Translate

29 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 29 ไซอิ๋ว นวนิยาย

     ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่    
    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖  ตอน ปีศาจชุดเหลืองจอมโหด ปะทะ ซุนหงอคง (ช่วงที่ 3 จบ.)
(บทที่ ๓๑)   เห้งเจียเห็นดังนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ จึงเรียกว่าตือโป๊ยก่าย โป๊ยก่ายได้ยินร้องเรียกคำหนึ่ง ก็กระโดดยืนขึ้นบอกว่านี่และนี่และคือตือโป๊ยก่ายแน่แล้ว เห้งเจียถามว่าทำไมไม่ตามพระอาจารย์ไป กลับมานี้มีธุระอะไรหรือ หรือเจ้าทำให้พระอาจารย์ขัดเคืองอย่างไร พระอาจารย์ขับไล่เจ้าเสียดอกกระมัง โป๊ยก่ายบอกว่าไม่ได้ทำให้อาจารย์ขัดเคืองอะไรดอก เห้งเจียว่าไม่ได้ทำให้ขัดเคืองทำไมจึงมาที่นี่ข้าสงสัยอยู่ โป๊ยก่ายว่าเพราะด้วยพระอาจารย์คิดถึง จึงใช้ให้ข้าพเจ้ามาเชิญพี่ไป เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์นั้นได้ทำหนังสือสัญญาให้ไว้แก่เราแล้ว บัดนี้จะมาคิดถึงเราทำไมไม่หน้าเชื่อเลย
   โป๊ยก่ายว่า พระอาจารย์ท่านคิดถึงจริง ๆ เพราะว่าเมื่อวันก่อนพระอาจารย์อยู่บนหลังม้ากำลังเดินไป อาจารย์ก็เรียกสานุศิษย์ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ยิน ซัวเจ๋งก็ไม่ได้ยินทำหูหนวกเสีย เพราะฉะนั้นพระอาจารย์จึงได้คิดถึงพี่ ว่าพวกข้าพเจ้าทั้งสองไม่เป็นการ โง่เขลามึนตึงนัก พูดว่าพี่เป็นผู้ว่องไวฉลาดเฉลียว เวลาใดเรียกก็ได้ยินทุกครั้ง เพราะฉะนั้นจึงได้รีบเร่งให้ข้าพเจ้ามาเชิญพี่ไป ขอพี่จงได้ไปเถิด เห้งเจียครั้นได้ฟังดังนั้น จึงลงมาจากแท่นหิน เดินมาจับมือโป๊ยก่ายพูดว่า น้องมาลำบากโดยทางไกล จงอยู่เล่นก่อนแล้วจึงค่อยไป โป๊ยก่ายว่าหนทางนั้นเหลือไกล วิตกแต่อาจารย์จะคอยท่า เราสองคนขอให้รีบไปเถิด
   เห้งเจียพูดว่าน้องมาถึงวันนี้ จึงไปชมชัยภูมิเขานี้เล่นก่อนเถิด โป๊ยก่ายก็ไม่อาจขัด แต่ใจนั้นร้อนเหมือนไฟโดยวิตกถึงพระอาจารย์ แต่จนใจจำใจเดินตามเห้งเจียไปเหมือนคนไม่มีวิญญาณฉะนั้น เห้งเจียจับมือโป๊ยก่ายจูงขึ้นบนยอดเขา ภูเขานี้ตั้งแต่เห้งเจียกลับมาก็จัดแจงซ่อมแซมดูงดงามขึ้นมาก เป็นที่หนึ่งแห่งภูเขาในใต้หล้านี้ เห้งเจียพาโป๊ยก่ายเที่ยวดูแล้วก็พากลับเดินลงจากยอดเขา เห็นพวกบริวารวานรพากันเอาผลไม้ต่าง ๆ มาให้เห้งเจียเป็นข้าวเช้า เวลาเช้า เห้งเจียพูดว่าน้องของเราท้องใหญ่ ผลไม้เล็กน้อยที่ไหนจะพอ เห้งเจียจึงว่า เชิญน้องกินแก้หิวเถิด
   เวลานั้นตะวันก็ขึ้นสูง โป๊ยก่ายจึงเร่งเห้งเจียว่า พระอาจารย์จะคอยท่าพี่จงรีบไปเถิด เห้งเจียว่าน้องจะเข้าไปชมในถ้ำก่อนเถิด โป๊ยก่ายไม่ยอมไป เห้งเจียพูดว่าถ้ากระนั้นข้าไม่กล้าจะหน่วงเจ้าไว้ แม้เจ้าจะไปก็เชิญเถิด
   โป๊ยก่ายถามว่าพี่ไม่ไปกับข้าดอกหรือ เห้งเจียถามว่าเจ้าจะให้ข้าไปไหน เราอยู่ที่นี่ไม่มีผู้ใดมาบังคับเราได้ กินนอนก็เป็นสุขแล้ว จะวิ่งไปหาความทุกข์ยากอะไรที่ไหนอีกเล่า พระอาจารย์ถังซัมจั๋งก็ไล่เราแล้ว จะคิดถึงเราทำไมมีเราไม่เห็นด้วยเลย โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็เสียใจเป็นที่สุด ไม่อาจที่จะพูดอะไรอีกต่อไป จึงคำนับลาออกเดินไป เห้งเจียเห็นโป๊ยก่ายเดินลงไปจากเขาแล้ว จึงเรียกวานรบริวารมาสั่งว่า เจ้าจงตามโป๊ยก่ายไปแอบฟังดูว่า โป๊ยก่ายจะพูดจาว่าบ่นประการใด พวกวานรได้ฟังคำสั่งดังนั้น ก็พากันตามไป
   ฝ่ายโป๊ยก่ายเมื่อเดินลงมาจากเขาหันหน้ากลับชี้มือพูดว่า อ้ายเห้งเจียอ้ายชาติลิงไพร มึงไม่ตามพระอาจารย์ผู้มีคุณไป มึงจะอยู่เป็นปีศาจยักษ์หาความสุข กูมีกะใจมาเชิญมึง ๆ ไม่ไปก็ช่างเถิด เดินพลางด่าพลางไม่หยุดปาก พวกวานรที่เดินตามไปฟัง ได้ยินดังนั้นก็กลับมาบอกเห้งเจียตามที่โป๊ยก่ายบ่นด่าว่าทุกประการ เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็บันดาลโทโสร้องสั่งว่าพวกเจ้าจงตามไปจับตัวมาให้ได้พวกลิงทั้งหลายก็กรูกันไปล้อมจับเอาตัวโป๊ยก่ายมัดมือไพล่หลังพามายังถ้ำ
   ฝ่ายเห้งเจียอยู่ในถ้ำ เห็นพวกวานรจับตัวโป๊ยก่ายมาได้ จึงด่าว่าอ้ายชาติหมูกินรำมึงจะไปก็ไยมิไป ทำไมมึงจึงต้องด่าว่ากูด้วยเล่าโป๊ยก่ายคุกเข่าลงกับพื้น พูดว่าข้าพเจ้าอาจด่าพี่ได้ที่ไหน แม้ด่าพี่จริงดังนั้นก็ให้พี่ตัดคอข้าพเจ้าเสียเถิด เห้งเจียว่าเจ้าจะหลอกข้าได้อยู่หรือ หูข้างซ้ายของข้าได้ยินตลอดชั้นฟ้า เทวดาจะพูดร้ายดีอย่างไรข้าก็ได้ยิน หูข้างขวาของข้าได้ยินตลอดยังพระยาเงียมฬ่ออ๋อง (ยมราช) เจ้าด่าข้า ๆ จะไม่รู้ทีเดียวหรือ เห้งเจียจึงเรียกวานรให้เลือกไม้พลองอันใหญ่ ๆ มาจับอ้ายโป๊ยก่ายให้นอนหงายขึ้น ตีด้วยพลองที่ท้องยี่สิบทีแล้ว คว่ำลงจะเฆี่ยนหลังอีกยี่สิบทีแล้วข้าจะเอากระบองเหล็กตีส่งไปอีก
   โป๊ยก่ายได้ยินเห้งเจียสั่งดังนั้น จึงคำนับพูดว่าขอพี่ได้เห็นแก่พระอาจารย์เถิด ขอให้ยกโทษข้าพเจ้าไว้ก่อนเถิด ด้วยข้าพเจ้าได้ผิดแล้ว เห้งเจียจึงว่าเราจะเห็นอะไรแก่พระอาจารย์ ๆ ก็ได้ขับไล่เราเสียแล้ว โป๊ยก่ายว่า พี่ไม่เห็นแก่พระอาจารย์ก็จงเห็นแก่พระโพธิสัตว์เถิด เห้งเจียได้ยินออกชื่อพระโพธิสัตว์ใจก็อ่อนลงทันที จึงพูดว่าถ้ากระนั้นเราไม่เฆี่ยนเจ้า ๆ จงบอกไปตามจริง พระอาจารย์ต้องภัยได้ทุกข์อย่างไรหรือ เจ้าจึงมาล่อหลอกเราอย่างนี้
   โป๊ยก่ายยังยืนคำอยู่ว่าพระอาจารย์มิได้ต้องภัยได้ทุกข์ที่ไหนดอก เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็ไม่เชื่อ จึงพูดว่าเจ้ามาหลอกเราได้ เฆี่ยนเสียจึงจะดีตั้งแต่เรากลับมา พระอาจารย์เดินไปก็ได้มีภัยทุก ๆ ตำบล เกิดเหตุร้ายแรงทุกย่างก้าว เจ้าจงรีบบอกมาโดยเร็วเราจึงจะยกโทษให้ หาไม่จะต้องตีเสียให้แทบตาย โป๊ยก่ายจึงพูดว่า ข้าพเจ้าปดพี่จริง ๆ ไม่ทราบว่าพี่จะมีหูทิพย์ตาทิพย์ศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้เลย ขอพี่จงยกโทษอย่าเฆี่ยนตีข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าจะบอกตามจริงทุกประการแล้ว
   เห้งเจียจึงบอกว่าลุกขึ้นเถิด พวกวานรทั้งหลายก็พากันถอยห่างออกไป โป๊ยก่ายผุดลุกขึ้นก้าวซ้ายก้าวขวาทำท่าจะหนี เห้งเจียว่าเองจะก้าวไปข้างไหน โป๊ยก่ายว่าไม่ไปไหน เดินผิดทางไปเห็นทางว่างก็เดินไปกระนั้น เห้งเจียว่าต่อให้เจ้าไปก่อนสามวัน เราจะตามไปจับตัวมาให้ทันมิให้หนีไปพ้นได้ เจ้าจงเข้ามาบอกความจริงโดยเร็วเถิด โป๊ยก่ายก็เข้าไปยืนใกล้แล้ว ก็เล่าบอกตั้งแต่ต้นจนปลายตามที่เป็นมาทุกประการ
   เห้งเจียครั้นได้ฟังโป๊ยก่ายพูดเล่าบอกดังนั้นมีความโกรธจึงพูดว่า เมื่อเราจะกลับมาเราก็ได้สั่งไว้ทุกประการว่า แม้ไปพบปะปีศาจภูตผีและยักษ์มารในที่ใด ๆ จึงบอกชื่อเราว่าเป็นสานุศิษย์ของพระอาจารย์ปีศาจทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะไม่กล้าทำร้ายแก่พระอาจารย์ นี่เป็นเพราะพวกเจ้าอวดดีจึงได้เกิดเหตุร้ายแรงขึ้นอย่างนี้ โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียว่ากล่าวก็เป็นการจริงใจทุกอย่าง จึงคิดว่าอย่าเลยจะพูดให้เสียดแทงหัวใจเห้งเจียจึงจะได้ คิดแล้วจึงพูดว่าข้าพเจ้าก็ได้ออกชื่อพี่ แต่ปีศาจมันกลับหมิ่นประมาทดูถูกไม่มีความยำเกรง เห้งเจียถามว่ามันไม่เกรงกลัวนั้นมันพูดอยาบช้าหมิ่นประหมาทอย่างไร
   โป๊ยก่ายเห็นได้ทีจึงปดทับถมว่า ข้าพเจ้าได้พูดว่าปีศาจมึงอย่าจองหอง อย่ามาคิดร้ายแก่พระอาจารย์ ยังมีพี่กูเป็นสานุศิษย์ใหญ่ชื่อว่า (หงอคง) เธอมีฤทธาอานุภาพมากเหาะเหินเดินอากาศได้ เคยปราบปรามภูตผีปีศาจยักษ์มารมามากแล้ว ถ้าเธอมาเวลาใดมึงก็จะถึงความพินาศจนไม่มีที่จะฝังศพ เมื่อข้าพเจ้าออกชื่อพี่ดังนี้ปีศาจมันกลับบังอาจพูดว่า ไหนอ้ายคนไหนที่ชื่อว่าอ้าย (ซึงหงอคง) ขอให้มันมาเอาโลหิตเส้นคมอาวุธดูสักหน่อยเถิด ต้องการอยากพบแก่มันนัก ถ้ามันมาแล้วเราจะจับมันลอกหนังเสีย แลชักเอาเส้นเอ็นออกกัดกระดูกให้แหลกเหลวลากหัวใจออกมากินเสีย เราจะปล่อยให้มันมาต่อสู้แก่เราทำไมหรือบางทีก็จะต้มน้ำมันเสีย
   เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายบอกดังนั้นเหมือนใครเอาไฟมาจุดเข้าที่หัวใจลุกขึ้นโลดเต้นเกาหูเกาคางออกวุ่นวายตามกิริยาของลิง แล้วจึงถามว่าอ้ายปีศาจอะไรจึงสามารถมาด่าว่าท้าทายเราได้ถึงเพียงนี้ โป๊ยก่ายจึงว่าพี่จงหยุดยั้งอย่าเพิ่งโกรธวุ่นวายก่อน ที่มันพูดมันดูถูกพี่นั้นคืออ้ายปิศาจอึ่งเพ้า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงจำมาเล่าให้พี่ฟัง
   เห้งเจียจึงพูดว่าเราจะไปปราบปีศาจแม้เรามิไป มันจะหมิ่นประมาทเราได้ว่าไม่สู้มัน โป๊ยก่ายว่าขอพี่ได้ไปแก้แค้นหรือพี่จะไม่ไปก็ตามแต่ใจของพี่เถิด เห้งเจียกระโดดลงจากแท่นเข้าห้องผลัดเครื่องนุ่งห่มออกแล้ว เอาเครื่องผ้าผูกคอและผ้านุ่งด้วยหนังเสือ ครั้นแต่งตัวเสร็จแล้วก็เดินออกมามือถือกระบองเหล็ก พวกบริวารวานรก็กรูกันมาถามว่าใต้เซียจะไปไหน
   เห้งเจียพูดว่าเดิมเราตามพระอาจารย์ไปทั่วจักระวาล ก็รู้ว่าเราเป็นสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋ง เวลานั้นเธอว่าเราเป็นคนผิดไล่เราให้เรากลับมา เรากลับมายังที่เดิมของเรา ๆ ก็มีความสุขสำราญแล้ว บัดนี้เราจะไปตามรักษาพระอาจารย์ไปอาราธนาพระธรรม กว่าจะสำเร็จแล้วเราจึงจะกลับมาหาพวกเจ้า จะได้ความบรมสุขด้วยกันไปภายหน้า พวกบริวารได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้นต่างก็คำนับทุก ๆ ลิง
   เห้งเจียจับมือโป๊ยก่ายไว้แล้วก็เหาะขึ้นบนเวหา ลอยละลิ่วปลิวมาเร็วยิ่งกว่าลมพัด บัดเดี๋ยวก็ถึงตังเอี๋ยงทะเลใหญ่เหาะข้ามฟากมา ครั้นถึงฝั่งตะวันตกเห้งเจียบอกแก่โป๊ยก่ายว่า น้องจงค่อย ๆ ไปพี่จะลงอาบน้ำสักประเดี๋ยวจะตามไป ตั้งแต่พี่กลับมามันติดกลิ่นอ้ายปีศาจจะเหม็นสาบพระอาจารย์ไม่ชอบ ท่านชอบแต่คนสะอาด
   โป๊ยก่ายเวลานั้นก็รู้สึกได้ว่า เห้งเจียเป็นผู้ใจกตัญญูจริงมิได้คิดนอกใจแก่พระอาจารย์ โป๊ยก่ายรอคอยอยู่บนอากาศ เห้งเจียลงไปอาบน้ำประเดี๋ยวก็เหาะกลับขึ้นมา พร้อมกันเหาะตรงมายังปราจิณทิศ แลไปข้างหน้าก็เห็นพระเจดีย์มีรัศมีออกโชตช่วง โป๊ยก่ายชี้มือบอกว่านั่นและที่อยู่ของปีศาจอึ่งเพ้าแล้วซัวเจ๋งยังอยู่ในนั้น เห้งเจียว่าไว้ธุระพี่จะลงไปดูก่อน จะได้คิดต่อสู้แก่ปีศาจต่อไป โป๊ยก่ายว่าเวลานี้ปีศาจมิได้อยู่ในถ้ำ เห้งเจียว่าพี่เข้าใจได้แล้วพูดกันดังนั้นแล้วก็ลอยลงไปยังประตูถ้ำ
   เห้งเจียก็เดินเข้าไปในประตูถ้ำเที่ยวมองดูก็เห็นปีศาจเด็กสองคนกำลังวิ่งเล่นกันอยู่ เห้งเจียก็วิ่งเข้าจับเอาจุกผมลากมาทั้งสองคนเด็กก็ร้องอึกกะทึกขึ้น พวกปีศาจบริวารเหล่านั้นก็เข้าไปบอกแก่นางก๋งจู๊ว่า บัดนี้ลูกของก๋งจู๊ทั้งสองคนนั้นมีคนมาจับไปข้างนอกแล้ว
   นางก๋งจู๊ได้ฟังดังนั้น ก็รีบออกมาข้างนอก แลเห็นเห้งเจียจับเอาบุตรไป จึงร้องไปว่า ท่านทำไมมาจับบุตรของเราไปข้างไหน พ่อของมันดุร้ายนัก ท่านอย่าทำดังนั้นจะวุ่นวายขึ้น เห้งเจียพูดว่า ก๋งจู๊จำเราไม่ได้หรือ เราคือสานุศิษย์ใหญ่ของพระถังซัมจั๋ง คือ ซึงหงอคง บัดนี้น้องของเรา คือ ซัวเจ๋ง ยังอยู่ในถ้ำนี้ นางก๋งจู๊ไปปล่อยออกมาแล้ว เด็กทั้งสองนี้เราจึงจะคืนให้ นางก๋งจู๊ได้ฟังดังนั้น ก็วิ่งกลับเข้าไปในถ้ำ ตวาดพวกปีศาจที่คุมซัวเจ๋งให้ถอยออกไป แล้วนางเข้าแก้มัดซัวเจ๋งออก ซัวเจ๋งว่าอย่าปล่อยข้าพเจ้า ปีศาจมันจะทำอันตรายแก่ท่าน
   นางก๋งจู๊พูดว่าท่านมีคุณได้ช่วยข้าพเจ้า ๆ จะแก้ให้ท่านไปพ้นจากอันตราย บังเอิญบัดนี้ที่หน้าถ้ำ มีพี่ของท่านชื่อเห้งเจียมาบอกให้เราปล่อยท่านออกไป ซัวเจ๋งครั้นได้ทราบดังนั้น แลได้ยินอักษรสองคำว่าเห้งเจียดุจดังว่าน้ำทิพย์มายาใจ มีความรื่นเริงหาที่เปรียบมิได้ก็รีบออกมายังประตูถ้ำ แลเห็นเห้งเจียคำนับแล้วพูดว่า วันนี้พี่อยู่บนฟ้ามาหรือ ขอให้ช่วยข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า เมื่อก่อนนั้นหากว่าอาจารย์ภาวนาคาถา ช่วยกันแก้ไขบ้างก็จะดี กลับทำพูดส่อเสียดจะรับรักษาพระอาจารย์ไปทางไซทีให้ตลอด ทำไมไม่ไปกลับมาคุดคู้อยู่ที่นี้เล่า ซัวเจ๋งจึงพูดว่าพี่เป็นคนกุนจือ การที่แล้วไปไม่ควรกลับเอามากล่าว ซัวเจ๋งก็พบแก่โป๊ยก่าย จึงเล่าถึงการเมื่อวานนี้ให้ฟัง เห้งเจียว่าอย่าพูดให้ช้าการ เจ้าสองคนจงรีบเอาเด็กนี้ไปยังเมืองเชียงโป๊ก๊กก่อน ล่อปีศาจอึ่งเพ้า ที่นี่ไว้ธุระพี่จะคอยมันมา ซัวเจ๋งว่าจะล่อมันอย่างไร
   เห้งเจียว่า น้องทั้งสองจงเอาเด็กไปยังปราสาทในพระราชวัง เอาเด็กนี้ฟาดลงกับพื้น ถ้าใครถามก็จงบอกว่าเด็กนี้เป็นลูกของปิศาจอึ่งเพ้าจับมาได้ ถ้าปีศาจเห็นแล้ว รู้ดังนั้นก็คงกลับมายังถ้ำ พี่ไม่ต่อสู้แก่มันในเมือง โดยเห็นว่าราษฎรจะตกใจแตกตื่นวุ่นวายกัน โป๊ยก่ายซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ก็คำนับลาอุ้มเด็กเหาะกลับตรงเข้าไปในเมืองเชียงโป๊ก๊ก
   เห้งเจียเห็นคนทั้งสองไปแล้ว ก็เดินเข้าไปยังประตูใน ก๋งจู๊จึงเดินมาถามว่า ท่านเป็นคนอยู่ในศีลในธรรม ทำไมไม่ถือธรรมเนียม ท่านว่าให้ปล่อยน้องท่าน ๆ จะปล่อยลูกเรากลับ นี่น้องท่านเราก็ปล่อยไปแล้ว ทำไมท่านจึงไม่คืนลูกของเรามาให้เราเล่า เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ก๋งจู๊อย่าเพิ่งโกรธก่อน บุตรท่านข้าพเจ้าให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งพาไปเฝ้าพระเจ้าตาแล้ว ก๋งจู๊ว่าท่านทำอย่างนั้นมิผิดหรือ คืออึ่งเพ้านั้นไม่เหมือนคนทั้งหลาย
   เมื่อวานนี้น้องของท่านทั้งสองรูปร่างดูแข็งแรงยังสู้มันไม่ได้ ตัวของท่านผอมดุจคนรื้อไข้จะมีฝีมืออย่างไรจึงจะจับมันได้ เห้งเจียพูดว่าอันฝีมือนั้นก่งจู๊ยังไม่เคยเห็นข้าพเจ้ากำจัดปีศาจดอก ก๋งจู๊ถามว่าท่านทำอย่างไร จึงจะปราบมัน ได้ เห้งเจียว่าจงหาที่ซ่อนตัวไว้ข้าพเจ้าคอยมันกลับมา จะได้ตีมันให้ล้มลงแล้ว ข้าพเจ้าจะพาก๋งจู๊กลับไปเมือง ก๋งจู๊ได้ ฟังเห้งเจียแนะนำดังนั้น ก็กลับเข้าไปในถ้ำหาที่แอบซ่อนตัวอยู่ เห้งเจียก็แปลงกายเป็นเหมือนก๋งจู๊นั่งคอยท่าอึ่งเพ้าอยู่ในถ้ำ
   ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง อุ้มลูกปีศาจสองคนเหาะมายังพระราชวังใน ครั้นถึงน่าพระที่นั่ง โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็เอาเด็กนั้นฟาดลงกับพื้น ร่างกายเด็กทั้งสองก็อ่อนน่วมไปทั้งตัว เวลานั้นกำลังขุนนางข้าราชการอยู่พร้อมกัน เมื่อได้เห็นดังนั้นก็พากันตกใจว่าไม่ดีแล้ว บนฟ้าฟาดคนลงมาสองคน โป๊ยก่ายร้องประกาศด้วยเสียงอันดังว่า อ้าย เด็กสองคนนั้นคือลูกของปีศาจอึ่งเพ้า ข้าพเจ้าโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งไปจับมันมาได้เอง ฝ่ายปิศาจกำลังเมานอนอยู่ในตำหนักงึ้นอันเต้ย เวลานั้นกำลังนอนฝัน ได้ยินเสียงคนออกชื่ออึ่งเพ้า ก็ตกใจพลิกตัวตื่นเงยหน้ามองดู เห็น
   โป๊ย ก่ายกับซัวเจ๋งยืนอยู่บนเมฆสองคน ทำอึกกะทึกแส้เสียง อึ่งเพ้าจึงดำริแต่ในใจว่า เมื่อวานนี้โป๊ยก่ายก็หนีแล้ว ซัวเจ๋งก็จับได้ขังไว้ในถ้ำ ทำไมมันจึงมาได้ และลูกของเราก็อยู่ในถ้ำ ทำไมจึงมาตกอยู่ในมือมันได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะกลับไปดูที่ถ้ำก่อน จะมีเหตุร้ายดีประการใด แล้วเราจึงค่อยกลับมาโต้ตอบแก่มันก็ไม่ช้าอะไร
 คิดดังนั้นแล้วก็ มิได้เข้าไปลาเจ้าเมือง รีบเหาะตรงไปยังถ้ำ ในเวลานั้นก็รู้ทั่วกันว่าฮูเบ๊นั้นคือปีศาจยักษ์ เจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กจึงรับ สั่งให้คอยระวังเสือเฒ่านั้น ฝ่ายอึ่งเพ้ามาถึงถ้ำจึงเดินเข้าไปในประตู เห้งเจียแปลงนั่งคอยท่าปีศาจ พอแลเห็นเดินเข้า มาเห้งเจียเอานิ้วหยิกนัยน์ตาแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำตาก็ไหลลงอาบกาย แล้วเอามือทุบอกและทอดกายลงดิ้น ร้องไห้เสียงโฮ ๆ เมื่อปีศาจอึ่งเพ้าเห็นดังนั้น ก็อดกลั้นอยู่มิได้วิ่งมาใกล้ลูบไล้ใต่ถามว่าเป็นอย่างไรที่ไหนหรือ จึงได้ เศร้าโศกเดือดร้อนรำคาญอย่างนี้
 เห้งเจียจึงมารยาบอกว่าใต้อ๋องมีคำเขาพูดว่า ชายไม่มีเมีย ทรัพย์ไม่มีเจ้าของ หญิงไม่มีผัวตัวก็ลอย เปล่า เหมือนเมื่อวานนี้ท่านไปเยือนญาติทำไมไม่กลับมา เมื่อเช้าวันนี้โป๊ยก่ายมันมาแย่งเอาซัวเจ๋งไปแล้วมิหนำซ้ำจับ เอาลูกทั้งสองไปด้วย ข้าพเจ้าขอร้องเท่าไรมันก็ไม่ฟัง มันว่าจะพาไปในพระราชวังเยี่ยมพระเจ้าตา ครึ่งวันแล้วก็ มิได้เห็นลูก ไม่รู้ว่าจะตายเป็นประการใดก็ไม่เห็นใต้อ๋องกลับมาข้าพเจ้าจะทำอย่างไรได้ เพราะฉะนั้นให้มีความ เจ็บแค้นในใจ จะกลั้นน้ำตาไว้มิได้
 อึ่งเพ้าได้ฟังก๋งจู๊เล่าให้ฟังดังนั้น ก็โกรธพูดว่าลูกของเราจริงแล้ว เห้งเจียแปลงพูด ว่าโป๊ยก่ายมันแย่งเอาไปเสียแล้ว ปีศาจก็โกรธดุจไฟกัลป์ กระโดดโลดเต้นขยับเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า มันเอาลูกกูไปฆ่าเสีย แล้ว เราจะต้องจับอ้ายสองคนนี้มาฆ่าเสียบ้างจะได้แก้แค้นให้แก่ลูกเรา อึ่งเพ้าพูดแก่ก๋งจู๊แปลงว่าเจ้าอย่าโทมนัสร้อง ไห้ไปเลยในจิตใจของเจ้านั้น เป็นอย่างไรบ้างหรือเปล่า เห้งเจียแปลงบอกว่าไม่เป็นอะไรดอก เพราะข้าพเจ้าคิด ถึงลูกร้องไห้หนักเข้า ในท้องก็ให้จุกขึ้นมา
 ปีศาจพูดว่าเจ้าไม่ต้องรีบรัดใจ อันการจุกเสียดนั้นมีของวิเศษเอาคลึงเข้า ที่เสียดนั้นก็จะหาย เอานิ้วดีดทีหนึ่งก็ถอนหัวใจของเราออกมา เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ ปิศาจก็พาเห้งเจียไปในที่ลับแล้ว สำรอกของวิเศษสิ่งหนึ่งออกมาประมาณ เท่าฟองไก่ เห้งเจียเห็นก็ดีใจ พูดว่าของนี้ประกอบมากี่ปีจึงสำเร็จเป็นของวิเศษ ข้าพเจ้ามีนิสัยอัน ใหญ่จึงได้มาเห็นซึ่งของนี้ เห้งเจียจึงหยิบเอามาลองคลึงดูที่น่าอกแล้วก็ลองเอานิ้วดีดดู
 ปิศาจก็ ปัดมือจะเอาคืน เห้งเจียก็เอาใส่เข้าในปาก กลืนลงไปในท้องปีศาจกำหมัดจะทุบ เห้งเจียก็เอา มือหนึ่งยกขึ้นรับไว้ เกาคางทีหนึ่ง ก็แปลงกายกลับเป็นรูปเดิมแล้วจึงพูดว่า อ้ายปีศาจยักษ์มึง อย่าทำให้ล่วงเกิน เองจงดูว่ากูนี้คือใครจำได้หรือไม่ ปีศาจอึ่งเพ้าเห็นดังนั้นก็ตกใจ พูดว่าก่งจู๊ทำไมเจ้าจึงได้แปรรูปร่างเป็นเช่นนี้ไปเล่า เห้งเจียว่าเรารู้ว่า เจ้าเป็นปีศาจ มึงว่าใครเป็นเมียของมึง ปู่ย่ายายมึงจำไม่ได้หรือ ปีศาจก็ตรึกนึก ขึ้นมาว่าข้าจำได้แต่ว่าจำชื่อไม่ได้ เจ้าคือใครที่ไหน และอยู่ที่ไหนมีธุระอะไรมาถึงบ้านเรา ล่อลวงเอา ของวิเศษของเราไป อันความจริงคือเป็นคนร้าย เห้งเจียว่าทำไมเจ้าจำข้าไม่ได้หรือ เราคือเป็นสานุศิษย์ใหญ่ของพระ ถังซัมจั๋ง นามเรียกว่า ซึงหงอคงเห้งเจีย
 เมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้นเราเป็นปู่ย่าตาทวดของเอง ปีศาจพูดว่าอย่าพูดปดเราเลย เราจับถังซัมจั๋งได้มีสานุศิษย์สองคนเท่านั้น นามเรียกว่าโป๊ยก่ายซัว เจ๋ง ไม่เคยได้ยินแซ่ซึ่งไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่ไหน เป็นอ้ายปีศาจผีมาล่อลวงเอาของวิเศษของเราอย่างนี้ เห้งเจียพูดว่า เรามิได้มาพร้อมกับคนทั้งสองนั้น เพราะเราตีปีศาจตาย อาจารย์โกรธว่าเราดุร้ายไล่เราให้กลับไปเสีย จึงมิได้ร่วม ทางมาด้วยกัน ทำไมเจ้าจึงไม่รู้จักปู่ย่าตาทวดของเองเล่า
 อึ่งเพ้าตอบว่าเจ้ามิใช่คนดี อาจารย์เจ้าไล่กลับแล้วยังจะ แบกหน้ามาดูคนทั้งหลาย เจ้าไม่มีความอายแก่เขาทั้งหลายเลย เห้งเจียด่าว่าอ้ายชาติข้า มึงไม่รู้หรือว่าวันหนึ่งก็ เป็นครู สิ้นชีวิตนบน้อมนั้นเป็นพ่อมึงคิดร้ายทำแก่พระอาจารย์กู ทำไมเราจะไม่มาช่วยเล่า จึงจะได้ทำตามสบาย ใจของมีง แล้วมีงด่าลับหลังกูทำไม ปีศาจตอบว่าข้าได้ด่าเจ้าที่ไหน เห้งเจียว่าโป๊ยก่ายบอกแก่เราว่าเจ้าด่าเรา ปีศาจว่าอ้ายตือโป๊ยก่าย อ้ายปากแหลมมันหัดฝีปากแม่สื่อ ทำไมจึงพอใจเชื่อมัน เห้งเจียว่าเจ้าอย่าพูดให้มากไป เลย โหยกเหยกเสียเวลา เจ้ามีความเกียจคร้าน แขกมาทางไกลไม่มีอะไรจะเลี้ยงแขก เจ้าจงยื่นหัวออกมาให้เรา ตีสักทีหนึ่งเป็นชาแก้อยากน้ำร้อน
 อึ่งเพ้าหัวเราะแล้วพูดว่าเห้งเจียเจ้าเข้าใจผิดไป แม้ว่าเจ้าอยากจะตี ไม่ต้องถึง ตัวเรา พวกบริวารของเราอเนกอนันต์ตัง ตามใจเจ้าจะเลือกตีเอาเรา วิตกกลัวว่าเจ้าจะออกประตูไม่ได้ ว่าแล้วอึ่ง เพ้าก็เรียกปีศาจน้อยทั้งหลายให้ล้อมกั้นประตูไว้ทุกประตูโดยความแน่นหนา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง มือก็ถือกระบองเหล็กร้องแปลงก็แปลงสามหัวหกมือ จับกระบองสามอันก็ตรงเข้ามายังพวกปีศาจตีขนาบตายราบไปทั้งสิ้น เหลือแต่อ้ายปีศาจอึ่งเพ้าหนีลอดออกมานอก ประตูถ้ำได้ แล้วร้องด่าว่าอ้ายชาติลิงไพร มึงอวดดีมาบุกรุกยังที่เขา ว่าแล้วก็กระโจนฟันเห้งเจียด้วยดาบเห้งเจียเอา กระบองเหล็กรับ ต่างต่อสู้กันไปมาประมาณหกสิบเพลง
 เห้งเจียคิดแต่ในใจว่าปีศาจนี้มันมีมีดดาบ รบแข็งแรงอาจ รับกระบองได้ ฝีมือมันก็เข้มแขง จำเราจะล่อให้มันไล่ตามแล้วจึงหวนกลับมา มันเสียท่ามีดนั้นก็จะเอาได้ คิดดังนั้น แล้วเห้งเจียก็ยกกระบองขยับล่อทำท่าหนีออกห่าง ปีศาจมือถือมีดดาบไล่รุกตามมา เห้งเจียเห็นได้ทีก็หวนกลับสวนมา ปีศาจรับไม่ทัน เห้งเจียเอากระบองตีปัดมีดดาบกระเด็นไป แล้วตีถูกปีศาจทีหนึ่ง ปีศาจก็สูญหายไปในทันทีนั้น เห้งเจียก็ยืนคิดอยู่ว่า ปีศาจเห็นจะหนีไปแล้ว
 เห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศแลหาจนรอบทั้งแปด ทิศก็มิได้เห็น จึงคิดขึ้นได้ว่า ปิศาจมันได้พูดว่าจำเราได้ ชะรอยจะเป็นดาวลงมาจากสวรรค์ จำเรา จะขึ้นไปค้นดูจะเป็นปีศาจเจ้าอะไร คิดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นไปยังประตูสวรรค์น่ำทีหมึง เดินเข้าไปใน ปราสาทธงเม่งเต้ยพบซีใต้เซียนซือทักว่าเห้งเจียท่านไปข้างไหนมา เห้งเจียคำนับบอกว่าข้าพเจ้า ตามถังซัมจั๋งไปไซที บัดนี้มาถึงเมืองเชียงโป๊ก๊ก มีปีศาจยักษ์ลักเอาลูกสาวเจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กไป แลทำร้ายแก่พระถังซัมจั๋ง ข้าพเจ้าได้ต่อสู้มันได้หนีสูญหายไป ข้าพเจ้าคิดเห็นว่ามันจะเป็นเจ้าหรือ ดาวบนสวรรค์ลงไป จึงได้ตามมาตรวจว่าจะเป็นเจ้าภูมิอารักษ์ตนใด
 ซีใต้เซียนซือได้ฟังเห้งเจียบอก ดังนั้น ก็นำความเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ ตรัสสั่งให้ตรวจดู ซีใต้เซียนซือก็ไปเที่ยวตรวจ ทุก ๆ ภูมิห้องชั้นฟ้าดาวดึงส์ ก็ไม่มีเทพยดาองค์ใดหายไป อยู่พร้อมกันทุกภูมิที่ แล้วก็ตรวจรอบ นอก ตามภูมิดาวทั้งหลายตรวจไปก็เห็นในภูมิยี่สิบแปดดาวนั้น ยังเหลือแต่ยี่สิบเจ็ดดวง หายไปแต่ ดาวกุยแช
 ซีใต้เซียนซือก็นำความมากราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ จึงตรัสถามว่า หายไปสักกี่วันแล้ว ซีใต้เซียนซือทูลว่าหายไปได้สิบสามวันแล้ว เง็กเซียงฮ่องเต้ตรัสว่า อันสิบสามวันในดาวดึงส์นี้ เป็นสิบสามปีในมนุษย์โลก จึงรับสั่งให้หมู่ดาวลงไปตามกุยแช หมู่ดาวทั้งหลาย ก็พร้อมกันถวายบังคมลาออกจากปราสาทวิมานเล่งเซียวเต้ย ไปยังประตูน่ำทีหมึงก็พากันเหาะลง ยังเขาอั๊วจื๊อซัว ครั้นถึงหมู่ดาวก็พักอยู่กลางอากาศ เดิมเมื่อปีศาจหนีเห้งเจียนั้น หมู่ดาวบนสวรรค์ก็เกรงฤทธิ์เห้งเจีย จึงพากันมาหลบอยู่ที่ริมเขานั้นจึงไม่เห็น ครั้นปีศาจกุยแชได้ยินหมู่ดาวภาวนาเรียกจึงได้ออกมาให้เห็น หมู่ดาวก็พา ตัวปีศาจไปยังสวรรค์
 เห้งเจียเมื่อเห็นปีศาจมา ก็เข้ามาสกัดหน้าจะใคร่ตี หมู่ดาวทั้งหลายจึงห้ามว่าอย่าให้ทำเลย จงขึ้นไป เฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้เถิด เห้งเจียก็พร้อมกับหมู่ดาวตามขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ ครั้นถึงหมู่ดาวก็นำเข้าถวาย กุยแชก็ เอาป้ายทองคำถวาย แล้วก็ถวายบังคมรับผิดสารภาพตามโทษที่กระทำ เง็กเซียงฮ่องเต้ จึงตรัสถามกุยแชว่า บนสวรรค์นี้เป็นบรมสุขสำราญ เหตุใดท่านจึงได้หนีลงไปอยู่ ในมนุษย์โลกทำไม กุยแชจึงกราบทูลว่า ซึ่งโทษของข้าพเจ้ากระทำผิด ก็ถึงประหารชีวิตแล้วแต่ขอพระองค์ได้โปรด
 เหตุทั้งนี้เป็นด้วยนางก๋งจู๊บุตรีเจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊ก คือนางฟ้า (เง็กนึ้ง) อยู่ในตำแหน่งพีเฮียง มิจิตปฏิพัตผูกรักแก่ ข้าพเจ้า ๆ จึงวิตกว่าจะเป็นความมัวหมองในวิมานสถานทิพย์จึงให้จุติลงไป เอากำเนิดเป็นนางก๋งจู๊ที่สาม ของพระเจ้า แผ่นดินเมืองเชียงโป๊ก๊ก ข้าพเจ้ามีความผูกพันธ์จึงได้แปลงกายเป็นปีศาจลงไปยังมนุษย์โลกจองเอาภูเขาอั๊วจื๊อซัว เป็น สถานที่อาศัย จึงได้พานางมาอยู่ด้วยกันที่ในถ้ำนั้นประมาณสิบสามปี บัดนี้เห้งเจียมาถึงก็เป็นความสำเร็จตามประสงค์ แล้ว ข้าพเจ้าก็ยอมรับโทษซึ่งได้กระทำผิดล่วงละเมิดโดยพละการ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
 เง็กเซียงฮ่องเต้ครั้นได้ ทรงฟังกุยแชกราบทูลดังนั้น พระองค์จึงเก็บป้ายทองคำนั้นไว้ ถอดกุยแชออกจากหมู่ดาวส่งไปให้อยู่กับท้ายเสียงเล่า กุนในชั้นดุสิต ช่วยในการสุมไฟเอาคุณถ่ายซึ่งโทษ เห้งเจียเห็นเง็กเซียงฮ่องเต้ปรับโทษกุยแชแล้วก็มีความยินดี ถวายบังคมลาแลคำนับลาหมู่เทพบุตรแล้วก็ออกมายังประตูน่ำทีหมึง เหาะมายังเขาอั๊วจื๊อซัวถ้ำปอง้วยต๋อง ครั้นถึงก็เข้า ในถ้ำค้นหานางก๋งจู๊ แล้วก็เล่าความตามที่เป็นมาให้นางก๋งจู๊ฟังทุกประการ
 ในทันใดนั้นโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็มาถึง เห้งเจียจึงพานางก่งจู๊ออกจากถ้ำกลับมาเมืองเชียงโป๊ก๊ก บัดเดี๋ยวก็ถึงพระราชวังโดยอำนาจอิทธิฤทธิ์ของเห้งเจีย นางก๋งจู๊ก็เดินตรงเข้าปราสาทกิมหลวนเต้ยคำนับพระราช บิดา บรรดาพวกข้าราชการฝ่ายหน้าแลฝ่ายใน ก็พากันแวดล้อมเยี่ยมเยือนก๋งจู๊ ๆ กราบทูลพระราชบิดาว่า เห้ง เจียได้ปราบปรามปีศาจด้วยกำลังอิทธิฤทธิ์เข้มแขง จึงได้รอดชีวิตมาเห็นพระพักตร์พระราชบิดาและหมู่พระญาติ
 เจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กเมื่อได้เห็นพระราชธิดากลับมาได้แล้ว ก็มีพระทัยยินดีเบิกบานยิ่งนัก จึงตรัส ถามว่าอันปีศาจคือดาวกุยแชแปลงกายมา นางก่งจู๊คือนางฟ้าเง็กนึ้งนั้น อยู่ในตำหนักพีเฮียงบนสวรรค์จุติลงมา โดยมีนิสัยต่อกัน จึงได้เป็นภรรยาสามีกันฉะนั้นหรือ เห้งเจียก็ทูลว่าเป็นดังนั้น แลบัดนี้เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ปรับโทษ กุยแชถอดเสียจากหมู่ดาวให้ไปอยู่กับท้ายเสียงเล่ากุนเป็นพนักงานสุมไฟ พระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กเมื่อได้ทรงฟังเห้ง เจียดังนั้น ก็มีความขอบคุณเห้งเจียยิ่งนัก จึงรับสั่งให้เห้งเจียไปดูพระอาจารย์
 ขุนนางทั้งหลายก็ช่วยกันหามกรง เหล็กที่ใส่เสือเฒ่านั้นออกมาแล้วให้ถอดซี่กรงนั้นออก คนอื่น ๆ เห็นพระถังซัมจั๋งเป็นเสือเฒ่า แต่เห้งเจียผู้เดียวเห็น พระอาจารย์ว่าถูกเวทมนต์ของปีศาจ แต่ปากแข้งขาไหวติงไม่ได้ เห้งเจียเห็นดังนั้นหัวเราะแล้วจึงพูดว่า พระอาจารย์ ทำไมไม่แก้ไขเล่า ท่านเห็นว่าเราเป็นคนดุร้ายไล่ให้เรากลับไปเสีย เหตุใดท่านจึงเป็นรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวดังนี้เล่า โป๊ยก่ายจึงพูดแก่เห้งเจียว่าพี่จะช่วยก็จงช่วยท่านเถิด จะทำพูดล้อเล่นเช่นนี้หาควรไม่
 เห้งเจียว่า สารพัดที่เจ้าจะพูดส่อเสียดยุยง เธอจึงได้เข้าใจว่าเจ้าเป็นคนดี ข้าเป็นคนไม่ดีเจ้าคนดีทำไมจึงไม่ช่วยเธอเล่า ยังมี หน้ามาว่าเราอีกเล่า เดิมมาเราได้บอกว่าจะไปแก้แค้นปีศาจที่ด่าเรา เราก็ได้แก้แค้นสมประสงค์แล้ว เราจะกลับไปยังถ้ำ ของเราตามเดิม ซัวเจ๋งได้ยินเห้งเจียพูดว่าจะกลับไป จึงคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า พี่ไม่เห็นแก่หน้าพระอาจารย์ก็ จงเห็นแก่พระพุทธเจ้าเถิด แม้ว่าพวกข้าพเจ้าช่วยได้แล้ว ก็จะไม่ต้องไปหาพี่ทางไกลเลย
 เห้งเจียได้ฟังซัวเจ๋งพูด ดังนั้นก็หัวเราะแล้วพยุงซัวเจ๋งให้ลุกขึ้นพูดว่า เหตุใดพี่จึงจะไม่ช่วยเล่าเจ้าจงเอาน้ำมาโดยเร็วเถิด ซัวเจ๋งจึงไปตักน้ำ มาให้เห้งเจีย ๆ รับน้ำมาวางบนมือแล้วร่ายพระเวทคาถา เสกน้ำพ่นพระอาจารย์ก็คลายซึ่งเวทมนต์นั้น พระถังซัม จั๋งก็แปรกลับตามรูปเดิม พระถังซัมจั๋งก็มาจับมือเห้งเจียถามว่า เห้งเจียมาจากไหน ซัวเจ๋งจึงเล่าความตามซึ่งโป๊ย ก่ายได้ไปเชิญเห้งเจียมา แลทั้งได้ช่วยก๋งจู๊ให้กลับเมืองได้แล้ว แลได้คลายเวทมนต์ของปีศาจที่ทำแก่พระอาจารย์ให้ แก่พระอาจารย์ด้วย
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็มีความยินดีแลขอบคุณเห้งเจียเป็นอันมาก จึงพูดว่าสานุศิษย์ได้ พึ่งเจ้าผู้เดียว ถ้าไปถึงไซทีสำเร็จแล้วได้กลับไปยังเมืองใต้ถังแล้ว จะนำความชอบของเห้งเจียขึ้นถวายพระเจ้าถังไท จงฮ่องเต้ให้ทรงทราบว่าเป็นที่หนึ่งในความชอบ เห้งเจียว่าการอันนี้พระอาจารย์ไม่ต้องพูด ข้าพเจ้าก็คงรู้พระคุณของ พระอาจารย์อยู่เอง ฝ่ายเจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊ก จึงสั่งให้จัดโต๊ะเครื่องแจเลี้ยงทั้งอาจารย์และศิษย์ แล้วให้นำเงินทองสิ่งของ ดีต่าง ๆ มาถวายพระถังซัมจั๋งเป็นรางวัล พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็มิได้รับ กลับถวายคืนไว้เป็นพระราชทรัพย์ไปตาม เดิม ครั้นเสร็จธุระแล้ว พระถังซัมจั๋งกับศิษย์สามคนก็คำนับลาพระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊ก ๆ กับขุนนางก็พากัน ตามส่งจนกระทั่งประตูเมือง

28 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 28 ไซอิ๋ว นวนิยาย

    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖    
     ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่   
ตอน ปีศาจชุดเหลืองจอมโหด (ช่วงที่ 2)
(บทที่ ๓๐)   อึ่งเพ้าปิศาจยักษ์เมื่อจับซัวเจ๋งมามัดขึงไว้แล้ว จิตใจก็ยังไม่หมายจะทำอันตรายแก่ซัวเจ๋ง จึงนั่งตรึกตรองนึกในใจว่า อันพระถังซัมจั๋งเป็นสมณะประพฤติชอบย่อมรู้ผิดถูกดีชั่วบุญบาป เราปล่อยให้เธอรอดชีวิตไป แลจะกลับให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งกลับมาทำร้ายเราดังนี้ก็ผิดไป หากจะไม่เป็นไปได้ ซึ่งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมารบนี้ ชะรอยเมียของเราเอ็ง เขียนหนังสือรับฝากพระถังซัมจั๋งไปถวายพระราชบิดา ๆ เธอทราบความจึงใช้ให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งกลับมาทำร้ายเรา อึ่งเพ้าคิดดังนั้นแล้ว ก็ให้คิดแค้นก๋งจู๊จะใคร่ฆ่านางเสีย
   ฝ่ายนางก๋งจู๊ก็หารู้ตัวไม่ ครั้นหวีผมแต่งตัวแล้วก็เดินออกมาจากห้อง อึ่งเพ้าเห็นจึงชี้หน้าว่าอีชาติหญิงร้ายจิตคล้ายสุนัขไม่มีความดี ตั้งแต่ได้เจ้ามาเราก็มิได้กล่าวคำอยาบช้าให้เคืองหู ถนอมน้ำใจเจ้าทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ที่สุดจะตกแต่งร่างกายก็ได้อุตส่าห์หาให้ได้ดังความปราถนา จะกินจะนอนก็มิให้ร้อนรน แต่เจ้ามิได้มีความกตัญญูรู้คุณแห่งเรา เจ้าคิดถึงบิดามารดาก็ตามใจเจ้า แต่มิได้คิดถึงที่ได้เป็นผัวเมียร่วมรักกันมา
   ก๋งจู๊ครั้นได้ฟังอึ่งเพ้าพูดดังนั้น มีความตกใจสะดุ้งทั้งตัว จึงคุกเข่าลงต่อหน้า อึ่งเพ้าแล้วพูดว่าใต้อ๋องทำไมวันนี้มากล่าวความอันไม่มียางรักและอาลัยเช่นนี้เล่า อึ่งเพ้าว่าไม่รู้ว่าเราแตกร้าวหรือเจ้าคิดให้แตกร้าว เราจับได้ถังซัมจั๋งจะใคร่กินเนื้อ ทำไมเจ้าแก้มัดปล่อยไป และแอบฝากหนังสือลับไปด้วยให้บิดาเจ้ารู้เรื่อง ถ้ามิดังนั้นทำไมอ้ายสองคนจะได้กลับมาทำร้ายแก่เราอย่างนี้เล่า และทั้งมันได้ทวงให้ส่งเจ้ากลับไปเมือง
   ก่งจู๋ได้ฟังอึ่งเพ้าพูดดังนั้น จึงพูดว่าท่านไต้อ๋องเห็นจะโกรธข้าพเจ้าผิดดอกกระมัง ข้าพเจ้าก็หาได้ฝากข่าวอะไรไปไม่ อึ่งเพ้าว่ายังจะทำปากกล้าไปอีกเดี๋ยวนี้เราจับได้คนหนึ่งเป็นพยาน ก๋งจู๊ถามว่าใครที่ไหน อึ่งเพ้าว่าอ้ายซัวเจ๋งศิษย์ของพระถังซัมจั๋งเป็นพยานนะสิ แรกมันมาถึงแล้วมันหนีรอดไปได้เลยจะใคร่มาหาที่ตายอีก นี่คงจะมีคนใช้ให้มาจึงได้มาอีกฉะนี้ ก๋งจู๊ได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าใต้อ๋องมีความสงสัย ขอใต้อ๋องจงยับยั้งซึ่งความโกรธไว้ก่อน ใต้อ๋องกับข้าพเจ้าไปต่อหน้าซัวเจ๋งถามดู แม้ว่าข้าพเจ้ามีหนังสือฝากไปจริงตามแต่ท่านจะฆ่าฟันเถิด แม้ว่าไม่จริงใต้อ๋องก็อย่าเพิ่งทำอันตรายแก่ข้าพเจ้าก่อนเลย
   อึ่งเพ้าได้ฟังดังนั้นก็ไม่ว่ากระไร ตรงมาจับมวยผมลากไป ครั้นมาถึงที่ ๆ ซัวเจ๋งต้องมัดอยู่นั้น อึ่งเพ้าจึงผลักนางคว่ำลงกับพื้น มือถือมีดดาบร้องถามโดยความโกรธว่า อ้ายซัวเจ๋งมึงจงบอกโดยความจริง ซึ่งเจ้าสองคนบังอาจสามารถมาพังประตูถ้ำของเราให้เสียไปทั้งนี้ เพราะอีหญิงคนนี้ฝากหนังสือไปให้พระราชบิดามันรู้ข่าว จึงให้มึงทั้งสองมาทำร้ายกูมิใช่หรือ
   ซัวเจ๋งเวลานั้นยังต้องมัดอยู่ เห็นอึ่งเพ้ามีกิริยาดุร้ายจะใคร่ฆ่านางก๋งจู๊ และถามถึงหนังสือดังนั้น ซัวเจ๋งแกล้งทำหน้าชื่นแล้วตอบว่า อ้ายมารร้ายมึงอย่าทำให้ผิดธรรมเนียมไป ใครมีหนังสือลับอะไรที่ไหน เหตุนี้เพราะด้วยมึงจับอาจารย์กูขังไว้ในถ้ำ ท่านเลยเห็นรูปร่างนาง ครั้นท่านเข้าไปขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง เจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กได้เอารูปวาดของนางออกมาให้ดู เพื่อจะสืบถามข่าวคราวว่าได้พบปะบ้างหรือ อาจารย์ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จึงบอกว่าได้พบเห็นอยู่ในถ้ำนี้ เพราะฉะนั้นเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กจึงให้เรามาทวงนางกงจู๊ เป็นความจริงอย่างนี้ จะมีหนังสือใครฝากไปที่ไหนเจ้าจะฆ่าก็จงเร่งฆ่าเราเสียดีกว่า จะฆ่าทำไมแก่ผู้หญิงคนซื่อตรง
   อึ่งเพ้าได้ฟังซัวเจ๋งพูดจาองอาจกล่าวกล้าดังนั้น ก็ทิ้งมีดเข้าประคองนางให้ลุกขึ้น ปัดเป่าผงดินแล้วพูดว่า ขอเจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธเราเลย เพราะเป็นเวลาโกรธปราศจากสติหาทันจะได้ตรึกตรองไม่ ว่าดังนั้นแล้ว ก็พยุงก๋งจู๊ขึ้นนั่งบนที่สูง คำนับขอขมาโทษที่ได้กระทำผิดล่วงเกินอยาบช้านั้น นางก็อนุญาตให้ แล้วจึงบอกแก่สามีว่าใต้อ๋องจงแก้มัดซัวเจ๋งออก เอากุญแจใส่ดีกว่า อึ่งเพ้าก็ทำตาม ซัวเจ๋งก็มีความดีใจ เราทำความดีแก่ท่าน ๆ ก็ทำความดีตอบแทนแก่เรา อึ่งเพ้าจึงให้จัดโต๊ะและสุราเสร็จแล้ว อึ่งเพ้ากับก๋งจู๊ก็นั่งโต๊ะเสพสุราเป็นที่สบายใจ แล้วอึ่งเพ้าคิดขึ้นมาได้จึงให้ปีศาจคนใช้นำเอาเสื้อกางเกงเครื่องนุ่งห่มสำหรับใหม่มานุ่งห่ม ครั้นแต่งตัวเสร็จแล้วเอามีดดาบซ่อนไว้ในเสื้อ จึงเอามือลูบหลังนางก๋งจู๊แล้วสั่งว่า เจ้าจงคอยระวังบุตรทั้งสองและระวังอย่าให้อ้ายซัวเจ๋งหนีไปได้ บัดนี้ถังซัมจั๋งคงจะยังอยู่ในพระราชวัง แลเราจะไปเยี่ยมญาติด้วย
   นางก๋งจู๊ถามว่าใต้อ๋องจะไปเยี่ยมญาติที่ไหน ข้าพเจ้ายังไม่เคยได้ยินใต้อ๋องพูดถึงญาติเลย อึ่งเพ้าจึงบอกว่าบิดาของเจ้าก็เป็นพ่อตาของเรา ๆ เป็นบุตรเขยของท่าน ทำไมไม่ไปเยือนเล่า ก๋งจู๊ห้ามว่าใต้อ๋องอย่าไปเลย เพราะเดิมพระราชบิดาก็มิได้รู้จักรูปร่างว่าเป็นประการใด ใต้อ๋องมีรูปและลักษณะอย่างนี้ จะเข้าไปในพระราชวัง ถ้าพระราชบิดาทอดพระเนตรเห็นก็จะไม่มีจิตหวาดเสียวสะดุ้งกลัวยิ่งนักหรือ จะพาให้เกิดการไม่ดีขึ้นดอกกระมัง ถ้าจะไม่ไปเสียเลยจะดีกว่าดอกกระมัง ขอใต้อ๋องจงดำริดูให้จงดีก่อน อึ่งเพ้าพูดว่าถ้ากระนั้นเราจะจำแลงตัวให้สะสวยคนทั้งหลายได้เห็นก็จะชมว่างาม ว่าแล้วอึ่งเพ้าก็ร่ายพระเวทย์บิดเบือนกายกลายเป็นมานพหนุ่มน้อยนักเรียนรูปร่างสะสวย
   ก๋งจู๊เห็นปีศาจแปลงกายสะสวยแล้วอย่างนั้น ก็มีความยินดียิ่งนัก แล้วจึงพูดว่า แม้ถึงแปลงกายสะสวยแล้วอย่างนี้ ใต้อ๋องจะเข้าเฝ้าพระราชบิดาก็คงจะไม่เสียเกียรติยศ พระราชบิดาก็คงจะทรงกรุณาบรรดาขุนนางใหญ่น้อยทั้งหลายก็คงจะมีความรักใคร่นับถือเป็นแน่ พระราชบิดากับขุนนางทั้งหลายก็คงจะรับรองเลี้ยงดูเป็นอันดี แต่เมื่อเวลาจะนั่งโต๊ะรับประทานอาหาร บางทีจะเมาสุรามากเข้าก็เผลอตัว รูปและกิริยาดุร้ายแปรกลับให้เขาเห็นก็จะพาให้เสียการ
   อึ่งเพ้าจึงตอบว่า เจ้าคิดรอบคอบไปอย่างนั้นก็ชอบแล้ว แต่เป็นธุระส่วนตัวของพี่คงจะระวังรักษากิริยาไว้ให้ดีมิให้เสียการไปได้ พูดดังนั้นแล้ว ก็เหาะขึ้นบนอากาศตรงไปยังเมืองเชียงโป๊ก๊กประเดี๋ยวก็มาถึงเมือง อึ่งเพ้าก็ลงยังพื้นเดินเข้าไปในประตูวัง ครั้นถ้งจึงบอกแก่ขุนนางว่า บัดนี้พระราชบุตรเขยที่สามจะขอเข้าไปเฝ้าพระราชบิดา ขอท่านได้เข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ
   ฝ่ายขุนนางพนักงานเฝ้าทวารครั้นได้ฟังดังนั้น จึงนำความเข้าไปกราบทูลว่าบัดนี้มีพระราชบุตรเขยที่สาม จะเข้ามาเฝ้าขอพระองค์ได้ทรงทราบ ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กได้ทรงฟังขุนนางกราบทูลดังนั้น ก็นึกสงสัยจึงตรัสถามขุนนางทั้งหลายว่าบุตรเขยของเรามีแต่สองคนเท่านั้น จะมีบุตรเขยที่สามมาแต่ไหนเล่า
   พวกขุนนางทั้งหลายจึงกราบทูลว่า บุตรเขยที่สามนั้น เห็นจะเป็นปีศาจยักษ์ดอกกระมัง ครั้นพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังขุนนางกราบทูลดังนั้น จึงตรัสว่าถ้ากระนั้นก็ให้พาตัวเข้ามาเถิด พระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรว่าอันกายสิทธิ์ถึงจะเป็นปีศาจ มันย่อมเหาะเหินเดินอากาศได้ แม้จะเรียกมันก็มาได้ จะไม่เรียกมันก็มาได้ บัดนี้มาถึงแล้ว ขอพระองค์จงเรียกตัวให้เข้ามาเถิด จะได้เห็นรูปร่างเนื้อตัวว่าเป็นประการใด เจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊ก เมื่อได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น จึงรับสั่งแก่ขุนนางให้ออกไปพาตัวอึ๋งเพ้าเข้ามา อึ่งเพ้าครั้นเข้ามาถึงหน้าที่นั่งแล้ว ก็ทำกิริยาคำนับ แล้วก็ยืนอยู่ส่วนหนึ่ง
   ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินกับขุนนางทั้งหลาย เห็นอึ่งเพ้ารูปร่างสะสวยดังนั้น ก็หารู้ว่าปีศาจแปลงกายไม่ พากันเห็นเป็นคนดีไปทั้งนั้น ส่วนพระเจ้าแผ่นดินพระองค์จึงตรัสถามว่า ถิ่นฐานบ้านเรือนของเจ้าอยู่แห่งหนตำบลใด แลเมื่อเวลาไรได้กับบุตรเรา มาวันนี้จึงได้มาเยี่ยมญาติ
   ปีศาจแปลงถวายคำนับแล้วทูลว่า ข้าพเจ้าอยู่ข้างทิศตะวันออกตรงไปจากเมืองนี้ ตำบลนั้นเขาเรียกว่า (เขาอั๊วจื๊อป้วนปอง้วยต๋อง) จากนี้ไปสามร้อยโยชน์ พระเจ้าแผ่นดินทรงซักต่อไปว่า ทางไกลถึงสามร้อยโยชน์ เหตุใดก๋งจู๊จึงได้ไปถึงพบปะเป็นผัวเมียแก่เจ้า
   อึ่งเพ้าแก้ไขโดยความเท็จว่า เดิมข้าพเจ้าฝึกหัดยิงธนูหน้าไม้ เที่ยวยิงโคถึกมฤคีเลี้ยงชีพ เมื่อก่อนสิบสามปีเดือนสี่ขึ้นสิบห้าค่ำ ข้าพเจ้าขึ้นไปบนเนินเขา จะใคร่ไปยิงเนื้อบังเอิญพบเสือเฒ่าตัวหนึ่งแบกหญิงสาวคนหนึ่งข้ามเนินลงมา ข้าพเจ้าโก่งหน้าไม้ยิงไปถูกเสือเฒ่านั้นล้มลงยังพื้น พวกข้าพเจ้าก็กรูกันเข้าจับเสือมัดแล้วพาไปบ้าน แลหญิงนั้นก็อุ้มเอาไปบ้านด้วย ค่อยพิทักษ์รักษาเอายาชโลม และให้กินข้าวน้ำจนหายเป็นปกติดีแล้ว นางก็มิได้บอกว่าเป็นพระราชบุตรี แม้ว่าบอกแก่ข้าพเจ้าแต่แรกว่าเป็นก๋งจู๊ที่สามแล้ว
   ที่ไหนจะอาจสามารถร่วมรักกันได้ ข้าพเจ้าก็คงจะนำนางมาถวาย เอาความชอบเป็นขุนนางมีเกียรติยศ เพราะก๋งจู๊บอกว่าตนเป็นพลเรือนข้าพเจ้าจึงได้ยึดไว้เป็นภรรยามาก็หลายปีแล้ว และเมื่อเวลาวันที่ข้าพเจ้าแต่งงานจะเอาเสือเฒ่าตัวนั้นออกต้มแกง เพื่อจะเชิญวงศ์ญาติมากินเลี้ยงเป็นที่รื่นเริงกัน นางก๋งจู๊เห็นดังนั้นจึงพูดอ้อนวอนข้าพเจ้า ขอให้ปล่อยเสือเฒ่านั้นไปมิให้ฆ่า ข้าพเจ้าก็ปล่อยไปมิได้ทำอันตรายแก่เสือ เสือเฒ่าเห็นแก้มัดแล้วก็ไปจำศีลอยู่ในถ้ำหลายปี สำเร็จในทางฌานเปลี่ยนแปลงกายได้ต่าง ๆ เที่ยวทำให้ชาวชนหลงเชื่อ แลทำอันตรายแก่มนุษย์ทั้งหลายอยู่เนือง ๆ
   ข้าพเจ้าได้ยินว่าเมื่อปีก่อน มีพระสงฆ์ชื่อถังซัมจั๋งมาจากเมืองใต้ถัง เพราะมีรับสั่งให้ไปมัชฌิมประเทศอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ข้าพเจ้าได้พบปะ และได้ยินอย่างนี้หลายครั้ง จึงคิดว่าอ้ายเสือเฒ่าแปลงกายได้ มันได้ฆ่าพระถังซัมจั๋งเสียแล้วได้หนังสือเดินทาง เพราะฉะนั้นมันจึงเที่ยวหลอกเขาตลอดมา แปลงเป็นรูปพระถังซัมจั๋งอย่างนี้ บัดนี้มาหลอกพระองค์ในพระราชวังใน ทำไมพระองค์จึงเชื่อถือยกย่องให้นั่งอยู่บนนั้นเล่า นี่แลคือเสือเฒ่าที่แบกก๋งจู๊ไปเมื่อสิบสามปีก่อนนั้นมิใช่พระถังซัมจั๋งที่จะไปอาราธนาพระธรรมดอก
   เจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กได้ฟังฮูเบ๊บุตรเขยพูดดังนั้น ก็ตกพระทัยตะลึงไปเป็นครู่ จึงได้พระสติถามว่าทำไมฮูเบ๊จึงจำได้ว่าเสือเฒ่าตัวนี้พาก๋งจู๊ไป ปีศาจแปลงได้ฟังถามดังนั้นจึงทูลว่าข้าพเจ้าอยู่ยังป่าเขากิริยาของเสือเฒ่านี้จะผันแปรประการใดข้าพเจ้าทราบได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงจำได้
   พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสว่า ฮูเบ๊จำได้ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นรู่ปร่างเป็นอย่างไร ฮูเบ๊ปีศาจจึงทูลว่าถ้าพระองค์จะใคร่เห็นรูปเดิมของเสือนั้นขอน้ำเย็นสักถ้วยหนึ่ง ข้าพเจ้าจะทำให้พระองค์เห็น จะได้ทรงทราบว่าจะจริงหรือไม่จริง
   พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขันธีเอาน้ำมาถ้วยหนึ่งให้แก่ฮูเบ๊ ๆ ก็เสกด้วยคาถาแล้วอมน้ำพ่นไปยังหน้าพระถังซัมจั๋ง สั่งให้แปล ร่างกายเป็นเสือเฒ่า รูปร่างพระถังซัมจั๋งก็กลายเป็นเสือเฒ่านั่งขยับเขี้ยวคำรามร้องโฮกฮากอยู่ เจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กกับขุนนางใหญ่น้อยทั้งหลายเห็นจริงดังนั้นก็พากันตกใจ หลบหนีซุกซ่อนกลัวเสือไปทุกคน ยังแต่ขุนนางฝ่ายทหารที่ใจกล้าก็พากันถืออาวุธเข้าล้อมตีเอาเสือเฒ่า
