Translate

06 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ สัตตรสกัณฑ์ สิกขาบทที่ ๖ เรื่องภิกษุณีสุนทรีนันทา

     [๕๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
    ครั้งนั้น ภิกษุณีสุนทรีนันทาเป็นผู้ทรงโฉมวิไล น่าพิศพึงชม.
    คนทั้งหลายพบนางที่ในโรงฉันแล้ว ต่างมีความพอใจ ถวายโภชนาหารที่ดีๆ แก่นาง นางรังเกียจไม่รับประเคน.
     ภิกษุณีผู้นั่งรอลำดับจึงถามนางว่า แม่เจ้า เหตุไรแม่เจ้าจึงไม่รับประเคนเล่า เจ้าค่ะ?
นางตอบว่า เพราะเขามีความพอใจ เจ้าค่ะ.
ภิกษุณีนั้นถามว่า ก็แม่เจ้ามีความพอใจด้วยหรือ?
สุ. ไม่มีเจ้าค่ะ.
ภิ. แม่เจ้า บุรุษบุคคลนั่น มีความพอใจก็ตาม ไม่มีความพอใจก็ตาม จักทำอะไรแก่แม่เจ้าได้ เพราะแม่เจ้าไม่มีความพอใจ
    นิมนต์เถิด เจ้าค่ะ บุรุษบุคคลนั้นจักถวายของสิ่งใดเป็นของเคี้ยว หรือของฉันก็ตาม แก่แม่เจ้าๆ จงรับประเคนของสิ่งนั้นด้วยมือของตน แล้วเคี้ยวหรือฉันเถิด เจ้าค่ะ.
    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า แม่เจ้า บุรุษบุคคลนั่น มีความพอใจก็ตาม ไม่มีความพอใจก็ตาม
    จักทำอะไรแก่แม่เจ้าได้ เพราะแม่เจ้าไม่มีความพอใจ นิมนต์เถิด เจ้าค่ะ บุรุษบุคคลนั้นจะถวายของสิ่งใดเป็นของเคี้ยวหรือของฉันก็ตาม แก่แม่เจ้า แม่เจ้าจงรับประเคนของสิ่งนั้นด้วยมือของตน แล้ว เคี้ยวหรือฉันเถิดดังนี้เล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีกล่าวอย่างนี้ว่า แม่เจ้า บุรุษบุคคลนั่นมีความพอใจก็ตาม ไม่มีความพอใจก็ตาม
    จักทำอะไรแก่แม่เจ้าได้ เพราะแม่เจ้าไม่มีความพอใจ นิมนต์เถิด เจ้าค่ะ บุรุษบุคคลนั้นจะถวายของสิ่งใด เป็นของเคี้ยวก็ตามของฉันก็ตาม แก่แม่เจ้า แม่เจ้าจงรับประเคนของสิ่งนั้น ด้วยมือของตน แล้วเคี้ยวหรือฉันเถิดดังนี้ จริงหรือ?
  ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจึงได้กล่าวอย่างนี้ว่าแม่เจ้า บุรุษบุคคลนั่น มีความพอใจก็ตาม ไม่มีความพอใจก็ตาม จักทำอะไรแก่แม่เจ้าได้ 
เพราะ    แม่เจ้าไม่มีความพอใจ นิมนต์เถิดเจ้าค่ะ บุรุษบุคคลนั้นจะถวายของสิ่งใด เป็นของเคี้ยวก็ตาม ของฉันก็ตาม แก่แม่เจ้า แม่เจ้าจงรับประเคนของสิ่งนั้น ด้วยมือของตน แล้วเคี้ยวหรือฉันเถิด ดังนี้เล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็แลภิกษุณีทั้งหลาย จงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ    ๑๔. ๖. อนึ่ง ภิกษุณีใด กล่าวอย่างนี้ว่า แม่เจ้า บุรุษบุคคลนั้น มีความพอใจก็ตาม ไม่มีความพอใจก็ตาม จักทำอะไรแก่แม่เจ้าได้ เพราะแม่เจ้าไม่มีความพอใจ
    นิมนต์เถิด เจ้าค่ะ บุรุษบุคคลนั้นจะถวายของสิ่งใด เป็นของเคี้ยวหรือของฉันก็ตาม แก่แม่เจ้าขอแม่เจ้า จงรับประเคนของสิ่งนั้นด้วยมือของตน แล้วเคี้ยวหรือฉันเถิด ดังนี้ ภิกษุณีแม้นี้ก็ต้องธรรมคือสังฆาทิเสส ชื่อนิสสารณียะ มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ. เรื่องภิกษุณีสุนทรีนันทา จบ.
 สิกขาบทวิภังค์
    [๕๘] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่าผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    บทว่า กล่าวอย่างนี้ คือ พูดส่งเสริมว่า แม่เจ้า บุรุษบุคคลนั่น มีความพอใจก็ตาม ไม่มีความพอใจก็ตาม จักทำอะไรแก่แม่เจ้าได้ เพราะแม่เจ้า ไม่มีความพอใจ นิมนต์เถิด เจ้าค่ะ
    บุรุษบุคคลนั้น จะถวายของสิ่งใด เป็นของเคี้ยว หรือของฉันก็ตาม แก่แม่เจ้า ขอแม่เจ้าจงรับประเคนของสิ่งนั้นด้วยมือของตน แล้วเคี้ยวหรือฉันเถิด ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
