสัตว์หน้าขน มึงมานั่งบ่นนินทาว่าอะไรกู ตาเฒ่าก็ปล่อยนางสาว มือจับไม้เท้าขึ้นต่อสู้กับเห้งเจีย รบกันอยู่ที่หน้าถ้ำโป๊ยก่ายยืนอยู่ข้างนอกให้คันมือ อดไม่ใด้ก็ลากคราดเข้าไปสับกระชากเอาต้นสนใหญ่นั้นสามสี่ที มีโลหิตไหลออกมาจากต้นสนสด ๆ โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นจึงคิดว่าต้นไม้นี้นานปีเข้าก็กลายเป็นปีศาจไป ควรเราจะทำลายมันเสียจึงจะดี แลเห็นเห้งเจียกำลังล่อปีศาจออกมา โป๊ยก่ายก็ไม่รู้จะพูดจาว่ากระไร จับคราดเข้าสับเอาปีศาจ ๆ แลเห็นโป๊ยก่ายก็ตกใจถอยหนี บันดาลเป็นแสงรุ้งหนีไปข้างทิศตะวันออก เห้งเจียโป๊ยก่ายก็รีบเหาะตามไป จวนจะฆ่าปีศาจได้ก็ได้ยินนกการะเวกขันมีรัศมีเฟื่องฟุ้งสว่าง เงยหน้าแลไปดูก็เห็นท่านน่ำก๊กดาวสิ้วแชสกัดกั้นสายรุ้งนั้นไว้ ร้องว่าท่านใต้เซี้ยช้าก่อน ท่านพี่ผ้องหง้วนส่วยยั้งก่อนข้าพเจ้าขอคำนับ เห้งเจียคำนับตอบแล้วถามว่าน้องจะ​ไปข้างไหน
   โป๊ยก่ายหัวเราะว่า ตาเฒ่าหัวเนื้อสกัดกั้นสายรุ้งไว้คงจะจับปีศาจนั้นได้เป็นแน่ สิ้วแชจึงพูดว่าข้าพเจ้าอยู่นี่คอยขอชีวิตให้มันสักครั้งหนึ่งเถิด เห้งเจียพูดว่าเฒ่าปีศาจนั้นก็มิได้เกี่ยวข้องแก่น้อง ทำไมจึงต้องมาอ้อนวอนขอโทษมันด้วยเล่า สิ้วแชหัวเราะแล้วพูดว่า ปีศาจนั้นคือของข้าพเจ้าไว้สำหรับขี่ ข้าพเจ้าเผลอไปมันจึงได้หนีมาเป็นปีศาจดังนี้ เห้งเจียพูดว่าถ้ามันเปนปีศาจของน้อง ก็ให้มันแปลงกลับเปนรูปเดิมให้ข้าพเจ้าดูสักทีหนึ่ง สิ้วแชได้ฟังดังนั้นจึงปล่อยสายรุ้งนั้นออกแล้วร้องตวาดว่า อ้ายสัตว์เดรัจฉานจงรีบกลับกลายเป็นรูปเดิมจะได้รอดชีวิตปีศาจก็พลิกตัวทีหนึ่งกลับเป็นรูปกวางไป สิ้วแชด่าว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉานลักไม้ท้าวมาด้วย
   ฝ่ายกวางนั้นหมอบอยู่กับพื้นปากพูดไม่ได้ เอาศรีษะคำนับร้องไห้อยู่อย่างนั้น สิ้วแชก็ขึ้นขี่ลาเห้งเจียกลับไป เห้งเจียรีบมาจับสิ้วแชไว้แล้วพูดว่า ท่านน้องอย่าเพิ่งไปก่อนมีกิจธุระอยู่สองอย่างยังไม่เสร็จ สิ้วแชถามว่ายังจะมีธุระอะไรอีกเล่า เห้งเจียพูดว่ายังนางปีศาจสาวนั้นไม่ได้ตัว ไม่ทราบว่ามันเป็นปีศาจอะไร แลขอเชิญท่านน้องเข้าไปในเมืองปี๊เปียก๊ก สำแดงกายชักนำประชาชนทั้งหลาย สิ้วแชว่าถ้าดังนั้นข้าพเจ้าจะหยุดรอก่อน ท่านจงรีบพากันไปจับปีศาจสาวได้แล้ว จะได้พร้อมกันเข้าไปในเมือง เห้งเจียจึงพาโป๊ยก่ายกลับมายังถ้ำเชงฮวยต๋อง พากันเข้าไปในถ้ำโห่ร้องอึกทึก
   ​ฝ่ายนางปีศาจเมื่อได้ยินดังนั้นมีความกลัวจนตัวสั่น จึงเข้าแอบอยู่ในประตูไม่มีทางจะหนีได้ โป๊ยก่ายไล่รุกร้องตวาดว่ามึงจะหนีไปไหน นางปีศาจจวนตัวก็บันดาลเป็นสายรุ้งหนีออกไป เห้งเจียเห็นก็มาสกัดสายรุ้งไว้ ตีด้วยตะบองทีหนึ่งถูกปีศาจเจ็บปวดยั้งตัวไม่อยู่ก็ล้มลงกับพื้น กลับมาเป็นเสือปลาขาวไปตามเดิม โป๊ยก่ายอดไม่ได้ก็ยกคราดสับลงอีกทีหนึ่ง เห้งเจียร้องว่าเท่านั้นเถิดอย่าสับให้ละเอียดเลย เอาไว้นำไปให้พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรให้ทราบเหตุ โป๊ยก่ายก็สับติดกับคราดยกใส่บ่าเดินตามเห้งเจียออกมา ก็แลเห็นสิ้วแชกับกวางยืนคอยอยู่ที่หน้าถ้ำ โป๊ยก่ายเอาเสือปลาวางที่หน้ากวาง ถามว่านี่ลูกสาวของเองใช่หรือไม่ กวางนั้นก็ทำศีรีษปะหงก ๆ รับเหมือนบอกว่าใช่ ยื่นปากร้องเสียงดังว่าเป๊ก ๆ ดูดุจแสดงว่ามีใจรักใคร่และห่วงอาลัยต่อกัน