   ในครั้งนี้หากชีวิตของพระถังซัมจั๋งยังไม่ถึงที่อันตราย แม้พวกทหารตีแทงฟันสักร้อยครั้ง ก็มิได้กระทบถูกต้องถึงเนื้อหนังและรู้สึกเจ็บถึงพระถังซัมจั๋ง โดยเทพยดาป้องกันรักษาอยู่ หากเป็นผลกรรมก่อนซึ่งได้กระทำไว้ก็ให้เป็นไปตามยะถากรรมฉะนั้น ถ้าไม่มีบุญญาบารมีเทพยดามิได้พิทักษ์รักษาแล้ว เนื้อหนังพระถังซัมจั๋งก็จะแหลกละเอียดไปเช่นแก่เต้าฮู่ยี้ พวกขุนนางนายทหารทั้งหลายคอยระวังล้อมเสือจนเวลาบ่าย จึงจับเสือใส่กรงเหล็กได้แล้วจึงรับสั่งแก่ขุนนางให้จัดโต๊ะ
   เลี้ยงตอบคุณฮูเบ๊ที่ได้มาช่วย เวลานั้นก็จวนเย็นบรรดาขุนนางก็ออกจากเฝ้าเจ้าพนักงานจัดเครื่องโต๊ะพร้อมแล้ว ก็เชิญฮูเบ๊ไปนั่งโต๊ะ อึ่งเพ้าก็เข้านั่งกินตามสบาย ทั้งสองข้างซ้ายชวามีนางบำเรอรุ่นสาวรูปร่างสะอาดสวยทุก ๆ คน มายืนคอยเฝ้าฮูเบ๊ปีศาจสิบแปดคน บ้างก็รินสุราแลขับร้องดีดสีตีเป่าบำเรอต่าง ๆ อึ่งเพ้านั่งกินคนเดียวจนเวลาครึ่งคืน เสพสุรามากจนมึนเมาก็สะกดใจไว้มิอยู่ ผุดลุกขึ้นหัวเราะเสียงดังสนั่นก้อง รูปเดิมก็ปรากฎออกมาใหญ่โตสูงกว่าแปดศอก เอื้อมมือไปจับหญิงที่ดีดพิณลากมาอ้าปากออกกัดเอาศรีษะเคี้ยวกินต่างแกล้มสุรา
   ฝ่ายพวกหญิงบำเรออีกสิบเจ็ดคนเห็นดังนั้น ต่างตกใจตัวสั่นสิ้นสติทุก ๆ คน ต่างพากันลุกวิ่งหนีเที่ยวซุกซ่อน แลมิได้อาจร้องไห้อื้ออึงไปได้ ด้วยเป็นเวลามืดค่ำ พระเจ้าแผ่นดินเข้าสู่ที่พระบรรทมแล้ว ฝ่ายปิศาจอึ่งเพ้านั่งอยู่ที่โต๊ะแต่ผู้เดียวก็รินสุราออกดื่มลากเอาศพคนตายมากัดกินแกล้มเหล้าโลหิตไหลออกเปื้อนสองข้างริมฝีปากเลอะเทอะ ฝ่ายม้ามังกรของพระถังซัมจั๋ง ซึ่งผูกอยู่ที่ศาลาโรงพักนั้น ได้ยินคนพูดเล่าลือกันว่าพระถังซัมจั๋งเป็นเสือเฒ่า ให้แค้นใจดังใครเอามีดมาแทงเข้าที่ยอดอก นึกในใจว่าอาจารย์ของเราคนดี ๆ ทำไมมันจึงพูดว่าเป็นเสือเฒ่า ถ้าจริงดังนั้นเห็นปิศาจมันจะทำเอาจึงได้แปลเป็นเช่นนั้นไป ซึ่งมันทำดังนี้ คือมันจะคิดฆ่าพระอาจารย์ของเรา ทำอย่างไรหนอจึงจะแก้ไขได้
   พี่เห้งเจียหรือก็กลับไปเสียนานแล้ว โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ไม่ได้ข่าวคราว ถ้าวันนี้เรามิได้ช่วยพระอาจารย์ การที่เราอุตสาหะกระทำมาเป็นพาหะนะก็ไม่มีประโยชน์อะไร ล้มละลายไปหมดสิ้น เวลานี้ก็สองยามแล้ว ม้ามังกรไม่สามารถจะอดใจอยู่ได้ก็สลัดกระซากเชือกบังเหียนขาด เผ่นขึ้นกลางอากาศแปรรูปเป็นมังกรลอยอยู่บนเมฆพิจารณาดู ก็เห็นในพระราชวังใน
   ที่ตำหนัก (งึ้นอานเต้ย) เห็นจุดประทีปสว่างอึ๋งเพ้าปีศาจนั่งอยู่ท่ามกลางเสพสุรากินเนื้อคนตายสะบายใจ มังกร พิศดูโดยละเอียดแล้วจึงหัวเราะพูดว่า จำเราจะแปลงตัวเข้าไปล่อลวงบางทีจะสมคิดจับตัวปีศาจไว้ จะได้แก้พระ อาจารย์ออกได้
 คิดดังนั้นแล้วก็แปลงกายเป็นหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างสะอาดงามดุจผู้หญิงชาววังใน ค่อยย่องก้าว เดินขึ้นบนตำหนักเข้าไปข้างในแล้ว จึงมีวาจาโอนอ่อนพูดว่า ท่านฮูเบ๊ท่านอย่าทำร้ายข้าพเจ้า ๆ จะรินสุราให้ท่าน กิน
 ฮูเบ๊ปิศาจพูดว่าเจ้าจงรินเถิด นางมังกรแปลงก็หยิบเอาป้านสุรามารินใส่ถ้อย สุราก็มูนสูงพ้นปากถ้วยขึ้นมาสอง องคุลี โดยเหตุมังกรเสกพระเวทย์ไว้มิให้น้ำสุราล้นไหลออกไปได้ แล้วยกไปส่งให้อึ๋งเฝ้าปีศาจ ๆ ชมว่าเจ้ารินสุราดี เจ้ายังจะรินให้สูงกว่านี้ได้หรือไม่ นางแปลงบอกว่าได้ จึงหยิบถ้วยมาวาง ยกป้านขึ้นรินน้ำสุราลงในถ้วย น้ำสุราพูน สูงมียอดดุจเจดีย์ ปีศาจอึ่งเพ้ารับถ้วยสุรามาดื่มหมดถ้วยแล้ว ก็คว้าเอาศพคนตายมากัดกินอีก จึงถามหญิงแปลง ว่าเจ้าร้องเพลงได้หรือไม่ นางแปลงบอกว่าร้องได้บ้างเล็กน้อย แล้วก็ร้องให้ปีศาจฟัง
 ปิศาจถามว่าเจ้ารำเป็นหรือไม่ นางแปลงบอกว่ารำได้บ้าง แต่รำมือเปล่าไม่งาม สู้มีสิ่งใดถือแล้วรำจึงงาม ปีศาจก็ชักเกี่ยมที่เหน็บซ่อนไว้ในตัวออก ส่งให้ นางแปลงรับเอาเกี่ยมมาแล้ว ยกเกี่ยมขึ้นคำนับสามหน ก็ย่างเท้าออกท่ารำฟันซ้ายฟันขวาท่าทางคล่องแคล่ว อึ่งเพ้าแลดูไม่กระพริบตา นางเห็นได้ทีก็รำแอบเข้าไปใกล้ ยกเกี่ยมขึ้นฟันลงไปที่ศรีษะปีศาจ อึ่งเพ้าหลบทันกระโดด ถอยหลัง ฉวยเหล็กค้ำกันสาด หนักประมาณแปดสิบชั่งมารับรอต่อสู้แก่นางแปลง หลบไล่กันออกมาในท้องฟ้ามืด ต่อสู้กันไปมาประมาณแปดเก้าเพลงกำลังมังกรก็อ่อนลง จึงขยับท่าห่างออกไปขว้างด้วยอาวุธเกี่ยม
 อึ่งเพ้าจึงเอามือ รับจับเกี่ยมไว้ได้ มือหนึ่งเอาเหล็กค้ำกันสาดขว้างไป ถูกสะโพกมังกรเจ็บปวดสาหัส มังกรก็โดดลงน้ำไป ปีศาจไล่ ตามมาก็มิได้เห็นจึงกลับมายังตำหนัก (งึ้นอานเต้ย) ตามเดิมกินสุราเมาแล้วก็นอนหลับไป ฝ่ายมังกรหนีหลบอยู่ในน้ำ ประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นเงียบเสียงจึงได้โผล่ขึ้นมา เหาะขึ้นบนอากาศกลับไปยังที่พักศาลา เดิม กลายเป็นม้าไปยังเก่าเข้านอนอยู่ในโรง แต่ที่สะโพกรอยถูกเหล็กกันสาดนั้นฟกบวมมีความเจ็บปวดมาก
 ฝ่ายโป๊ยก่ายเมื่อปล่อยให้ซัวเจ๋งรบแก่อึ่งเพ้าอยู่นั้น ตัวก็เข้าซุกรกมุดหัวนอนเสียตื่นหนึ่ง ครั้นถึงครึ่งคืนก็ตกใจตื่นขึ้น แหงนดูบนท้องฟ้าเห็นดาวขึ้นเต็มท้องฟ้า จึงคิดแต่ในใจว่าซัวเจ๋งเห็นปีศาจจะจับไปแล้ว เราจะต้องกลับไปยังเมือง ก่อน คิดดังนั้นแล้วเหาะกลับมาบัดเดี๋ยวก็ถึงศาลาโรงพัก ลงยังพื้นเดินเข้าไปมองดูไม่เห็นอาจารย์
 ในเวลานั้นเงียบ สงัดไม่มีคน มองไปก็เห็นม้านอนอยู่ในโรงก็ตกใจ จึงถามว่าทำไมจึงนอนหายใจมีอาการดุจคนเกือบจะสิ้นชีวิต เหตุ อะไรที่สะโพกจึงได้บวมเล่า เห็นจะมีคนมาทำร้ายอาจารย์จับม้าทุบตีจึงได้เป็นอย่างนี้ ม้ามังกรได้ยินเสียงโป๊ยก่ายบ่นดังนั้นก็จำได้ จึงร้องด้วยเสียงอันดังว่าอ้ายหมูป่าไปไหนมา โป๊ยก่ายได้ยินเสียงคนก็ประหลาดใจแทบจะล้มลงยั้งตัวได้จะใคร่ออกวิ่ง ม้าก็หันปากกัดชายเสื้อไว้ แล้วพูดว่าอย่ากลัว โป๊ยก่ายตัวสั่นถามว่าทำไมวันนี้น้องจึงพูดภาษาคนได้ จะมีเหตุร้ายแรงอย่างไร ดอกกระมัง
 ม้าจึงพูดว่า พี่ไม่รู้หรืออาจารย์นั้นมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นแล้ว โป๊ยก่ายบอกว่าเราไม่รู้ เลย ม้าพูดว่าไม่รู้จริงฉันจะเล่าให้พี่ฟัง ม้าจึงเล่าตั้งแต่ต้นจนปลายให้โป๊ยก่ายฟังทุกประการ โป๊ยก่ายว่ามีเหตุขึ้นอย่างนี้เราจะคิดแก้ไขอย่างไรดี ม้ากลับถามโป๊ยก่ายว่าพี่จะคิดอย่างไรเล่า โป๊ยก่ายว่าเราขยับขยายกลับไปยังทะเลเถิด เข้าของเหล่านี้พี่จะหาบไปยังบ้านพ่อตา กลับไปเป็น ลูกเขยเขาเสียดีกว่า
 ม้ามังกรได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็กัดเอากางเกงดึงไว้ไม่ยอมปล่อย แล้วก็ร้องไห้อ้อนวอน ว่าขอพี่อย่าได้คิดเช่นนั้นเลย โป๊ยก่ายถามว่าไม่ให้คิดอย่างนั้นจะให้คิดอย่างไรเล่า ซัวเจ๋งปีศาจก็จับขังไว้เสียแล้ว ข้ารบสู้มันไมได้ จะไม่ไปจะให้ทำอย่างไรอีก ม้ามังกรก็ร้องไห้อ้อนวอนว่า พี่อย่าคิดอย่างนั้นเลย แม้ว่าพี่คิดจะช่วยพระอาจารย์แล้ว พี่จงรีบไปหา คนหนึ่งก็คงจะช่วยได้เป็นแน่ โป๊ยก่ายว่าเจ้าจะให้ไปหาใครที่ไหน ม้าจึงพูดว่าพี่จงรีบเหาะไปยังเขาฮวยก๊วยซัวเชิญ พี่เห้งเจียมา เธอมีฤทธิ์อานุภาพมากคงจะปราบปีศาจได้ ก็จะช่วยพระอาจารย์ให้พ้นภัยได้ ทั้งจะได้แก้แค้นที่เรา แพ้มันด้วย โป๊ยก่ายจึงพูดว่าหมายว่าจะให้ไปเชิญใครที่ไหนเล่า มิรู้ก็จะให้ไปเชิญพี่เห้งเจีย เห็นแกจะไม่มาเป็นแน่ เพราะแกสิไม่ชอบแก่เราอยู่แล้ว
 เมื่อก่อนอยู่ที่ภูเขาแปะเฮ้าซัว เธอตีปีศาจแปะกุดฮูหยินตาย ท่านอาจารย์โกรธเคือง จึงไล่แกกลับไป เธอมาโกรธเรา เราก็ไม่รู้ว่าโดยเหตุอะไรที่ไหน เธอคงจะไม่มาเห็นจะป่วยการเปล่า บางทีเราพูด ไม่ถูกใจก็จะจับตัวเราไว้ทรมาน เราจะทำอย่างไรเล่าจึงจะรอดชีวิตได้ ม้ามังกรพูดว่าพี่เห้งเจียนั้นคงจะไม่ทุบตีท่านเป็นแน่ เธอเป็นพระยาลิงมีความกตัญญูมาก พี่ไปถึงแล้ว ก็อย่าได้บอกว่าอาจารย์ต้องทุกข์ภัย ให้พูดว่าพระอาจารย์คิดถึงให้มาหาต้องหลอกเธออย่างนั้น
 ครั้นเมื่อเธอมาถึง แล้วเราจึงให้รู้เรื่อง เมื่อเธอมาถึงได้เห็นแก่ตาแล้ว ก็คงจะต้องคิดปราบปรามปีศาจ คงจะช่วยอาจารย์ออกได้ โป๊ยก่ายครั้นได้ฟังม้าพูดดังนั้น จึงพูดว่าดีแล้ว เจ้ามีกะใจดังนี้ เราก็คงจะไปตามเจ้าว่า แม้เราไม่ไป คนทั้งหลายจะติฉินนินทาว่าเราไม่มีความกตัญญูต่ออาจารย์ โป๊ยก่ายพูดดังนั้นแล้ว ก็เหาะไปยังเขาฮวยก๊วยซัว ในคราวนี้พระถังซัมจั๋งยังไม่ถึงที่ตาย โป๊ยก่ายจึงกางใบหูทั้งสองข้างดุจกางใบ ก็แล่นฉิวตามลมไป บัดเดี๋ยวก็มา ถึงตังเกียทะเลใหญ่ เหาะข้ามพ้นทะเลแล้วก็ลดลงยังพื้นเดินไป ตัดตรงเข้าป่าหาทางจะเดินไปยังเขาฮวยก๊วยซัว มา ประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงพูด
 โป๊ยก่ายเงี่ยหูฟังแน่แล้วแลไปก็เห็นเห้งเจีย ในเวลานั้นแห้งเจียออกมานั่งที่เนินเขาอยู่ บนแท่นหิน พวกลิงบริวารแวดล้อมยืนคำนับเป็นลำดับกัน โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นจึงคิดว่าเห้งเจียมีเกียรติยศมาก เวลานี้ เราอย่าเพิ่งให้เห็นก่อน จำจะแอบอยู่ตามพุ่มไม้ที่รกก่อน ดูได้ช่องแล้วจึงเข้าไปหา ฝ่ายเห้งเจียนั่งอยู่บนแท่นหิน แลไปก็เห็นโป๊ยก่ายเข้าแอบรกซ่อนตัวอยู่ เห้งเจียจึงบอกแก่บริวารว่า พวกเจ้าจงรีบไปจับตัวอ้ายคนป่าที่แอบซ่อนตัว อยู่ในพุ่มรกนั้นมา
 พวกวานรทั้งหลายก็กรูกันวิ่งไปจับตัวโป๊ยก่ายมาแล้ว ผลักให้นั่งลงกับพื้น เห้งเจียถามว่าอ้ายคน ป่ามึงอยู่ที่ไหนไปไหนมา จึงมาซุ่มอยู่ที่นี่ โป๊ยก่ายก้มหน้าพูดว่า ไม่อาจรับคำถามและมิใช่คนป่า เป็นคนรู้จักชอบกัน เห้งเจียพูดว่าที่ตำบล ของเรานี้ ที่ไหนคนจะไปมาถึงได้ โป๊ยก่ายก้มหัวซุกปากไม่ให้เห็น แล้วพูดว่าท่านกับเราเป็นพี่น้องกันมาหลายปีแล้ว มาวันนี้ทำไมจำไม่ได้แล้วหรือ กลับพูดว่าคนป่าอะไรที่ไหน เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ไหนเจ้าจงเงยหน้าขึ้นดูทีหรือ โป๊ยก่ายแหงนหน้ายื่นปากพูดว่าดูก็ดูซี จำเราได้หรือไม่ ถ้าจำไม่ได้ก็จำเอาแต่ที่ปากเถิด

[เล่ม 2] ตอนที่ 27 ไซอิ๋ว นวนิยาย

    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖    
     ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่   
(บทที่ ๒๘)   เมื่อเวลาเหาะมานั้น เอกาแต่ผู้เดียว ในดวงจิตให้มีความอาลัยสะท้อนถอนใจใหญ่บัดเดี๋ยวใจก็มาถึงฝั่งทะเลมหาสมุทรทิศตะวันออก เห้งเจียก็ลอยอยู่บนอากาศ คิดถึงพระอาจารย์มีความโทมนัศยิ่งนักก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นคร่ำครวญไปต่างๆ หยุดสักประเดี๋ยวแล้วก็เหาะเลยไป จึงคิดอยู่แต่ในใจว่าหนทางนี้ ห้าร้อยกว่าปีแล้วเรามิได้มาทางนี้คิดดังนั้นแล้ว ก็เหาะลงมาถึงเขาฮวยก๊วยซัว เห้งเจียก็ลดลงยังเนินเขาเหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นเงียบสงัดอยู่ ต้นไม้ดอกไม้แห้งเหี่ยวร่วงโรยราไปหมดสิ้น แลที่ตั้งแต่งด้วยศิลาเคยนั่งเล่นเย็นเช้าก็หักพังเสียหายไปทั้งสิ้น
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ยิ่งมีความโทมนัสมากขึ้น ในเมื่อเห้งเจียคร่ำครวญอยู่นั้น ได้ยินเสียงในซอกเขาพุ่มรก เห็นลิงน้อย ๆ วิ่งออกมาเจ็ดแปดตัว พากันเข้าล้อมหน้าล้อมหลัง คำนับแล้วพูดว่า วันนี้ท่านไต้เซียกลับมาแล้ว เห้งเจียถามว่าพวกเจ้าไปข้างไหนหมดจึงได้เงียบสงัดอย่างนี้ ข้ามาถึงนานแล้วก็มิได้เห็นพวกเจ้านี่เป็นด้วยเหตุอย่างไร พวกวานรน้อย ๆ ได้ฟังเห้งเจียต่างตนเล่าบอกว่า ตั้งแต่ใต้เซียไปแล้ว อยู่ภายหลังมีพวกพรานมาทำแก่พวกข้าพเจ้าให้ได้รับความทุกข์สุดที่จะรำพัน มันเอาอาวุธศรและหน้าไม้มายิง และเอาสุนัขมาล้อมไล่ตีจับเป็นเอาบ้าง
 จับตายเอาบ้าง เพราะฉะนั้นพวกข้าพเจ้าจึงหนีซ่อนเร้นอยู่ตามซอกห้วยชานเขาและพุ่มรกและในถ้ำจึงได้รอดพ้น นี่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงใต้เซียกลับมาพวกข้าพเจ้าจึงออกมาหา
 ซุนหงอคงผู้พิทักย์
   วานรน้อย ๆ เหล่านั้นจึงบอกว่า มันจับตายได้ก็เอาไปต้มแกงกิน มันจับเป็นได้ก็เอาไปหัดเล่นงิ้วเล่นละคร แล้วเอาไปกลางตลาดทำเล่นเต้นรำต่าง ๆ มันพากันตีกลองแลม้าฬ่อเฮฮาหัวเราะกันเป็นการสนุกสนานของมันอย่างนี้
   เห้งเจียได้ฟังพวกวานรเล่าให้ฟังดังนั้น มีความแค้นดุจไฟลุกอยู่ในทรวงอก จึงถามว่าเดี๋ยวนี้ในถ้ำใครเป็นหัวหน้า ลิงน้อยจึงตอบว่ามีนายเบ๊ลิ้วเจียงกุนแม่ทัพที่สามเป็นหัวหน้า เห้งเจียว่าพวกเรารีบไปบอกให้ออกมาหาเราโดยเร็ว ลิงน้อยก็พากันวิ่งเข้าไปบอก
   เบ๊ลิ้วแม่ทัพที่สามได้ฟังลิงน้อยมาบอกดังนั้น ก็มีความยินดี จึงพาพวกวานรออกมาคำนับรับใต้เซียเข้าไปในถ้ำ เห้งเจียขึ้นนั่งอยู่บนที่ท่ามกลางบริวารวานรใหญ่น้อยแล้ว พวกวานรทั้งหลายก็พากันคำนับแล้วจึงถามว่า พวกข้าพเจ้าได้ยินว่า ท่านรอดชีวิตออกแล้วตามพระถังซัมจั๋งไปประเทศไซทีเพื่ออาราธนาพระธรรม ทำไมใต้เซียจึงกลับมาได้เล่า
   เห้งเจียได้ฟังพวกวานรถามดังนั้นจึงดอบว่า พวกเจ้าทั้งหลายยังหารู้เหตุผลต้นปลายไม่ ถังซัมจั๋งนั้นไม่รู้จักคนดีและคนชั่ว เราเห็นแก่เธอตามไปช่วยรักษา ด้วยตามระยะทางที่ไปนั้นมีแต่ภูตผี ปีศาจยักษ์มารร้ายกาจมาก ได้ปราบปรามภูตผี ปีศาจร้ายให้ราบคาบไปได้ทั้งสิ้น เพราะความจงรักภักดีได้ความลำบากทรมานกาย ได้ตีปิศาจตายเธอกลับพูดว่าเป็นคนดุร้ายเหี้ยมโหด ทำหนังสือสัญญาว่าไม่ใช้เราอีกต่อไปขับไล่ให้เรากลับเสีย เราจึงได้กลับมาดังนี้
   พวกวานรทั้งหลายได้ฟังใต้เซียเล่า ก็พากันตบมือหัวร่อว่าดีแล้วใต้เซียกลับมาอยู่ จะได้ปกครองรักษาพวกข้าพเจ้า ๆ จะได้มีความสุข ท่านจะตามไปทำไมให้ป่วยการไม่เปนผลประโยชน์อะไร พวกวานรพูดแล้วบอกกันให้เอาน้ำเหล้ามะพร้าวมาให้ใต้เซียกินแก้ทุกข์ เห้งเจียห้ามว่าอย่าเพิ่งกินก่อน ข้าจะถามพวกเจ้าว่า พวกพรานนั้นกี่วันมันจึงจะมาหนหนึ่ง เบ๊ลิ้วบอกว่ามันมาทุกวันเป็นนิตย์ วันนี้ท่านคอยดูก็จะได้เห็น