    ภิกษุณีรับประเคนตามคำของภิกษุณีผู้พูดนั้น ด้วยประสงค์จะเคี้ยวจะฉัน ภิกษุณีผู้พูดนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ.
    ภิกษุณีนั้นฉัน ภิกษุณีผู้พูด ต้องอาบัติถุลลัจจัย ทุกๆ คำกลืน.    ภิกษุณีนั้นฉันอาหารเสร็จ ภิกษุณีผู้พูด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
    บทว่า ภิกษุณีแม้นี้ พระผู้มีพระภาคตรัสเทียบเคียงภิกษุณีรูปก่อนๆ    บทว่า มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ คือ ต้องอาบัติพร้อมกับการล่วงวัตถุ โดยไม่ต้องสวดสมนุภาส.
     ที่ชื่อว่า นิสสารณียะ ได้แก่ ถูกขับออกจากหมู่.
     บทว่า สังฆาทิเสส ความว่า สงฆ์เท่านั้นให้มานัต ... เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่าสังฆาทิเสส.
    ภิกษุณีพูดส่งเสริมว่า จงรับประเคนน้ำและไม้ชำระฟัน ต้องอาบัติทุกกฏ.    ภิกษุณีรับประเคนตามคำของภิกษุณีผู้พูดนั้น ด้วยประสงค์จะเคี้ยวจะฉัน ภิกษุณี ผู้พูดนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ. 
บทภาชนีย์
    [๕๙] ฝ่ายหนึ่งมีความพอใจ ภิกษุณีพูดส่งเสริมว่า แม่เจ้า จงเคี้ยวก็ตาม จงฉันก็ตามซึ่งของเคี้ยวก็ตาม ของฉันก็ตาม ที่รับจากมือของยักษ์ก็ดี เปรตผู้ชายก็ดี บันเฑาะก์ผู้ชายก็ดี สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้มีกายคล้ายมนุษย์ก็ดี ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
    ภิกษุณีรับประเคนตามคำของผู้พูดนั้น ด้วยประสงค์ว่าจะเคี้ยวจะฉัน ภิกษุณีผู้พูด ต้องอาบัติทุกกฏ.
    ภิกษุณีนั้นฉัน ภิกษุณีผู้พูด ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำกลืน. ภิกษุณีนั้นฉันเสร็จ ภิกษุณีผู้พูด ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
    พูดส่งเสริมว่า จงรับประเคนน้ำและไม้ชำระฟัน ต้องอาบัติทุกกฏ. ภิกษุณีรับประเคนตามคำของภิกษุนั้น ด้วยประสงค์ว่าจะเคี้ยวจะฉัน ภิกษุณีผู้พูดต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
     [๖๐] รู้อยู่ว่าเขาไม่มีความพอใจ พูดส่งเสริม ๑ พูดส่งเสริมโดยเข้าใจว่าเขาโกรธกันนางคงไม่รับประเคน ๑ พูดส่งเสริมโดยเข้าใจว่า นางจักไม่รับประเคน เพราะความเอ็นดูแก่สกุล ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๖ จบ.
อรรถกถาภิกขุนีวิภังค์ สัสตรสกัณฑ์ สังฆาทิเลสบทที่ ๖
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๖ พึงทราบดังนี้ :- 
สองบทว่า ยโต ตฺวํ ไขเป็น ยสฺมา ตฺวํ 
แปลว่า เพราะว่า แม่เจ้า.
 ถามว่าอาบัติทั้งหลายมีอาทิว่า พูดส่งเสริม ต้องอาบัติทุกกฎ มีสังฆาทิเสสเป็นที่สุด จะมีแก่ใคร
 แก้ว่า มีแก่ภิกษุณีผู้พูดส่งเสริม.
 สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แม้ในคัมภีร์ปริวารว่า๑-     ภิกษุณีไม่ให้ ไม่รับประเคน การรับไม่มี ด้วยเหตุนั้น, แต่ต้องอาบัติหนัก ไม่ใช่อาบัติเบา และการต้องนั้น เพราะ การบริโภคเป็นปัจจัย ปัญหาข้อนี้ท่านผู้
ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
จริงอยู่ คาถานี้ตรัสหมายเอาภิกษุณีผู้พูดส่งเสริมนี้.
ส่วนความต่างแห่งอาบัติของภิกษุณีผู้พูดส่งเสริมนอกนี้ ทรงจำแนกไว้แล้วในสิกขาบทที่ ๑ แล.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้นแล.
    สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
๑- วิ. ปริ. เล่ม ๘/ข้อ ๑๓๓๖/หน้า ๕๓๖ ฯ

ไม่มีความคิดเห็น: