Translate

31 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ เรื่องห้ามคนฆ่ามารดามิให้อุปสมบท

search-google ทำบุญ 
   [๑๒๘] ก็โดยสมัยนั้นแล มาณพผู้หนึ่งปลงชีวิตมารดาเสีย. เขาอึดอัด ระอา รังเกียจบาปกรรมอันนั้น และได้มีความดำริว่า ด้วยวิธีอะไรหนอ 
        เราจึงจะทำการออกจากบาปกรรมอันนี้ได้ 
   จึงหวนระลึกนึกขึ้นได้ว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ เป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติพรหมจรรย์ กล่าวแต่คำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม
   ถ้าเราจะพึงบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีเช่นนี้ เราก็จะทำการออกจากบาปกรรมอันนี้ได้. ต่อมา เขาเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายขอบรรพชา. ภิกษุทั้งหลายได้แจ้งความนี้ต่อท่านพระอุบาลีว่าอาวุโส อุบาลี
   เมื่อครั้งก่อนแล นาคแปลงกายเป็นชายหนุ่มเข้ามาบวชในสำนักภิกษุ อาวุโสอุบาลี นิมนต์ท่านไต่สวนมาณพคนนี้. ครั้นมาณพนั้น ถูกท่านพระอุบาลีไต่สวนอยู่ จึงแจ้งเรื่องนั้น. 
   ท่านพระอุบาลีได้แจ้งให้พวกภิกษุทราบแล้ว. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ คนฆ่ามารดา ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
เรื่องห้ามคนฆ่าบิดามิให้อุปสมบท
   [๑๒๙] ก็โดยสมัยนั้นแล มาณพผู้หนึ่งปลงชีวิตบิดาเสีย. เขาอึดอัด ระอา รังเกียจบาปกรรมอันนั้น และได้มีความดำริว่า ด้วยวิธีอะไรหนอ
   เราจึงจะทำการออกจากบาปกรรมอันนี้ได้ จึงหวนระลึกนึกขึ้นได้ว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ เป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติพรหมจรรย์ กล่าวแต่คำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม ถ้าเราจะพึงบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร 
   ด้วยวิธีเช่นนี้ เราก็จะทำการออกจากบาปกรรมอันนี้ได้. ต่อมา เขาเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วขอบรรพชา.
   ภิกษุทั้งหลายได้แจ้งความนี้ต่อท่านพระอุบาลีว่า อาวุโสอุบาลี เมื่อครั้งก่อนแล นาคแปลงกายเป็นชายหนุ่มเข้ามาบวชในสำนักภิกษุ อาวุโสอุบาลี นิมนต์ท่านไต่สวนมาณพคนนี้.
   ครั้นมาณพนั้น ถูกท่านพระอุบาลีไต่สวนอยู่ จึงแจ้งเรื่องนั้น. ท่านพระอุบาลีได้แจ้งให้พวกภิกษุทราบแล้ว.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ คนฆ่าบิดาภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
เรื่องห้ามคนฆ่าพระอรหันขมิให้อุปสมบท
   [๑๓๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกัน เดินทางไกล จากเมืองสาเกตไปพระนครสาวัตถี. ในระหว่างทาง พวกโจรพากันยกพวกออกมา แย่งชิงภิกษุบางพวก ฆ่าภิกษุบางพวก. เจ้าหน้าที่ยกออกไปจากพระนครสาวัตถี แล้วจับโจรได้เป็นบางพวก.
   บางพวกหลบหนีไปได้. พวกที่หลบหนีไป ได้บวชในสำนักภิกษุ. พวกที่ถูกจับได้ เจ้าหน้าที่กำลังนำไปฆ่า.
   พวกโจรที่บวชแล้วเหล่านั้นได้เห็นโจรพวกนั้นกำลังถูกนำไปฆ่า ครั้นแล้วจึงพูดอย่างนี้ว่า เคราะห์ดีพวกเราพากันหนีรอดมาได้ ถ้าวันนั้นถูกจับ จะต้องถูกเขาฆ่าเช่นนี้เหมือนกัน.
   ภิกษุทั้งหลายพากันถามว่า อาวุโสทั้งหลาย ก็พวกท่านได้ทำอะไรไว้? จึงบรรพชิตเหล่านั้นได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
   ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกนั้นเป็นอรหันต์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันคือคนฆ่าพระอรหันต์ ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
เรื่องห้ามอุปสมบทคนประทุษร้ายภิกษุณี เป็นต้น
   [๑๓๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีหลายรูป เดินทางไกลจากเมืองสาเกตไปพระนครสาวัตถี. ในระหว่างทาง พวกโจรพากันยกออกมา แย่งชิงภิกษุณีบางพวก ทำร้ายภิกษุณีบางพวก.
   เจ้าหน้าที่ยกออกไปจากพระนครสาวัตถี แล้วจับโจรได้เป็นบางพวก. บางพวกหลบหนีไปได้. พวกที่หลบหนีไป ได้บวชในสำนักภิกษุ. พวกที่ถูกจับได้เจ้าหน้าที่กำลังนำไปฆ่า. พวกโจรที่บวชแล้วเหล่านั้น ได้เห็นโจรพวกนั้นกำลังถูกนำไปฆ่า
   ครั้นแล้วจึงพูดอย่างนี้ว่า เคราะห์ดี พวกเราพากันหนีรอดมาได้ ถ้าวันนั้นถูกจับ จะต้องถูกเขาฆ่าเช่นนี้เหมือนกัน. ภิกษุทั้งหลายพากันถามว่าอาวุโสทั้งหลาย ก็พวกท่านได้ทำอะไรไว้. จึงบรรพชิตเหล่านั้นได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือคนประทุษร้ายภิกษุณี ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือคนผู้ทำสังฆเภท ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือคนทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงห้อพระโลหิต ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.
เรื่องห้ามอุปสมบทอุภโตพยัญชนก
   [๑๓๒] ก็โดยสมัยนั้นแล อุภโตพยัญชนกคนหนึ่งได้บวชในสำนักภิกษุ. เธอเสพเมถุนธรรมในสตรีทั้งหลาย ด้วยปุริสนิมิตของตนบ้าง ให้บุรุษอื่นเสพเมถุนธรรมในอิตถีนิมิต
ของตนบ้าง.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ อุภโตพยัญชนก ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๑สามหาขันธกะ
เรื่อง ห้ามคนฆ่ามารดามิให้อุปสมบท เป็นต้น
 อรรถกถามาตุฆาตกาทิวัตถุ
พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องบุคคลผู้ฆ่ามารดาเป็นต้นต่อไป :- 
   สองบทว่า นิกฺขนฺตึ กเรยฺยํ มีความว่า เราพึงกระทำความออก คือความหลีกไป ความชำระสะสาง. 
ในคำว่า มาตุฆาตโก ภิกฺขเว นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   มารดาผู้ให้เกิดซึ่งเป็นหญิงมนุษย์ อันบุคคลใดแม้ตนเองก็เป็นชาติมนุษย์เหมือนกันแกล้งปลงเสียจากชีวิต บุคคลนี้เป็นผู้ฆ่ามารดาด้วยอนันตริยมาตุฆาตกรรม. บรรพชาและอุปสมบทแห่งบุคคลนั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว. 
     ส่วนมารดาผู้เลี้ยงดูก็ดี ป้าก็ดี น้าก็ดี ซึ่งมิใช่ผู้ให้เกิด แม้เป็นหญิงมนุษย์ หรือมารดาผู้ให้เกิดแต่มิใช่หญิงมนุษย์ อันบุคคลใดฆ่าแล้ว บรรพชาของบุคคลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงห้าม และเขาไม่เป็นผู้มีอนันตริยกรรม. 
 มารดาผู้เป็นหญิงมนุษย์ อันบุคคลใดซึ่งตนเองเป็นสัตว์ดิรัจฉานฆ่าแล้ว แม้บุคคลนั้นย่อมไม่เป็นผู้มีอนันตริยกรรม. ส่วนบรรพชาของเขาเป็นอันทรงห้ามด้วย เพราะข้อที่เขาเป็นสัตว์ดิรัจฉาน.
คำที่เหลือเป็นคำตื้นทั้งนั้น. 
แม้ในบุคคลผู้ฆ่าบิดา ก็นัยนี้แล. 
   ก็ถ้าแม้บุรุษเป็นลูกหญิงแพศยา ไม่ทราบว่า ผู้นี้เป็นบิดาของเรา เขาเกิดด้วยน้ำสมภพของชายใด และชายนั้นอันเขาฆ่าแล้วย่อมถึงความนับว่าเป็นผู้ฆ่าบิดาเหมือนกัน ย่อมถูกอนันตริยกรรมด้วย. แม้บุคคลผู้ฆ่าพระอรหันต์ พึงทราบด้วยอำนาจพระอรหันต์ผู้เป็นมนุษย์เหมือนกัน. 
วินิจฉัยในอรหันตฆาตกวัตถุนี้ พึงทราบดังนี้ว่า 
      อันบุคคลเมื่อแกล้งปลงพระขีณาสพผู้เป็นชาติมนุษย์ โดยที่สุดแม้ไม่ใช่บรรพชิตเป็นทารกก็ตาม เป็นทาริกาก็ตาม จากชีวิต, ย่อมเป็นผู้ชื่อว่าพระอรหันต์แท้ ย่อมถูกอนันตริยกรรมด้วย และบรรพชาของผู้นั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้าม. 
 ส่วนบุคคลฆ่าพระอรหันต์ซึ่งมิใช่ชาติมนุษย์ หรือพระอริยบุคคลที่เหลือซึ่งเป็นชาติมนุษย์ ยังไม่เป็นผู้มีอนันตริยกรรม แม้บรรพชาของเขา ก็ไม่ทรงห้าม. แต่ว่า กรรมเป็นของรุนแรง. ดิรัจฉานแม้ฆ่าพระอรหันต์ซึ่งเป็นชาติมนุษย์ ก็ไม่เป็นผู้มีอนันตริยกรรม แต่ว่า เป็นกรรมอันหนัก. 
   หลายบทว่า เต วธาย โอนียนฺติ มีความว่า โจรเหล่านั้นอันพวกราชบุรุษย่อมนำไป เพื่อประโยชน์แก่การฆ่า. อธิบายว่า นำไปเพื่อประหารชีวิต. 
   ก็คำใดที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ในบาลีว่า สจา จ มยํ ความแห่งคำนั้นเท่านี้เองว่า สเจ มยํ. จริงอยู่ ในพระบาลีนี้ ท่านกล่าวนิบาตนี้ว่า สจา จ ในเมื่อนิบาตว่า สเจ อันท่านพึงกล่าว. 
   อีกอย่างหนึ่งปาฐะว่า สเจ จ ก็มี. ใน ๒ ศัพท์นั้น ศัพท์ว่า สเจเป็นสัมภาวนัตถนิบาต. ศัพท์ว่า  เป็นนิบาตใช้ในอรรถมาตรว่าเป็นเครื่องทำบทให้เต็ม. ปาฐะว่า สจชฺช มยํ บ้าง ความแห่งปาฐะนั้นว่า สเจ อชฺช มยํ.
               อรรถกถามาตุฆาตกาทิวัตถุ จบ

เรื่อง ห้ามอุปสมบทคนประทุษร้ายภิกษุณี เป็นต้น
อรรถกถาภิกขุนีทุสกาทวัตถุ
พึงทราบวินิจฉัยในคำนี้ว่า ภิกฺขุนีทูสโก ภิกฺขเว เป็นต้นดังนี้ :- 
   บุรุษใดประทุษร้ายนางภิกษุณีผู้มีตนเป็นปกติ ในบรรดามรรค ๓ มรรคใดมรรคหนึ่ง บุรุษนี้ชื่อภิกขุนีทูสกะ. บรรพชาและอุปสมบทของบุรุษนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว.
   ฝ่ายบุรุษใดยังนางภิกษุณีให้ถึงศีลพินาศ กายสังสัคคะ บรรพชาและอุปสมบทแห่งบุรุษนั้นไม่ทรงห้าม. แม้บุรุษผู้ทำนางภิกษุณีให้นุ่งผ้าขาวแล้ว ประทุษร้ายนางผู้ไม่ยินยอมเลยทีเดียวด้วยพลการ ชื่อภิกขุนีทูสกะแท้.
   ฝ่ายบุรุษผู้นำนางภิกษุณีให้นุ่งขาวด้วยพลการแล้ว ประทุษร้ายนางผู้ยินยอมอยู่ ไม่เป็นผู้ชื่อภิกขุนีทูสกะ. 
   ถามว่า เพราะเหตุไร? 
   แก้ว่า เพราะนางภิกษุณีนั้นย่อมเป็นผู้มิใช่นางภิกษุณี ในเมื่อความเป็นคฤหัสถ์มาตรว่าอันตนยอมรับทีเดียว. 
   ส่วนบุรุษผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณีผู้เสียศีลแล้วคราวเดียว ในภายหลังและปฏิบัติผิดในนางสิกขมานาและสามเณรีทั้งหลาย ไม่จัดว่าภิกขุนีทูสกะเหมือนกัน; ย่อมได้ทั้งบรรพชา ทั้งอุปสมบท. 
   ในคำว่า สงฺฆเภทโก ภิกฺขเว เป็นต้นนี้ มีวินิจฉัยว่า 
   ผู้ใดทำพระศาสนาให้เป็นของนอกธรรมนอกวินัย ทำลายสงฆ์ด้วยอำนาจแห่งกรรม ๔ อย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนพระเทวทัต, ผู้นี้ชื่อสังฆเภทกะ ผู้ทำลายสงฆ์ บรรพชาและอุปสมบทแห่งบุคคลนั้นทรงห้าม. 
พึงทราบวินิจฉัยแม้ในคำนี้ว่า โลหิตุปฺปาทโก ภิกฺขเว เป็นต้นดังนี้ :- 
   ผู้ใดมีจิตประทุษร้ายคิดฆ่า ยังพระโลหิตในพระสรีระซึ่งยังเป็นอยู่ของพระตถาคตเจ้า แม้พอที่แมลงวันเล็กๆ จะดื่มได้ให้ห้อขึ้นเหมือนพระเทวทัต ผู้นี้ชื่อผู้ทำโลหิตุปบาท. บรรพชาและอุปสมบทแห่งบุคคลนั้นทรงห้าม. 
   ส่วนผู้ใดใช้มีดผ่าตัดเอาเนื้อเสียและโลหิตออกทำให้ทรงสำราญเหมือนหมอชีวกได้ทำเพื่อให้พระโรคสงบไป ผู้นั้นย่อมประสบบุญมากฉะนี้.
อรรถกถาภิกขุนีทูสกาทิวัตถุ จบ.