   เห้งเจียได้ฟังพวกวานรบอกดังนั้น จึงสั่งลิงน้อยให้ช่วยกันเก็บหินและกรวดไปกองไว้บนเนินเขาให้มาก แล้วพวกเจ้าจงแอบหนีอยู่ในถ้ำ ไว้ธุระข้าจะทำวิชาแก้มือ ฝ่ายลิงน้อยทั้งหลายรับคำสั่งแล้วก็ไปเที่ยวเก็บหินและกรวดมากองไว้ตามสั่ง แล้วก็พากันหลบหนีเข้าซ่อนอยู่เสียในถ้ำ เห้งเจียจึงขึ้นบนยอดเขาคอยดู บัดเดี๋ยวก็แลเห็นข้างทิศอาคเนย์ทั้งคนทั้งม้าประมาณสักพันเศษ ถืออาวุธน่าไม้ธนูและแหลนหลาว หอกดาบต่าง ๆ แลสุนัขสำหรับไล่ก็มีมาหลายสุนัข พวกคนก็ตีกลองแลม้าฬ่อโห่ร้องกันขึ้นมา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ยิ่งมีความโกรธเป็นอันมาก จึงร่ายพระคาถาคาบม้วนลมบังเกิดเป็นลมพายุใหญ่ พัดหอบเอาหินกรวดเหล่านั้นสาดลงไปยังพวกพรานเหล่านั้น เจ็บปวยล้มตายไปทั้งสิ้น ซากศพล้มกลิ้งอยู่กับที่โลหิตไหลนองไป
   เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตบมือหัวเราะพักใหญ่ แล้วพูดว่าเราตามพระอาจารย์ไป ท่านก็สั่งสอนทุกวัน ๆ ว่าพันวันทำความดี ความดีไม่ใคร่จะพอ วันเดียวทำความชั่วร้าย ๆ มากเหลือนั้น อันคำนี้ก็เป็นความจริงได้ ฆ่าปีศาจสองสามหนท่านว่าดุร้าย เรากลับมาบ้านวันนี้ เราทำเวรฆ่าชีวิตเขาโดยมาก พูดเช่นนี้แล้วจึงสั่งพวกวานรให้ถอดเสื้อกางเกงของคนตายนั้นมาใส่ ถลกหนังม้ามาทำสายธนูหน้าไม้ เก็บเอาเครื่องศาสตราอาวุธนั้นมาฝึกหัดซ้อมฝีมือกัน เก็บเอาธงสีต่าง ๆ นั้นมาประจบเย็บติดกันเข้าเป็นธงห้าสี แล้วเขียนอักษรลงสิบสี่ตัวว่า (ต้งซิว ฮวยก้วยซัว หกจิ๊นจุ๊ยเลียมต๋อง ซีเทียนใต้เซีย) แปลว่าซ่อมแปลงเขาฮวยก๊วยซัวปฏิสังขรณ์ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องขึ้น
   เห้งเจียเป็นซีเทียนใต้เซียมายังเดิม แล้วเห้งเจียสั่งให้ชักธงขึ้นตั้งมั่วสุมสะสมเสบียงอาหารและเกลี้ยกล่อมพวกยักษ์มารปีศาจที่มีฝีมือ เห้งเจียย่อมเป็นผู้มีสันดานพอใจเป็นคนโต ตั้งฤทธาอานุภาพเวทมนต์ก็ประสิทธิ์ขลังแข็งแรง เห้งเจียไปขอน้ำทิพย์ของพระยานาคมาทั้งสี่มหาสมุทรมาล้างบนเขาให้สะอาดแล้ว ก็ปลูกต้นไม้พรรณต่าง ๆ ให้เป็นที่ร่มรื่นสำราญ
ตอน ปีศาจชุดเหลืองจอมโหด (ช่วงที่ 1)
   ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งเชื่อฟังโป๊ยก่ายส่อเสียดขับไล่เห้งเจียกลับไปแล้วก็ขึ้นม้าออกเดิน ซัวเจ๋งยกหาบไส่บ่าเดินตามกันไปเดินข้ามเขาแป๊ะเฮ้าซัว แลไปข้างหน้าเห็นมีดงไม้ใหญ่ ร้องสั่งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่าหนทางดงป่ารกเปลี่ยวจงระวังระไวให้มาก ๆ โป๊ยก่ายถือคราดเหล็กออกเดินนำหน้าตัดทางเข้าดง ในเวลากำลังเดินนั้น หลวงจีนถังซัมจั๋งยอหยุดม้าบอกแก่โป๊ยก่ายว่าอาตมภาพมีความหิวอ่อนนักท่านจงไปหาข้าวมาให้กินแก้หิวเสียก่อนแล้วจึงค่อยไป โป๊ยก่ายว่าถ้ากระนั้นอาจารย์ลงหยุดพักที่นี่ก่อน ข้าพเจ้าจะไปบิณฑบาตร
   หลวงจีนถังซัมจั๋งก็ลงจากม้า ซัวเจ๋งวางหาบลงหยิบบาตรส่งให้โป๊ยก่าย ๆ รับบาตรเดินลัดออกจากดงตรงไปข้างทิศตะวันตกประมาณร้อยเส้นเที่ยวค้นหาบ้านคนก็ไม่เห็นมี พบแต่สัตว์เสือร้าย โป๊ยก่ายเดินลำบากเข้าก็คิดถึงเห้งเจียถ้าอยู่เป็นผู้บิณฑบาตร มาวันนี้เขาไม่อยู่ตกเป็นหน้าที่ของตัวเราก็ตรึกนึกถึงเห้งเจีย ถ้าอยู่ก็เป็นผู้หาบิณฑบาตรโป๊ยก่ายเดินลำบากต้องตกเป็นหน้าที่ของเรา นี่ก็จริงเหมือนคำที่เขาพูดกันว่า (มีบ้านจึงจะรู้ราคาข้าวและฟืน เลี้ยงลูกจึงจะรู้คุณของบิดามารดา) นี่เราจะไปหาที่ไหนได้ โป๊ยก่ายคร่ำครวญดังนั้น ก็บังเกิดง่วงเหงาหาวนอนโป๊ยก่ายทนหาวนอนไม่ไหว ก็เดินแวะเข้าไปที่พุ่มรกก็มุดเข้าไปนอนหลับเสียพักใหญ่จนไม่รู้สึกตัว
   ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งคอยโป๊ยก่ายอยู่ในกลางดงจิตใจให้หวาดเสียว ไม่มีความผาสุขสบายเลย นัยน์ตาก็ให้เขม่นไม่หยุด จึงเรียกซัวเจ๋งมาพูดว่า โป๊ยก่ายไปบิณฑบาตร ตะวันก็พ้นเพลแล้วยังไม่เห็นกลับมา ที่เนินดงนี้ไม่ควรเราจะพักเราจงไปหาที่พักจึงจะดี ซัวเจ๋งพูดว่าอย่าเพิ่งไปก่อน รอข้าพเจ้าไปตามโป๊ยก่ายก่อน จึงค่อยพร้อมกันไป หลวงจีนถังซัมจั๋งก็เห็นชอบด้วย ซัวเจ๋งก็ถือกระบองเดินออกมาจากดงเที่ยวตามโป๊ยก่ายตามเนินป่า ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งอยู่ในดงแต่ผู้เดียวในจิตใจให้ง่วงเหงา จึงขืนอุตสาหะสะกดใจไว้แล้วก็ผุดลุกขึ้น ค่อย ๆ เดินชมพิศดูตามต้นผลไม้พอให้แก้รำคาญ อันที่ในดงนั้นมีทางมากแยกไปหลายทาง
   หลวงจีนถังซัมจั๋งเวลานั้นจิตใจไม่ปกติเดินหลงทางไปไม่รู้ที่ว่าจะกลับก็เดินหลงออกดงไปทางทิศอาคเนย์ แลไปข้างหน้าเห็นมีรัศมีทองฟุ้งขึ้นมา เวลานั้นแสงตะวันส่องมากระทบยอดพระเจดีย์จึงได้มีรัศมีผุดผ่องขึ้น พระถังซัมจั๋งแลไปก็เห็นองค์พระเจดีย์ จึงคิดว่าเมื่อเราจะออกจากเมืองหลวงก็ได้อธิษฐานว่าแม้ปะพระพุทธรูปจะนมัสการ พบพระสถูปเจดีย์ก็จะกวาดล้างทำไมเมื่อเดินมาจึงไม่เห็น ที่ข้างพระเจดีย์นั้นคงจะมีวัดวาอารามพระเจ้าพระสงฆ์อยู่ จำเราจะแวะเข้าไปดู แต่ที่ของและม้าอยู่กลางดงนั้นเห็นจะไม่เป็นอันตราย เพราะในดงนั้นน้อยนักที่คนจะไปมา แม้คอยโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมาพร้อมกันก็ดีแต่ยังช้าจำเราจะเข้าไปในวัดก่อน
   คิดดังนั้นแล้วก็เดินตัดตรงเข้าไปที่องค์พระเจดีย์ ครั้นถึงประตูไหญ่พระถังซัมจั๋งแลเข้าไปในพระเจดีย์ก็เห็นมู่ลี่แขวนห้อยอยู่ จึงเดินเข้าไปข้างในเปิดมู่ลี่เข้าไปชั้นในเห็นมีแท่นศิลา ข้างบนแท่นนั้นมีคนนอนแต่หน้าเขียวแยกเขี้ยวออกจากปาก กำลังนอนหลับอยู่บนแท่นพระถังซัมจั๋งเห็นก็รู้ว่ายักษ์ปีศาจ ในอกใจก็รัวสั่นไปทั้งกายหันหน้าวิ่งกลับออกมาข้างนอกทันที
   ฝ่ายปิศาจยักษ์ตกใจตื่นขึ้น ร้องถามพวกปีศาจน้อย ๆ ว่าข้างนอกนั้นคนอะไรที่ไหนมา ปีศาจน้อยมองตามไปก็เห็นพระสงฆ์ จึงบอกว่าพระสงฆ์ที่ไหนมาก็ไม่ทราบ ปีศาจยักษ์ได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะแล้วพูดว่า นี่เหมือนแมลงวันมาจับบนหัวงู มันเอาภักษาหารมาให้เรา พวกเรารีบตามจับตัวมาให้ได้ พวกปีศาจน้อย ๆ วิ่งตามไปจับตัวหลวงจีนมาได้แล้ว ก็พากันฉุดคร่าเอาตัวมา
   หลวงจีนถังซัมจั๋งยกมือคำนับ ปีศาจยักษ์จึงถามว่านี่ตัวเป็นสงฆ์อยู่ประเทศไหนจะไปข้างไหนจึงมาทางนี้ จงบอกมาให้แจ้งโดยเร็ว พระถังซัมจั๋งบอกว่าอาตมภาพอยู่เมืองใต้ถัง รับรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมประเทศไซที บัดนี้อาตมภาพมาถึงนี่จะใคร่นมัสการพระเจดีย์ บังเอิญทำให้ท่านตกใจ ขอท่านได้ยกโทษให้แก่อาตมภาพที่ได้ผิดนี้ ถ้าอาตมภาพไปธุระสำเร็จแล้ว กลับไปถึงเมืองอาตมภาพจะจดชื่อท่านไว้เป็นที่ระลึก
   ปีศาจยักษ์ได้ฟังหลวงจีนถังซัมจั๋งพูดดังนั้น ก็หัวเราะแล้วพูดว่า ตัวอยู่เมืองบนเป็นมนุษย์โดยความจริงเราอยากกินเนื้อ บัดนี้เนื้อนั้นจะต้องอยู่ในปากเราจะปล่อยไปไม่ได้ จะหนีไปไหนก็คงหนีไปไม่พ้น พูดดังนั้นแล้ว จึงสั่งบริวารให้เอาตัวพระถังซัมจั๋งไปมัดไว้กับเสาที่ในถ้ำอย่าให้หนีไปได้ ปีศาจยักษ์ก็ถือมีดเดินมาใกล้ถามพระถังซัมจั๋งว่าตัวมากี่คนจึงมาถึงนี่ เพราะว่าคนเดียวคงจะมาไม่ได้เป็นแน่
   พระถังซัมจั๋งก็บอกตามจริงว่า อาตมภาพมามีสานุศิษย์สองคนนามเรียกว่า โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งคนทั้งสองพากันไปเที่ยวบิณฑบาตรและหาบกับม้ายังทิ้งอยู่กลางดง
   ปีศาจว่าถ้ากระนั้นยิ่งดีมากอาจารย์สานุศิษย์กับม้ารวมเป็นสี่ด้วยกัน ก็พอกินได้สักเวลาหนึ่งพูดดังนั้นแล้วจึงสั่งบริวารว่า พวกเจ้าจงปิดประตูคอยท่า เราจะไปจับตัวพวกศิษย์มาพร้อมกับอาจารย์จึงค่อยต้มเลี้ยงกันสักเวลาหนึ่ง
   ฝ่ายซัวเจ๋งออกจากดงเที่ยวตามหาโป๊ยก่าย เดินมาประมาณทางไกลร้อยเส้นเศษ เที่ยวค้นหาก็ไม่เห็นโป๊ยก่าย ทั้งบ้านช่องผู้คนก็ไม่มี จึงขึ้นยืนบนเนินสูงแลไปดู ก็ได้ยินเสียงในพุ่มไม้รกมีเสียงคนพูด ซัวเจ๋งจึงรีบเดินเข้ามาใกล้ เอาไม้กระบองแหวกหญ้ารกดู ก็เห็นโป๊ยก่ายนอนหลับสนิทไม่รู้สึกตัว ปากก็ละเมอพูดเลอะเทอะไม่ได้ศัพท์ ซัวเจ๋งเข้าไปจับใบหูดึงขึ้น เรียกว่าอ้ายหมูป่าอาจารย์ใช้ให้ไปบิณฑบาตร ทำไมจึงมานอนซุกซ่อนหลับอยู่อย่างนี้
  โป๊ยก่ายตกใจตาลีตาลานลุกขึ้นถามว่าเวลานี้กี่โมงแล้ว ซัวเจ๋งบอกว่าท่านให้ไปบิณฑบาตรเข้า ๆ ก็ไม่ได้แล้วจะไปหาที่ไหน จงกลับไปหาท่านก่อน โป๊ยก่ายก็กะหืดกะหอบมากับซัวเจ๋ง ตัดทางเดินตรงมาในดงที่หยุดนั้น ครั้นถึงที่พักแลไปก็ไม่เห็นพระอาจารย์ ซัวเจ่งไม่เห็นอาจารย์ก็โกรธโป๊ยก่าย จึงพูดว่าเพราะอ้ายชาติหมูนี่แหละไปซุ่มหลับเสียจึงกระทำให้ช้าการ ปีศาจและยักษ์ร้ายมันคงจะจับเอาอาจารย์ไปเสียแล้ว
   โป๊ยก่ายหัวเราะว่าในดงนี้เป็นที่ชัยภูมิดี ปีศาจผียักษ์ที่ไหนจะมี นี่เห็นพระอาจารย์จะเที่ยวเดินชมป่าเล่นเพื่อแก้รำคาญดอกกระมัง เราทั้งสองเดินตามไปดูก่อนเถิด พูดกันแล้วโป๊ยก่ายจูงม้า ซัวเจ๋งเอาหาบใส่บ่าก็พากันเดินออกจากดง ตรงมายังทิศอาคเนย์เดินไปมองหาไปก็ไม่เห็น บัดเดี๋ยวแลไปก็เห็นมีรัศมีออกสว่างไสว โป๊ยก่ายแลเห็นดังนั้นจึงพูดว่า ที่ตรงนั้นมีพระเจดีย์คงจะมีวัดวาอารามเป็นแน่ พระอาจารย์เห็นจะไปฉันข้าวในวัดนั้นดอกกระมัง เราพากันเข้าไปดูเพื่อจะพบท่าน 
   ซัวเจ๋งว่าเรายังไม่แนใจว่าจะร้ายหรือดี เราจงดูข้างนอกก่อน คนทั้งสองก็พากันเดินเข้ามายังประตูใหญ่ ครั้นถึงเห็นบนประตูใหญ่มีอักษรจารึกไว้หกตัวว่า ถ้ำ (อั๊วจื๊อปอง้วยต๋อง) ซัวเจ๋งจึงพูดว่า ที่นี่ไม่ใช่วัดวาอารามเป็นที่ปีศาจยักษ์ร้ายอยู่ อาจารย์ของเราเห็นจะอยู่ในนี้เป็นแน่ โป๊ยก่ายว่าพี่จะไปถามดู มือถือคราดเหล็กเดินมายังประตูแล้วตะโกนเรียกว่าใครอยู่ในนั้นช่วยเปิดประตูรับด้วย
   พวกปิศาจน้อยได้ยินเสียงคนเรียก จึงวิ่งมาเปิดประตู แลไปก็เห็นสองคนรูปร่างประหลาดก็รีบกลับเข้าไปบอกใต้อ๋องว่า อ้ายสองคนมาแล้ว ปีศาจยักษ์ถามว่าสองคนไหน ปีศาจน้อยบอกว่าอยู่นอกคนหนึ่งปากยาวหูใหญ่คนหนึ่งหน้าสีหมอกหัวผมรุงรัง มันร้องเรียกให้เปิดประตูรับ ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีพูดว่า อ้ายสองคนนี้คือโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งมันมาตามอาจารย์ของมัน หน้าตามันดุร้ายอยู่ เราจะทำหละหลวมแก่มันนั้นเห็นจะไม่ได้ คิดเห็นดังนั้นแล้วจึงเรียกเอาเครื่องแต่งตัวมาแต่ง มือถืออาวุธมีดง้าวเดินออกมายังประตู
   โป๊ยก่ายซัวเจ๋งเห็นปีศาจหน้าตาดุร้าย แลท่าทางเหี้ยมห้าวหาญแข็งแรง สีหน้าเขียวมีเขี้ยวหนวดสีชมภูผมแดงดังชาด สวมเกราะทองแดงมือถือมีดดาบ ชื่อนั้นเรียกว่า (อึ่งเพ้าใต้อ๋อง) เมื่ออึ่งเพ้าใต้อ๋องออกมาถึงประตูแล้วจึงมีคำถาม ว่า พวกเจ้ามาแต่ไหนจึงบังอาจมาทำฮึกฮักดังนี้ จงเร่งบอกมาโดยเร็ว
   โป๊ยก่ายได้ยินถามดังนั้น จึงตอบว่าอ้ายทารก มึงจำไม่ได้หรือ เราคือพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้พระอาจารย์เราไปอาราธนาพระธรรมยังมัชฌิมประเทศ อาจารย์เราเป็นน้องพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ถ้าอยู่ในถ้ำนี้ขอให้ส่งมาโดยเร็ว มิฉะนั้นเราจะเอาคราดเหล็กตีกระหนาบ เข้าไป
 อึ่งเพ้าใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วพูดว่าจริงมีสงฆ์รูปหนึ่งอยู่ในถ้ำเรา เราไม่มีความรังเกียจทุกเวลาก็จง รักภักดี เราทำโต๊ะเนื้อคนเลี้ยงทุกเช้าเย็น พวกเจ้าอยากกินก็เข้ามาจะให้กินสักก้อนหนึ่ง จะได้รู้รสชาติว่ามันอร่อย อย่างไร โป๊ยก่ายคิดว่าจริงจะใคร่เข้าไป ซัวเจ๋งวิ่งมายึดไว้ถามว่าพี่กินเนื้อคนเมื่อไร โป๊ยก่ายจึงนึกขึ้นได้มีความโกรธ ยิ่งนัก จับคราดตรงเข้าสับลงที่ศรีษะปีศาจอึ่งเพ้า ๆ หลบทันก็เข้าต่อสู้กันเป็นสามารถ คนทั้งสองต่างแผลงอิทธิฤทธิ์ เหาะขึ้นรบกันบนอากาศ ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็วางหาบปล่อยม้า ชักไม้พลองเหล็กเหาะขึ้นไปตามช่วยโป๊ยก่ายรบระดม ต่อสู้กันเป็นสามารถยังหาแพ้ชนะกันไม่
 ( บทที่ ๒๙)
 โป๊ยก่ายซัวเจ๋งต่อสู้แก่ปีศาจอึ่งเพ้าได้สามสิบเพลง โดยเหตุบุญบารมีของพระถังซัมจั๋ง ที่จะยังไม่ถึง แก่ชีวิตอันตราย จึงบันดาลมิให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งแพ้แก่อึ่งเพ้าปีศาจ เทพยดาคอยรักษาโป๊ยก่ายซัวเจ๋งอยู่
 ฝ่ายหลวง จีนถังซัมจั๋ง ต้องมัดอยู่ในถ้ำนั้นกำลังร้องไห้โศกเศร้าอยู่ แลไปเห็นหญิงคนหนึ่งเดินออกมายืนอยู่ข้างพระถังซัมจั๋งถาม ว่า เธอนี้อยู่ที่ไหน เหตุใดจึงได้มาต้องมัดอยู่อย่างนี้ พระถังซัมจั๋งได้ยินถามดังนั้น จึงพิเคราะห์ดูหญิงนั้นอายุ ประมาณสามสิบปีเศษ จึงตอบว่าอาตมภาพก็ถึงที่ตายแล้ว มาถึงที่ของสีกาแล้วจะกินเนื้อก็กินเสียเถิด จะถามอะไร ไปทำไมให้เนิ่นช้าไปเล่า
 หญิงนั้นจึงบอกแก่พระถังซัมจั๋งว่า ข้าพเจ้ามิใช่ผีปีศาจดอก บ้านข้าพเจ้าจากที่นี่ไปสามร้อย โยชน์ที่ตำบลนั้นมีเมืองหนึ่งเรียกว่า (โป๊เชียงก๊ก) ข้าพเจ้านี้คือพระราชบุตรีที่สามชื่อข้าพเจ้าเรียกว่า (แป๊ะฮ่อง เซียว) เหตุเมื่อหน้าก่อนสิบสามปี เดือนสิบขึ้นสิบห้าค่ำออกมายังสวนดอกไม้ชมเดือนและดอกไม้ อ้ายปีศาจตนนี้มัน ทำลมพายุมืดฟ้ามัวฝน แล้วพัดหอบเอาข้าพเจ้ามาเป็นผัวเมียแก่มันสิบสามปีแล้ว มีบุตรชายบุตรหญิงสองคนก็ไม่มี ข่าวคราวไปถึงเมืองได้ พระราชบิดามารดาก็มิได้เห็นหน้าสิบสามปีแล้ว ก็ตัวของท่านเหตุใดมันจึงจับมาได้
 หลวงจีนถังซัมจั๋งตอบว่า อาตมภาพนี้ถือรับสั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จะไปประเทศไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บังเอินหลงเข้ามาในที่นี่ปีศาจจึงได้จับอาตมภาพได้ ยังจะคอยจับสานุศิษย์ทั้งสองมา พร้อมกันแล้ว จึงจะได้ต้มกินเสียด้วยกันทั้งสามคน