   สิ้วแชเอามือตบศรีษะทีหนึ่งแล้วด่าว่า อ้ายเดรัจฉานตัวของเองรอดชีวิตแล้วก็แล้วกันจะมาห่วงไยอะไรด้วยอีกเล่า สิ้วแชจึงแก้ผ้าคาดพุงออกผูกคอกวางนั้นแล้ว จึงพูดแก่เห้งเจียว่าเรารีบพากันไปหาพระเจ้าแผ่นดินเถิด เห้งเจียว่าจะต้องจัดแจงถ้ำเสียให้เรียบร้อยก่อน หาไม่วันหลังก็จะเกิดปีศาจขึ้นอีก เห้งเจียจึงเรียกพระภูมิเจ้าที่มาสั่งให้หาฟืนแห้ง ๆ มาเผาถ้ำเสียให้หมด ครั้นเผาถ้ำแล้วก็พร้อมกันเหาะกลับมาเมือง โป๊ยก่ายก็หิ้วเสือปลานั้นติดคราดเหาะตามมา ครั้นถึงก็ลงยังพระราชวังข้างหน้า กำลังพวกขุนนางอยู่พร้อมกัน
   ​ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินกับขุนนางทั้งหลายและพวกสนมใน แลเห็นต่างก็ตกใจคุกเข่าลงกับพื้นกราบไหว้ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็พยุงพระเจ้าแผ่นดินให้ลุกขึ้น แล้วหัวเราะพูดว่าท่านอย่าเพิ่งคำนับข้าพเจ้าก่อน กวางตัวนี้เฒ่าก๊กเชียงพ่อตา ท่านจงคำนับเสียก่อนจึงควร พระเจ้าแผ่นดินมีความอดสูพระทัยเปนนี่สุดจึงตรัสว่า ข้าพเจ้าได้พึ่งบารมีของท่านได้โปรดช่วยทารกทั้งเมืองให้รอดชีวิต พระเดชพระคุณหาที่เปรียบมิได้แล้ว พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขุนนางจัดโต๊ะเลี้ยงท่านสิ้วแชกุนพระถังซัมจั๋งแลศิษย์ทั้งสาม ขุนนางพนักงานก็ไปจัดการตามรับสั่งทุกประการ
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งก็มาคำนับท่านสิ้วแช ซัวเจ๋งก็มาคำนับถามว่ากวางนี้ของท่านหรือ เหตุใดจึงมาถึงที่นี้ทำร้ายแก่ชาวเมืองดังนั้น สิ้วแชหัวเราะแล้วตอบว่า ท่านตังฮวยตี้กุนข้ามมาที่เขาข้าพเจ้า ๆ เชิญท่านหยุดพักเล่นหมากรุกยังหาทันแล้วกระดานไม่ กวางนี้ก็หันมา พอสิ้นเวลาแขกไปแล้วหาก็ไม่เห็น ข้าพเจ้าจับยามดูก็รู้ได้ว่ามันหนีมาอยู่ตำบลนี้ จึงได้ตามมาค้นหา บังเอิญมาพบปะใต้เซียกำลังแผลงฤทธิ์อยู่ หากข้าพเจ้ามาช้าไปอีกสักหน่อย สัตว์นี้ก็จะสิ้นชีวิตเสียแล้ว พูดยังไม่ทันแล้วก็พอเจ้าพนักงานมาเชิญเข้านั่งโต๊ะ ครั้นนั่งตามลำดับพร้อมกันแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็มารินสุราอย่างดีส่งให้สิ้วแชหนึ่งถ้วย เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งคนละถ้วย พวกดนตรีก็ขับขานบรรเลงขึ้นพร้อมกัน ครั้นเสร็จการเลี้ยงแล้วสิ้วแชก็ขอลา พระเจ้า​แผ่นดินเดินมาใกล้คุกเข่าลงคำนับแล้ว ก็ขอยาแก้โรคอายุวัฒนะ สิ้วแชพูดว่าข้าพเจ้ามาตามกวาง หาได้เอายาติดมาด้วยไม่ ข้าพเจ้าก็อยากจะบอกตำราแพทย์อันพิเศษ แต่ขัดด้วยตัวของท่านมีโรคมากจะไม่พอรู้ได้ บัดนี้ข้าพเจ้ามีแต่พุดซามาสามผลเป็นของท่านตังฮวยตี๊กุนให้ข้าพเจ้า ๆ ยังไม่ได้รับประทาน ขอให้พระองค์เอาไว้เสวยเถิดพระโรคก็ค่อยธุเลาลง ผ่ายหลังอายุก็จะได้ยืนนานเพราะพุดซาสามผลนี้ ครั้นถวายผลพุดซาพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ก็ลาขึ้นนั่งบนหลังกวางตวาดทีหนึ่งกวางก็เหาะขึ้นแทรกเมฆไป พวกชาวเมืองปี๊เปียก๊กไม่ว่าชายหญิงเด็กผู้ใหญ่แลเห็นดังนั้นต่างก็จุดธูปเทียนบูชาทุก ๆ บ้าน