เรื่อง ห้ามอุปสมบทอุภโตพยัญชนก
อรรถกถาอุภโตพยัญชนกวัตถุ
   บทว่า อุภโตพฺยญฺชนโก มีอรรถวิเคราะห์ว่า นิมิตเครื่องปรากฏที่ตั้งขึ้นโดยกรรม ๒ อย่าง คือโดยกรรมเป็นเหตุยังอิตถีนิมิตให้เกิดขึ้น ๑ โดยกรรมเป็นเหตุยังปุริสนิมิตให้เกิดขึ้น ๑ ของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้น เขาชื่ออุภโตพยัญชนก. 
   บทว่า กโรติ มีความว่า ย่อมทำตนเองด้วยความละเมิดด้วยอำนาจเมถุนในสตรีทั้งหลาย ด้วยปุริสนิมิต. 
   บทว่า การาเปติ มีความว่า ย่อมชวนบุรุษอื่นให้ทำความละเมิดด้วยอำนาจเมถุน ในอิตถีนิมิตของตน. อุภโตพยัญชนกนั้นมี ๒ ชนิด คือสตรีอุภโตพยัญชนก ๑. บุรุษอุภโตพยัญชนก ๑. 
   ใน ๒ ชนิดนั้น อิตถีนิมิตของสตรีอุภโตพยัญชนกปรากฏ ปุริสนิมิตเป็นของลี้ลับ. ปุริสนิมิตของบุรุษอุภโตพยัญชนกปรากฏ อิตถีนิมิตเป็นของลี้ลับ.
   เมื่อสตรีอุภโตพยัญชนกทำหน้าที่
   ของบุรุษในสตรีทั้งหลาย อิตถีนิมิตย่อมเป็นของลี้ลับ ปุริสนิมิตปรากฏ. เมื่อบุรุษอุภโตพยัญชนกเข้าถึงความเป็นสตรีสำหรับพวกบุรุษ ปุริสนิมิตเป็นของลี้ลับ อิตถีนิมิตปรากฏ. 
   เหตุซึ่งทำให้ต่างกันแห่งอุภโตพยัญชนก ๒ ชนิดนั้นดังนี้ คือสตรีอุภโตพยัญชนกมีครรภ์เองด้วย, ให้สตรีอื่นมีครรภ์ได้ด้วย. ส่วนบุรุษอุภโตพยัญชนกมีครรภ์เองไม่ได้ แต่ให้สตรีอื่นมีครรภ์ได้. 
       แต่ในอรรถกถากุรุนทีท่านแก้ว่า 
   ถ้าเพศชายเกิดในกำเนิดคือปฏิสนธิกาล เพศหญิงย่อมเกิดต่อเมื่อความกำหนัดในบุรุษเป็นไป.๑- ถ้าเพศหญิงเกิดในกำเนิดคือปฏิสนธิกาล เพศชายย่อมเกิดต่อเมื่อความกำหนัดในสตรีเป็นไป.๑- 
   ลำดับแห่งวิจารณ์ในความเกิดแห่ง ๒ เพศนั้น บัณฑิตพึงทราบพิสดารในอรรถกถาธรรมสังคหะชื่ออัฏฐสาลินี.๒- 
   ส่วนในบรรพชาธิการนี้ พึงทราบสันนิษฐานแม้นี้ว่า บรรพชาอุปสมบทแห่งอุภโตพยัญชนกทั้ง ๒ ชนิดนี้ ไม่มีเลย. 
๑- ปวตฺเต น่าจะหมายความว่า ในปวัตติกาล
๒- อฏฺฐาสาลินี. ๔๖๗-๔๗๐.
อรรถกถาอุภโตพยัญชนกวัตถุ จบ.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ เรื่องห้ามบัณเฑาะก์มิให้อุปสมบท

search-google ทำบุญ 
   [๑๒๕] ก็โดยสมัยนั้นแล บัณเฑาะก์คนหนึ่งบวชในสำนักภิกษุ. เธอเข้าไปหาภิกษุหนุ่มๆ แล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. ภิกษุทั้งหลายพูดรุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จงฉิบหาย เจ้าบัณเฑาะก์จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยเจ้า.
   เธอถูกพวกภิกษุพูดรุกราน จึงเข้าไปหาพวกสามเณรโค่งผู้มีร่างล่ำสัน แล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. 
   พวกสามเณรพูดรุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จงฉิบหาย เจ้าบัณเฑาะก์จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยเจ้า. เธอถูกพวกสามเณรพูดรุกราน จึงเข้าไปหาพวกคนเลี้ยงช้าง คนเลี้ยงม้า แล้วพูดอย่างนี้ว่า มาเถิด ท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า.
   พวกคนเลี้ยงช้าง พวกคนเลี้ยงม้า ประทุษร้ายแล้วจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้เป็นบัณเฑาะก์ บรรดาพวกสมณะเหล่านี้ แม้พวกใดที่มิใช่บัณเฑาะก์ แม้พวกนั้นก็ประทุษร้ายบัณเฑาะก์ เมื่อเป็นเช่นนี้ 
   พระสมณะเหล่านี้ก็ล้วนแต่ไม่ใช่เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์. ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกคนเลี้ยงช้าง พวกคนเลี้ยงม้า พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
&@เรื่องห้ามคนลักเพศและคนเข้ารีตมิให้อุปสมบท
   [๑๒๖] ก็โดยสมัยนั้นแล บุตรของตระกูลเก่าแก่คนหนึ่ง เป็นสุขุมาลชาติ มีหมู่ญาติที่รู้จักกันในตระกูลหมดสิ้นไป. 
   ครั้งนั้น เขาได้มีความดำริว่า เราเป็นผู้ดี ไม่สามารถจะหาโภคทรัพย์ที่ยังหาไม่ได้ หรือไม่สามารถจะทำโภคทรัพย์ที่หาได้แล้วให้เจริญงอกงาม ด้วยวิธีอะไรหนอ เราจึงจะอยู่เป็นสุข และไม่ต้องลำบาก แล้วคิดได้ในทันทีนั้นว่า พวกสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้แล มีปกติเป็นสุข
   มีความประพฤติเรียบร้อย ฉันอาหารที่ดี นอนในห้องนอนอันมิดชิด ถ้ากระไร เราพึงจัดแจงบาตรจีวร โกนผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาดเสียเองแล้วไปอารามอยู่ร่วมกับภิกษุทั้งหลาย. ต่อมา เขาได้จัดแจงบาตรจีวร โกนผมและหนวด ครองผ้า ย้อมฝาดเอง แล้วไปอารามกราบไหว้ภิกษุทั้งหลาย.
ภิกษุทั้งหลายถามว่า คุณมีพรรษาได้เท่าไร?
เขาย้อนถามว่า ที่ชื่อว่ามีพรรษาได้เท่าไร นั่นอะไรกัน ขอรับ?
ภิกษุทั้งหลายถามว่า อาวุโส ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ของคุณ?
เขาย้อนถามว่า ที่ชื่อว่าพระอุปัชฌาย์ นั่นอะไรกัน ขอรับ?
   ภิกษุทั้งหลายได้แจ้งเรื่องนั้นต่อท่านพระอุบาลีว่า อาวุโสอุบาลี ขอนิมนต์ท่านสอบสวนบรรพชิตรูปนี้.
   ครั้นเขาถูกท่านพระอุบาลีสอบสวน จึงแจ้งเรื่องนั้นให้ทราบ. ท่านพระอุบาลีได้แจ้งให้ภิกษุทั้งหลายทราบแล้ว. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ คนลักเพศภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.
&@เรื่องนาคแปลงกายเป็นมนุษย์มาขอบวช
   [๑๒๗] ก็โดยสมัยนั้นแล นาคตัวหนึ่งอึดอัด ระอา เกลียดกำเนิดนาค จึงนาคนั้นได้มีความดำริว่า ด้วยวิธีอะไรหนอ เราจึงจะพ้นจากกำเนิดนาค และกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน.
   ครั้นแล้วได้ดำริต่อไปว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้แล เป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติพรหมจรรย์ กล่าวแต่คำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม หากเราจะพึงบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีเช่นนี้ เราก็จะพ้นจากกำเนิดนาคและกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน
   ครั้นแล้วนาคนั้นจึงแปลงกายเป็นชายหนุ่ม แล้วเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายขอบรรพชา.  ภิกษุทั้งหลายจึงให้เขาบรรพชาอุปสมบท. สมัยต่อมา พระนาคนั้นอาศัยอยู่ในวิหารสุดเขตกับภิกษุรูปหนึ่ง. ครั้นปัจจุสสมัยแห่งราตรี ภิกษุรูปนั้น ตื่นนอนแล้วออกไปเดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง. ครั้นภิกษุรูปนั้นออกไปแล้ว.
   พระนาคนั้นก็วางใจจำวัด. วิหารทั้งหลังเต็มไปด้วยงู.   ขนดยื่นออกไปทางหน้าต่าง. ครั้นภิกษุรูปนั้นผลักบานประตูด้วยตั้งใจจักเข้าวิหาร ได้เห็นวิหารทั้งหลังเต็มไปด้วยงู เห็นขนดยื่นออกไปทางหน้าต่าง ก็ตกใจ จึงร้องเอะอะขึ้น.   ภิกษุทั้งหลายพากันวิ่งเข้าไปแล้วได้ถามภิกษุรูปนั้นว่า อาวุโส ท่านร้องเอะอะไปทำไม?
   ภิกษุรูปนั้นบอกว่า อาวุโสทั้งหลาย วิหารนี้ทั้งหลังเต็มไปด้วยงู ขนดยื่นออกไปทางหน้าต่าง.   ขณะนั้น พระนาคนั้น ได้ตื่นขึ้นเพราะเสียงนั้น แล้วนั่งอยู่บนอาสนะของตน.
ภิกษุทั้งหลายถามว่า อาวุโส ท่านเป็นใคร?
น. ผมเป็นนาค ขอรับ.
ภิ. อาวุโส ท่านได้ทำเช่นนี้เพื่อประสงค์อะไร?
   พระนาคนั้นจึงแจ้งเนื้อความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วได้ทรงประทานพระพุทธโธวาทนี้แก่นาคนั้นว่า พวกเจ้าเป็นนาค
   มีความไม่งอกงามในธรรมวินัยนี้เป็นธรรมดา ไปเถิดเจ้านาค จงไปรักษาอุโบสถในวันที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และที่ ๘ แห่งปักษ์นั้นแหละ ด้วยวิธีนี้เจ้าจักพ้นจากกำเนิดนาค และจักกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน. ครั้นนาคนั้นได้ทราบว่า ตนมีความไม่งอกงามในพระธรรมวินัยนี้เป็นธรรมดาก็เสียใจหลั่งน้ำตา ส่งเสียงดังแล้วหลีกไป.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งความปรากฏตามสภาพของนาค มีสองประการนี้ คือ เวลาเสพเมถุนธรรมกับนางนาค ผู้มีชาติเสมอกัน ๑ เวลาวางใจนอนหลับ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งความปรากฏตามสภาพของนาค ๒ ประการนี้แล
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.
เรื่องห้ามบัณเฑาะว์มิให้อุปสมบท
อรรถกถาปัณฑกวัตถุ
   สองบทว่า ทหเร ทหเร ได้แก่ หนุ่มๆ. 
   บทว่า โมลิคลฺเล ได้แก่ ผู้มีร่างกายอวบ. 
   สองบทว่า หตฺถิภณฺเฑอสฺสภณฺเฑ ได้แก่ คนเลี้ยงช้างและคนเลี้ยงม้า. 
   ในคำว่า ปณฺฑโก ภิกฺขเว เป็นต้นนี้ มีวินิจฉัยว่า บัณเฑาะก์มี ๕ ชนิด คือ อาสิตตบัณเฑาะก์ ๑ อุสุยยบัณเฑาะก์ ๑ โอปักกมิยบัณเฑาะก์ ๑ ปักขบัณเฑาะก์ ๑ นปุงสกบัณเฑาะก์ ๑. 
   ในบัณเฑาะก์ ๕ ชนิดนั้น บัณเฑาะก์ใดเอาปากอมองคชาตของชายเหล่าอื่น ถูกน้ำอสุจิรดเอาแล้ว ความเร่าร้อนจึงสงบไป บัณเฑาะก์นี้ชื่ออาสิตตบัณเฑาะก์. 
   ฝ่ายบัณเฑาะก์ใดเห็นอัชฌาจารของชนเหล่าอื่น เมื่อความริษยาเกิดขึ้นแล้ว ความเร่าร้อนจึงสงบไป บัณเฑาะก์นี้ชื่ออุสุยยบัณเฑาะก์.    บัณเฑาะก์ใดมีอวัยวะดังพืชทั้งหลาย ถูกนำไปปราศแล้วคือ ถูกเขาตอนเสียแล้ว ด้วยความพยายาม๑- บัณเฑาะก์นี้ชื่อโอปักกมิยบัณเฑาะก์. 
   ส่วนบางคนข้างแรมเป็นบัณเฑาะก์ ด้วยอานุภาพแห่งอกุศลวิบาก แต่ข้างขึ้น ความเร่าร้อนของเขาย่อมสงบไป นี้ชื่อว่าปักขบัณเฑาะก์.    ส่วนบัณเฑาะก์ใดเกิดไม่มีเพศ ไม่มีภาวรูป ในปฏิสนธิทีเดียว คือไม่ปรากฏว่าชายหรือหญิงมาแต่กำเนิด บัณเฑาะก์นี้ชื่อนปุงสกบัณเฑาะก์. 
   ในอรรถกถาชื่อกุรุนทีแก้ว่า ในบัณเฑาะก์ ๕ ชนิดนั้น อาสิตตบัณเฑาะก์และอุสุยยบัณเฑาะก์ ไม่ห้ามบรรพชา, ๓ ชนิดนอกนี้ห้าม แม้ในบัณเฑาะก์ ๓ ชนิดนั้น สำหรับปักขบัณเฑาะก์ ห้ามบรรพชาแก่เขาเฉพาะปักข์ที่เป็นบัณเฑาะก์เท่านั้น.
   ก็ในบัณเฑาะก์ ๓ ชนิดนี้ บัณเฑาะก์ใดทรงห้ามบรรพชา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาบัณเฑาะก์นั้น ตรัสคำนี้ว่า อนุปสมฺปนฺโน นาเสตพฺโพ. บัณเฑาะก์แม้นั้น ภิกษุพึงให้ฉิบหายด้วยลิงคนาสนาทีเดียว. เบื้องหน้าแต่นี้ แม้ในคำที่กล่าวว่า พึงให้ฉิบหาย ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. 