 ฝ่ายก๋งจู๊ได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น หัวเราะแล้วพูดว่า แม้ว่า ท่านจริงใจจะไปอาราธนาพระไตรปิฎกแน่แล้ว ข้าพเจ้าจะช่วยท่านได้ ที่เมืองโป๊เชียงก๊กนั้น ตรงหนทางที่ท่านจะไป ท่านสงเคราะห์ข้าพเจ้านำหนังสือข่าวนี้ไปให้พระราชบิดาข้าพเจ้าทราบได้ ข้าพเจ้าจะขอปีศาจให้ปล่อยท่านไป
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังก๋งจู๊พูดดังนั้นจึงพูดว่า แม้ก๋งจู๊ช่วยอาตมภาพได้ อาตมภาพจะรับนำหนังสือนั้นไปให้ ก๋งจู๊ได้ฟังพระ ถังซัมจั๋งรับอาสาดังนั้น จึงกลับเข้าไปหยิบกระดาษมาเขียนหนังสือเสร็จแล้วก็เข้าผนึกเดินออกมาแก้มัดพระถังซัมจั๋ง ส่งหนังสือฉบับนั้นให้พระถังซัมจั๋ง ๆ รับหนังสือนั้นมาแล้วพูดว่า อาตมภาพขอบคุณก๋งจู๊ได้ช่วยให้รอดพ้นจากความ ตาย เมื่ออาตมภาพไปถึงเมืองจะนำเข้าไปถวาย แต่อาตมภาพยังวิตกว่า ก๋งจู๊พลัดพรากมาหลายปีแล้วบางทีพระ ราชบิดาจะจำไม่ได้ ก๋งจู๊อย่าสงสัยว่าอาตมภาพจะพูดกลับกลอก
 ก๋งจู๊ว่าข้อนั้นท่านอย่าวิตกเลย เพราะพระราชบิดานั้น มีบุตรีสามคน ข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้อง แม้หนังสือไปถึงแล้วพระราชบิดาก็จำได้ พระถังซัมจั๋งรับหนังสือใส่มือเสื้อแล้วก็ ลานางก๋งจู๊เดินออกไปหน้าถ้ำ ก๋งจู๊จึงห้ามว่าท่านอย่าออกไปทางหน้าถ้ำ ที่หน้าถ้ำปีศาจกับศิษย์ของท่านกำลังรบ ต่อสู้กันอยู่ ท่านจงออกไปทางหลังถ้ำไปแอบซุ่มตัวอยู่ตามพุ่มรกก่อน ไว้ให้ข้าพเจ้าเกลี้ยกล่อมขอร้องเขาก่อนแล้ว จึงให้สานุศิษย์ไปตามจะได้พร้อมกันไป
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังก๋งจู๊พูดแนะนำดังนั้นก็เห็นชอบด้วยจึงลานางออกไปทาง หลังถ้ำ ก๋งจู๊เห็นพระถังซัมจั๋งพ้นไปแล้วจึงกลับเดินออกไปยังหน้าถ้ำคิดอุบายได้ประการหนึ่ง ในเวลานั้นก่งจู๊ออกมายืนยังหน้าถ้ำได้ยินเสียงอึกระทึกอยู่กลางอากาศ แลเห็นโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋ง กำลังรบกับอึ่งเพ้า ก๋งจู๊เรียกว่าอึ่งเพ้าใต้อ๋องลงมาก่อน อึ่งเพ้าใต้อ๋องได้ยินเสียงเรียกดังนั้นก็ผละโป๊ยก่ายซัวเจ๋งลดลงยังปากถ้ำเดินมาถามก๋งจู๊ว่ามี ธุระอะไรหรือ
 ก๋งจู๊จึงบอกว่าข้าพเจ้ากำลังหลับอยู่ในห้องฝันไปว่าเจ้ากิมกะมา อึ่งเพ้าว่าเจ้ากิมกะ พูดว่ากระไรหรือ ก่งจู๊บอกว่าเมื่อข้าพเจ้ายังเยาว์อยู่ปักเสาไว้อธิษฐานว่า แม้ข้าพเจ้าเติบใหญ่ไปข้าง หน้า มีสามีชื่อเสียงปรากฎฤทธาอานุภาพยิ่งกว่าคน ข้าพเจ้าจะทำสังฆทานแลกุศลต่าง ๆ บัดนี้ มาร่วมรักกับใต้อ๋องเป็นสามีภรรยากัน ข้าพเจ้าก็หานึกได้ไม่ เจ้ากิมกะมาทวงตามซึ่งข้าพเจ้าได้ อธิษฐานไว้นั้นแล้ว ตวาดข้าพเจ้าก็ตกใจตื่นจะมาบอกแก่ใต้อ๋อง เดินออกมาจากห้องก็มาพบพระ สงฆ์ต้องผูกมัดอยู่กับเสา ขอใต้อ๋องได้กรุณาแก้พระสงฆ์ปล่อยไปเถิด เปรียบเหมือนใต้อ๋องช่วย แก้ความอธิษฐานของข้าพเจ้านั้น แต่ยังไม่ทราบว่าใต้อ๋องจะเห็นควรหรือไม่
 อึ่งเพ้าใต้อ๋องได้ฟังนางก๋งจู๊พูดดังนั้น จึงพูดว่าก่งจู๊ทำไมจะต้องสงสัยให้มากความไปเล่า ข้าพเจ้าจะ ใคร่กินเนื้อแม้ว่าก๋งจู๊ได้อธิษฐานไว้พระสงฆ์ที่จับได้นั้นตามแต่จะปล่อยไปเถิด แต่ให้ไปทางหลังถ้ำก็แล้วกัน ก๋งจู๊ เห็นอึ่งเพ้ายกให้ดังนั้นก็มีความดีใจจึงเดินเข้าไปในถ้ำ อึ่งเพ้าก็เดินออกมาทางหน้าถ้ำตะโกนร้องเรียก โป๊ยก่ายซัวเจ๋ง บอกว่า เจ้าทั้งสองจงลงมานี่ก่อน แต่มิใช่ข้าจะยอมแพ้ฝีมือเจ้าดอกเพราะข้าเห็นแก่ภรรยาของข้า บัดนี้อาจารย์ของเจ้า ข้าพเจ้าปล่อยออกไปข้างหลังถ้ำแล้ว จงรีบไปหาจะได้พากันไปโป๊ยก่ายซัวเจ๋งได้ฟังอึ่งเพ้าร้องดังนั้น ก็ตกใจลดลงยัง พื้นรีบไปยกหาบจูงม้าตัดข้ามไปทางหลังถ้ำร้องเรียกว่าพระอาจารย์อยู่ที่ไหน
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งซ่อนอยู่ในรก ครั้นได้ยินเสียงร้องเรียกก็จำได้ จึงขานว่าอาตมอยู่นี่ ซัวเจ๋งก็แหวกหญ้าเข้าไปรับอาจารย์ออกมาให้ขึ้นม้าแล้วรีบเดินไป โป๊ยก่ายนำทางซัวเจ๋งหาบตาม มาข้างหลัง ตัดเนินออกจากดงเข้าทางใหญ่รีบไป โป๊ยก่ายซัวเจ๋งทั้งเดินทั้งทะเลาะกันไปตามทางไม่หยุด พระถังซัม จั๋งเห็นดังนั้นก็ห้ามคนทั้งสองมิให้ทะเลาะกัน
 เมื่อออกจากอึ่งเพ้าเล้ว เช้าก็ออกเดินค่ำก็หยุดพักเดินมาได้ประมาณสามร้อยโยชน์ แลไปข้างหน้าก็ เห็นกำแพงเมือง คือเมืองเชียงโป๊ก๊ก พิศดูชัยภูมิงดงาม เดินไปดูไม่รู้สิ้นซึ่งสิ่งอันประหลาดต่าง ๆ ครั้นเดินเข้าไป ในเมืองแล้วถึงศาลาพักแห่งหนึ่ง อาจารย์กับศิษย์ก็พากันเข้าพักอาศัยอยู่ในศาลา หลวงจีนก็หยิบเอาหนังสือที่ก๋ง จู๊ฝากมานั้น เดินเข้าไปถึงประตูเมืองชั้นในบอกแก่ผู้เฝ้าประตูว่าบัดนี้มีพระสงฆ์อยู่เมืองใต้ถังจะขอเข้าไปเฝ้าพระ เจ้าแผ่นดิน ขอท่านได้ช่วยนำความกราบทูลให้ทรงทราบ
 ฝ่ายขุนนางกรมวังผู้เฝ้าประตูได้ฟังพระถังซัมจั๋งบอก ดังนั้น ก็รีบนำความเข้าไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า บัดนี้มีพระสงฆ์มาจากเมืองใต้ถังจะขอเข้ามาเฝ้า ฝ่ายเจ้า เมืองเชียงโป๊ก๊กได้ฟังขุนนางกราบทูลดังนั้น จึงรับสั่งให้นิมนต์พระถังซัมจั๋งเข้าไปเฝ้า ขุนนางก็ออกไปนิมนต์พระถัง ซัมจั๋งเข้าไปเฝ้า พระถังซัมจั๋งทำกิริยาคำนับแล้วก็นั่งที่อันสมควร ในเวลานั้นขุนนางเฝ้าอยู่พร้อมกัน พากันสรรเสริญพระถังซัมจั๋งว่าพระสงฆ์มาจากเมืองบนมีกิริยา เรียบร้อยงามดี
 เจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กจึงตรัสถามพระถังซัมจั๋งว่า ท่านมีธุระอย่างไรหรือ จึงได้มาถึงเมือง ข้าพเจ้า พระถังซัมจั๋งตอบว่าอาตมภาพเป็นสมณะอยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระเจ้าแผ่นดินให้อาตมภาพ ไปเมืองไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมมีหนังสือเดินทางตามธรรมเนียม จะต้องเอามาเปลี่ยน เพราะฉะนั้นอาตมภาพจึงต้องเข้ามาเฝ้าพระองค์ขอความกรุณาได้โปรด จึงเจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กตรัสว่า แม้มีหนังสือเดินทางของพระเจ้าแผ่นดินถังมาท่านจงเอาให้ดูก่อน
 พระถังซัมจั๋งก็ถวายหนังสือเจ้าเมือง เชียงโป๊ก๊กรับแล้วคลี่ออกอ่านดูใจความมีว่า ในมหาชมพูทวีปนี้เมืองใต้ถังเมืองใหญ่มีหนังสือเดิน ทางฉบับหนึ่ง ด้วยพระองค์ได้เสวยราชสมบัติปกครองอาณาประชาชนโดยยุติธรรม ไพร่บ้าน พลเมืองมีความสุขความเจริญ เพราะผิดด้วยไฮ้เล่งอ๋องครั้นเมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว วิญญาณจิต ของพระองค์ลงไปยังเมืองนรก ได้เที่ยวทอดพระเนตรตามขุมนรก ได้เห็นซึ่งสัตว์นรกที่มีกรรม เวร ทรมานอยู่ทุกข์ต่าง ๆ พระยามัจจุราชได้สั่งให้ยมบาลพาพระองค์กลับมาส่งยังเมืองมนุษย์ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ตั้งพิธีทำมหากุศล เหตุนี้
   พระโพธิสัตว์กวนอิมเสด็จปาฏิหารย์มาชี้นำว่า พระไตรปิฎกธรรมในประเทศไซที ถ้าได้มาแล้วตั้งพิธี จึงจะช่วยบรรเทาบรรเทากรรมของสัตว์นรกให้ปลดเปลื้องเบาบางออกไปได้ เพราะฉะนั้นจึงให้ พระสงฆ์เหี้ยนจึงตั้งความเพียรอุตสาหะมากว่าจะถึงแม้ว่าพระถังซัมจั๋งไปถึงเมืองใดในประเทศตะวัน ตก แม้ว่าท่านเจ้าเมืองใดตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมแล้ว ได้ทราบหนังสือฉบับนี้ขอให้ท่านประทับตรา ส่งต่อ ๆ ไปในฉบับนั้นมีลายพระราชหัตถ์เซ็นว่า พระเจ้าเจงกวนเสวยราชได้สิบสามปีและประทับ ตราเก้าดวง เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กทอดพระเนตรจบแล้ว จึงประทับตราของพระองค์ลงในหนังสือฉบับนั้น เป็นสำคัญ แล้วจึงส่งให้พระถังซัมจั๋งไป
 พระถังซัมจั๋งรับหนังสือแล้ว จึงถวายพระพรว่า ข้อหนึ่งอาตมภาพขอเปลี่ยน หนังสือเดินทาง ข้อสองอาตมภาพนำข่าวพระราชบุตรีของพระองค์มาถวาย เจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กตรัสถามว่าข่าวอะไร พระถังซัมจั๋งตอบว่าพระราชบุตรีที่สามของพระองค์ บัดนี้ต้องทนทุกข์อยู่ที่ปีศาจอึ่งเพ้าจับไว้ที่เขาอั๊วจื๊อซัวถ้ำปอง้วย ต๋อง อาตมภาพเดินทางมาทางนั้นจึงได้พบ ก๋งจู๊ได้ฝากหนังสือมาให้พระองค์ทราบ เจ้าเมืองได้ฟังดังนั้น ก็ทรงพระ กรรแสงตรัสว่า สิบสามปีแล้วมิได้เห็นหน้าและข่าวคราวก๋งจู๊เลย ทำไมท่านจึงรู้ว่าปีศาจยักษ์จับไป
 พระถังซัมจั๋งจึง หยิบเอาหนังสือออกจากมือเสื้อถวายให้ทรงทอดพระเนตร เห็นที่สลักหลังซองข้างนอกว่าเจริญสุข ก็จำได้ว่าเป็น ลายมือของลูก พระหัตถ์ให้อ่อนเปลี้ยไปจนไม่สามารถจะเปิดผนึกหนังสือออกอ่านได้ จึงรับสั่งให้ขุนนางมาเปิดออก อ่านดูมีใจความว่า ข้าพเจ้าหญิงกตัญญู คือ แป๊ฮวยเซี้ยวถวายบังคมมายังพระราชบิดาทราบ และฝ่ายในใหญ่ น้อยทั้งหลาย แลฝ่ายหน้าขุนนางทั้งหลายได้ทราบว่า ข้าพเจ้าเป็นหญิงเกิดมา พระคุณของบิดามารดาดุจดังว่าฟ้า และดิน ข้าพเจ้าก็ยังหาได้ตอบแทนไม่ บังเอิญเมื่อก่อนสิบสามปี เดือนสิบขึ้นสิบห้าค่ำ พระราชบิดามีรับสั่งทั้งฝ่าย ในฝ่ายหน้าเลี้ยงโต๊ะด้วยความรื่นเริง และชมพระจันทร์ในวันเพ็ญ
 ในขณะนั้นก็บังเกิดมืดมนอนธการ พายุใหญ่ มีปีศาจร้ายลงมาอุ้มหอบข้าพเจ้าเหาะขึ้นบนอากาศ พาไปยังถ้ำ ได้ความคับแค้นแสนสาหัสสุดที่จะแก้ไข ปีศาจจึงได้ข่มขืนร่วมประเวณีมาได้สิบสามปีมีบุตรด้วยปีศาจ สองคนหญิงหนึ่งชายหนึ่ง เหตุนี้จำใจต้องจำเป็นให้เสียชาติมนุษย์ ซึ่งเป็นการอัปยศอย่างนี้ไม่ควรจะกล่าวให้พระองค์ ทรงฟัง แต่มีความวิตกว่าลูกตายไป เมื่อภายหลังพระบิดาจะมิได้ทราบเรื่องว่าเป็นประการใด ข้าพเจ้าคิดถึงพระบิดา มารดาและวงศาคณาญาติก็ไม่รู้ที่จะทำประการใด บังเอิญพบพระถังซัมจั๋งอยู่ ณ เมืองใต้ถังเดินมาทางนี้ปีศาจจับ มัดไว้ ข้าพเจ้าคิดอุบายแก้ไขปล่อยได้ จึงได้ฝากหนังสือบอกข่าวมา เมื่อพระบิดามารดาจะได้ทรงทราบแล้ว คือหา ทหารที่มีฤทธิ์มาปราบปรามปิศาจที่เขา (อั๊วจื๊อซัวถ้ำปอง้วยต๋อง) จับตัวอึ่งเพ้าให้ได้ช่วยข้าพเจ้าให้ได้กลับบ้านคืน เมือง ได้เห็นหน้าพระบิดาและมารดาเพื่อได้ฉลองพระเดชพระคุณต่อไป
 ครั้นอาลักษณ์อ่านจบสิ้นข้อความแล้ว พระราชบิดาก็ทรงพระกันแสง บรรดาข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย ก็พากันโศกเศร้าถึงเจ้านายที่ต้องตกยากไปอยู่กับปีศาจ ต่างคนมีความสงสารทุก ๆ คน ทั้งฝ่ายในและ ฝ่ายหน้า จึงมีรับสั่งถามขุนนางใหญ่น้อยทั้งปวงว่า ผู้ใดยังสามารถอาจอาสายกพลโยธาไปต่อสู้ จับตัวปีศาจ นั้นมาได้บ้าง ให้ข้าพเจ้าแก้แค้นก๋งจู๊ผู้บุตรกลับมาได้ แต่พระองค์ตรัสถามดังนี้ถึงสามครั้ง ก็หามีผู้ใดจะออกปากรับ อาสาไม่ พระองค์ก็ทรงพระโทมนัสทรงพระกันแสงมากขึ้น ฝ่ายขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย
 เมื่อพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระกรรแสงทุกข์โทมนัสถึงพระราชธิดาดังนั้น จึงพร้อมกันกราบทูลว่าธรรมดามนุษย์เช่นพวกข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้ฝึกหัดเพลงศาสตราอาวุธแลตำรับพิชัยสงครามก็สำหรับจะได้ต่อสู้ เอาชัยชนะแก่มนุษย์ด้วยกัน อันปีศาจยักษ์ เช่นอึ่งเพ้านี้ มีฤทธาอานุภาพเหาะเหินเดินอากาศได้ แลทั้งนิมิตบิดเบือนกายเป็นลมและเป็นไฟได้ จำเป็นจะต้องคิด หาผู้วิเศษเช่นพระถังซัมจั๋ง โดยเหตุว่าหนทางที่จะมาจากทิศตะวันออกจากเมืองใต้ถัง ถ้ามิใช่ผู้มีอภินิหารย์บุญญา บารมีมากแล้ว ก็จะไม่สามารถจะมาได้ถึงเพียงนี้ เพราะฉะนั้นพระถังซัมจั๋งคงจะมีศิษย์หาที่ดีมีฤทธิ์ปราบปีศาจได้บ้าง
 มีคำสุภาษิตพูดไว้ว่า มาทางใดต้องเอาทางนั้นแก้ ขอพระองค์ได้นิมนต์พระถังซัมจั๋งให้ช่วยปราบปีศาจให้ ก็คงจะ ช่วยนางก๋งจู๊ให้คืนมาได้ ขอพระองค์จงได้ทรงพระดำริเถิด หากจะสำเร็จได้เป็นแน่ พระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊ก ได้ทรงฟังขุนนางกราบทูลดังนั้น จึงเบือนพระพักตร์มาตรัสแก่พระ ถังซัมจั๋งว่า ถ้ากระนั้นนิมนต์ท่านช่วยโยมกำจัดปีศาจยักษ์ แก้ก๋งจู๊บุตรโยมให้กลับมาเมืองแล้ว ท่านไม่ต้องไปไซที ให้ลำบาก เรากับท่านผูกสมัครรักกันเหมือนญาติ อยู่รับความสุขสำราญมิดีหรือ
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังเจ้าแผ่นดินตรัส ดังนั้น จึงพูดว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ อาฒภาพเป็นสมณะประกอบกิจวัตรสวดมนต์ไหว้พระเท่านั้น การที่จะ ปราบปีศาจยักษ์ร้ายหารู้ไม่ เจ้าเมืองจึงถามว่า ท่านไม่มีฤทธิ์อานุภาพทำไมท่านจึงอาจสามารถมาประเทศไซที ได้ พระถังซำจั๋งตอบโดยความจริงว่า อาตมภาพมีศิษย์สองคน คอยรักษาอาตมภาพจึงได้มาถึงนี่ พระเจ้าแผ่นดิน เชียงโป๊ก๊ก จึงรับสั่งให้หาโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งเข้ามาในที่เฝ้า
 พระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรว่า สานุศิษย์สองคนนั้น รูป ร่างหยาบช้ารุงรัง อาตมภาพวิตกว่าให้เข้ามาในพระราชวังแล้ว คนทั้งหลายจะพากันหวาดเสียว ทั้งพระองค์ก็จะ ตกพระทัย พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า เมื่อได้บอกให้ทราบแล้วดังนี้ก็ไม่ต้องวิตกอะไรดอก จึงโปรดรับสั่งให้ขุนนางถือ ป้ายทองคำออกไปรับโป๊ยก่ายซัวเจ๋งยังศาลา โป๊ยก่ายซัวเจ๋งได้ทราบดังนั้น ก็เก็บข้าวของและม้าฝากมอบไว้แก่ คนที่รักษาศาลาแล้ว โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ต่างถืออาวุธสำหรับมือ ตามขุนนางเข้าไปในพระราชวัง
 ครั้นถึงหน้าพระที่นั่ง โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็คำนับแล้วก็ยืนสองข้าง ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดิน ทอดพระเนตรเห็นคนทั้งสองมีลักษณะหน้ากลัวดังนั้น ในพระทัยก็ให้หวาดเสียวทรงนิ่งไปเป็นครู่ จึงตรัสถามว่าท่านทั้งสองท่านผู้ใดเข้าใจในการปราบปีศาจยักษ์มารได้ โป๊ยก่ายได้ยินถามดังนั้นจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเข้าใจเคยปราบได้ พระเจ้าแผ่นดินถามว่าท่านทำประการใดในวิธี ปราบปีศาจจึงปราบได้ โป๊ยก่ายตอบว่าข้าพเจ้าอยู่บนสวรรค์ เป็นที่ขุนนางพ่องง้วนเส้ย เพราะมีโทษทำผิดจึงต้อง ลงมาตามโทษอยู่ในทางสัมมาปฏิบัติ ตั้งแต่เมืองใต้ถังมาถึงนี่ข้าพเจ้านี่แลปราบปีศาจที่หนึ่ง เจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กจึงตรัสว่า ถ้ากระนั้นก็เป็นทหารบนฟ้าลงมาดินคงจะเปลี่ยนแปลงกายได้