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ ก็จัดเก็บข้าวของจะได้ลาไป พระเจ้าแผ่นดินอ้อนวอนว่าให้อยู่ช่วยสั่งสอนก่อนก็ไม่ยอมอยู่ เห้งเจียจึงพูดเตือนสติพระเจ้าแผ่นดิน ว่าขอพระองค์จงบรรเทาความกำหนัดและความโลภให้เบาบางลง จงตั้งพระทัยในกุศลธรรมปลงพระกรรมฐานภาวนา ทรงผ่อนผันดูการที่ควรหนักและเบาพระโรคก็จะบรรเทาพระชนม์มายุก็จะยืนยาว ขอพระองค์จำไว้อย่าลืม พระเจ้าแผ่นดินมีความชอบพระทัยเป็นอันมาก จึงรับสั่งให้ขุนนางเจ้าพนักงานนำทองคำมาสองถาด ถวายเป็นเสบียงเดินทาง พระถังซัมจั๋งก็มิได้รับ คืนให้เอาไว้สำหรับบ้านเมือง พระเจ้าแผ่นดินก็เป็นอันจนพระทัยไม่รู้ที่ว่าจะทำประการใด จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดพระราชรถเข้ามาแล้ว ก็นิมนต์พระถังซัมจั๋งขึ้นบนราชรถ พระเจ้าแผ่นดิน​กับพระญาติพระวงศ์ และพระสนมนางในก็พากันตามส่งพระถังซัมจั๋งจนนอกเมือง
   ฝ่ายชาวเมืองปี๊เปียก๊ก ต่างก็ตั้งโต๊ะจุดธูปเทียนบูชาส่งพระถังซัมจั๋งทุกๆ บ้าน ในเวลาที่เจ้าเมืองกับขุนนางใหญ่น้อยและชาวเมืองแออัดอยู่นั้น ได้ยินเสียงลมบนอากาศพัดมา เห็นกรงห่านที่ใส่เด็กอยู่กลางถนน เด็กเหล่านั้นก็หัวเราะร่าเริงอยู่ทุกๆ คน และได้ยินเสียงบนอากาศร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่าท่านใต้เซี้ย ได้สั่งให้ข้าพเจ้าเอาเด็กไปซ่อนนั้นบัดนี้ท่านจัดการเสร็จแล้ว ข้าพเจ้านำเด็กมาส่งตามเดิมแล้ว พระเจ้าแผ่นดินและขุนนางข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายใน และราษฎรชาวเมือง พากันกราบไหว้นับถือสรรเสริญเห้งเจียแหงนหน้าขึ้นบนอากาศขอบคุณแล้ว จึงร้องบอกแก่พวกชาวเมืองว่า บุตรของใครก็ให้มารับเอาบุตรของตัวไป
   ฝ่ายราษฎรทั้งหลาย เมื่อได้บุตรของตนแล้วก็มีความยินดีแลขอบใจยิ่งนัก จึงพากันร้องนิมนต์ว่า ขอพระผู้เป็นเจ้าอยู่อย่าเพิ่งไปก่อน จงอยู่ให้พวกข้าพเจ้าฉลองพระเดชพระคุณตอบแทนบ้าง พวกราษฎรบางคนก็เข้าอุ้มเอาพระถังซัมจั๋ง บางคนก็เข้าหามเห้งเจียและโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ไปยังบ้านเรือนจัดของแจและเย็บตัดจีวรและเสื้อกางเกงถวาย บางคนก็เอาม้าไปเลี้ยง แต่ทำการชักช้าอยู่ดังนั้นประมาณเดือนหนึ่ง จึงได้ส่งพระถังซัมจั๋งออกจากเมือง พระถังซัมจั๋ง​กับสานุศิษย์สามคน ออกจากเมืองปี๊เปียก๊กไปประมาณห้าสิบเส้น จึงได้ขอบคุณลาจากไป ฝ่ายเจ้าเมืองกับขุนนางและราษฎรก็พากันกลับเมือง
The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 4-24 พากย์ไทย