๑- ทางสันสกฤต อุปกฺรม (อุปกฺกม) หมายความว่า 
จิกิตฺสา (ติกิจฺฉา) ก็ได้ดังนั้น อุปกฺกม ในที่นี้จึงน่า
จะหมายความไปทางวิธีหมอ เช่นการเยียวยา
ผ่าตัดเป็นต้น.
อรรถกถาปัณฑกวัตถุ จบ

เรื่องนาคแปลงกายเป็นมนุษย์มาขอบวช
อรรถกถาติรัจฉานคตวัตตกถา
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า นาคโยนิยา อฏฺฏิยติ นี้ ดังนี้ :- 
   นาคนั้น ในประวัติกาล ย่อมได้เสวยอิสริยสมบัติเช่นกับเทวสมบัติ ด้วยกุศลวิบากแม้โดยแท้. ถึงกระนั้น สรีระแห่งนาคผู้ปฏิสนธิด้วยอกุศลวิบาก มีปกติเที่ยวไปในน้ำ มีกบเป็นอาหารย่อมมีปรากฏ ด้วยการเสพเมถุนกับนางนาคชาติของตน คือมีชาติเสมอกัน และด้วยการวางใจหยั่งลงสู่ความหลับ เพราะเหตุนั้น นาคนั้นจึงระอาด้วยกำเนิดนาคนั้น. 
   บทว่า หรายติ ได้แก่ ย่อมละอาย. 
   บทว่า ชิคุจฺฉติ คือ ย่อมเกลียดชังอัตภาพ. 
   หลายบทว่า ตสฺส ภิกฺขุโน นิกฺขนฺเต มีความว่า เมื่อภิกษุนั้นออกไปแล้ว. 
      อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ในเวลาที่ภิกษุนั้นออกไป. 
   ข้อว่า วิสฺสฏฺโฐ นิทฺทํ โอกฺกมิ มีความว่า เมื่อภิกษุนั้นยังไม่ออก นาคนั้นไม่ปล่อยสติหลับอยู่ด้วยอำนาจแห่งความหลับอย่างลิงนั่นแล เพราะกลัวแต่เสียงร้อง ครั้นภิกษุนั้นออกไปแล้วจึงปล่อยสติ วางใจคือหมดความระแวง ดำเนินไปสู่ความหลับอย่างเต็มที่. 
   สองบทว่า วิสฺสรมกาสิ มีความว่า ภิกษุนั้นด้วยอำนาจความกลัว ละสมณสัญญาเสีย ได้กระทำเสียงดังผิดรูป. 
   สองบทว่า ตุมฺเห ขฺวตฺถ ตัดบทว่า ตุมฺเห โข อตฺถ บทนั้น ท่านมิได้ทำการลบ อ อักษรกล่าวไว้. ความสังเขปในคำนี้ ผู้ศึกษาพึงทราบดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายแล เป็นนาคชื่อเป็นผู้มีธรรมไม่งอกงาม คือไม่เป็นผู้มีธรรมอันงอกงามในธรรมวินัยนี้ เพราะเป็นผู้ไม่ควรแก่ฌานวิปัสสนาและมรรคผล. 
       บทว่า สชาติยา ได้แก่ นางนาคนั่นเอง. 
   แต่ว่า เมื่อใดนาคนั้นเสพเมถุนด้วยชาติอื่น ต่างโดยชนิดมีหญิงมนุษย์เป็นต้น เมื่อนั้นย่อมเป็นเหมือนเทพบุตร. ส่วนคำว่า ปัจจัย ๒ อย่างในพระบาลีนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ด้วยอำนาจแห่งการชี้กรรมซึ่งปรากฏตามสภาพเนืองๆ ในประวัติกาล. และกรรมซึ่งปรากฏตามสภาพ ย่อมมีแก่นาคใน ๕ กาล 
   คือ เวลาปฏิสนธิ ๑ เวลาที่ลอกคราบ ๑ เวลาที่เสพเมถุนด้วยนางนาคชาติของตน คือมีชาติเสมอกัน ๑ เวลาที่วางใจหยั่งลงสู่ความหลับ ๑ เวลาจุติ ๑. 
   ในคำว่า ติรจฺฉานคโต ภิกฺขเว เป็นต้นนี้ มีวินิจฉัยว่า 
   จะเป็นนาค หรือจะเป็นสัตว์พิเศษผู้ใดผู้หนึ่งมีสุบรรณมาณพเป็นต้นก็ตามที. ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งมิใช่มนุษยชาติโดยที่สุดแม้ท้าวสักกเทวราช บรรดามีทั้งหมดเทียว พึงทราบว่า เป็นดิรัจฉานในอรรถนี้ ผู้นั้นอันภิกษุทั้งหลายไม่ควรให้อุปสมบท ไม่ควรให้บรรพชา แม้อุปสมบทแล้ว ก็ควรให้ฉิบหายเสีย.
อรรถกถาติรัจฉานคตวัตถุกถา จบ.

เรื่องห้ามคนลักเพศและคนเข้ารีดมิให้อุปสมบท
อรรถกถาเถยยสังวาสสกกถา
   บทว่า ปุราณกุลปุตฺโต ได้แก่ บุตรของสกุลเก่า คือถึงความย่อยยับโดยลำดับ. 
   บทว่า ขีณโกลญฺโญ มีอรรถวิเคราะห์ว่า ญาติทั้งหลายผู้รู้จักกันในสกุล ฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดาของเขา สิ้นแล้ว สาบสูญแล้ว คือตายแล้ว เหตุนั้น เขาชื่อว่า ขีณโกลญฺโญ ผู้มีญาติซึ่งรู้จักกันในสกุลสิ้นไปแล้ว. 
   บทว่า อนธิคตํ ได้แก่ ยังไม่ถึง. 
   สองบทว่า ผาตึกาตุํ ได้แก่ เพื่อให้เจริญ. ศัพท์ว่า อิงฺฆ เป็นอุยโยชนัตถนิบาต. 
   บทว่า อนุยุญฺชิยมาโน มีความว่า กุลบุตรนั้น อันท่านอุบาลีนำไป ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้ว ถามถึงการปลงผมและหนวด การรับผ้ากาสายะ การถึงสรณะ การถืออุปัชฌาย์ กรรมวาจาและธรรมเป็นที่อาศัย. 
   สองบทว่า เอตมตฺถํ อาโรเจสิ มีความว่า บอกข้อที่ตนบวชเอาเองนั้น จำเดิมแต่ต้น. ในคำว่า เถยฺยสํวาสโก ภิกฺขเว นี้ มีวินิจฉัยว่า คนเถยยสังวาสก์มี ๓ ชนิด คือ คนลักเพศ ๑ คนลักสังวาส ๑ คนลักทั้ง ๒ อย่าง ๑. 
   ใน ๓ ชนิดนั้น ผู้ใดบวชเองแล้วไปวัดที่อยู่ ไม่นับพรรษาแห่งภิกษุ ไม่ยินดีการไหว้ตามลำดับผู้แก่ ไม่ห้ามด้วยอาสนะ ไม่เข้าในสังฆกรรมมีอุโบสถและปวารณาเป็นต้น ผู้นี้ชื่อคนลักเพศ เพราะเขาลักแต่เพียงเพศเท่านั้น. 
   ฝ่ายผู้ใดเป็นสามเณรซึ่งบวชแต่ภิกษุทั้งหลายแล้ว ไปต่างประเทศ กล่าวเท็จนับพรรษาแห่งภิกษุว่า ข้าพเจ้า ๑๐ พรรษา หรือว่า ข้าพเจ้า ๒๐ พรรษา ยินดีการไหว้ตามลำดับผู้แก่ ห้ามด้วยอาสนะ เข้าในสังฆกรรมมีอุโบสถและปวารณาเป็นต้น. ผู้นี้ชื่อคนลักสังวาส เพราะเขาลักแต่เพียงสังวาสเท่านั้น. 
   อันความต่างแห่งกิริยาแม้ทั้งปวง มีนับพรรษา แห่งภิกษุเป็นต้น ผู้ศึกษาควรทราบว่า สังวาส ในอรรถนี้. แม้ในบุคคลผู้ลาสิกขาแล้วปฏิบัติอยู่อย่างนั้น ด้วยคิดว่า ใครๆ ย่อมไม่รู้การลาของเราก็มีนัยเหมือนกัน. 
   ส่วนผู้ใดบวชเอาเองแล้วไปวัดที่อยู่ นับพรรษาแห่งภิกษุ ยินดีในการไหว้ตามลำดับผู้แก่ ห้ามด้วยอาสนะ เข้าในสังฆกรรมมีอุโบสถและปวารณาเป็นต้น ผู้นี้ชื่อคนลักทั้ง ๒ เพราะเหตุที่ตนลักทั้งเพศทั้งสังวาส, 
   คนเถยยสังวาสก์ทั้ง ๓ ชนิดนี้ เป็นอนุปสัมบัน ไม่ควรให้อุปสมบท, เป็นอุปสัมบัน ควรให้ฉิบหายเสีย, แม้ขอบวชอีก ก็ไม่ควรให้บวช.  และเพื่อไม่งมงายในเถยยสังวาสกาธิการนี้ 
พึงทราบบทปกิณณกะนี้ว่า :- 
   ชนใดถือเพศในพระศาสนานี้ เพราะราชภัย ทุพภิกขภัย กันตารภัย โรคภัยและเวรีภัยก็ดี เพื่อจะนำจีวรมาก็ดี ชนนั้นมีใจบริสุทธิ์ยังไม่รับสังวาสเพียงใด ชนนั้นบัณฑิตยังไม่กล่าวว่า เป็นคนเถยยสังวาส เพียงนั้น. 
พึงทราบนัยพิสดารในคาถานั้น ดังนี้ :- 
   พระราชาในโลกนี้ ย่อมเป็นผู้กริ้วต่อบุรุษบางคน. บุรุษนั้นคิดว่า ความสวัสดีจักมีแก่เราด้วยอุบายอย่างนี้ แล้วถือเพศเอาเองทีเดียวหนีไป. ชนทั้งหลายพบเขาแล้ว กราบทูลแด่พระราชา. พระราชาทรงบรรเทาความกริ้วโกรธในเขาเสีย 
   ด้วยทรงพระดำริว่า ถ้าบวชแล้ว เราไม่ได้เพื่อจะทำอะไรเขา แต่เขายังมิได้เข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์ แต่ถือเพศคฤหัสถ์แล้วจึงมา ด้วยคิดว่า ราชภัยของเราสงบแล้ว ภิกษุทั้งหลายควรให้บวช. ถ้าแม้เขาเกิดความสังเวชว่า เราอาศัยพระศาสนาจึงคงชีวิตไว้ได้ เอาเถิด บัดนี้เราจะบวชละ ดังนี้ 
   มาด้วยเพศนั้นเอง แต่ไม่ยินดีอาคันตุกวัตรอันภิกษุทั้งหลายถามแล้วก็ตาม ไม่ถามก็ตาม ได้ชี้แจงตนตามเป็นจริงแล้ว ขอบรรพชา ภิกษุทั้งหลายพึงปลดเพศแล้วจึงให้บวช. แต่ถ้าเขายินดีวัตร แสดงท่าทางดังบรรพชิต ปฏิบัติวิธีต่างๆ โดยนับพรรษาเป็นต้น ซึ่งกล่าวแล้วในหนหลังทั้งหมด ผู้นี้ไม่ควรให้บวช. 
   อนึ่ง คนบางคนในโลกนี้ ไม่สามารถจะเป็นอยู่ได้ในคราวทุพภิกขภัย จึงถือเพศเอาเอง บริโภคอาหารที่เขาจัดไว้เพื่อนักบวชผู้เจ้าลัทธิทั้งปวง ครั้นทุพภิกขภัยผ่านพ้นไปแล้ว ยังมิได้เข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์ ต่อถือเพศคฤหัสถ์แล้วจึงมา คำว่าดังนี้ทั้งหมด เช่นกับด้วยคำซึ่งกล่าวมาก่อนนั่นแล.
   อีกคนหนึ่ง เป็นผู้ใคร่จะข้ามกันดารใหญ่ และพ่อค้าเกวียนย่อมพาบรรพชิตทั้งหลายไป. เขาคิดว่า ด้วยอุบายอย่างนี้ พ่อค้าเกวียนจักพาเราไป จึงถือเพศเอาเอง ร่วมกับพ่อค้าเกวียนข้ามทางกันดารถึงส่วนอันเกษม แต่ยังมิได้เข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์ ต่อถือเพศคฤหัสถ์แล้วจึงมา คำว่าดังนี้ทั้งปวง เช่นกับคำซึ่งว่ามาก่อนนั่นแล. 
   อีกคนหนึ่ง เมื่อภัยคือโรคเกิดขึ้น ไม่สามารถจะเป็นอยู่ได้จึงถือเพศเอาเอง บริโภคอาหารที่เขาจัดไว้เพื่อนักบวชผู้เจ้าลัทธิทั้งปวง. เมื่อภัยคือโรคสงบแล้ว ยังมิได้เข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์ก่อน แต่เมื่อถือเพศคฤหัสถ์แล้วจึงมา คำว่าดังนี้ทั้งหมด เป็นเช่นกับคำซึ่งว่ามาก่อนนั่นแล. 
   คนคู่เวรคนหนึ่งของบุรุษอีกคนหนึ่ง เป็นผู้โกรธปองจะฆ่าเขาเที่ยวไป เขาคิดว่า ด้วยอุบายอย่างนี้ ความสวัสดีจักมีแก่เรา จึงถือเพศเอาเองแล้วหนีไป. คนผู้คู่เวรสืบหาอยู่ว่าเขาไปไหน ได้ยินว่า เขาบวชแล้วหนีไป จึงบรรเทาความโกรธในเขาเสีย 
   ด้วยคิดว่า เขาบวชแล้ว เราก็ทำอะไรเขาไม่ได้. เขายังมิได้เข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์ก่อน ถือเพศคฤหัสถ์แล้วจึงมา ด้วยคิดว่า เวรีภัยของเราสงบแล้ว คำว่าดังนี้ทั้งหมด เป็นเช่นกับคำซึ่งว่ามาก่อนนั่นแล. 
   อีกคนหนึ่งไปสู่สกุลญาติ ลาสิกขาเป็นคฤหัสถ์แล้ว มาทำในใจว่า จีวรเหล่านี้จักฉิบหายเสียที่นี่ ถ้าแม้เราจักถือไปวิหารด้วยเพศคฤหัสถ์นี้ ในระหว่างทาง ชนทั้งหลายจักจับเราว่า เป็นโจร อย่ากระนั้นเลย เราพึงทำให้เป็นของอันกายพึงรักษาไว้ จึงไปเถิด ดังนี้ 
   เพื่อจะนำจีวรมา จึงนุ่งและห่มแล้วไปวัดที่อยู่ พวกสามเณรและภิกษุหนุ่มทั้งหลายเห็นเธอมาแต่ไกลแล้ว พากันตรงเข้าต้อนรับ แสดงวัตร. เธอไม่ยินดี ชี้แจงตนตามเป็นจริง. 
   ถ้าภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ทีนี้พวกเราจักไม่ปล่อยท่านไปละ เป็นผู้ใคร่จะให้บวชด้วยพลการ เธออันภิกษุทั้งหลายพึงเปลื้องผ้ากาสายะแล้วจึงให้บวชอีก. แต่ถ้าเธอคิดว่า ภิกษุเหล่านี้ไม่รู้ข้อที่เราเวียนมาเพื่อความเป็นคนเลวแล้ว ดังนี้ จึงปฏิญญาความเป็นภิกษุนั้นเอง ปฏิบัติวิธีต่างด้วยนับพรรษาเป็นต้น ซึ่งกล่าวแล้วในหนหลังทั้งหมดผู้นี้ไม่ควรให้บวช. 
   สามเณรโค่งอีกรูป ๑ ไปสู่สกุลญาติ สึกแล้ว เป็นผู้เบื่อหน่ายด้วยการทำการงาน จึงคิดว่า บัดนี้เราจักเป็นสมณะอีกเทียว แม้พระเถระย่อมไม่ทราบความที่เราสึกแล้ว จึงถือเอาบาตรและจีวรนั้นเองไปวิหาร ไม่บอกเนื้อความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ปฏิญญาความเป็นสามเณร. ผู้นี้เป็นเถยยสังวาสก์เหมือนกัน ย่อมไม่ได้บวช. 
   ถ้าแม้ในเวลาถือเพศเขามีความรำพึงอย่างนี้ว่า เราจักไม่บอกแก่ใครๆ ดังนี้ แต่เขาไปวิหารแล้ว ย่อมบอก. ด้วยการถือ (เพศ) นั่นเอง เขาเป็นคนเถยยสังวาสก์. 
   ถ้าแม้ในเวลาถือ (เพศ) เขามีความคิดเกิดขึ้นว่า เราจักบอก แต่ไปวิหารแล้ว ใครๆ ปราศรัยว่า ผู้มีอายุท่านไปไหนมา คิดว่า เดี๋ยวนี้ ชนเหล่านี้ไม่รู้เรา จึงลวง ไม่บอก; แม้ผู้นี้ก็ชื่อคนเถยยสังวาสก์แท้ พร้อมกับทอดธุระว่า เราจักไม่บอก. 
   แต่ถ้าถึงในเวลาถือ (เพศ) เขามีความคิดเกิดขึ้นว่า เราจักบอก แม้ไปวิหารแล้ว ย่อมบอก; ผู้นี้ย่อมได้บรรพชาอีก. 
   ก็หรือว่า สามเณรหนุ่มอื่นอีก เป็นคนใหญ่ แต่โง่ไม่ฉลาด เธอสึกแล้วโดยนัยก่อนนั่นแล ไม่อยากทำกิจมีเฝ้าโคเป็นต้นในเรือนญาติทั้งหลาย ให้เขานั้นนุ่งห่มผ้ากาสายะเหล่านั้นเอง 
   แล้วให้ภาชนะหรือบาตรในมือขับออกจากเรือนว่า เจ้าจงไปเป็นสมณะเถอะ. เขาไปวิหาร ภิกษุทั้งหลายไม่ทราบ เขาเลยว่า ผู้นี้สึกแล้วบวชเอาเองอีก ทั้งตัวเองก็ไม่ทราบว่า ผู้ใดบวชอย่างนั้น ผู้นั้นย่อมเป็นคนที่ชื่อเถยยสังวาสก์. 
   ถ้าภิกษุทั้งหลายให้อุปสมบทเขาผู้มีกาลฝนครบ ๒๐ เขาก็เป็นอันอุปสมบทดีแล้ว. แต่ถ้าในเวลาที่ตนยังเป็นอนุปสัมบันนั่นเอง เมื่อการวินิจฉัยวินัยเป็นไปอยู่เขาได้ฟังว่า ผู้ใดบวชอย่างนั่น 
   ผู้นั้นย่อมเป็นคนที่ชื่อเถยยสังวาสก์ เขาพึงบอกแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าได้ทำอย่างนั้น ด้วยประการอย่างนี้ เขาย่อมได้บรรพชาอีก. ถ้าไม่บอกด้วยคิดว่า บัดนี้ใครๆ ไม่รู้เลย พอทอดธุระเขาย่อมเป็นคนเถยยสังวาสก์. 
   ภิกษุลาสิกขาละเพศแล้วทำทุศีลกรรมก็ตาม ไม่ทำก็ตาม ปฏิบัติวิธีต่างด้วยนับพรรษาเป็นต้น ซึ่งกล่าวแล้วในหนหลังทั้งหมด; ย่อมเป็นคนเถยยสังวาสก์. 
   ไม่ได้ลาสิกขา คงตั้งอยู่ในเพศของตน เสพเมถุน ใช้วิธีต่างด้วยนับพรรษาเป็นต้น ไม่เป็นคนเถยยสังวาสก์. ย่อมได้เพียงบรรพชา. แต่ในอันธกอรรถกถาแก้ว่า ผู้นี้เป็นคนเถยยสังวาสก์ 
   คำนั้นไม่ควรถือเอา. 
   ภิกษุรูป ๑ ยังมีอุตสาหะในผ้ากาสายะ นุ่งผ้าขาว เสพเมถุนแล้ว กลับนุ่งผ้ากาสายะอีก ใช้วิธีทั้งปวงต่างด้วยนับพรรษาเป็นต้น แม้ภิกษุนี้ย่อมไม่เป็นคนเถยยสังวาสก์ ย่อมได้เพียงบรรพชา. 
   แต่ถ้าทอดธุระในผ้ากาสายะแล้ว นุ่งขาว เสพเมถุน กลับนุ่งผ้ากาสายะอีก ใช้วิธีทั้งปวงต่างด้วยนับพรรษาเป็นต้น; เขาย่อมเป็นคนเถยยสังวาสก์. 
   สามเณรคงตั้งอยู่ในเพศของตน แม้ล่วงธรรมทำให้เป็นผู้มิใช่สมณะมีเมถุนเป็นต้นแล้ว ย่อมไม่เป็นคนเถยยสังวาสก์ ถึงหากว่ายังมีอุตสาหะในผ้ากาสายะ แต่เปลื้องออกเสียเสพเมถุนแล้ว กลับนุ่งผ้ากาสายะอีก; ไม่เป็นคนเถยยสังวาสก์เหมือนกัน, 
   แต่ถ้าทอดธุระในผ้ากาสายะแล้วเป็นผู้เปลือย หรือนุ่งขาวเป็นผู้มิใช่สมณะด้วยการเสพเมถุนเป็นต้น แล้วกลับนุ่งผ้ากาสายะ เขาเป็นคนเถยยสังวาสก์. 
   ถ้าสามเณรปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ จึงนุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ ทำผ้ากาสายะโจงกระเบนก็ดี ด้วยอาการอย่างอื่นก็ดี เพื่อลองดูว่า เพศคฤหัสถ์ของเราสวยหรือไม่สวย ยังรักษาอยู่ก่อน, แต่ยอมรับว่าสวยแล้วกลับยินดีเพศอีกย่อมเป็นคนเถยยสังวาสก์. 
แม้ในการนุ่งขาวลองดูและยอมรับ ก็มีนัยเหมือนกันนั่นแล. 
   และถ้านุ่งขาวทับผ้ากาสายะที่นุ่งอยู่แล้ว ลองดูก็ตาม ยอมรับก็ตาม ยังรักษาอยู่แท้. แม้แห่งภิกษุณี ก็นัยนี้แล. 
   แม้นางภิกษุณีนั้นปรารถนาจะเป็นคฤหัสถ์ ถ้านุ่งผ้ากาสายะอย่างคฤหัสถ์ เพื่อลองดูว่า เพศคฤหัสถ์ของเราจะสวยหรือไม่สวย ยังรักษาอยู่ก่อน ถ้ายอมรับว่า สวย รักษาไว้ไม่ได้.
   ในการนุ่งขาวลองดูและยอมรับก็นัยนี้แล. 
   ส่วนผู้นุ่งขาวทับผ้ากาสายะที่นุ่งอยู่แล้ว จะลองดูก็ตาม ยอมรับก็ตาม ยังรักษาอยู่แท้. ถ้าสามเณรบางรูปบวชภายแก่ ไม่นับพรรษา ไม่ต้องอยู่แม้ในแถว มาทางข้างหนึ่ง เมื่อก้อนข้าวในลุ้งใหญ่เป็นต้น ซึ่งเขาเอาทัพพีตักขึ้น สอดบาตรเข้าไปรับเอาไปเหมือนเหยี่ยวเฉี่ยวชิ้นเนื้อไปฉะนั้น ยังไม่เป็นคนเถยยสังวาสก์. 
   แต่เมื่อนับพรรษาภิกษุรับเอา จัดว่าเป็นคนเถยยสังวาสก์. 
   สามเณรเองแล เมื่อนับพรรษาโกงด้วยลำดับของสามเณรรับเอาไป ยังไม่จัดเป็นเถยยสังวาสก์.    ภิกษุเมื่อนับพรรษาโกงด้วยลำดับของภิกษุรับเอาไป พึงปรับตามราคาแห่งภัณฑะ.
อรรถกถาเถยยสังวาสกกถา จบ.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ เรื่องลงทัณฑกรรมแก่สามเณร องค์แห่งนาสนะ ๑๐ ของสามเณร

search-google ทำบุญ 
   [๑๒๑] ก็โดยสมัยนั้นแล พวกสามเณร ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรง มีความประพฤติไม่เหมาะสม ในภิกษุทั้งหลายอยู่. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าไฉนพวกสามเณรจึงได้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรง มีความประพฤติไม่เหมาะสมในภิกษุทั้งหลายอยู่เล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ลงทัณฑกรรมแก่สามเณรผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ
   ๑. พยายามเพื่อความเสื่อมลาภแห่งภิกษุทั้งหลาย
   ๒. พยายามเพื่อความพินาศแห่งภิกษุทั้งหลาย
   ๓. พยายามเพื่อความอยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย
   ๔. ด่า บริภาษ ภิกษุทั้งหลาย
   ๕. ยุยงภิกษุต่อภิกษุให้แตกกัน
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   เราอนุญาตให้ลงทัณฑกรรมแก่สามเณรผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล.   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความดำริว่า จะพึงลงทัณฑกรรมอย่างไรหนอแล แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้ลงทัณฑกรรม คือ ห้ามปราม.
   ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายลงทัณฑกรรมคือห้ามสังฆารามทุกแห่งแก่พวกสามเณร.สามเณรเข้าอารามไม่ได้ จึงหลีกไปเสียบ้าง สึกเสียบ้าง ไปเข้ารีตเดียรถีย์บ้าง. 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงลงทัณฑกรรมคือห้ามสังฆารามทุกแห่ง รูปใดลงต้องอาบัติทุกกฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ลงทัณฑกรรม คือ ห้ามเฉพาะสถานที่ที่สามเณรจะอยู่หรือจะเข้าไปได้.
   ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายลงทัณฑกรรมคือห้ามอาหารซึ่งจะกลืนเข้าไปทางช่องปากแก่พวกสามเณร.
   คนทั้งหลายทำปานะคือยาคูบ้าง สังฆภัตรบ้าง จึงกล่าวนิมนต์พวกสามเณรอย่างนี้ว่า นิมนต์ท่านทั้งหลายมาดื่มยาคู นิมนต์ท่านทั้งหลายมาฉันภัตตาหาร. พวกสามเณรจึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกอาตมาทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะภิกษุทั้งหลายลงทัณฑกรรม คือ ห้ามไว้.
   ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย จึงได้ห้ามอาหาร ซึ่งจะกลืนเข้าไปทางช่องปากแก่พวกสามเณรเล่า.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงลงทัณฑกรรมคือห้ามอาหารที่จะกลืนเข้าไปทางช่องปาก รูปใดลง ต้องอาบัติทุกกฏ. เรื่องลงทัณฑกรรมแก่สามเณร จบ.
เรื่องกักกันสามเณรต้องขออนุญาตก่อน
   [๑๒๒] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ไม่อาปุจฉาพระอุปัชฌาย์ก่อน แล้วทำการกักกันสามเณรทั้งหลายไว้. พระอุปัชฌาย์ทั้งหลายเที่ยวตามหาด้วยนึกสงสัยว่า ทำไมหนอสามเณรของพวกเราจึงหายไป.
   ภิกษุทั้งหลายได้แจ้งให้ทราบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พระฉัพพัคคีย์ได้กักกันไว้.
   พระอุปัชฌาย์ทั้งหลาย จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงไม่อาปุจฉาพวกเราก่อน แล้วทำการกักกันสามเณรของพวกเราเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ไม่อาปุจฉาอุปัชฌาย์ก่อนแล้ว ไม่พึงทำการกักกันสามเณรไว้ รูปใดทำ ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องห้ามเกลี้ยกล่อมสามเณร
   [๑๒๓] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์พากันเกลี้ยกล่อมพวกสามเณรของพระเถระทั้งหลาย. พระเถระทั้งหลายต้องหยิบไม้ชำระฟันบ้าง ตักน้ำล้างหน้าบ้าง ด้วยตนเอง ย่อมลำบาก
   จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บริษัทของภิกษุอื่น ภิกษุไม่พึงเกลี้ยกล่อม รูปใดเกลี้ยกล่อม ต้องอาบัติทุกกฏ.
องค์แห่งเสนาสนะ ๑๐ ของสามเณร
   [๑๒๔] ก็โดยสมัยนั้นแล สามเณรของท่านพระอุปนันทศากยบุตรชื่อ กัณฏกะ ได้ประทุษร้ายภิกษุณีกัณฏกี.
   ภิกษุทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนสามเณรจึงได้ ประพฤติอนาจารเห็นปานนี้เล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นาสนะ
สามเณรผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐ คือ
   ๑. ทำสัตว์ที่มีชีวิตให้ตกล่วงไป
   ๒. ถือเอาพัสดุอันเจ้าของมิได้ให้
   ๓. ประพฤติกรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์
   ๔. กล่าววาจาเท็จ
   ๕. ดื่มน้ำเมา
   ๖. กล่าวติพระพุทธเจ้า
   ๗. กล่าวติพระธรรม
   ๘. กล่าวติพระสงฆ์
   ๙. มีความเห็นผิด
   ๑๐. ประทุษร้ายภิกษุณี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นาสนะสามเณรผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐ นี้.
เรื่อง ลงทัณฑ์กรรมแก่สามเณร เป็นต้น
อรรถกถานาสนังคทัณฑกรรมวัตถุ
   หลายบทว่า ยาวตเก วา ปน อุสฺสหติ มีความว่า ย่อมอาจเพื่อจะตักเตือนพร่ำสอนสามเณรมีประมาณเท่าใด. ในสิกขาบท ๑๐ ความละเมิด ๕ สิกขาบทเบื้องต้นเป็นวัตถุแห่งนาสนา, ความละเมิด ๕ สิกขาบทเบื้องปลายเป็นวัตถุแห่งทัณฑกรรม. 
   บทว่า อปฺปฏิสฺสา มีความว่า ไม่ตั้งภิกษุไว้ในฐานะผู้เจริญ คือในตำแหน่งแห่งผู้เป็นใหญ่. 
   บทว่า อสภาควุตฺติกา 
มีความว่า ไม่เป็นผู้เป็นอยู่เสมอกัน. 
   อธิบายว่า เป็นผู้เป็นอยู่ไม่สมส่วนกัน. 
   ข้อว่า อลาภาย ปริสกฺกติ มีความว่า ภิกษุทั้งหลายจะไม่ได้ลาภด้วยประการใด เธอย่อมพยายามด้วยประการนั้น. 
   บทว่า อนตฺถาย ได้แก่ เพื่ออุปัทวะ. 
   บทว่า อนาวาสาย มีความว่า เธอย่อมพยายามว่า ทำไฉนหนอ ภิกษุเหล่านั้นไม่พึงอยู่ในอาวาสนี้. 
   สองบทว่า อกฺโกสติ ปริภาสติ มีความว่า เธอย่อมด่าและย่อมขู่เข็ญด้วยแสดงภัย. 
   บทว่า เภเทติ มีความว่า เธอย่อมหาเรื่องส่อเสียดให้แตกกัน. สองบทว่า อาวรณํ กาตุํ มีความว่า เพื่อทำการห้ามว่า เธออย่าเข้ามาในที่นี้. 
   หลายบทว่า ยตฺถ วา วสติ ยตฺถ วา ปฏิกฺกมติ มีความว่า เธออยู่ก็ดี เข้าไปก็ดี ในที่ใด. บริเวณของตนและเสนาสนะที่ถึงตามลำดับพรรษา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วแม้ด้วยบททั้ง ๒. 
   หลายบทว่า มุขทฺวาริกํ อาหารํ อาวรณํ กโรนฺติ มีความว่า ภิกษุทั้งหลายย่อมห้ามอย่างนี้ว่า วันนี้เธอทั้งหลาย อย่าขบเคี้ยว อย่าฉัน. 
พึงทราบวินิจฉัยข้อนี้ว่า น ภิกฺขเว มุขทฺวาริโก อาหาโร อาวรณํ กาตพฺโพ นี้ ดังนี้ :- 
   เมื่อภิกษุกล่าวว่า เธออย่าขบเคี้ยว อย่าฉัน ดังนี้ก็ดี เก็บบาตรจีวรไว้ข้างใน ด้วยตั้งใจว่า เราจักห้ามอาหาร ดังนี้ก็ดี ต้องทุกกฎทุกๆ ประโยค. แต่จะทำทัณฑกรรมแก่สามเณรผู้ว่ายากไม่มีอาจาระ จะแสดงยาคูหรือภัต หรือบาตรและจีวรกล่าวว่า ครั้นเมื่อทัณฑกรรมชื่อมีประมาณเท่านี้ อันเธอยอมรับ เธอจักได้สิ่งนี้ ดังนี้ สมควรอยู่. 
   จริงอยู่ ทัณฑกรรมก็คือการห้าม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ฝ่ายพระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายกล่าวว่า แม้การให้ขนมาซึ่งน้ำหรือฟืนหรือทรายเป็นต้น พอสมควรแก่ความผิด ภิกษุก็ควรทำได้. เพราะเหตุนั้น แม้การให้ขนซึ่งน้ำเป็นต้น
   นั้นอันภิกษุพึงทำ. ก็ทัณฑกรรมนั้นแล อันภิกษุพึงลงด้วยความเอ็นดูว่า เธอจักงด จักเว้น ไม่พึงลงด้วยอัธยาศัยอันลามก ซึ่งเป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า เธอจักวอดวาย เธอจักสึกไปเสีย. ด้วยคิดว่า เราจักลงทัณฑกรรม จะให้เธอนอนบนหินที่ร้อนหรือจะให้เธอทูลแผ่นหินและอิฐเป็นต้นไว้บนศีรษะ หรือจะให้เธอดำน้ำ ย่อมไม่ควร. 
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า น ภิกฺขเว อุปชฺฌายํ อนาปุจฺฉา นี้ ดังนี้ :- 
   ครั้นเมื่อตนบอกเล่าครบ ๓ ครั้งว่า สามเณรของท่านมีความผิดเช่นนี้ ท่านจงลงทัณฑกรรมแก่เธอ ถ้าอุปัชฌาย์ไม่ลงทัณฑกรรม จะลงเสียเองก็ควร ถ้าอุปัชฌาย์บอกไว้แต่แรกเทียวว่า เมื่อพวกสามเณรของข้าพเจ้ามีโทษ ท่านทั้งหลายนั่นแลจงลงทัณฑกรรม ดังนี้
   สมควรแท้ที่จะลง. แลจงลงทัณฑกรรม แม้แก่เหล่าสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิก อย่างสามเณรทั้งหลายก็ควร. 
   บทว่า อปลาเฬนฺติ มีความว่า ย่อมเกลี้ยกล่อมเพื่อทำอุปฐากแก่ตนว่า พวกฉันจักให้บาตร จักให้จีวรแก่พวกเธอ. 
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า น ภิกฺขเว อญฺญสฺส ปริสา อปลาเฬตพฺพา นี้ ดังนี้ :- 
   จะเป็นสามเณรหรืออุปสัมบันก็ตามที อันภิกษุจะยุยงรับเอาชนซึ่งเป็นบริษัทของผู้อื่น โดยที่สุด แม้เป็นภิกษุผู้ทุศีล ย่อมไม่ควร แต่สมควรอยู่ที่จะแสดงโทษว่า การที่ท่านอาศัย
   คนทุศีลอยู่ทำลงไป ก็คล้ายการที่ชนมาเพื่อจะอาบแต่ไพล่ไปทาด้วยคูถ ดังนี้. ถ้าเธอทราบไปเองทีเดียว จึงขออุปัชฌาย์หรือนิสัย ภิกษุจะให้ก็ควร. 
   บรรดานาสนา ๓ ที่กล่าวแล้วในวรรณนาแห่งกัณฏกสิกขาบท๑- ลิงคนาสนาเท่านั้น ประสงค์ในคำว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ทสหงฺเคหิ สมนฺนาคตํ สามเณรํนาเสตุํ นี้ เพราะเหตุนั้น ในกรรมทั้งหลายมีปาณาติบาตเป็นต้น สามเณรใดย่อมทำกรรม 
   แม้อย่างหนึ่ง สามเณรนั้นอันภิกษุพึงให้ฉิบหาย ด้วยลิงคนาสนาเหมือนอย่างว่า ภิกษุทั้งหลายย่อมเป็นอาบัติต่างๆ กัน ในเพราะกรรมทั้งหลายมีปาณาติบาตเป็นต้นฉันใด, 
   สามเณรทั้งหลายจะได้เป็นฉันนั้นหามิได้. เพราะว่า สามเณรยังมดดำมดแดงให้ตายก็ดี บี้ไข่เรือดก็ดี ย่อมถึงความเป็นผู้ควรให้ฉิบหายทีเดียว. สรณคมน์ การถืออุปัชฌาย์และการถือเสนาสนะของเธอ ย่อมระงับทันที. เธอย่อมไม่ได้ลาภสงฆ์, คงเหลืออยู่สิ่งเดียว เพียงเพศเท่านั้น. 
   ถ้าเธอเป็นผู้มีโทษซับซ้อน จะไม่ตั้งอยู่ในสังวรต่อไป พึงกำจัดออกเสีย. ถ้าเธอผิดพลาดพลั้งไปแล้ว ยอมรับว่า ความชั่วข้าพเจ้าได้ทำแล้ว ดังนี้ เป็นผู้ใคร่จะตั้งอยู่ในสังวรอีก 
   กิจคือลิงคนาสนาย่อมไม่มี, พึงให้สรณะทั้งหลาย พึงให้อุปัชฌาย์แก่เธอซึ่งคงนุ่งห่มอย่างเดิมทีเดียว. ส่วนสิกขาบททั้งหลายย่อมสำเร็จด้วยสรณคมน์นั่นเอง. 
   จริงอยู่ สรณคมน์ของสามเณรทั้งหลายเป็นเช่นกับกรรมวาจาในอุปสมบทของภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น ศีล ๑๐ เป็นอันสามเณรแม้นี้ สมาทานแล้วแท้ เหมือนจตุปาริสุทธิศีลอันภิกษุสมาทานแล้วฉะนั้น, แม้เป็นเช่นนี้ ศีล ๑๐ ก็ควรให้อีก 
   เพื่อทำให้มั่นคง คือเพื่อยังเธอให้ตั้งอยู่ในสังวรต่อไป ถ้าสรณะทั้งหลายอันเธอรับอีกในวัสสูปนายิกาต้น เธอจักได้ผ้าจำนำพรรษาในวัสสูปนายิกาหลัง. ถ้าเธอรับสรณะในวันสูปนายิกาหลัง ลาภอันสงฆ์พึงอปโลกน์ให้. 
๑- สมนฺต. ทุติย. ๔๖๕. 
   สามเณรย่อมเป็นผู้มิใช่สมณะ คือย่อมถึงความเป็นผู้ควรนาสนาเสียในเพราะอทินนาทาน ด้วยวัตถุแม้เพียงหญ้าเส้น ๑ ในเพราะอพรหมจรรย์ด้วยปฏิบัติผิดในมรรคใดมรรคหนึ่งใน ๓ มรรคในเพราะมุสาวาท เมื่อตนกล่าวเท็จ แม้ด้วยความเป็น
   ผู้ประสงค์จะหัวเราะเล่น ส่วนในเพราะดื่มน้ำเมา เป็นอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้แม้ไม่รู้ดื่มน้ำเมาจำเดิมแต่ส่า. 
   ฝ่ายสามเณร ต้องรู้แล้วดื่ม จึงต้องศีลเภท ไม่รู้ไม่ต้อง. ส่วน ๕ สิกขาบทนอกนี้เหล่าใด ของสามเณรนั้นบรรดามี ครั้นเมื่อสิกขาบทเหล่านั้นทำลายแล้ว เธออันภิกษุไม่พึงนาสนา พึงลงทัณฑกรรม. แลเมื่อสิกขาบทอันภิกษุได้ให้อีกก็ดี ยังมิได้ให้ก็ดี
   จะลงทัณฑกรรม ย่อมควร. แต่ว่าพึงปราบด้วยทัณฑกรรมแล้ว จึงค่อยให้สิกขาบท เพื่อประโยชน์แก่ความตั้งอยู่ในสังวรต่อไป. การดื่มน้ำเมาของเหล่าสามเณร เป็นสจิตตกะ จึงเป็นวัตถุแห่งปาราชิก. 
   ความแปลกกันเท่านี้.
   ก็แลวินิจฉัยในอวัณณภาสนะ พึงทราบดังนี้ :- 
   ในอรรถกถาชื่อกุรุนทีแก้ว่า สามเณรผู้กล่าวโทษแห่งพระพุทธเจ้า ด้วยอำนาจแห่งคำเป็นข้าศึกแก่พุทธคุณ เป็นต้นว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ก็ดี แห่งพระธรรม ด้วยอำนาจเป็นข้าศึกแก่ธรรมคุณ เป็นต้นว่า สฺวากฺขาโต ก็ดี แห่งพระสงฆ์ ด้วยอำนาจแห่งคำเป็นข้าศึกแก่สังฆคุณเป็นต้นว่า สุปฏิปนฺโน ก็ดี ได้แก่นินทา
   คือติเตียนพระรัตนตรัย อันภิกษุทั้งหลายมีอาจารย์และอุปัชฌาย์เป็นต้น พึงแสดงโทษในการกล่าวโทษ ห้ามปรามเสียว่า เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น ถ้าเธออันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ถึงครั้งที่ ๓ ยังไม่งดเว้น ภิกษุทั้งหลายพึงให้ฉิบหายเสีย ด้วยกัณฏกนาสนา. 
   ส่วนในมหาอรรถกถาแก้ว่า ถ้าเธออันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนั้น ยอมสละลัทธินั้น พึงให้ทำทัณฑกรรมแล้วแสดงโทษล่วงเกิน. ถ้ายังไม่ยอมสละ ยังยึดถือยกย่องยันอยู่อย่างนั้นเอง พึงให้ฉิบหายเสียด้วยลิงคนาสนา. 
   คำแห่งมหาอรรถกถานั้นชอบ. เพราะว่านาสนานี้เท่านั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์ในอธิบายนี้. แม้ในสามเณรผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิก็นัยนี้แล. อันสามเณรผู้มีบรรดาสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิชนิดใดชนิดหนึ่ง ถ้าเธออันภิกษุทั้งหลายมีอาจารย์เป็นต้น
   ตักเตือนอยู่สละเสียได้ พึงให้ทำทัณฑกรรมแล้ว ให้แสดงโทษล่วงเกิน เมื่อไม่ยอมสละนั่นแล พึงให้ฉิบหายเสีย ดังนี้แล. 
   ผู้ศึกษาพึงทราบสันนิษฐานว่า องค์ ๑๐ ต่างแผนก คือ ภิกฺขุนีทูสโก นี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ เพื่อแสดงเนื้อความนี้ว่า จริงอยู่ บรรดานาสนังคะ ๑๐ นี้ สามเณรผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี อันพระองค์ทรงถือเอาด้วยพรหมจารีศัพท์โดยแท้.
   ถึงกระนั้นก็สมควรจะให้สรณะแล้วให้อุปสมบท อพรหมจารีสามเณรผู้ปรารถนาจะตั้งอยู่ในสังวรต่อไป. สามเณรผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี ถึงใคร่จะตั้งอยู่ในสังวรต่อไป ย่อมไม่ได้แม้ซึ่งบรรพชา ไม่จำต้องกล่าวถึงอุปสมบท.
อรรถกถานาสนังคทัณฑกรรมวัตถุ จบ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ ทายัชชภาณวาร พระราหุลกุมารทรงผนวชเป็นสามเณร วิธีให้บรรพชา

     [๑๑๘] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครราชคฤห์ ตามพระพุทธาภิรมย์
แล้ว เสด็จจาริกไปทางพระนครกบิลพัสดุ์    เสด็จเที่ยวจาริกโดยลำดับถึงพระนครกบิลพัสดุ์ แล้ว.   ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตพระนครกบิลพัสดุ์ สักกชนบทนั้น.
   ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรจีวร เสด็จพระพุทธดำเนินไปสู่พระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนศากยะ ครั้นแล้วประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์ที่เขาปูลาดถวาย.
   ครั้งนั้นพระเทวีราหุลมารดา ได้มีพระเสาวนีแก่ราหุลกุมารว่า ดูกรราหุล    พระสมณะนั้นเป็นบิดาของเจ้า เจ้าจงไปทูลขอทรัพย์มรดกต่อพระองค์ จึงราหุลกุมารเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้วได้ประทับยืนเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค พลางกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะพระฉายาของพระองค์เป็นสุข.
   ทันใดนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จอุฏฐาการจากพระพุทธอาสน์แล้วกลับไป จึงราหุลกุมารได้ตามเสด็จพระผู้มีพระภาคไปเบื้องหลังๆ พลางทูลขอว่า ข้าแต่พระสมณะขอได้โปรดประทานทรัพย์มรดกแก่หม่อมฉัน ข้าแต่พระสมณะ ขอได้โปรดประทานทรัพย์มรดกแก่หม่อมฉัน.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระสารีบุตรมารับสั่งว่า ดูกรสารีบุตร ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้ราหุลกุมารบวช.
   ท่านพระสารีบุตรทูลถามว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะให้ราหุลกุมารทรงผนวชอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า?
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการบวชกุลบุตรเป็นสามเณรด้วยไตรสรณคมน์.
วิธีให้บรรพชา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงให้กุลบุตรบวชอย่างนี้:-
   ชั้นต้น พึงให้โกนผมและหนวด แล้วให้ครองผ้าย้อมฝาด ให้ห่มผ้าเฉวียงบ่า ให้กราบเท้าภิกษุทั้งหลาย ให้นั่งกระหย่ง ให้ประคองอัญชลี แล้วสั่งว่า จงว่าอย่างนี้ แล้วสอนให้ว่าสรณคมน์ดังนี้:-
ไตรสรณคมน์
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง
ธมฺมํสรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
ทุติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่ ๒
ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่ ๒
ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่ ๒
ตติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่ ๓
ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่ ๓
ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่ ๓
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
เราอนุญาตการบวชกุลบุตรเป็นสามเณรด้วยไตรสรณคมน์นี้.
คราวนั้น ท่านพระสารีบุตร ให้ราหุลกุมารบรรพชาแล้ว.
พระเจ้าสุทโธทนศากยะทูลขอพระพร
   ต่อมา พระเจ้าสุทโธทนศากยะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นท้าวเธอประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้กราบทูลขอพระพรต่อพระผู้มีพระภาคว่า หม่อมฉันขอประทานพรต่อพระผู้มีพระภาคสักอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคถวายพระพรว่า ดูกรพระองค์ผู้โคตมะ ตถาคตทั้งหลาย มีพรล่วงเลยเสียแล้ว
   สุท. หม่อมฉันทูลขอพรที่สมควรและไม่มีโทษ
พระพุทธเจ้าข้า.
   ภ. พระองค์โปรดตรัสบอกพรนั้นเถิด โคตมะ.
   สุท. เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงผนวชแล้ว
    ความทุกข์ล้นพ้นได้บังเกิดแก่หม่อมฉัน เมื่อพ่อนันทะบวชก็เช่นเดียวกัน เมื่อพ่อราหุลบรรพชา ทุกข์ยิ่งมากล้น พระพุทธเจ้าข้า ความรักบุตรย่อมตัดผิว 
   ครั้นแล้ว ตัดหนัง ตัดเนื้อ ตัดเอ็น ตัดกระดูก แล้วตั้งอยู่จรดเยื่อในกระดูกหม่อมฉันขอประทานพระวโรกาส พระคุณเจ้าทั้งหลาย ไม่พึงบวชบุตรที่บิดามารดายังมิได้อนุญาตพระพุทธเจ้าข้า.
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พระเจ้าสุทโธทนศากยะทรงเห็นแจ้ง ทรงสมาทานทรงอาจหาญ ทรงร่าเริง ด้วยธรรมีกถา.
   เมื่อพระเจ้าสุทโธทนศากยะ อันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว เสด็จลุกจากพระที่ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทรงทำประทักษิณแล้วเสด็จกลับ.
   ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุตรที่มารดาบิดาไม่อนุญาต ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครกบิลพัสดุ์ ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปทางพระนครสาวัตถี เสด็จเที่ยวจาริกโดยลำดับ ถึงพระนครสาวัตถีแล้ว.
   ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถีนั้น
เรื่องทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาดมากรูปได้
   [๑๑๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ตระกูลอุปฐากของท่านพระสารีบุตร ส่งเด็กชายไปในสำนักท่านพระสารีบุตร ด้วยมอบหมายว่า ขอพระเถระโปรดบรรพชาเด็กคนนี้. 
   ทีนั้น ท่านพระสารีบุตรได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไม่ให้ภิกษุรูปเดียวรับสามเณร ๒ รูปไว้อุปัฏฐาก ก็เรามีสามเณรราหุลนี้อยู่แล้ว ทีนี้เราจะปฏิบัติอย่างไร ดังนี้ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถรูปเดียว รับสามเณรสองรูปไว้อุปัฏฐากได้ ก็หรือเธออาจจะโอวาท อนุศาสน์สามเณรมีจำนวนเท่าใดก็ให้รับไว้อุปัฏฐาก มีจำนวนเท่านั้น.
สิกขาบทของสามเณร
   [๑๒๐] ครั้งนั้น สามเณรทั้งหลาย ได้มีความดำริว่า สิกขาบทของพวกเรามีเท่าไรหนอแล และพวกเราจะต้องศึกษาในอะไร. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสิกขาบท ๑๐ แก่สามเณรทั้งหลาย และให้สามเณรทั้งหลายศึกษาในสิกขาบท ๑๐ นั้น คือ
   ๑. เว้นจากการทำสัตว์ที่มีชีวิตให้ตกล่วงไป
   ๒. เว้นจากถือเอาพัสดุอันเจ้าของมิได้ให้
   ๓. เว้นจากกรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์
   ๔. เว้นจากการกล่าวเท็จ
   ๕. เว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย
อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
   ๖. เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
   ๗. เว้นจากฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี 
และ ดูการเล่นที่เป็นข้าศึก
   ๘. เว้นจากการทัดทรงตกแต่งด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องลูบไล้อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว
   ๙. เว้นจากที่นั่งและที่นอนอันสูงและใหญ่
   ๑๐. เว้นจากการรับทองและเงิน
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสิกขาบท ๑๐ นี้ แก่สามเณรทั้งหลาย และให้สามเณรทั้งหลายศึกษาในสิกขาบท ๑๐ นี้.
ทายัชชภาณวารมหาวรรพระราหุลกุมารทรงผนวชเป็นสามเณร
อรรถกถาราหุลวัตถุกถา
   ในคำว่า เยน กปิลวตฺถุ เตน จาริกํ ปกฺกามิ นี้ พึงทราบอนุปุพพีกถา ดังต่อไปนี้ :- 
   ได้ยินว่า จำเดิมแต่วันที่พระโพธิสัตว์เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงเงี่ยพระโสตคอยสดับข่าวอยู่เทียวว่า ลูกเราออกไปด้วยหมายใจว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า
   เป็นพระพุทธเจ้าแล้วหรือยังหนอ? ท้าวเธอทรงสดับการบำเพ็ญเพียร ความตรัสรู้เองและพุทธกิจทั้งหลายมียังธรรมจักรให้เป็นไปเป็นต้นของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงสดับว่า
   ได้ยินว่า บัดนี้ลูกเราอาศัยกรุงราชคฤห์อยู่ จึงดำรัสสั่งอำมาตย์คนหนึ่งว่า เราแก่เฒ่าแล้วนะพ่อ ดีละ เจ้าจงแสดงบุตรแก่เราทั้งที่ยังเป็นอยู่ เขารับสาธุแล้ว มีบุรุษพันคนเป็นบริวาร ไปสู่กรุงราชคฤห์ ถวายบังคมพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง. 
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมกถาแก่เขา เขาเลื่อมใสทูลขอบรรพชาและอุปสมบทที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าให้เขาอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ภิกษุนั้นกับทั้งบริษัทบรรลุพระอรหัตแล้ว ได้อยู่เสวยสุขเกิดแต่ผลสมาบัติในที่นั้นเอง. พระราชาทรงส่งทูตแม้อื่นไป
         อีก ๘ คนโดยอุบายนั้นแล.
   แม้ทูตเหล่านั้นทั้งหมดกับทั้งบริษัท ได้เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์หลีกจาริกไปอย่างไม่รีบเร่ง ด้วยทรงทำในพระหฤทัยว่า เราเมื่อเดินทางวันละโยชน์ ๒ เดือนจักถึงกรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งมีระยะทาง ๖๐ โยชน์จากกรุงราชคฤห์. 
   เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า เยน กปิลวตฺถุ เตน จาริกํ ปกฺกามิ ดังนี้. 
   ก็แลครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้วอย่างนั้น พระอุ ทายีเถระกระทำภัตกิจในพระนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช จำเดิมแต่วันพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออก.
   พระราชาทรงอังคาสพระเถระแล้วทรงเจิมบาตรด้วยกระแจะบรรจุพระกระยาหารอย่างสูงสุดจนเต็ม มอบถวายในมือพระเถระว่า ท่านจักถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระเถระย่อมทำตามรับสั่งทั้งนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยบิณฑบาตของพระราชาเท่านั้นในระหว่างมรรคา ด้วยประการฉะนี้. 
   ฝ่ายพระเถระในเวลาเสร็จภัตกิจทุกวัน ได้ทูลพระราชาว่าวันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาเท่านี้ และได้ปลูกความเชื่อในพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เกิดขึ้นแก่เจ้าศากยะทั้งหลาย
   ด้วยกถาปฏิสังยุตด้วยพุทธคุณ. 
   เพราะเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งท่านไว้ในเอตทัคคสถานว่า ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุทั้งหลายผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส ซึ่งเป็นสาวกของเรา กาฬุทายีเป็นเยี่ยม ดังนี้.๑- 
๑- องฺ. เอก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๑๔๙. 
   ฝ่ายเจ้าศากยะเล่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่เสด็จถึง จึงมุ่งพระหฤทัยว่า เราทั้งหลายจักเฝ้าพระญาติอันประเสริฐของพวกเรา จึงประชุมกัน 
   เมื่อเลือกหาที่เสด็จอยู่สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำหนดว่า อารามของสักกะชื่อนิโครธ น่ารื่นรมย์ จึงให้ทำปฏิชัคคนวิธิทั้งปวงในอารามนั้น มีของหอมและดอกไม้ในมือ เมื่อจะทำการต้อนรับ ได้ส่งเด็กชายและเด็กหญิงชาวพระนครรุ่นหนุ่มรุ่นสาว
   ประดับด้วยอลังการทุกอย่างไปก่อน. ถัดจากนั้น ส่งราชกุมาร และราชกุมารีทั้งหลายไป แล้วไปเองในลำดับแห่งเหล่าราชกุมารและราชกุมารีเหล่านั้น บูชาด้วยสักการะมีดอกไม้และจุณเป็นต้น ได้เชิญเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไปสู่นิโครธารามทีเดียว. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระขีณาสพ ๒ หมื่นแวดล้อม ประทับบนบวรพุทธอาสน์ที่เขาตั้งเตรียมไว้ในนิโครธารามนั้น. พวกศากยราชเป็นคนเจ้ามานะถือตัวจัดนัก. พวกศากยราชเหล่านั้นทรงดำริว่า สิทธัตถกุมารยังหนุ่มเด็กกว่าพวกเรา เป็นพระกนิฎฐะ
   เป็นพระภาคิไนย เป็นพระโอรส เป็นพระนัดดาแห่งพวกเรา จึงรับสั่งกะราชกุมารหนุ่มๆ ว่า พวกเธอจงบังคม พวกฉันจักนั่งข้างหลังพวกเธอ. 
   ครั้นเมื่อศากยราชเหล่านั้นประทับนั่งอย่างนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเล็งดูอัธยาศัยของพวกเธอ แล้วทรงคำนึงว่า พวกพระญาติไม่ยอมไหว้เรา เอาเถิดบัดนี้ เราจักให้พระญาติเหล่านั้นไหว้ ดังนี้แล้ว ทรงเข้าจตุตถฌานเป็นบาทแห่งอภิญญา
   ออกแล้วเหาะขึ้นสู่อากาศด้วยพระฤทธิ์ ได้ทรงทำปาฏิหาริย์คล้ายยมกปาฏิหาริย์ที่ควงแห่งคัณฑามพฤกษ์ ราวกะว่าทรงโปรยธุลีที่พระบาทลงบนเศียรแห่งพระญาติเหล่านั้น. 
   พระราชาทรงเห็นอัศจรรย์นั้นจึงตรัสว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระองค์ซึ่งพระพี่เลี้ยงนำเข้าไปเพื่อไหว้พราหมณ์ในวันมงคล หม่อมฉันแม้ได้เห็นพระบาทของพระองค์ ไพล่ไปประดิษฐานบนกระหม่อมของพราหมณ์ จึงบังคมพระองค์ นี้เป็นปฐมวันทนาของหม่อมฉัน.
   ในวันวัปมงคล เมื่อพระองค์บรรทมบนพระที่อันมีสิริที่เงาไม้หว้า หม่อมฉันเห็นเงาไม้หว้ามิได้คล้อยตามไป จึงบังคมพระบาท นี้เป็นทุติยวันทนาของหม่อมฉัน บัดนี้ หม่อมฉันแม้ได้เห็นปาฏิหาริย์ซึ่งยังไม่เคยเห็นนี้ ขอถวายบังคมพระบาทของพระองค์ นี้เป็นตติยวันทนาของหม่อมฉัน. 
   ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าอันพระเจ้าสุทโธทนมหาราชถวายบังคมแล้ว แม้ศากยะองค์หนึ่งซึ่งชื่อไม่ถวายบังคม มิได้มี, ได้ถวายบังคมหมดทั้งนั้น. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระญาติทั้งหลายให้ถวายบังคมแล้วเสด็จลงจากอากาศ ประทับบนพระอาสน์ที่เขาแต่งตั้งไว้.
   ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งแล้ว พระญาติสมาคม ได้เป็นผู้ถึงที่สุด คือหมดมานะ พระญาติทั้งปวงมีพระหฤทัยแน่วแน่ นั่งประชุมกันแล้ว. 
   ลำดับนั้น มหาเมฆหลั่งฝนโบกขรพรรษให้ตกลงมา. น้ำมีสีแดงหลั่งไหล๒- ไปภายใต้ น้ำแม้หยาดหนึ่งจะตกลงบนสรีระของใครๆ ก็หาไม่. พระญาติทั้งปวงทรงเห็นเหตุนั้นแล้ว ได้เป็นผู้เกิดความอัศจรรย์หลากใจ. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ฝนโบกขรพรรษตกในญาติสมาคมของเรา ในกาลนี้เท่านั้นหามิได้ ถึงในอดีตกาล ก็ได้ตกแล้วดังนี้ แล้วตรัสเวสสันตรชาดก๓- เพราะเกิดเหตุนี้ขึ้น. 
   พระญาติทั้งปวงสดับพระธรรมเทศนาแล้ว เสด็จลุกขึ้นถวายบังคม ทำประทักษิณแล้วหลีกไป. แม้บุคคลผู้หนึ่ง คือพระราชาหรือราชมหาอำมาตย์ที่จะทูลว่า พรุ่งนี้ ขอพระองค์ทรงรับภิกษาของข้าพเจ้า แล้วจึงไป มิได้มี. 
๒- วิรวนฺตํ คจฺฉติ. ๓- ขุ. ชา. เล่ม ๒๘/ข้อ ๑๐๔๕ 
   ในวันที่ ๒ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุ ๒ หมื่นเป็นบริวาร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงกบิลพัสดุ์. ใครๆ จะลุกรับแล้วนิมนต์หรือได้รับบาตร หามิได้. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนอยู่ที่เสาอินทขีล๔- ทรงนึกว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อน เสด็จ
   เที่ยวบิณฑบาตในนครแห่งสกุลอย่างไรหนอ? ได้เสด็จไปสู่เรือนของเหล่าอิสรชนโดยผิดลำดับหรือ หรือว่าเสด็จเที่ยวจาริกไปตามลำดับตรอก. 
   ลำดับนั้น ไม่ได้ทรงเห็นการไปผิดลำดับแม้แห่งพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง จึงทรงรำพึงว่า บัดนี้ วงศ์นี้และประเพณีนี้ แม้เราก็ควรยกย่อง และต่อไปถึงสาวกทั้งหลายของเรา เมื่อสำเหนียกตามเราจักยังบิณฑจาริยวัตรให้เต็มได้ แล้วเสด็จเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอกจำเดิมแต่เรือนที่เสด็จเข้าไปครั้งสุดท้าย. 
๔- หลักที่ปักไว้กลางประตู สำหรับกัน
บานประตูทั้งสองข้างในเวลาปิด. 
   มหาชนได้ฟังข่าวว่า ได้ยินว่า พระเจ้าสิทธัตถกุมารเสด็จเที่ยวบิณฑบาต จึงเปิดหน้าต่างในปราสาทสี่ชั้นเป็นต้น
   ได้เป็นผู้กุลีกุจอเพื่อจะเห็น. 
   ฝ่ายพระเทวีผู้มารดาพระราหุลทรงจินตนาว่า ได้ยินว่า พระลูกเจ้าเสด็จเที่ยวไปด้วยพระยานมีสุวรรณสีวิกาเป็นต้นด้วยพระราชานุภาพใหญ่ ในพระนครนี้นี่แล บัดนี้ ทรงปลงพระเกสาและพระมัสสุเสีย ทรงผ้ากาสาวพัสตร์ มีกระเบื้องในพระหัตถ์ เสด็จเที่ยวบิณฑบาต.
   พระองค์จะทรงงดงามไหมหนอ หรือว่าไม่ทรงงดงาม. จึงทรงเปิดพระสีหบัญชรทอดพระเนตร ทรงเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งงามสง่าด้วยพระพุทธสิริ ทรงยังนครวิถีทั้งหลายให้โอภาสด้วยพระสรีระรัศมีอันรุ่งเรืองด้วยรัศมีนานา จึงทรงชมพระโฉม จำเดิม
   แต่พระอุณหิสจนถึงฝ่าพระบาทด้วย ๘ คาถาอันมีนามว่านรสีหคาถา แล้วเสด็จไปเฝ้าพระราชา กราบบังคมทูลแด่พระราชาว่า พระลูกเจ้าของฝ่าพระบาทเสด็จเที่ยวบิณฑบาต. 
   พระราชาทรงสดับข่าวนั้น ทรงสลดพระหฤทัย พลางทรงจัดพระภูษาให้รัดกุมด้วยพระหัตถ์ รีบด่วนเสด็จออกไปโดยเร็ว ประทับเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลว่า พระเจ้าข้า
   ทำไมจึงทรงยังหม่อมฉันให้ได้อายเล่า พระองค์เสด็จเที่ยวบิณฑบาตเพื่อประโยชน์อะไร? พระองค์ได้เป็นผู้มีความสำคัญอย่างนี้ว่า ภิกษุมีประมาณเท่านี้ ไม่อาจได้ภัตหรือ? 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร การเที่ยวบิณฑบาตนี้เป็นจารีตสำหรับวงศ์ของอาตมภาพ. 
   พระราชาทูลถามว่า พระเจ้าข้า ขึ้นชื่อว่ามหาสมมติขัตติยวงศ์ เป็นวงศ์ของพวกเรามิใช่หรือ? ก็แลในขัตติยวงศ์นั้น แม้กษัตริย์องค์หนึ่ง ชื่อผู้เที่ยวภิกษาย่อมไม่มี.
   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสนองว่า มหาบพิตร ชื่อว่าราชวงศ์ เป็นวงศ์ของมหาบพิตร แต่ขึ้นชื่อว่าพุทธวงศ์ เป็นวงศ์ของอาตมภาพ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์เทียว 
   ได้เป็นผู้เสด็จเที่ยวบิณฑบาตดังนี้
   คงประทับยืนในท้องถนนเทียว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า :- 
   บุคคลไม่พึงประมาทในบิณฑบาต 
   อันคนพึงลุกยืนรับ พึงประพฤติธรรมให้เป็น 
   สุจริต ด้วยว่า ผู้มีปกติประพฤติธรรม ย่อม 
   อยู่เป็นสุข ทั้งในโลกนี้และโลกอื่น.๕- 
   พระราชาได้ทรงทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ในกาลที่จบแห่งพระคาถาและได้ทรงสดับพระคาถานี้ว่า :- 
   บุคคลพึงประพฤติธรรมให้เป็นสุจริต 
ไม่พึงประพฤติธรรมนั้นให้เป็นทุจริต ด้วยว่า 
ผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุข ทั้งในโลก นี้และโลกอื่น.๕- 
   ดังนี้แล้ว ทรงประดิษฐานในสกทาคามิผล ได้ทรงสดับธรรมปาลชาดก๖- แล้วทรงประดิษฐานในอนาคามิผล ในมรณสมัย เสด็จบรรทมบนพระที่อันมีสิริภายใต้แห่งเศวตฉัตรนั่นแล
   จึงทรงบรรลุพระอรหัต. กิจที่จะต้องหมั่นประกอบความเพียรในอรัญวาสมิได้มีแก่พระราชา. 
   ก็แลท้าวเธอทรงทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลนั่นแล จึงทรงรับบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เชิญเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากับทั้งบริษัทขึ้นสู่พระมหาปราสาท ทรงอังคาสด้วยขาทนียโภชนียะอันประณีต. 
๕- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๒๓. 
๖- ขุ. ชา. ทสก. เล่ม ๒๗/ข้อ๑๔๑๐. 
   ในเวลาเสร็จภัตกิจ นางสนมกำนัลทั้งปวง เว้นพระมารดาพระราหุลได้มาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ส่วนพระนางนั้น แม้อันชนบริวารทูลว่า ขอพระแม่เจ้าจงเสด็จไปถวายบังคมพระลูกเจ้า ได้รับสั่งว่า ถ้าความดีของเรามีอยู่ พระลูกเจ้าจักเสด็จมาเองทีเดียว เราจักถวายบังคมพระองค์ผู้เสด็จมาแล้ว ดังนี้ มิได้เสด็จไป. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระราชาได้ถือบาตรแล้ว พร้อมด้วยพระอัครสาวกทั้ง ๒ เสด็จไปสู่ห้องอันมีสิริของพระราชธิดา ตรัสว่า พระราชธิดาจงไหว้ตามชอบ อย่าพึงว่ากล่าวอย่างไรเลย แล้วประทับบนพระที่นั่งอันเขาแต่งตั้งไว้.
   พระนางเสด็จมาโดยเร็ว ทรงจับที่ข้อพระบาทกลิ้งเกลือกพระเศียรบนหลังพระบาทถวายบังคมตามพระอัธยาศัย. 
   พระราชาทูลถึงคุณสมบัติมีพระสิเนหาและความนับถือมากในพระผู้มีพระภาคเจ้า ของพระราชธิดา. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร ยังไม่อัศจรรย์ ข้อที่พระราชธิดาซึ่งพระบรมบพิตรทรงปกครองอยู่ จึงรักษาพระองค์ไว้ได้ในเมื่อพระญาณแก่กล้าแล้วในบัดนี้ แต่ก่อน เธอหาผู้ปกครองมิได้ เที่ยวไปแทบเชิงบรรพต รักษาพระองค์ไว้ได้ในเมื่อพระญาณยังไม่แก่กล้า ดังนี้แล้ว ตรัสจันทกินรีชาดก.๗- 
   วันนั้นเอง พระนันทราชกุมารมีมหามงคล ๕ อย่าง คือ แก้พระเกศา๘- ผูกพระสุพรรณบัฏ๙- ฆรมงคล๑๐- อาวาหมงคล ฉัตรมงคล. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระนันทกุมารให้ถือบาตรแล้วตรัสมงคล เสด็จลุกจากพระที่นั่งหลีกไป. 
   ครั้งนั้น นางชนบทกัลยาณีเห็นพระกุมารกำลังเสด็จไป จึงทูลว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า พระองค์รีบเร่งเสด็จกลับมา แล้วชะเง้อคอแลดู. แม้พระนันทกุมารนั้น เมื่อไม่อาจทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ขอพระองค์ทรงรับบาตรเถิด จึงต้องเสด็จไปถึงวัดที่อยู่ทีเดียว. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระนันทกุมารนั้น ผู้ไม่ทรงปรารถนาเลยให้ผนวช. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาสู่กบิลบุรี ยังพระนันทกุมารให้ผนวชในวันที่ ๒ ด้วยประการฉะนี้. 
๗- ขุ. ชา.เล่ม ๒๗/ข้อ ๑๘๘๓. 
ในที่อื่นเรียกว่าจันทกินนรชาดก. 
๘- เกสวิสชฺชนนฺติ กุลมริยาทวเสน เกโสโรปนนฺติสารตฺถทีปนี. ราชโมลิพนฺธนตฺถํกุมารกาเล พนฺธิตสิขา
เวณิโมจนํ. ตํ กิร กโรนฺตา มงฺคลํ 
กโรนตีติ วิมติวิโนทนี. 
๙- ปฏฺฏพนฺโธติ ยุวราชปฏฺฏพนฺโธติ สารตฺถ. อสุกราชาติ นลาเฎ สุวณฺณปฏฺฏพนฺธนนฺติ. วิมติ. 
๑๐- อภินวฆรปเวสนมโห ฆรมงฺคลนฺติ สารตฺถ. อภินวปาสาทปฺปเวสมงฺคลํ ฆรมงฺคลนฺติ วิมติ.
   ในวันที่ ๗ พระราหุลมารดา ทรงแต่งพระกุมารส่งไปสู่สำนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยทรงสั่งว่า นี่แน่ะพ่อ เจ้าจงเห็นสมณะนั่นผู้มีพรรณดั่งทองคำ มีพระรูปพรรณดั่งพรหม มีสมณะสองหมื่นแวดล้อม พระสมณะนี้ เป็นพระบิดาของเจ้า พระสมณะนั้นได้
   มีขุมทรัพย์ใหญ่ จำเดิมแต่เวลาที่ท่านเสด็จออกไป แม่มิได้เห็น ไปเถิดเจ้าจงทูลขอเป็นทายาทกับท่านว่า ข้าแต่พระบิดาเจ้า หม่อมฉันเป็นกุมาร จักยกฉัตรแล้วเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. หม่อมฉันต้องการทรัพย์ โปรดประทานทรัพย์แก่หม่อมฉันเถิด เพราะว่าบุตรย่อมเป็นเจ้าของทรัพย์ของบิดา. 
   พระกุมารพอเสด็จไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็กลับได้ความรักพระบิดา มีพระหฤทัยรื่นเริงยินดีทูลว่า พระสมณเจ้า พระฉายาของพระองค์นำสุขมา แล้วได้ยืนรับสั่งถ้อยคำซึ่งสมควรแก่ตนเป็นอันมาก แม้อื่น. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสร็จภัตกิจแล้ว กระทำอนุโมทนา เสด็จลุกจากพระที่นั่งหลีกไป. 
   ฝ่ายพระกุมารได้ทรงติดตามทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระสมณเจ้า ขอพระองค์ประทานทรัพย์มฤดกแก่หม่อมฉันเถิด, พระสมณเจ้า ขอพระองค์ประทานทรัพย์มฤดกแก่หม่อมฉันเถิด. 
   เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าว
   คำว่า อนุปุพฺเพน จาริกญฺจรมาโน เยน กปิลวตฺถุ ฯเปฯ ทายชฺชํ เม สมณ เทหิ ดังนี้. 
   ข้อว่า อถโข ภควา อายสฺมนฺตํ สารีปุตฺตํ อามนฺเตสิ
   มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงยังพระกุมารให้กลับแล้ว ทั้งบริวารชนก็ไม่สามารถเพื่อจะยังพระกุมารผู้เสด็จไปกับพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จกลับได้. 
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปพระอาราม แล้วทรงดำริว่า ราหุลนี้ปรารถนาทรัพย์ของบิดาอันใด ทรัพย์อันนั้นเนื่องด้วยวัฏฏะเป็นไปกับด้วยความคับแค้น เอาเถิด เราจะให้
   อริยทรัพย์ ๗ ประการซึ่งเราได้แล้วที่โพธิมัณฑ์แก่เธอ จักทำเธอให้เป็นเจ้าของมฤดกอันเป็นโลกุตตระ ดังนี้แล้ว รับสั่งหาท่านพระสารีบุตรมา. 
   ก็แลครั้นรับสั่งหาแล้วตรัสว่า สารีบุตร ถ้ากระนั้น ท่านจงยังราหุลกุมารให้บวชเถิด. 
   อธิบายว่า ราหุลกุมารนี้ขอทรัพย์มฤดก 
   เพราะเหตุนั้น ท่านจงยังราหุลกุมารนั้นให้บวช เพื่อได้เฉพาะซึ่งทรัพย์มฤดกอันเป็นโลกุตตระ. 
   บรรพชาและอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์นั้นใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตที่กรุงพาราณสี บรรดาบรรพชาและอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์นั้น ทรงห้ามอุปสมบท ทรงยกไว้ในความเป็นของหนัก คือเป็นกิจสลักสำคัญ 
   แล้วจึงทรงอนุญาตอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถรรม. ส่วนบรรพชามิได้ทรงห้ามเลย แต่ก็มิได้ทรงอนุญาตอีก เพราะเหตุนั้น ความสงสัยจักเกิดขึ้นแก่ภิกษุทั้งหลายในอนาคตว่า ชื่อว่าบรรพชานี้ เช่นกับด้วยอุปสมบทในกาลก่อน.
   แม้ในบัดนี้ บรรพชาอันเราทั้งหลายพึงกระทำด้วยกรรมวาจานั่นเอง เหมือนอุปสมบทหรือหนอแล 
   หรือว่า พึงทำด้วยไตรสรณคมน์ ดังนี้.
   ก็แลพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความนี้แล้วใคร่จะทรงอนุญาตสามเณรบรรพชาด้วยไตรสรณคมน์อีก เพราะเหตุนั้น พระธรรมเสนาบดีทราบพระอัธยาศัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า
   ใคร่จะยังพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงอนุญาตบรรพชาอีก จึงทูลว่า ข้าพระองค์จะยังพระราหุลกุมารให้ผนวชอย่างไร พระเจ้าข้า? 
   ข้อว่า อถโข อายสฺมา สารีปุตฺโต ราหุลกุมารํ ปพฺพาเชสิ มีความว่า พระมหาโมคคัลลานเถระปลงพระเกศาของพระกุมารแล้วถวายผ้ากาสายะ พระสารีบุตรได้ถวายสรณะ. พระมหากัสสปเถระได้เป็นโอวาทาจารย์.
   ก็บรรพชาและอุปสมบทมีอุปัชฌาย์เป็นมูล อุปัชฌาย์เท่านั้นเป็นใหญ่ ในบรรพชาและอุปสมบทนั้น อาจารย์ไม่เป็นใหญ่ เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล พระสารีบุตรผู้มีอายุ ยังพระราหุลกุมารให้ผนวชแล้ว ดังนี้. 
   ด้วยประการอย่างนี้ คำทั้งปวงอันผู้ศึกษาพึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล พระเจ้าสุทโธทนผู้ศากยราชทรงเกิดความสลดพระหฤทัย เพราะทรงสดับว่า พระกุมารผนวชแล้ว ในเมื่อเขากล่าวว่า ข้าพเจ้าขอพร ดังนี้โดยไม่ระบุอย่าง
   คำว่า จงขอ เป็นคำไม่สมควรแก่บรรพชิตผู้เลี้ยงชีวิตด้วยอุญฉาจริยา๑๑- ทั้งพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ไม่ทรงประพฤติ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ในพระบาลีนั้นว่า มหาบพิตรผู้โคตมะ พระตถาคตทั้งหลาย ทรงเลิกพรเสียแล้วแล. 
๑๑- ขอทานเลี้ยงชีพ 
   ข้อว่า ยญฺจ ภนฺเต กปฺปติยญฺจ อนวชฺชํ มีความว่า พรใดสมควรที่พระองค์จะประทานได้ด้วย เป็นพรหาโทษมิได้ด้วย คือเป็นพรอันวิญญูชนทั้งหลายไม่พึงครหา เพราะกิริยาที่รับของหม่อมฉันเป็นปัจจัยด้วยหม่อมฉันขอพรนั้น. 
   ข้อว่า ตถา นนฺเท อธิมตฺตํ ราหุเล มีความว่า ได้ยินว่า โหรทั้งหลายได้ทำนายพระโพธิสัตว์ในวันมงคลว่าจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ฉันใดเล่า ได้ทำนายทั้งพระนันทะทั้งพระราหุลในวันมงคลว่า จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ฉันนั้น.
   ครั้งนั้น พระราชาทรงเกิดพระอุตสาหะว่า เราจักชมจักรพรรดิสิริของบุตร ได้ทรงถึงความหมดหวังอย่างใหญ่หลวง เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงผนวชเสีย. จึงทรงยังพระอุตสาหะให้เกิด
   ว่า เราจักชมจักรพรรดิสิริของพ่อนันทะ.
   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระนันทะแม้นั้นให้ผนวชแล้ว. ท้าวเธอทรงอดกลั้นทุกข์แม้นั้นเสียได้ ทรงยังพระอุตสาหะให้เกิดว่า บัดนี้เราจักได้ชมจักรพรรดิสิริของพ่อราหุล ด้วยประการฉะนี้
   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระราหุลนั้นให้ผนวชเสียอีก. เพราะฉะนั้น ความทุกข์จึงได้เกิดแก่ท้าวเธอยิ่งนักว่า บัดนี้แม้กุลวงศ์ขาดสายเสียแล้ว จักรพรรดิสิริจักมีมาแต่ไหนเล่า. 
   เพราะเหตุนั้น พระเจ้าสุทโธทนผู้ศากยราชจึงทูลว่า ตถา นนฺเท อธิมตฺตํ ราหุเล ดังนี้. ส่วนการบรรลุอนาคามิผลของพระราชาผู้ศึกษาพึงทราบว่า ภายหลังแต่กาลที่พระราหุลผนวชนี้. 
เหตุไร พระราชาจึงตรัสคำนี้ว่า สาธุ ภนฺเต อยฺยา เป็นต้น. 
   ได้ยินว่า ท้าวเธอทรงดำริว่า แม้ว่าเราเป็นพุทธมามกะ ธัมมมามกะ สังฆมามกะ ก็จริงหรอก แต่เมื่อบุตรซึ่งบิดาของตนให้บวชเสีย ก็ไม่สามารถจะอดกลั้นญาติวิโยคทุกข์ได้.
   ชนเหล่าอื่นจักอดกลั้นได้อย่างไร ในเมื่อบุตรและนัดดาทั้งหลายของตนบวช เพราะเหตุนั้น ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้ด้วยทรงทำพระหฤทัยว่า ทุกข์เห็นปานนี้ก่อน อย่าได้มีแม้แก่ชนเหล่าอื่นเลย.
   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำธรรมกถาว่า พระราชาตรัสเหตุเป็นเครื่องนำออกในศาสนา แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุทั้งหลาย บุตรที่มารดาบิดาไม่อนุญาต ไม่ควรให้บวช ดังนี้. 
   บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาตาปิตูหิ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาชนนีและชนก. ถ้ามีทั้ง ๒ ต้องลาทั้ง ๒. ถ้าบิดาหรือมารดาตายเสียแล้ว ผู้ใดยังเป็นอยู่ ต้องลาผู้นั้น.
   มารดาบิดาแม้บวชแล้ว ก็ควรลาแท้.
   ภิกษุเมื่อจะบอกลา ตนพึงไป
   บอกลาเองก็ได้ ส่งคนอื่นไปแทนก็ได้ ส่งกุลบุตรนั้นแหละไปว่า ท่านจงไปลามารดาบิดาแล้ว จงมา ดังนี้ก็ได้. ถ้ากุลบุตรนั้นบอกว่า ผมเป็นผู้อันมารดาบิดาอนุญาตแล้ว เมื่อเชื่อพึงให้
   บวช บิดาบวชเองแล้ว เป็นผู้ใคร่จะให้บุตรบวชบ้าง จงบอกเล่ามารดาแล้วจึงให้บวช. หรือว่ามารดาใคร่จะให้ธิดาบวช จงบอกเล่าบิดาก่อนแล้วจึงให้บวช. 
   บิดาไม่มีความใยดีด้วยบุตรภริยา หนีไปเสีย มารดามอบบุตรแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ขอท่านทั้งหลายให้บุรุษนี้บวชเถิด
   เมื่อภิกษุกล่าวว่า บิดาของเขาไปไหน? เขาบอกว่า หนีไปเพื่อเล่นในจิตตเกลี๑๒- เสียแล้ว สมควรให้บุรุษนั้นบวชได้ มารดาหนีไปกับชายบางคนเสีย. ฝ่ายบิดามอบให้ว่า ขอท่านทั้งหลายจงให้บวชเถิด. แม้ในบุตรนี้ ก็นัยนั้น. 
๑๒- การเล่นต่างๆ ซึ่งทำให้ใจเพลิดเพลิน. 
   ในอรรถกถาชื่อกุรุนทีแก้ว่า บิดาหย่าร้างไปแล้ว มารดาอนุญาตว่า ท่านจงบวชลูกของดิฉันเถิด เมื่อภิกษุกล่าวว่า บิดาของเขาไปไหน? เขากล่าวว่า ท่านจะต้องการอะไรด้วยบิดาเล่า ดิฉันจักทราบ ดังนี้ ควรให้บวชได้. 
   มารดาบิดาตาย ทารกเจริญในสำนักญาติทั้งหลายมีน้าหญิงเป็นต้น ครั้นเมื่อทารกนั้นอันภิกษุให้บวช ญาติทั้งหลายอาศัยทารกนั้นแล้ว จะก่อการทะเลาะหรือพากันติเตียน เพราะเหตุนั้น เพื่อตัดการวิวาทเสีย ภิกษุพึงบอกเล่าเสียก่อน จึงให้บวช.
   แต่เมื่อไม่บอกเล่าก่อนให้บวช ก็ไม่มีอาบัติ. 
   ชนผู้รับมาเลี้ยงในเวลาที่ยังเป็นเด็กย่อม ก็จัดเป็นมารดาบิดาได้. แม้ในมารดาบิดาชนิดนั้น ก็มีนัยเหมือนกัน. 
   บุตรอาศัยตนคือภิกษุ เป็นอยู่ ไม่ได้อาศัยมารดาบิดา. ถ้าแม้บุตรนั้นเป็นพระราชา ภิกษุก็ต้องบอกเล่ามารดาบิดาก่อน จึงให้บวช. บุตรที่มารดาบิดาอนุญาตบวชแล้วกลับสึก. ถ้าแม้เขาบวชแล้วสึกตั้ง ๗ ครั้ง ภิกษุควรถามแล้วถามอีกในเวลาที่เขามาแล้วๆ จึงให้บวช. 
   ถ้ามารดาบิดากล่าวอย่างนี้ว่า ลูกคนนี้สึกแล้วมาเรือน ไม่ทำการงานของเรา เขาบวชแล้วจะไม่ยังวัตรของท่านทั้งหลายให้เต็ม กิจที่จะต้องบอกลาสำหรับลูกคนนี้ ไม่มี ท่านทั้งหลายพึงยัง
   เขาซึ่งมาแล้วให้บวชเถิด ดังนี้ แม้จะไม่ลาอีกยังกุลบุตรที่มารดาบิดาทอดทิ้งแล้วอย่างนี้ให้บวช ก็ควร. 
   แม้บุตรใดอันมารดาบิดามอบให้ในเวลาที่ยังเด็กทีเดียวอย่างนี้ว่า เด็กนี้ ข้าพเจ้าถวายท่าน ท่านพึงให้บวชในเวลาที่ท่านปรารถนาเถิด ดังนี้ แม้บุตรนั้นมาแล้วๆ ภิกษุพึงบอกเล่าอีกเทียว
   จึงให้บวช. ส่วนบุตรใด มารดาบิดาอนุญาตในเวลาที่ตนยังเด็กอยู่ทีเดียวว่า ท่านเจ้าข้า ท่านพึงยังเด็กนี้ให้บวชเถิด ภายหลังในเวลาที่เด็กถึงความเจริญ กลับไม่อนุญาต. บุตรนี้นั้นภิกษุยังไม่ได้บอกเล่ามารดาบิดา ไม่พึงให้บวช. 
   บุตรคนเดียวเที่ยวไปกับมารดาบิดามากล่าวว่า ขอท่านจงให้ข้าพเจ้าบวชเถิด. และเขาอันภิกษุกล่าวว่า ท่านจงบอกลาแล้วจงมา จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ไป ถ้าท่านไม่ให้ข้าพเจ้าบวช ข้าพเจ้าจะเผาวิหารเสีย หรือจะประหารพวกท่านด้วยศัสตรา
   หรือจะก่อความฉิบหาย ด้วยผลาญสวนเป็นต้นของญาติและอุปัฏฐากทั้งหลายของพวกท่าน หรือว่าข้าพเจ้าจะตกต้นไม้ตาย; หรือจะเข้าไปยังท่ามกลางโจร; หรือจะไปประเทศอื่น ดังนี้. สมควรให้เขาบวช เพื่อต้องการรักษาชีวิตไว้เท่านั้น. 
   และถ้ามารดาบิดาของเขามาพูดว่า เหตุไรจึงให้บุตรของเราบวช? ภิกษุพึงบอกเนื้อความนั้นแก่เขาทั้งหลายแล้วพึงกล่าวว่า ฉันให้เขาบวชก็เพื่อจะป้องกันไว้ ท่านทั้งหลายจงสอบสวนบุตรดูเถิด. อนึ่งสมควรแท้ที่จะบวชให้คนซึ่งคิดว่า เราจะตกต้นไม้
   แล้วขึ้นไปปล่อยมือและเท้าเสีย บุตรคนเดียวไปต่างประเทศแล้วขอบวช. ถ้าเขาลาแล้วจึงไปพึงให้บวชได้. ถ้าไม่ได้ลา พึงส่งภิกษุหนุ่มไปให้บอกลาแล้ว จึงให้บวช. ถ้าต่างประเทศนั้นเป็นที่ไกลยิ่งนัก. แม้จะให้บวชแล้วส่งไปแสดงพร้อมกับภิกษุทั้งหลายก็ควร. 
   แต่ในอรรถกถาชื่อกุรุนทีแก้ว่า ถ้าต่างประเทศเป็นสถานไกลด้วย ทางกันดารมากด้วยจะให้บวชด้วยผูกใจว่า เราจักไปบอกเล่า ดังนี้ก็ควร. แต่ถ้ามารดาบิดามีบุตรมาก และเขากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า บรรดาเด็กเหล่านี้ ท่านปรารถนาจะให้
   คนใดบวช พึงให้คนนั้นบวชเถิด ภิกษุพึงตรวจดูเด็กทั้งหลายแล้วปรารถนาคนใด พึงให้คนนั้นบวช ถ้าแม้สกุลหรือบ้านทั้งสิ้นอนุญาตไว้ว่า ท่านเจ้าข้า ในสกุลหรือในบ้านนี้ ท่านปรารถนาจะให้ผู้ใดบวช พึงให้ผู้นั้นบวชเถิด ดังนี้. ภิกษุปรารถนาผู้ใด พึงให้ผู้นั้นบวชได้.
อรรถกถาราหุลวัตถุกถา จบ.