 โป๊ยก่ายทูลว่าการเปลี่ยนแปลงก็ทำได้แต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง เจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กว่าขอเชิญ ท่านแปลงให้ดูสักหน่อยเถิด โป๊ยก่ายว่าจะโปรดให้แปลงเป็นอะไรขอให้ทราบก่อน จะได้ทำตาม ต้องการ เจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กว่าขอให้แปลงตัวให้สูง อันที่จริงโป๊ยก่ายแปลงตัวได้ถึงสามสิบหกอย่าง เมื่อได้ฟังเจ้าแผ่นดินบอกดังนั้น โป๊ยก่ายร่ายพระ คาถาร้องเสียงดังว่าสูงตัวนั้นก็สูงแปด เก้า วา รูปร่างดุจปีศาจขุนนางทั้งหลายเมื่อได้เห็นดังนั้น ก็ พากันตกใจตัวสั่นไปทุกคน มีขุนนางฝ่ายทหารผู้หนึ่ง ถามว่าท่านแปลงได้เท่านี้แลหรือ ๆ จะสูง เพียงใดได้อีก โป๊ยก่ายว่าดูตามสายลม ถ้าลมตะวันออกยังปกติไม่เปนไร ถ้าลมตะวันตกก็ยัง ไม่เป็นไร แม้ว่าลมทิศอาคเนย์มาก็หอบทั้งท้องฟ้าได้
 พระเจ้าแผ่นดินได้ยินโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็ร้อง ห้ามว่าท่านอย่าแปลงเลย โป๊ยก่ายจึงร่ายพระคาถาลดตัวให้เล็กลงตามเดิม พระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กเห็นดังนั้นก็มีความยินดีเป็นที่สุด จึงเรียกขันธีให้เอาสุรามารินรางวัลให้ โป๊ยก่ายถ้วยหนึ่ง โป๊ยก่ายรับแล้วก็ดื่มหมดถ้วย เจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กพูดว่านี่ข้าพเจ้ารางวัล ต่อ เมื่อช่วยก๋งจู๋มาได้แล้วจะรางวัลเงินทองให้ยิ่งกว่านี้ โป๊ยก่ายพอดื่มสุราแล้วก็เหาะลอยไปในอากาศ เจ้าแผ่นดินเห็นดังนั้นก็สรรเสริญว่าท่านเหาะเหินได้ โป๊ยก่ายเหาะไปแล้วซัวเจ๋งดื่มสุราแล้วก็เหาะลอยขึ้นกลางอากาศตามไป พระเจ้าแผ่นดินเห็นดังนั้นก็ตกใจร้องห้าม ว่าท่านถังซัมจั๋งอย่าเพิ่งเหาะไปก่อนนิมนต์นั่งสนทนากับข้าพเจ้าก่อน
 พระถังซัมจั๋งว่าอาตมภาพนี้เหาะได้แต่แค่ยอดหญ้า จะย่างก้าวก็ไม่ได้จะเหาะไปข้างไหนได้ ในเวลานั้นพระถังซัมจั๋งกับพระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กนั่งสนทนากันอยู่ในพระ ราชวัง ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเหาะไปบัดเดี๋ยวก็ถึงปากถ้ำจึงลดลงยังพื้นแล้วก็เดินเข้าไปยังประตูถ้ำเอาคราดเหล็กสับ ขุดประตูถ้ำล้มลงทั้งสิ้น พวกปีศาจที่เฝ้าประตูเห็นดังนั้นก็พากันวิ่งเข้าไปในถ้ำ บอกว่าใต้อ๋องได้ทราบเถิด บัดนี้อ้ายปากยาวหูใหญ่กับอ้ายสีหมอกมันมาขุดรื้อประตูทลายลงหมดแล้ว
 อึ่งเพ้าได้ฟังดังนั้นก็ตกใจเอาเกราะสวม ตัวเสร็จแล้วมือถือมีดดาบรีบเดินออกมายังปากถ้ำ ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่าข้าปล่อยอาจารย์เจ้าไปแล้ว เหตุใด จึงกลับมาทำสามารถดังนี้ โป๊ยก่ายตอบว่าอ้ายปีศาจเอ็งไม่มีความดี ทำอิทธิฤทธิ์อานุภาพลอบลักบุตรหญิงที่สาม ของเจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กมาข่มขืนเป็นเมียถึงสิบสามปีแล้ว บัดนี้กูรับอาสามาจะจับตัวมึง ๆ รักตัวกลัวตายจงเร่งส่งนางโดยเร็วเถิดกูจะไว้ชีวิต
อึ่งเพ้าได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็ยิ่งมีความโกรธเป็นกำลัง ยกมีดขึ้นฟันโป๊ยก่ายหลบทันก็ยกคราด เหล็กขึ้นรับรองต่อสู้กัน ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็จับไม้พลองเหล็กวิ่งตามมาระดมตีอึ่งเพ้า รบกันครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน อึ่งเพ้า โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งตลบตะแลงต่อสู้กันที่บนเนินเขา โดยสามารถได้แปดสิบเพลงโป๊ยก่ายกำลังล้าลงท่าจะ เอาชัยชนะไม่ได้ รบคราวนี้สู้อึ่งเพ้าไม่ได้ เพราะคราวก่อนมีเทวดาช่วยเป็นกำลัง คราวนี้เทพยดาติดตามรักษาพระ ถังซัมจั๋งอยู่เมืองเชียงโป๊ก๊ก เพราะฉะนั้นโป๊ยก่ายซัวเจ๋งจึงสู้อึ่งเพ้าไม่ได้ โป๊ยก่ายเห็นกำลังตัวอ่อนลงจึงร้องให้ซัว เจ๋งสู้ไปก่อน ไว้พี่พักประเดี๋ยวพูดดังนั้นแล้วก็ผละทิ้งให้ซัวเจ๋งรบ วิ่งมุดแอบเข้ารกนอนเสียไม่ออกมารบ
 ฝ่ายอึ่งเพ้า ปิศาจ เห็นโป๊ยก่ายหนีแล้ว ก็ออกกำลังรบซัวเจ๋ง ๆ กำลังน้อยอ่อนพลาดท่าอึ่งเพ้ากระโจนเข้าจับตัวได้เอา เข้ามาในถ้ำ แล้วเอาเชือกมาขึงพืดถ่างไว้ทั้งเท้าแลมือ

27 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 26 ไซอิ๋ว นวนิยาย

    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖    
     ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่   
ตอน ปราบปีศาจกระดูกขาว พระซังธัมจั๋งไล่หงอคง
(บทที่ ๒๗)   ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋ง ตั้งแต่ได้กินผลยิ่นเซียมก๊วยแล้ว ร่างกายดุจเปลี่ยนแปลงใหม่ มีกำลังพะลังยิ่งขึ้นกว่าเก่า เวลาที่กำลังเดินมานั้น แลไปข้างหน้าเห็นภูเขาใหญ่ยอดสูงเทียมเมฆ หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงเรียกศิษย์ทั้งสามแล้วกำชับว่าจงระวังระไวให้ดี บางทีที่เขานี้จะมีสัตว์ร้ายของร้าย เห้งเจียตอบว่าพะอาจารย์อย่ามีความวิตก ข้าพเจ้าเคยเป็นพระยาวานร แม้จะมีสัตว์ร้ายเช่นแก่เสือก็ไม่ต้องวิตกกลัว ขอพระอาจารย์จงวางอารมณ์เถิด เห้งเจียพูดดังนั้นแล้ว มือถือกระบองเหล็กออกเดินนำหน้าตัดทางขึ้นบนเขา
   หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงบอกเห้งเจียว่า อาตมภาพเดินมาก็ออกหิวแล้ว เห้งเจียจงไปเที่ยวบิณฑบาตรอาหารมาให้อาตมภาพฉันเถิด เห้งเจียจึงว่าท่านอาจารย์ไม่ทราบหรือ ในป่าในดงไม่มีบ้านเรือนผู้คนอย่างนี้จะไปบิณฑบาตรอาหารแก่ผู้ใดเล่า หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจิตใจก็เศร้าหมองไม่สบาย จึงพูดแก่เห้งเจียว่าเดิมเจ้าติดอยู่ในเขาพูดได้แต่ปาก มือแลเท้าก็กระดิกไม่ไหว เราได้ช่วยสงเคราะห์ให้เจ้าหลุดพ้นจากความทรมาน เจ้าติดตามเรามาเป็นสานุศิษย์ไม่มีความเพียรมีแต่ความเกียจคร้านอย่างนี้
   เห้งเจียจึงตอบว่าข้าพเจ้าก็มีความจงรักภักดีต่อท่าน หาได้มีความเกียจคร้านไม่ หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงว่า ถ้าเจ้าไม่เกียจคร้านแล้ว เหตุใดเราให้ไปบิณฑบาตรท่านจึงมิไปเล่า ท้องเราหิวอย่างนี้จะเดินไปที่ไหนได้เล่า เห้งเจียจึงพูดว่าพระอาจารย์อย่าโกรธขึงเลย ข้าพเจ้าทราบได้ว่าท่านถือว่ามีคาถา แม้ข้าพเจ้าขัดขืนท่านก็จะภาวนาให้ข้าพเจ้าได้รับความเดือดร้อน แม้ท่านมีความหิวโหยแล้ว ขอให้ลงจากม้าพักก่อนข้าพเจ้าจะไปเที่ยวหาบ้านคน บิณฑบาตรจังหันมาถวาย
   เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศ แลไปดูทั้งสี่ทิศก็มิได้เห็นมีบ้านเรือนผู้คน มีแต่ป่าดงพงไพร เห้งเจียแลไปข้างทิศอาคเนย์เห็นมีภูเขาหนึ่ง มีผลไม้ชมพู่สุกแดงไปทั้งเขา เห้งเจียเห็นดังนั้นแล้วก็ลดลงยังพื้นพสุธา มาบอกแก่พระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าเหาะขึ้นไปดูรอบทุกทิศ ไม่เห็นมีบ้านเรือนผู้คน เห็นข้างทิศอาคเนย์มีภูเขาหนึ่งมีผลชมพู่สุก ข้าพเจ้าจะไปเก็บมาถวายให้ท่านฉันแก้หิวก่อน หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็มีความยินดีจึงพูดแก่เห้งเจียว่า เราถือเพศเป็นสมณะถ้าได้กินผลชมพู่ก็ดีกว่าของอื่น เห้งเจียไดฟังพระอาจารย์ว่าดังนั้น ก็ฉวยบาตรเหาะขึ้นบนเวหาตรงไปยังทิศอาคเนย์ ครั้นถึงก็ลงยังพื้นภูเขาตรงมาที่ต้นชมพู่ ก็เลือกเก็บตามชอบใจ
   ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งคอยเห้งเจียอยู่ที่ภูเขานั้น (มีคำโบราณท่านกล่าวไว้ว่า แม้มีภูเขาสูงใหญ่ก็จะมีสัตว์ที่ดุร้าย หรือปีศาจอันสำคัญ) ก็จริงเหมือนดังคำโบราณที่ท่านกล่าวไว้ คือในภูเขานั้นมีปีศาจยักษ์ตนหนึ่ง (ในเวลานั้นมันเหาะขึ้นกลางอากาศแอบเมฆมองดูทั้งสี่ทิศ บังเอิญแลลงมาเห็นหลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็มีความยินดียิ่งนัก จึงออกปากบังเอิญ ๆ เราได้ยินชาวชนบทเล่าลือกันว่า มีพระสงฆ์อยู่ข้างทิศตะวันออก จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม เธอองค์นั้นคือกิมเสียนโพธิสัตว์กลับชาติ บวชเรียนมาได้สิบชาติแล้ว มีความบริสุทธิ์ถ้าผู้ใดกินเนื้อเธอก้อนหนึ่งจะมีอายุยืนยาวนาน
   บัดนี้มาถึงเขตเขาแดนของเรา เราจะเข้าไปจับตัวก็เกรงสานุศิษย์ทั้งสามนั่งเฝ้าอยู่ เมื่อปีศาจเห็นดังนั้นแล้ว จึงตรึกตรองคิดกลอุบายว่า จำเราจะแปลงกายล่อลวงดูก่อนว่าจะเป็นประการใด คิดดังนั้นแล้วก็ลงยังซอกเขา แปลงภายเป็นรูปหญิงสาว มือหนึ่งถือชามข้าวมือหนึ่งถือจานของหวาน เดินตรงมายังทิศตะวันออก
   ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งคอยเห้งเจียที่นั่น แลไปเห็นหญิงคนหนึ่งเดินมา หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งถามว่า เห้งเจียพูดว่าตำบลนี้เป็นที่เปลี่ยวไม่มีบ้านเรือนผู้คน ทำไมจึงมีผู้หญิงเดินมาแต่ข้างไหนเล่า โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะถามดูก่อน พูดดังนั้นแล้วจึงทำกิริยาเรียบร้อยเดินมาข้างหน้าหญิงนั้น พิเคราะห์ดูรูปร่างงดงาม โป๊ยก่ายมีความกำหนัดในรูปหญิงนั้น จึงมีสุนทรวาจาถามว่า แม่น้องหญิงท่านจะไปข้างไหน ที่มือนั้นท่านถือสิ่งของอะไร
   ปีศาจแปลงได้ฟังถามดังนั้นจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเอาข้าวหอมของหวานจะมาแก้บนถวายพระสงฆ์ ไม่ได้ไปไหนจะมาที่นี่เอง โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็กลับมาบอกอาจารย์ว่า เกิดเป็นคนมีบุญแล้วก็มีมาเอง ท่านอาจารย์ใช้ให้พี่เห้งเจียไปเที่ยวบิณฑบาตร เธอว่าจะไปเก็บชมพู่ก็เธอเป็นชาติลิง บางทีไปปะชมพู่จะเก็บกินให้อิ่มเสียก่อนแล้วจึงจะกลับมา อาจารย์ดูหญิงนั้นจะมาถวายสังฆทาน หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า พวกเรามานี่ก็ยังหาพบผู้คนที่มีศรัทธาถวายข้าวสงฆ์ไม่ โป๊ยก่ายบอกว่าโน่นแล้วมิใช่หรือ
   หลวงจีนถังซัมจั๋งแลไปเห็นหญิงนั้นมานั่งอยู่ จึงมีสุนทรวาจาถามว่า สีกาโยมบ้านช่องอยู่ที่ไหน จะแก้บนด้วยเหตุอย่างไร จึงได้มีจิตเอาข้าวมาถวายสังฆทานถึงที่นี่ ปีศาจปลอมบอกว่า ขอท่านอาจารย์ได้ทราบว่าตำบลภูเขานี้ (จั่วฮ่วยทู้เป๊ด) บนยอดเขานั้นเรียกว่า (แปะเฮ้าเนี้ย) ข้างทิศตะวันตกนั้นคือบ้านข้าพเจ้าตั้งอยู่ที่นั่น บิดามารดาข้าพเจ้าอยู่ในศีลในธรรมไม่ทำบาปอยาบช้า สามีข้าพเจ้าเป็นคนใจบุญ คิดทำแต่ที่เป็นการกุศล วันนี้ข้าพเจ้ามีนิสัยอันใหญ่จึงได้มาพบท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าขอนำเครื่องกระยาหารถวายต่อท่าน
   หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังหญิงแปลงพูดดังนั้น ก็ไตร่ตรองในใจยังไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรให้ควรแก่การนั้น โป๊ยก่ายออกอยากเต็มกลั้น จึงเดินมาฉวยชามข้าวกับขนมยกมา แล้วก็ลงมือกินบังเอิญแลไปก็เห็นเห้งเจียกลับมา เห้งเจียเหลือบไปเห็นรูปหญิงแปลงก็อาจสามารถรู้ได้ว่าปีศาจ จึงวางบาตรลงทันทีชักกระบองตรงเข้าตีที่ศรีษะปีศาจ หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ ร้องห้ามว่าอย่าเพิ่งก่อนนี่เหตุใดจึงมาตีเขาทำไม เห้งเจียว่าหญิงคนนี้มันเปนปีศาจ พระอาจารย์ยังไม่ทราบ มันมิใช่คนดีมันจะมาล่อลวงให้หลงกลแล้วจะกินเนื้อพระอาจารย์เสีย พระถังซัมจั๋งว่าอ้ายลิง เขามีศรัทธาจะเอาข้าวมาถวายทำไมเจ้าหาเหตุไปตีเขาอย่างนี้ควรแล้วหรือ
   เห้งเจียได้ฟังพระอาจารย์พูดดังนั้น ก็หัวเราะแล้วพูดว่า อาจารย์ที่ไหนจะรู้ได้ซึ่งเล่ห์กลของปีศาจนั้น ข้าพเจ้าอยู่ที่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง แม้ว่าจะคิดกินเนื้อคนแล้วก็ได้โดยแท้ มันจะเปลี่ยนแปลงประการใดข้าพเจ้าก็รู้ได้ทั้งสิ้น ถ้าข้าพเจ้ามาช้าสักหน่อยท่านอาจารย์ก็จะต้องเดือดร้อนด้วยปีศาจร้าย แม้มา ทว่าเห้งเจียพูดดังนั้นแล้ว หลวงจีนถังซัมจั๋งก็มิได้เห็นจริงด้วย เห้งเจียจึงได้พูดต่อไปว่า ข้าพเจ้าทราบเหตุแล้วว่าท่านอาจารย์เห็นรูปหญิงนั้น งามจึงมีความรักใคร่ถ้าท่านมีจิตกระสันอย่างนั้นแล้ว ก็จงปลูกบ้านเรือนอยู่ในที่ตำบลนี้ จะได้ทำการวิวาหะมงคลด้วยกันแก่หญิงนี้ พวกข้าพเจ้าจะได้กลับไปยังถิ่นฐานตามเดิมจะไม่ดีหรือ จะต้องไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมให้ลำบากป่วยการทำไมเล่า
   หลวงจีนถังซัมจั๋งเป็นผู้มัทยัธมักน้อย เมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดแดกดันประชดดังนั้น ก็ให้มีใจโกรธเห้งเจียแลมีความอายเป็นอันมากจนหน้าแดง เห้งเจียยกกระบองตีปีศาจล้มกลิ้งลงกับพื้น แต่ปีศาจนั้นมีอิทธิฤทธิ์ ก็ถอดรูปทิ้งซากศพไว้บันดาลเป็นลมหนีไปในอากาศ
   ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดังนั้น อกใจก็ซ่านเสียวระรัวสั่นไปทั้งกาย จึงร้องด่าเห้งเจียว่า อ้ายชาติวานรทำไมมึงจึงมิได้มีเมตาจิตเลย เขาไม่มีโทษผิดอะไร เหตุใดจึงตีเขาให้ถึงแก่ความตายอย่างนี้ เห้งเจียตอบว่าพระอาจารย์จงดู ในชามจานเหล่านั้นเป็นของอะไร หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงลุกเดินเข้าไปใกล้ พิจารณาดูในชามนั้นก็ล้วนแต่หนอน ในจานก็ล้วนแต่ กบ และ เขียด อึ่ง กิงกือทั้งสิ้น เมื่อเห็นดังนั้นจึงค่อยมีความเชื่อเห้งเจีย แต่กระนั้นก็ไม่ห้ามความโกรธของโป๊ยก่ายได้ โป๊ยก่ายบอกแก่อาจารย์ว่า หญิงคนนั้นเขาเป็นชาวนา ทำไมว่าเขาเป็นปีศาจ แท้ที่จริงพี่เห้งเจียตีเขาตายแล้ว กลัวพระอาจารย์จะภาวนา จึงแกล้งทำกลบังตาแปลงเป็นรูปต่าง ๆ อย่างนี้
   หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดชี้แจงดังนั้น ก็พาซื่อกลับเห็นจริงด้วยโป๊ยก่าย จึงภาวนาคาถาเห้งเจียก็หมุนลงกับพื้น ร้องว่าอาจารย์อย่าภาวนาเลย ข้าพเจ้าจะขอพูดให้อาจารย์ฟัง หลวงจีนถังซัมจั๋งว่าจะพูดอะไร เป็นผู้ถือศีลแล้วทุกเวลาจะต้องตั้งอยู่ในธรรมอันชอบ นี่เจ้าตีเขาจนตายอย่างนี้ควรหรือ แม้จะตามไปอาราธนาพระธรรมมาจะต้องการอะไร เจ้าจงเร่งกลับไปเสียเถิดจะไปต่อไปด้วยกันมิได้แล้ว
   เห้งเจียเห็นพระอาจารย์มีความโกรธเคืองดังนั้นจึงถามว่า อาจารย์จะให้ข้าพเจ้ากลับไปข้างไหน หลวงจีนถังซัมจั๋งพูดว่า ข้าไม่เอาเจ้าไปเป็นศิษย์อีกแล้ว เห้งเจียว่าแม้ท่านไม่ให้ข้าพเจ้าไปด้วย ข้าพเจ้าวิตกกลัวว่าท่านจะไปไม่ตลอดถึงไซที หลวงจีนถังซัมจั๋งว่าชีวิตเราอยู่กับดินฟ้า มิใช่เจ้าจะช่วยให้พ้นจากความตายนั้นได้เมื่อไร เจ้าจงรีบกลับไปเถิด เห้งเจียว่าข้าพเจ้ากลับไปก็ได้ แต่ทว่าข้าพเจ้ายังหาได้สนองพระคุณท่านไม่ หลวงจีนถังซัมจั๋งว่าข้ากับเจ้ามีคุณอะไรต่อกัน
   เห้งเจียได้ฟังอาจารย์พูดดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าตั้งแต่ทำวุ่นวายบนสวรรค์ จนพระเจ้าลงโทษเอาภูเขาครอบตัวต้องทรมานอยู่ในนั้น พระโพธิสัตว์กวนอิมสั่งสอนให้รับศีลแล้ว พระอาจารย์จึงได้มาช่วยให้พ้นทุกข์ แม้ข้าพเจ้ามิไปไซทีด้วยท่าน คนทั้งหลายเขารู้เหตุว่าข้าพเจ้ามิได้รู้จักคุณของท่าน เขาทั้งหลายจะแช่งด่าว่ากล่าวความชั่วของข้าพเจ้า จะติดอยู่ชั่วฟ้าและดิน ขอพระอาจารย์ได้เมตาแก่ข้าพเจ้าเถิด
   หลวงจีนถังซัมจั๋งเป็นผู้มีเมตาจิต ครั้นได้ฟังเห้งเจียพูดอ้อนวอนดังนั้น ก็มีความสงสารจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นเราจะยกโทษให้สักครั้งหนึ่ง ถ้าภายหลังทำเช่นนี้อีก จะภาวนาให้ถึงความเจ็บปวดสาหัส เห้งเจียคำนับแล้วลุกขึ้นไปเอาชมพู่ที่เก็บมานั้น ถวายพระอาจารย์ให้ฉันพอแก้หิวแล้ว ก็ออกเดินข้ามเขามา
   ฝ่ายปิศาจนั้นหนีรอดชีวิตมาได้แล้ว แอบอยู่บนอากาศมีความโกรธเห้งเจียนัก กัดฟันคันเขี้ยวบ่นว่าเราได้ยินมาหลายปีแล้ว เขาเล่าลือกันว่า หลวงจีนถังซัมจั๋งมีสานุศิษย์มีฤทธาอานุภาพมาก มาวันนี้เราเห็นจริงเหมือนคำคนที่เล่าลือกัน หลวงจีนถังซัมจั๋งเธอดูไม่ออกจวนจะกินของที่เราถวายอยู่แล้ว บัดเดี๋ยวเราก็จะจับตัวได้ บังเอิญเห้งเจียมาทันเข้า ทำให้เราเสียความคิดแล้วกลับมาตีเราด้วยกระบองเหล็ก ที่ไหนเราจะยอมให้มันข้ามเขาไปได้ เราจำคิดหลอกมันดูอีกสักครั้งหนึ่ง คิดดังนั้นแล้วก็ลงยังพื้นพสุธาแปลงกายเป็นยายเฒ่าคนหนึ่ง อายุประมาณแปดสิบเศษ ถือไม้เท้าเดินสกัดหน้ามา ร้องไห้พลางเดินพลาง
   โป๊ยก่ายแลเห็นดังนั้น จึงบอกแก่พระอาจารย์ว่า ไม่เป็นการแล้วพี่เห้งเจียตีหญิงคนนั้นตาย ที่ยายเฒ่าเดินมานั้น เห็นจะเป็นแม่มาตามลูกสาวแกดอกกระมัง เห้งเจียว่าเจ้าโป๊ยก่ายเจ้าอย่าพูดมากไป หญิงแก่นี้อายุถึงแปดสิบเก้าสิบแล้ว หญิงที่ตายอายุสิบแปดสิบเก้า ยายคนนี้จะมีบุตรเมื่ออายุหกสิบแล้วยังไรได้ ชะรอยปิศาจมันแกล้งแปลงมาจะล่อลวงเราให้หลงกล จำข้าจะไปดูมันให้แน่นอนก่อน ว่าแล้วเห้งเจียก็เดินสกัดหน้ายายเฒ่านั้น แล้วพิจารณาดูแก่หง่อมหน้านิ่วคิ้วย่นเดินเซซังมา เห้งเจียก็รู้ได้ว่าปีศาจแปลง ก็มิได้รั้งรอยกกระบองขึ้นตีศรีษะปีศาจ ๆ เห็นยกไม้กระบองตีก็ถอดรูปทิ้งซากศพไว้ บันดาลเป็นลมหายไป
   หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นก็ตกใจ ลงมาจากม้ามาดูซากศพเห็นนอนกลิ้งอยู่กับพื้นก็สิ้นสติไม่รู้ที่ว่าจะพูดประการใด จึงภาวนาคาถายี่สิบจบ มงคลก็รัดศรีษะเห้งเจียล้มกลิ้งลงกับพื้น เจ็บปวดสาหัสแทบจะขาดใจ จึงร้องว่าพระอาจารย์อย่าภาวนาเลย จะว่ากระไรก็ให้ว่าเถิด หลวงจีนถังซัมจั๋งว่าจะพูดอะไรอีกต่อไปเล่า สั่งสอนอย่างไรก็ไม่เชื่อฟังแล้ว ขืนทำแต่ดุร้ายฆ่าตีเขาให้ถึงแก่ความตาย นี่เหตุอะไรจึงได้เป็นเช่นนี้
   เห้งเจียว่ามันเป็นปีศาจจะไว้มันได้หรือ จำเป็นจะต้องตัดรอนมันเสีย หาไม่มันก็จะทำร้ายเรา หลวงจีนถังซัมจั๋งพูดว่าอ้ายลิงมึงอย่ามาพูดเลอะเทอะไปเลย อะไรจะมีปีศาจมากมายอย่างนั้นทีเดียว น้ำใจมึงดุร้ายอย่างนี้แล้วจะอยู่ต่อไปไม่ได้ จงรีบกลับไปเสียโดยเร็วเถิด เราไม่ให้เจ้าตามเราต่อไปแล้ว เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์จะให้ข้าพเจ้ากลับไปก็ไม่ยากอะไรดอก แต่ยังมีข้อขัดข้องอยู่ประการหนึ่ง
   หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า ขัดข้องด้วยเหตุประการใดจงชี้แจงให้เราฟัง เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าไม่ปิดบังพระอาจารย์ ตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อนนั้น เคยตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ในเขาฮวยก๊วยซัวถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง ตั้งแต่ตามพระอาจารย์มาเป็นสานุศิษย์ ต้องมงคลบังคับรัดอยู่บนศรีษะ จะให้กลับไปหาเพื่อนฝูงอย่างไรได้ แม้ว่าพระอาจารย์ไม่ต้องประสงค์ข้าพเจ้าแท้แล้ว ขอท่านได้ภาวนาคาถา ถอดมงคลนั้นออกเสียก่อน ข้าพเจ้าจะได้ลาท่านไปไม่ขัดขวางดื้อดึง ซึ่งข้าพเจ้าอุตสาหะพยายามตามท่านมาก็ไม่สำเร็จประโยชน์แล้ว ก็จะกลับลาท่านไปยังที่เดิม 
   หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ตกใจ ด้วยเวลานั้นพระโพธิสัตว์สอนแต่พระคาถารัด พระคาถาถอนท่านยังหาได้สอนไม่ จึงพูดว่าเราจะเอาอะไรที่ไหนไปถอนให้ได้เล่า เห้งเจียจึงพูดว่าแม้ไม่มีคาถาถอนท่านต้องเอาข้าพเจ้าไปด้วย จะขับไล่ข้าพเจ้าเสียนั้นหาควรไม่
 หลวงจีนถังซัมจั๋งไม่รู้ที่จะทำประการใด จึงพูดว่าถ้ากระนั้นเราจะยกโทษให้อีกสักครั้งหนึ่ง เจ้าจง ลุกขึ้นเถิดตั้งแต่นี้ไปอย่าได้ทำดุร้ายเช่นนี้อีกต่อไป เห้งเจียคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าไม่กล้าทำอีกต่อไป พูดแล้วก็ไป จับม้ามาให้พระอาจารย์ขี่ เห้งเจียก็ออกเดินนำหน้าตัดทางไป
 ฝ่ายปิศาจถูกเห้งเจียตีสองครั้ง ก็หาเป็นอันตรายไม่ นึกสรรเสริญเห้งเจียว่าอ้ายลิงตัวนี้มันดีแท้ มัน รู้จักดูเรา ๆ ทำล่อลวงมันสองครั้งแล้วมันก็สามารถรู้ได้ พวกเหล่านี้มันเดินเร็ว ถ้าลงพ้นจากเขานี้ไปสี่สิบโยชน์ ก็ จะพ้นอาณาเขตของเรา จำเราจะต้องแปลงตัวไปล่อลวงมันดูอีกสักครั้งหนึ่ง คิดดังนั้นแล้วก็แปลงกายเป็นรูปตาเฒ่า ชรามือถือลูกประคำ ปากภาวนาบริกรรมพระพุทธคุณ
 หลวงจีนถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้า แลเห็นคนแก่เดินมาจึงพูด สรรเสริญว่า ทิศปราจิณประเทศนี้มีคนใจบุญมาก มีการธุระเดินทางยังอุตส่าห์ภาวนาเจริญพระพุทธคุณ โป๊ยก่ายจึงพูดว่าพระอาจารย์อย่าเพิ่งสรรเสริญ ภัยจะมีมาถึงตัว หลวงจีนถังซัมจั๋งถามว่า ภัยจะ มีมาแต่ข้างไหนอีกเล่า โป๊ยก่ายบอกว่าตีลูกสาวเขาตายแล้วมิหนำยังตีเมียเขาตายอีกเล่า อีตาเฒ่าคนนี้น่ากลัวจะ เป็นผัวและเป็นพ่อของหญิงสองคนที่เห้งเจียตีตาย ชะรอยจะมาตามลูกเมียของเขา
 เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงพูดว่าอ้ายชาติหมูมึงอย่าพูดให้เลอะเทอะไป ข้าจะไปดูให้รู้ แน่ก่อนว่าจะเป็นประการใด เห้งเจียเอาไม้กระบองซ่อนเสียแล้ว ก็เดินตัดหน้าตาเฒ่ามาร้องถามว่าท่านตาจะไปข้าง ไหน ทำไมจึงต้องเดินภาวนาไปด้วยเล่า ตัวเราเป็นชาติเสือสมิง เจ้าทำอุบายล่อลวงต่าง ๆ จะมาล่อลวงเราด้วย หรือ จะล่อลวงได้ก็แต่ผู้อื่น จะมาหลอกลวงเราด้วยนั้นไม่ได้ กูรู้จักมึงคืออ้ายปีศาจผีร้าย ฝ่ายปีศาจแปลงได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น อ้าปากไม่ออก
 เห้งเจียก็ชักกระบองแล้วคิดว่า เราตีมัน สองครั้งแล้ว มีแต่โทษไม่มีคุณ ในครั้งนี้จำเราจะตีมันให้สิ้นชีวิต อย่าให้เป็นได้อีกต่อไปแม้พระ อาจารย์จะโกรธเคืองเราก็จะมีที่อ้าง เราก็จะพูดได้เต็มปาก คิดดังนั้นก็ร่ายพระคาถา เรียกเจ้า เขาและเทวดา และพระภูมิเจ้าที่ในตำบลนั้น บัดเดี๋ยวก็มาพร้อมกัน เห้งเจียจึงร้องสั่งว่าท่าน ทั้งหลายจงเป็นธุระแก่ข้าพเจ้า ด้วยปีศาจตนนี้มันสิงสู่อยู่ที่นี่ มันมาทำการล่อลวงพระอาจารย์ สองครั้งแล้ว ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะตีมันให้สิ้นชาติเสีย ขอท่านทั้งหลายคอยระวังสกัดไว้อย่าให้มัน หนีไปได้ เจ้าเขาและ เทวดา และพระภูมิเจ้าที่ได้ฟังเห้งเจียสั่งดังนั้น ก็พากันคอยระวังอยู่
 เห้งเจียเมื่อสั่ง เสร็จแล้วก็ถือกระบองเหล็กเดินตรงเข้าไปตีถูกตาเฒ่าแปลง ปีศาจนั้น ล้มลงกับพื้นก็สิ้นชีวิต หลวงจีนถังซัมจั๋งอยู่บน หลังม้าเห็นดังนั้น ก็ตกประหม่าร่างกายสั่นระรัวไปทั้งกาย โป๊ยก่ายเห็นดังนั้น หัวเราะแล้วพูดว่าเดินหนทางได้ครึ่ง วันเท่านั้น ตีคนตายเสียถึงสามคนพี่เห้งเจียนี้ฝีมือแกดีมากๆ หลวงจีนถังซัมจั๋งจะภาวนาพระคาถา เห้งเจียวิ่งมาร้องว่าพระอาจารย์อย่าเพิ่งภาวนาก่อน ท่าน จงมาดูรูปร่างปีศาจว่ามันเป็นประการใด มีแต่กระดูกกองอยู่ เท่านั้น
 หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงเดิน เข้าไปใกล้พิจารณาดู ก็เห็นแต่กระดูกเป็นกองอยู่ จึงถามเห้งเจียว่า คนพึ่งตายใหม่ ๆ ทำไมจึงมีแต่กระดูกอยู่ อย่างนี้เล่า เห้งเจียบอกว่าปีศาจนั้น มันบังเกิดกายสิทธิ์มันมีฤทธิ์แปลงกายได้อาศัยอยู่ในที่ตำบลนี้ คอย เที่ยวหลอกลวงชนทั้งหลายให้หลงเชื่อ มันต้องกระบองกายสิทธิ์จึงตาย ร่างกายจึงได้แปรกลับเป็นรูปเดิม มันเป็นไม้ อกไก่นามเรียกภาษาจีนว่า (แป๊ะกุ๊ดฮูหยิน) เพราะฉะนั้นมันบังเกิดเป็นปิศาจฉะนี้
 หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังและเห็นศพดังนั้นก็เชื่อ โป๊ยก่ายยืนอยู่ข้างนั้นสอพลอพูด พระอาจารย์อย่า เพิ่งเชื่อก่อน ที่คนตายก็แลเห็นแจ้งอยู่กับตา พี่เห้งเจียแกกลัวท่านภาวนา แกจึงเล่นกลทำให้ตาคนเห็นเป็นรูป กระดูกเช่นนี้ หลวงจีนถังซัมจั๋งเป็นคนหูเบา แลทั้งไม่ชอบเห้งเจียว่าเป็นคนดุร้ายอยู่แล้วก็พาซื่อเห็นจริงด้วย โป๊ย ก่าย มีความโกรธเห้งเจียจึงภาวนาพระคาถา เห้งเจียร้องว่าขอพระอาจารย์ได้หยุดก่อน ข้าพเจ้าจะพูดให้ท่านฟัง
 หลวงจีนถังซัมจั๋งว่าอ้ายหัวลิงยังจะมาพูดว่ากระไรต่อไปอีกเล่า วิสัยคนทำความดีดุจหญ้าเมื่อฤดูเดือนสาม ถึงไม่ เห็นสูงแต่มากวันเข้าย่อมสูงยาวขึ้น คนทำการชั่วร้ายเปรียบเหมือนเอามีดสับกับหิน ถึงไม่เห็น นานไปก็เห็นเป็น รอย นี่เจ้าตีคนตายในวันเดียวถึงสามคนฉะนี้ เห็นว่าสันดานเจ้าดุร้ายเหลือเกิน มิได้คิดจะทิ้งพยศอันชั่วเลย เราจะผ่อนผันอย่างไรได้ เจ้าจงไปเสียให้พ้นเราโดยเร็ว ข้าไม่เลี้ยงเจ้าอีกแล้ว
 เห้งเจียพูดว่าอาจารย์โกรธเคือง ข้าพเจ้าจะมิผิดไปหรือ ก็เมื่อเห็นแก่ตาว่าเป็นเป็นปีศาจร้าย คิดล่อลวงจะฆ่าพระอาจารย์ข้าพเจ้าป้องกันท่านไว้ กำจัดปีศาจเสียได้ฉะนี้ ท่านมาหลงเชื่อฟังอ้ายหัวหมูมันสอพลอพูดยุยง กลับมาให้โทษโกรธข้าพเจ้าอย่างนี้จะควร หรือ แลท่านกลับมาขับไล่ข้าพเจ้า ๆ จะไม่ไปก็เป็นคนไม่มีความอาย ครั้นข้าพเจ้าจะไปก็วิตกถึงพระอาจารย์ที่จะไม่มี คนใช้ไปข้างหน้าอีก หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็โกรธจึงพูดว่า อ้ายชาติลิงไม่มีอาฌา อวดว่าตัวเป็น คนดีไม่มีผิด โป๊ยก่ายซัวเจ๋งนั้นไม่ใช่คนหรือ
 เห้งเจียพูดอ้อนวอนชี้แจงอย่างไรพระถังซัมจั๋งก็ไม่เชื่อฟังก็มีความ โทมนัสเสียใจเป็นอันมาก จึงถอนใจใหญ่พูดว่าแสนเข็ญ ๆ เมื่อพระอาจารย์ออกจากเมืองหลวง มาถึงเล่าเป๊กกิม เล่าเป๊กกิม ก็ส่งมาถึงเหลียงก่ายซัว ท่านช่วยข้าพเจ้าออกจากเขาข้าพเจ้าก็คำนับท่านว่าเป็นอาจารย์ ข้าพเจ้า ตามมาข้ามเขาเข้าถ้ำปราบปีศาจจับผีร้าย จับโป๊ยก่ายได้ซัวเจ๋งอย่างนี้ มีความทุกข์ยากลำบากมากับท่านสุดที่จะ พรรณา มาวันนี้พระอาจารย์จะมาหลงเชื่ออ้ายคนสอพลอยุยงโกรธข้าพเจ้าไล่ข้าพเจ้าเสีย มิให้ไปตามตั้งแต่นี้ก็จะ ขาดกัน แต่ยังขัดข้องด้วยพระคาถานั้นอยู่
 หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่าเจ้าจงกลับไปเถิด คาถานั้นข้าไม่ภาวนาต่อไปแล้ว เห้งเจียจึงตอบว่าอย่างนี้ก็ยากอยู่ที่จะเชื่อได้ ไปข้างหน้าบางทีไปปะปีศาจหรือยักษ์ ร้ายโป๊ยก่ายสู้ไม่ได้ก็จะคิดถึงข้าพเจ้า ท่านก็จะภาวนาพระคาถาขึ้น ข้าพเจ้าก็จะมีความเจ็บปวดจะทนที่ไหนได้เล่า
 หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ยิ่งมีความแค้น จึงลงจากหลังม้าเรียกซัวเจ๋งให้เอาถุงมา จึงเอากระดาษ พู่กันออกเขียนหนังสือสัญญาแล้วส่งให้เห้งเจีย พูดว่าเจ้าถือหนังสือนี้ไว้เป็นพยาน ตั้งแต่นี้ไปเราไม่ต้องการใช้เจ้า ต่อไป หรือเจ้าไม่เชื่อเราจะปฏิญาณตัวให้ เห้งเจียรับหนังสือแล้วพูดว่าท่านไม่ต้องปฏิญาณดอก ข้าพเจ้าจะลาพระ อาจารย์ไปแล้ว ข้าพเจ้าสวามิภักดิ์ตามท่านมาก็ไม่สำเร็จมรรคผลอันใด มาได้ครึ่งทางก็จากกันไป ขอพระอาจารย์ นั่งลงข้าพเจ้าจะกราบลา
 หลวงจีนถังซัมจั๋งหันหน้าไปเสียไม่รับลา แล้วพูดว่า ข้าเป็นสมณะตั้งอยู่ในกิจแห่งธรรม ไม่เหมือนเจ้าเป็นชาติคนพาลเราไม่รับไหว้ เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงร่ายพระคาถา แล้วถอนขนเพ็ชรออกสามเส้นเสกขึ้น เป็นรูปเห้งเจียอีกสามรูป เข้าล้อมหน้าล้อมหลังไหว้อาจารย์ หลวงจีนถังซัมจั๋งหลบไม่พ้นจึงรับไหว้เห้งเจีย
 ครั้นเห้งเจียไหว้แล้วก็ลุกขึ้นเรียกขนเพ็ชรกลับเข้าตัวตามเดิม แล้วจึงมาสั่งซัวเจ๋งว่าน้องเป็นคนดีแม้ไปข้างหน้า จงระวังอย่า ไว้ใจอ้ายโป๊ยก่ายชาติชั่วมักจะพูดสอพลอส่อเสียด เมื่อเดินตามทางไปนั้นจงระวังระไว บางทีจะปะปีศาจแลยักษ์ร้าย ถ้าดังนั้นเจ้าจงออกชื่อพี่ว่าเป็นสานุศิษย์ใหญ่ พวกปีศาจเหล่านั้นรู้สึกเคยเข็ดหลาบ ฤทธาอานุภาพของพี่จะคลั่น คร้ามไม่อาจจะทำร้ายพระอาจารย์
 หลวงจีนถังซัมจั๋งพูดว่า ข้าเป็นสมณะสุจริตไม่เหมือนเจ้าคนชั่วร้ายอย่างนั้น เจ้าอย่าวุ่นวาย ว่ากล่าวสั่งสอนเลย จงรีบไปให้พ้นโดยเร็วเถิด เห้งเจียเห็นว่าอาจารย์สิ้นความอาลัยแท้แล้วมิรู้ ที่จะทำประการใด ก็จำจะต้องกลับไป เห้งเจียก็เหาะขึ้นกลางอากาศหกขะเมนทีหนึ่ง เหาะตรงมายังเขาฮวยก๊วยซัว