[๑๗๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
ครั้งนั้น พราหมณ์คนหนึ่งมีนาข้าวเหนียวอยู่ใกล้ที่พำนักของ ภิกษุณี ภิกษุณีทั้งหลายเทอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง หยากเยื่อบ้าง ของเป็นเดนบ้าง
ทิ้งลงในนาจึงพราหมณ์นั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ทำนาข้าวเหนียวของข้าพเจ้าให้เสียหายเล่า ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินพราหมณ์นั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่
บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้เทอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง หยากเยื่อบ้าง ของเป็นเดนบ้าง ลงในของเขียวสดเล่า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุณีทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุณี เทอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง หยากเยื่อบ้าง ของเป็นเดนบ้าง ลงในของเขียวสด จริงหรือ?
ภิกษุณีทั้งหลายทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้เทอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง หยากเยื่อบ้าง ของเป็นเดนบ้าง ลงในของเขียวสดเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ ๖๔. ๙. อนึ่ง ภิกษุณีใด เท หรือให้เท ซึ่งอุจจาระก็ดี ปัสสาวะก็ดี หยากเยื่อก็ดี ของเป็นเดนก็ดี ลงในของเขียวสด เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๑๗๙] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า อุจจาระ ได้แก่ สิ่งที่เขาเรียกกันว่าคูถ.
ที่ชื่อว่า ปัสสาวะ ได้แก่ สิ่งที่เขาเรียกกันว่ามูตร.
ที่ชื่อว่า หยากเยื่อ ได้แก่ สิ่งที่เขาเรียกกันว่าขยะมูลฝอย.
ที่ชื่อว่า ของเป็นเดน ได้แก่อามิสเป็นเดน หรือกระดูก หรือน้ำที่เป็นเดน.
ที่ชื่อว่า ของเขียวสด ได้แก่ บุพพัณณชาติ อปรัณณชาติ ที่ประชาชนปลูกไว้สำหรับ
เป็นเครื่องอุปโภคและบริโภค.
บทว่า เท ความว่า เทเอง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า ให้เท ความว่า ใช้คนอื่น ต้องอาบัติทุกกฏ ๑- ใช้เขาครั้งเดียวเขาเทแม้หลายครั้ง ก็ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกะปาจิตตีย์
[๑๘๐] ของเขียวสด ภิกษุณีสำคัญว่าของเขียวสด เท หรือให้เท ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ของเขียวสด ภิกษุณีสงสัย เท หรือให้เท ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ของเขียวสด ภิกษุณีสำคัญว่า มิใช่ของเขียวสด เท หรือให้เท ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกะทุกกฎ
มิใช่ของเขียวสด ภิกษุณีสำคัญว่า ของเขียวสด ต้องอาบัติทุกกฏ. มิใช่ของเขียวสด ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. มิใช่ของเขียวสด ภิกษุณีสำคัญว่า
มิใช่ของเขียวสด ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร [๑๘๑] มองดูก่อนแล้วจึงเท ๑ เทบนคันนา ๑ บอกขออนุญาตต่อเจ้าของแล้วเท ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๙ พึงทราบดังนี้ :-หลายบทว่า ยํ มนุสฺสานํ อุปโภคปริโภคํ โรปิตํ
มีความว่า ไร่นาหรือสวนผลไม้มีมะพร้าวเป็นต้นก็ตามที เมื่อเทวัตถุเหล่านั้นทิ้งในที่ซึ่งเขาปลูกของเขียวสดไว้แห่งใดแห่งหนึ่ง พึงทราบความต่างแห่งอาบัติโดยนัยก่อนนั่นแล.
ภิกษุณีนั่งฉันอยู่ที่ไร่นาหรือสวน เคี้ยวอ้อยเป็นต้น เมื่อจะไปเทน้ำเป็นแดนและกระดูกเป็นต้นลงในของเขียวสด ชั้นที่สุด ทิ้งแม้มะพร้าวที่เฉาะหัวดื่มน้ำแล้ว ก็เป็นปาจิตตีย์เหมือนกัน. เป็นทุกกฏแก่ภิกษุ.
แต่ในพืชที่เขาหว่านไว้ในนาที่ไถแล้ว เป็นทุกกฏแก่ภิกษุและภิกษุณีทั้งหมด ตลอดเวลาที่หน่อยังไม่งอก. จะเทลงในมุมนาเป็นต้น ที่เขายังไม่ได้หว่านพืชก็ดี
ในคันนาเป็นต้นที่ปลูกพืชไม่ขึ้นก็ดี ควรอยู่. จะเทลงแม้ในที่ทิ้งขยะมูลฝอยของพวกชาวบ้าน ก็ควร.
บทว่า ฉฑฺฑิตกฺเขตฺเต มีความว่า เมื่อพวกชาวบ้านถอนข้าวกล้าไปแล้ว ชื่อว่าเป็นนาร้าง. จะเทลงในนาร้างนั้นนั่นแล ควรอยู่. แต่ในไร่นาที่
พวกชาวบ้านยังเฝ้ารักษาอยู่ด้วยเข้าใจว่า บุพพัณชาติเป็นต้นที่เกี่ยวแล้วจักงอกขึ้นอีก เป็นอาบัติตามวัตถุเหมือนกัน.
บทที่เหลือ ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นทั้งกิริยาและอกิริยา ฯลฯ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น